แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ วันที่ ๑๙ เมษายน สำหรับพวกเรา ก็ได้ผ่านมาจนถึงเวลา ๕ น.แล้ว เป็นเวลาที่เรากำหนดไว้สำหรับจะพูดจาเรื่องอะไรกันสักเรื่องหนึ่งเป็นประจำวันเสมอไป สำหรับวันนี้จะได้กล่าวถึง การซ่อนเพชรพลอย สำหรับภิกษุเรามีอะไรเป็นเพชรพลอย ก็พอจะเดาได้หรือสันนิษฐานกันได้ ก็มีอะไรที่ดีๆ ที่กลัวว่าโจรขโมย จะซ่อน จะขโมยเอาไปเสียนั่นเอง ดังนั้น เราจึงต้องซ่อนไม่ให้เอาไปได้ เพราะว่า ข้อนี้ เป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด คือข้อที่อย่าให้ใครรู้ว่ามีอะไร ขอย้ำว่า ข้อที่อย่าให้ใครรู้ว่ามีอะไรนั่นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้เขาขโมยได้ การที่โอ้อวดเขา แล้วพยายามหวงหรือซ่อนนั้นเป็นความโง่ ทำให้เขาขโมยได้หรืออย่างน้อยก็ลำบากมาก ฉะนั้น จึงสู้วิธีที่ไม่ให้เขารู้เสียเลยว่าเรามีอะไรนี่ จะย่อมเป็นการสะดวกกว่า เกี่ยวกับข้อนี้ ก็ต้องอาศัยภาษาคน ภาษาธรรมอีกตามเคย เพชรพลอย ในภาษาคน ก็คือ ของแข็งๆ ราคาแพงๆ อย่างที่รู้จักกันดี ส่วนเพชรพลอยในภาษาธรรมนั้น หมายถึง คุณธรรมที่ยิ่งไปกว่า ธรรมดามนุษย์เขามีกัน ซึ่งเราได้ยินชินหูว่า อุตริมนุสธรรม นี่คือคำที่เราได้ยินชินหูอยู่เสมอ ในคำพูดธรรมดาภาษาไทยๆ เรา ก็คือคุณธรรมที่ดีกว่าธรรมดา ถ้าเราไม่ซ่อนเพชรเพชร พลอย ขโมยก็เอาไปหมด ในทางภาษาคน ก็หมายความว่า ขโมยจะขโมยเพชรพลอยเหล่านั้นไป ก็เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร โจรขโมย ก็รู้จักกันดีแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ในภาษาธรรมนั้นยังจะต้องการคำอธิบายบ้าง ตั้งต้นแต่การปฏิบัติที่ปฏิบัติได้สูงหรือมากไปกว่าคนสามัญตามธรรมดา เรียกว่าเพชรพลอย สาเถยยะ คือความโอ้อวด หรือโอ่อวดก็ตาม โอ่อวดแสดงด้วยท่าทาง โอ้อวดแสดงด้วยปาก นี่เรียกว่าอวดทั้งนั้น ต้องแสดงให้เขาเห็น ทันใดนั้นก็ถูกขโมยหมด คือพญามารเป็นผู้ขโมย พญามารก็คือ กิเลสที่เป็นเหตุให้โอ้อวด พญามารที่เป็นความ ยกหูชูหาง ว่าตัวกูของกูมีดีอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นประเภทมานะทิฏฐิ มานะว่าดีกว่า เลวกว่า เสมอกัน หรืออะไรทำนองนี้ นี่จะเป็นพญามาร ขโมยเอาความดีหรือคุณธรรมของผู้นั้นไปหมด
ขอให้สังเกตดูให้ดีๆในตอนนี้ ว่าพญามารคือกิเลสนี้ จะทำลายล้างคุณธรรมที่แท้จริงของผู้นั้นได้อย่างไร กิเลสมีชื่อมาก เราจัดเป็นกลุ่มๆ พวกโอ้อวด พวกมานะ พวกยกหูชูหาง นี่ก็กลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้จะทำลายความดีของคน และทำให้คนตกเป็นทาสของพญามารไปตามเดิม และมีความทุกข์ จะต้องระวังสิ่งที่เรียกว่า โอ้อวด และโอ่อวดนี้ให้มาก เพราะว่า วันหนึ่งคืนหนึ่ง จะได้ยินถ้อยคำประเภทนี้มากที่สุด แม้ที่คุยกันเล่น เย้าหยอกกันเล่น ล้อกันเล่นก็เป็นถ้อยคำประเภทนี้ด้วยเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีมูลมาจากความรู้สึกประเภทนี้ จึงคุยกันในทำนองอวด ในทำนองเบ่ง แม้จะไม่เบ่งมากก็ต้องเบ่งน้อย ดังนั้นก็เป็นการโอ้อวดอยู่แล้ว ก็แปลว่า มีอะไรดีหน่อยก็ต้องมาอวด นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวัง การโอ้อวดจะเป็นไปเกินความดีที่ตนมีเสมอไป ไม่มีอะไรดีที่จะอวดได้ถึงเท่านั้น อวดเข้าก็กลายเป็นอวดดี คนอวดดีนี่ใครๆ ก็ชังน้ำหน้า อย่างน้อยก็เขม่น ไม่เห็นมีดีอะไรที่ตรงไหน ขืนอวดไปก็เท่าไรก็ยิ่งหมดดีมากก็เท่านั้น การอวดดี จึงเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงเพราะว่าทำให้หมดดี ทีนี้สมมติว่า มีดี ก็ลองคิดดูเถิดว่า ควรอวดหรือไม่ พออวดเข้ามันก็สร้างกิเลส ประเภทมานะ ประเภทยกหูชูหาง นี่คือพญามาร มันก็กินความดีของเราหมดสิ้น ถ้ามีเจตนาจะอวดแล้ว มันก็เป็นเรื่องของการถูกขโมยหมด ขโมยซึ่งหน้า ถ้าว่ามีดีแล้วประกาศความดีนั้น โดยวิธีที่สมควร โดยเจตนาที่บริสุทธิ์ เพียงว่าผู้อื่นจะได้รู้จักความดีบ้าง เช่นดัวเองทำอะไรได้ ก็สอนให้ผู้อื่นทำได้ด้วย แม้ที่สุดแต่งานฝีมือ เราทำได้ก็สอนให้ผู้อื่น อย่างนี้ก็เรียกว่ามีดีจริง และแสดงแก่ผู้อื่นจริง เป็นการประกาศความดี เหมือนกับที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม สอนสัตว์ทั้งหลายในเรื่องที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว อย่างนี้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าอวดดี แต่ว่าเป็นเรื่องประกาศความดีหรือพรหมจรรย์นั้น ให้รู้กันทั่วๆ ไป ประกาศความดี กับการอวดดีนั้น ต่างกันเป็นฟ้าและดิน อวดดีทำไปด้วยกิเลสปราศจากความเมตตากรุณา ยกแต่จะยกตนข่มท่าน ซึ่งเป็นความประทุษร้ายชนิดหนึ่ง ส่วนประกาศความดีนั้น มีดีจริงๆ และมีมากกว่าที่เอามาอวด ดังพระพุทธภาษิต สีสปาวนสูตร คือว่า สิ่งที่ตถาคตรู้เปรียบเท่ากับใบไม้ทั้งป่า สิ่งที่ตถาคตนำมาสอน มีปริมาณเท่าใบไม้กำมือเดียว พระองค์ตรัสอย่างนั้นในขณะที่ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่งที่เรี่ยราดอยู่แถวนั้น แล้วก็ชูขึ้นให้พระสาวกเห็น ว่าประกาศเพียงเท่านี้ แต่รู้เท่ากับใบไม้ทั้งป่า อย่างนี้จะเรียกว่าอย่างไรกัน ขอให้เราลองคิดดู คนเราธรรมดาสามัญที่ชอบโอ้อวดนั้น มีความรู้มากเท่านั้น และบอกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริงหรือเปล่า ไม่จริง อวดเกินต้นทุน ใช้จ่ายเกินต้นทุน อาจจะรู้อะไรสักนิดหนึ่ง แล้วก็ อวดเป็นชั่วโมงๆ อย่างนี้มันก็เป็นคนล้มละลายเพราะว่า มีรายจ่ายมากกว่ารายรับท่วมท้นอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้ ไม่อยู่ในวิสัยหรือ ทำนองของพระศาสดา ที่ทรงอวดกำมือเดียวในเมื่อมีเท่ากับใบไม้ทั้งป่า นี่มันมากกันกี่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า หรือล้านล้านเท่าก็ได้ ตรัสว่าทรงแสดงแก่อาทิพรหมจรรย์ คือ หลักสำคัญที่เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ โดยเฉพาะก็คือ เรื่องอริยสัจ บอกเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์เท่านั้น นอกนั้นไม่ตรัส แม้จะทรงทราบอยู่อย่างดี เพราะว่ามันเสียเวลา นี่แปลว่าพระองค์ทรงเป็นนักเศรษฐกิจอย่างยิ่งในทางธรรม คือประหยัดเวลาให้แก่เรา พวกเรา ไม่ต้องเสียเวลามากที่จะไปรู้เรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ซึ่งเราชอบเถียงกันนักทั่วไปหมด เช่นเรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด เป็นต้น อะไรไปเกิด อธิบาย เป็นคุ้งเป็นแคว อธิบายเฉพาะอะไรไปเกิดอย่างนี้ ก็เป็นเดือนๆ ก็ไม่จบ แล้วก็ยกตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ แต่ก็เป็นนักปราชญ์ลวง นักปราชญ์ไม่มีอะไรข้างในมีแต่เปลือกข้างนอก นั่นแหละคือ ผลของการอวด
ก็เป็นอันว่า การอวดนี้เป็นกิเลส เป็นพญามาร เป็นโจรที่จะมาปล้นเอาของดีของเราไป เราต้องซ่อนเสีย อย่าให้มันเห็น คืออย่าอวดนั่นเอง เมื่อไม่มีการอวด ก็หมายความว่าไม่แสดงให้เห็นมันก็ขโมยไปไม่ได้ สำหรับพวกเรานักศึกษาธรรมฑูตต่อไปจะต้องทำหน้าที่สำคัญ จะต้องรักษาหลักเกณฑ์อันนี้ คือประกาศสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่ดีที่สุด เท่าที่จำเป็นที่สุด นอกนั้น จะสงวนไว้ เป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นส่วนมากกว่า นั่นคือส่วนที่กิเลสมันอยากจะอวด ถ้าขืนพูดออกไปก็หมายความว่ากิเลสต้องการให้อวด ให้พูดเกินกว่าจำเป็น ทีนี้เราจะมีอะไรอวด เราต้องมีดีจริงเสียก่อน มีอะไรจะสอนจะประกาศนั่น ต้องมีดีจริงๆ เสียก่อน มีธรรมะนี่ไม่ใช่มีแต่เพียงว่า มีปริยัติธรรมท่องจำ มีปัญญานี้ไม่ใช่ เพียงแต่ว่า สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา เป็นเรื่องศึกษาคิดๆ นึกๆ แต่จะต้องมีปัญญาความรู้ที่แท้จริงเป็น ภาวนามยปัญญา นั่นเอง แล้วก็คัดเลือกส่วนที่สำคัญหรือจำเป็นออกไปให้เขา เมื่อเป็นดังนี้ ความจริงที่เด็ดขาดแน่นอนก็จะมีอยู่ส่วนหนึ่งว่า ต้องทำเองให้ได้เสียก่อนแล้วจึงสอนเขา อย่างกับบาลีว่า อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย จงตั้งตนให้อยู่ในคุณธรรมที่สมควรแก่สมณะ หรือแก่ผู้สอนเสียก่อน อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต ภายหลังจึงสอนเขาจึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก ขอได้โปรดสะดุ้งกลัว ต่อคำว่า บัณฑิตสกปรกนี้ให้มาก จะเป็นศาสนบัณฑิตหรืออะไรบัณฑิตก็สุดแท้ ย่อมมีส่วนมีโอกาส มีทางที่จะเป็นบัณฑิตสกปรก คือไม่มีอะไรที่เป็นคุณธรรมสมแก่ความเป็นเช่นนั้น แล้วก็ไปสอนเขา อย่างนี้เรียกว่า เป็นบัณฑิตสกปรกไม่มีอะไรจะประกาศมีแต่การอวด ไม่มีความดีที่จะประกาศมีแต่การอวดดี ก็เป็นอันว่าถูกขโมย ย่องเบาบ้าง ปล้นซึ่งหน้าบ้างเอาไปหมดแล้ว เพราะการที่แสดงออกมาให้เห็นว่า ตัวมีอะไร ด้วยการยกหูชูหางเพราะฉะนั้น สิ่งที่ประกาศแสดงออกไป ก็คือหู และหางที่ยกขึ้นสูงๆ เป็นดอกอ้อ ดอกเลาเท่านั้นเอง ไม่มีสาระอะไรสำหรับดอกอ้อ ดอกเลาเหล่านี้
เมื่อเป็นดังนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องสังวร สำรวม ระวังให้เป็นอย่างยิ่ง อย่างส่งเสียงลั่น อยู่ที่ไหนก็รู้ว่าอยู่ที่นั่น ก็ส่งเสียงลั่น อยู่ที่ไหนก็แสดงให้รู้ว่าอยู่ที่นั่น เหมือนกับปลาหมอที่จะต้องตายเพราะปาก คือทำให้ชาวประมงรู้ว่าที่นี่มีปลาหมอ เพราะมันพูดพ่นอยู่เรื่อย เมื่อมันจะต้องตาย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจะถูกปล้นทรัพย์ไปหมด มันจะต้องเสียชีวิตด้วย คือพญามารจะฆ่าให้ตายเพราะเหตุนั้นเอง นี่เรียกว่า เราจะต้องรู้จักซ่อนชีวิต หรือซ่อนสิ่งที่ดีที่มีค่าของชีวิต อย่าให้ใครรู้ได้ มีเรื่องอยู่ในสูตรสูตรหนึ่งที่มีเล่าถึงภิกษุองค์หนึ่ง เมื่อถึงคราวจวนตัวที่คนเขาจะรู้ว่าประพฤติธรรม มีธุดงค์เป็นต้น เธอก็แสดงอาการที่ทำให้คนผู้เห็นนั้น ไม่รู้ได้ว่าถือธุดงค์ เช่นฉันอาหารมื้อที่สองที่สามเสียเลย ไม่ได้ฉันมื้อเดียว ไม่ได้ซ่อนฉันมื้อเดียวอยู่อย่างเดิม หรือว่าถือธุดงค์อย่างอื่นเช่น ไตรจีวรเป็นต้น ก็ใช้ อติเรกจีวรเสียเลย ไม่ให้คนเหล่านั้นมารู้ว่าถือธุดงค์ มีอยู่ในสูตรไหน อรรถกถาตอนไหน ควรจะเป็นหน้าที่ที่ไปหาอ่าน ค้นดูเอง เพราะมันเป็นการเอาเปรียบกันนัก และเป็นการขี้เกียจด้วย ดังนั้น ผมเห็นว่าเรื่องบางเรื่องจะไม่บอกที่มา ขอให้ไปค้นเอาเองบ้าง จะแก้ขี้เกียจ จะแก้เอาเปรียบ นี่ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเป็นอุทาหรณ์ที่ดี ถ้าจะคิดดูว่า จะเป็นหลักพุทธศาสนาหรือไม่ ก็จะพบว่า เป็นหลักพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ในข้อที่ไม่โอ้อวด ไม่โอ่อวด
ทีนี้จะต้องนึกถึงต่อไปอีกว่า ในศาสนาอื่นเป็นอย่างไร ในศาสนาคริสเตียนก็มีอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระเยซู ไปดูที่คัมภีร์ใหม่ New Testament ตอนแรกก็ไปค้นดูว่ามันอยู่ตรงไหนข้อความว่ายังไง ใจความเหมือนกันกับเรื่องที่เล่ามาแล้ว พระเยซูทรงตำหนิในทำนองถึงกับว่า รุนแรงที่เรียกว่าด่านั่นเอง กับพวกโน้น คือทำอะไรก็โอ้อวด คุยขโมงโฉงเฉง เหมือนกับพวกเราส่วนมากสมัยนี้ ทำอะไรได้หน่อยก็โอ้อวด ขโมงโฉงเฉง พระเยซูท่านสอนสาวกของท่านว่า อย่าให้เขารู้ว่าวันนี้เรา สมาทานอุโบสถศีล ผมใช้คำว่า อุโบสถศีลขึ้นมาในคริสเตียน ก็เพราะอยากจะให้ได้ความรู้เรื่องนี้บ้าง วันที่กำหนดไว้สำหรับประพฤติอะไรเคร่งครัด เป็นวันพระวันอุโบสถนี่ ภาษาฮิบรู เรียกว่าวัน Sabbath วัน Sabbath นี้เขาทำอะไรๆ เหมือนกับที่เราถืออุโบสถกันในฝ่ายพุทธ พวกทายก ทายิกา ถืออุโบสถกันอย่างไร ในวัน Sabbathก็มีอะไรมากที่พวกยิวเขาถือกันอย่างนั้น เช่นไม่ทาน้ำหอม ไม่แต่งตัวแต่งเนื้อด้วยภูษาอาภรณ์ ไม่ประดับสร้อยเพชร ไม่ประดับสร้อยแหวนอะไรต่างๆ ไม่นอนในที่นอนอันสบาย เหมือนกันหมดกับการถืออุโบสถของพวกเรา พระเยซูเลยสอนให้ สวมสร้อย ประดับเนื้อแต่งตัว หรือว่ากินในลักษณะธรรมดา นั่งนอนในที่อันสบาย ในเมื่อความจำเป็น อย่างนั้นเกิดขึ้นเพื่อจะไม่ให้ใครรู้ว่าเรา สมาทาน Sabbath คืออุโบสถ นี่ก็พระเยซูทรงมุ่งหมายเหมือนกัน คือเพื่อไม่ให้กิเลสประเภทยกหูชูหางครอบงำเรา หรือ ทำลายเรานั่นเอง แต่แล้วระวังให้ดี มันจะถูกกิเลสเล่นงานเอาสองซ้อน คือว่าถ้าทำอาการปกปิดเช่นนั้น เพื่อจะอวดขึ้นมาชั้นหนึ่งว่า เราเป็นผู้ไม่อยากอวด มันก็ถูกกิเลสเล่นงานเอาสองซ้อน ดังนั้นต้องทำด้วยความบริสุทธ์ใจในการที่จะไม่ให้ผู้ใดรู้เราประพฤติอะไรบ้าง ถ้ากิเลสเล่นงานเอาสองซ้อนก็หมายความว่าสบายไปเลย กินเล่น ตกแต่งประดับหรูหราไปเลย ด้วยจิตใจที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างนี้ก็ตายสองหน หรือว่าฉิบหายสองเท่า สิ้นเนื้อประดาตัวสองเท่า มันก็ไม่ควรอีกเหมือนกัน ฉะนั้นผู้ที่จะซ่อนทรัพย์ ซ่อนอะไรเหล่านี้ ต้องเป็นคนจริง เหมือนกับคนซ่อนทรัพย์เขาซ่อนจริงๆ เอาเพชรเอาพลอยใส่ตุ่มใส่ไห จะไปฝังที่ไหนก็ไปฝังกลางคืน ดูหน้าดูหลังไม่มีโอกาสที่ใครจะได้รู้ได้เห็น ฝังแล้วก็กลบสนิท แล้วก็ปกปิดด้วยใบไม้หรือต้นหญ้า หรืออะไรให้เหมือนเดิมไม่ให้รู้ว่าตรงนี้เคยขุดหลุมฝัง คนเราควรจะทำได้ดีกว่าสุนัข เอาอาหารแห้งๆ ไปซ่อนฝังดินแล้ว มันก็ยังกลบแล้วกลบอีก ดมแล้วดมอีก ไม่มีทางที่ใคร ตัวไหน จะรู้ได้ว่ามันได้ซ่อนอะไรไว้ที่นั่น สุนัขตัวอื่นผ่านมาก็ไม่มีทางที่จะได้กลิ่นสิ่งนั้น สัตว์เดรัจฉานยังทำได้อย่างนี้ มีคนเล่าให้ฟังว่า เต่าทะเล ขึ้นมาขุดหลุมไข่ที่ชายหาดทราย แล้วก็ฝังแล้วฝังอีก โดยวิธีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เดินกลบเกลื่อนให้มีรอยยุ่งไปหมด จนไม่มีใครจะรู้ได้ว่า ซ่อนไข่ไว้ที่ไหน สัตว์เดรัจฉานยังทำได้อย่างนี้ ฉะนั้น จะ ดีกว่าคนไปเสียแล้วกระมัง ดังนั้น คนต้องระวังอย่าให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน คือซ่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เหมือนเต่าซ่อนไข่ หรือสุนัขซ่อนอาหารไว้กิน มันทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันจึงซ่อนได้จริง ทีนี้ตัวพวกเราจะไม่ซ่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ไปซ่อนด้วยความอยากจะอวดเป็นครั้งที่สอง มันก็ซ่อนไม่ได้ ดังนั้น การที่จะมีธุดงค์ มีกรรมฐานภาวนา มีการบรรลุคุณธรรมเกี่ยวกับเรื่องนั้น ที่เรียกว่า อุตริมนุสธรรม เราก็ควรจะซ่อน ด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างนั้นเหมือนกัน ขอให้นึกถึงคำสอนข้อแรกที่สุด ในวันแรกที่สุดในวันที่เราบวช ที่เรียกว่า อนุศาสน์ ว่าจะไม่อวดคุณธรรมแม้แต่เพียงตรัสว่า เป็นผู้ยินดีในเสนาสนะ อันสงัดแล้ว อันตะมะโส สุญญาคาเร อะภิระมามีติฯ แม้แต่จะอวดว่า เราเป็นผู้ยินดีในเสนาสนะอันสงัดเสียแล้วก็ไม่ควรจะอวด อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา อุตตะริมะนุสสะธัมโม นะ อุลละปิตัพโพ อันตะมะโส สุญญาคาเร อะภิระมามีติฯ ผู้ที่เป็นอุปัชฌายะก็จำได้ คล่องใจ คล่องปากทุกองค์ ผู้ที่เคยบวชก็ต้องได้ยินคำนี้มาแล้วอย่างน้อยครั้งหนึ่งในวันบวช ว่าอย่าได้อวดสิ่งที่เหนือไปกว่ามนุษย์ธรรมดา แม้สุดแต่จะอวดว่า ใจคอของเราชอบความสงัดเสียแล้วอย่างนี้ก็ยังไม่ควรจะอวด แล้วทำไมจะมาอวดคุณสมบัติที่ยิ่งไปกว่านั้น ถึงขนาดที่เรียกว่า เป็นผลของภาวนา เป็นสมาธิ เป็นทาน เป็นสมาบัตร เป็นวิมุติ เป็นวิโมกข์ เป็นต้น ขอได้เห็นว่าการอวดนั้น คือการทำให้ถูกปล้นถูกขโมยเอาไปทันที นี้เรียกว่าเป็นส่วนตัว
ทีนี้ส่วนเกี่ยวกับผู้อื่น คือการประกาศก็ต้องระวังให้ดี คงจะต้องสำรวมไว้เป็นอย่างยิ่งว่า พวกฝรั่งนั้นเขาฉลาด ทั้งทางการศึกษาในจิตวิทยา เขาอยู่กันในสังคมที่แข่งขันกันอย่างยิ่งในทุกวิถีทาง เพราะฉะนั้นมันต้องฉลาด อย่าไปทำในลักษณะที่ว่า เป็นคำด่าของคนโบราณ คือพอเผยปากก็เห็นขี้ฟัน เผยอปากก็เห็นขี้ฟัน กับทั้งมีกลิ่นเหม็นด้วย การที่เราจะไปสอนเขานั้นระวังให้ดี อย่าให้เป็นเรื่องโอ้อวด ราวกับว่าเตรียมยกหูชูหางไปจากนี่ ด้วยเจตนาที่จะไปโอ้อวดไปจากบ้านเรา พอไปถึงก็จะไม่มีอะไรนอกจากอาการดังที่กล่าวแล้วนั้น มันก็ล้มละลาย หมด เสียชื่อพระไทยหมด เสียชื่อประเทศไทย และในที่สุดก็เสียชื่อพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายพระศาสนายิ่งกว่าจะเชิดชูพระศาสนา หรือประกาศพระศาสนา จะต้องระวังให้ดี เพราะเราไปเผยแผ่พระศาสนา เชิดชูพระศาสนา ไม่ใช่ไปทำลายพระศาสนา ที่ได้เอาเรื่องนี้มาพูดมากล่าวกันอย่างนี้ ก็เพราะเป็นเรื่องที่ควรวิตกอย่างยิ่งอย่างหนึ่งด้วยจริงๆ เหมือนกัน จึงหวังว่า ขอจะได้ คงจะได้สังวรระวังไว้เป็นอย่างดี ให้เคร่งครัดที่สุดเหมือนกับรักษาชีวิตด้วยความกลัวตายทุกๆ คนเถิด เวลาของเราก็หมดลงพอดีสำหรับวันนี้