แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะโม ตัสสะ.....
ณ.บัดนี้จะได้วิสัชนาธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภมาฆบูชาอันเป็นอภิลักขิตสมัย ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบได้อยู่แล้ว สิ่งที่ควรระลึกนึกถึงในวันเช่นวันนี้ มีเป็นลำดับไปคือ ข้อแรกที่สุดก็จะต้องนึกถึงการที่วันนี้เป็นวันมาฆบูชานั่นเอง ปีหนึ่งมีเพียงวันเดียวกว่าจะเวียนมาถึงสักครั้งหนึ่ง ก็ปีหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องฟื้นความจำระลึกนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับวันนี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอนทุกคราวไป สิ่งที่เราจะต้องนึกเป็นข้อใหญ่ก็คือการบูชาในวันเช่นวันนี้ เราจะต้องทำการบูชาเป็นพิเศษในวันเช่นวันนี้ เพราะเหตุว่าวันนี้เป็นวันที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งอยู่วันหนึ่ง เกี่ยวกับความสำคัญนี้ยังมีแง่ที่จะต้องคิดต้องนึกกันอยู่บ้าง และก็มักจะเข้าใจต่างๆ กัน ที่แท้ควรจะถือว่าวันมาฆบูชานี้เป็นวันพระสงฆ์ ให้วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธ พระพุทธเจ้า ให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรมหรือพระธรรมเจ้า แล้วให้วันมาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ เป็นวันของพระอรหันต์ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เชื่อว่าท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจได้ คงจะเข้าใจได้กันอยู่แล้วแทบทุกคน วันวิสาขะนั้นเป็นที่ระลึกเนื่องกับการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงควรจะเรียกว่าเป็นวันพระพุทธเจ้าไม่มีปัญหาอะไร ส่วนวันอาสาฬหบูชานั้น ความสำคัญอยู่ตรงที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนา ด้วยการแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งสูตรนั้นเรียกชื่อกันว่า ปฐมเทศนา คือเทศนาครั้งแรกที่สุด ที่ทรงแสดงหลังแต่การตรัสรู้แล้ว และอีกประการหนึ่งก็คือข้อความในพระธรรมเทศนานั้น เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา จนถึงกับพระพุทธองค์ตรัสว่าอนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ คือธรรมะที่ไม่เคยฟังมาแต่ก่อน หมายความว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงรับฟังมาจากผู้ใด แต่ได้ตรัสรู้ขึ้นด้วยพระองค์เอง แล้วทรงนำมาแสดง และเรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นเนื้อธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จึงควรจะเรียกวันวันนี้ว่าเป็นวันพระธรรมหรือเป็นวันพระศาสนา ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า ธรรม เพราะธรรมก็คือศาสนานั่นเอง ด้วยเหตุเช่นนี้จึงถือว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม ทีนี้ก็มาถึงวันนี้คือวันมาฆบูชาตามเรื่องราวที่รู้กันแล้วว่าพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกัน เป็นการประกาศการตั้งมั่นแห่งคณะสงฆ์ลงในโลกนี้ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เป็นคณะสงฆ์ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นคณะที่ใหญ่ยิ่ง เป็นคณะที่สมบูรณ์แล้วในพระพุทธศาสนา และพระองค์ได้ทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ ในท่ามกลางสงฆ์นั้น เพื่อให้สงฆ์ทั้งหลายได้รับรู้และรับรองต้องเป็นอันเดียวกันว่า พระพุทธศาสนามีหลักเกณฑ์ที่จะต้องช่วยกันนำไปเผยแผ่ให้แพร่หลายอย่างไรบ้าง เพื่อว่าพระสงฆ์ทั้งหลายจะได้นำไปเผยแผ่สั่งสอนประชาชนให้ตรงเป็นอันเดียวกันหมดทุกๆ องค์ ความสำคัญของการประชุมในวันนี้มีอยู่ที่ว่า จำนวนมากตั้ง ๑,๒๕๐ องค์ และมาถึงพร้อมกันเข้าโดยมิได้นัดหมาย และวันนี้เป็นวันพิเศษเช่นวันนี้จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ นี้คือใจความสำคัญของเหตุการณ์ในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับวันนี้ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเป็นวันพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ และคณะสงฆ์สืบต่อมามีปริมาณนับไม่ได้ วันทั้งสามจึงเป็นวันสำคัญอย่างยิ่ง วันวิสาขะเป็นวันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหะเป็นวันพระธรรมเจ้า วันมาฆะเป็นวันพระสงฆเจ้า เราจึงนิยมกระทำการบูชาในวันทั้งสามนี้ เป็นพิเศษเสมอกัน กล่าวคือทำให้สุดความสามารถของเรา
ทีนี้จะได้กล่าวถึงการบูชา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า วันนี้เป็นวันที่จะต้องทำการบูชาให้สุดความสามารถ ให้สมกับที่เป็นวันสำคัญ ไม่ทำแต่พอดีพอร้ายตามสะดวกสบายดังเช่นที่ทำในวันอื่น ก็เพราะว่าเราถือว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวันใด ทำไมจึงว่าเช่นนั้น คนที่มีสติปัญญามากเพียงพอก็จะมองเห็นได้เองว่า สิ่งที่เรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นโดยเนื้อแท้เป็นสิ่งเดียวกัน คนที่ค่อนข้างจะโง่เขลาเท่านั้น ที่จะถือว่าพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง พระธรรมอย่างหนึ่ง พระสงฆ์อย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ความรู้อย่างนี้เป็นความรู้ของเด็กๆ แรกเรียน โดยไปเอาที่เปลือกนอกเป็นเกณฑ์เป็นประมาณ คือพระพุทธเจ้าที่บุคคล พระธรรมที่คัมภีร์หรือคำสอน ไปเอาพระสงฆ์ที่หมู่คณะบุคคล อย่างนี้มันเป็นเรื่องเปลือกนอก มันก็คงจะต่างกันจริง แต่ถ้าจะเอาถึงเนื้อในเนื้อแท้แล้ว มีคำกล่าวว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งเดียวกันโดยหัวใจ หัวใจของพระพุทธเจ้าก็คือธรรมะอันสูงสุดได้แก่ความ สะอาด สว่าง สงบ
สะอาดคือบริสุทธิ์ ไม่มีความลับ ไม่มีความชั่ว
สว่างคือการรู้ถึงที่สุด คือปัญญาคุณที่เป็นไปถึงที่สุด
สงบคือไม่มีทุกข์
ความสะอาด สว่าง สงบเป็นหัวใจของพระพุทธเจ้า และในทำนองเดียวกันก็เป็นหัวใจของพระธรรม เราเรียนพระธรรมก็เรียนเรื่องทำให้สะอาด สว่าง สงบ เราปฏิบัติพระธรรมก็ทำ ก็ปฏิบัติเพื่อความสะอาด สว่าง สงบ เราได้รับผลของพระธรรมก็คือความสะอาด สว่าง สงบนั่นเอง และเราเรียกความสะอาด สว่าง สงบในระดับต่างๆ กันว่า มรรค ผลและนิพพาน เพราะฉะนั้นเป็นอันเห็นได้ว่า ความสะอาด สว่าง สงบนั้นเป็นหัวใจของพระธรรมด้วย สำหรับพระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ก็ปฏิบัติเพื่อความสะอาด สว่าง สงบและได้รับผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบตามระดับแห่งมรรคผลที่ได้บรรลุ เพราะฉะนั้นหัวใจของพระสงฆ์ก็คือความสะอาด สว่าง สงบนั่นเอง เมื่อเป็นดังนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เป็นของสิ่งเดียวกันโดยเนื้อในโดยเนื้อแท้หรือโดยหัวใจ ฉะนั้นวันที่เป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ย่อมจะครอบคลุมไปถึงพระธรรมและพระสงฆ์ด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม และทำให้เกิดพระสงฆ์ขึ้นในโลกนี้ และวันที่เป็นที่ระลึกแก่พระธรรมก็ครอบคลุมไปถึงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ด้วย เพราะว่าพระธรรมนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดเผยขึ้นมา สำหรับพระสงฆ์จะได้เรียนรู้ปฏิบัติและเผยแพร่กันต่อไป และเมื่อพูดถึงพระสงฆ์หรือในวันเป็นที่ระลึกแก่พระสงฆ์ คำว่าพระสงฆ์นั้นก็จะต้องครอบคลุมไปถึงพระพุทธและพระธรรมด้วย เพราะว่าถ้าปราศจากพระพุทธ พระธรรมแล้ว พระสงฆ์ก็มีไม่ได้ อาการที่พระสงฆ์รู้ธรรมนั้นก็เป็น พุทธะอยู่ในลักษณะหนึ่ง และธรรมะนั่นเองที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ แต่หัวใจของพระสงฆ์ก็คือความสะอาด สว่าง สงบดังที่กล่าวแล้ว เพราะเหตุฉะนี้แหละจึงกล่าวว่า เมื่อเอาเปลือกนอกเป็นเกณฑ์ก็ดูจะแตกต่างกันเป็น ๓ อย่าง แต่ถ้าเอาเนื้อในเป็นเกณฑ์แล้วก็จะเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ฉะนั้นเราจะเอ่ยถึงพระพุทธก็ตาม พระธรรมก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม ย่อมเนื่องถึงกันหมด พระเป็นเจ้าในศาสนาไหนก็ตาม จะเป็นศาสนาคริสเตียนหรือศาสนาฮินดูก็ตาม พระเจ้ามี ๓ องค์และเนื่องถึงเป็นอันเดียวเป็นองค์เดียวกันหมด นี้ก็เป็นอันกล่าวได้ว่าผู้ที่มีปัญญาแล้ว ย่อมเห็นสิ่งที่สำคัญนั้นเป็นสิ่งเดียวกันโดยเนื้อใน เราจึงให้ความสำคัญแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเสมอกันและเนื่องถึงกันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้ เพราะเหตุฉะนั้นเองเมื่อเราจะทำมาฆบูชาในวันนี้ ก็ไม่ควรจะนึกถึงแต่พระสงฆ์ ทั้งที่เรากำหนดไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระสงฆ์ แต่จิตใจของเราจะต้องแทงทะลุตลอดลงออกไปถึงพระพุทธและพระธรรมด้วย ว่าเป็นของสิ่งเดียวกันโดยเนื้อใน ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นวันไหนและเราจะต้องบูชาด้วยการบูชาสูงสุด คือสุดความสามารถของเราอีกนั่นเอง สำหรับการบูชานั้น ท่านทั้งหลายย่อมจะได้ยินได้ฟังกันอยู่แล้วว่ามีอยู่ ๒ อย่างคือ อามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยวัตถุสิ่งของอะไรก็ตาม นี้เป็นอามิสบูชา บูชาด้วยการกระทำหรือการเสียสละเป็นต้น นี้เป็นปฏิบัติบูชา เราบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนข้าวปลาอาหาร สบง จีวร ของต่างๆ ที่ใช้เป็นเครื่องบูชาได้ทั้งหมด นี้เป็นอามิสบูชา คือบูชาด้วยสิ่งของ ถ้าเราบูชาด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ซึ่งเป็นการเสียสละอดกลั้นอดทนด้วยความเหนื่อยยากลำบากเป็นต้น นี้เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ในการบูชา ๒ อย่างนี้พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชา และแสดง ทรงแสดงไว้ในลักษณะที่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาจะให้สาวกทั้งหลายกระทำเช่นนั้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าอามิสบูชาเป็นสิ่งเหลวไหลไร้สาระ อามิสบูชาก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่นั่นเอง มีความจำเป็นที่จะต้องทำอยู่ส่วนหนึ่ง ดังนั้นเราจึงกระทำ แต่ว่าถ้าจะทำแต่อามิสบูชาก็เป็นการกระทำครึ่งเดียวยังไม่สมบูรณ์ จะต้องทำปฏิบัติบูชาด้วย แต่ถ้าใครจะนึกดูให้ดีสักหน่อยก็อาจจะทำให้เป็นสิ่งเดียวกันได้ทั้ง ๒ บูชานี้ อาจจะกลายเป็นของสิ่งเดียวกันได้ คือว่าการที่จะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายนี้ ก็คือการกระทำชนิดหนึ่งเหมือนกัน เป็นการเสียสละชนิดหนึ่งเหมือนกันจะต้องไปซื้อหามา จะต้องไปเก็บมา จะต้องมาจัด จะต้องมาทำ มันก็เป็นการเหน็ดเหนื่อยเป็นการเสียสละและเป็นการกระทำ จะหาข้าวปลาอาหารมาถวายก็ต้องเหน็ดเหนื่อยและต้องกระทำและต้องเสียสละ แม้ว่าจะถวายของอย่างอื่นก็ต้องเหน็ดเหนื่อยต้องกระทำต้องเสียสละ มันควรจะเพ่งเล็งเอาการเหน็ดเหนื่อย การกระทำ และการเสียสละนั้นว่า เป็นการปฏิบัติด้วย ถ้านึกไปในทำนองนี้ก็รวมกันได้คือเป็นปฏิบัติบูชาไปหมด ผู้ที่จะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนเป็นต้นนี้ ก็ควรจะตั้งใจอย่างนี้ อย่าได้กระทำไปอย่างละเมอๆ เหมือนกับหุ่นที่ไม่มีชีวิตวิญญาณ เพียงแต่จุดดอกไม้ จุดธูปเทียน จัดดอกไม้ขึ้นบูชาไปตามธรรมดาด้วยความเคยชิน ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเป็นคนละอย่างก็ได้ แต่ถ้านึกถึงข้อที่ต้องทำ ต้องเสียสละ ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยกันแล้ว ก็ควรจะเป็นปฏิบัติบูชาด้วย ฉะนั้นการที่จะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนนี้ ควรจะกระทำจิตใจให้ดีๆ จะได้กลายเป็นปฏิบัติบูชาไปด้วยในตัว ข้อที่ท่านจัดเป็นอามิสบูชาและปฏิบัติบูชานี้ เพ่งเล็งถึงความแตกต่างตรงนี้เองคือเป็นของทำง่ายๆ และเป็นของที่ไม่ต้องคิดต้องนึกมาก ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก ไม่ต้องเสียสละมาก และเป็นของที่คนธรรมดาไม่มีสติปัญญาอะไรมากมายก็ทำได้ อย่างนี้เป็นต้น และข้อที่ทำง่ายๆ ไม่คิดไม่นึกนั่นเองกลายเป็นของเคยชินเป็นของติดและเป็นของยึดมั่นถือมั่นไปในที่สุด ว่าให้ได้บูชาเขียวๆ แดงๆ แล้วก็แล้วกันไปสมบูรณ์แล้ว เพียงพอแล้วอย่างนี้เป็นต้น จนกลายเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ และทำให้เกิดปัญหารกรุงรังไปหมด ด้วยเศษดอกไม้เครื่องบูชาธูปเทียนเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งยังไม่เคยมีในครั้งพระพุทธเจ้า หรือไม่มีมากเหมือนสมัยนี้ ซึ่งจัดที่บูชากันสวยงามและแพงมาก แล้วก็ไม่สนใจในเรื่องปฏิบัติบูชา เพราะไปมัวประกวดโต๊ะหมู่ จัดดอกไม้ โต๊ะลายทอง เป็นต้นกันเสียเป็นส่วนใหญ่ กลายเป็นของที่ปิดบังของจริงไปในที่สุด ฉะนั้นจึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้คิดนึกในเรื่องอย่างนี้กันบ้าง ถ้าจะทำการบูชาให้สูงสุดในวันสำคัญเช่นวันมาฆะนี้แล้ว ก็ขอได้นึกถึงการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้ตั้งใจอุทิศแม้แต่ชีวิตเลือดเนื้อเพื่อเป็นการบูชา อย่าได้เห็นแก่ความสะดวกสบายเลย เพราะฉะนั้นในวันเช่นวันนี้ อาตมาจึงได้ชักชวนท่านทั้งหลายเป็นพิเศษ ให้สนใจในเรื่องปฏิบัติบูชา และมีใจความสำคัญอยู่ตรงที่การเสียสละ จงเสียสละความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทุกอย่างทุกประการในวันนี้เสียเถิดแล้วมากระทำความสงบใจเป็นการปฏิบัติบูชา ถวายพระศาสดาหรือพระรัตนตรัยนั้น ดังนั้นจึงได้ชักชวนท่านทั้งหลายว่า อย่างน้อยที่สุดก็จงถือศีลอุโบสถเถิด ในวันนี้ทุกคนจงได้พยายามสมาทานศีลอุโบสถเถิด การอดข้าวมื้อหนึ่งนั้น ย่อมพอที่จะยกขึ้นมาเป็นปฏิบัติบูชาได้ เพราะว่าเป็นการทำยากตามสมควร หรือยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยทำ ถ้าเป็นคนที่รู้จักพระพุทธเจ้ามากพอ พระธรรมมากพอ รู้จักพระสงฆ์มากพอ ก็คงจะทำได้ ถ้ารู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์น้อยเกินไป ก็คงทำไม่ได้และไม่อยากทำ จนต้องชี้แจง อ้อนวอน ขอร้องกันว่าจงรักษาอุโบสถศีลในวันนี้เถิด เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยใจจริงไม่ทำแต่เพียงปาก บางคนมีความขลาดมากเกินไป จะแอบเป็นลมเสียแล้วล่วงหน้า อย่างนี้เพราะความโง่ของคนนั้น มันเป็นลม ไม่ใช่เพราะว่าการอดอาหารมื้อหนึ่งทำให้เป็นลม ความโง่กับการยึดมั่นถือมั่นของเขาเองต่างหากที่ทำให้จิตใจเสียและเป็นลม ถ้าเขามีจิตใจเต็มไปด้วยศรัทธา ปิติปราโมทย์ จะบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงแล้ว ความปิติปราโมทย์นั้นจะหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้เป็นลมเลย จะไม่รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียเลย จะมีแต่ความอิ่มอกอิ่มใจยิ่งขึ้นทุกที ที่ได้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยการกระทำเช่นนี้เลยให้อดต่อไปอีกสักวันหนึ่งก็ยังได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คาดคะเนเอา เป็นเรื่องที่อาตมาได้เคยมาแล้ว ได้ลองมาแล้ว ด้วยตนเองหลายครั้งหลายหน บางทีก็อดข้าวทั้งวันบ้างไม่ฉันเลย บางทีก็อดน้อยหน่อยฉันแต่มื้อเดียวหรือน้อยหน่อยบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นอะไร จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีจิตใจกล้าหาญพอ ที่จะรักษาอุโบสถศีลในวันนี้ ให้สุดความสามารถของตน ที่ยังไม่เคยอด ก็ลองพยายามอด ให้มากเท่าที่จะทำได้ ก็จะได้มีการกระทำที่สมกับที่วันนี้เป็นวันสำคัญ นี่เป็นตัวอย่างเรื่องอาหาร เมื่อประพฤติปฏิบัติแล้วจะเป็นปฏิบัติบูชาได้อย่างไร
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องอดนอนในวันมาฆบูชาเป็นต้นนี้ มีการแสดงธรรม หรือสนทนาธรรม หรืออะไรอื่นที่เป็นไปเพื่อธรรมจนตลอดรุ่ง คนเป็นอันมากบอกว่าสู้ไม่ได้ ง่วงนอน ทั้งที่เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ยังไม่แก่ชราและไม่ใช่เด็กอ่อน เป็นคนที่อยู่ในวัยปกติกลางคนซึ่งควรจะอดได้ ก็มีความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนอน ถ้าไม่ได้นอนก็ทนไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีการชี้แจงชักชวนกันให้ประพฤติข้อนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องผูกพันแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรเป็นเครื่องผูกพันแล้ว ก็ลองอดนอนให้มากที่สุดในวันนี้ เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา เป็นการเสียสละ ฟังเทศน์ตลอดคืน สนทนาธรรมตลอดคืน หรือทำสมาธิตลอดคืน ก็จะเป็นการปฏิบัติถวายปฏิบัติบูชาอย่างสูงสุด ลองนึกดู ที่คนบางคนเล่นไพ่เป็นต้นจนตลอดคืน เล่นหมากรุกเป็นต้นจนตลอดคืน เล่นอย่างอื่นๆ เป็นต้นจนตลอดคืน พวกที่ไปเที่ยวในอบายมุขตามสถานที่ต่างๆ ที่จัดขึ้นกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังที่ในกรุงเทพมหานครเวลานี้ ก็อยู่กันตลอดคืน เขาก็อยู่ได้และไม่ตาย ฉะนั้นเราจะทำสิ่งที่ดีกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้น คือบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ควรจะอยู่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งในทางที่น่านึก ก็เช่นว่า ถ้าบิดามารดาเจ็บหนักจะตายอยู่แล้ว เราก็นอนไม่หลับ เราก็ต้องปฏิบัติรักษาพยาบาลกันจนตลอดคืน อย่างนี้ก็ยังทำได้และก็ผลัดกันกี่คืนกี่คืนก็ยังทำได้ ถ้าเราถือว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความสำคัญยิ่งไปกว่านั้นอีก เราก็ควรจะทำได้ บางทีไม่ใช่บิดามารดาแต่เป็นสามีภรรยาเจ็บไข้ได้ป่วยก็นอนไม่หลับ ต้องพยาบาลกันตลอดคืน บางทีก็เป็นลูกเด็กแดงๆ ลูกเล็กๆ ไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยก็พยาบาลกันได้อยู่ตลอดคืน แต่ทีที่จะเป็นการบูชาแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กลับทำไม่ได้ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนที่จริงมากหรือจริงน้อยอย่างไร เป็นคนที่ซื่อตรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากหรือน้อยอย่างไร เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มากหรือน้อยอย่างไรขอให้ลองไปคิดดู ถ้าใครมีความเห็นอย่างไร ก็จงถือเอาตามนั้น แต่ให้ได้ใจความสำคัญที่ว่า ถ้ามีการเคารพมากบูชามากก็ต้องมีการเสียสละมาก จนกระทั่งเสียสละชีวิตเลือดเนื้อ อย่างที่เราได้กล่าวกันอยู่เสมอๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าว่า ขอบูชาด้วยร่างกายและชีวิตนี้ ในบททำวัตรเย็น เป็นต้น พอถึงวันอย่างนี้ก็ควรจะทำให้มากเป็นพิเศษยิ่งกว่าวันใด ดังนั้นจึงได้ชักชวนพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีการเสียสละในวันนี้มากเป็นพิเศษ เกี่ยวกับเรื่องกินและเรื่องนอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้คนโง่ ใครไปหลงในเรื่องกินเรื่องนอน คนนั้นจะโง่ ยิ่งหลงมากเท่าไหร่จะยิ่งโง่มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเป็นการถูกต้องแล้วที่จะต่อสู้กับเรื่องนี้ ที่จะบรรเทาความเห็นแก่เรื่องกินเรื่องนอนนี้เสียให้มากที่สุด แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า ใช้การเสียสละนั้นเป็นเครื่องบูชาแก่วัตถุสูงสุด คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดังที่กล่าวแล้ว
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องปฏิบัติโดยตรง เช่นวันนี้จะต้องทำให้ดีที่สุดในเรื่องศีล ในเรื่องสมาธิ ในเรื่องปัญญา รักษาศีลสุดความสามารถ เช่น อุโบสถศีล ทุกอย่างทุกประการที่เราจะต้องเสียสละเป็นพิเศษ เช่น ไม่กินอาหารตอนเย็น จะต้องนอนกับพื้นกระดาน หรือบนเสื่อสาดที่แข็งกระด้าง ยังจะต้องเว้นสิ่งที่เคยตามใจตัวอย่างอื่น นี้ก็เป็นทำให้เต็มในส่วนศีล สำหรับส่วนสมาธินั้น จะต้องทำจิตใจให้สงบให้มากที่สุด เช่น อย่างน้อยที่สุดก็ระลึกนึกถึงแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นอารมณ์ นี้ก็เป็นสมาธิด้วย และเป็นการตอบแทนพระคุณ กตัญญูกตเวทีแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย จะเป็นความเพียรเป็นอะไรอีกมากๆ มายหลายอย่าง ซึ่งสงเคราะห์เป็นสมาธิ สำหรับเรื่องปัญญาหรือวิปัสสนานั้น ก็ควร เราก็ควรจะใช้เวลาเช่นวันนี้ เป็นวันสำหรับพิจารณา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็นหัวใจแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ ที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายอย่างยิ่งว่า สาวกทั้งหลายจะได้ประพฤติปฏิบัติในข้อนี้ เพื่อดับทุกข์ได้สิ้นเชิง เราก็เอามาพิจารณาใคร่ครวญกันเป็นพิเศษเช่นในวันนี้ พูดกันก็พูดกันแต่เรื่องนี้ ศึกษากันก็ศึกษากันแต่เรื่องนี้ ทำการพิจารณาก็พิจารณากันแต่เรื่องนี้ ชักชวนผู้อื่นให้กระทำแต่เรื่องนี้ นี้ก็เรียกว่าบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญามากเป็นพิเศษในวันนี้ นี้เป็นปฏิบัติบูชาอย่างสูงสุดในวันเช่นวันนี้ จึงได้ขอร้องท่านทั้งหลายเป็นพิเศษ ให้มีความสนใจ อย่าได้ไปเห็นแก่เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องสนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้นเลย จงทำในใจว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ ในตอนเที่ยงของวันนี้ พระอรหันต์ตั้ง ๑,๒๕๐ องค์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นั่งประชุมกันอยู่ในสวนไผ่ สวนป่าไผ่ใกล้เมืองราชคฤห์ ท่านทำอะไร เราลองแอบไปดู สมมติว่าเราจะลองแอบไปดู เราค่อยย่องๆ เข้าไปที่ริมป่า แล้วแอบดูว่าท่านทำอะไรแล้วเราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราคงจะรู้สึกพอใจและตื่นเต้นจนลืมหิว ลืมกลัว ลืมอะไรหมดทุกอย่าง แล้วนั่งดูอยู่ด้วยความพอใจ จนหามรุ่งหามค่ำก็ยังจะทำได้ ฉะนั้น ดังนั้นขอให้เรานึกอย่างนี้ ว่าเราจะเฝ้าดูพระอรหันต์ทั้งหลาย แล้วเอาการนั่งเฝ้าดูเป็นการบูชาพร้อมกันไปในตัว แต่ในเวลานี้เราก็ไม่ต้องนั่งดูเปล่า เรานั่งทำจิตทำใจไปตามคำสั่งสอนของท่านด้วย จึงจะเป็นการดู นั่งดูท่านอย่างแท้จริง คือดูในจิตใจของท่านย่อมดีกว่าดูที่เนื้อที่ตัวของท่าน เมื่อจะดูที่จิตใจของท่าน ก็ต้องพิจารณาธรรมะอย่างเดียวกันกับที่มีอยู่ในจิตใจของท่าน ฉะนั้นจงนั่งพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น ก็เป็นการดูถึงจิตใจของท่าน เลยเป็นการนั่งดูพระอรหันต์ที่ประชุมกันอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าที่จะนั่งดูเพียงตัวร่างกายของท่าน แล้วเราก็เสียสละด้วยวิธีที่กล่าวแล้ว ไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอนเป็นการบูชาอย่างนี้ คงจะดีกว่าการนั่งดูเขาเล่นไพ่จนสว่าง หรือนั่งดูเขาปฏิบัติพยาบาลคนเจ็บคนไข้จนสว่างเป็นต้น เป็นแน่ ถ้าเห็นด้วยก็จงเตรียมกระทำให้สุดความสามารถของตน การแสดงธรรมที่นี่ในวันนี้ เป็นเพียงการบอกล่วงหน้า ให้เตรียมตัวสำหรับจะทำอย่างไร ในตอนบ่ายและตอนค่ำสืบไปเท่านั้น ผู้ที่จะรักษาอุโบสถ แม้ไม่ได้สมาทานมาตั้งแต่เช้าก็ยังทำได้อยู่นั่นเอง ไปฉันเพลแล้ว กินอาหารเที่ยงแล้ว ก็เว้นเสียด้วยการอธิษฐานจิตว่าตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปเราจะทำวันนี้ให้เป็นอุโบสถเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ก็ยังเป็นการทำได้ แล้วเป็นวันอุโบสถได้ เหมือนกับบุคคลที่เขาสมาทานกันมาตั้งแต่เมื่อเช้าหรือนึกไว้ตั้งแต่เมื่อวาน อย่าได้ไปสงสัยว่าเราจะมาสมาทานเอาเดี๋ยวนี้จะเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าตั้งแต่เช้ามาเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้ผิดศีลผิดธรรม เดี๋ยวนี้เราก็ทำต่อไปให้ครบวัน แม้ว่าจะถือว่าแหว่งเว้าอยู่บ้างส่วนที่ยังไม่แหว่งไม่เว้ามันยังมีมากกว่า ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอยู่นั่นเอง จึงขอให้พยายามดูเถิด จะได้ความฉลาดขึ้นมาเป็นอันมาก อย่างน้อยที่สุดก็จะหายโง่ ในข้อที่ว่าไม่ได้กินอาหารมื้อเดียวนั้นหาถึงกับเป็นลมไม่ ถ้าหากว่ามีพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์อยู่ในจิตใจ ก็จะช่วยคุ้มครองให้เป็นอย่างดี หรือถ้ายิ่งกว่านั้นกล้าคิดว่า ถ้ามันตายลงไปเพราะเหตุนี้ มันก็ดีกว่าตายด้วยเหตุอื่น ดังนั้นจึงเป็นการแน่นอนว่าการทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราจะเตรียมต่อไปจนถึงกับว่า ตอนบ่ายนี้ เราจะไปทำพิธีมาฆบูชาให้เป็นชิ้นเป็นอันที่บนภูเขา เราจะทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้มากเป็นพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก จะมีการแสดง การบูชา ให้ครบทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ในทางร่างกายนี้เราบูชาด้วยวัตถุธูปเทียนดอกไม้แล้ว เรายังจะเดินเวียนประทักษิณ ๓ รอบ หรือกี่รอบก็แล้วแต่ใจสมัคร ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเป็นการบูชา รวมกันแล้วเป็นการบูชาทางกายนี้อย่างหนึ่ง แล้วเราจะทำการบูชาด้วยวาจาคือ เปล่งวาจาเป็นการบูชา และเราจะสวดมนต์ภาวนาเท่าที่ปากของเราจะสวดได้ เป็นการสาธยายพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และถ้อยคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้อย่างไร ในการที่จะดับทุกข์แห่งตนแห่งตน นี้ก็จะร้องออกมาทางวาจา รวมกันแล้วเป็นการบูชาทางวาจา แล้วเราก็จะบูชาด้วยจิตใจ คือในวันนี้เราจะไม่นึกถึงสิ่งไรหมด ใครจะอยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไรทรัพย์สมบัติพัสถานอยู่ข้างหลัง จะเป็นอย่างไร หรืออะไรๆ จะเป็นอย่างไร เราจะไม่สนใจ เราจะเอาจิตใจมาสนใจอยู่แต่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขและแสดงพระธรรม และมีข้อความว่าอย่างไร จะเอามาทำในใจพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนด้วยจิตใจ รวมกันแล้วนี้เป็นการบูชาด้วยใจ รวมกันหมดก็เป็นการบูชาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้ง ๓ ประการ ล้วนแต่เป็นการเสียสละทั้งนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อยทั้งนั้น จะต้องตั้งใจทำด้วยจิตที่เข้มแข็งด้วยกำลังกายกำลังวาจาเท่าที่เราจะทำได้ ให้เป็นการบูชาอย่างพิเศษยิ่งกว่าวันธรรมดา ดังที่ได้กล่าวแล้ว และเราจะกระทำให้มากให้นานเท่าที่เราจะทำได้และถ้ามีการอำนวยให้ทำได้ มีร่างกายสบายดี ไม่มีสิ่งผูกพันแล้ว เราจะทำไปจนรุ่งสว่างทีเดียว ผู้ที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์เจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะทำให้สุดความสามารถของผู้เจ็บไข้ได้ป่วย แม้ไม่ตลอดวันตลอดคืนก็ให้มากเท่าที่จะมากได้ อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นอย่าได้ไปห่วงเรื่องอื่นๆเลย โรงครัวปิดเสียก็ได้ในตอนเย็นตอนค่ำ เพราะว่ามีผู้ที่จะอุทิศบูชาคุณ สมกับที่ตนเป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คนที่เห็นแก่กิน แก่ปาก แก่ท้องนั้นไม่มีความหมายอะไรนัก สนใจคนที่จะเสียสละบูชาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันดีกว่า ตนเองก็ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น ผู้อื่นก็ไม่เป็นภาระแก่ตนเอง แล้วก็ทำการบูชาอย่างสูงสุด นี่จะเป็นการกระทำที่ก้าวหน้า คือไม่ซ้ำรอย ไม่ซ้ำซาก เหมือนที่แล้วๆ มา ทำกันมากี่ปีกี่สิบปีก็มัวแต่ซ้ำซากอยู่อย่างนั้นเพราะความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นควรจะเสียสละความเห็นแก่ตัวกันเสียบ้าง แล้วพยายามก้าวหน้าสูงขึ้นไปในทางธรรม ทั้งทางกาย ทางวาจาและทางจิตใจ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ช่วยกันสืบอายุพระศาสนา เมื่อพูดถึงการสืบอายุพระศาสนา คนบางคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่บางคนเข้าใจ ดังนั้นจะต้องพูดสำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจ ว่าการสืบอายุพระศาสนานั้น เป็นการกระทำของบุคคลที่รู้บุญคุณของผู้อื่น คือไม่ใช่คนเนรคุณ คนที่เนรคุณคนนั้นจะไม่สืบอายุพระศาสนา เพราะเขาไม่รู้สึกว่าจะต้องทำเช่นนั้น แต่ถ้าผู้ที่มีสติปัญญาและมีนิสัยแห่งกตัญญูกตเวทิตาแล้ว ก็จะนึกได้ว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุณแก่เราอย่างมหาศาลจนพรรณนาไม่ได้ คือได้ทรงประทานสิ่งที่ประเสริฐที่สุดให้แก่เรา เพื่อเราจะได้รู้วิธีดับความทุกข์แห่งตนได้ ถ้าไม่อาศัยพระพุทธเจ้าแล้ว มันยากที่เราจะรู้เอาเอง หรือเราอาจจะไม่รู้เลยเป็นอันขาด ไม่รู้เลยโดยเด็ดขาด นี้พระพุทธเจ้ามีบุญคุณแก่เรา ประทานสิ่งที่ประเสริฐที่สุดให้แก่เรา แล้วพระองค์ไม่เรียกร้องเอาอะไร ให้เปล่า แต่ทรงหวังว่าสาวกทั้งหลายจะช่วยกันสืบอายุพระศาสนา คือคำสอนหรือพระศาสนาของพระองค์ยังคงมีอยู่ อย่าให้สิ้นสุดลงไปเสียเพื่อคนข้างหลังจะพลอยได้รับ พระองค์ทรงหวังแต่เพียงเท่านี้ ไม่ได้เรียกร้องเอาเงินเอาทองอะไร นิพพานเป็นของให้เปล่า มรรคผลเป็นของให้เปล่า แต่คนเมาบุญนั้นไปบ้าบุญ ทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัวแล้วไม่ได้อะไร อย่างนี้จะไปโทษพระพุทธเจ้าไม่ได้ มรรคผลนิพพานของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เป็นของให้เปล่า จากที่เราได้ยินได้ฟังในบทสวดมนต์อยู่เสมอๆ ว่าลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ แม้แต่คำสอนของพระเยซูในศาสนาคริสเตียนก็ยังจะว่าอย่างนั้น คือน้ำแห่งชีวิตนิรันดรนั้นเราให้แก่เขาเปล่าโดยไม่คิดค่าอะไร นี้มีความหมายอย่างเดียวกันแท้ ว่าธรรมะที่แท้จริงที่ดับทุกข์ได้ถึงที่สุดนั้น ไม่ต้องซื้อต้องหาไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทองเพราะเป็นของให้เปล่า แต่ว่าพระศาสดาทั้งหลายไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ ล้วนแต่หวังอย่างยิ่งว่าสาวกทั้งหลายจะช่วยกันสืบสิ่งนี้ไว้ให้เป็นประโยชน์แก่คนชั้นหลัง ดังนั้นถ้าเราเป็นคนกตัญญูกตเวที เราก็ต้องทำอย่างนั้น คือช่วยกันสืบอายุพระศาสนา สำหรับคำว่าสืบอายุพระศาสนานี้ มีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน คือต้องเรียนให้รู้ แล้วต้องปฏิบัติให้ได้ แล้วต้องสอนกันต่อๆ ไป เราต้องเรียนให้รู้ เราต้องปฏิบัติให้ได้ผล แล้วเราก็สอนกันต่อๆ ไป ทำ ๓ อย่างนี้เรียกว่าสืบอายุพระศาสนา เดี๋ยวนี้เราจะต้องปฏิบัติให้ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันมาฆบูชา เราจะต้องมีการปฏิบัติเป็นพิเศษ ในวันนี้เราก็มีการเรียนบ้างเหมือนกัน คือฟังเทศน์บ้าง พูดกันบ้าง สนทนากันบ้าง ศึกษากันบ้างในตัวศาสนา แล้วเราก็ปฏิบัติศาสนา แล้วเราก็มีการสอน แต่ส่วนสำคัญนั้นมันอยู่ที่การปฏิบัติ มีแต่ความรู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อปฏิบัติยังไม่ได้ก็ไปสอนคนอื่นไม่ได้ ฉะนั้นจึงอยู่ที่การปฏิบัติ ฉะนั้นจงเสียสละทุกอย่างทุกทาง เพื่อทำให้ดีที่สุดในวันนี้ ลืมเสียว่าวันนี้เราเป็นคนอื่นแล้ว ไม่ใช่เป็นคนเหมือนกับวันอื่นๆ วันนี้เราเกิดเป็นคนใหม่เป็นคนพิเศษ มีหน้าที่ของเราเป็นพิเศษ มีทำอะไรเป็นพิเศษ เราจึงลืมวันอื่นๆ เสีย มีอยู่แต่วันนี้ว่าจะต้องทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเท่านั้น นี่จึงจะเป็นการทำหรือปฏิบัติที่มากเป็นพิเศษ เป็นการสืบอายุพระศาสนาในวันนี้ เป็นการบูชาอย่างสูงสุดในวันนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้คิดดูอย่างนี้ด้วยกันทุกคน เพื่อสืบอายุพระศาสนา สนองพระคุณของสมเด็จพระบรมศาสดา อย่าเป็นคนทำไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องนี้ จะกลายเป็นคนเนรคุณ ที่ไม่รู้คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปโดยไม่รู้สึกตัว จะเป็นการเล่นตลกไป อย่างไม่มีความหมายอะไร ในการที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท เป็นภิกษุ เป็นสามเณร เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงแล้ว ก็ทำหน้าที่ของพุทธบริษัทให้สมบูรณ์เถิด เพราะเหตุดังกล่าวมานี้เองจึงได้มีการทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้ในวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านทั้งหลายที่มาจากที่ไกล ยิ่งเสียสละมาก เพราะต้องเหนื่อยมาก ต้องเปลืองมาก เพราะฉะนั้นก็จงกระทำอย่าให้ความเหนื่อยความเปลืองของท่านทั้งหลาย เป็นหมันไปเสียเลย จงกระทำในลักษณะที่ให้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นปฏิบัติบูชาไปให้หมด อย่าให้ความเหนื่อยและความเปลืองนั้น เป็นเพียงการเที่ยวทัศนาจรเลย มันได้ผลน้อยเกินไป ไม่คุ้มกันก็ได้ แต่ถ้าว่าได้กระทำให้เป็นการขูดเกลากิเลสของตนที่เรียกว่าเป็น การธุดงค์ มีความเหน็ดเหนื่อยลำบากสิ้นเปลืองอะไรต่างๆ นาๆ แต่ว่าทุกสิ่งนั้นมันเป็นการขูดเกลากิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ของตน สมกันทีเดียว อย่างนี้เป็นการได้กำไรอย่างยิ่ง คือได้ธรรมะเป็นกำไร ได้ปฏิบัติบูชา ได้สนองพระคุณพระศาสดา และได้อะไรต่างๆ มากมายที่เป็นไปในทางธรรม แหละต้องเสียสละความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายกันบ้าง ผลในทางธรรมะจึงจะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ เพราะเหตุฉะนั้นจึงได้กล่าวว่าในวันนี้ อย่าได้นึกถึงเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู เป็นต้นเลย จงได้นึกถึงแต่การเสียสละ เพื่อจะบูชาพระคุณของพระรัตนตรัย ด้วยเลือดเนื้อชีวิตร่างกายกันให้เต็มตามความหมายของบทที่ปฏิญญาตนอยู่กันเป็นประจำทุกคนๆ วันนี้ของเราจึงจะเป็นวันพิเศษ ที่แห่งอื่นที่วัดอื่นที่เมืองอื่นเขาจะทำกันอย่างไร เราไม่ต้องไปนึกถึง เรานึกถึงแต่ว่าที่นี่ เราจะทำอย่างไร ให้สุดความสามารถของเรา และให้เต็มตามที่สถานที่และโอกาสอำนวยให้แก่เราว่าเราจะทำได้มากอย่างไร เราจะถือเอาโอกาสนี้เพื่อให้เกิดผลเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งว่า เราจะเป็นอยู่ให้เหมือนพระอรหันต์ แล้วเราก็จะรู้จักจิตใจของพระอรหันต์ได้ดี ข้อนี้เป็นหลักทั่วไปว่า ถ้าเราอยากจะรู้ถึงจิตใจของผู้ใด เราจงเป็นอยู่ให้เหมือนกับผู้นั้นเสียก่อน แล้วเราก็จะรู้จิตใจของผู้นั้นได้ง่ายเข้า เราอยากจะรู้ถึงธรรมะ ถึงจิตใจของพระพุทธเจ้า หรือของพระอรหันต์ เราก็จงเป็นอยู่คล้ายพระอรหันต์ ให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ เรารู้ว่าท่านกิน ท่านนอน ท่านเดิน ท่านยืน ท่านทำอะไรอย่างไร เราจงพยายามกระทำอย่างนั้น มีการเป็นอยู่ให้เหมือนท่านเสียก่อน แล้วความคิดที่จะเกิดขึ้นมาเหมือนกับที่ท่านคิดก็จะเกิดขึ้นมาเองโดยง่าย ใน บทปัจจเวกขณ์อุโบสถ นั้นก็มีอยู่แล้วว่าเราทำตามพระอรหันต์ตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ ด้วยองค์แห่งอุโบสถ ๘ ประการนั้น การที่เราทำอย่างนั้นเรียกว่าเราเป็นอยู่เหมือนพระอรหันต์ เราปรับปรุง กาย วาจา ใจของเรา ให้อนุโลมตามกาย วาจา ใจของพระอรหันต์ ดังนั้นความคิดอย่างเดียวกันกับที่เกิดอยู่ในจิตใจของพระอรหันต์ ก็ย่อมมาเกิดในจิตใจของเราได้โดยง่าย เราจึงถือโอกาสในวันเช่นวันนี้ ทำการเป็นอยู่ให้เหมือนการเป็นอยู่ของพระอรหันต์อนุโลมกันได้กับการเป็นอยู่ของพระอรหันต์ เราก็ได้รับกำไรเป็นพิเศษในข้อที่จะรู้จักจิตใจของพระอรหันต์ได้โดยง่าย เราถือโอกาสทำพร้อมกันไปในตัว เพื่อเป็นการบูชาคุณของพระพุทธองค์ด้วย เพื่อเป็นการตอบสนองพระเดชพระคุณด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธองค์ด้วย และเพื่อจะได้รู้สึกในทางจิตทางใจเหมือนกับที่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านได้รู้สึกด้วย
รวมความแล้วก็เป็นอันว่า การทำมาฆบูชาของเราได้เป็นไปดี เป็นการได้ที่ดี สมตามที่เราถือว่าเป็นวันสูงสุดในพระพุทธศาสนา หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะได้เตรียมเนื้อเตรียมตน สำหรับทำมาฆบูชา ให้สุดความสามารถของตนของตน ตามที่ตนได้ตั้งใจและมุ่งหน้ามาด้วยการเสียสละอย่างใหญ่หลวง จงทุกๆ คนเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการละฉะนี้
เสียงโยมสวดมนต์ จาก 57.35-1.00.24 ชั่วโมง
วันนี้ไม่ต้องมียถา เพราะเรื่องยังไม่จบ ไปให้ยถาตอนเมื่อปิดท้าย เลิกประชุมกลับไป จัดการเรื่องอาหาร เรื่องอะไรให้เรียบร้อย แล้วบ่ายสองโมงครึ่งขึ้นไปบนภูเขา( 1.00.59 ชั่วโมง)