แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนิสิต เอ่อ, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมา เอ่อ, รู้สึกว่าผิดจากที่ตั้งใจมา ทั้งที่เมื่อได้รับอาราธนามานั้น คิดว่ามาพูดกันในที่เฉพาะหน้าบรรดานิสิต เอ่อ, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้คิดนึกถึงเรื่องที่ควรจะพูด เอ่อ, เฉพาะแต่นิสิตซึ่งเป็นสพรหมจารีเป็นส่วนใหญ่ บัดนี้มากลายเป็นว่ามีท่านสาธุชนที่เป็นคฤหัสถ์มากมาย ดังนั้นขอได้ถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องมีอะไร เอ่อ, ลำบากบ้าง คือว่าจะต้องพูดเพื่อคนสองฝ่ายร่วมกันอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ถือเอานี่ประโยชน์ ให้เลือกถือเอาประโยชน์ ตามแต่ที่จะถือเอาได้อย่างไรก็แล้วกัน
ไอ้เรื่องที่จะกล่าวนี้ เอ่อ, ก็เป็นเรื่องที่อาจจะใช้ได้ทั่วไป เป็นความรู้ทั่วไป ตั้งแต่นิสิตที่เป็นบรรพชิตและท่านที่สาธุชนที่เป็น เอ่อ, คฤหัสถ์ทั้งหลาย ถ้ายิ่งกว่านั้นก็เป็นเรื่องกินเนื่องกันกับการทอดผ้าป่า ดังนั้นดูจะเป็น เอ่อ, เรื่องเทศน์อานิสงส์ผ้าป่าไปในตัว เอ่อ, ส่วนหนึ่ง และก็ยังรู้สึกว่า อาตมาก็ได้มีโอกาสร่วมการกุศลนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยตรงด้วย ดังนั้นไอ้การที่ได้ทำอะไรไปที่นี่ ก็เป็น เอ่อ, การได้ร่วมการกุศล เอ่อ, ผ้าป่า ด้วยเรี่ยวด้วยแรง นอกจากนั้นก็เป็นการพูดเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงาน เอ่อ, ในอนาคตของนิสิตทั้งหลายด้วย ๓ เรื่อง ๓ ความหมายพร้อม ๆ กันไปในตัว
อีกประการหนึ่ง ถ้าหากว่าจะมีการพูดยาวไปบ้างก็ได้โปรดให้อภัย เพราะว่าเป็นการยากที่จะได้มาพูดอีกก็ได้ เนื่องจากความแก่ชรา สังขารร่างกายไม่ค่อยจะอำนวย และอีกอย่างหนึ่งก็รู้สึกว่า มีอะไรที่ควรจะพูดก็ต้องพยายามพูด ในฐานะที่ว่าเราทุกคน เอ่อ, เป็นผู้มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต คือในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต เราย่อมมีความรับผิดชอบร่วมกันในการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เอ่อ, เพื่อพระศาสนา อย่างที่เขาเรียกกันว่าจรรโลงพระพุทธศาสนา
เราจะต้องนึกถึงข้อที่ว่า พระบรมศาสดาได้ทรงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พุทธบริษัท ๔ จะช่วยกันสืบอายุพระศาสนา คือหมายความว่าทำให้พระพุทธศาสนายังคงมีอยู่ในโลก เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้นั่นเอง เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำ เอ่อ, พระพุทธศาสนา หรือถ้าจะเรียกสั้น ๆ ก็คือ พระธรรม ให้เข้าถึง เอ่อ, จิตใจ เอ่อ, ของมนุษย์ตามลำดับยุค
เรามีหน้าที่ร่วมกัน เอ่อ, ที่จะใช้พระธรรมให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และพระธรรมนั้นจะต้องถูกใช้ไปในลักษณะที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้ถูกใช้ไปในลักษณะเป็นเครื่องมือสำหรับถกเถียงกัน หรือทะเลาะวิวาทกัน หรือแตกสามัคคีกันด้วยการใช้ธรรมะนั้นเป็นเครื่องมือ มันก็จะน่าหัว เอ่อ, เหมือนกับว่า ธรรมะนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเปรียบเหมือนกับแพสำหรับข้ามฟาก แต่เราไม่ใช้แพสำหรับข้ามฟาก เราใช้ เอ่อ, เพียงเอาไม้ไผ่ลำหนึ่ง ๆ มาประกวดกัน ด้วยความสวยความงามของมัน ความประหลาดของมัน และไป ๆ มา ๆ ในที่สุดใช้ลำไม้ไผ่นั้นฟาดกันและกัน ในเมื่อเกิด เอ่อ, เผลอขัดใจขึ้นมาอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องน่าหัว
ดังนั้นเราจะต้องนึกถึงข้อที่ว่า ธรรมะนี้เหมือนพ่วงแพ เพราะว่าลงที่พระสูตรเลย เอ่อ, มีข้อความกล่าวไว้อย่างนั้น เราจึงทำหน้าที่ เอ่อ, เหมือนกับว่าสร้างเรือสร้างแพ แล้วช่วยกันให้ได้ข้ามด้วยเรือด้วยแพ จากฟากแห่งความทุกข์ เอ่อ, ไปสู่ฟากแห่งความดับทุกข์ ด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทีนี้เราจะต้องนึกต่อไปว่า เอ่อ, หน้าที่สำหรับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยเฉพาะนั้น เป็นดังค่ายมั่นเป็นที่มั่นสำหรับกิจการอันนี้ เพื่อประโยชน์แก่โลก เอ่อ, ในยุคที่โลกกำลังมีวิกฤตการณ์
เราไม่ต้องพูดมากในเรื่องวิกฤตการณ์ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าโลกกำลังมีวิกฤตการณ์และค่อนข้างเป็นการถาวร อ่า, แทนที่จะมีสันติภาพถาวรกลายเป็นมีวิกฤตการณ์ถาวร นี่พุทธบริษัทก็อยู่ในโลกกับเขาด้วยเหมือนกัน อ่า, มีหน้าที่ ๆ จะต้องช่วยกัน เอ่อ, แก้ไขเหตุร้ายอันนี้ นี่สถาบันอย่างมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็เป็นที่มั่นอันหนึ่ง นี้จึงมีหน้าที่ ๆ จะต้องปรับทำตนเป็นแสงสว่าง เป็นเครื่องอำนวย เอ่อ, ทุกอย่างทุกประการ ที่จะให้โลกนี้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์อันถาวรไปได้ ตามมากตามน้อย ตามสัดตามส่วน
แล้วน่านึกอย่างยิ่งที่ว่า ตรงนี้ได้ทราบว่าเขาเรียกกันว่า ลานอโศก เป็นชื่อที่ เอ่อ, ทั้งเพราะ ทั้งไพเราะ ทั้งมีความหมาย คำว่าอโศกนั้นหมายถึงนิพพาน เมื่อไม่มีความโศกหมายถึงนิพพาน คำว่าอโศกเป็นไวพจน์ของนิพพานได้ และยิ่งกว่านั้นก็ยังได้ทราบว่า ในวัดมหาธาตุนี้ เอ่อ, เคยมีวัดเรียกว่าวัดนิพพานารามเล็ก ๆ รวมอยู่ในเขตนี้ด้วยเหมือนกัน และแม้คำว่ามหาธาตุเองก็ ๆ มีความหมายพิเศษ ไม่ควรจะเข้าใจไปแต่เพียงว่าเป็น เอ่อ, พระสารีริกธาตุ คนจะเสียความหมายของคำว่ามหาธาตุ เอ่อ, คือธาตุที่ใหญ่หลวง ธา-ตุ ธาตุที่ใหญ่หลวง ดังนั้นธาตุที่ใหญ่หลวงก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านิพพานธาตุ
นั้นมันจึงมีเรื่องที่ เอ่อ, ควรจะคิดนึกกันมากในความหมายของคำว่า ลานอโศกก็ดี วัดมหาธาตุก็ดี วัดนิพพานารามซึ่งรวมอยู่ในวัดนี้ก็ดี ล้วนแต่มีความหมาย เอ่อ, ลึกซึ้งไพเราะสูงสุด ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะถือเอาเป็นอุดมคติ นี่แปลว่าเรากำลังนั่งกันอยู่ใน เอ่อ, สถานที่ พื้นที่ ที่มีความหมายมาก เราจึงควรจะช่วยกันทุกอย่างทุกประการที่จะทำให้ความหมายนี้สมบูรณ์ เช่นอย่างน้อย เอ่อ, ลานอโศกนี้ จะต้องเป็นลานสำหรับอโศก อย่าให้มีเรื่องโศก หรือเรื่องโศกนาฏกรรม หรืออะไรทำนองนั้น มันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัว ความหมายของคำว่าอโศกหรือนิพพาน ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่อย่างนี้
ทีนี้สำหรับใจความของเรื่องที่อยากจะกล่าวก็คือ ข้อเบ็ดเตล็ดต่างๆ เท่าที่นึกได้ว่าควรจะนำมากล่าว แต่ว่าหนักไปในทางที่จะ เอ่อ, ใช้ไปในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะได้กล่าวแล้วว่าเป็นความประสงค์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยนิสิตทั้งหลายเป็นผู้ขอร้อง เราจึงนึกถึงหน้าที่ของนิสิตเหล่านี้กัน เอ่อ, เป็นพิเศษ หัวข้อที่จะพูดจึงมีว่า ปัญหาสำคัญบางประการ เอ่อ, เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปัญหาสำคัญ เอ่อ, บางประการเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะมีอะไรบ้างก็ได้ เอ่อ, ขอได้โปรดลองฟัง เอ่อ, แล้วยิ่งเพื่อจะช่วยคิดกันทุกคน เอ่อ, ร่วมมือกันทำ
ปัญหาข้อแรกที่เราเผยแผ่ธรรมะหรือพุทธศาสนากันไม่ค่อยจะเป็นผล ไม่เป็นผลดีตามที่เราต้องการนั้นน่ะ ข้อแรกจะต้องนึกถึงข้อที่ว่า มนุษย์ทุกวันนี้ไม่นิยมเลื่อนชั้นให้แก่ตัวเองในทางวิญญาณ มนุษย์ในทุกวันนี้ไม่นิยมเลื่อนชั้นให้แก่ตัวเองในทางวิญญาณ คำว่าเลื่อนชั้นหมายถึงอะไร เอ่อ, ก็พอจะเข้าใจกันได้ แต่คำว่าทางวิญญาณนี้อาจจะประหลาดหรือแปลกหูสำหรับบางท่านก็ได้
มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งโดยที่ไม่ ๆ ๆ ทราบว่าจะใช้คำว่าอะไรดี เอ่อ, ที่ต้องใช้คำว่าทางวิญญาณนี่ มันหมายความถึงสภาพที่ละเอียด ที่ประณีต ที่สูงขึ้นไป แม้ว่าเรามีจะมีความสุขกายสุขใจ เอ่อ, แต่เราอาจจะไม่มีความสุขทางวิญญาณก็ได้ เหมือนอย่างว่าร่างกายก็สบายดี เอ่อ, จิตใจก็ปกติดี ไม่ต้องไปโรงพยาบาลที่ปากคลองสาน มีสุขภาพทั้งทางกายทาง คิดอย่างนี้ก็ได้ แต่ทางวิญญาณนั้นยังมีปัญหา ก็ยังต้องร้องไห้ ยังต้องทุกข์ทนหม่นหมองกันอยู่ แม้จะเป็นคนมั่งมี เอ่อ, สบายแข็งแรงมีอำนาจวาสนา เอ่อ, ก็ยังมีไฟอยู่หลาย ๆ กองในวันหนึ่งในจิตใจ นี้เรียกว่าสภาพทางวิญญาณ เอ่อ, ยังตกต่ำ
นี่คำว่าวิญญาณยังหมายความอย่างนี้ เพราะพวกเราเริ่มจะสนใจคำว่าวิญญาณหรือทางวิญญาณกันขึ้นบ้างแล้ว ที่จริงมันก็ไม่ควรจะมีคำนี้ ถ้าถือด้านบาลีก็มีแต่เรื่องทาง เอ่อ, กายหรือทางจิต แต่เดี๋ยวนี้ในภาษาไทย เราเอาคำว่าทางจิตนี่ไปใช้ต่ำเกินไป จนหมายก็ทางจิตที่เนื่องอยู่กัน ๆ อยู่กับกาย เช่นพูดว่าโรคกาย โรคจิต เอ่อ, โรคจิตก็กลายเป็นโรคจิตที่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิตเสีย
แต่โรคจิตในภาษา ใน ๆ ๆ ภาษาบาลีในพระคัมภีร์นั้น หมายถึงโรคทางวิญญาณ คือโรคโลภะ โทสะ โมหะ เอ่อ, กิเลสที่รบกวน เอ่อ, คนให้มีความทุกข์ทนหม่นหมองนี้ ท่านเรียกว่าโรคทางจิต แต่เดี๋ยวนี้เอาโรค คำว่าโรคทางจิตไปใช้เรียก เอ่อ, โรคต่ำลงมาอย่างที่ต้องไปที่โรงพยาบาล เอ่อ, สมเด็จเจ้าพระยาอย่างนี้เป็นต้น มันก็ยังเหลือโรคทางวิญญาณอยู่ เราจึงใช้คำว่าทางวิญญาณกันเพื่อให้รัดกุม
ฝรั่งเขา เอ่อ, ใช้คำนี้กันแพร่หลาย แต่ว่า Spiritual เอ่อ, Spiritual เอ่อ, Happiness อันนี้หมายความว่าความสุขทางฝ่ายวิญญาณ หมายถึงการได้เข้าถึงพระเป็นเจ้าอย่างนี้เป็นต้น เอ่อ, Spiritual Endeavor คือความพากเพียรพยายามทางวิญญาณ ก็หมายความว่าต้องการจะยกวิญญาณของตนให้สูงขึ้นไป เอ่อ, หรือความเป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า เอ่อ, แต่ว่าทางวิญญาณหรือ Spiritual นั้นแพร่หลายมาก เอ่อ, ใน ๆ หมู่ชนเหล่านั้น แม้ที่เป็นคริสเตียน แต่เรายังพูดถึงกันน้อย เพราะฉะนั้นอาจจะมีสักวันหนึ่งซึ่งเราจะต้องได้รับความรู้สึกว่า เอ่อ, ยังด้อยยังน้อยหน้า
ลองคิดดูให้ดีจะเห็นได้ว่า การที่เราเป็นมนุษย์กันนี้ ถ้าเป็นมนุษย์กันจริง ๆ นี่ นั้นเป็นเรื่องทางวิญญาณไม่ใช่เรื่องทางกาย มันไม่ได้เป็นมนุษย์เพราะว่าร่างกายเกิดมาเป็นคน แต่เป็นมนุษย์เพราะมีจิตใจสูง มีวิญญาณสูง คือประกอบไปด้วยธรรม นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่ามนุษย์ การเป็นมนุษย์จึงเป็นตามทางวิญญาณไม่ใช่ทางร่างกาย เพราะว่าทางร่างกายนั้น ใคร ๆ เกิดมาก็เป็นคน มี ๆ รูปร่างอย่างคนด้วยกันทั้งนั้น แต่แล้วยังไม่แน่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือไม่ เอ่อ, เพราะว่าใจยังไม่สูงอย่างนี้เป็นต้น
เราเข้าใจความทุกข์ทางวิญญาณกันให้ดี แล้วเราก็จะ เอ่อ, เข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายและแก้ปัญหาเรื่องนี้ลุล่วงไปได้ คือไปนึกถึงข้อที่ว่า คนสบายทางกาย ร่ำรวยมีชื่อเสียงมีอำนาจวาสนา แต่วิญญาณยังเป็นโรค มีความทุกข์ทนหม่นหมอง ต้องทุกข์ ต้องโศก ต้องร้องไห้ ต้องฆ่าตัวตายกันอย่างนี้ นี่เพราะเป็นโรคทางวิญญาณ
ทีนี้ที่ว่ามนุษย์ทุกวันนี้ไม่นิยมเลื่อนชั้นในทางวิญญาณ ก็หมายความว่า เพราะไปหลงใหลในเรื่องทางวัตถุ เพลิดเพลินในเรื่องทางวัตถุ จนไม่ได้สนใจในเรื่องทางวิญญาณเลย ไม่รู้ว่ามีอยู่ ไม่รู้ว่ามีปัญหาทางนี้อยู่ จึงไม่ได้สนใจที่จะเลื่อนชั้นตัวเองในทางวิญญาณ นี่เพื่อการเข้าใจง่ายเกี่ยวกับการเลื่อนชั้น ก็อยากจะขอให้เรา เอ่อ, ย้อนระลึกไปถึงคำสอนหรือคำแนะนำ เอ่อ, ที่โบราณที่สุดก่อนพระพุทธเจ้า กระทั่งในยุคพระพุทธเจ้า และใช้ได้แม้กระทั่งบัดนี้ คือข้อความในมนูธรรมศาสตร์ที่ได้กล่าวว่า บุคคล เอ่อ, มีอยู่ ๔อาศรม
บุคคลมีอยู่ ๔ อาศรม อาศรมที่ ๑ คือพรหมจารี อาที่ อาศรมที่ ๒ คือคฤหัสถ์ อาศรมที่ ๓ คือวานปรัสถ์ อาศรมที่ ๔ คือสันนยาสี คำว่าอาศรมในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า กระต๊อบใบไม้สำหรับฤาษีองค์หนึ่งอยู่ อย่างนั้นไม่ใช่ คำว่าอาศรมในที่นี้มีความหมายว่า คนอยู่กันมาก ๆ ด้วย เอ่อ, ความคิดความนึกและการกระทำเหมือน ๆ กัน อย่างนี้ก็เรียกว่าอาศรมหนึ่ง คำว่าอาศรมมีความหมายกว้างอย่างนี้
เมื่ออาศรมพรหมจารีก็คือ เอ่อ, คนในโลกไม่ว่า เอ่อ, ใน ๆ วัยหนุ่มในวัยแรก คือเป็นเด็กและเป็นหนุ่มสาว ยังไม่ได้ เอ่อ, ยังไม่ผ่านการสมรส คนทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าอาศรมพรหมจารี จะต้องเคร่งครัดในการศึกษา ในการปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณี ให้ถูกต้องอย่างเคร่งครัดทีเดียว นี้อาศรมแรก
ทีนี้อาศรมที่ ๒ คฤหัสถ์ ก็หมายถึงแต่งงานแล้ว เอ่อ, เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้ว ประกอบหน้าที่การงานอย่างหนักอึ้งทีเดียว นี้ก็มีอีกอาศรมหนึ่ง
ทีนี้อาศรมที่ ๓ ถัดไปเรียกว่าวานปรัสถ์ คำนี้แปลว่าอยู่ป่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องออกไปอยู่ในป่า ในถ้ำ ในภูเขาเสมอไป เมื่ออายุล่วงกาลผ่านวัยมามากจนอายุ ๖๐ ปี เอ่อ, ตอนนี้อย่างที่เราเรียกว่าเขตเกษียณนี่ คนเหล่านี้ก็ออกสู่อาศรมที่ ๓ คือวานปรัสถ์ หมายความว่าหลีกตัวเองออกมาจากความวุ่นวายอย่างโลก ๆ นั่น มาอยู่ในที่สงบสงัด มองในบ้านใน แทนที่จะมองในการงานข้างนอกเหมือนแต่ก่อนน่ะ พอกันที พอกันที เรื่องนี้พอกันที
เดี๋ยวนี้ก็มองด้านในให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไรที่ผ่านมาแล้วจนอายุ ๖๐ ปีนี่ ชีวิตคืออะไร การงานคืออะไร เกียรติยศชื่อเสียงคืออะไร อะไรคืออะไรนี้ ทุกอย่างทุกประการ เฝ้ามองในด้านในด้วยในที่สงบสงัด ไม่ต้องออกไปอยู่ป่าก็ได้ ที่กอกล้วย ที่กอไผ่ มุมบ้านมุมบริเวณบ้านตรงไหนก็ได้ ไปนั่งมองในภายใน อย่างนี้ก็เรียกว่าวานปรัสถ์ได้เหมือนกัน แม้จะมีห้องส่วนตัวอยู่ ปลีกตัวออกมาบำเพ็ญชีวิตเป็นผู้มองในด้านใน อย่างนี้ก็ยังเรียกว่าวานปรัสถ์ได้
ลองคิดดูว่า มันต่างกันอย่างไร เมื่อเป็นคฤหัสถ์นั้นก็มองด้านนอก หาเงิน หาชื่อเสียง หาทุกอย่างที่ เขาหา ๆ กัน แต่พอมาถึงตอนนี้ มันรู้สึกว่า นั่นไม่ ๆ เท่าไร นั่นพอกันที หรือนั่นไม่น่าอัศจรรย์ อย่างนี้เป็นต้น จึงได้เริ่มมองด้านใน เป็นผู้บำเพ็ญตน เอ่อ, เป็นอาศรมที่ ๓ เรียกว่าวานปรัสถ์ นี่มันสูงกว่ากันอย่างไร เอ่อ, ขอได้สัง เริ่มสังเกตดูให้ดี
ส่วนที่ยังอยู่ไปอีกอายุแปดสิบเก้าสิบก็สุดแท้ เอ่อ, ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีสภาพอยู่ ก็พอใจที่จะเลื่อนไปอาศรมสุดท้ายคือสันยาสี ทำตนเป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่น ถ้าเป็นบรรพชิตก็ท่องเที่ยวไปสั่งสอน เอ่อ, ประชาชน ในหมู่ประชาชน ถ้าเราเป็นฆราวาส เราก็ยังทำหน้าที่คล้าย ๆ กันได้ โดยทำกันเป็นผู้ตอบปัญหา เอ่อ, แก่คนที่มีปัญหา ทำตัวเป็นแสงสว่าง เอ่อ, แก่ผู้ที่มี เอ่อ, ผู้ที่ต้องการแสงสว่าง จะเป็นคนในครอบครัว เป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลน อะไรก็ตาม
คนแก่ในอาศรมนี้สามารถให้แสงสว่างและเป็นผู้รู้จริง เอ่อ, เพราะว่าเรียนมาจากชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่เรียนจากหนังสือ ดังนั้นจึงสามารถตอบปัญหาทุกอย่างทุกประการได้อย่างถูกต้อง ถ้าเรียนเอาจากหนังสือนั่น มันตอบผิดมากกว่าตอบถูก ถ้าเรียนมาจากชีวิตจริง มันตอบถูกไปทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นผู้มีประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์สูงสุด ตอบปัญหาทุกอย่างทุกประการที่เกี่ยวความเป็นมนุษย์ได้นี่
สรุปแล้วสิ่งที่เรียกว่าอาศรมมีอยู่ ๔ อาศรมอย่างนี้ แต่แล้วเดี๋ยวนี้ คนเราไม่ค่อยชอบเลื่อนชั้นให้แก่ตนเองตามลำดับอาศรมอย่างนี้ เหมือนกับที่บัณฑิตผู้มีปัญญาทั้งหลาย เอ่อ, อย่างมนู พระมนู หรือว่าแม้แต่ต่อมาถึงยุคพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญาทั้งหลายก็จะยอมรับหลักการอันนี้ว่า เอ่อ, มันเหมาะสมแก่มนุษย์ ทีนี้เราไม่สมัครจะเลื่อนชั้น เพราะว่าสมัยนี้มีความนิยมทางวัตถุ มีวัตถุมายึดตัวให้หลงใหลไม่รู้สร่าง ก็เลยไม่นิยมเลื่อนชั้น
การไม่นิยมเลื่อนขั้นนี้ ไม่มีความใฝ่ฝันที่ว่ามีชั้นที่จะต้องเลื่อนนี้ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งแก่การศึกษาธรรมะ เพราะว่า หู ตา เอ่อ, เรื่องที่มันมัวเมาอยู่แต่เรื่องทางวัตถุ ยิ่งเดี๋ยวนี้ก็มีความก้าวหน้าทางวัตถุเหลือที่จะประมาณได้ ทั้งอำนาจดึงดูดของวัตถุก็มีมาก จนคนไม่เคยคิดนึกถึงการเลื่อนชั้นแก่ตัวเองในทางวิญญาณ มาติดอยู่ เอ่อ, ที่เป็นคฤหัสถ์ แล้วก็หลงใหลในเรื่องของคฤหัสถ์ เอ่อ, จนถอยหลัง จนมีอาการเหมือนกับถอยหลังลงมา คือจิตหรือวิญญาณไม่สูงขึ้นเพื่อจะอยู่เหนือวัตถุ แต่ว่าถอยหลังลงมา ถอยหลังลงมา มาอยู่ภายใต้วัตถุมากขึ้น นี่เป็นการถอยหลังอย่างยิ่งอย่างน่าอันตราย เมื่อมีกำลังถอยหลังไม่ยอมเลื่อนชั้นอย่างนี้ ยากที่จะเข้าใจธรรมะได้ เพราะธรรมะต้องการคนที่ต้องการจะเลื่อนสูงขึ้นไปตามลำดับ ดังนั้นถ้าเราจะเข้าถึงธรรมะ เราต้องนึกถึงข้อที่จะเลื่อนชั้นให้แก่ตัวเองในทางวิญญาณนี้ให้สูงขึ้นไปตามลำดับ
ทีนี้เราจะดูในหลักทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะ เราก็ยังเห็นว่า ท่านได้กล่าวภูมิแห่งจิตใจไว้เป็น ๔ ภูมิ คือกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ นี้ก็แสดงชั้นที่เห็นได้ชัดว่า กามาวจรภูมิ นั้นหลงใหลในความสุขที่เนื่องด้วยกาม รูปาวจรภูมิ หลงใหลในความสุขที่ไม่เนื่องกับกาม แต่เนื่องกับรูปที่บริสุทธิ์ ทีนี้ เอ่อ, สูงขึ้นไป อรูปาวจรภูมิ ก็หลงใหลในความสุขที่ไม่เนื่องกับกามและไม่เนื่องกับรูป แต่เนื่องกับอรูป คือสิ่งที่ไม่มี ๆ รูป มันจึงละเอียดและประณีตยิ่งขึ้นไป เอ่อ, จนกระทั่งภูมิสุดท้าย โลกุตตรภูมิ พอใจในความสุขที่เหนือโลกไปทีเดียว
มันมีอยู่เป็นชั้น ๆ อย่างนี้ แต่แล้วเราก็ไม่สนใจที่จะเลื่อนชั้นในทางวิญญาณตามแนวนี้ด้วยเหมือนกัน ปัญหาก็มีอยู่อย่างเดียวกัน คือว่าหลงใหลในภูมิกามาวจรภูมินี้เป็นส่วนใหญ่ แล้วยังเข้าใจไปเสียว่า เรื่องรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เอ่อ, เป็นต้นนี้ ต้องไว้ต่อเมื่อตายแล้ว เมื่อตายเข้าโลงไปแล้ว เกิดชาติหน้าชาติ เอ่อ, อื่น ๆ ต่อไปอีกจึงจะสนใจ มันก็เลยเลื่อนชั้นไม่ได้ ถ้าจะนึกว่ามันเป็นเรื่องทางจิตใจ เอ่อ, เลื่อนได้ทุกโอกาสทุกเวลาแล้ว ก็จะมีผลดีกว่า ดังนั้นขอให้มีความคิดนึกในทำนองเดียวกันกับหลักโบราณที่สุดที่ว่า เมื่ออายุล่วงมา ๆ ก็มีการเลื่อนชั้นในทางวิญญาณสูงขึ้นไป
จงมองดูตามธรรมชาติ มันก็ต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว คนจะหลงใหลในความสุขทางกามคุณได้ก็ช่วงที่ร่างกายมันยังอำนวย แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ดังนั้นเราจึงเห็นคนแก่ เอ่อ, ไปเล่นนกเขา ไปเล่นบอน ไปเล่นโกสนอย่างนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับกามารมณ์ทางเพศโดยตรง มันก็เพราะธรรมชาติต้องการ ธรรมชาตินั่นเองบีบบังคับให้เป็นไปตามกระแส แต่เราไม่ค่อยสนใจ เอ่อ, ทำให้ดีกว่านั้น ให้ยิ่งไปกว่านั้น เราควรจะนึกถึงข้อนี้กัน เอ่อ, เพื่อเลื่อนชั้นให้แก่ตัวเองในทางจิตทางวิญญาณ
นี่ปัญหาข้อแรกที่ว่า เราไป เอ่อ, เผยแผ่พุทธศาสนากันไม่ค่อยจะสำเร็จในยุคนี้ ก็เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ตกจมลงไปในทะเลของวัตถุ ไม่นิยมเลื่อนชั้นตัวเองในทางวิญญาณ ตกเป็นทาสของวัตถุมากเกินไป เอ่อ, จึงมีราคะจัด มีโลภะจัด มีโมหะจัด กลายเป็นเหมือนแมลงที่ชักใย เอ่อ, พันตัวเองหนาเข้า ๆ ๆ ทุก ๆ วิถีทาง ทั้งทางโลภะ โทสะ โมหะ ชักใยพันตัวเอง เอ่อ, จนแสงสว่างส่องไม่ถึง แสงสว่างแห่งพระธรรม เอ่อ, ส่องไม่ถึง แล้วก็ไม่รู้จัก เอ่อ, ว่าตนกำลังเป็นอย่างนั้น นี้เราเรียกกันใหม่ว่า ความมืดสีขาว
นี่ขอได้โปรดจำคำว่าความมืดสีขาว มันมองไม่เห็น ไอ้ความมืดสีขาวมันมองไม่เห็น ถ้าเห็นมันก็เห็นเป็นขาว แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันมืด แต่ที่แท้ความมืดสีขาวนี้บังยิ่งกว่าความมืดสีดำ ขอได้คิดและสังเกตดูให้ดี ความเข้าใจผิดความ เอ่อ, เข้าใจผิดว่าตัวถูกนั้นน่ะ นั่นคือความมืดสีขาว เห็นเป็นถูกเสมอไป แล้วก็เลยลุ่มหลง ถ้าเราจะต้องการความก้าวหน้าในทางธรรมแล้ว ต้องมีการเลื่อนชั้นตัวเอง เราต้องช่วยกัน พยายามช่วยกันให้มีการเลื่อนชั้นตัวเอง เอ่อ, ให้มีการพัฒนาเลื่อนชั้นตัวเองในทางวิญญาณ
ทีนี้มองดูชาวโลกทั่วไปทั้งโลก ก็จะรู้สึกว่ายิ่งตกจมอยู่ในวัตถุมากขึ้น เอ่อ, จนมีแต่การต่อสู้แข่งขันแย่งชิงแต่เรื่องทางวัตถุ มีแผนการไกลระยะยาวหลายสิบปี ล่วงหน้าเป็นร้อยปีพันปี จะไปโลกพระจันทร์ จะไป เอ่อ, โลกไหนก็สุดแท้นั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องต้องการทางวัตถุทั้งนั้น นี่มีแผนการแต่ในเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น มันจึงยิ่งไกลออกไป ไกลออกไป ในโลกนี้จึงมีแต่การแข่งขัน หรือสงคราม หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งเรียกกันเมื่อตะกี้นี้ว่าวิกฤตการณ์ถาวร คือความยุ่งยากลำบากทนทุกข์ทรมานที่เป็นการถาวร นี้เป็นข้อที่แรกที่ว่า มนุษย์ไม่นิยมการเลื่อนชั้นตัวเอง เอ่อ, เสียแล้ว เอ่อ, การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของเรา ก็มีอุปสรรคและเต็มไปด้วยอุปสรรค นี้เป็นข้อที่หนึ่ง
ทีนี้ข้อที่ ๒ อยากจะแนะนำเพื่อนสพรหมจารี เอ่อ, นิสิตมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ เอ่อ, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทั้งหลายนี้ว่า คนเดี๋ยวนี้ เอ่อ, มองเห็นไปว่า ศาสนาเป็นอุปสรรคแก่การพัฒนา ความคิดที่ว่าศาสนาเป็นอุปสรรคแก่การพัฒนานี้ เริ่มมีหนาขึ้น ๆ ไม่เหมือนกับสมัยก่อนซึ่งเขาเข้าใจดีว่า ศาสนานั้นเป็นเครื่องประคับประคองมนุษย์ในการพัฒนาหรือวิวัฒนาการของมนุษย์ นี่มันกลับตรงกันข้ามอีกเหมือนกัน เขามองสิ่งศาส เอ่อ, มองศาสนาในฐานะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และมิหนำซ้ำยังเป็นอุปสรรคแก่ความเจริญของตัว แล้วเขาก็ต้องเกลียดเป็นธรรมดา
เราจะต้องมองกันให้เห็นว่า เอ่อ, สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้น มันเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนา เป็นสิ่งที่ต้องเคียงคู่กันไปกับมนุษย์ เอ่อ, หรือจิตใจของมนุษย์ การพัฒนานี่ ต้องหมายถึงการพัฒนาที่ถูกต้อง ถ้าเป็นการพัฒนาที่ถูกต้อง พุทธศาสนาไม่เป็นอุปสรรคแก่การพัฒนา มัน เอ่อ, คำว่าพัฒนานี้มันมี เอ่อ, ความหมายกว้าง เราก็ทำให้มากขึ้นแล้วเรียกว่าพัฒนาทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปในทางที่ให้เกิดวิกฤตการณ์ถาวร คือความเจริญทางวัตถุนี้ ทำให้โลกพัฒนาไปในทางมีวิกฤตการณ์ถาวร ไม่ใช่มีสันติภาพถาวร เราจะต้องเอาพัฒนาที่ถูกต้อง เอ่อ, ที่เป็นไปเพื่อสันติภาพอันถาวร เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาไปในทางเป็นวิกฤตการณ์ถาวร แล้วเกิดปัญหาขึ้นมาต้องแก้ไขสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เขาก็เลยเป็นตามแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุว่าเพราะขาดธรรมะ จึงไม่มีสันติภาพอันถาวร เขาไปลุ่มหลงทางวัตถุ มันเกิดวิกฤตการณ์ถาวร แล้วไปแก้ที่ปลายเหตุเท่าไร ๆ มันก็ไม่ได้ เพราะว่าละทิ้งเครื่องมือที่จะแก้ได้จริงคือศาสนาไปเสีย ไม่ว่าศาสนาไหน
ถ้าเรามีธรรมะ มีศาสนา จะทำให้การงาน เอ่อ, หรือการพัฒนานั้น ไม่เป็นทุกข์ นี่ลองคิดดูให้ดี ๆ ว่า แน่นอนเราต้องพัฒนา แต่การพัฒนานี้ ถ้าปราศจากหลักธรรมะหรือศาสนาแล้ว การ พอพัฒนานั้นจะยุ่งเหยิงและจะเป็นทุกข์ มันต้องมีการพัฒนาให้ถูกต้อง มี ๆ สิ่งที่ควบคุมกันอย่างถูกต้อง และไม่เป็นทุกข์ และเป็นไปให้สนุก แล้วไม่การพัฒนานั้นเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติในเรื่องนี้ถูกต้องแล้ว เอ่อ, การพัฒนาอะไรก็ตาม จะเป็นการปฏิบัติธรรมะไปในตัว ถ้าผิดไปจากนี้ การพัฒนานั้นเป็นการสร้างวิกฤตการณ์ถาวร เอ่อ, ทำโลกนี้ให้ยุ่ง ให้ระส่ำระสาย
เราไม่อาจจะพิสูจน์ด้วยเหตุผล แต่ว่าเราจะพิ เอ่อ, ขออ้างเอาตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตาม พระอริยเจ้าก็ตาม ท่านทำงานมากกว่าเรา นี่การจะคิดว่าผู้ที่หมดกิเลสแล้วจะไม่ทำงานนี้ ไม่มีหลักฐานที่ตรงไหน พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าท่านทำงานมากกว่าพวกเรา เสียสละมากกว่าพวกเรา เหน็ดเหนื่อยมากกว่าพวกเรา และงานนั้นของท่านก็เพื่อช่วยคนอื่น
นี้พวกเราที่ยัง เอ่อ, รักกิเลสนี่ ทำแต่เพื่อตัวเอง เอ่อ, แม้ ๆ เธอจะเป็นการเหน็ดเหนื่อย ก็เหน็ดเหนื่อยเพื่อตัวเอง และก็ทำแต่เท่าที่จำเป็น เอ่อ, ที่ว่าเราอยากจะได้อะไร เราก็ทำสิ่งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่นเลย มีการพัฒนา เอ่อ, มันก็เป็นการพัฒนาไปในทางวิกฤตการณ์ถาวร เราจะต้องพิจารณาจนให้เข้าใจดีว่า ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวนั้นน่ะกลับทำงานได้มาก ฟังดูแล้วมันคล้ายกับขัดกันว่า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่รักตัว แล้วจะไปทำงานทำไม
นี้มันก็พิสูจน์ยากอย่างที่ว่า ได้แต่อ้างว่าพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า ท่านก็ทำงานมากกว่าใคร ๆ ดีพุทธบริษัทเรายอมรับ ทีนี้เมื่อเรามองเห็นและยอมรับอย่างนี้ เอ่อ, อยู่แล้ว ก็น่าจะเป็น เอ่อ, เหตุผลหรือเป็นหลักฐานที่เพียงพอด้วยเหมือนกัน ถ้าเราจะพิสูจน์กันในทางจิตใจเกี่ยวกับหลักธรรมะแล้ว มันกินเวลามาก กลัวว่าหลายชั่วโมงก็ไม่พอ
เมื่อพิจารณาทางจิตวิท เอ่อ, เมื่อจะพิสูจน์ทางจิตวิทยาไม่ได้ ก็ขออ้างหลักฐานอย่างให้ดูพระพุทธเจ้า ดูพระอริยสาวกทั้งหลาย ที่ท่านทำงานมากกว่าพวกเรา ที่เชื่อที่ไปกลัวกันว่า ศาสนาทำให้หมดกิเลส หมดกิเลสแล้วไม่ต้องการพัฒนา อย่างนี้ไม่จริง ต่อให้ไม่มีเวลาที่จะพิสูจน์ ก็ต้องการเวลาหลายชั่วโมง จึงฝากไว้ก่อนว่า ขอให้ไปคิดดู โดยเพ่งเล็งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านทำงานมากกว่าพวกเรา
ถ้ามีจิตว่างตามหลักพุทธศาสนา ยิ่งทำงานได้มากและสนุก นี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งประเดี๋ยวถึงจะพูด แต่เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตไว้ให้เห็นว่า ถ้ามีจิตอย่างพุทธบริษัทแท้ จะทำงานได้มาก จะพัฒนาได้มาก และด้วยความสนุกสนานทีเดียว เอ่อ, คนที่ไม่ยอม ๆ เชื่ออย่างนี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่เคยมีจิตที่ว่างอย่างนั้น จึงเข้าใจไม่ได้
ดังนั้นเราควรจะเข้าใจว่า พระอริยบุคคลนั้นน่ะคือผลของ เอ่อ, ของการพัฒนา ยอดสุดของการพัฒนาคนอยู่ที่ความเป็นพระอริยบุคคล ไม่มีการพัฒนาไหนจะดีไปกว่านี้หรือนอกไป ๆ กว่านี้ได้ การพัฒนาคนจะต้องไปสูงสุดอยู่ที่ความเป็นพระอริยบุคคล ความเป็นพระอริยบุคคลจะเป็นข้าศึกแก่การพัฒนาไปไม่ได้ เพราะเป็น เอ่อ, วัตถุประสงค์ เป็นที่มุ่งหมายของการที่มนุษย์จะพัฒนาตัวเอง ในลักษณะที่ถูกต้องและควรจะพัฒนา
นี่ศาสนาไม่เป็นอุปสรรคเลย เอ่อ, แก่การพัฒนา ขอให้ไปมองกันเสียใหม่ แต่นี่คนเสียอีก ไปทำแก่พระศาสนาอย่างไม่น่าทำ เอ่อ, คนที่มีความเห็นอย่างนั้น เอ่อ, เป็นความลำเอียงต่อพระศาสนา แล้วยังกระทำอะไรบางอย่างแก่พระศาสนา ในลักษณะที่ไม่น่าทำ กล่าวคือ เอ่อ, ใช้พระศาสนานั่นเป็นเพียงเครื่องประดับเกียรติของตัวหรือเป็นอาชีพ ทำให้ศาสนาถูกสบประมาทลดค่าลงมา ถ้าศาสนาเป็นเพียงเครื่องประดับเกียรติของใครไปเสียแล้ว มันก็ เอ่อ, ศาสนาก็ลดค่าลงมา
เราจะเห็นได้ว่า พิธีทางศาสนาที่ประกอบกระทำกันอยู่โดยมากนั้น เป็นเพียงพิธีรีตองและเป็นเพียงเพื่อประดับเกียรติของงานเท่านั้น นี่พูดกันตรง ๆ ในระหว่างพวกเราที่เป็นพุทธบริษัทว่า พิธีทางศาสนาต่าง ๆ ที่กระทำกันอยู่นั้น มักจะเป็นเพียงพิธีรีตอง และเพียงเพื่อประดับเกียรติของงานหรือของเจ้าของงานเท่านั้น ไม่ได้เอา เอ่อ, พระ พระศาสนาหรือ เอ่อ, พระพุทธศาสนาไปตั้งใน ไว้ในฐานะที่เป็นที่เคารพสูงสุด และพยายามกระทำให้ถูกวัตถุประสงค์ของ เอ่อ, ศาสนา หากแต่เอาศาสนาไปเป็นพิธีรีตอง เป็นเพียงพิธีรีตองประดับเกียรติของงานหรือของเจ้าของงานไปเสียนี่ แล้วมาโทษว่า เอ่อ, ว่าศาสนาเป็นอุปสรรคของการพัฒนาอย่างนี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ เพราะไม่ให้ความเป็นธรรม เอ่อ, แก่ศาสนาเลย
อีกทางหนึ่งก็ใช้ เอ่อ, ศาสนาเป็นเพียงสะพานอาชีพ อาชีพนี้หมายถึงเรื่องวัตถุเรื่องโลก เขาต้องการประโยชน์ทางวัตถุทางโลก แต่แล้วเขากลับเอาศาสนาเป็นสะพานอาชีพ เอ่อ, ชนิดนั้น ทั้ง ๆ ที่ว่าศาสนานั้นมันอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเรื่องทางจิตใจ เป็นเรื่องทางฝ่ายนามธรรม ทางฝ่ายวิญญาณ ให้มนุษย์มีความเจริญควบคู่กันไปกับทางร่างกาย เพื่อว่าจะได้ควบคุมร่างกายให้เป็นไปถูกทาง เดี๋ยวนี้กลับเอาไอ้พระศาสนานั้นมาเป็นเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์ทางกายหรือทางวัตถุเสีย มันก็เลยล้มละลายไม่มีอะไรเหลือ นี้เรียกว่า เอ่อ, ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องประดับเกียรติไปเสีย มัน ๆ ลดค่า เอ่อ, ลดราคาลดค่าลงไปเท่าไร ก็ขอให้ลองนึกดู เพราะฉะนั้นไม่ควรจะมาพูดว่าศาสนาเป็นอุปสรรคแก่การพัฒนา เพราะมนุษย์นั่นเองได้ทำให้เสียไปเสียในลักษณะเช่นนี้
เราลองดูเถิด ไม่ว่าศาสนาไหนทั่วโลก ลองพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า ศาสนาเหลือแต่พิธีรีตอง เป็นเพียงเล่นตลก เอ่อ, กับศาสนาเท่านั้นเอง ทางการเมืองก็ดี ทางการทหารก็ดี มีพิธีรีตองที่เกี่ยวกับศาสนา แล้วก็เป็นเพียงเช่นตลก ไม่ได้ทำด้วยใจจริง แม้ปากจะอ้อนวอนพระเจ้า หรือว่าจะทำ เอ่อ, การสวดมนต์ หรือพรมน้ำมนต์ หรืออะไรซึ่งเป็นเรื่องทางศาสนา ก็เป็นเพียง เอ่อ, พิธีรีตองและเป็นเรื่องเล่นตลกต่อศาสนา ไม่ได้ทำอะไรให้ตรงตามไอ้หลักเกณฑ์ของพระศาสนาเลย
นี่เพราะฉะนั้นเราจะมองเห็นได้ว่า ความเข้าใจผิดว่าศาสนาเป็นอุปสรรคของการพัฒนานี้ เป็นสิ่งที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง เอ่อ, ที่ทำ ที่ทำให้เกิดอุปสรรคขัดขวางในการเผยแผ่พุทธศาสนา และพร้อมกันนั้นก็เป็นการลิดรอน เอ่อ, พระศาสนาไปในตัว นี่ขอให้พวกเรา เอ่อ, นักศึกษา เอ่อ, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้นึกดู เพราะว่าเราเรียน เราพยายาม เราต่อสู้ทั้งหมดนี้ เพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนา แล้วเราก็จะต้องทำให้ถูก และเราก็ไม่เป็นผู้ที่ว่า เอาศาส เอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือ เอ่อ, ทางวัตถุไป เหมือนกับที่เขาทำกันโดยมาก
เอ้า, ทีนี้ไหน ๆ ก็พูดมาถึงตอนนี้แล้ว ก็อยากจะกล่าวถึงประเด็นที่ ๓ ก็คือว่า ส่วนที่เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ นี้เราไม่ได้พูดกันในแง่การเมือง แต่เราพูดกันในแง่ที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่ เอ่อ, กับพุทธศาสนา เข้าใจเรื่องนี้ผิด ก็เข้าใจเรื่องศาสนาผิด แล้วก็เกิดการสับสนวุ่นวาย เอ่อ, เกิดความเสียหายขึ้น เพราะความเข้าใจข้อนี้ผิด
สิ่งที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์นั้น เอ่อ, เถียงกันมากเป็น ๒ ประเด็น คือพวกหนึ่งถือว่าเหมือนกับพุทธศาสนา เอ่อ, มีบางพวกถือกันมากขึ้น ๆ ที่พยายามจะอธิบายว่า คอมมิวนิสต์นั้นมีหลักเกณฑ์เหมือนกับพุทธศาสนา แล้วก็เลยถือโอกาส เอ่อ, ผสม ผสมรอย ผสมโรง ผสมรอย เอ่อ, กลืนพระศาสนาไปในตัว เราจะต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า มันเป็นไปด้วย เอ่อ, มันไม่ ๆ ใช่สิ่งเดียวกัน คือเราจะอาจจะพูดได้ว่า เอ่อ, Communism นี่จะเกิดต่อเมื่อศาสนาหมดกำลัง เมื่อศาสนาหมด ๆ กำลัง ฟังดูให้ดี ศาสนาเหลือแต่ซาก นอน ๆ แบกอยู่ นี่นอนเจ็บแบกอยู่ นี้เรียกว่าหมดกำลัง หมดกำลังที่จะต่อสู้ แต่ไม่ใช่ตาย เอ่อ, ศาสนาจะเอ่อ, หมดกำลังเมื่อไร ลัทธิประเภท Communism เป็นต้นนี้ จะต้อง เอ่อ, โผล่ขึ้นมา
เราเห็นกันได้ง่าย ๆ ที่สุดว่า เมื่อใดศาสนาหมดกำลัง ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์แล้ว เอ่อ, เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะต้อง เอ่อ, เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเอง เอ่อ, เห็นแก่ตัวเองจนไม่เห็นแก่หน้าคนอื่นนี้ ทีนี้คนที่ได้รับความกดขี่ข่มเหงก็ต่อสู้ขึ้นมา เรียกว่าคนยากจนต่อสู้คนมั่งมีที่เห็นแก่ตัวขึ้นมาในโลก นี้มันไม่ใช่ เอ่อ, เป็นสิ่งเดียวกับพุทธศาสนา มันเป็นเพราะการขาดพุทธศาสนา ถ้าหากว่าคนยังเมตตาปรานีแก่กันและกัน เหมือนว่าเป็นแม่เป็นลูก เป็นพ่อเป็นลูกแก่กันและกันอยู่ แล้ว เอ่อ, สิ่งที่เรียกว่า Communism เกิดขึ้นมาในโลกไม่ได้
นี่เราจึงถือว่า Communism เกิดเมื่อศาสนาหมดกำลังจนทำให้คนมีความเห็นแก่ตัวจัด อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าเมื่อศาสนาหมดกำลัง คือไม่มี เอ่อ, หลักพระศาสนาที่ถูกต้องแล้ว เอ่อ, คนก็มีความเชื่อในเรื่องกรรมนี้ผิดพลาดไป ไม่ได้เชื่อว่า มัน เอ่อ, คนเรามีกรรมต่าง ๆ กัน เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นไปต่าง ๆ กัน เป็นอยู่ต่าง ๆ กัน จะเหมือนกันไม่ได้ อีกเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรมที่ถูกต้อง เขาจะเอาให้เหมือนกันเอ่อ, ใครมีอะไรก็จะต้องมีเหมือนกันหมด ถ้ายังมีไม่ได้ก็ต้องเอามาเฉลี่ยกัน ต้องเอามาบังคับให้มาแบ่งมาแยกกันนี่ ลัทธิ Communism จึงเกิดขึ้นเมื่อคนเข้าใจผิดในเรื่องกรรม เมื่อพระศาสนาหมดกำลังลงไป ไม่ ๆ ได้สอนเรื่องกรรมอย่างถูกต้อง ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องกรรม ลัทธิที่จะแย่งชิงให้เสมอภาคกันก็เกิดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น
นี่ถ้าคนเห็นเรื่องจิตใจ เอ่อ, สำคัญน้อยกว่าเรื่องทางกาย เอ่อ, เมื่อนั้นลัทธิอย่าง Communism ก็เกิดขึ้น ถ้าศาสนายังมีชีวิตอยู่ ยังมีการสอนที่ถูกต้องอยู่ คนจะรู้สึกว่า เรื่องทางจิตใจสำคัญกว่าเรื่องทางร่างกาย ไอ้ ๆ ทางจิตใจนี้เป็นรากฐาน เอ่อ, ของเรื่องทางร่างกาย พอเข้าใจผิดมันก็กลับตรงกันข้ามเป็น เรื่องทางร่างกายนี้สำคัญกว่าจิตใจ ให้ร่างกายเป็นรากฐานที่ตั้งของจิตใจไปเสีย อย่างนี้มันก็เกิน เอ่อ, กลับตรงกันข้ามไปหมด ถ้าเรายัง เอ่อ, เห็นว่าเรื่องจิตใจเป็นรากฐาน เอ่อ, ของเรื่องทาง ๆ ร่างกายแล้ว มันก็ยังถูกต้องอยู่ แต่พอกลับไปหลงใหลในทางวัตถุ เอ่อ, หลงใหลในรสอร่อยของวัตถุ เห็นเรื่องทางร่างกายสำคัญกว่าแล้ว ศาสนาก็แทบจะไม่มีแผ่นดิน เอ่อ, จะอาศัย นี่ลัทธิที่สอนว่าวัตถุสำคัญกว่ากาย เอ่อ, ว่าวัตถุสำคัญกว่าจิต ก็เกิดขึ้นมา
นี่ขออภัยที่จะฝาก ขอวิงวอนที่จะฝาก เอ่อ, ข้อสังเกตและสักอย่างหนึ่งว่า เราคนไทยในประเทศไทยในพระนครนี้ บางทีก็พูดว่า สุขภาพทางกายสำคัญกว่าสุขภาพทางใจ ให้มีกินมีใช้ให้อิ่มหนำสำราญ ให้มีสุขภาพทางกายดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยสนใจเรื่องทางจิตใจ เอ่อ, ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ขอได้โปรดคิดนึกดูใหม่ ระวังให้ดี เพราะว่าหลักพระพุทธศาสนาไม่มีอย่างนั้น
สุขภาพทางใจคือใจที่ดี ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความคิดที่ถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง นั่นเป็น เอ่อ, รากฐานที่จะให้เกิดการกระทำที่ถูกต้อง การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางวัตถุภายนอกที่ถูกต้อง ความถูกต้องมันมีเพราะความ เอ่อ, ถูกต้องภายใน คือทางจิตใจ เอ่อ, ระวังให้ดีถ้าจะพูดว่า สุขภาพทางกายเป็นรากฐานของสุขภาพทางจิตนี้ จะนำมาซึ่งลัทธิวัตถุนิยมและผิดหลักพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง มันต้องถูกมาจากข้างในแล้วข้างนอกจึงจะถูก
ถ้าไปหลง เอ่อ, ข้างนอกจนไม่นึกถึงข้างใน ก็เตลิดเปิดเปิงไป ไม่มีเอี่ยวไม่มีวันที่จะถูกเข้าไปถึงข้างใน เอ่อ, คือทางจิตใจหรือทางวิญญาณ นี้ก็เป็น เอ่อ, เรื่องที่ศาสนาหมดกำลังลงทุกที เพราะว่าคนเราเห็นเรื่องทางวัตถุสำคัญกว่าเรื่องทางจิตใจ ในที่สุดเราก็เกลียดชังกันในระหว่างศาสนา เดี๋ยวนี้ เอ่อ, น่าอันตรายอย่างยิ่งที่ว่า ศาสนาแต่ละศาสนาในโลกนี้ มองดูกันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร เรื่องนี้ไม่ใช่ความประสงค์ของธรรมชาติ ไม่ใช่ความประสงค์ของพระเป็นเจ้าของศาสนาไหน แต่มันเป็นความเข้าใจผิดของคน ของคนในโลกนั่นเอง ที่ทำให้มองดูศาสนาอื่นเป็นศัตรูแก่ เอ่อ, ตัวเองหรือศาสนาตัวเอง
นี่ผมขอฝากความคิดอันนี้ไว้ให้แก่เพื่อนสพรหมจารี นิสิตมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หรือ เอ่อ, เพื่อนสพรหมจารีทั้งหมดนี้ว่า ระวังให้ดี การมองเห็นศาสนาอื่น เอ่อ, เป็นศัตรูกันนั่น เป็นความโง่เขลาที่สุด เป็นความเข้าใจผิดที่สุด และเป็นอันตรายแก่มนุษย์ที่สุด ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มี เอ่อ, ศาสนาไหนที่มีอะไรจะต้องเป็นศัตรูแก่กัน
มองดูในข้อแรก คือมองดูให้ถึงหัวใจ เอ่อ, ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนาแล้ว จะรู้สึกว่าเหมือนกัน คือต้องการจะกำจัดความรู้สึกที่ว่ามีตัวกูของกูด้วยกันทั้งนั้น นั่นแหละคือเนื้อแท้ของศาสนา เพื่อกันลืมก็อยากจะให้ อยากจะเปรียบเทียบให้ฟังเหมือนกับน้ำ เอ่อ, น้ำทุกชนิดน่ะมันเป็นน้ำอย่างเดียวกัน แต่เนื่องจากมันมีอะไรปนลงไปในน้ำนั้น ๆ แล้วจึงดูต่างกัน เพราะฉะนั้นไอ้ส่วนที่เป็นน้ำนั้นมันเหมือนกัน แต่ของใหม่ที่ปนลงไปในน้ำนี้ต่างหากที่มันไม่เหมือนกัน ดังนั้นส่วนที่เป็นน้ำก็เหมือนกัน เราอย่าไปหลงเอาของสกปรกที่ปนลงไปในน้ำว่า เอ่อ, ว่า ๆ มันเป็นน้ำไป
ไม่ว่าน้ำชนิดไหน เอามาแยกออกเป็นน้ำกลั่นได้ทั้งนั้น ในน้ำคลองก็มีน้ำกลั่น ในน้ำฝนก็มีน้ำกลั่น น้ำในบ่อก็มีน้ำกลั่น น้ำในคูก็มีน้ำกลั่น น้ำในส้วมก็มีน้ำกลั่น ซึ่งเป็นน้ำแท้ ๆ อยู่ในนั้น ส่วนเยื่อสกปรกหรือสีสันอย่างอื่น ที่มันใส่ลงไปปนลงไปนั้น นั่นมันไม่ใช่น้ำ เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงน้ำ ดังนั้นน้ำนี่มันต้องเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าน้ำนี้ มันเหมือนกัน ไม่มีผิดกันเลย จะอยู่ในสภาพไหนก็ ๆ ต้องเรียกว่า เอ่อ, ส่วนที่เป็นน้ำแล้วต้องเหมือนกัน
เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว มีประโยชน์แล้ว ที่จะเกิดความสมัครสมานสามัคคี ถ้าไกลไปกว่านั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะมองดูให้เห็นว่า แม้แต่น้ำนี้มันก็ยังไม่ใช่น้ำ เอ่อ, มันประกอบด้วยอณู ปรมาณู เอ่อ, ของออกซิเจน ไฮโดรเจน ไอ้น้ำก็หายไป กลายเป็นธาตุ เอ่อ, เป็นธาตุอย่างหนึ่งไปเสีย ทีนี้ไม่ว่าแยกปรมาณูออกไป ก็กลายเป็น เอ่อ, ส่วนย่อยจนกระ จนกระทั่งเป็นความว่างไปเสีย น้ำก็ไม่มี เอ่อ, และมันก็ยิ่งเหมือนกันอย่างยิ่ง เมื่อถึงขนาดที่เป็นความว่างแล้ว มันก็เหมือนกันหมด ไม่มีพวกไหน แต่มองดูให้ดีว่า แม้แต่ในขณะที่เป็นน้ำ มันก็ยังเป็นน้ำเหมือนกัน ดังนั้นของสกปรกอย่าเอามาพูด
นี้ศาสนาทุกศาสนา มีหัวใจที่จะกำจัดกิเลสที่เห็นแก่ตัวกูของกูนี้ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นอย่ามองศาส อย่าได้มองศาสนาไหนในทางน่าเป็นศัตรูเลย แม้จะต่างกันโดยข้างนอก เอ่อ, พิธีรีตองข้างนอกก็ มันก็เหมือนกับไอ้น้ำที่ต่างกันนั่นแหละ เรามองกันแต่ส่วนที่เป็นน้ำแท้ ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เอ่อ, สิ่งที่เรียกว่าศาสนาในโลกนี้จะมีกำลัง แต่ถ้าเรามองศาสนาอื่นในลักษณะเป็นศัตรูแล้ว สิ่งที่เรียกว่าศาสนาในโลกนี้จะถอยกำลัง จะทรุดโทรมลงพร้อมกันทั้งโลก แล้วโลกนี้ก็จะไม่มีศาสนา แล้วลัทธิที่ตรงกันข้ามก็จะเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาทันที และมนุษย์ก็หมดความเป็นมนุษย์ เอ่อ, มันก็สูญ เอ่อ, เป็นการเสียหายล้มละลายของมนุษย์ ไม่มีอะไร เอ่อ, ที่จะน่าเศร้า เอ่อ, ยิ่งไปกว่านี้ นี้เรียกว่าเอ่อ, ลัทธิอย่างลัทธิ Communism นี้จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ ศาสนาถอยกำลังหรือหมดกำลังนอนแบกอยู่ ลงนอนแบกอยู่ ไม่มีกำลัง
ทีนี้ เอ่อ, ที่จะดูต่อไปก็ว่า เรานี่กำลังเอาศาสนาหรือว่ากำลังทำผิด ๆ ในการที่จะใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องต่อต้าน เอ่อ, สิ่งเหล่านี้ พุทธศาสนา เอ่อ, พุทธศาสนาในส่วนที่จะสามารถต่อต้าน Communism นี้เราไม่เอามาใช้ แล้วเราไปเอาพุทธศาสนาพิธีรีตองผิด ๆ ที่ทำให้คอมมิวนิสต์หัวเราะเยาะได้นั้นมาใช้ นี่ลองคิดดู ไอ้พุทธศาสนาเนื้อแท้ที่สามารถต่อต้านลัทธิ Communism นี้เราไม่เอามาใช้ คือแถะ แถมไม่เอามาพูดกันด้วยซ้ำไป แล้วไปเอาพิธีรีตองเปลือกนอกกระพี้ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาแต่เราเรียกว่าพุทธศาสนา ที่ทำให้คอมมิวนิสต์หัวเราะเยาะนั่นนะมาใช้นี่ แล้วมันจะได้ผลอะไร นำมาใช้แต่ส่วนที่ให้เขาหัวเราะเยาะได้ เอ่อ, นี้มันก็อยู่ในสภาพที่ใคร ๆ ต้องพูดว่า หมด ๆ ๆ ฉิบหายหมด แย่แล้ว
ที่ว่าพุทธศาสนา เอ่อ, ในลักษณะที่เป็นพิธีรีตอง ที่ทำให้เขาหัวเราะเยาะได้นั้นน่ะ หมายถึงอะไรบ้าง เอ่อ, น่าคิดว่าคงจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว เราจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากนักก็ได้ เช่นว่า ไอ้ที่เรียกว่าทำบุญให้ทานนี่ ไอ้ที่ว่าทำบุญสุนทาน ทำบุญสุนทานนี่ ถ้ามันเป็นการทำบุญสุนทานจริง มันก็ไม่น่าหัวเราะเยาะ แต่ถ้ามันเป็นการค้ากำไรเกินควรแล้ว มันก็น่าหัวเราะเยาะ การทำบุญสุนทานกลายเป็นการค้ากำไรเกินควร เช่นว่าลงทุนทำบุญไปสักบาทหนึ่ง แล้วก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ๆ ยกมือท่วมหัวให้ได้วิมานสักหลังหนึ่งสองหลังสามหลัง ให้เกิดหวยเกิดรวยอะไรต่าง ๆ นี่ แล้วทำ เอ่อ, ลงทุนไปบาทเดียวนี่ มันไม่มีไอ้การค้ากำไรเกินควรที่ไหน ที่จะ ๆ มากเหมือนเท่านี้แล้วในโลกนี้ ถ้าพุทธศาสนาอย่างนี้ไปต่อต้านใครเข้า มันก็เป็นไอ้เรื่องทำให้เขาหัวเราะเยาะมากกว่า มันไม่ใช่ตัวพุทธศาสนาเลย
ทีนี้พุทธบริษัทหวังในโลกหน้าอย่างลม ๆ แล้ง ๆ มากเกินไป หวังในเรื่องโลกหน้าต่อตายแล้ว แล้วก็อย่างลม ๆ แล้ง ๆ มากเกินไป นี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้พวกคอมมิวนิสต์หัวเราะเยาะ เพราะพุทธศาสนาไม่ได้ เอ่อ, เรื่องหวังในโลกหน้าอย่างลม ๆ แล้ง ๆ มันเป็นเรื่องการต่อสู้ที่ถูกต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ สามารถจะขจัดไอ้ความคิดความนึกและการกระทำที่เป็นภัยแก่มนุษย์ ให้หมดไปที่นี่และเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ เอ่อ, ทันเห็นตาดำ ๆ นี่ นี้ก็เรียกว่าเราเอามาใช้แต่ข้อที่จะทำให้เขาหัวเราะเยาะ
แม้ที่สุดแต่การทำบุญบางชนิด มีลักษณะเหมือนกับการเอาน้ำพริกละลายแม่น้ำ นี่พูดเป็นภาษาไทยเราแท้ ๆ อย่างนี้ก็ฟังง่ายแล้ว แล้วเชื่อว่าเข้าใจกันถูก เอ่อ, ถูกต้องทุกคนแล้ว เรายังมี เอ่อ, ยังได้เห็นการทำบุญแบบเอาน้ำพริกละลายแม่น้ำนี้อยู่ทั่ว ๆ ไป และแม้ในประเทศไทยและพุทธศาสนาอย่างนี้ มันเป็นที่หัวเราะเยาะ ไม่มีอำนาจ ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ที่จะต่อต้าน เอ่อ, สิ่งที่เป็นศัตรู
ทีนี้พูดถึงตัวพุทธศาสนาแท้ ๆ ก็คือจุดที่มีความรักสากล ไม่มีตัวเอง จิตที่มีความรู้สึกเป็นความรักเมตตากรุณาเป็นสากล ไม่มีตัวเองไม่เห็นแก่ตัวเองนี้ จิตที่ว่างจากความคิดว่าตัวกูของกูนี้ กลับเห็นเป็นว่าไม่ใช่พุทธศาสนา เดี๋ยวจะได้พูดกันถึงเรื่องนี้ เอ่อ, ตามสมควร แล้วกลับไปมีจิตว่างชนิดแบบอันธพาล สำหรับพูดอะไรในลักษณะที่เป็น เอ่อ, เรื่องยืนยันข้าง ๆ คู ๆ กระต่ายขาเดียวอย่างนี้ ก็แปลว่าได้ปลอมหัวใจของพุทธศาสนา เอ่อ, ไปเป็นอย่างอื่นเสียแล้ว ก็ไม่เป็นพุทธศาสนาที่จะต่อต้านอะไรได้
ทีนี้มองดูไปตามไอ้หน่วยสังคม เอ่อ, สมาคม สมาคมพุทธบริษัท เอ่อ, เหล่านี้ สมาคมนั่น สมาคมนี่ สมาคมโน้น คณะนั้น คณะนี้ คณะโน้น คณะพุทธบริษัท พุทธศาสนานี้ ก็ยังเห็นได้ว่า เอ่อ, ขวนขวายในเรื่องซึ่งยังไม่เป็นหัวใจของพุทธศาสนามากกว่า สมาคมต่าง ๆ ของชาวพุทธ เช่นพุทธบริษัทนี่ กำลังขวนขวายกำลังพยายามแต่ในเรื่องที่ไม่ใช่หัวใจของพุทธศาสนามากกว่า เป็นเรื่องเกียรติบ้าง เป็นเรื่องพิธีรีตองบ้าง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง เป็นเรื่องเกี่ยวกับหาประโยชน์ เอ่อ, ตัวบ้าง อย่างนี้มันไม่ใช่หัวใจของพุทธศาสนา
แล้วยิ่งกว่านั้นยังมีการทำให้เปลืองเงินมาก แล้วเรื่องได้นิดเดียว เสียเงินไปประชุมกันมาก แล้วเรื่องได้นิดเดียว เรื่องนั้นก็ไม่ลึกลับอะไร เพียงแต่ถกกันให้หมดเวลา แล้วเสร็จแล้วก็เก็บเงียบ แล้วก็เลิกกัน แล้วค่อยประชุมถกเถียงกันใหม่ ในแง่ธรรมะก็มี ในแง่การปฏิบัติก็มี ในแง่การดำเนินงานอะไรก็มี เราใช้เงินมาก ๆ หรือใช้เวลามาก ๆ แล้วไม่มีอะไรที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา นี่ความผิดทั้งหมดนี้เป็นเรื่องให้คอมมิวนิสต์หัวเราะเยาะ เมื่อเรานำไปใช้หรือว่ายืนยันว่าจะเป็นเครื่องต่อต้านคอมมิวนิสต์แล้ว มันเป็นเรื่องให้ถูกหัวเราะเยาะ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะมีผลดีอะไรแม้แต่ ๆ นิดเดียว
นี้เป็นอันว่าเรา เอ่อ, ได้มองดูกัน เอ่อ, ในแง่ที่เกี่ยวกับ Communism ว่า เรากำลังคิดผิดคิดถูกอย่างไร เรากำลังทำไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ เอ่อ, แก่เพื่อนมนุษย์ในโลกอย่างไร สำหรับข้อที่มีใครเข้าใจหรืออธิบายกันอยู่แม้ที่เมืองนอกว่า พุทธศาสนากับคอมมิวนิสต์มีหลักเกณฑ์อันเดียวกันนั้น เป็นอันว่าขอให้เข้าใจถูกต้องกันเสียที Communism กับพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ มีประเด็นใหญ่ ๆ ที่จะให้กำหนดจดจำก็คือว่า เอ่อ, หลักพระพุทธศาสนานั้นไม่สอนให้ยึดครองสิ่งใดโดยความเป็นของตัว
เกี่ยวกับแง่นี้ เอ่อ, มีคนเขียนอธิบายในหนังสือหลายเล่มที่ต่างประเทศว่า หลักพุทธศาสนาก็ว่าไม่ให้มีอะไรเป็นของตัว ให้เป็นของสงฆ์ เอ่อ, ร่วมกัน มีสิทธิ์ส่วนเท่ากัน และหลักคอมมิวนิสต์ก็เป็นอย่างนั้น เอ่อ, เพราะฉะนั้นคอมมิวนิสต์กับพุทธศาสนาเป็นเดียวกัน อย่างนี้เขาเขียน แต่เราต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องตู่กันซึ่งหน้า หลักของพระพุทธเจ้าพระพุทธศาสนานั้น ไม่สอนให้ยึดครองอะไรเป็นของตัวเลย นี่มันจึงมีไอ้อะไรร่วมกันเฉลี่ยด้วยกันอย่างนี้ไม่ได้
ขอให้ไปดูให้ดีนี่ มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายมากเวลาไม่พอ จึงบอกกันไว้แต่หัวข้อว่า ไปคิดดูให้ดีว่า หลักของพุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนให้ยึดครองอะไรว่าเป็นของตัว ส่วนหลักคอมมิวนิสต์แม้ว่าจะให้เป็นเจ้าของร่วมกัน มันก็มีการยึดครองเป็นของตัว ดังนั้นมันแตกต่างกันเป็นฟ้ากับดิน นี้คอมมิวนิสต์นั้นเอา ๆ วัตถุ เอาเรื่องวัตถุ เอาร่างกายเป็น เอ่อ, รากฐาน เป็นหลักสำคัญ ให้วัตถุเจริญก่อน ก้าวหน้าก่อน แล้วจิตใจก็จะดีเอง เอ่อ, แต่พุทธศาสนาเราจิตใจต้องมาก่อน ต้องดีก่อน ต้องถูกต้องก่อน แล้วร่างกายจึงจะดีเอง นี้มันก็ตรงกันข้ามเป็นฟ้ากับดิน
คอมมิวนิสต์ต้องการให้จัดการให้ เอ่อ, ทุกคนมีอะไรเหมือนกัน มีสิทธิ์ส่วนเท่ากัน และก็ต้องการให้มีเหมือนกัน เอามาแบ่งกัน มีรถยนต์ก็มีด้วยกันทุกคน มีตึกก็มีด้วยกันทุกคน มีอะไรก็มีด้วยกันเท่ากันทุกคนอย่างนี้ แต่พุทธศาสนาเราบอกว่า มันต้องให้กรรมจัดการ ให้เป็นไปตามกรรม มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมอะไรของคน เอ่อ, เหล่านั้นจัดการ ให้คนเป็นไปตามกรรม ถูกต้องตามกรรม ตามสัดตามส่วน ดังนั้นคนเราจะมีอะไรเท่ากันไม่ได้ นี่มัน ๆ ต่างกันเป็นฟ้าและดิน
เราจะมองดูกันใน เอ่อ, เรื่องของผล เราจะเห็นว่า เอ่อ, พุทธบริษัทที่ยากจนนี่มีความเจียมตัว ยินดีรับกรรมเป็นของตัว ตามที่กรรมจะจัดให้อย่างไร แต่คนจนของคอมมิวนิสต์เขาไม่คิดอย่างนี้เลย เอ่อ, เขาคิดว่าต้องไปยื้อแย่งกันมาจากคนมั่งมี เอ่อ, มาเฉลี่ยให้เหมือนกันให้เท่ากันให้จนได้ เอ่อ, มันต่างกันเป็นฟ้าและดินอย่างนี้ จะเรียกว่าพุทธศาสนากับคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนกัน หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ มันเป็นคำพูดที่ เอ่อ, ที่ฟังไม่ได้เลย ดังนั้นเรามีความเข้าใจให้ถูกต้อง เอ่อ, ในเรื่องนี้ เอ่อ, กันเสียด้วย เรื่องอื่นข้างหน้ามันก็จะ เอ่อ, เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ทีนี้มีคนบางคนคิดว่า เอ่อ, คำสอนเรื่องพุทธศาสนาเกี่ยวกับจิตว่างนี่จะเป็นเหตุชักนำมาซึ่ง เอ่อ, คอมมิวนิสต์ ลัทธิสอนเรื่องจิตว่างนี้จะเป็นช่องทางชักนำมา เอ่อ, ซึ่งความเป็นคอมมิวนิสต์ นี้เป็นคำพูดที่เด็กอมมือก็จะมองเห็นได้ว่า เอ่อ, การเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเกิดจากจิตไม่ว่าง นี่ฟังดูให้ดีว่า การเป็นคอมมิวนิสต์นั้น มันเกิดจากการที่จิตไม่ว่าง มันต้องการจะมีอะไรยึดครองเป็นตัวกูเป็นของกู ดังนั้นจิตว่างจึงไม่ใช่ช่องทางที่จะเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะว่า เอ่อ, ลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดมาจากจิตวุ่น ไม่ว่าง จิตวุ่นจนเดือดจัด จนยอม จนนิ่งอยู่ไม่ได้ จนทนอยู่ไม่ได้
และคอมมิวนิสต์นั้นน่ะจะไม่กลัวอะไรเลย แต่จะกลัวจิตว่างที่ถูกต้องตามแบบของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่จิตว่างแบบอันธพาล จิตว่างที่ถูกต้องตามแบบของพุทธศาสนา คือสิ่งที่ลัทธิคอมมิวนิสต์กลัวที่สุด เพราะว่าถ้ามีจิตชนิดนี้แล้ว มันไม่คิดที่จะยื้อแย่งอะไร ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ เอ่อ, สูญไปได้ในพริบตาเดียว เพราะฉะนั้นจะต้องถือว่า เรื่องสุญญตาซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เอ่อ, นั่นแหละ คือสิ่งที่จะป้องกันคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด และจะแก้ เอ่อ, สิ่งที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด ให้สะอาดไปจากจิตใจ เอ่อ, ของพุทธบริษัท ธรรมะข้ออื่นไม่มี เอ่อ, มีแต่ธรรมะเรื่องสุญญตา ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะทั้งป้องกันและแก้ไขลัทธิที่เป็นภัยแก่จิตใจ เอ่อ, ของพุทธบริษัทได้ ดังนั้นเราควรจะพิจารณา เอ่อ, ถึงเรื่องนี้กัน เอ่อ, ให้พอสมควร
เรื่องที่เกี่ยวกับว่า เอ่อ, จิตว่างอย่างไรนี้ เอ่อ, เป็นเรื่องใหญ่มาก เอ่อ, สมกับที่เป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนา แต่เราก็เอาใจใส่กันน้อย เอ่อ, ไม่สนใจ ไม่ ๆ สมกับที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเลย ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาตมาต้องการจะ เอ่อ, เผยแพร่ และอยากจะขอร้องและวิงวอนเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายทั้งปวง เอ่อ, ภิกษุสามเณรทั้งปวง ให้ช่วยศึกษาให้เข้าใจและเผยแพร่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงคำว่าตถาคตภาสิตา และก็ยกสุญญตาเป็นหลักทั้งนั้น ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสุญญตาหรือไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องสุญญตาแล้ว ไม่เป็นตถาคตภาสิตเลย ไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านพูดเลย ดังนั้นเราต้องสนใจเรื่องคำว่าว่างนี้กันให้ถูกต้อง เราจะต้องแยกเป็น ๓ คำ เอ่อ, คือเรื่องความว่างคำหนึ่ง เรื่องโลกว่างคำหนึ่ง และเรื่องจิตว่างอีกคำหนึ่ง
อาตมาได้พยายาม เอ่อ, เผยแพร่เรื่องนี้มาประมาณสัก ๑๐ ปีเห็นจะได้แล้ว ไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ก็นับว่าได้ เอ่อ, ทำให้เกิดความสนใจขึ้น เอ่อ, ตามสมควร เดี๋ยวนี้ก็กำลังได้รับความ เอ่อ, สนใจหรือวิพากษ์วิจารณ์กันมาก มีหนังสือพิมพ์ หนังสือต่าง ๆ เอาไปเขียนไปพูด เอ่อ, ไปล้อเลียนก็มี ไปด่าก็มี แต่แล้วยิ่งเป็นประโยชน์ ยิ่งเป็นประโยชน์ ที่ทำให้เรื่องนี้แพร่หลายเร็วที่สุด โดยไม่ได้เสียค่าโฆษณาเลยนี่ สินค้าของพระพุทธเจ้าแพร่หลายโดยไม่ได้เสียค่าโฆษณาเลย เรื่องสุญญตา เอ่อ, ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา อาตมาเรียกว่าสินค้าอย่างเดียวของพระพุทธเจ้า ได้แพร่หลายออกไปในจิตใจของหมู่มนุษย์ เอ่อ, วิพากษ์วิจารณ์กันมากโดยไม่ได้เสียค่าโฆษณาเลย เคยหวังอยู่ว่าสัก ๒๕ ปี เอ่อ, คนจะเข้าใจเรื่องความว่างนี้ในประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้ดูมันจะเร็วกว่านั้น เพราะดูมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก
ทีนี้เราจะต้องพูดกันถึงคำว่าความว่างก่อน ขอได้โปรด เอ่อ, โปรดกำหนดให้ดี ๆ ความว่าง นี้ในภาษาไทย และสุญญตาแปลว่าความว่าง นี้เป็นภาษาบาลี เกี่ยวกับความว่าง เราต้องแยกเป็น ๒ความหมาย เป็น ๒ ประเด็น คือความว่างในภาษาธรรมดา ภาษามนุษย์ ภาษาคนนี่ เอ่อ, ความว่างในภาษาธรรมดาภาษาคนนี้ ความว่างนี้หมายถึงไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหมด เอ่อ, เรียกว่าว่าง เรียกว่าความว่าง แต่ความว่างในภาษาธรรมะ ในภาษาศาสนา เอ่อ, นั้น คำว่าความว่างนี้กลับหมายความว่า มีหมดครบถ้วนทุกอย่าง มีหมดทุกอย่างเลย แต่ไม่มีอะไรที่เป็นอัตตาหรือเป็นอัตตนียา คือในบรรดาสิ่งที่มีทั้งหมดนั้น ไม่มีอันใดที่จะเป็นตัวตนหรือเป็นของตนได้นี่ นี้คือความว่างที่ เอ่อ, ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา
ทีนี้พอคนได้ยินคำว่าความว่าง เอ่อ, ก็หมายถึงไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย เลย ๆ กลัวก็มี เลยไม่กล้าแตะต้อง เพราะกลัวว่าจะสูญหมดไม่ได้อะไรเลย นี้มันเป็นโชคร้ายที่ว่า เอ่อ, ไม่ทราบว่าใคร เมื่อไร ท่านไหน แปลคำว่า สุญญ นี้ว่าสูญเปล่านี่ บาปกรรมลึกซึ้งอยู่ตรงที่แปลคำว่า สุญญ นี้ว่าสูญเปล่า เอ่อ, ถ้าใครเคยได้ยินคำว่าสูญเปล่า และ ๆ สุญญตาว่าสูญเปล่าแล้ว โปรดไปคิดเสียใหม่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าสูญเปล่า ท่านว่าว่าง และว่างจากอะไร เอ่อ, ว่างจากอัตตา ว่างจากอัตตนียา
ว่างจากอัตตา คือว่างจากความหมายที่จะเป็นตัวตน ว่างจากอัตตนียา คือว่างจากความหมายที่จะเป็นของตนนั่น เรียกว่าความว่างที่ถูกต้องตามแบบของพระพุทธเจ้าและเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ทีนี้อย่าเอาไอ้ความว่างตามแบบวัตถุ แบบคนธรรมดาพูดว่าคือไม่มีอะไร หรือว่าแม้แต่ว่าสูญเปล่าอย่างนี้ ก็อย่าเอามาใช้กันกับคำว่าสุญญตาในพระพุทธศาสนา มันไม่สูญเปล่า มันเป็นสิ่งทั้งปวง มันเป็นสิ่งทุกสิ่ง รวมทั้งเนื้อหนังจิตใจ เอ่อ, สิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเราด้วย แต่แล้วทำไมจึงว่าง เพราะมันว่างจากความหมายที่ว่าจะเป็นตัวตนหรือเป็นของตน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ควรจะทราบให้กว้างไปถึงว่า ในประเทศอินเดีย เอ่อ, เราทั้งหมดและประเทศที่รับวัฒนธรรมอินเดียศาสนาอินเดียทั้งหมดนี่ เขาต้องบัญญัติคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าในถิ่นนี้มันมีศาสนาหลายมาก หลาย ๆ ศาสนา หลาย ๆ ลัทธิหรือหลายสิบลัทธิ ทีนี้เขาจะต้องแบ่งว่า พวกไหนลัทธิไหนพูดเรื่องว่าง เอ่อ, พวกไหนพูดเรื่องไม่ว่าง คือมีตัวตน ก็เลยแบ่งศาสนาทั้งหมด หลาย ๆ สิบศาสนานี้เป็น ๒ พวก พวกหนึ่งสอนว่าว่าง พวกหนึ่งสอนว่าไม่ว่าง ทีนี้พุทธศาสนาเราอยู่ในพวกที่สอนว่าว่าง แล้วก็ไม่ได้หมายความมีแต่พุทธศาสนา ยังมีศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่นในประเทศอินเดีย ที่สอนเรื่องว่างนี้อีกหลายศาสนาด้วยกัน เพราะฉะนั้นไอ้คำว่าว่างหรือลัทธิว่างนั้น มันไม่ใช่มีอันเดียวและมันจะมีเหมือนกันอย่างเดียว มันมีมาก ๆ ให้รู้ไว้อย่างนี้เสียก่อน
พุทธศาสนาเราเป็น เอ่อ, ศาสนาประเภทที่สอนว่าว่าง ก็เลยเรียกว่าพวกสุญญวาท และมีลัทธิศาสนาอื่นอีกมากในอินเดียคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา สอนเรื่องไม่ว่างคือมีตัวตนนี่ นั้นเขาเรียกว่าอสุญญวาท ทีนี้ถ้าเอาไอ้การพูดมาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เนื่องในกาลเวลา พุทธศาสนาเราอยู่ในพวกที่เป็นขณิกวาท คือสอนว่า ร่างกาย จิตใจ สุขทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ มันมีชั่วขณะ ๆ ๆ ๆ ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่เที่ยงแท้ถาวรตายตัวอันเดียวตัวเดียวหรือยืดยาวตลอดกาล อย่างนี้เรียกว่าขณิกวาท แต่ยังมีศาสนาอื่นลัทธิอื่นอีกมากมาย เขาเป็นอขณิกวาท เขาสอนว่ามันมีตัวแท้เที่ยงตัวเดียว ยืดยาวเที่ยงแท้ถาวร นั้นมันเป็นอขณิกวาท
พุทธศาสนาเราเป็นพวกวิภัชชวาท คือสอนว่า สิ่งต่าง ๆ นี้มันประกอบด้วยส่วนประกอบแบบแยกออกได้ เป็นเบญจขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ เป็นอะไรที่แบ่งออกได้ นี้เป็นวิภัชชวาท ส่วนพวกอื่นก็สอนเป็นอัตตาที่ไม่แบ่งนี้ เขาก็เป็นอวิภัชชวาทอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นคำคู่ ๆ ๆ ๆ กันมาอย่างนี้ เราก็ต้องรู้เรื่องนี้เรื่องเกี่ยวกับ สุญญวาท อสุญญวาท นี่ให้ดี ทีนี้จะต้องระวังให้มากที่สุด พวกที่ เอ่อ, เป็นตัวตนนั้นน่ะ มันเป็นสัสสตทิฏฐิ ต้องระวังให้ดีคำว่าสัสสตทิฏฐิ ถ้าใครไปเชื่อว่ามีตัวตน เที่ยงแท้ ไม่แบ่ง ไม่ประกอบด้วยขณะ และไม่ว่าง แต่เป็นตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร คนเดียวกันนี้แหละไปเกิด แล้วก็ไปเกิด แล้วก็ไปเกิด คนเดียวกันนี้แหละอย่างนี้ นั่นเป็นสัสสตทิฏฐิ คือเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ดังนั้นระวังให้ดี เอ่อ, จะต้องรู้ให้ถูกตามหลักของพระพุทธศาสนาว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าอวิชชานี้ก็เกิดดับ แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าอนุสัยสังโยชน์นี้ก็ต้องเป็นสิ่งที่เกิดดับ อย่าได้เข้าใจว่าอวิชชาเป็นของดิ่งตายตัวไม่มีเกิดไม่มีดับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันเกิดเมื่อมีการกระทบอารมณ์ทางอายตนะเป็นต้น อวิชชาจึงเกิดแล้ว มันก็ดับไปตามขณะ แม้สังโยชน์หรืออนุสัยก็เหมือนกัน มันมีการเกิดและการดับ การที่สอนกันโดยไม่ระมัดระวังว่า อวิชชา เอ่อ, อนุสัย อนุสัยนี่นอนเนื่องในสันดาน เป็นตัวเดียวกันแท้ ไม่มีเกิดไม่มีดับ อย่างนี้มันเป็นสัสสตทิฏฐิ นั่นแหละคือไม่ว่างและไม่ใช่พุทธศาสนา
ทีนี้เมื่อเรารู้เรื่องความว่างว่า หมายถึงว่างจากความยืดถือว่าตัวตนเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไม่มีอะไร ก็เพื่อป้องกันสัสสตทิฏฐิ แต่พร้อมกันนั้นก็ระวังที่จะเป็นอุจเฉททิฏฐิ คือไปถือว่าไม่มีอะไรสูญเปล่านั้น มันก็เป็นอุจเฉททิฏฐิไป ถ้าเป็นมีตัวตน เอ่อ, เที่ยงแท้ถาวร คนเดียวกันเรื่อยนี้ มันก็เป็นสัสสตทิฏฐิไป ดังนั้นความว่างนี้ ถ้าถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาแล้ว ย่อมไม่เป็นทั้งสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิเป็นแน่นอน นี้เป็นรายละ เอ่อ, มีรายละเอียดมาก จะต้องศึกษากันเป็นพิเศษ เอ่อ, ด้วยตนเองอีกมาก นี้เรื่องความว่าง
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องโลกว่าง พระพุทธเจ้า เอ่อ, ท่านตรัสว่า ให้มองดูโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อ นั่นเป็นหลักปฏิบัติที่เป็นหัวใจพุทธศาสนา เราจะพิจารณาคำว่าโลกว่างเสียก่อน โลกว่างนี่ก็เหมือนกับที่พูดมาแล้ว เพราะว่ามันว่างจากความหมายที่ควรจะยืดถือว่าเป็นตัวตนหรือของตน คำอธิบายอย่างนี้ก็มีอยู่ในตัวพระไตรปิฎกเอง เราไม่ต้องว่าเอาเอง ไม่ต้องบัญญัติเอง เอ่อ, คำอธิบายเช่นในปฏิสัมภิทามรรคเป็นต้น ก็เขียนไว้ชัดว่า โลกว่างเพราะว่างจากตัวตนจากของตน โลกว่างเพราะว่างจากอัตตาและอัตตนียา ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดูโลกว่างนั้นน่ะ บางคนคงจะคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดูว่า โลกนี้ไม่มีอะไร ว่างเปล่าสูญเปล่า เหมือนที่พูดกันเอาเอง
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดูโลกว่าง นี้คือว่าว่างจากความหมายที่จะเป็นตัวตนหรือเป็นของ ๆ ตน และคำอธิบายนี้ก็เขียนชัดอยู่ในปฏิสัมภิทามรรค ทีนี้ทรงสอนให้เห็นโลกว่างอยู่เป็นนิจ เอ่อ, ก็เพื่อจะไม่ให้เกิดกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง เป็นต้น เพื่อให้ความจริงหรือความถูกต้อง มัน เอ่อ, เป็นหลักประจำใจอยู่เสมอ ถ้าเราเห็นโลกว่าง ถ้าเราเห็นโลกว่างตามแบบของพระพุทธเจ้านี่ เราจะอยู่เหนือโลก เราจะเป็นผู้ครอบ ๆ ครองโลก พอเราโง่ไปเห็นโลกไม่ว่างเมื่อไร เอ่อ, โลกนี้จะครอบครองเรา นี่มันกลับกันอยู่อย่างตรงกันข้ามอย่างนี้ พอจิตของเราไม่ว่าง เห็นโลกโดยไม่ว่าง เพราะเห็นโลกโดยไม่ว่าง จิตของเราก็ไม่ว่าง เมื่อนั้นโลกครอบงำเรา ทีนี้เมื่อเราเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง เอ่อ, จิตว่างจากความยึดถือ เมื่อนั้นเราครอบงำโลก นี่ลองคิดดูคำไหนจะดีกว่า เราครอบงำโลกกับโลกครอบงำเรา เอ่อ, อันไหนจะดีกว่ากัน
เราจะต้องระวังให้ดีว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าจะไม่นำมาตรัสในฐานะที่ว่า นี้เป็นตถาคตภาสิตและเป็นเพียงเรื่องเดียวนี้ไม่มีเรื่องอื่น เมื่อเราเห็นโลกว่างจากตัวตนเอ่อ, มันก็มีผลถึงกับว่าเราอยู่เหนือโลก มีอำนาจเหนือโลก พอเห็นโลกไม่ว่างจากตัวตน เราก็อยู่ภายใต้โลก โลกครอบงำเรา เมื่อเห็นจิต เอ่อ, เมื่อ ๆ จิตเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่อย่างนี้แล้ว เอ่อ, มันก็ไม่มีทางที่จะเป็น Communism ได้ นี่เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วเมื่อตะกี้ นี้เรียกว่าเรื่องโลกว่างน่ะหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไร โลกคงมีตามที่โลกมี แต่จะมีมากขึ้น ๆ ๆ ตามความเปลี่ยนแปลง ตามกฎของความเปลี่ยนแปลง แต่ว่ามันว่าง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ปราศจากความหมายที่ว่าเป็นอัตตาหรือเป็นอัตตนียา เอ่อ, ดังที่กล่าวแล้ว
ทีนี้ต้อง เอ่อ, จะขอพูดลัด ๆ เรื่อยไป เอ่อ, ให้ทันแก่เวลา หัวข้อต่อไปก็คือคำว่าจิตว่าง เมื่อตะกี้เราพูดถึงความว่าง และเราพูดถึงเรื่องโลกว่าง ทีนี้เรามาถึงจิตว่าง คำว่าจิตว่างนี้มันเป็นเรื่อง เอ่อ, อย่างเดียวกันอีกแหละ มันไม่ใช่ว่างตามไอ้ที่คนธรรมดาเขาพูด มันว่างจากความยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวตนของตนก็แล้วกัน มันคิดนึกอะไรก็ได้ รู้สึกอะไรก็ได้ กำลังพิจารณาอะไรอยู่ก็ได้ แต่ถ้าปราศจากการจับฉวยอะไรว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว เรียกว่าจิตว่าง เอ่อ, ว่างตรงที่ไม่จับฉวยอะไรว่าเป็นตัวตนของตน นี่ตามหลักธรรมะแท้ ๆ เป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่เข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นต้องเอามาประมวลกันหมดแล้วมาแยกกันดู มันต่างกันอย่างไร
เพราะไอ้เช่นนี้เอง อาตมาจะต้องขอ เอ่อ, ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าจิตว่างนั้นมีอยู่ ๒ แบบ คือไอ้จิตว่างแบบอันธพาลอย่างหนึ่ง กับจิตว่างตามแบบของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านี้อีกอย่างหนึ่ง ทีนี้เราจะพูดถึงจิตว่างแบบอันธพาลก่อน จิตว่างแบบอันธพาลนั้น เป็นจิตว่างของคนที่ว่าเอาเอง แม้ในประเทศไทยเรานี้ ก็มีคนพูดว่าเอาเองว่าจิตว่างอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าเอาเองอย่างนี้ก็มี มันเหมาะสำหรับที่จะแก้ตัวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และจิตว่างแบบอันธพาลนี้ มีสำหรับพวกมิจฉาทิฏฐิ ปรากฏในพระพุทธศาสนา เอ่อ, ใน ๆ คัมภีร์พระไตรปิฎกนี่ว่ามีอยู่หลายลัทธิ ที่เด่นที่สุด คู่แข่งขันของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ๖ ลัทธิ ที่เรียกว่าครูทั้ง ๖ นั่น
ในครูทั้ง ๖ นั้น มีพูดเรื่องจิตว่างตรง ๆ อยู่ ๒ ครู เอ่อ, คือ ปูรณกัสสป กับ อชิตเกสกัมพลี เอ่อ, คนหนึ่งว่าไม่มีอะไร มัน ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่มีอะไร การกระทำนี่ ไม่เป็นกรรม ไม่เป็นกิริยา ไม่มีอะไร ไม่มีสัตว์ไม่มีคน ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีบุญไม่มีบาป อันนี้ก็มี นี่มันเป็นว่างแบบนี้ จิตว่างแบบอันธพาลอย่างนี้ อีกคนหนึ่งว่าเอ่อ, มันมีแต่ส่วนน้อย อนุภาคส่วนน้อย ที่เรียกว่าอนูหรือปรมาณู เพราะฉะนั้น เอ่อ, การที่คนฆ่าคนนี้ ไม่มีความหมายอะไร เพียงแต่วัตถุธาตุอย่างหนึ่งผ่านไปในระหว่างวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง เอ่อ, อย่างนี้ก็มี อย่างนี้ก็เป็นจิตว่าง เอ่อ, แบบอันธพาล เป็นมิจฉาทิฎฐิที่เหมาะสำหรับพวกโจร ลองไปอ่านหนังสือเรื่องพวกโจร เอ่อ, ต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย จะต้องถือลัทธินี้ เพื่อว่าฆ่าคนไม่บาป เพื่อว่าไปปล้นเอาของ ๆ เขามาไม่บาป แล้วเพราะฉะนั้นจึงต้องจัดไว้ในเขตที่ว่าเป็นจิตว่างแบบอันธพาล
แล้วยังน่าหัวนี่มากไปกว่านั้นอีกถึงว่า คัมภีร์ภควัทคีตาของฝ่ายฮินดู ฃึ่งเป็นคัมภีร์ดีที่สุด ที่สอนเรื่องอาตมันไม่ตาย แต่สอนเป็นทำนองมีตัวตน อาตมันไม่ถูกฆ่า อาตมันไม่ฆ่าใครนี้ ก็ยังถูกเอาไปใช้ในลักษณะที่เป็น เอ่อ, มิจฉาทิฏฐิ เพื่อจะแก้ตัวว่าฆ่าคนไม่บาป เพื่อนที่เป็นชาวอินเดียคนหนึ่ง เอ่อ, เอา ๆ ภควัทคีตาสวย ๆ เล่มสวย ๆ มาให้อาตมา แล้วบอกว่า เอ่อ, ฮิตเลอร์ได้สั่งพิมพ์หลายแสนเล่มไปแจกทหารของเขา นี้นี่ เป็นเรื่อง ๒๐ กว่าปีมาแล้ว เอ่อ, ตั้งแต่ครั้งกระโน้น เพราะว่าให้ทหารอ่านคัมภีร์ เอ่อ, ที่ไม่มีตัวตน เอ่อ, ที่ฆ่า ๆ กันไม่บาปนี่ แล้วก็จะได้ปฏิบัติหน้าที่ทหารอย่างดี
นี่ไอ้ความรู้ที่ว่าว่างหรือจิตว่างแบบอันธพาล ต้องมีอย่างนี้และถูกนำไปใช้อย่างนี้ ดังนั้นอย่าเอามาปนกันกับความว่างแบบของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องแยกความว่างแบบอันธพาลออกไปเสียประเภทหนึ่ง ว่าเอาเองก็ตาม ว่าเอาตามลัทธิของปูรณกัสสปหรืออชิตเกสกัมพลีก็ตาม หรือว่าแกล้งหาเล่ห์ตีความหมายของคัม เอ่อ, ของคัมภีร์ภควัทคีตาให้ผิด ๆ ก็ตาม แต่ยังมีอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นจิตว่างแบบอันธพาลทั้งนั้น
เอ้า, ทีนี้เราก็มาถึงจิตว่าง เอ่อ, ตามแบบของพุทธศาสนาหรือแบบของพุทธบริษัท ก่อนที่แต่ ก่อนแต่ที่จะกระโดดพรวดเดียวมายังไอ้จิตว่างแบบพุทธบริษัทนี้ เอ่อ, อยากจะแนะให้ดูไอ้สิ่งคั่นระหว่างกลางสักอย่างหนึ่งก่อน คือจิตว่างตามธรรมชาติ จิตว่างตามแบบธรรมชาติ เอ่อ, ว่างเองตามธรรมชาตินี้ ถูกมองข้ามอย่างไม่เป็นธรรมที่สุด หมายความว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ช่วยชีวิตมนุษย์ทั้งหมดไว้เลย แต่คนก็มองข้าม ไม่รู้จักบุญคุณของสิ่งนี้เลย ที่ว่าว่างเองตามแบบของธรรมชาตินั้นน่ะ หมายความว่า ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงนี้ เรามีจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูนี้อยู่หลายชั่วโมง
ขอวิงวอน ขออ้อนวอน ขอร้องให้ไปสังเกตดูกันใหม่ทุกคน ๆ ว่า ใน ๒๔ ชั่วโมงนี้ เราว่างจากไอ้ตัวกู ของกูที่เรียกว่าอุปาทานนี้ มากกว่าที่มันเกิด มันเกิดชั่วครู่ชั่วยามประเดี๋ยวประด๋าว ทางตา ทางหู ทางจมูกก็จริง แต่ว่ามันชั่วคราวเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ไอ้เวลาที่มันไม่เกิด ที่มันว่างจากไอ้ตัวกูของกูนี้ มันมีมากกว่า นี่ไม่ได้มีใครทำหรอก มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงมีเวลานอนหลับตั้ง ๘ ชั่วโมง แล้วเมื่อตื่น ๆ อยู่ เราก็ยังมีว่างจากไอ้อย่างนี้อยู่อีกตั้งหลายชั่วโมง เพราะฉะนั้นเราจึงสบายดี
ใครลองมีไอ้วุ่นเป็นตัวกู ของกูเกินกว่าระดับที่ธรรมชาติกำหนด คนนั้นก็เป็นโรคเส้นประสาททันที และถ้าขืนปล่อยไปหลายวัน มันก็จะเริ่ม เอ่อ, วิกลจริต หลายวันหลายเดือนเข้า มันจะวิกลจริตและจะต้องตาย เพราะไม่มีจิตว่างตามแบบธรรมชาติ ให้ถูกกับสัดส่วนที่ธรรมชาติต้องการ ให้เราจงรู้ไว้ว่า ที่เราไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่วิกลจริต ไม่เป็นบ้าตายนี้ เพราะบุญคุณของความว่าง ของความมีจิตว่างตามแบบธรรมชาติ ยังไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ของธรรมชาติ ที่มันเป็นอยู่ได้เองโดยไม่รู้สึกตัว ที่มันมีความสมดุล ถูกต้องอยู่โดยไม่รู้สึกตัว เอ่อ, เราจึงมีชีวิตเป็นปกติอยู่ได้
แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มพิสูจน์แล้วว่าในโลกนี้ เอ่อ, ในสมัยที่วัตถุนิยมกำลังก้าวหน้าฟุ่งเฟื่องฟูมากนี้ คนเริ่มมีจิตวุ่นมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับและเห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่า คนเป็นโรคเส้นประสาทกันมากขึ้น คน เอ่อ, ในกรุงเทพมหานครนี้ คิดเฉลี่ยแล้วเป็นโรคเส้นประสาทมากกว่าที่ไชยา นี่อาตมากล้ายืนยันอย่างนี้ หรือว่าว่ากันทั้งโลก เอ่อ, คนก็มีส่วนที่เป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้นกว่าที่แล้วมา โรงพยาบาลโรคจิตนี้ เอ่อ, หนาขึ้นกว่าเปอร์เซ็นต์ของคนโลกที่เพิ่มทวีขึ้น นี่เพราะว่าสถานะทางปัจจุบันนี้ เอ่อ, ทำให้คนมีจิตวุ่นโดยธรรมชาติมากกว่ายุคที่แล้วมา นี่ขอให้พิจารณาเห็นบุญคุณของไอ้จิตว่าง ที่ว่างอยู่ได้ตามธรรมชาติ
เอ้า, นี้ทีนี้เรียกว่ามันว่างตามธรรมชาติ ไม่ใช่เราทำ ไม่ใช่เราปฏิบัติ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เอ่อ, เราขอบใจธรรมชาติ เราขอบคุณธรรมชาติ แต่นี้ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่า ไม่พอ ที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น มันไม่พอ มนุษย์เราจะต้องรู้จักทำจิตให้ว่างด้วยฝีไม้ลายมือของเราเอง อีกส่วนหนึ่งเพราะว่าเรายังต้องเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งมันล้วนแต่จะมายั่วยุมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ก็เพื่อจะสอนวิธีที่จะเอาชนะสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำจิตให้วุ่นนี้ จะเอาชนะมันให้ได้ให้มากขึ้นไป ดังนั้นระเบียบ เอ่อ, ปฏิบัติในทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับการทำจิตให้ว่างนี้จึงได้เกิดขึ้น
คำว่าจิตว่างชนิดนี้ หมายความว่า เราต้องกระทำ เราต้องประพฤติ เราต้องปฏิบัติ ตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ นี่มันเกิดเป็น ๓ อย่างขึ้นแล้ว ที ๆ ๆ แรกอาตมาว่า ๒ อย่างเท่านั้น แต่ว่าว่างแบบอันธพาลนั้น มันไปพวกหนึ่ง ทีนี้ว่างตามแบบธรรมชาติหรือว่างตามแบบพระพุทธเจ้านี้ ไม่เป็นอันธพาล เราจึงเอามาไว้พวกเดียวกัน ๒ อย่าง
ทีนี้จะได้พิจารณาถึงส่วนที่ว่า พระพุทธเจ้า เอ่อ, ท่านสอนให้รู้จักทำจิตให้ว่างจากความรู้สึกว่าตัวตนว่าของตนนี้อย่างไร คำบัญญัติเฉพาะเรื่องนี้มีอยู่ว่า ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต ชื่อว่าว่าง เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าว่าง เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เอ่อ, ในอรรถกถาอย่าง ๆ สัทธัมมปัชโชติกานี้ ก็มีข้อความอย่างนี้มาก สูตรอย่างนี้มันมีอยู่ในอรรถกถาอย่างนั้น แต่ว่าเราอย่าไปเชื่อ เอ่อ, เชื่อไปตามตัวหนังสือ อย่าไปเชื่อตัวหนังสือว่า พอได้สักว่าอ่านหนังสือแล้วก็เชื่อ เราจงพิจารณาดูอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า มันว่างนี่ เพราะว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู แล้วไปโลภเข้า ว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกูแล้วไปโกรธใครเข้านี่ แล้วว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู แล้วไปหลงใหลอะไรเข้า เอ่อ, จึงจะเรียกว่าว่างตามแบบนี้
ทีนี้ว่างตามแบบของพระพุทธเจ้านี้ มันก็มีหลายชั้น มีหลายชั้นหลายลำดับ มันมากนัก เวลาก็ไม่พอ แต่จะสรุปรวบความให้สั้นว่า มันมีการ เอ่อ, มีวิธีทำให้ว่างโดยวิธีนิคคหะ คือข่มมันไว้ เมื่อเราเจริญสมาธิ นี่เรียกว่าเราข่มความวุ่นวายให้จิตว่างจากตัวกูของกูอยู่ได้ เรียกโดยวิธีนิคคหะ การข่มไว้ ทีนี้โดยวิธีปัคคาหะ คือทำความเข้าใจกัน ปรองดองกัน นี้ก็คือการพิจารณาตามทางปัญญาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องสุญญตา ให้พิจารณาอยู่เรื่อยอย่างนี้ ให้มันเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยปราศจากการข่ม อย่างนี้เราเรียกว่าใช้ปัญญา เอ่อ, เป็นวิธีที่ใช้ปัญญา
ทีนี้ถ้ามันว่างอย่างยิ่ง ว่างเด็ดขาดลงไปแล้ว เอ่อ, เราก็เรียกว่านิพพาน เมื่อใดความว่างเป็นไปถึงที่สุด เราเรียกว่า เอ่อ, เป็น ๆ ความว่างจริง เราก็เรียกว่านิพพาน ถ้าชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว ถ้าเด็ดขาดก็เป็นนิพพานถาวร คือนิพพานจริง ที่เรายอมรับหลักว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ ไอ้ที่ว่างอย่างยิ่งนั้นคือนิพพานก็หมายความอย่างนี้ คือมันเป็นผลของการที่เรากระทำโดยวิธีนิคคหะและปัคคาหะมาตามลำดับ แล้วเกิดความว่างขึ้นมา เอ่อ, ความว่างนั้น ว่างจากกิเลสคือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เรียกว่านิพพาน ถ้าว่างชั่วคราวก็เป็นเรื่องชั่วคราว เอ่อ, ว่างตลอดกาลก็เป็นเรื่องตลอดกาล
ไอ้เรื่องนิพพานชั่วคราวที่เรียกว่าสันทิฏฐิกนิพพาน เอ่อ, ทิฏฐธรรมนิพพาน หมายเอารูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ นี้ ไม่ใช่เขาระบุเอาตัวรูปฌานเป็นนิพพาน ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง ดังที่กล่าวไว้ในพรหมชาลสูตร แต่เพียงแนะ เขาเพียงแต่แนะให้เห็นว่า ในขณะแห่งรูปฌาน เอ่อ, นี่ เราไม่ถูกกิเลสรบกวน นี้เป็นการชิมลองภาวะที่ไม่ถูกกิเลสรบกวน คือความว่างจากกิเลส ดังนั้นคือรสชิมลองตัวอย่างของนิพพาน จึงได้เรียกว่าสันทิฏฐิกนิพพานบ้าง เอ่อ, ทิฏฐธรรมนิพพานบ้าง
ทีนี้ในชาณุสโสณีสูตร มัชฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสแก่พราหมณ์ชื่อนั้นว่า ไอ้ความว่างจากราคะ เอ่อ, โทสะ โมหะชนิดนี้ เป็น สนฺทิฏฺิก เป็น อกาลิก เป็น เอหิปสฺสิก เป็น โอปนยิก เป็น ปจฺจตฺต เวทิตพฺพ วิฺูหิ นี่เหมือนกับคุณบทของพระธรรม หมายความว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าว่าง เอ่อ, จากกิเลส คือนิพพาน คือเป็นสุขนี้ มันชินได้อย่างนี้ ไม่จำกัดเวลาอย่างนี้ เอ่อ, รู้ได้ด้วยตนเองอย่างนี้ ควรน้อมนำเข้ามาใส่ตัวอยู่เสมออย่างนี้ นี่ตัวความว่างในฐานะที่เป็นผลและเป็นความสุข ดังนั้นเราจึงควรจะรู้จักไอ้ความว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า เอ่อ, กันให้ถูกต้อง นี่จะพูดเรื่องนี้มากกว่านี้ก็จะ จะเลยเวลา นี่จะรู้สึกว่าจะเป็นผู้ผิดเวลาแล้ว เอ่อ, หรืออยากจะพูดต่อไปพอให้ เอ่อ, เป็นรูปเป็นเรื่องและจบ
ที่ว่าเรื่องความว่างนี้เป็นหัวใจพุทธศาสนา หมายความว่าต้องเป็นความว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า เอ่อ, ยกเว้น เอ่อ, ความว่างแบบอันธพาลออกไปเสีย ส่วนความว่างตามธรรมชาตินั้น อนุโลมมาไว้ในฐานะเป็นอุปกรณ์เรื่องความว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเรื่องความว่างตามแบบอันธพาลนั้น ก็ยังมีประโยชน์เห็นไหม เพื่อพวกโจรเอาไปใช้ได้ เอ่อ, พวกที่จะกระ กระทำอะไรอย่าง พวกโจรก็ยังเอาไปใช้ได้ แล้วก็พวก เอ่อ, คนอันธพาลก็เอาไปใช้ได้ แล้วคงจะเหมาะแก่พวกฝ่ายค้านตะพึดในวงการเมือง ที่จะมีการฝ่ายค้านตะพึด และคงจะความว่างแบบอันธพาลนี้ไปใช้ได้ มัน ๆ ก็คงไม่เสียหลาย แต่ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทแล้ว ขออย่าได้ไปแตะต้องไอ้ความว่างแบบอันธพาล อย่างน้อยก็เป็นไปตามแบบของธรรมชาติ หรือให้ดีที่สุดก็เป็นแบบของพระพุทธเจ้าที่ได้สอนไว้อย่างไร
ที่บ้านนอกเดี๋ยวนี้ยังมี เอ่อ, ประเพณีที่วิเศษที่สุดเหลืออยู่ ในกรุงเทพฯ ไม่ทราบ คือพอว่าเด็ก ๆ มาอยู่วัดจะบวชเณรเท่านั้นน่ะ แรกมาอยู่วัดจะต้องให้เรียนเรื่องความว่างก่อน ไอ้บทนั้นก็คือบทที่ขึ้นว่า ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ จีวรํ ตทุปภุญชโกจ ปุคฺคโล นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สุญโญ นี้ต้องเรียนก่อน นี่เป็นยอดหัวใจของพุทธศาสนา ที่สรุปไว้ในใจความสั้น ๆ อย่างนี้ ให้เด็กที่เข้ามาอยู่วัดเพื่อบวช ๆ เณร เรียนก่อนบทใด ๆ หมด บทไหว้พระสวดมนต์ยังไม่ให้เรียน นวโกวาท ยังไม่ให้เรียน อะไรยังไม่เรียน เดี๋ยวนี้ที่ไชยาก็ยังใช้อยู่ ที่นี่ไม่ทราบ ที่จังหวัดอื่นก็ไม่ค่อยจะทราบ
แต่เราต้องรู้ว่า ในสมัยหนึ่งบรรพบุรุษของเราแสนจะฉลาด ทั่วประเทศให้คนที่จะมาบวชนี่ เรียนหัวใจของพุทธศาสนาก่อนสิ่งใดหมด คือบท ยถาปจฺจยํ นี่ ปวตฺตมานํ นี่ สิ่งนี้ เอ่อ, เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สักเป็นแต่ว่าธาตุเท่านั้น คือจีวรและบุคคลผู้ใช้สอยจีวรนั้น ไม่ใช่สัตว์เลย ไม่ใช่ชีวะเลย ว่าง เรียนหัวใจของพุทธศาสนาเป็นวันแรกของการเข้ามาอยู่วัด และเมื่อได้ปฏิบัติไปตามนี้อย่างถูกต้อง คนก็เข้าใจเรื่อง เอ่อ, ความว่างอย่างถูกต้อง เอ่อ, มันจึงรับประกันได้ ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ซึ่งชักจะพร่า
ทีนี้เราก็มาถึง เอ่อ, เรื่องที่มันเนื่องกัน ซึ่งสำคัญมาก ซึ่งเป็นปัญหา เอ่อ, ในยุคปัจจุบัน คือข้อที่ว่านอกจากจะหาว่า ไอ้เรื่องจิตว่างนี้เป็นข้าศึกแก่การพัฒนา จะนำมาซึ่ง Communism เป็นต้นแล้ว ยังพาลหาเอาว่าเรื่องโลกุตตรธรรมทั้งหมดนั้น เอามาใช้กับฆราวาสไม่ได้ นี่เรื่องโลกุตตรธรรมเอามาใช้กับฆราวาสไม่ได้ นี่ท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทลองคิดดูให้ดี ๆ อย่าไปตกหลุมพรางในข้อนี้ เรื่องโลกุตตรธรรมเอามาใช้กับฆราวาสไม่ได้นี่ ต้องคิดดูให้ดี ๆ อย่าตกหลุมพราง เอ่อ, ของคำหลอกลวงในเรื่องนี้
พุทธศาสนาไม่มีโลกียธรรมนี่ เพราะว่ามันมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา ในบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง เอ่อ, สุญญตานี้ ท่านตรัสระบุสุญญตาเท่านั้น ที่เป็นโลกุตตรธรรมและก็เป็นตถาคตภาสิตา แล้วก็เรื่องโลกียธรรมที่ชาวบ้านเขารู้กันอยู่แล้ว เรื่อง เอ่อ, ทำมาหากิน เรื่องพัฒนาอย่างโลก ๆ นี้ ไม่ใช่ตถาคตภาสิตา แต่ว่าเรื่องสุญญตา คือเรื่องที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นนั่นแหละ เป็น เอ่อ, ตถาคตภาสิตา เพราะว่าเมื่อเราจะประกอบในโลกียธรรม เอ่อ, เรื่องทำมาหากิน เรื่องพัฒนาอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ถ้าเราเผลอไป เราจะถูกกิเลสครอบงำ เราจึงต้องมีอุบายที่ฉลาด คือความรู้เรื่องหัวใจของพุทธศาสนา เป็นเครื่องป้องกันไว้
ไอ้โลกุตตรธรรมนี้ พระพุทธเจ้าได้บัญญัติขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์ ไม่ให้มีความทุกข์ในการประกอบโลกียธรรมตามหน้าที่ของตน คือในสูตรที่มีอยู่ชัดเรื่องสุญญตา พวกฆราวาสพวกหนึ่งไปทูลถามพระพุทธเจ้าถึงข้อที่ว่า อะไรจะเป็นธรรมะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตลอดกาลนาน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายที่เป็นฆราวาส ครองเรือนแออัดด้วยบุตรภรรยานี่ พระพุทธเจ้าท่านระบุมาทันทีว่า เรื่องสุญญตาที่ตถาคตได้กล่าวไว้แล้ว เป็น โลกุตฺตรา เป็น คมฺภีรา เป็น คมฺภีรตฺถา นี่ล้วนแต่ว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งทั้งนั้นแหละ
ทีนี้ฆราวาสพวกนั้นเขาบอกว่ามันลึกเกินไป เอ่อ, พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอ่อ, ปฏิบัติไม่ไหว พระพุทธเจ้าก็ต้อง ท่านก็ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นจงปฏิบัติในธรรมะ ๔ ประการ เอ่อ, มีความเชื่อไม่หวั่นไหวในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ และมีศีลบริสุทธิ์ ทีนี้ฆราวาสพวกนั้นก็ทูลว่า อย่างนี้ได้ปฏิบัติอยู่แล้ว ก็เป็นอันเลิกกัน ไอ้ที่ให้ใหม่ก็ไม่เอา ไอ้ที่บอกให้ก็ปฏิบัติอยู่แล้ว ก็แปลว่าไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นเลย แต่ข้อความนี้ในพระคัมภีร์ เอ่อ, มันได้จบลงไปสั้น ๆ อย่างนี้
ทีนี้เราก็ต้องวินิจฉัย ไอ้ธรรมะ ๔ ประการนี้ คือ พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสทา ธมฺเม อเวจฺจปฺปสทา สงฺเฆ อเวจฺจปฺปสทา อริยกนฺตสี ๔ อย่างนี้ ในสังยุตตนิกาย เอ่อ, คัมภีร์สังยุตตนิกายพราวไปหมดนั้น เรียกธรรมะ ๔ ประการนี้ว่า โสตาปัตติยังคสังยุตต์ ฟังดูให้ดีเรียกว่า โสตาปัตติยังคสังยุตต์ แปลว่าองค์แห่งความเป็นพระโสดาบัน ใครประกอบด้วยธรรมะ ๔ ประการนี้ คนนั้นเป็นโสดาบัน และความเป็นโสดาบันนั้น เป็นโลกิยะหรือเป็นโลกุตตระ ลองฟังดูให้ดี
เราก็ยอมรับกันอยู่ทั่วไปเดี๋ยวนี้แล้วว่า ความเป็นพระโสดาบันนั้นเป็นขั้นโลกุตตระ ดังนั้นถ้าผู้ใดประพฤติ ๔ อย่างนี้อยู่แล้ว ก็เรียกว่าเป็นผู้ประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ นี่ถ้าเขาประพฤติไม่สมบูรณ์ ก็ยังเรียกลดลงมาอีกหน่อยว่าปุญญาภิสันทะ เอ่อ, ๔ อย่างนี้เป็นท่อธารที่ไหลออกแห่งบุญ นี่มันก็เป็นระดับชาวบ้านไป นี่คงจะตรงกับความหมายที่อุบาสกขณะนั้น คณะนั้นเขาทูลพระพุทธเจ้าว่า เขาปฏิบัติอยู่แล้ว คงจะเป็นไปแต่ในทางเป็นท่อธารแห่งบุญ แต่อย่าลืมว่า การที่คนจะมีศรัทธาถึงขนาดไม่หวั่นไหว