แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาทั้งหลาย ที่เป็นทั้งเพื่อนสหธรรมจารี และเพื่อนธรรมทูต ผมขอร้องให้ทุกท่านมาประชุมกันที่นี่ในเวลานี้ ถือเป็นเสมือนหนึ่งทำการเปิดการอบรมที่กำหนดไว้ว่าจะมีในสถานที่นี้โดยเฉพาะ คือการอบรมความรู้อันเกี่ยวกับการปฏิบัติ ส่วนจิตตภาวนาหรือสมาธิภาวนา เราถือว่าการอบรมของเราตั้งต้นแล้วตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป จึงถือเสมือนหนึ่งว่าเราเปิดการอบรมของเราบนยอดภูเขาพุทธทองนี้ อย่างน้อยก็ควรจะจดจำไว้เป็นที่ระลึกอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกันว่าเราได้ทำอะไรที่นี่ ในวันนี้ มีความหมายอย่างไร นี่ทำไมผมจึงเลือกเอาสถานที่นี้ และการกระทำอย่างนี้ ขอซ้อมความเข้าใจว่าการที่เลือกเอาสถานที่อย่างนี้ แทนในที่จะทำในอาคารก่อสร้างนั้น ก็เพื่อผลทางจิตใจบางอย่างซึ่งเชื่อว่าเพื่อนสหธรรมจารี เพื่อนธรรมทูต คงจะพอเดาเอาได้หรือเข้าใจได้ ซึ่งรวมความแล้วก็คือว่าเราจะสร้างความรู้สึกในจิตใจ เช่นเดียวกันกับที่เคยมีในครั้งพุทธกาลสำหรับท่านที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เช่น ภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น ไม่ค่อยจะได้ใกล้ชิดกับสิ่งปลูกสร้างแบบอาคาร โดยเฉพาะอาคารสมัยใหม่ เราคิดดูแล้วจะเห็นได้ว่ามันต่างกันมาก ถ้าเราจะไปนั่งในอาคารสถานที่ปลูกสร้าง แม้ที่สุดอย่างในตึกในค่ายลูกเสือกับนั่งที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันก็ต่างกันแล้ว ฉะนั้นความประสงค์ก็เพื่อจะกระทำเหมือนหนึ่งว่าย้อนรอยถอยหลังไปหาครั้งพุทธกาล ให้ได้ความรู้สึกที่คล้ายๆกัน
สำหรับเรื่องนี้ขอฝากความคิดเห็น หรือความแน่ใจไว้แก่เพื่อนสหธรรมจารีทั้งหลายสักอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราจะมีความรู้สึกคิดนึกอย่างท่านผู้ใดหรือของท่านผู้ใด เราจะต้องพยายามเป็นอยู่ให้คล้ายกับท่านผู้นั้นด้วย ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าเราอยากจะมีความรู้สึกความคิดนึกเหมือนท่านผู้ใด ให้ง่ายที่สุดแล้ว เราก็ควรจะเป็นอยู่ให้เหมือนกับท่านผู้นั้นด้วย ดังนั้นถ้าเราเชื่อว่า พระพุทธเจ้าท่านประทับ นั่ง นอน ยืน เดิน อยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุดอย่างไร เราก็ควรจะพยายามเลียนแบบท่านให้มากที่สุด เราจะเข้าใจท่านได้ง่ายที่สุดกว่าที่เราจะเป็นอยู่อย่างแตกต่างจากท่านอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ที่สุดแต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าเราอยากจะรู้สึก คิดนึก หรือ เข้าใจความรู้สึกคิดนึกของ นักปราชญ์ นักศึกษา ผู้ใด เราก็ควรจะพยายามเป็นอยู่ หรือ ทำอะไรทุกอย่างให้คล้ายท่านผู้นั้นให้มากที่สุด เราก็จะเกิดความรู้สึกคิดนึกเหมือนท่านได้ง่ายกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างแตกต่างกัน ดังนั้นเป็นอันว่าสมัยนี้ก็ดี สมัยโบราณก็ดี หลักเกณฑ์อันนี้ยังใช้ได้ ดังนั้นเราจึงพยายามที่จะ นั่ง นอน ยืน เดิน ให้ใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อผลข้อแรกคือจะได้มีความรู้สึกคิดนึกเหมือนท่านที่เป็นอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุดได้โดยง่าย นี่เป็นข้อแรก ทีนี้เรามองดูต่อไปอีก เราจะพบว่าธรรมชาตินี้มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเราให้เป็นไปในทาง สะอาด สว่าง สงบ ถ้ายิ่งไกลจากธรรมชาติไปเท่าไรก็ยิ่งถูกจูงใจไปในทางที่ตรงกันข้ามจากความ สะอาด สว่าง สงบ ดังนั้นเราจึงพยายามใกล้ชิดกับธรรมชาติในลักษณะอย่างนี้ให้มากที่สุด เพื่อเอากำไรโดยไม่ต้องลงทุนมากในส่วนนี้ คือส่วนที่ธรรมชาติจะให้แก่เรา ฉะนั้นเราจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นกันเองกับธรรมชาติ เพื่อเราจะศึกษาธรรมชาติ ผมจึงได้ชวนเพื่อนสหธรรมจารีทุกคนมาเริ่มการอบรมของเรา หรือ เหมือนกับการเปิดการอบรมของเราที่ตรงนี้ ในวันนี้ ด้วยการตั้งต้นด้วยความเป็นผู้คุ้นเคยกับธรรมชาติก่อน ขอได้โปรดเข้าใจอย่างนี้ด้วย และเราตั้งต้นด้วยธรรมชาติเช่นนี้มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องตั้งต้นด้วยความอดกลั้น อดทน ความอดกลั้น อดทน เป็นสิ่งจำเป็นตลอดการสำหรับการประพฤติธรรมะ และการสั่งสอนการเผยแผ่ ท่านหลายๆองค์เคยไปประเทศอินเดียเคยไปที่เขาคิชฌกูฎ เห็นสถานที่ประทับซากพระคันธกุฏิ เล็กๆของพระพุทธเจ้าบนยอดภูเขานั้น ถ้าท่านมีความคิดคงจะคิดในข้อที่ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงได้เสด็จขึ้นไปประทับบนยอดเขาคิชฌกูฎเป็นส่วนมากเมื่อเสด็จอาศัยกรุงราชคฤห์ ทำไมจะต้องทนลำบาก ขึ้นลง ๆ กับภูเขาคิชฌกูฎ ซึ่งแสนจะลำบากนั่น พระองค์จะมิทรงเหน็ดเหนื่อย อย่างที่พวกเราสมัยนี้ก็ต้องร้องว่า แย่ ๆ สำหรับผมเองคิดว่าท่านอยู่เหนือความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท่านจึงชอบประทับที่บนยอดเขาที่ขึ้นลงยากเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะสรุปใจความข้อนี้กันได้ว่า ความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อยนั้น ดูจะไม่มีสำหรับพระพุทธองค์ ทีนี้พอมาถึงพวกเราสมัยนี้ดูจะรู้สึกว่าเห็นความลำบากและเหน็ดเหนื่อยนั้นเป็นเรื่องใหญ่โต พยายามหลบหลีกกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าความรู้สึกอย่างนี้มีแล้ว ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะสำหรับพวกธรรมทูต และไม่เหมาะแม้กระทั่งผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะอยู่ประจำถิ่นด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเรามาชวนกันเป็นเกลอกันกับความลำบากและความอดทน และธรรมชาตินี้ให้มากที่สุด
ดังนั้น ผมจึงเขียนโปรแกรมไปในลักษณะที่ว่า เช้าประชุมที่นั่น บ่ายประชุมที่นี่ กลางคืนประชุมที่โน่น ซึ่งมันจะต้องให้ จะต้องใช้ความลำบากและความอดทน ดังนั้นการวางรูปกำหนดการเช่นนี้ก็คือการอบรมอยู่ในตัวของการวางกำหนดการนั่นเอง ฉะนั้นถ้าเห็นด้วยกันกับกระผมในเรื่องนี้ก็ขอให้ช่วยกันฝึกฝนความอดทนต่อความลำบาก ซึ่งเช้าจะต้องอบรมที่นั่น บ่ายจะต้องอบรมที่นี่ กลางคืนจะต้องอบรมที่โน่น ไม่เหมือนในห้องเรียนที่จัดไว้อย่างสะดวกสบายทุกอย่าง ไม่ต้องปีน ไม่ต้องป่าย นี่เราจะต้องปีน จะต้องป่าย จะต้องขึ้น จะต้องลง จะต้องวกวนไปมา จะต้องนั่งอยู่กับธรรมชาติ นี้เป็นข้อแรก รวมความแล้วก็คือว่า เหตุที่ชักชวนให้มาเปิดชั่วโมงแรกของการอบรมของเราที่นี่ก็เพื่อวัตถุประสงค์อย่างนี้ เพื่อใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อทำความคุ้นเคยกับความอดทน และ ความลำบาก จนเป็นของไม่มีความหมาย เหมือนกับที่มันไม่มีความหมายสำหรับพระพุทธองค์ ผู้เป็นพระศาสดาของเรา อย่างที่ได้ยกตัวอย่างให้ฟังแล้ว และพวกเราควรจะระลึกนึกถึงข้อที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปที่ไหนก็ต้องทรงเดินเท้า เดินไปด้วยเท้า แถมเท้าเปล่าด้วยซ้ำไป และดินฟ้าอากาศในประเทศอินเดียดุร้ายอย่างไรพวกเราก็เคยไปชิมกันมาแล้วหลายๆคน หลายๆองค์ ก็ควรจะทราบได้ ควรจะคำนวณได้ถูกต้องว่า พระพุทธองค์ผู้เป็นพระศาสดาของเรานั้น ท่านเป็นผู้ที่อดทนและเข้มแข้ง และไม่รู้จักความยากความลำบากนี้อย่างไร นั้นเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคิดนึกกันเสียใหม่ ที่จะต้องปรับปรุงกันเสียใหม่โดยไม่ปล่อยให้ความรู้สึกอย่างปัจจุบันนี้ครอบงำเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมือนที่กำลังขณะที่กำลังอยู่ในกรุง หรือเป็นอยู่ทุกอย่างในกรุง ซึ่งมันจะต้องแตกต่างกันมากกับในป่า นั้นเราจึงมาชิมป่าและตั้งต้นความคิดนึกอะไรบางอย่างกันในป่าซึ่งจะง่ายกว่าในกรุง ถ้าเราอยากจะทราบความรู้สึก หรือ มีความรู้สึกในทางใจของพระพุทธเจ้า หรือที่เป็นไปตามทำนองของพระพุทธเจ้าอย่างที่กล่าวแล้วว่า มีความเป็นอยู่เหมือนผู้ใดเราก็เข้าถึงความรู้สึกในทางจิตใจของผู้นั้นได้โดยง่ายนั่นเอง นี่เป็นข้อแรก
สำหรับธรรมชาติชวนหรือบังคับความรู้สึกของมนุษย์ไปในทาง สะอาด สว่าง สงบ นั่นมีประจักษ์พยานชัดอยู่แล้ว ในสิ่งต่างๆที่เป็นไปในครั้งพุทธกาล และก่อนพุทธกาลนานไกล และแม้ที่สุดแต่หลังพุทธกาลมาอีกมาก แต่ไม่ถึงไม่ถึงสมัยปัจจุบันนี้ก็ตาม แม้กระนั้นก็เป็นระยะกาลที่นานยาว ยาวนานโขอยู่ทีเดียว ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนานไกลถึงพุทธกาลและหลังพุทธกาลมาอีกมาก ซึ่งเขายังคงใช้ธรรมชาติอันสงบ สงัด เป็นพื้นฐานของการศึกษาของการเป็นอยู่ ของการศึกษาของการปฏิบัติ อบรม ในทางจิตทางใจ นั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายดาย มันง่ายดายโดยธรรมชาติช่วย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นกำไรได้มาก โดยลงทุนน้อย และเกือบจะเป็นอัตโนมัติ คือ เป็นไปได้เอง ขอให้สนใจในส่วนนี้เข้าใจในส่วนนี้ ความมุ่งหมายของเราที่จะอบรมอะไรบางอย่างนี้จะสำเร็จได้โดยง่าย สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั้นเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั้นเป็นพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือ พระธรรม เพราะผู้ที่เรียนภาษาบาลีมาเพียงพอแล้วจะทราบได้เองว่าคำว่า ธรรม ที่เรามาเรียกกันว่า พระธรรม นี้ คำว่า ธรรม นี้ เล็งถึงตัวธรรมชาติโดยตรงอย่างหนึ่ง เช่น พระนิพพานเป็นธรรมชาติอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งคุ้นปากเราในการเรียนภาษาบาลี แต่ธรรมชาติ คำว่า ธรรม นั้น เล็งถึงตัวกฎของธรรมชาติ คือ สัจจะต่างๆด้วย และคำว่าธรรมนั้นเล็งถึงการปฏิบัติ หรือ หน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นด้วย แล้วในที่สุดคำว่าธรรมนั้นเล็งถึงผลของการปฏิบัติ เช่น มรรค ผล นิพพาน เป็นต้นด้วย ดังนั้นคำว่า ธรรม จึงเนื่องกันอยู่กับธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ และเป็นผลที่มนุษย์จะได้รับถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ทั้งสี่อย่างตั้งรากฐานอยู่บนธรรมชาติ เราจึงต้องทำความเป็นสหายกันกับธรรมชาติให้มากที่สุด ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นการอบรมของเราด้วยการกระทำเสมือนหนึ่งว่า มาเซ็นสัญญาเป็นเกลอกันกับธรรมชาติเสียก่อนเป็นสิ่งแรก จึงได้ชวนมาทำพิธีคล้ายกับว่าเปิดการอบรมชั่วโมงแรกกันที่นี่
ทีนี้สิ่งต่อไป ถัดไป ที่จะขอให้สังวรณ์ไว้ในใจให้มาก ก็คือความที่ พุทธบุตร หรือ ธรรมบุตร ก็ตาม ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ที่เป็นสาวกพุทธบุตร ธรรมบุตร ของพระพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่งตายตัวลงไปเป็นของตน ต้องเป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตน อย่างในพระพุทธภาษิตพุทธกะนิกาย บาลีธรรมบทที่ว่า ภิกษุที่คิดว่าเราจะอยู่จำพรรษาที่นี่ ตลอดสามเดือนนี้เป็นภิกษุพาล พาละ เป็นพาล เป็นคนโง่ เป็นคนอ่อน เป็นคนเลว ว่าเราจะอยู่จำพรรษาที่นี่สักสามเดือน ถ้ามีความคิดอย่างนี้ เป็นคนพาล เป็นคนโง่ เพราะไม่รู้ว่า เราไม่ควรจะมีเรา และอยู่ที่ไหนนั่นเอง ถ้าตามวินัยจะบังคับว่าจะต้องอยู่จำพรรษาตลอดสามเดือนที่นั่น ที่นี่ นั้นเป็นเรื่องของวินัย มันคนละความหมาย ในทางธรรมกลับหาว่าเป็นพาล เพราะไม่ต้องการให้เป็นผู้มีสถานที่ที่ยึดมั่น ถือมั่นเป็นของตน แม้แต่ในช่วงระยะเวลาสามเดือน ความรู้สึกว่าเป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยนี้ เป็นของตนนี้ สำคัญมาก ฉะนั้นผมจึงวางรูปกำหนดการโปรแกรมของเราต่างๆในลักษณะที่ไม่ให้มีที่อยู่อาศัยที่ไหน เพราะคืนนี้เราอาจจะปูถุงพลาสติกนอนตรงนี้ก็ได้ คืนหลังปูนอนตรงอื่นก็ได้ทั่วไป ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเราอยู่ที่ไหน และที่นอนของเราอยู่ที่ไหน ที่ฉันของเราอยู่ที่ไหน เหมือนกับที่เราได้เริ่มการฉันมาแล้วตั้งแต่เมื่อเช้าและเดินมาที่นี่ แต่เรายังไม่ได้กำหนดสักทีว่า เราจะมีที่อยู่อันแท้จริงที่ไหนในที่นี้ ไม่ได้กำหนดว่าคืนนี้จะนอนที่ไหนกันสักที เราอาจจะตกลงกันตอนเย็นนี้กันก็ได้ว่า คืนนี้จะนอนที่ไหน ส่วนคืนต่อไปก็ยังไม่ทราบ นี้คือบทเรียนหรือที่เรียกว่าอบรมการปฏิบัติส่วนหนึ่งเกี่ยวกับที่เราจะเป็นธรรมทูต เราจะไม่ไปเป็นทูตที่มีที่อยู่ เราจะเป็นผู้ล่องลอย เลื่อนลอย เหมือนกับลมพัด เหมือนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสขอร้องนักขอร้องหนาว่า ภิกษุจงเป็นผู้เป็นอยู่เหมือนนก ที่มีแต่ปีกเป็นภาระหรือเป็นสมบัติ หมายความว่านกทุกตัวไม่มีสมบัติอะไรนอกจากปีกสองปีก นกทุกตัวไม่มีสมบัติอะไรนอกไปจากปีกสองข้าง เมื่อมันยังคงมีปีกเป็นสมบัติอยู่ มันก็รอดตายแน่ และภาระของมันก็คือ ใช้ปีกบินไปเพื่อกินอาหารก็ดี เพื่ออะไรก็ดี สำเร็จได้ด้วยปีกนั้น เป็นของเล็กนิดเดียว ง่าย ที่จะติดไปกับตัว ท่านทรงขอร้องให้เราเป็นอยู่อย่างนั้น หรือ ถือหลักอย่างนั้น ปรากฏอยู่ทั่วไปในบาลีมากมายหลายแห่ง ด้วยเหตุนี้แหล่ะจึงได้ขอร้องว่า อย่าได้มีอะไรเลย ในการมาพักผ่อนอบรมที่นี่ อย่าได้มีอะไรเลยนอกจาก ไตรจีวรกับบาตร กับผ้าปูนั่ง ปูนอน และกันฝน ผืนหนึ่ง นี่ก็เทียบเท่ากันกับได้ว่านกมีสมบัติเพียงปีกสองข้างเหมือนกัน เพราะบริขารคือ ไตรจีวรนี้ บาตรนี่ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้อย่างตัดทอนที่สุดแล้ว ให้เหลือน้อยที่สุดแล้ว เทียบเท่ากับปีกสองข้างของนก ฉะนั้นอย่าได้มีอะไรให้เป็นภาระ ไตรจีวรเราก็ติดตัวไปได้ บาตรก็ติดตัวไปได้ จะนั่ง จะนอน ที่ตรงไหน เมื่อไรอย่างไร ก็ได้ นี่คือสิ่งที่ขอให้สนใจและขอให้รับเอาในฐานะเป็นการอบรม ซึ่งผิดแปลกแตกต่างจากการอบรมที่รับอยู่ในกรุงเทพ ที่นี่รับการอบรมส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจโดยเฉพาะ จึงต้องตั้งต้นไปตั้งแต่เรื่องที่เป็นพื้นฐาน เป็นรากฐานหรือเกี่ยวกับจิตใจ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่นการเป็นเกลอกันกับธรรมชาติ หรือการไม่มีอะไร ไม่มีตัวเราที่อยู่ที่ไหน ขอให้ทำในใจให้เข้ารูปเข้ารอยกันกับความมุ่งหมายอันนี้ นี่เพียงสองข้อเท่านี้ก็พอแล้ว ที่เรียกว่า ได้ผลในการที่เราทนลำบากปีนขึ้นมาบนยอดภูเขานี้ และทำความเป็นสหายใกล้ชิดกันกับธรรมชาติทั้งหลายบนภูเขานี้
ภูเขานี้ชาวบ้านเรียกว่า เขาพุทธทอง จะพุทธ พระพุทธเจ้า หรือ พุทธอะไรก็บอกไม่ได้ แต่สันนิษฐานว่าก็คงหมายถึง พุทธ พระพุทธเจ้า คงจะมีพระพุทธรูปทองคำ หรืออะไรกันมาคราวหนึ่งก็อาจจะเป็นได้ เอาเป็นว่าหมายถึง พระพุทธเจ้า พุทธทอง นี้หมายถึง พระพุทธเจ้า เราสังเกตดู ลาน ชานชาลา แพลตฟอร์ม สี่เหลี่ยมนี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่าไม่ใช่ฝีมือธรรมชาติล้วน เป็นผลของการที่มนุษย์ได้เข้ามามาเกี่ยวข้อง ตกแต่งบ้าง คือ จัดก้อนหินให้เป็นเครื่องรับน้ำหนักกันดินพังอยู่รอบๆอย่างนี้ เมื่อผมมาที่นี่ มันก็รก ไม่มองเห็นสภาพเช่นนี้ แต่เพียงเอาของรกออกไปเท่านั้นก็เห็นสภาพเช่นนี้ จึงเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของเราได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือจัดทำมัน ทีนี้มาสังเกตดูก้อนอิฐ โดยวิธีจัดก้อนอิฐเป็นพระเจดีย์หรืออะไรทำนองนี้ เท่าที่มีอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ และ ลูกอื่นๆ เล็กๆๆที่คล้ายกันเป็นแถวเหล่านั้น ทำให้ทราบได้อีกว่าเป็นศิลปกรรมถึงสมัยศรีวิชัย คือสมัยรุ่นราวคราวเดียว สมัยเดียวกันกับสมัยพระบรมธาตุ ที่วัดพระบรมธาตุ ที่เราแวะเข้าไปเมื่อตอนเช้า ฉะนั้นเราควรจะถือว่า สถานนี้อย่างน้อยก็มีความศักดิ์สิทธิ์มาตั้ง ๑๒๐๐ ปีแล้ว เพราะความเก่าของมัน เคยมีผู้ที่รัก ที่พอใจในพระศาสนา เสียสละเพื่อพระศาสดาได้ทำมันขึ้น เราก็ควรจะภาคภูมิใจที่ว่า มันมีความเก่า มีความศักดิ์สิทธิ์ถึง ๑๒๐๐ ปี ถ้าอย่างไร มันจงช่วยสนับสนุนจิตใจของเราให้เป็นไปในลักษณะที่มั่นคง อดกลั้น อดทน ให้ใกล้ ให้เข้าไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของเราในการที่จะสืบอายุพระศาสนาของพระองค์ต่อๆไปได้ นี้พูดอย่างคล้ายๆกับว่า ถือโชคถือลางไปหน่อย แต่ก็มีเหตุผลไม่ใช่ถือโชค ถือลาง อย่างงมงาย ถือโชค ถือลาง อย่างมีเหตุผล เพราะว่าความสำเร็จของบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นยังประทับใจเราอยู่ เราก็จะจัดจะทำ ไปตามรูปตามรอย ให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นแก่เราด้วย จึงถือว่าเป็นการตั้งต้นหรือเป็นนิมิตที่ดี ที่เรามาประชุมชั่วโมงแรกของการอบรมใน จิตตภาวนา หรือเพื่อ จิตตภาวนา กันที่บนลานยอดเขาพุทธทองนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ
ทีนี้เราจะนึกกันเรื่อยเปื่อยไปว่า เหมือนกับเรานั่งอยู่ในอาคาร สถานที่ แห่งภาษาธรรม ภาษาธรรมะ ภาษาธรรมชาติแท้ก็ยังได้ คือต้นไม้ทุกๆต้นรอบตัวเรานี้ก็เหมือนฝาผนังอยู่แล้ว กิ่งไม้ใบไม้เบื้องบนเราก็เหมือนหลังคาอยู่แล้ว ฉะนั้นจะเรียกว่าเรานั่งอยู่ในโบสถ์ ในวิหาร ในอาคาร อะไรก็ได้ แต่เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร เป็นอาคาร ในภาษาธรรม โบสถ์ วิหาร อาคาร ในภาษาคน ก็คือ โบสถ์ วิหาร อาคาร ตามธรรมดาที่เราเห็นๆกันอยู่ เรียกๆร้องกันอยู่ นี่เรียกว่า โดยภาษาคน แต่ถ้าโดยภาษาธรรม ก็คือ ละเอียด ปราณีต เป็นไปในทางนามธรรม ยิ่งไปกว่านั้น นั้นเราจึงมีต้นไม้เป็นฝาผนัง มีใบไม้ข้างบนเป็นหลังคา ทำไมเราว่านี้เป็นวิหารของธรรม หรือ ภาษาธรรม ก็เพราะว่ามันให้ความรู้สึกที่เป็นอย่างละเอียดในทางนามธรรมยิ่งกว่าที่จะไปนั่งในโบสถ์ ในวิหาร ในภาษาคน ที่สร้างกันขึ้นสวยๆทั่วๆไป แน่นรกรุงรังไปทั้งโลก เพราะโบสถ์ วิหาร ที่นั่นให้ความรู้สึกไปในทางรูปธรรม ซึ่งเป็นของหยาบ และเอียงไปในทางตามใจกิเลส ส่งเสริมกิเลส ส่วนโบสถ์ วิหาร ในภาษาธรรมที่เรากำลังนั่งกันอยู่ในที่นี่นั้น เป็นของละเอียด เป็นไปในทางฝ่ายนามธรรม เป็นข้าศึกแก่กิเลส ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นการต่อต้านกิเลสขึ้นมาในตัวเอง ฉะนั้นโบสถ์ วิหาร ในภาษาคนก็อย่างหนึ่ง โบสถ์ วิหาร ในภาษาธรรมนั้นก็อีกอย่างหนึ่ง และตรงกันข้ามด้วย และเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกันด้วย ถ้าเราชอบ โบสถ์ วิหาร อาคาร ในภาษาคน เราต้องเกลียด โบสถ์ วิหาร อาคารในภาษาธรรม ถ้าเราชอบโบสถ์ วิหาร อาคาร ในภาษาธรรม เราก็ต้องเกลียด โบสถ์ วิหาร อาคารในภาษาคน หรืออย่างน้อยก็ขยะแขยง เอือมระอา เป็นต้น มันแตกต่างกันเป็นของตรงกันข้ามอยู่เรื่อยไปในระหว่างภาษาคนกับภาษาธรรม
ทีนี้เรื่องจิตตภาวนานั้นเป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องจิต เป็นเรื่องละเอียด เรามาตั้งต้นกันในโบสถ์ วิหาร ในภาษาธรรมอย่างที่นี่ เวลานี้ ก็เป็นการถูกต้องแล้ว ฉะนั้นขอให้ถือว่าเราได้เปิดชั่วโมงแรกแห่งการอบรมของเรา ในโบสถ์ ในวิหาร หรือ ในอาคาร ก็ตามที่ประเสริฐที่สุดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่จะมีผลดีแก่การงานของเราดีที่สุด ขอให้พอใจ และยินดี ด้วยทุกๆคนเถิด และมีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปในเรื่องอันเกี่ยวกับนามธรรม หรือ ภาษาธรรม ที่เป็นไปตามทางธรรม เราจะรู้สึกได้จากการอ่านพระบาลีทั่วไปทั้งพระไตรปิฎกว่า พระพุทธองค์ส่วนมากประทับอยู่ในโบสถ์ วิหาร อาคาร ตามแบบภาษาธรรม น้อยนักที่จะประทับในโบสถ์ วิหาร อาคาร ภาษาคน เพราะส่วนมากพระองค์ประทับอยู่ตามธรรมชาติ และแม้แต่กุฏิ วิหาร ที่พระองค์ประทับจริง ก็เล็กเกินไปกว่าที่จะมีความหมาย เหมือนโบสถ์ วิหาร ในภาษาคนแห่งสมัยนี้ อย่างที่เราเห็นพระคันธกุฏิ ที่ เขาคิชฌกูฏ นั้น กว้างยาวด้านละไม่เกิน ๓ เมตร อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นแทบจะไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าที่บังฝนนิดหน่อยเท่านั้น ฉะนั้นพระองค์ต้องถือว่าภูเขาทั้งภูเขานั่นแหละเป็นอาคาร สถานที่ สำหรับประทับอยู่อาศัย เป็นโบสถ์ วิหาร อาคาร ในภาษาธรรม อีกนั่นเอง ที่เราหวังจะสืบอายุของพระศาสนาของพระองค์ เผยแผ่ธรรมะในประเทศ นอกประเทศ ในฐานะที่เป็นธรรมทูต เราก็จะต้องนึกถึง สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะของธรรมทูต ธรรมะอะไรของธรรมทูตที่จะเอาไปเผยแผ่แก่โลกอันกว้างขวาง ถ้าทำผิดนิดเดียวจะกลายเป็นไม่ใช่ธรรมะหรือเป็นธรรมะในภาษาคน คือเรื่องหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ ไปตามความนิยมของคนที่มีความรู้ ความคิด การศึกษา และ การกระทำอย่างที่กำลังกระทำกันอยู่ในเวลานี้ แม้ในมหาวิทยาลัย ในสถาบันการศึกษาอันสูงสุดอะไรก็ตามทั่วโลก เขาจะหลงลืมตัว จะหลงใจลอยไปตามความนิยมของคนเหล่านั้น ในที่สุดก็จะเป็นเพียง ธรรมะในภาษาคน ไม่ใช่ ธรรมะในภาษาธรรม เป็นธรรมะที่ฟุ้งเฟ้อไปตามความคิดนึก รู้สึก ของคนสมัยปัจจุบัน ตามวิธีคิดนึกของคนปัจจุบัน กลายเป็นเรื่องจิตวิทยาล้วนๆไปบ้าง เป็นปรัชญาล้วนๆไปบ้าง ไม่ใช่เป็นธรรมะ หรือ เป็นพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาเลย นี่ก็เพราะจิตใจน้อมไปในทางภาษาคน
แต่ถ้าเรารู้เรื่องของธรรมในภาษาธรรม เราจะสามารถไปแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้เป็นไปในลักษณะที่ถูกต้อง เพื่อที่จะไปแก้ไขพุทธศาสนาที่อยู่ในรูปของปรัชญาหรือจิตวิทยาล้วนๆนั้น ให้มาอยู่ในรูปของพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาได้ ซึ่งหมายความว่าเราอาจจะสอนธรรมะหรือพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแก่ชาวโลกในมหาวิทยาลัย หรือในสถาบันการศึกษาไหนก็ตาม เพราะเรารู้พระพุทธศาสนาในลักษณะที่เป็น ธรรมะแท้ และในภาษาธรรม เราก็จะทำไปได้โดยถูกต้อง ไม่ไปตกหลุมตกบ่อของธรรมะในภาษาคน เหมือนที่พวกศาสตราจารย์ นักปราชญ์อะไรต่างๆเหล่านั้นเขากำลังตกกันอยู่ ผมมีความรู้สึกในเรื่องนี้มากที่สุด ฉะนั้นจึงขอเอามากล่าวเป็นเรื่องแรกในวันแรก ว่าระวังตัวให้ดี รักษาตัวให้ดี ให้อยู่ในเนื้อหาของธรรม ในกรอบของธรรม ที่ตั้งรากฐานอยู่บนธรรมชาติแท้ๆ ให้แน่นแฟ้น และก็จะไปแก้ไขสิ่งต่างๆที่ทำไปผิดๆให้ถูกต้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพุทธศาสนาที่สอนกันไปแต่ในลักษณะของภาษาคน จนกลายเป็นพระพุทธศาสนาแบบอื่น คือ เป็นปรัชญา เป็นจิตวิทยา ล้วนๆ ไป เป็นต้น ไม่ใช่เราจะติเตียนผู้อื่นและยกตนเองข่มผู้อื่น ไม่ใช่ แต่เราอาจจะกล่าวได้ว่าการเผยแผ่พุทธศาสนาที่เป็นไปในโลกประมาณ ๖๐ ปีมาแล้วนี้ มากมาย ๆ แต่ว่าทั้งหมดนั้นยังเป็นไปในทางภาษาคน เป็นเรื่องของหนังสือก่อน และยังไถลเดินแต่ไปในรูปในแนวของจิตวิทยา ปรัชญา ตรรกวิทยา หรืออื่นๆ ซึ่งไม่ใช่อยู่ในรูปของ พรหมจรรย์ หรือ ศาสนา โดยตรง นี่จึงเรียกว่าสิ่งที่จะต้องไปช่วยกันทำให้กลับมาสู่แนวหรือร่องรอยที่แท้จริง ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านธรรมทูตทั้งหลาย จะต้องไปทำ แล้วไม่ไปตกบ่อตกหลุมพราง ที่มันมีอยู่แล้วมากมายนั้นด้วย หรือไม่ถึง ไม่ไปเดินตามก้นเขาอีกด้วย เพราะว่าเขาอาจจะก้าวไปไกลในแนวของปรัชญา จิตวิทยา ยิ่งกว่าพวกเราที่เพิ่งเรียนกันใหม่ๆนี้ด้วยซ้ำไป นี่เราอาจจะถึงกับไปเดินตามก้นเขาก็ได้ ถ้าทำไปในรูปนั้น นี่เราจะต้องทำไปในทางที่จะไปชี้ให้เห็นความผิด ความถูก แก้ไขสิ่งที่มันไถลไปไกลให้กลับมาสู่ร่องรอยที่ถูกต้อง ให้มาสู่ธรรมะที่เป็นธรรมะแท้ ที่มีรากฐานอยู่บนธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงมาเป็นเกลอกันกับธรรมชาติให้มากในวันนี้ นั่งกลางพื้นดิน นี้ก็เป็นเกลอกันกับธรรมชาติ ยิ่งกว่านั่งบนโต๊ะ เก้าอี้ สวยๆในห้องเรียน นั่งในโรงเรียน อาคารเรียน ที่มีใบไม้เป็นเครื่องมุง มีต้นไม้เป็นฝาผนังนี้ มันก็เป็นเกลอกับธรรมชาติ ยิ่งกว่านั่งในอาคารเรียนที่สร้างขึ้นด้วยเงินแสนเงินล้าน แพงๆมาก ซึ่งมันแวดล้อมจิตใจไปในทางอื่น ไกลจากธรรมชาติ ฉะนั้นอย่างไรก็ดีให้เราถือเสียว่า เราจะเป็นผู้รู้ทั้งสองฝ่าย อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคฺคณฺหาติ ปณฺฑิโต บัณฑิตฉลาดสามารถถือเอาความหมายได้ทั้งสองฝ่าย คือที่มันตรงกันข้ามทั้ง ฝ่ายภาษาคน และ ฝ่ายภาษาธรรม เราจะชนะ เราจะไม่ตกหลุมพราง เราจะไม่กลายเป็นเดินตามหลังฝรั่งที่เป็นนักศึกษาในทางพุทธศาสนาอย่างแตกฉานไปในรูปของภาษาคน ภาษาคนที่ฉลาดอย่างยิ่งด้วยน่าสนใจด้วยเหมือนกัน แต่มันไม่อาจจะตรงจุดของพระพุทธศาสนาได้ เพราะมันเหินห่างออกไปจากธรรมชาติออกไปทุกที ดังนั้นจึงเป็นอันว่า เรากำลังทำสิ่งที่ทำยากที่สุด ผมขอบอกเพื่อนสหธรรมจารี เพื่อนธรรมทูต ทั้งหลาย ที่นี่ในเวลานี้ว่า เรากำลังทำสิ่งที่ทำยากที่สุด คือ การเป็นเกลอกันกับธรรมชาติ การศึกษาธรรมะโดยมีรากฐานบนธรรมชาติ การเข้าใจธรรมะและประสบผลของการปฏิบัติ โดยมีรากฐานอยู่บนธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่ทำยาก และยากออกไปอีกก็คือ เราจะต้องออกไปแก้ไขสิ่งที่ไม่เป็นอย่างนี้ให้มาเป็นอย่างนี้ เพื่อความเป็นพุทธศาสนาที่ถูกต้องหรือเดิมแท้ให้แก่โลกด้วย ฉะนั้นอย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเลย ระยะเวลาที่เขากำหนดให้อบรมกันเพียง ๑๘ เดือนนี้น้อยที่สุด เป็นของเล็กน้อยเกินไป ไม่สมกับที่เป็นเรื่องยากที่สุด แล้วถ้ายิ่งไปศึกษาเรื่องเกี่ยวกับวัตถุ เกี่ยวกับคน เกี่ยวกับอื่นๆนอกจากธรรมะเสียมาก แล้วมาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับธรรมะทางจิตใจเพียง สัปดาห์ สองสัปดาห์ นี้มันก็ยิ่งยาก ยิ่งเป็นบทเรียนที่ยากสำหรับท่านทั้งหลายยิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นถ้าหวังจะให้สำเร็จประโยชน์จริงๆแล้ว ขอได้โปรดระมัดระวังให้ดี จงตั้งต้นอธิษฐานจิตด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่งว่า เรามีเวลาระยะสั้นสำหรับการอบรม และเรื่องนั้นยากมาก ฉะนั้นต้องอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งใดเป็นข้าศึกแก่การเข้าถึงธรรมะแล้วต้องสละ สิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ธรรมะ แก่การเข้าใจธรรมะ เข้าใจถึงธรรมะนั้นมีมาก นับตั้งแต่การหัวเราะ ชอบหัวเราะมากเท่าไรจะยิ่งลบเลือน กลบเกลื่อนธรรมะมากขึ้นเท่านั้น นี้ยกตัวอย่างชนิดนี้ต้องขออภัย อย่าได้คิดไปว่าผมพูดในทำนองกระทบกระทั่ง เพราะคนก็ชอบหัวเราะกันอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ว่าสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่การรู้ธรรมะนั้น ก็คือ การหัวเราะด้วยเหมือนกัน หัวเราะในภาษาคน ในลักษณะของคนตามธรรมดาของคนที่ชอบหัวเราะ หัวเราะอย่างนี้เป็นข้าศึกแก่การรู้ธรรม พิจารณาธรรม เพราะมันทำให้ฟุ้งซ่าน ให้อ่อนแอ ให้เลอะเลือน แต่ถึงอย่างไรก็ดีมันยังมีการหัวเราะอีกชนิดหนึ่ง เป็นการหัวเราะในภาษาธรรม คือ หัวเราะเยาะกิเลส อย่างที่พระอรหันต์ท่านจะหัวเราะเยาะทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ไปเป็นบ่าว เป็นทาส ของมัน แล้วก็หัวเราะเยาะมัน นั่นอีกหัวเราะหนึ่งไม่ใช่หัวเราะเดียวกัน ดังนั้นการที่ขอร้องให้ระมัดระวังการหัวเราะนั้นหมายถึงหัวเราะอย่างคน อย่างภาษาคน ที่ชอบเล่นหลุกหลิก อ่อนแอ หัวเราะร่วน นี่เรียกว่าข้าศึกเบื้องต้น ถ้าเอาชนะข้าศึกเบื้องต้นไม่ได้แล้วยากที่จะเอาชนะข้าศึกที่ละเอียด ลุ่มลึกเข้าไป
ฉะนั้น ขอได้โปรดนึกถึงคำว่า อดกลั้น อดทน อดกลั้นต่อความยาก ความลำบาก ทุกอย่างทุกประการ นับตั้งแต่ไม่ได้หัวเราะนี้ก็เป็นเรื่องความยากลำบากมากสำหรับผู้ที่เคยหัวเราะเป็นนิสัย เคยหยอก เคยล้อ เคยเล่นกันเป็นนิสัย ถ้าอันหัวเราะนี้ยังอยู่แล้วไม่เข้าถึงธรรม ไม่เข้าถึงธรรมแล้วจะเอาอะไรไปเผยแผ่ ปัญหามันก็มีมากขึ้น ดังนั้นเราจะต้องทำทุกอย่างทุกประการที่จะช่วยให้เข้าถึงธรรม ซึ่งสรุปอยู่ในคำพูดเป็นคำเดียวว่า ความอดกลั้น อดทน เรื่องไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ไม่ได้อะไรต่างๆตามพอใจนั้น นั่นนะคือความลำบากที่ต้องอดกลั้น อดทน อันนี้เป็นธรรมะอย่างยิ่งอยู่ในตัวมันเอง แต่เรามองข้ามไปเสีย เห็นเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นคนโดยมากจะเห็นว่าเรื่องสูบบุหรี่นี้จะอะไรนักหนาเชียว เราอาจจะไปสูบบุหรี่อวดฝรั่ง สอนธรรมะให้แก่เขาก็ได้ผลถมไปแล้ว แต่ความจริงคงจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเรื่องสูบบุหรี่นี้เป็นเรื่องของคนอ่อนแอและเหลวไหล บังคับตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นบรรพชิตซึ่งจะต้องบังคับตัวเองยิ่งไปกว่าฆราวาส ถ้าทำเพียงเท่านี้ไม่ได้ มันก็มีความอ่อนแอมาก แล้วก็ไม่เข้าถึงธรรมะชนิดที่จะเอาชนะกิเลสได้ หรือชนิดที่จะเอาไปครอบงำโลกทั้งโลกได้ นี้การอดบุหรี่ก็เป็นความลำบากที่ต้องอดกลั้น อดทน ถ้าเราเอาชนะความอดกลั้นความลำบากนี้ คือ อดกลั้นอดทนนี้ไม่ได้มันก็เป็นปัญหา เหมือนกับหินที่เรียกว่าหินขวาง ขวางทาง สกัดกั้นภูเขาที่สกัดกั้นขวางทาง ขนาดนั้นทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ดังนั้น พร้อมๆกันไปในตัวก็ขอให้ถือโอกาส ละสิ่งที่ทำไปด้วยความรู้สึกอันอ่อนแอ เช่น ชอบหัวเราะตามสบายเกินไป ชอบสูบบุหรี่ตามสบายเกินไป ชอบนั่งนอนในที่สบายเกินไปอะไรเหล่านี้มากมายหลายๆอย่าง แต่รวมแล้วก็คือความอ่อนแอเหล่านี้กันในเบื้องต้น อย่างน้อยก็อธิษฐานจิตว่าเราจะทำลายสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะชนะ และขอให้ความรู้สึกอันนี้ตั้งต้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ บนยอดเขาพุทธทองนี้ด้วย ไม่มีอะไรกี่รายการหรือกี่สิบรายการ หวังว่าเพื่อนสหธรรมจารีทั้งหลายย่อมรู้ได้เอง ผมกล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่าง ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างก็พอแล้ว เวลาเท่าที่กำหนดไว้ที่นี่ก็มีอยู่เท่านี้
ฉะนั้น จึงขอสรุปความว่าเราอธิษฐานจิตที่นี่ เวลานี้ เสมือนหนึ่งตั้งต้นชั่วโมงแรกของการอบรมของเรา ด้วยการ (๑) เป็นสหายใกล้ชิดกับธรรมชาติ นี่ (๒) ยอมอดกลั้นอดทนเหมือนพระพุทธองค์เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธองค์ และ (๓) เป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยในโลกนี้ ไม่มีที่อยู่ที่อาศัยใดๆที่เป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรานี้ เพียง ๓ ประการนี้แล้วก็จะมุ่งหมายในการที่จะดำเนินงานธรรมทูตของเราให้สำเร็จไป ด้วยความเสียสละเหล่านี้ของเราเพื่อเป็นธรรมทูตที่แท้จริง ไปสอนธรรมะที่ถูกต้องและไปแก้ไขธรรมะที่สอนกันไว้เตลิดเปิดเปิงไปจนไม่เป็นตัวพุทธศาสนานั้น ให้กลับคืนมาสู่ร่องรอยของพุทธศาสนาที่แท้จริงกันในเวลาอันสั้นที่สุด จนกว่าพระพุทธศาสนา หรือ ธรรมะที่แท้จริงจะครอบงำโลกทั่วๆไป ปกป้องโลกนี้ให้ประสบความสุขหรือสันติภาพอันถาวรให้ได้ และทั้งนี้ทำไปเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง ขอร้องขอวิงวอนว่า ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อนสหธรรมจารีทั้งหลาย ผมปิดชั่วโมงแรกของการอบรมเท่านี้
ที่นี้โปรแกรมของเรามีจะไปดูวัด ขอบอกกล่าวเรื่องวัดนี้ก่อนเดินไปดูบ้างว่า วัดนี้โดยทะเบียนวัดชื่อ วัดธารน้ำไหล ชาวบ้านเรียก วัดเขาพุทธทอง พวกเราหมู่หนึ่งเรียกว่า สวนโมกข์ จะเรียกด้วยชื่อไหนก็ได้ทั้งนั้น เป็นอันว่ารู้กันได้ เนื้อที่ประมาณ ๓๐๐ ไร่ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย เพราะโดยพฤตินัยก็บวกค่ายลูกเสือเข้าไว้ด้วย เขาพุทธทองนี้อยู่ศูนย์กลางของพื้นที่ พวกเราแต่ไม่ใช่เพื่อของเราเพื่อตัวเราหรือเป็นของเรา แต่เรียกว่าพวกเราทั้งหมดคือพวกพุทธบริษัทนี้ได้มาฟรี เพราะว่าเราจัดการซื้อที่ดินรอบๆภูเขานี้ หรือว่าทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามกฎหมายเป็นเนื้อที่ของวัดหมด ส่วนภูเขานี้ก็เลยได้ฟรี โดยไม่ต้องทำนิติกรรมใดๆได้ฟรีโดยปริยาย คือไม่มีใครมายื้อแย่ง และเราก็สร้างอะไรได้บนภูเขานี้โดยไม่ถือสิทธิอะไรมากไปกว่าความต้องการชั่วคราว ฉะนั้นโดยพฤตินัยก็เรียกว่านับภูเขานี้รวมเข้าไปด้วยกับที่รอบๆภูเขานี้ เป็นวัดนี้ จึงมีประมาณ ๓๐๐ ไร่ขึ้นไป นี่เรากำลังนั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางกรุงเทพ ขวามือของเรานี้เป็นทิศตะวันออก ซ้ายมือเป็นทิศตะวันตก ด้านไปทางนี้หลังกระผมนี้ก็เป็นทิศใต้ ด้านทิศตะวันออกนั้นมีกุฏิอยู่สองสามกุฏิ อยู่กันสองสามองค์ ในลักษณะที่เป็นที่ติดต่อที่แรก พระที่อยู่จริงอยู่ทางด้านตะวันตกของภูเขาคือไปทางซ้ายโน่น และกำลังสร้างกุฏิพระที่อยู่อาศัยทางนี้หมด เพราะเรารู้ว่าไม่เท่าไรถนนที่หนวกหูจะผ่านมาทางด้านหน้า เราจึงเตรียมต้อนรับสถานการณ์นี้ด้วยการสร้างที่อยู่อันแท้จริงทางทิศตะวันตก ข้างหน้าคงไว้เพียงเป็นที่ติดต่อ อุบาสิกาก็อยู่กันบริเวณหนึ่งมุมหนึ่งทางทิศเหนือ ค่ายลูกเสือก็อยู่ทางทิศเหนือ ทางด้านทิศใต้นี้จะสร้างเป็นที่อยู่ของพวกอุบาสกรวมกับพระตามสมควร และมีลำธารอยู่ทางนั้น เรามีหนทางที่ทำไว้เดินรอบภูเขานี้เป็นชั้นๆๆๆ นับแต่ชั้นแรกที่สุดลงไปนิดหน่อยก็ถึงก็เดินได้รอบ ลงไปอีกชั้นก็เดินได้รอบ ไกลไปอีกชั้นก็วิ่งรถยนต์ได้รอบ อย่างนี้เป็นต้น นั้นเดินดูเอาเอง
เมื่อผมมาอยู่ใหม่ๆหมู่บ้านยังไม่มี บนนี้ยังมีกวางป่า ขึ้นมาถึงตรงนั้นก็เจอะกันเข้ากับกวางป่า กลางคืนยังมีเสือมาเที่ยวเป็นบางฤดู มีสัตว์ป่า เช่น อีเก้ง นี่มากมายร้องกันแซดไปหมด ทีนี้เมื่อมีวัดมาอยู่หรืออยู่ในทำนองวัดอย่างนี้ ชาวบ้านเขาก็ตามมาอยู่มากขึ้น ไอ้สัตว์เหล่านี้ก็ค่อยหายไป โดยเฉพาะกวางนี้ถูกฆ่าตาย ๒ ตัวที่ผมเห็นด้วยตา นอกนั้นมันก็หนีไปหมด แม้กระทั่งเสือก็ถูกจับไปขายหมด เป็นสินค้าที่ดี อีเก้งก็หายหมด เดี๋ยวนี้ก็เหลืออยู่แต่สัตว์เล็กๆที่อยู่บนยอดไม้ เช่น ค่าง เป็นต้น ออกไปนอกวัดทีไรถูกยิงตายตัวหนึ่งสองตัว ที่เหลือก็หนีกลับมาอยู่ในวัด พอนานๆเข้ามันลืมไป มันก็ออกนอกวัดให้ถูกยิง ตำรวจเขาช่วยขอร้องช่วยคุ้มครองก็ค่อยยังชั่ว นั่นนกหกก็ได้รับการคุ้มครองไปด้วย เราก็สนใจเป็นมิคทายวันแต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จ เพราะพอมันออกนอกวัดมันก็ถูกฆ่า และวัดก็ไม่ได้กว้างขวางมากมาย มันมีส่วนที่จะออกไปนอกวัดง่ายก็ถูกฆ่าอยู่บ่อยๆมันก็ร่อยหรอไป ค่างก็เหลือไม่กี่ตัวแล้ว มันก็นอนอยู่บนยอดไม้แถวๆนี้ กลางคืน นี่มันก็อยู่ในวัดนะเดี๋ยวนี้ แต่มันไม่อยากให้เรารู้ มองเห็นมัน มันสงบ นิ่ง แต่ว่าผมเชื่อว่าเราเหลือวิสัย สุตตะ ความสามารถที่จะสงวนสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ มันสงวนยากเหลือเกิน มันคงจะหมดไป แล้วสิ่งที่เราสงวนอย่างมากอีกอย่างคือต้นไม้ ขอร้องป้องกันทุกอย่างทุกทางที่จะสงวนเอาไว้ ให้คงเป็นสภาพธรรมชาติและมีใหญ่โต ร่มเย็น เพื่อว่าพอสักว่าเข้ามาในบริเวณนี้ก็เย็นเอง หยุดเอง สงบเอง ว่างเอง เพราะฉะนั้นวัดนี้หรือสวนโมกข์นี้ก็ตาม มีหลักการที่ยึดถืออย่างเคร่งครัดอยู่อย่างหนึ่งคือ จะสร้างหรือจัดสรรมันไปในลักษณะที่ว่าพอเข้ามาในเขตนี้แล้วจิตใจจะว่างเอง หยุดเอง สงบเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฉะนั้นเราจะต้องคงสภาพของต้นไม้ ก้อนหิน อะไรไว้ในลักษณะที่จะช่วยให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ นั้นเราจึงกล่าวได้ว่ามันก็เป็นธรรมทูตด้วยเหมือนกัน ก้อนหินนั้นก็เป็นธรรมทูต ต้นไม้นั้นก็เป็นธรรมทูต ธรรมชาติอื่นๆในบริเวณนี้มันก็เป็นธรรมทูต เพราะว่าพอเข้ามา จิตใจของผู้ที่เข้ามาก็ว่างเอง เย็นเอง หยุดเอง สงบเอง เป็นธรรมทูตในอีกแบบหนึ่ง ในอีกด้านหนึ่ง ในลักษณะหนึ่ง ฉะนั้นขอให้ถือว่ามันก็เป็นพวกธรรมทูตเหมือนกับเรา เป็นเกลอของเรา เป็นสหธรรมมิตรของเรา เป็นสหายของเรา ขอให้สังเกตในข้อนี้ แล้วพอใจ หรือยินดี หรือรักธรรมชาติ และสงวนความรู้สึกรักธรรมชาตินี้ไว้ให้ยังคงประทับใจประจำจิตใจอยู่เสมอ จะเป็นเครื่องรางคุ้มครองตลอดกาล ไม่ให้เราไปตกหลุม ตกหลุมพรางของโลกสมัยใหม่ได้ นี่ผมยึดในข้อนี้มากทีเดียวในการที่จัดวัด จัดบริเวณวัด จะตัดต้นไม้สักต้นหนึ่งมีความรู้สึกบอกไม่ถูก คงจะเท่าๆกับว่าที่คนธรรมดาเขาจะฆ่าลูกลงไปได้สักคนหนึ่ง อย่างนั้นด้วยซ้ำไป แต่มันก็ช่วยไม่ได้บางทีมันก็ต้องตัดต้นไม้บางต้นออกเหมือนกัน เพราะมันเป็นอันตราย หรือมันอยู่ไม่ได้เพราะมันมีเหตุผลอย่างอื่น นอกจากต้นไม้ ก้อนหิน เป็นตามธรรมชาติแล้ว เรายังต้องช่วยจัดด้วยเหมือนกัน ที่จะเกิดความรู้สึกประทับใจส่อแสดงไปอะไรต่างๆ ฉะนั้นถ้าเกิดสงสัยทำไมปล่อยให้รกรุงรังก็มี ปล่อยไว้ตามธรรมชาติเกินไปก็มี เข้าไปจัดการตกแต่งก็มี ก็ทราบได้เอง แต่ว่ามันมุ่งหมายอย่างที่ว่า นี้เราจะเดินไปดูวัดให้เข้าใจยิ่งขึ้น ตามโปรแกรมที่เขียนไว้ ผมจะพาไปดู แล้วก็ไปบรรจบกันที่สนามหญ้าหยุดกันที่สนามหญ้าค่ายลูกเสือ มีอะไรบางอย่างที่อยากให้ดู แล้วต้องพาไปดูเองด้วยจึงจะดูออก