แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ธรรมเทศนาเป็นปุพพาปรลำดับต่อจากธรรมเทศนาในตอนเช้า ซึ่งได้กล่าวถึงความขลาดของบุคคลที่กลัวตายจึงมีการทำบุญอายุไปในลักษณะที่เป็นการต่ออายุให้ยาวออกไป ไม่กล้าทำบุญในลักษณะที่เป็นการล้อเลียนอายุ นี่รวมกัน รวมความแล้วก็คือมีความขลาดเป็นเบื้องหน้า ขลาดจนไม่อยากจะตาย แต่ว่าความขลาดไม่อยากจะตายนี้ไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะบังคับคนเหล่านั้นให้ประพฤติธรรมะ เพราะว่าความขลาดกลัวความตายนั้นมีมูลมาจากการที่คิดไปว่าถ้าตายเสียแล้วก็จะไม่ได้บริโภคความสุขของโลกนี้ ที่อยากอยู่ก็อยากอยู่เพื่อจะบริโภครูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสหรือสิ่งที่เรียกว่ากามคุณในโลกนี้ กลัวจะพลัดพรากจากกามคุณด้วยความตายจึงไม่อยากตาย จึงได้ทำบุญต่ออายุไว้ ดังนั้นความขลาดชนิดนี้ ย่อมไม่ชักจูงคนให้เดินเข้ามาหาธรรมะ เพราะว่าเขามีความเข้าใจว่าเรื่องทางธรรมะนั้นเป็นเรื่องจืดชืดเป็นเรื่องแห้งแล้งไม่สนุกสนาน ยิ่งได้ฟังคำว่านิพพานด้วยแล้วก็จะรู้สึกว่าเป็นศัตรูอันร้ายกาจของตนทีเดียว เมื่อเป็นดังนี้ความกลัวตายจึงไม่บังคับให้คนแสวงหานิพพานคนทั่วไปทั้งหมดก็กลัวตายแต่แล้วก็ไม่แสวงหานิพพานอันจะทำความไม่ตายให้แก่ตน กลับเกลียดกลับกลัวเพราะมีใจยึดมั่นถือมั่นในความสุขทางโลกๆ หรือทางกามคุณดังกล่าวแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องมองให้เห็นว่าความกลัวตายนั้นมีอยู่หลายอย่างทีเดียว อย่างน้อยก็มีสักสองอย่าง คืออย่างหนึ่งทำให้คนนึกที่จะเอาชนะความตายด้วยการเข้าไปหาธรรมะ แต่อย่างหนึ่งกลัวธรรมะในฐานะที่จะทำให้ชีวิตนี้จืดชืดแห้งแล้ง ความกลัวอย่างนี้จึงมีมูลมาจากความไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ไม่มีความเข้าใจอันถูกต้องในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตดังที่กล่าวมาแล้วเมื่อตอนเช้า พอได้ยินคำว่าธรรมะก็นึกไปในทางที่จะเอือมระอามากกว่าที่จะพอใจ แต่บางทีก็มีการเข้าใจที่กำกวมเพราะคำว่าธรรมะนั้นมีหลายความหมาย ต่างคนต่างสันนิษฐานเอาตามความชอบใจของตน จึงเกิดความรู้สึกต่อธรรมะนี้แตกต่างกันไปก็มี ถ้าเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะโดยถูกต้องแล้วทุกคนก็จะวิ่งเข้าไปหาธรรมะในฐานะที่จะอำนวยประโยชน์ให้ทุกวิถีทาง ยังมีคนอีกจำพวกหนึ่งมีความขลาดมากไปกว่าพวกที่กล่าวมาแล้ว มีความขลาดจนถึงกับว่าตนไม่มีความสามารถหรือไม่มีกำลังอะไรที่จะต่อสู้กับกิเลสหรือกับความทุกข์ สมัครเอาแต่จะอ้อนวอนต่ออายุบ้าง นี่ก็เป็นการอ้อนวอน คนพวกนี้ยอมแพ้กิเลสตั้งแต่ต้นมือ ไม่มีความคิดที่จะเอาชนะกิเลศ เลยยอมไปตามอำนาจของกิเลศ ถือว่าความโลภหรือความโกรธหรือความหลงนี้ไม่เป็นที่น่ากลัวหรือไม่เป็นที่น่ากลัวมากเหมือนที่คนอื่นเขาคิดกัน ดังนั้น จึงยอมทำไปตามอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลงเพราะความขลาดอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้ามีอะไรมาทำให้เกิดความกล้าหาญกันบ้างแล้วก็จะเป็นผลดี ดังนั้นในการที่เราจะประพฤติปฏิบัติวัตร ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะที่เป็นความกล้าหาญเช่นธุดงค์ต่างๆเป็นต้น หรือแม้แต่จะอดข้าวสักวันหนึ่งนี้ก็ยังนับรวมอยู่ในธุดงค์ที่จะเป็นเหตุให้คนเกิดความกล้าหาญ สำหรับจะได้มีความคิดนึกที่จะต่อสู้กับกิเลส คนที่ขี้ขลาดที่สุดนั้นก็คือคนที่ไม่กล้าเดินตามทางธรรม ถ้าเป็นผู้นำก็ไม่กล้านำโลกหรือนำคนอื่นไปตามทางธรรม เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องจืดชืดแห้งแล้ง ดังที่กล่าวแล้ว ว่าที่จริงธรรมะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรือการเดินไปตามทางธรรมะนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ก็มีคนชะงักรีรอหรือกลัวหรือไม่กล้า ส่วนสิ่งที่น่ากลัว เช่น ความทุกข์เป็นต้น ก็ยังไม่กลัวกลับไปกลัวสิ่งภายนอกเล็กๆน้อยๆ เช่นคนที่กลัวตุ๊กแก กิ้งกือ หรือคนที่มีความขลาดก็เชื่อในโชคลาง แม้แต่จิ้งจกร้องขึ้นมาก็เกิดความหวาดกลัวอย่างนี้เป็นต้น รวมความแล้วก็ก็กล่าวได้ว่า ขึ้นชื่อว่าความขลาดก็เป็นอุปสรรคต่อการประพฤติธรรมไปเสียทุกอย่างทุกประการ ดังนั้น ความกล้าที่เรียกว่าเวสารัชชะนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราจะต้องกล้า กล้าในสิ่งที่ควรกล้า และกล้าแม้แต่จะลองดูในสิ่งที่แปลกประหลาดเมื่อมีเหตุผลที่สมควรที่ควรจะลองก็จะลองดู เป็นการเพาะปลูกความกล้าหาญให้มีมากขึ้นตามส่วน ทั้งหมดนี้เป็นความมุ่งหมายที่จะกำจัดความขลาดทั้งนั้น ทีนี้เราจะมาพิจารณากันดูต่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็จะพบว่าคนสมัยนี้อะไรๆเขาก็มีกันทั้งหมดแทบทั้งหมดยังขาดอยู่แต่สิ่งที่จะทำให้เขาไม่ต้องเป็นทุกข์ เนื่องจากสิ่งที่เขามีอยู่เหล่านั้นการที่คนสมัยนี้มีอะไรมากๆ หรือมีกันหมด แต่แล้วมีสำหรับให้เป็นทุกข์เป็นร้อน ยุ่งยากลำบากด้วยความวิตกกังวล หรือความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้ก็เรียกว่ามีความทุกข์หรือมีสิ่งที่เรียกว่าจะทำให้เกิดทุกข์หรือยึดถือสิ่งที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ไว้ในลักษณะที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาควรจะมีอะไรอีกสักอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามาสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่จะทำให้เขาไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งต่างๆที่เขามีอยู่ พิจารณาดูให้ดีทั่วๆ ไปทั้งโลก เขามีความก้าวหน้าในการมีการเป็นทุกอย่างทุกทาง แต่ยังขาดอยู่แต่สิ่งที่จะไม่ให้เขาต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งเหล่านั้น บัดนี้การที่คนทั้งโลกมีอะไรมากขึ้นเป็นความเจริญก้าวหน้านั่นเอง กลับเป็นต้นเหตุหรือเป็นมูลเหตุให้โลกนี้มีความโกลาหล วุ่นวาย ระส่ำระสาย ทุกข์ร้อนกันมากขึ้น จนความทุกข์ร้อนเหล่านั้นเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง ถ้าเราจะพูดรวมกันทั้งโลกก็กล่าวได้ว่าเป็นโลกที่มีความทุกข์มากขึ้น ถ้าจะกล่าวเป็นส่วนบุคคลก็กล่าวได้ว่าเขาไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะพึงได้ในชาตินี้ทำให้เขาเสียชาติเกิดมา คือเกิดมาสำหรับมีความทุกข์มากไม่ได้ประสบกับความสงบสุขในทางจิตใจ กินเหยื่อและติดเบ็ดเป็นประจำวัน ไม่ใช่เป็นการกินอาหารที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสงบสุขเยือกเย็น การกินเหยื่อนั้นหมายความว่ากินเพราะอยากด้วยกิเลสตัณหา หรือกินเพราะเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย กินอาหารนั้นหมายถึงกินตามปกติที่ร่างกายต้องการอาหารไม่เจือด้วยกิเลสตัณหา ถ้าเราหาอะไรมากินด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาและกินเข้าไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อย่างนี้เรียกว่ากินเหยื่อเพราะจะติดเบ็ดของกิเลสตัณหามีความทุกข์ร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นโดยเปิดเผยก็มี โดยเร้นลับก็มี โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี อย่างนี้เรียกว่ากินเหยื่อ แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจะหาอะไรมาก็หาด้วยสติสัมปชัญญะและปัญญา จะกินอะไรเข้าไปก็กินด้วยสติสัมปชัญญะและปัญญา อย่างนี้ไม่เรียกว่ากินเหยื่อแต่เรียกว่าการกินอาหารตามปกติธรรมดาที่บำรุงร่างกายให้เจริญและจิตใจก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย ถ้าคนเราอยู่ในโลกนี้ซึ่งเต็มไปด้วยเหยื่อของกิเลสตัณหาแล้วควบคุมกิเลสตัณหาไม่ได้ดังนี้แล้ว ก็จะกลายเป็นสัตว์ที่กินเหยื่อและติดเบ็ดอยู่เสมอ ไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ และได้รับอะไรๆ มาก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทั้งนั้น นี่ก็เพราะขาดความเข้าใจถูกต้องหรือขาดสัมมาทิฏฐิ อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาดังที่ได้กล่าวแล้วในการบรรยายตั้งแต่ตอนเช้า ดังนั้นเราจะได้พิจารณาเรื่องสัมมาทิฏฐิหรือความเข้าใจถูกต้องนี้ให้ละเอียดออกไปโดยฉพาะในบางแง่บางมุมที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากธรรมะอันสูงสุดนี้ ในชั้นแรกถ้าจะกล่าวอย่างกว้างๆ ในชั้นเบื้องต้นสำหรับชาวโลกทั่วไปเราก็ควรจะมองเห็นว่าคนทุกคนในโลกเป็นคนคนเดียวกัน ข้อนี้เป็นความจริงของธรรมชาติแต่คนไม่มอง หมายความว่าธรรมชาติแท้ๆ สร้างคนทุกคนในโลกมาเพื่อเป็นคนคนเดียวกัน แต่คนไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจหรือไม่รู้ไม่ชี้ด้วยซ้ำไปกับความจริงข้อนี้ คนจึงได้แบ่งแยกเป็นเขาเป็นเราเป็นพวกนั้นพวกนี้แล้วก็วิวาทกันหรือทำสงครามกันในที่สุด ข้อที่ว่าคนทุกคนในโลกเป็นคนคนเดียวกันนั้นเป็นความจริงของธรรมชาติที่ลึกเกินไป ถ้าใครอยากจะเข้าใจต้องเอาความเห็นแก่ตัวออกไปทิ้งเสียก่อน หรือความเคยชินในการที่เห็นแก่ตัว อะไรๆ ก็ตัวหรือของตัวมาตั้งแต่นมนานแล้วนั้นเป็นเครื่องปิดบังไม่ให้เห็นความจริงข้อนี้จะต้องเพิกถอนออกไปเสียก่อนและมองดูชีวิตในลักษณะต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าในทางวัตถุชีวิตเป็นอย่างไร ในทางนามธรรมชีวิตเป็นอย่างไรและของใครบ้างที่แตกต่างจากของใครในที่สุดก็จะมองเห็นว่าไม่มีอะไรที่แตกต่างกันในทางเนื้อหนังร่างกายก็มีชีวิตอย่างเดียวกัน คือความสดชื่นอยู่ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อหนังร่างกายทั้งตัว และในทางจิตใจนั้นก็คือความรู้สึกที่ดิ้นรนไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาเหมือนกันหมด ถ้ามองเห็นความจริงข้อนี้จะเห็นว่าไม่มีชีวิตไหนที่แปลกจากชีวิตไหนมีทางที่จะรวมเป็นอันเดียวได้โดยสนิทนี้เรียกว่าธรรมชาติเป็นผู้กำหนดไว้ แต่เรามีข้อแตกแยกกันด้วยความรู้สึกของกิเลสซึ่งเป็นธรรมชาติเหมือนกันแต่เป็นธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม คือทำให้เกิดความรู้สึกไปในทางที่เป็นตัวคนๆ เดียว คนหนึ่ง ส่วนย่อยส่วนหนึ่งขึ้นมา และก็มีการเปรียบเทียบในเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องดีกว่าเรื่องเลวกว่า อยากจะมีอะไรที่เป็นของตนจะยิ่งกว่าคนอื่น เมื่อเกิดความความรู้สึกพอใจในอารมณ์ชนิดไหนก็อยากจะได้อารมณ์ชนิดนั้นให้มากจนลืมนึกถึงคนอื่น ไม่เท่าไรคนก็มีความรู้สึกไปในทางแยกกันเป็นคนๆ เป็นเขาเป็นเราจนวิวาทกันและทำสงครามกัน นับว่าเป็นการลงโทษของธรรมชาติที่แท้จริงเรื่อยๆ ไปจนกว่าคนจะรู้สึก เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางที่คนจะรู้สึก เพราะคนทุกคนในโลกนี้เป็นคนๆ เดียวกันเพราะเหตุที่ว่าไม่มีใครเคยบอกเคยสอนอย่างนี้ ทุกคนเคยชินมาตั้งแต่ในทางที่จะเป็นตัวตนหรือเป็นของตนและให้ดีกว่าคนอื่นเสมอ วัฒนธรรมหรือประเพณีใดๆ ของทุกชาติทุกภาษากำลังมีอยู่ในลักษณะที่จะอบรมคนให้เป็นผู้เห็นแก่ตนโดยไม่รู้สึกตัว แม้แต่เด็กเล็กๆ เพิ่งจะเกิดมาก็ได้รับการอบรมให้รู้สึกว่าเราจะต้องสวยกว่าคนอื่น จะต้องรวยกว่าคนอื่น จะต้องดีกว่าคนอื่น จะต้องชนะคนอื่น เมื่อถูกอบ เมื่อถูกอบรมอย่างนี้ไม่เท่าไรก็เกิดความรู้สึกที่เป็นไปในทางอัตตวาทุปาทานอย่างแรงกล้าจนถอนไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรที่จะมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งนี้มาให้ใช้ในการถอน โลกทั้งโลกก็หมุนไปในกระแสเดียวกัน คือ ความมีตัวเป็นคนๆ และยิ่งมีความเห็นแก่ตัวหรือพวกตัวมากเท่าไรยิ่งเป็นการถูกต้องมากเท่านั้น ความเห็นอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง ก็แปลว่าคนเราถูกแวดล้อมอบรมอยู่ด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกว่าชีวิตทุกชีวิตเป็นชีวิตเดียวกันหรือว่าสัตว์ทั้งหลาย ทั้งคน ทั้งสัตว์เดรัจฉาน ทั้งเทวดาในเทวโลกก็เป็นคนๆ เดียวกันแปลว่ามิจฉาทิฏฐิที่ร้ายแรงกำลังครอบงำคนในโลก ไม่เหมือนสมัยพุทธกาลที่เคยได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับการสอนให้เจริญอัปปมัญญามีความปรารถนาดีต่อสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายโดยไม่แบ่งแยกและโดยไม่มีขอบเขต ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทุกทิศทุกทางให้ทุกคนแผ่รัศมีแห่งความรักใคร่ออกไปรอบตัว ในฐานะที่คนหรือชีวิตทั้งหมดนั้นมีความเป็นอย่างเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความทุกข์ร้อนอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน มีลักษณะมีความหมายหรือมีอะไรก็อย่างเดียวกัน คือในทางร่างกายก็ต้องการอย่างเดียวกัน ในทางจิตใจก็ต้องการอย่างเดียวกัน มีความต้องการที่จะบำบัดความทุกข์เหมือนกันไม่ผิดแปลกแตกต่างกัน เมื่อทุกคนถูกสอนถูกอบรมให้กระทำอยู่อย่างนี้จนเป็นนิสัย ความรู้สึกที่จะรู้สึกว่าชีวิตทั้งหลายเป็นชีวิตเดียวกันนั้นมันก็เกิดเองโดยไม่รู้สึกตัว จิตใจของคนในยุคนั้นจึงต่างจากจิตใจของคนในยุคนี้ แม้ที่สุดแต่การที่จะให้อภัยกันก็เป็นไปได้ง่ายยิ่งกว่าคนในยุคนี้ คนในยุคนี้เพียงแต่มองตากันก็จะฆ่าจะแกงกันเสียแล้วก็มีปัญหาเรื่องนี้มากขึ้นทุกทีนี่ล่ะคือผลร้ายที่เกิดขึ้นเพราะการที่คนในโลกเราปราศจากความเข้าใจอันถูกต้องในคนด้วยกัน เรียกว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ควรจะนำมาเป็นเครื่องรำพันพินิจพิจารณาในโอกาสเช่นนี้ ทีนี้ก็มองเลยขึ้นไปถึงสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ธรรมชาติสร้างความรู้สึกคิดนึกของคนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดศาสนาขี้นมาหรืออารยธรรมก็ตามนั้นด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน จนเรากล่าวได้ว่าศาสนาหรืออารยธรรมทุกสายทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นแม่น้ำสายเดียวกันแม้จะมีมากแควในตอนปลาย แต่ต้องรวมกันได้โดยส่วนใหญ่หรือเมื่อออกไปถึงทะเล ที่ว่าศาสนาทั้งหลายเหมือนแม่น้ำสายเดียวกันนั้น เราต้องพิจารณาดูกันถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ไม่มีศาสนาไหนที่ไม่ได้มีมูลเหตุมาจากความกลัว ต่อความทุกข์หรือต่อสิ่งที่มนุษย์ไม่ปรารถนาของมนุษย์นั่นเอง เรามีศาสนาเพื่อจะขจัดสิ่งที่เรากลัวหรือที่เราเห็นว่าเป็นอันตรายในทางจิตทางใจ อย่างน้อยก็กลัวว่าจะไม่มีความสุข สำหรับศาสนาพุทธเรามีความกลัวต่อกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เป็นเหมือนกับกำลังกระตุ้นอันสำคัญทั้งในทางที่จะให้เกิดมีศาสนาและทั้งในทางที่จะให้ประพฤติปฏิบัติในศาสนาซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว ศาสนาในยุคแรกๆ ของโลกอาจจะเป็นเพียงความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรก็ได้ แต่ความกลัวนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดลัทธิที่เรียกว่าศาสนาขึ้นมา ในยุคของพระพุทธเจ้านั้นรู้จักสิ่งเหล่านั้นดีจนไม่กลัว แต่ก็มากลัวสิ่งที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่ากิเลส แต่ความกลัวนั้นไม่ได้เป็นเหตุให้งอมืองอเท้าจึงได้คิดหาทางที่จะกำจัดมันเสีย และพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงค้นพบความจริงข้อนี้คือวิถีทางที่จะกำจัดกิเลสจะได้โดยอุบายอันแยบคายต่างๆ กัน ถ้าจะมองไปดูศาสนาไหนก็ล้วนแต่มีความกลัวอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นมูลเหตุด้วยกันทั้งนั้น สรุปแล้วอยู่ที่กลัวความทุกข์อยากจะไปอยู่กับพระเป็นเจ้าก็เพื่อจะได้พ้นทุกข์ อยากจะทำดีอย่างนั้นอย่างนี้ก็เพื่อจะได้พ้นทุกข์ เมื่อเอาความรู้สึกในส่วนลึกของสัญชาติญาณ กล่าวคือความกลัวต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนี้มาเป็นหลัก ก็จะเห็นได้ว่าศาสนาหรืออารยธรรมทั้งหลายเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงข้อนี้มันดีเกินไปมันอยู่ลึกเกินไปจนคนมองไม่เห็น มองเห็นแต่เปลือกของศาสนาหรือพิธีรีตองของศาสนาซึ่งเทียบได้กับเปลือก และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญเพราะฉะนั้นจึงเกิดมีศาสนาขึ้นมาในลักษณะที่ไม่ใช่ของธรรมชาติ แต่เป็นของมนุษย์ที่มีความเห็นแก่ตัว และเมื่อพระศาสดาผู้มีความเข้าใจถูกต้องได้ล่วงลับไปแล้วสาวกทั้งหลายก็ได้ขยายมิจฉาทิฏฐิอันนี้ให้มากขึ้นจนเกิดการเบียดเบียนกันในทางศาสนา ย่ำยีกันโดยทางศาสนา สิ่งที่เรียกว่าศาสนาซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งของคนในโลก ก็กลายเป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่มความทุกข์ให้แก่คนในโลก มีปัญหามากมายไม่น้อยกว่าเหตุการณ์อย่างอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่าศาสนาตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสของคน ของคนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของศาสนานั้นๆ เสียแล้ว ธรรมชาติจึงลงโทษให้อย่างขนาดหนักเช่นเดียวกันอีก คือทำให้คนต้องเป็นทุกข์เพราะศาสนาของตนเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง รวมกันกับความโง่เง่างมงายที่ไม่รู้จักศาสนาของตนเองว่าเป็นอย่างไร ไม่บำบัดทุกข์ในส่วนนี้ให้ได้แล้วยังเพิ่มความทุกข์อันเกิดมาจากการเบียดเบียนกันหรือข่มขี่กันในระหว่างศาสนาให้มากขึ้นอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้นคำพูดที่ว่าศาสนาหรืออารยะธรรมทั้งหลายเป็นแม่น้ำสายเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้สำหรับคนสมัยนี้ หมายถึงคนส่วนใหญ่หรือคนทั่วไปยังเข้าใจได้ไม่กี่คน น้อยเกินไปที่จะสร้างอิทธิพลให้แก่ศาสนาจนยับยั้งการเบียดเบียนในโลกนี้ได้ ผู้ที่มีทิฏฐิเป็นไปในทางผิดมองเห็นคนเป็นคนๆ ไป มองเห็นศาสนาเป็นศาสนาๆ ไป อย่างนี้แล้วเรียกว่ามีมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิคือไม่เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงตามที่ธรรมชาติแท้จริงได้กำหนดไว้หรือได้ปรุงแต่ขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีความเข้าใจต่อกันและกันในระหว่างคนด้วยกัน ความไม่เข้าใจต่อกันและกันในระหว่างคนด้วยกันนั้นจึงก่อรูปเป็นพญามารหรือเป็นซาตานหรือเป็นอะไรแล้วแต่จะเรียก ซึ่งล้วนแต่จะครอบงำย่ำยีทำให้มนุษย์ได้ประสบกันกับความทุกข์ ขอย้ำความเข้าใจที่ตรงนี้ให้แน่นอนลงไปอีกว่า สิ่งที่เรียกว่าพญามารหรือซาตานหรือเจ้าแห่งความทุกข์หรืออะไรก็ตามนั้น ความไม่เข้าใจต่อกันและกันของคนนั่นแหละสร้างมันขึ้นมา ความไม่เข้าใจตัวเองเป็นเหตุให้ไม่เข้าใจผู้อื่นแล้วก็ไม่เข้าใจต่อกันและกัน ตัวความโง่ความหลงความเข้าใจผิดนั้นหลอมตัวเองกันเข้าทั้งหมดเกิดเป็นสิ่งที่มีอำนาจอย่างยิ่งชนิดหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ ซึ่งสามารถทำให้คนเป็นทุกข์โดยไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้เพราะมีอำนาจน้อยเกินไป แต่ละคนๆ มีอำนาจต้านทานน้อยเกินไปจึงต้องถูกครอบงำโดยอำนาจส่วนใหญ่ซึ่งเป็นอำนาจทำลายหรืออำ อำนาจทำให้เกิดความทุกข์ ดังนั้นเราควรจะถือว่าความเข้าใจต่อกันและกันนั่นแหละเป็นสิ่งที่จะปราบพญามารหรือทำลายซาตานหรือจะเรียกว่าความ ความเข้าใจต่อกันและกันนี้เป็นพระเจ้าที่จะช่วยโลกให้รอดได้ คำว่าพระเจ้าหรือพระเป็นเจ้านี้เรามีความหมายสำคัญอยู่ตรงที่ว่าจะเป็นผู้ที่ช่วยให้เรารอดจากอันตรายที่เราไม่ต้องการ แต่เรื่องพระเป็นเจ้าหรือพระเจ้านี้เมื่อถูกความเข้าใจผิดครอบงำก็หันเหไปนอกทิศนอกทาง เกิดมีพระเจ้าชนิดที่ช่วยภายในได้ขึ้นมาแต่คนก็หลงบูชากันนักยิ่งกว่าพระเป็นเจ้าที่แท้จริงหรือกล่าวอย่างหนึ่งก็คือว่าไม่รู้จักพระเป็นเจ้าที่แท้จริง ไปสร้างพระเป็นเจ้าเปลือกๆ ขึ้นมาจึงช่วยไม่ได้ ยิ่งถือพระเป็นเจ้าชนิดนี้ก็ยิ่งทำให้เป็นคนบ้าบอมากยิ่งขึ้น แล้วก็จะไปเข้าใจในพระจะเป็นเจ้าที่แท้จริงได้อย่างไรกัน พระเป็นเจ้าที่คนงมงายช่วยกันสร้างกันขึ้นมานั้นกลายเป็นพญามารไปในที่สุด คือกักขังคนเหล่านั้นไว้ในวงของความทุกข์ออกไปไม่ได้ มีความงมงายนั่นเองเป็นคอกหรือเป็นคุกขังคนเหล่านั้นไว้ เมื่อเป็นดังนี้ความที่เห็นแก่ตนหรือเห็นแก่ศาสนาของตนหรือเห็นแก่พระเจ้าของตนโดยไม่เห็นแก่พระเจ้าของคนอื่นเป็นต้นนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้นในโลกนี้ ทำให้เรามองเห็นได้ว่าผี ปีศาจ คือสัมมาทิฏฐินั้นได้เปรียบมากยิ่งขึ้นทุกที จนสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐินั้นต้องถอยไปจากโลกนี้ เห็นได้ง่ายๆ ตรงที่ว่าเดี๋ยวนี้เขาจะจับโลกนี้ให้เป็นผาสุขกันด้วยการเมืองด้วยวิถีทางการเมือง แต่โดยเนื้อแท้ของธรรมชาติแล้วโลกนี้ไม่อาจจะมีสันติภาพได้ด้วยวิถีทางของการเมือง มองดูให้ลึกลงไปว่าธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ธรรมชาตินั้นเป็นของจริงเป็นสิ่งที่จริงหรือเป็นสิ่งที่มีความยุติธรรมไม่หลอกลวงตรงไปตรงมา ไม่มีเขาไม่มีเรา มันสร้างโลกขึ้นมาสำหรับจะต้องดำเนินไปตามกฎเกณฑ์อันนี้ กฎเกณฑ์อย่างอื่นใช้ไม่ได้ ทีนี้เรื่องการเมืองในโลกนี้เป็นเรื่องที่มีรากฐานอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว แง่ของการเมืองก็คือแง่ที่จะหาประโยชน์ใส่ตัว โดยการเอาเปรียบผู้อื่น อย่างนี้มันก็ทะเลาะกันกับธรรมชาติตั้งแต่ต้นจนปลาย จะเอาวิถีทางการเมืองไปจับโลกของธรรมชาติให้มีสันติภาพนั้นไม่ได้ และไม่มีใครทำได้ โลกนี้จึงอยู่ในสภาพอันอื่นซึ่งไม่ใช่สันติภาพ คือแล้วแต่การเมืองจะนำไปแล้วแต่การเมืองเขาจะเรียกมันว่าอย่างไรมีหลักเกณฑ์อยู่ที่ว่าใครดีใครได้ ใครได้มากก็มีก็ดีกว่าคนอื่น อย่างนี้ไม่ใช่สันติภาพและไม่มีทางที่จะมีสันติภาพได้โดยวิธีนี้ การที่คนส่วนมากสมัยนี้มีความคิดที่จะจัดโลกให้มีสันติภาพด้วยการเมืองนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่เข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องของธรรมชาติ การจะจัดโลกให้มีสันติภาพนั้นต้องทำไปด้วยความจริงความตรงความยุติธรรมเช่นเดียวกับที่ธรรมชาติได้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาตามกฎตามเกณฑ์ที่ตายตัว ทำดีก็ดีทำชั่วก็ชั่ว ความจริงก็ต้องเป็นความจริง การได้หรือการเสียนั้นมันมีอยู่ว่าจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง ถ้าเป็นการคดโกงล่อลวงกันการได้การเสียนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่จริง และทำให้ไม่มีความยุติธรรมในโลก อย่างที่เรียกว่าโลกนี้ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ไม่มีการคุ้มครองของธรรมะแล้วมันก็เป็นโลกที่ถูกยื้อแย่งกันด้วยกิเลส ไม่มีทางที่จะสงบระงับได้ เราก็เกิดมากับเขาคนหนึ่งในโลกนี้ด้วยเหมือนกัน ควรจะมีความรับผิดชอบเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นจึงเอามาพินิจพิจารณาดูในโอกาสเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้เข้าใจได้ว่าสัมมาทิฎฐิหรือความเข้าใจถูกต้องนี้ช่างจำเป็นเสียเหลือเกิน เข้าใจตัวเองให้ถูกต้อง เข้าใจผู้อื่นให้ถูกต้อง เข้าใจธรรมชาติให้ถูกต้อง เข้าใจศาสนาให้ถูกต้อง เข้าใจการเมืองให้ถูกต้อง หรือเข้าใจทุกอย่างในโลกให้ถูกต้อง จึงจะช่วยกันทำโลกให้น่าดูเพื่อให้มีสันติภาพได้ แต่ความหวังข้อนี้ยังเลื่อนลอยเต็มที เนื่องมาจากเหตุอีกอย่างหนึ่งคือการศึกษาในโลกเวลานี้ การศึกษาที่ปราศจากความเข้าใจถูกต้องในความจริงของธรรมชาตินั้นกลายเป็นเครื่องทำลายโลก อย่าได้หลงเพ้อไปตามเขาว่าการศึกษาจะช่วยสร้างสันติภาพในโลก เราต้องมองกันให้ชัดลงไปว่าการศึกษานั้นมันไม่แน่ว่าจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องในความจริงของโลกหรือหาไม่ เมื่อไม่เข้าใจแม้ในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตแล้วการศึกษานั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คือมีแต่จะทำไปตามอำนาจของกิเลส ดังนั้นจึงกลายเป็นเครื่องทำลายโลก หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำโลกให้ระส่ำระสายวุ่นวายยิ่งขึ้นทุกที การศึกษาสมัยนี้ใครเป็นผู้ยืนยันได้ว่าเป็นการศึกษาที่ประกอบไปด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่เราเรียกกันว่าชีวิตหรือความทุกข์ หรือตามหลักของพุทธศาสนาที่ได้กล่าวมาแล้ว บางทีจะไม่ลืมหูลืมตาสำหรับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตหรือความทุกข์ด้วยซ้ำไป เพราะไปมัวสาละวนกันอยู่แต่เรื่องอารมณ์หรือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงตา หู จมูก ลิ้น กายของตนให้มีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงไปตามอำนาจของกิเลสตัณหานั้นๆ รู้จักอย่างเดียวแต่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ไม่รู้จักอะไรอื่น ความต้องการมีแต่จะให้ได้รับสิ่งเหล่านี้มากไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีความต้องการอย่างอื่น คนจำนวนมากนิยมกันอย่างไรผู้จัดการศึกษาก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของคนเหล่านั้นจึงได้จัดการศึกษาไปตามความนิยมของคนส่วนใหญ่ และผู้จัดการศึกษาเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจของการครอบงำนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอะไรที่คนทั้งหมดจัดการศึกษากันในทำนองนี้หรือทำนองไหนอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็ไม่มีประโยชน์อะไรในการที่จะช่วยให้โลกนี้มีสันติภาพ ถ้าเมื่อใดคนส่วนมากมองเห็นความจำเป็นที่เราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติในส่วนลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าชีวิตในด้านลึก กิเลสและความทุกข์ในด้านลึก เป็นต้น แล้วจัดการศึกษากันไปในลักษณะที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ที่จะทำลายความรู้สึกที่เป็นไปทางต่ำ หรือทางทุกข์ และอดกลั้นอดทนต่อสู้ดำรงตนอยู่ในทางของความรู้สึกฝ่ายสูง ไม่เท่าไรก็จะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพอันถาวรได้ ดังนั้นการศึกษาในโลกนี้จะต้องรอไปอีกนานจนกว่าจะได้เกิดความเข็ดหลาบในการได้รับผลของความเข้าใจผิดอย่างเจ็บปวดกันเสียก่อนแล้ว มองไปอีกทางหนึ่งคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ชอบยกเอามาอวดอ้างกัน ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นความดีและมีเกียรติและช่วยให้โลกนี้ประสบสันติภาพ เดี๋ยวนี้เรามองเห็นแต่การช่วยเหลือกันก็เพื่อจะเอาไปเป็นพวกตัวให้เกิดกำลังมากสำหรับครอบงำพวกอื่นนี้เสียเป็นส่วนมาก แม้ที่ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ยังไม่รู้ว่าควรจะช่วยในส่วนไหนกลายเป็นไปช่วยในส่วนที่ไม่ควรช่วยหรือในลักษณะที่ไม่ควรช่วย เช่นว่าจะช่วยชีวิตคนไว้ก็ช่วยอย่างหลับหูหลับตา การช่วยคนที่ไม่มีความเข้าใจถูกต้องหรือคนมิจฉาทิฏฐิไว้นั้นไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศล ไม่เป็นที่น่าสนใจ ซ้ำกลับแต่เป็นการทำให้พลาดจากการที่จะช่วยคนที่ควรจะช่วยด้วยซ้ำไป ความงมงายเกี่ยวกับการช่วยผู้อื่นหรือการบำเพ็ญกุศลนี้ก็ยังมีอยู่มากในลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าคนสมัยนี้ต้องการจะช่วยผู้อื่นด้วยเอาหน้า ไม่ใช่ช่วยด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งไปกว่าเอาหน้าก็คือเอาพวก เมื่อได้พวกมากก็ทำให้โลกนี้สูญเสียความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้นก็ทำให้คนในโลกนี้มีลักษณะเหมือนกับตกอยู่ในความมืดมน มืดแสนที่จะมืด คือมืดถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าจะไปกันทางไหนดี หรือมืดจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี กลายเป็นเดินผิดทางหรือทำไปในลักษณะที่ทำให้ปัญหายุ่งยากเกิดมากขึ้น สิ่งที่น่าพิจารณาดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีเช่น พิจารณาดูกันที่มนุษย์กำลังใช้จ่ายหรือลงทุนกันอยู่ในโลกนี้ ส่วนใหญ่นั้นใช้จ่ายหรือลงทุนไปในทางการทำสงคราม ท่านฟังดูให้ดีหรือคิดดูให้ดี สังเกตุดูให้ดีว่ารายจ่ายมากๆ ส่วนใหญ่ที่แต่ละประเทศจะจ่ายนั้น จ่ายไปในทางสงครามหรือเนื่องด้วยสงคราม แต่รายจ่ายมากมายนี้เอามาเทียบกันดูก็จะเห็นว่ามันมากเกินกว่าที่จะเอามาจัดโลกนี้ให้มีความเข้าใจถูกต้อง การที่จะจัดโลกนี้ให้มีความเข้าใจถูกต้องนั้นใช้เงินน้อยนิดเดียว ถ้านำไปเทียบกันกับการใช้จ่ายที่เขาใช้ไปในการทำสงคราม แต่แล้วทำไมจึงไม่มีใครยอมจ่ายเงินนี้มาในทางที่จะทำโลกนี้ให้มีความเข้าใจถูกต้องต่อกันและกัน รวบรัดเอาไปใช้ในการสงครามเพื่อจะทำลายกันให้มากยิ่งขึ้นไป ต่างฝ่ายต่างทำเช่นนั้นจนเข้าลึกเหลือที่จะถอยออกมาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าใครจะยังมีจิตใจที่จะจัดโลกให้มีความเข้าใจถูกต้องก็ยังมีทางที่จะทำได้ และจะใช้จ่ายน้อยกว่าการที่จ่ายไปในการทำสงครามอยู่นั่นเอง เดี๋ยวนี้รายจ่ายส่วนใหญ่คือการทำสงคราม ถ้าจะจ่ายไปในการศึกษาก็ให้คนศึกษาเพื่อทำสงคราม ให้ฉลาดในการทำสงคราม ถ้าจะจ่ายไปในทางสุขภาพอนามัยก็เพื่อให้คนมีกำลังเรี่ยวแรง สมรรถภาพสำหรับจะทำสงคราม เมื่อปีศาจสงครามครอบงำโลกมากถึงขนาดนี้ มันก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกนอกจากยอมรับบาปรับกรรมหรือรับโทษตามที่ธรรมชาติมันจะลงโทษอย่างไร เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ขึ้นอยู่กับเรื่องความเข้าใจอันถูกต้องหรือความเข้าใจอันไม่ถูกต้อง คือมันเนื่องอยู่แต่เรื่องมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิเท่านั้นเอง การที่เราต้องลงทุนไปในการทำสงครามมากมายถึงขนาดนี้นั้นควรจะมองดูต่อไปว่าวัตถุประสงค์ของการทำสงครามนั้นคืออะไร ยิ่งมองไปเท่าใดก็ยิ่งมองพบว่าการอยากได้ความสุขทางเนื้อหนังของคนในโลกนั่นแหละเป็นมูลเหตุแห่งสงคราม จะเป็นลัทธิไหนก็ตามต้องการให้ตัวให้พวกของตัวคงมีความสุขทางเนื้อหนังตามที่ตนต้องการ ไม่ให้ผู้อื่นแทรกแซงต้องการให้มีมากจนไม่รู้จักสิ้นจักหมด แต่แล้วก็ไปหาทางออกหรือข้อแก้ตัวอย่างอื่นเป็นว่าทำสงครามเพื่อความยุติธรรมบ้าง หรือเพื่ออย่างอื่นบ้าง โดยเนื้อแท้นั้นถ้ากิเลสยังครอบงำคนในโลกอยู่เพียงไรแล้ว ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ทำไปตามอำนาจของกิเลสนั้นทั้งนั้นงั้นมูลเหตุของสงครามก็คือความต้องการของกิเลสในส่วนลึกหรือเราจะมองกันในในวิธีมองของทางฝ่ายวิญญาณ เราจะมองเห็นว่ากิเลสนั่นเองเป็นมูลเหตุของสงคราม ส่วนสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นมองเห็นได้แล้วว่าเป็นหมันไปแล้วเลยไม่สามารถที่จะมาช่วยกำจัดกิเลสในจิตใจคน ถึงกับคนสมัยนี้เอาศาสนาเป็นเครื่องมือทำสงครามไปเสียก็มาก หมายความว่าเขาได้ทำลายสิ่งซึ่งจะเป็นที่พึ่งเสียเอง สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นสรุปความอีกทางหนึ่งก็คือข้าศึกของกิเลสเพราะศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าศาสนาไหนหมดมีจุดมุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัวของคนเราในโลกนี้ ให้หมดความเห็นแก่ตัว ให้อยู่ในสภาพที่มองเห็นคนทุกคนเป็นคนๆ เดียวกันหรือชีวิตเป็นชีวิตเดียวกันอย่างนี้เป็นต้นแล้วเป็นอยู่กันอย่างไม่มีการเบียดเบียน การเบียดเบียนเป็นความโกลาหล วุ่นวาย สกปรก เศร้าหมอง เร่าร้อน สันติภาพหรือความสงบสุขนั้นตรงกันข้ามคือเป็นไปในทางของความสะอาด สว่างและสงบ แต่เดี๋ยวนี้อำนาจครอบงำของกิเลสที่เห็นแก่ความสุขทางเนื้อทางหนังมากเกินไปจนความสะอาด สว่าง สงบไม่มีความหมาย เขาต้องการสันติภาพเพียงที่ให้เขาได้บริโภคกามคุณอย่างไม่มีใครมายื้อแย่งเท่านั้นเอง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สันติภาพที่แท้จริงอะไรเลย สันติภาพที่แท้จริงต้องตั้งอาศัยอยู่บนภาวะแห่งความสะอาด สว่าง สงบตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติจริงๆ การที่แต่ละคนต้องการให้ตนได้บริโภคเหยื่อของกิเลสโดยไม่มีใครมารบกวนนั้นมันเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าทุกคนก็ต้องการทุกคนไม่ยังไม่ได้ด้วยกันทุกคนก็ต้องมีการยื้อแย่ง สันติภาพที่ว่าเอาเองอย่างนั้นจึงมีไม่ได้และไม่ใช่สันติภาพอะไรที่ไหน ต่อเมื่อเราศึกษาให้รู้จักธรรมชาติรู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ รู้จักหน้าที่ที่เราจะต้องประพฤติตามธรรมชาติแล้วประพฤติให้ได้มาจึงจะเป็นสันติภาพเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เดี๋ยวนี้คนเราหลับหูหลับตาต่อความจริงทั้งหลาย ต้องการแต่สิ่งที่รู้สึกได้ทางเนื้อทางหนังคือความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ จึงไม่มีอุดมคติในการที่จะรักษาความสัตย์ ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม เป็นต้น กลับเยาะเย้ยว่าอุดมคตินั้นพ้นสมัยแล้วซื้ออะไรกินก็ไม่ได้ เอามากินเองก็ไม่ได้ ไม่มีรสชาติอะไร สู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่จะได้มาโดยกำลังนี้ไม่ได้ นี่เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหลายซ้อนหลายซับในการที่เข้าใจว่าอุดมคติเป็นสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้ ใช้อะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไร แท้ที่จริงสิ่งที่เรียกว่าอุดมคตินั้นมันเป็นสิ่งที่มีอำนาจหรือมีกำลังในการที่จะกระตุ้นหรือบังคับเชื้อเชิญมนุษย์เราให้เสียสละจริง ให้ทำจริงหรือให้ดำเนินไปในทางที่ไม่เป็นทุกข์ แต่เมื่อเราสลัดสิ่งที่เรียกว่าอุดมคติทิ้งเสียปล่อยให้อำนาจของกิเลสครอบงำแล้วมันก็ต้องไปตามบุญตามกรรม ตามเรื่องตามราวของกิเลส ทุกคนก็ตะกละตะกลามแต่สิ่งที่กินได้ หรือเอร็ดอร่อยตามความต้องการของตน ไม่มองเห็นว่าอุดมคตินั้นที่แท้เป็นสิ่งจำเป็นในเบื้องต้นที่จะให้คนเราทำจริงหรือเสียสละจริง รักคนอื่นจริงและอุดมคตินี้มันดีกว่าเงินที่ซื้ออะไรกินได้ ถึงตัวมันเองจะกินไม่ได้มันก็เป็นต้นเหตุให้ได้มาซึ่งสิ่งที่กินได้และกินอย่างที่ไม่เกิดความทุกข์ และมันจะเป็นเหตุให้ได้เงินมาในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ โลกที่ไม่มีอุดมคติก็กลายเป็นโลกของกิเลสหรือพญามารหรือซาตานไปตั้งแต่เบื้องต้น หลักที่เป็นหัวใจของแต่ละศาสนาก็ล้วนแต่เป็นอุดมคติอันหนึ่งๆ หรือเป็นอุดมคติในส่วนรวมที่ว่าเกิดมาต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือความสงบอย่างแท้จริง ถ้าทุกคนยังถืออุดมคติก็จะเกิดการลดลาวาศอกแก่กันและกัน ไม่ตึงเครียดต่อกันเพราะคงจะพูดจากันรู้เรื่อง การทะเลาะวิวาทหรือการสงครามนั้นก็จะลดลงและอาจจะสิ้นสุดลงในที่สุด เดี๋ยวนี้ไม่มีการลดลาวาศอกมีแต่การตึงเครียดต่อกันและกันยิ่งขึ้นทุกที ถืออะไรเป็นหลักหรือถืออะไรเป็นอุดมคติก็ยากที่จะกล่าว แต่ที่คนโบราณเขามองเห็นกันนั้นอุดมคติอย่างนี้เป็นอุดมคติของพวกยักษ์พวกมารไม่ใช่ของพวกมนุษย์ และเราไม่อยากไม่อาจจะเรียกว่าเป็นอุดมคติด้วย ถ้าคนมีหัวใจของศาสนาเป็นอุดมคติโลกนี้ก็ต้องเดินไปอีกทางหนึ่งอีกแนวหนึ่งโดยแน่นอน แม้อุดมคติทางปรัชญาซึ่งยังไม่ใช่อุดมคติทางศาสนาก็ยังสามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ พูดกันรู้เรื่องหรือเกิดการผ่อนสั้นผ่อนยาวกันได้ แต่เป็นที่น่าสังเวชต่อไปอีกในข้อที่ว่าโลกในปัจจุบันนี้สร้างปรัชญาขึ้นมาใหม่เป็นปรัชญาของโลกสมัยนี้เป็นปรัชญาที่ชวนให้เกิดการแตกแยกเพราะว่าเขามองไปในทางสายเดียวคือสายที่จะให้ได้ประโยชน์ตามความต้องการของกิเลส สำหรับสิ่งที่ลึกลับก็สร้างปรัชญาขึ้นมาเพื่อจะขบปัญหาขบปัญหานี้ ดังนั้นปรัชญาของคนประเภทนี้จึงเป็นปรัชญาที่เป็นไปในทางความเห็นแก่ตัว เป็นไปตามอำนาจของความเห็นแก่ตัว ขบปัญหาแต่ในทางที่จะให้ได้ตามความเห็นแก่ตัวหรือตามใจตัวเอง นี่แหละคือปรัชญาของสมัยนี้และละเลยปรัชญาตั้งเดิมของคนโบราณ ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าโลกในสมัยปัจจุบันขาดปรัชญาที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีแต่ปรัชญาที่ชวนให้เกิดการแตกแยกและปรัชญาของสมัยปัจจุบันแตกแขนงกันไปในทางที่จะให้เข้าใจกันไม่ได้ ต่างคนต่างมีทิฏฐิของตนมากขึ้นทุกที สำหรับสมัยโบราณนั้น สิ่งที่เรียกว่าปรัชญานั้นเขามีไว้เพื่อค้นคว้าหาความดับทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น มีความดับทุกข์เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของปรัชญา ดังนั้นจึงร่วมมือกันร่วมมือกันได้กับสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ส่วนปรัชญาสมัยนี้เกิดขึ้นพรั่งพรูไปหมดหลายแขนงหลายสายและที่นิยมกันมากก็คือปรัชญาทางการเมือง ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ดีแล้ว่าเรื่องการเมืองนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเอาปรัชญามาช่วยเป็นลูกสมุนให้แก่การเมืองหรือช่วยส่งเสริมการเมือง การเมืองก็ยิ่งเป็นไปในทางของการเมืองหนักขึ้น โลกนี้ก็ต้องโกลาหลหนักขึ้นอีกเป็นธรรมดา นี่เรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องหรือเป็นสัมมาทิฎฐิ อือม์หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างร้ายแรง ที่กำลังครอบงำโลกอยู่ในสมัยนี้โดยที่มีปรัชญาหรือตรรกวิทยาหรือจิตวิทยาเป็นเครื่องมือสนับสนุนความเป็นอย่างนั้นโดยเนื้อแท้สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ดีกินดีหรือการบริโภครูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสหรือความก้าวหน้าของมนุษย์ คนก็มามีความเข้าในเสียไปในทางที่ว่าศาสนานั่นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อความก้าวหน้าต่อการอยู่ดีกินดีหรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น การเข้าใจอย่างนี้เป็นการยกโทษให้แก่ศาสนามากเกินไป เพราะว่าโดยที่แท้นั้นสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นต้องการให้คนอยู่ดีกินดีจริงๆ คืออยู่ดีกินดีชนิดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นปัญหาเป็นความทุกข์ คืออยู่ดีกินดีโดยบริสุทธิ์ไม่ใช่กินเหยื่อแล้วติดเบ็ด และศาสนานั้นไม่ได้ห้ามหวงไม่ให้คนบริโภค รูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส แต่ต้องการให้คนบริโภครูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โดยปลอดภัยเหมือนกับกินปลาไม่ถูกก้างอย่างนี้ลองคิดดูว่ามันดีหรือไม่แต่คนยังต้องการจะกินปลาทั้งก้างก็ไม่ค่อยจะมองเห็นคุณค่าของศาสนา สำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นสิ่งที่เรียกว่าศาสนาไม่เป็นปฏิปักษ์แต่ต้องเป็นความก้าวหน้าชนิดที่ควรจะเป็นเพราะว่าโดยเนื้อแท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็เป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เป็นความก้าวหน้าในทางวัฒนธรรม แต่ก่อนนี้โลกนี้ไม่มีศาสนาเราก็ก้าวหน้ามาจนถึงกับมีศาสนา ก่อนนี้มีศาสนาอย่างเด็กเล่นเดี๋ยวนี้เราก็มีศาสนาชั้นสูงสุดเรียกว่าเป็นความก้าวหน้าในทางจิตใจดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นก็มุ่งหมายจะก้าวหน้าต้องการจะสร้างความก้าวหน้าและไม่เป็นอุปสรรคแก่การก้าวหน้าในทางที่ควรจะเป็น เมื่อมนุษย์โลกมนุษย์ในโลกนี้ตกเป็นทาสของกิเลสของตัณหามากเกินไป และต้องการความก้าวหน้าในทางนั้น ความก้าวหน้าในทางเป็นทาสของกิเลสตัณหาอย่างนี้แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ ในการที่ศาสนาจะต้องเป็นอุปสรรคหรือต่อต้านความก้าวหน้าชนิดนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เกิดการเถียงกันขึ้นว่าอย่างไรเป็นความก้าวหน้าในทางเป็นทาสของกิเลส และอย่างไรเป็นความก้าวหน้าในทางที่จะชนะกิเลส ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้เพราะว่าคนที่มึนเมาด้วยอำนาจของกิเลสเสียแล้ว ย่อมมองย่อมมองสิ่งต่างๆ ไปอีกลักษณะหนึ่ง ไม่อาจจะมองเหมือนคนปกติธรรมดาสามัญมองกันได้ ศาสนาจึงถูกหาในฐานะเป็นปฏิปักษ์ต่อความก้าวหน้าความเจริญขึ้นมาโดยไม่มีความยุติธรรมแต่อย่างใด สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้อิง ก็กลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ตั้งรังเกียจไม่อยากจะให้มาเกี่ยวข้อง ไม่อยากจะรับเอาเข้ามาในฐานะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของตน นี่คือมิจฉาทิฏฐิคือความเข้าใจผิดในสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้ เห็นดอกบัวเป็นกงจักรกลับกันเสีย สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็เป็นหมันไปในตัว สำหรับในโลกสมัยปัจจุบันนี้ก็เป็นประโยชน์แก่คนได้เพียงไม่มีกี่คน นับว่าน้อยเกินไปในการที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพ ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจไม่ถูกต้องหรือมิจฉาทิฏฐิให้ผลอันร้ายกาจอย่างนี้ สร้างความเห็นแก่ตัวให้อย่างนี้ ทำให้เข้าใจผิดในสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งแต่ตน เข้าใจความดีเป็นความชั่วเข้าใจความชั่วเป็นความดีอย่างไม่น่าเชื่อ เราลองพิจารณากันดูอีกสักนิดหนึ่งก็ได้ว่าคนสมัยนี้นั้นเขาถือว่าได้ต่างหากเป็นความดี ได้นั้นคือได้สิ่งที่กิเลสของเขาต้องการ ไม่ใช่ได้ในสิ่งที่ศาสนาบัญญัติไว้ว่าควรจะได้ คำว่าได้ของเขาเป็นการได้ของกิเลสไม่ใช่ได้ของสติปัญญา ว่าที่จริงคำพูดว่าการได้นั้นเป็นของดีนี้ก็ถูกไม่ใช่ผิดเลยถ้าสิ่งที่ได้นั้นมันเป็นของดี แต่ถ้ากลับกันเอาดีเป็นชั่วเอาชั่วเป็นดีและสิ่งที่ได้มามันคงใช้ไม่ได้ นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ความดีความชั่วก็ไม่รู้จักกันเสียแล้ว แต่ถ้ามีใครมาหาว่าเราไม่รู้จักดีจักชั่วเราก็รู้สึกว่าถูกด่าอย่างร้ายกาจ ในที่สุดก็เข้าใจกันไม่ได้ว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี ถ้าพูดว่าความดีมันดีอยู่ในความดีเป็นความดีจริงๆ ไม่เกี่ยวกับได้หรือไม่ได้เป็นวัตถุอย่างนี้ไม่มีใครรับรอง แต่ถ้ายิ่งจะพูดว่าการทำความดีให้เป็นความดีจริงๆ นั้นคือไม่รับเอาอะไรเป็นการตอบแทนจึงจะเป็นการดีจริงๆ ถ้าไปรับอะไรเป็นการตอบแทนมันก็ไม่ใช่ดีจริงและกลายเป็นของผู้ที่จ้างให้ทำความดีไปเสีย คนส่วนมากไม่คิดว่าการทำความดีนั้นทำใส่ลงไปในโลกและเราเป็นผู้ทำ ถ้ามีใครมาจ้างให้เราทำเราก็ไม่ได้เป็นคนที่ทำความดีและทำนั้นก็ทำให้แก่คนที่จ้างเราต่างหาก การทำความดีให้เป็นความดีจริงๆ เราต้องทำด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของคนและการได้ทำตามหน้าที่นั้นดีกว่าสิ่งที่ได้รับอะไรตอบแทน ถ้าได้รับอะไรตอบแทนหรือว่าทำเพราะมีอะไรบังคับจ้างให้ทำก็ไม่ใช่เรารู้จักความดีและทำความดี คนในโลกในสมัยนี้แทบทุกคนทำความดีเพราะจะได้เงินมาซื้ออะไรกินต่างหาก ไม่ใช่ทำความดีเพื่อความดีหรือทำเพราะเป็นหน้าที่ของตน ขอให้ไปสังเกตุดูเถอะไม่ว่าที่ไหนๆ ในโลกนี้เขาทำความดีเพื่อให้ได้เงินหรือให้ได้ปัจจัยของกาม ของกิน ของเกียรติอย่างที่กล่าวมาแล้ว เรื่องกาม เรื่องกิน เรื่องเกียรตินี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันกับความดี ถ้าจะเรียกมันว่าเป็นความดีก็เป็นความดีเด็กเล่นสำหรับหลอกเด็กๆ ให้ทำดี ความดีจริงๆ นั้นไม่เกี่ยวกับกาม กับกิน กับเกียรติ มันเป็นสิ่งอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเป็นตัวมันเองค่อนข้างจะเข้าใจยาก แต่มันแน่อยู่อย่างหนึ่งว่าทำลงไปแล้วไม่มีเสียหลายมีแต่จะสร้างประโยชน์ให้แก่โลกนี้โดยแน่นอน เพราะเป็นความดีจริงของธรรมชาติ ส่วนที่ทำดีเพราะได้เงินเพราะอยากจะเห็นแก่เพราะเห็นแก่เงินนั้นลองทำกันให้มากลองแข่งขันกันทำเถิดไม่เท่าไรก็จะต้องฆ่าแกงกันหรือเบียดเบียนกัน เพราะปัจจัยที่จะให้ได้กาม ได้กิน ได้เกียรตินั่นแหละครอบงำหนักเข้าจนไม่มองว่าใครเป็นใครก็เกิดการแข่งขันอิจฉาริษยากันทำอันตรายกัน แม้แต่ญาติพี่น้องกันเพื่อนฝูงกันหรือกระทั่งบิดามารดาของตนเอง ในที่สุดเมื่อเป็นดังนี้แล้วจะเรียกว่าเป็นความดีอะไรได้ที่ตรงไหน ความดีที่ทำเพราะอะไรบังคับให้ทำและเพื่อผลทางวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ถ้าจะเป็นความดีก็เป็นความดีของยักษ์ของมารของภูตผีปีศาจซาตานไปตามเรื่องตามราว ไม่ใช่ของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงและเป็นพุทธบริษัท เราพิจารณากันถึงสิ่งนี้โดยถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นๆ และไม่ใช่เป็นเรื่องที่นอกหน้าที่ของเรา ยิ่งถ้าเรามานึกถึงว่าเดี๋ยวนี้มีอายุ ๔๐ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี แล้วมันมีดีอะไรบ้างดังนี้แล้ว มองไปๆ ก็อาจจะใจหายเพราะว่ายังไม่เคยทำอะไรที่เป็นความดีจริงๆ เลยก็ได้ ทำความดีบ้างก็เพื่อจะให้มีเกียรติให้เขาสรรเสริญและทำความดีมากที่สุดก็เพื่อจะรวบรวมทรัพย์สมบัติวัตถุสิ่งของเลี้ยงตัวเองเลี้ยงบุตรเลี้ยงภรรยาก็ถือว่านั่นเป็นการทำดีตามแบบของฆราวาสผู้ครองเรือนนี้ก็เรียกว่าดีได้เหมือนกันถ้าไม่ทำไปในทางของทุจริต แต่ในหลักทั่วไปของธรรมะหรือของศาสนาถือว่ายังเล็กน้อยเกินไปยังเป็นเพียงขั้นตระเตรียมในเบื้องต้นจะต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปถึงขนาดที่ทำความดีเพราะเห็นแก่ความดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่หรือที่สมัยนี้เรียกว่าทำงานเพื่องาน นั่นแหละจึงจะเรียกว่ารู้จักความดีและมีความมุ่งหมายที่จะให้ความดีนั่นแหละเป็นตัวเรา ถ้าจะมีตัวเราบ้างก็ไม่มีที่อื่นนอกจากที่ความดีที่กำลังกระทำอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงที่กล่าวมานี้ท่านมองดูเถิดจะเห็นได้ว่าทุกแง่ทุกมุมขึ้นอยู่กับความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจถูกต้อง ความเข้าใจผิดกับความเข้าใจถูกนี้อยู่ใกล้ชิดติดกันเหมือนกับว่าของเหลี่ยมหนึ่งเป็นความผิดอีกเหลี่ยมหนึ่งเป็นความถูก เหมือนอย่างว่าเราเอาเก้าอี้มาตั้งมาวางลงถ้าเรานั่งลงบนที่แบนสำหรับนั่งนั่นก็สำเร็จประโยชน์ แต่ถ้าเราไปนั่งบนขาหรือบนพนักของมันก็จะหกคะเมนลงมานี้เรียกว่าเป็นการตั้งไว้ผิด ในเรื่องเดียวกันสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายขึ้นมาได้เพราะการตั้งไว้ผิด สิ่งที่เรียกว่าจิตใจนั้นมันเป็นอะไรไม่ได้นอกจากจะไปตั้งมันไว้อีกทีหนึ่ง ถ้าตั้งจิตใจไว้ถูกมันก็เป็นไปทางดีหรือเป็นบุญเป็นกุศล ถ้าตั้งไว้ผิดจิตใจเดียวกันนั้นแหละมันก็กลายเป็นศัตรูเป็นสิ่งที่จะทำลายล้างให้วินาศให้ฉิบหายไปในที่สุด ฉะนั้นจึงไม่ควรจะทำเล่นกับจิตและจะต้องทำให้จิตมีความเข้าใจถูกต้องจนกระทั่งเป็นปรกติวิสัยของจิต คือมีความเข้าใจถูกต้องเป็นตัวจิตเสียเองจึงจะปลอดภัย ถ้าปล่อยให้เป็นไปอย่างหละหลวมเดี๋ยวมีมิจฉาทิฏฐิ เดี๋ขยวมีสัมมาทิฏฐิ เดี๋ยวมีมิจฉาทิฏฐิ เดี๋ขยวมีสัมมาทิฏฐิขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนี้ก็มีแต่จะเป็นอันตรายเรียกว่ายังไม่รู้แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตใจนั้นว่าเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ที่จะเอาอะไรไปใส่ในจิตใจให้เกิดผลเกิดประโยชน์ขึ้นมา เมื่อโอกาสของมิจฉาทิฏฐิมีมากว่าเพราะความนิยมในโลกมีในทางนั้นมากกว่าจิตใจก็เป็นมิจฉาทิฏฐิไปทั้งเนื้อทั้งตัว มีมิจฉาทิฏฐินั่นแหละเป็นตัวจิตใจเสียเองก็เลยหมดทางที่จะแก้ ผู้ที่มีบุญที่สุดก็คือเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิย่อมมีอะไรๆเป็นความถูกต้องแวดล้อมอยู่ทั่วไปหมด เด็กๆเกิดมาในตระกูลเช่นนั้นถือว่ามีบุญหรือมีบุญมาแต่กำเนิด เมื่อมีบุญมาแต่กำเนิดอย่างนี้มันก็ง่าย แต่เดี๋ยวนี้โดยทั่วไปในทุกบ้านทุกเรือนไม่ได้สนใจในเรื่องของสัมมาทิฏฐิ ถือลัทธิเอาแต่ได้เข้าว่าขยายความต้องการออกไปจนรายรับหรือรายได้ไม่พออยู่เสมอแล้วจะเอาจิตใจไหนมาสนใจเรื่องสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น มิจฉาทิฏฐิก็ครองโลกความระส่ำระสายนานาชนิดเหลือที่จะกล่าวได้ก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด จนกลายเป็นโลกของกิเลส เป็นบ้านเป็นเมืองของกิเลส เป็นประเทศของกิเลส คนที่เดินได้ทุกคนเหล่านี้ก็เป็นทาสของกิเลสแต่แล้วก็ยังมีหน้ามาพูดว่าเราเป็นคนของโลกบ้าง เป็นคนของศาสนาบ้าง เป็นคนของประเทศชาติบ้าง เป็นคนของหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ที่หวังความเจริญกับหมู่บ้านนั้นบ้านนี้บ้าง โดยที่แท้แล้วเขาเป็นคนของกิเลสไม่มีใครเป็นคนของโลกเหมือนที่ปากพูด ไม่มีใครเป็นคนของศาสนาของประเทศชาติเหมือนปากพูดไม่มีใครเป็นคนของบ้านเมืองหรือหมู่คณะของเขาเลย เพราะเขาเป็นคนของกิเลสไม่มีตัวเองที่เป็นตัวเอง มีแต่ตัวที่เป็นของกิเลสทั้งนั้น เมื่อมีเมื่อไม่มีตัวเองเป็นตัวเองแล้วจะเอาไปเป็นของใครที่ไหนได้ มีแต่จะเอากิเลสเป็นตัวเองเอาตัวเองเป็นกิเลสแล้วก็ป่วยการที่จะพูดว่าเป็นคนของโลกทำประโยชน์ให้โลกเป็นคนของศาสนาทำประโยชน์ของศาสนา หรือว่าเป็นคนของประเทศชาติทำประโยชน์แก่ประเทศชาตินั้นเป็นเครื่องมือบังหน้าหากินให้แก่กิเลส เพราะว่าตัวเองก็เป็นกิเลสกิเลสก็เป็นตัวเองทำอะไรก็เพื่อกิเลสซึ่งเป็นตัวเอง ถ้าอ้างประเทศชาติศาสนาหรือโลกคนส่วนรวมก็เป็นเครื่องบังหน้าไปหมด ลองพิจารณาดูให้ลึกให้กว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็จะสลดสังเวชอย่างยิ่งในข้อที่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเป็นคนของศาสนา ไม่มีใครเป็นคนของประเทศชาติ ไม่มีใครเป็นคนของโลก สมัยก่อนเขายังมีพระโพธิสัตว์เป็นคนของโลกเป็นคนของศาสนาหรือเป็นคนของคนทุกคน เดี๋ยวนี้เรามีบุคคลที่ดำรงตนอยู่ในความหมายของความเป็นโพธิสัตว์กันที่ไหนบ้าง ดังนั้นก็ควรจะถือว่าเรามีแต่คนที่อ้างนั่นอ้างนี่เป็นเครื่องแก้ตัวหรือเป็นมือเครื่องมือบังหน้าสำหรับหาประโยชน์ใส่ตัว แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไรจะเรียกว่าถึงขั้นวิกฤติการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดได้หรือยัง ถ้ามองดูกันในทางวัตถุก็ยังจะเป็นปัญหาแต่ถ้ามองดูกันในทางวิญญาณโดยหลักเกณฑ์ในฝ่ายวิญญาณแล้วก็กล่าวได้ว่าโลกนี้สิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ไม่มีความเป็นมนุษย์หรือความเป็นโลกที่น่าดูเหลืออยู่เลย สำหรับในทางวัตถุนั้นเมื่อเอาวัตถุเป็นเกณฑ์ก็มีวัตถุเหลืออยู่มากจะมีการแลกเปลี่ยนกันก็เพื่อผลกำไรที่มากขึ้นๆ ถ้าไม่มีกำไรก็ไม่มีใครให้อะไรแก่ใคร ถ้าไม่มีหวังที่จะได้อะไรตอบแทนก็ไม่มีใครที่ทำความดีเพราะว่ากิเลสมันเป็นอย่างนั้นเอง มันจึงบังคับคนให้เป็นแต่ในลักษณะอย่างนั้นเลยกลายเป็นการช่วยกันสร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกแบบหนึ่ง เป็นโลกที่วุ่นวายเร่าร้อนระอุอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ทีนี้ลองคิดดูต่อไปว่า ถ้าอยู่กันด้วยความวุ่นวายเร่าร้อนอย่างนี้แล้วมันจะมีอะไรที่น่าอยู่ ถ้าหากว่าจะใช้ลูกระเบิดอันร้ายกาจมาทำลายโลกนี้เสียให้สิ้นไปให้เกลี้ยงไปไม่มีอะไรเหลือก็ยังจะดีกว่า เพื่อว่าสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเป็นบาปเป็นอกุศลเหล่านั้นจะได้หมดกันไปเสียที แล้วเราก็อาจจะเกิดโลกอันใหม่สร้างขึ้นมาใหม่ในลักษณะที่บริสุทธิ์กว่านี้ หรือเป็นไปตามธรรมชาติยิ่งกว่านี้ เดี๋ยวนี้คนกลัวระเบิดเช่นระเบิดไฮโดรเย่น เป็นต้น กลัวไปทำไมกัน กลัวว่าเราจะพลัดพรากจากสิ่งที่กอบโกยเอาไว้ได้มากๆ เท่านั้น ถ้าเขามองดูสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงรวมถึงตัวเองด้วย คนที่มีน้ำใจเที่ยงธรรมก็อยากจะให้ระเบิดที่ร้ายกาจนั้นลงมากวาดล้างโลกนี้ให้เกลี้ยงไปแน่นอนทีเดียว เพราะมันมีความเศร้าหมองสะสมหมักหมมอยู่มากเกินไปเสียแล้ว เกินกว่าที่จะกวาดได้ด้วยมือของมนุษย์แล้ว ถ้ายังรักความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือเป็นธรรมอยู่ก็ควรจะวานลูกระเบิดนี้ให้มาช่วยกวาดนี่จึงจะเหมาะกันหรือสมกันกับสถานการณ์ในโลกนี้ ในขณะที่พวกเราก็มีอยู่กับเขาด้วยเหมือนกันและอยู่มาในโลกนี้มาเป็นเวลานานเท่านี้ เห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงมาอย่างไรบ้างในลักษณะอย่างนี้ตามลำดับ ยังมองไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างไรหรือว่าความร้ายนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ถ้าจะอยู่ก็เพื่อจะดูสิ่งเหล่านี้ในฐานะเป็นบทเรียน แต่ถ้าเราไม่ต้องการอะไรก็ไม่ต้องการจะเรียนอะไร ต้องการจะเลิกมีตัวมีตนมากกว่าอย่างอื่น มีจิตใจที่อยู่เหนือความเป็นโลกหรือความเป็นคน ความเป็นคนนั้นคนนี้พวกนั้นพวกนี้กับเขาเสียให้หมดสิ้น มีจิตใจชนิดที่อยู่เหนือโลกคือเหนือทุกข์เพราะได้เดินไปหรือก้าวไปจนถึงสุดยอดปลายทางที่เป็นความมุ่งหมายของชีวิตนี้แล้วได้สะสางปัญหาต่างๆ นาๆที่เกี่ยวกับชีวิตสิ้นสุดลงไปแล้วถึงจุดหมายปลายทางแล้วให้มีชีวิตชนิดที่จะเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป ถ้าต้องการอย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเกี่ยวกับโลกหรือโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่เห็นจะต้องน่าตกใจหรือหวั่นไหว ถ้าช่วยอะไรใครไม่ได้มันก็ไม่ใช่ความผิดของเราถ้ายังจะช่วยได้ในส่วนใดก็ช่วยไปเพราะไม่มีอะไรจะทำ มีการฆ่าเวลาที่ล่วงไปๆปีหนึ่งๆ นี้ด้วยการทำอะไรชนิดที่จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง ในเมื่อตัวเองไม่ต้องการอะไรแล้วอย่างนี้ไม่มีหนทางที่จะต้องเกิดความทุกข์คือมันช่วยได้ก็ได้ ช่วยไม่ได้ก็ได้ หรือไม่ช่วยเลยก็ได้ แต่เมื่อยังช่วยได้มันก็ดีกว่าเรี่ยวแรงจะสูญไปเสียเปล่าจึงได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ผู้อื่นไปตามความสะดวกและไม่มีอะไรมาเชื้อเชิญนอกจากความรู้สึกว่าหน้าที่นี้เป็นการปฏิบัติธรรมหรือเป็นธรรมอยู่ในตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ยังได้รับประโยชน์เป็นการบริหารร่างกายและจิตใจด้วย จะได้ไม่เกิดโรคในทางร่างกายด้วย ใจคอก็ปกติด้วย คนอื่นก็ได้รับประโยชน์ด้วย พระอรหันต์ทั้งหลายมีความรู้สึกเพียงเท่านี้จึงมีความทุกข์ที่ไม่อาจจะเกิดได้ แม้ว่าร่างกายจะต้องเกิด แก่ หรือเจ็บเหมือนกับร่างกายของคนอื่น เมื่อสละออกไปจากความยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็กลายเป็นของสนุกคือดูมันเล่น กระทั่งหัวเราะมันเล่นในที่สุด ถ้ามันไม่เจ็บไม่ไข้ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ก็ทำให้มันเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ผลิตประโยชน์ออกไปจึงเรียกว่าเป็นคนที่หมดปัญหาและหมดหน้าที่พร้อมกันไปในตัว เพราะว่าหน้าที่ชนิดนั้นไม่ใช่หน้าที่ที่บังคับหัวใจไม่เหมือนหน้าที่ของคนทั่วไปที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่น หน้าที่ของคนที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนั้นไม่มี แต่ความรู้สึกหรือสัมมาทิฏฐินั้นยังเต็มเปี่ยมอยู่ ความเข้าใจถูกต้องนั่นเองบอกให้รู้ว่าควรจะใช้เวลาวันหนึ่งๆ นี้ทำอะไรดี เรื่องมันก็จบกันเพียงเท่านั้น เป็นผู้ที่ตายเสร็จแล้วตั้งแต่ก่อนตาย ความตายจึงไม่มี มันเหลือแต่ร่างกายที่เหมือนเครื่องจักรมีเหตุมีปัจจัยมันก็หมุนไป หมดเหตุหมดปัจจัยมันก็หยุดเอง ไม่มีใครตายไม่มีใครได้ไม่มีใครเสียอย่างนี้เรียกว่าเป็นโลกของภัย ตามธรรมดาไม่ถือว่าเป็นโลกของภัย ไม่เรียกว่าเป็นโลกของพระอรหันต์คือพระอรหันต์ไม่ได้อยู่ในโลกของพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีโลกสำหรับพระอรหันต์เพราะไม่เรียกว่าโลก แต่ภาวะอย่างนั้นเขาเรียกว่าอยู่เหนือโลกทุกๆ โลก และโดยประการทั้งปวง ถ้าเราจะนึกว่าการอยู่เหนือโลกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เราก็คงจะไม่ตกลงไปในบ่อของมิจฉาทิฏฐิและก็ถูกลากถูกจูงโดยสังคมในโลกนี้ซึ่งเป็นสังคมของกิเลส มีกิเลสเป็นตัวตน แต่ว่าคนในโลกจะต้องหมุนไปตามจักรราศีของโลก คนส่วนใหญ่จึงเหมือนๆ กันไปหมดในทางที่จะเป็นอย่างไรแบบใดแบบหนึ่ง สำหรับโลกสมัยนี้น่าจะพูดว่าเป็นจักรราศีที่กิเลสครอบงำมีความระส่ำระสายวุ่นวาย มันจะต้องหมุนไปจนเต็มที่ของมันเสียก่อนแล้วมันจึงจะหมุนกลับมาอย่างค่อยๆ แล้วไปสู่ราศี สู่จักรราศีที่มีความสงบ แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่ง หรือสองคน หรือสี่ห้าคนหรือหลายคนก็ตามสามารถถอนตัวออกมาเสียได้จากโลกที่อยู่ในจักรราศีเช่นนั้นก็ควรจะถือว่าเป็นคนที่มีบุญที่สุดกว่าใคร เพราะว่าเป็นผู้ที่หลุดออกมาเสียได้จากกลุ่มซึ่งไม่น่าจะหลุดออกมาได้ เป็นผู้ที่ขึ้นไปได้เหมือนกับจรวดก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าดูเพราะไม่จมอยู่ในโลกนั่นเอง ความหวังอันนี้จะมีมากน้อยเท่าไรเป็นเรื่องเฉพาะคนแต่มันขึ้นอยู่กับสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิอีกนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงเอาเรื่องมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐินี้มากล่าวกันเสียอย่างมากมาย โชคดีจะเป็นของคนที่มีสัมมาทิฏฐิและเขาจะขึ้นอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงได้หรือหลุดออกไปจากได้จากสังคมชนิดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เรียกว่าได้พบกับพุทธศาสนาในท่ามกลางโลกที่ไม่มีอะไรเป็นพุทธศาสนาหรือพบความเยือกเย็นที่สุดในท่ามกลางกองไฟใหญ่ถึงขนาดที่จะหลอมเหล็กให้ละลายได้เป็นภูเขาเหล่ากาทีเดียว จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ความน่าอัศจรรย์ในทางวิญญาณก็เพ่งเล็งถึงส่วนนี้หรือลักษณะอาการเช่นนี้ ฉะนั้นเราควรจะมองดูกันบ้างว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์จริงหรือเปล่า ใครๆ ก็นิยมสิ่งที่น่าอัศจรรย์คือพิเศษหรือดีกว่าธรรมดาด้วยกันทั้งนั้นแม้จะอวดกันก็อวดกันในส่วนนี้ แม้จะเป็นความอวดของคนที่โง่ที่สุดก็ต้องอวดในส่วนนี้ เป็นส่วนที่น่าอัศจรรย์น่าแปลกประหลาดที่ใครไม่มีมันจะอยู่ในรูปไหนถ้าใครไม่มีก็เป็นของน่าอัศจรรย์ทั้งนั้น แต่พระอริยเจ้ามีความน่าอัศจรรย์อยู่ที่ส่วนนี้ คือส่วนที่เอาชนะสิ่งที่เอาชนะได้ยากเสียได้ หรือว่าเอาชนะความทุกข์ได้ หรือว่าอยู่ในท่ามกลางกองทุกข์แต่ไม่มีความทุกข์นี้เป็นของที่น่าอัศจรรย์ ทีนี้เราจะได้ดูกันต่อไปว่าความน่าอัศจรรย์ในสมัยนี้เขานิยมกันอย่างไร เขาไปนิยมสิ่งที่จะเป็นไปเพื่อทุกข์หรือสับสนวุ่นวายยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะมีความแปลกประหลาดอย่างไรแต่ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อความทุกข์เพราะฉะนั้นมันจึงน่าหัวที่ว่าความทุกข์ใหม่ๆ นั้นเป็นของน่าอัศจรรย์ คนจะยินดีต้อนรับความทุกข์แบบใหม่ๆเหล่านี้กันหรือไม่มันก็ยากที่จะกล่าว แต่ที่สุดเขาจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจความทุกข์นั้นก็ครอบงำอยู่เต็มที่มีภาวะที่ทนทุกข์อย่างน่าอัศจรรย์ขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง มีการทนทุกข์ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งเกิดขึ้นมามากมายหลายสิบแบบกลายเป็นโลกที่น่าอัศจรรย์ไปได้ แต่ว่าความอัศจรรย์ชนิดนี้มันคนละเรื่องกันกับความน่าอัศจรรย์ของพระอริยเจ้า หวังว่าเราจะเลือกความน่าอัศจรรย์หรือสิ่งที่อัศจรรย์นี้กันให้ถูกต้อง ถ้าเลือกผิดมันก็จะอัศจรรย์ไปในลักษณะที่น่าสมเพชเวทนาแล้วจะโทษใครไม่ได้จะต้องโทษตัวเอง ถ้าเราจะนึกว่าเรามีอุปสรรคศัตรูมาก มีอุปสรรคไปทุกด้านในการที่จะศึกษาธรรมะ ในการที่จะชนะกิเลสหรือแม้ที่สุดแต่ที่จะเป็นอยู่ในโลก เราก็อย่าไปนึกท้อใจว่าเรามีอุปสรรค เราจะรู้จักทำอุปสรรคให้กลายเป็นไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเรามีพญามารเราต้องใช้พญามารนั้นเป็นบทเรียนสำหรับเราจะรู้จักการล้างผลาญพญามาร ถ้าไม่มีพญามารมาให้เป็นบทเรียนเราจะเอาความรู้ที่ไหนมาเพื่อใช้ในการทำลายพญามาร เพราะฉะนั้นอุปสรรค ศัตรูหรือหญามารหรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นมาเพื่อให้เรามีโอกาสหรือมีความฉลาดในการที่จะกำจัดสิ่งนั้นๆ นั่นเอง คนโง่เท่านั้นที่จะไปโกรธไปเกลียดคนอื่นเมื่อเขาทำอะไรไม่ถูกใจเรา แต่คนฉลาดนั้น คนฉลาดตามแบบของพระอริยเจ้านั้นถือว่าเขานำโชคลาภมาให้เราเพื่อให้เรามีโอกาสหลายๆ อย่างหลายๆ ประการในการที่จะศึกษาให้รู้จักคน ให้รู้จักกิเลส ให้รู้จักวิธีที่จะเอาชนะกิเลส ถ้าจะมีแต่คนเอาเอกเอาใจเราไปเสียทั้งนั้นเราคงจะโง่มากกว่าที่กำลังโง่อยู่ในเวลานี้อีกหลายเท่าตัวทีเดียว ถ้ามีอุปสรรคมีมารเกิดขึ้นเราก็ต้องฉลาดขึ้นได้โดยเร็วโดยไม่ต้องสงสัยแต่เดี๋ยวนี้เรามาทำลายตัวเราเสียเอง เป็นมารแก่ตัวเราเสียเองจึงไปโกรธเขา จึงไปต้อนรับเขาในฐานะเป็นอุปสรรคศัตรูก็เกิดความมืดมน เกิดความเร่าร้อน ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการศึกษาหรือความรู้ความเข้าใจในทางของสัมมาทิฏฐิ มีแต่จะพอกพูนมิจฉาทิฏฐิให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้วอะไรๆ มันก็เป็นมารไปหมด แม้แต่มดตัวเล็กๆ สักตัวหนึ่งมันก็กลายเป็นมารเท่าภูเขาหล่ากาไปทีเดียวก็เป็นคนโชคร้ายที่สุดประสบมารไปทั่วทุกหัวระแหง นี่เรียกว่าไม่รู้จักใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เป็นประโยชน์ ไม่รู้จักต้อนรับสิ่งที่นำประโยชน์มาให้ในฐานะเป็นสิ่งที่นำมาประโยชน์มาให้แล้วจะโทษใคร ตัวเองก็ไม่มีสติปัญญาก็ไม่มี มันก็กลายเป็นผู้ที่เรียกว่าโชคร้ายที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย คนสมัยนี้เกลียดความทุกข์จนไม่สนใจจะดับทุกข์หรือจนไม่รู้จักความทุกข์ คนสมัยก่อนคนสมัยโบราณครั้งพุทธกาลถ้าความทุกข์เกิดขึ้นเขาจะลูบคลำความทุกข์นั้นเพื่อการศึกษาให้รู้ให้เข้าใจจนดับทุกข์ได้ ส่วนคนสมัยนี้นั้นทำอย่างนั้นไม่เป็นเกลียดความทุกข์ในลักษณะที่ไม่ถูกวิธี คือทำให้ความทุกข์ติดตามรังความได้มากยิ่งขึ้น ถ้ารู้จักเกลียดความทุกข์ให้ถูกวิธีก็หมายความว่าต้องแก้เผ็ดมันให้ได้ เพื่อจะต้องดับหรือตัดรอนความทุกข์นั้นลงไปเสียได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นคนฉลาดและเกลียดความทุกข์จริงเกลียดเป็น คนสมัยนี้เกลียดไม่เป็นเพราะฉะนั้นจึงมีความทุกข์ไปทั่วทุกหัวระแหง ยิ่งเกลียดยิ่งเข้ามา ยิ่งเกลียดยิ่งเข้ามา ระดมกันเข้ามามากเท่ากับความเกลียดที่มันเพิ่มขึ้น พญามารก็ระดมเข้ามา ความทุกข์ก็ระดมเข้ามา อะไรๆ ก็ล้วนแต่ระดมกันเข้ามาเพื่อทำการทรมานแก่บุคคลนั้น