แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายในการบรรยายครั้งที่ ๗ นี้อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าจะใช้จริยธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร อาตมาอยากจะขอร้องให้ทบทวนความจำถึงครั้งที่แล้วๆมาว่าในครั้งแรกที่สุดเราได้วินิจฉัยกันถึงความหมายของจริยธรรมเป็นต้นโดยคล่าวๆทั่วไปทุกแง่ทุกมุมและในครั้งที่ ๒ แสดงให้เห็นแนวของจริยธรรมทั้งหมดซึ่งเห็นได้ว่ามีแต่แนวเดียวไม่ได้แตกต่างกันคนละทิศคนละทางอย่างที่เข้าใจกันว่าของฆราวาสก็อย่างหนึ่งของบรรพชิตก็อย่างหนึ่งแล้วของเด็กก็อย่างหนึ่งของผู้ใหญ่ก็อย่างหนึ่งเรามีเพียงแนวเดียวตรงที่จะต้องกำจัดความเห็นแก่ตนคือความเห็นแก่ตนจัดอย่างเดียวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นการประพฤติธรรมะในสายไหนแม้ที่สุดก็จะเพื่อไปนิพพานก็ต้องกระทำอย่างนั้นและในครั้งที่สามได้กล่าวถึงอุปสรรคศัตรูความร่วนเรและการพังทลายของจริยธรรมว่ามีได้ด้วยอาการอย่างไรและในครั้งที่ ๔ ถือเป็นครั้งพิเศษได้กล่าวถึงมหรสพในทางวิญญาณเพื่อประโยชน์แก่จริยธรรมเพราะมีผู้คิดว่าจริยธรรมนี้น่าเบื่อเหงาง่อยชวนเศร้าที่แท้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นไม่เป็นอย่างนั้นอาจจะให้ความเพลิดเพลนบันเทิงได้เหมือนกันถ้ามีจิตใจสูงพอเหมาะก็สมกันเป็นที่ลุ่มหลงได้มากเหมือนกันแต่ไม่ใช่ลุ่มหลงด้วยกิเลสมันลุ่มหลงด้วยสติปัญญาพอใจด้วยสติปัญญาไม่ใช่พอใจด้วยกิเลสแล้วมันจึงต่างกันแต่ว่าให้ความเพลิดเพลนเหมือนกันในครั้งที่ ๕ได้กล่าวถึงจุดปลายทางของจริยธรรมคือความว่างคือความสิ้นสุดไปของกิเลสและในครั้งที่ ๖ ได้กล่าวถึงตัวแท้ตัวจริงของจริยธรรมโดยระบุเจาะจงลงไปที่อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นตัวพรหมจรรย์และเป็นตัวศาสนาพร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นใช้ได้ทั้งเรื่องของโลกียะและเรื่องของโลกุตตระหรืออาจจะปรับระดับให้เข้ากันได้กับชีวิตทุกระดับเพราะเหตุฉะนั้นอาตมาจะได้กล่าวถึงวิธีที่จะใช้อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือธรรมะที่เราเลือกกันว่าจริยธรรมในที่นี้ได้ในชีวิตประจำวันโดยลักษณะอย่างไรเรียกสั้นๆว่าจริยธรรมในชีวิตประจำวันเพราะเหตุว่าได้รับปัญหามากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงถือโอกาสประมวลรวมปัญหาของทุกท่านมาเป็นหัวข้อบรรยายหัวข้อหนึ่งที่เดียวเรียกว่าจริยธรรมในชีวิตประจำวันดังที่กล่าวแล้วถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจจริงต่อธรรมคือมุ่งหมายที่จะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ยากแต่ถ้าเป็นเพียงเรื่องสมัครเล่นได้ก็เอาไม่ได้ก็แล้วไปนี้เพราะไม่มีอะไรมาบังคับอย่างนี้มันก็ยากที่จะเป็นไปได้เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นเราถือเป็นหลักที่ว่าไม่บังคับไม่ใช่วินัย วินัยเป็นเรื่องบังคับแต่ธรรมะนี้ไม่ใช่เรื่องบังคับใครจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้แม้ใครตั้งใจจะเอาแต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีมันก็ยังไม่ได้อยู่นั้นเอง นั้นปัญหาใหญ่จึงอยู่ที่ว่าจะต้องเข้าใจและสนใจมากพอที่นี้เพื่อจะให้เข้าใจจนเกิดความสนใจมากพอจะต้องมีแนวสำหรับคิดในเบื้องต้นก่อน ซึ่งอาตมามีความเห็นว่าจะต้องตั้งปัญหาขึ้นมาก่อนว่าชีวิตของเรานี้มันคืออะไรจากอะไรเพื่ออะไรโดยวิธีใดดังจะได้กล่าวมาแล้วว่านี้เป็นหลักทางโลจิกของธรรมะในพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องอริยสัจอย่างเราจะรู้จักชีวิตดีเราต้องมีปัญหา ๔ ข้อนี้เป็นอย่างน้อยว่าชีวิตนี้คืออะไรแม้แต่เพียงว่าคืออะไรนี้มันก็มีหลายแง่หลายมุมเสียแล้วเพราะว่าคนเราเข้าใจคำว่าชีวิตนี้ต่างๆกันในแง่วัตถุก็มีในแง่นามธรรมทางจิตทางใจก็มีหรือในแง่ปรัชญาที่ลึกซึ้งเข้าไปก็มีว่าชีวิตนี้คืออะไรนั้นยอมตอบได้หลายทางทางวัตถุล้วนๆเช่นทางไบโอโลยีเมื่อตามว่าชีวิตคืออะไรเขาก็ระบุไปที่ชีวิตคือความสดชื่นยังเป็นอยู่ของโปรโตพลาสซึมของที่บรรจุอยู่ในเซลล์เซลล์หนึ่งๆเป็นนิวเคลียสของเซลล์ถ้าสิ่งที่เรียกว่าโปรโตพลาสยังสดอยู่ก็ถือว่ายังมีชีวิตอยู่แต่ว่าชีวิตอย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ความหมายในลักษณะไบโอโลยีอย่างนี้ย่อมใช้ไม่ได้กันกับทางธรรมะนั้นขอให้เว้นไว้ก่อนเราจะต้องมองดูในแง่ของจิตใจว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นคืออะไรถ้ากล่าวโดยทางธรรมะแล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตนี้คือความอยากหรือความดิ้นลนที่จะเป็นไปตามความต้องการของตัวมันเองเป็นอย่างน้อยความรู้สึกเมื่อมีตัวตนเป็นศูนย์กลางอยู่และก็มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นวัตถุที่มุ่งหมายของมันอยู่แล้วมันก็ทะเยอทะยานดิ้นรนเพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านั้นคือกระทำไปตามความอยากที่จะได้นั้นแม้จะได้มาแล้วก็ไม่ใช่จะหยุดความอยากที่จะได้ย่อมมีความอยากอย่างอื่นเนื่องมากับสิ่งที่จะได้นั้นและมีความอยากอย่างอื่นต่อไปมันจึงดิ้นรนต่อไปคืออยากต่อไปและก็ทำต่อไปคือได้ผลมาแล้วก็อยากต่อไปและก็ทำต่อไปอีกได้ผลมาแล้วก็ยังคงอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีกเป็นเกลียวไปทีเดียวไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปทีเดียวคือกระแสของความอยากคือการกระทำตามที่อยากได้มาหมดแล้วก็หล่อลี้ยงความยากอันอื่นขึ้นมาอีกหรือปรุงความอยากอันอื่นขึ้นมาอีกเป็นวงกลมที่ไหลวนเชี่ยวเป็นเกลียวไปทีเดียวชีวิตในแง่ของธรรมะหรือในแง่ของปรัชญาทางพุทธศาสนาก็มีความหมายกันอย่างนี้มันจะใช้กันได้กับท่านทั้งหลายหรือเปล่าของให้ลองคิดดูเป็นข้อแรกก่อนถ้ามันเป็นสิ่งที่ใช้ได้ก็พอวินิจฉัยกันต่อไปได้นั้นจึงนิยามคำๆนี้สั้นๆว่าชีวิตคือกระแสแห่งความดิ้นรนถ้าถามว่ามันมาจากอะไรมันเนื่องมาจากอะไรท่านลองคิดดูว่ามันเนื่องมาจากอะไร ถ้าตามทางวัตถุก็คงตอบว่าผมอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่งแต่ในทางธรรมะที่ลึกไปกว่านั้นเราถือว่ามันเนื่องมาจากความไม่รู้ความไม่รู้นั้นแหละเป็นเหตุให้ต้องดิ้นรนอย่างนั้นถ้ารู้มีสภาพแห่งความรู้มาแล้วมันก็หยุดทันทีนี้จึงตอบว่ามันมาจากความไม่รู้ดังนั้นจึงถือว่าตามปกติธรรมดาที่เป็นอยู่เองนี้เราไม่รู้ว่าอะไรตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไรหรือชีวิตนั้นมันไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องนั้นคือสภาพที่ปราศจากความรู้ที่เราเรียกว่าอวิชชาเป็นเหตุให้สร้างความดิ้นรนกระแสแห่งความดิ้นรนขึ้นมานี้ถ้าถามว่าเพื่ออะไรคำตอบนี้คล้ายกับกำปั้นทุบดินมันตอบว่าเพื่อหยุดนี้ถ้ามีปัญญาก็จะมองเห็นว่าไม่ใช่เพื่อกำปั้นทุบดินอย่างจะถามว่ากินเพื่ออะไรมันก็เพื่อหยุดกินแล้วทำงานเพื่ออะไรก็เพื่อจะได้หยุดทำงานหรือว่าเดินทางนี้เพื่ออะไรก็เพื่อที่จะได้หยุดเดินทางเพื่อถึงที่หมายปลายทางและเพื่อจะได้หยุดเดินทางเพราะฉะนั้นถ้าหากชีวิตนี้คือกระแสแห่งความไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปแล้วมันจะเป็นไปเพื่ออะไรนอกจากจะไม่ใช่เพื่อนั้นมันต้องเป็นไปเพื่อหยุดโดยแน่นอน หยุดนั้นแหละคือความว่างคือความหยุดหรือความสงบหรือแล้วแต่จะเรียกซึ่งไม่เป็นความทุกข์ก็แล้วกันเหล่านั้นก็จึงกล่าวว่าเพื่อความไม่ทุกข์ที่เราขวนขวายกันทุกอย่างทุกทางนี้ที่แท้ควรจะเป็นเพื่อความไม่ทุกข์และเนื่องจากไม่รู้จักความทุกข์และความไม่ทุกข์อย่างถูกต้องจึงดิ้นรนเท่าไหร่ๆก็ไม่เคยประสพความหยุดหรือความพ้นทุกข์สักทีและพาเอาความดิ้นรนนั้นเป็นเพื่อนเข้าโลงไปด้วยนี้เรียกว่าไม่เพราะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร หรือปัญหาข้อต่อไปว่าโดยวิธีใดหยุดก็คือว่าจะหยุดโดยวิธีใดนี้มันก็ต้องเอาความรู้เข้ามาเพราะว่ามันวิ่งเพราะความไม่รู้ที่หยุดได้โดยวิธีใดก็ต้องสิ่งตรงกันข้ามคือความรู้เพราะเราจะต้องมีความรู้ชนิดที่จำเป็นแก่ชีวิตมันจึงจะเป็นชีวิตที่หยุดได้นี้แหละคือปัญหาข้อแรกที่ว่าชีวิตคืออะไรและเราจะใช้ชีวิตและใช้ธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไรนั้นเราจะต้องแยกชีวิตนี้ออกเป็นสองรูปสองแบบเสียก่อนคือว่าชีวิตโดยพื้นฐานอย่างหนึ่งและชีวิตเฉพาะเหตุการณ์นี้อย่างหนึ่งชีวิตประจำวันเฉพาะเหตุการณ์เฉพาะเรื่องเฉพาะคนนี้อย่างหนึ่งชีวิตประจำวันพื้นฐานหมายถึงความที่เราจะต้องมีพื้นฐานแห่งความมีชีวิตเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องหรือตลอดกาลตลอดไปตลอดทุกเวลาเป็นพื้นฐานถ้าท่านจะถามว่าธรรมะสำหรับชีวิตพื้นฐานตลอดเวลานี้คืออะไรก็ไม่พ้นที่จะระบุไปยังความรู้จักควบคุมจิตใจไม่ให้รู้สึกว่าตัวกูว่าของกูให้ว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูไม่ให้มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเองนั้นแหละคือพื้นฐานทั่วไปของธรรมะที่จะใช้กับชีวิตที่เป็นพื้นฐานประจำวันและตลอดเวลานั้นถ้าจัดการเรื่องพื้นฐานไม่ได้ข้อปลีกย่อยเฉพาะเรื่องก็ทำไม่ได้เพราะมันสิ่งต่างๆมันจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแล้วเราจะต้องมีจิตใจดีมีพื้นฐานของจิตใจดีมีหลักเกณฑ์ความคิดความเข้าใจความเชื่อที่ดีเป็นพื้นฐานเสียก่อนซึ่งทั้งหมดนั้นจะไปรวมอยู่ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวตนของตนเพราะว่าความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วปิดบังปัญญาเสียหมดสิ้นนั้นต้องขจัดออกไปให้ปัญญาอยู่แทนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอะไรเป็นอะไรซึ่งสรุปความแล้วก็คือว่าทุกสิ่งนั้นไม่ควรยึดมั่นว่าตัวเราเป็นของเราดังที่กล่าวแล้วนั้นเองนั้นถ้าเรามีพื้นฐานของชีวิตถูกต้องโดยอาศัยธรรมะพื้นฐานอย่างเช่นนี้แล้วก็เรียกว่าชีวิตประจำวันของเราโดยพื้นฐานนั้นดีที่สุดแล้วจะต้องถือว่าชีวิตพื้นฐานนี้มันจะต้องเป็นของประจำวันด้วยเหมือนกันเพราะมันตั้งอยู่บนพื้นฐานตลอดวันตลอดคืนทั้งหลับและทั้งตื่นที่ว่าทั้งหลับนี้หมายความว่าแม้ตกอยู่ในความหลับก็ไม่ฝันร้ายอย่างนี้เป็นต้นที่นี้สำหรับชีวิตเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีนั้นมันหมายความว่าเราทุกคนแต่ละคนมีหน้าที่ที่จะต้องทำต่างๆกันนี้ก็อย่างหนึ่งเพราะยังมีสิ่งต่างๆมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยเรียกรวมๆกันก็เรียกอย่างนี้จากบุคคลนั้นจากบุคคลนี้จากบุคคลภายนอกจากบุคคลภายในที่ต้องประสพเป็นธรรมดาเรื่องแสวงหาเรื่องบริโภคใช้สอยต่างๆเหล่านี้มันมีเฉพาะเรื่องและเฉพาะคนนั้นก็จะต้องมีธรรมะเฉพาะเรื่องหรือตรงกันกับเรื่องมาช่วยขจัดปัดเป่าเป็นกรณีพิเศษออกมาจากส่วนที่เป็นพื้นฐานนั้นขอให้เรารู้จักแยกชีวิตนั้นออกมาเป็น ๒ รูปว่าชีวิตประจำวันนี้ส่วนที่เป็นทั่วไปพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคนและทุกเวลาทุกแห่งนั้นก็แบบหนึ่งรูปหนึ่งและก็เรื่องที่เป็นเฉพาะคนจริงๆเฉพาะเวลาจริงๆเฉพาะเหตุการณ์จริงๆนั้นมันก็อีกแบบหนึ่งเมื่อเข้าใจทั้งสองแบบแล้วมันง่ายและขอเตือนว่าแบบพื้นฐานทั่วไปนั้นจะต้องอาศัยหลักไม่ยึดมั่นถือมันว่างจากตัวตนนั้นแหละเป็นพื้นฐานที่นี้ก็มีสติปัญญาที่จะแก้ไขชีวิตประจำวันเฉพาะเรื่องเฉพาะเวลาด้วยสติปัญญาที่เกิดมาจากความว่างนั้นเองแต่ว่ามีสติปัญญาให้ตรงตามเรื่องว่าจะต้องใช้ธรรมะข้อไหนอย่างไรเช่นว่าจะต้องใช้ธรรมะชื่อหิริโอตัปปะสติสัมปชัญญะสันโดษเลี้ยงง่ายในทำนองนี้เป็นต้นขอให้เข้าใจในการที่จะว่างพื้นฐานให้ดีเสียก่อนเถิดแล้วมันจะเหมือนกับป้อมค่ายที่มั่นคงที่ยากที่ข้าศึกคือกิเลศนั้นมันจะตีแตกธรรมะพื้นฐานจึงจำเป็นอย่างนี้ที่นี้เพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับปัญหาชีวิตประจำวันเฉพาะหน้าอยากจะให้ทุกคนรูจักคิดปัญหาคือที่ว่าเกิดมาทำไมอย่างน้อยควรจะลำพึงว่าเกิดมาทำไมหนอ จะใช้คำว่าหนอก็คงคิดนานสักหน่อยมันคงเห็นคำตอบได้ทันทีเมื่อถามว่าเกิดมาทำไมนี้ก็ตอบต่างๆกันมากมายเหลือที่จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ลองคิดคำตอบดูด้วยกันทุกคนในที่นี้เชื่อว่าคงจะไปกันคนละทิศคนละทางและบางทีก็น่าขบขันที่สุดบางคนเข้าใจผิดโดยได้ฟังมาผิดหรือเข้าสอนมาผิดว่าเกิดมาเพื่อทนทุกข์อย่างนี้ก็มีบางคนก็มากไปกับว่าเกิดมาเพื่อสนุกกันใหญ่ไม่ต้องคิดถึงอะไรอย่างว่าเกิดมาเพื่อกินเพื่อดื่มเพื่อสนุกรื่นเริงกันเต็มที่เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้อย่างนี้ก็มีบางคนก็เกิดด้วยหวังจะเอาอะไรที่ว่ายังอยู่ไกลนอกฟ้าหิมพานต์กันเลยทีเดียวยังไม่รู้จักยังไม่เข้าใจยังมืดมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะเอาให้ได้อย่างนั้นก็มีนี้ล้วนแต่แกว่งไปสุดเหวี่ยงคนละทิศคนละทางต่างๆนาๆอย่างนี้มันจะเอามาใช้กันได้กับการที่จะศึกษาธรรมะหรือใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรปัญหาข้อนี้มันซับซ้อนอยู่หลายชั้นที่ถามว่าเกิดมาทำไมนี้มันเป็นคำถามของคนที่ไม่รู้เรื่องจริงมันรู้เรื่องที่ไม่จริงคือมีตัวมีตนที่ได้เกิดมาจนกระทั่งไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมในที่สุดถ้ารู้เรื่องจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าก็หมายความว่าไม่ได้มีตัวมีตนซึ่งเกิดมามีแต่ความไหลเวียนเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เป็นรูปเป็นนามเป็นขรรค์ เป็นธาตุเป็นอายตนะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่ได้มีใครเกิดมา ไม่ได้มีใครเป็นอยู่ไม่ได้มีใครตายไป ไม่ได้มีใครเกิดใหม่อย่างนี้เป็นต้น เอาละทีนี้เราจะพูดอย่างที่เรียกว่าโดยโวหารสมมุติคือมีคนมาสนใจเรื่องธรรมะกระทั่งสนใจว่าเกิดมาทำไม่นี้ถ้าจะให้เข้ารูปกับกันธรรมะ มันก็จะต้องตอบว่าเกิดมาเพื่อรู้ธรรมะมากกว่าอย่างอื่นเพราะว่าที่จริงนี้มันไม่ได้เกิดมาเพื่อมีอะไรไม่ได้มีเกิดมาแต่ความหลงผิดมันหลงไปว่ามีอะไรเกิดมาตัวเราเกิดมาเมื่อความจริงมันไม่มีอะไรเกิดมามันก็ไม่ต้องมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายที่ไหนอะไรเกิดมาแต่ถ้าสมมุติว่าความรู้สึกอย่างนี้ว่าเป็นความรู้สึกของปุถุชนสามัญว่าเกิดมาแล้วที่เกิดมาเพื่ออะไรกันมาเพื่อหาเงินจนตายไม่รู้จักหยุดจักหย่อนมาเหน็ดเหนื่อยจนตายไม่รู้จัดหยุดจักหย่อนหรือว่าเพลิดเพลินสนุกสนานไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเกิดมาเพื่อต้องบริหารร่างกายให้ปรกติมีสุขอยู่เสมอไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเกิดมาเป็นทาสของร่างกายอย่างนี้น่าสนุกไหมมันล้วนแต่จะต้องคิดดูทั้งนั้นถ้าสมมุติว่าเราเกิดมาและมีภาระหน้าที่ผูกพันทุกอย่างทุกประการทั้งข้างนอกทั้งข้างในทั้งส่วนสังคมและส่วนตัวเราล้วนๆทั้งส่วนร่างกายและส่วนจิตใจอย่างนี้แล้วเราจะเห็นได้ทันที่ว่าการเกิดมานั้นมันเป็นความทนทรมานนั้นความมุ่งหมายของการเกิดมาเพื่อจะศึกษาให้เอาชนะความทนทรมานหรือความทุกข์ให้ได้ถ้าคิดอย่างนี้ค่อยง่ายหน่อยว่าเราเกิดมาเพื่อเอาชนะความทุกข์จะจริงหรือไม่จริงจะต้องคิดดูด้วยตนเองทุกๆท่านอย่าไปเชื่อตามธรรมที่เขียนไว้อย่างนั้นอย่างนี้กล่าวไว้อย่างนั้นอย่างนี้เราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่และที่มันมีอยู่เองเป็นอยู่เองเป็นไปเองโดยใครบังคับมันไม่ได้มันคืออะไรกันแน่คือความต้องรับภาระบริหารร่างกายจิตใจชีวิตการงานเรื่อยไปอย่างนี้ใช่หรือไม่และมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ถ้ามันเป็นทุกข์ ถ้ามันเป็นสุขก็ดีไปเราเกิดมาเพื่อสุขกันแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้แต่ถ้าเกิดมาเพื่อทุกข์แล้วก็มีปัญหาที่ต้องเอาชนะความทุกข์นั้นให้ได้โปรดอย่าใช้คำว่าหนีทุกข์เพราะคำว่าหนีทุกข์ไม่ใช่คำเดียวกับว่าเอาชนะความทุกข์แม้แต่คำว่าดับทุกก็ไม่น่าจะใช้แต่ถ้าจะใช้คำว่าดับทุกต้องอธิบายให้ถูกส่วนเรื่องหนีทุกข์เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึงกันมันผิดโดยประการทั้งปวงจะมีศาสนาไว้เพื่อหนีทุกข์เป็นเรื่องที่งมงายโง่เขลาอย่างยิ่ง หรือแม้ที่สุดแต่ว่าออกบวชออกจากบ้านเรือนไปบวชก็ไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์นั้นเป็นคำพูดที่ว่าเอาเองผิดอย่างยิ่งที่ถูกมันต้องเพื่อเอาชนะความทุกข์ที่ว่าจะดับทุกข์นั้นไม่ค่อยถูกหรือถูกครึ่งเดียวผิดครึ่งถูกครึ่งคือว่าเราไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยมัวไปดับทุกข์มันอยู่มัวไปดับมันทำไมเรามีวิธีใดวิธีหนึ่งที่มันไม่ให้มันมาทำอะไรเราได้ก็แล้วกันเรียกว่าเอาชนะความทุกข์ให้ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความอะไรทุกๆอย่างนั้นไม่มีความหมายไปเลยมันเป็นตัวมันเองไปตามเรื่องตามราวของมันเถอะมันไม่มาทำอะไรเราได้ก็แล้วกันนี้ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วจะต้องเรียกว่าเราเกิดมานี้เพื่อเอาชนะความทุกข์ไม่แพ้แก่ความทุกข์ไม่ต้องหนีทุกข์และไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยไปดับทุกข์กับมันมันก็พูดว่าเอาไม้สั่นไปลันจาระนี้มันยุ่งเปล่าๆมันเลอะเถอะเปล่าๆมันสกปรกเปล่าๆความทุกข์ก็เหมือนกันเราไม่ไปแตะต้องกันมันโดยที่เรามีวิธีที่ฉลาดที่จะอยู่เหนือหรือเอาชนะมันได้ที่นี้เราก็มีปัญหาต่อไปว่ามีความทุกข์ชนิดไหนบางที่ทางวัตถุเอาชนะไม่ได้ทางวัตถุหมายถึงมีเงินมีทองมีอำนาจวาสนามีวัตถุความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมีความรู้ทางวัตถุนี้กระทั้งมีเงินมากมีทรัพย์สมบัติมากมีอำนาจวาสนามากมีเครื่องมือสารพัดอย่างนี้ยังมีความทุกข์ชนิดไหนอยู่อีกที่อำนาจทางวัตถุที่เอาชนะมันไม่ได้นี่ลองคิดดูต่อไปในที่สุดเราก็จะย้อนมาพบว่าความทุกข์ที่เกิดมาจากความเห็นตัวตนนั้นคือตัวกูของกูที่ปรุงแต่งขึ้นมานี้นี้เป็นสิ่งที่วัตถุแก้ไม่ได้ชนะไม่ได้เพราะว่าสิ่งนั้นแหละมันปรุงวัตถุขึ้นมาหรือวัตถุก็ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งนั้นอันวัตถุแม้จะมีมากหรือมีอิทธิพลสูงอย่างไรก็แก้ความทุกข์ชนิดนี้ไม่ได้นี้ต้องอาศัยสิ่งอื่นที่ดีกว่าที่ประเสริฐกว่ามากมายทีเดียวนั้นแหละคือธรรมะ ธรรมะจะเข้ามาที่ตรงนี้จะช่องทางที่ธรรมะจะต้องเข้ามาที่ตรงนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่เราเราจึงรับเอาธรรมะเข้ามาในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับเอาชนะความทุกข์ประเภทที่วัตถุเอาชนะไม่ได้นั้นท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายลองคิดดูให้ดีว่าเรากำลังมีสิ่งนี้เครื่องมืออันนี้แล้วหรือยังหรือว่าสิ่งที่เรากำลังเรียนกำลังทำกำลังมุ่งมาดปรารถนานั้นมันออกไปจากขอบวงของวัตถุแล้วหรือยังหรือว่ายังตกอยู่ในวงของวัตถุยังเป็นเรื่องมัวเมาทางวัตถุถ้าอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ธรรมะเราจะต้องอยู่เหนือนั้นไปอีกมีจิตใจมีความรู้สึกที่อยู่เหนือวัตถุจึงจะเป็นธรรมะจึงจะมาควบคุมวัตถุที่เป็นปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวันได้ปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวันหรือชีวิตประจำวันที่เป็นปัญหายุ่งยากนั้นไม่มีอะไรเลย เนื่องมาจากวัตถุทั้งนั้นตามยุ่งยากเหล่านี้ไม่อาจจะเกิดมาจากธรรมะหรือเรื่องทางฝ่ายธรรมะซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจแต่เมื่อจิตใจตกมาเป็นบ่าวของวัตถุเป็นทาสของวัตถุหมดอิสรภาพแล้ววัตถุก็สร้างตัณหาขึ้นแก่จิตใจในชีวิตประจำวันแล้วเราจะแก้อย่างไรทีนี้ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคือธรรมะที่สามารถจะครอบงำอำนาจของวัตถุได้นั้นเองนี้เราจึงพบว่าที่ความทุกข์อยู่อีกแบบหนึ่งซึ่งวัตถุไม่อาจจะเอาชนะได้จะต้องเอาชนะด้วยสิ่งซึ่งมีอำนาจเหนือวัตถุคือธรรมะไม่ฝ่ายทางจิตใจหรือทางฝ่ายวิญญาณที่มีหลายๆคนไม่ชอบให้เอยชื่อถึงแต่ว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในส่วนนี้คือในชีวิตประจำวันนี้เองปัญหาควรจะเดินต่อไปว่าเมื่อเป็นดังนั้นแล้วอะไรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้เป็นประจำวันก็คือว่าเรื่องทางวัตถุนั้นเรื่องทางวัตถุหรือเรื่องทางจิตใจกันแน่ที่เราควรจะได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเป็นประจำวันหรือตลอดชีวิตข้อนี้พุทธศาสนาไม่ได้เป็นเอามากๆถึงกับรังเกียจฝ่ายโน่นรักฝ่ายนี้โดยส่วนเดียวเพราะว่าถ้าทำดังนั้นไม่เป็นสายกลางไม่ใช่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาเราไม่รังเกียจอะไรหมดและเราไม่หลงรักอะไรหมดแต่ว่าเราจะต้องมีสติปัญญาที่จะต้องควบคุมมันทุกอย่างทีเดียววัตถุนั้นเราต้องใช้ต้องเขาไปเกี่ยวข้องแต่ด้วยสติปัญญาหรือธรรมะที่ควบคุมมันได้เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นวัตถุหน้าใหม่เข้ามาคือเป็นวัตถุที่ถูกควบคุมแล้วที่ควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้วนี้เรื่องทางฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายจิตใจนั้นเราก็ระบุเอาเฉพาะที่เป็นความรู้อย่างถูกต้องอย่างพอเพียงอย่างในระดับกลางไม่ต้องเป็นเอามากๆเหมือนคนบางพวกที่คิดจะทำลายร่างกายนี้เสียเหลือแต่จิตใจล้วนๆนี้ซึ่งเป็นพวกมิจฉาทิฐิพวกหนึ่งซึ่งบำเพ็ญอัตตะนิฐานุโยก(นาทีที่ ๒๙.๕๐) ทำลายร่างกายหรืออะไรยิ่งไปกว่านั้นหรือที่เขาพูดถึงพวกพรหมชนิดหนึ่งซึ่งมีแต่ใจเพราะความคิดของเขารุนแรงมากถึงกับเกียจร่างกายไปโทษร่างกายเพราะมีร่างกายนี้จึงเกิดความทุกข์ขึ้นอย่างนี้ก็มีตัวจริงจะมีได้อย่างไรนั้นไม่แน่แต่ว่าความคิดอย่างนี้มีได้มีได้กับคนที่ชอบตั้งใจคิดแล้วคิดรุนแรงตะพึดตะพือไปนี้พุทธศาสนาจะมีจิตใจที่ควบคุมแล้วจะมีวัตถุที่ควบคุมแล้วจัดแจงปรับปรุงสร้างสรรค์คือย่างดีแล้วคือในสภาพที่เหมาะสมแก่การที่จะไม่เป็นทุกข์นั้นเอง ปัญหาที่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้นี้ขอให้จำเอาไปด้วยถ้าคิดปัญหาข้อนี้ถูกแล้วการใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันจะง่ายดายที่สุดแต่ถึงอย่างไรก็ดีเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องแทรกเรื่องวัตถุกับเรื่องทางวิญญาณหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๒ เรื่องได้เสมอไปเพื่อเห็นความแตกต่างและควบคุมให้ได้นั้นเองคือเราจะต้องมองให้เห็นว่าพวกที่หลงไปในทางวัตถุนิยมนี้ เขาแสวงหาความสุขด้วยจากวัตถุและด้วยการตามใจกิเลสขอให้ฟังประโยคนี้ให้ดีๆว่าพวกที่ตกไปฝ่ายวัตถุนั้นจะแสวงหาความสุขจากวัตถุและก็ด้วยการตามใจกิเลสนี้เราทุกคนกำลังหวังที่จะแสวงหาความสุขจากอะไรกันแน่จากวัตถุต่างๆที่มุ่งหมายจะสร้างสมหรือสะสมขึ้นข้างหน้าให้มากมายใช่หรือไม่และมุ่งหมายจะแสวงความสุขจากการกระทำต่อจิตใจให้ถูกต้องขอให้เกิดความสงบสุขอย่างประเสริฐขึ้นมาโดยไม่ต้องเกี่ยวกับวัตถุเลย ถ้าเรามุ่งหมายทางวัตถุตะพึดตะพือไปโดยถือหลักว่าเมื่อวัตถุสมบูรณ์แล้วจิตใจก็สมบูรณ์เองเมื่อคว้าวัตถุถึงที่สุดแล้วจิตใจก็มีความสุขถึงที่สุดนี้ก็ขอให้ทราบว่านี้ก็คือ Directic materialismนาทีที่ ๓๒.๒๖) เป็นต้นกำเนิดของคอมมิวนิสต์จะเอาหรือไม่เอาก็ลองคิดดูเองที่ถ้าหากว่าแสวงหาความสุขทางฝ่ายนามธรรมอยากจะเรียกขอเรียกสักทีว่ามโนนิยมเพราะไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไรการบัญญัติธรรมที่ก้าวหน้าเร็วเกินไปก็ได้ขอเรียกไปทีก่อนเพื่อให้พูดกันได้เท่านั้นเองเพราะถ้าเราไม่เป็นวัตถุนิยมแต่เป็นมโนนิยมก็แสวงสุขจากความเป็นอิสระจากวัตถุด้วยการเผาแผดเผากิเลสนั้นเสียมันตรงกันข้ามอย่างนี้ถ้าเป็นวัตถุนิยมต้องแสวงความสุขจากวัตถุด้วยการตามใจกิเลสปนเปรอกิเลส และแสวงความสุขจากมโนจากจิตจากวิญญาณทางวิญญาณเป็นมโนนิยมนี้ละก็ แสวงความสุขจากการเป็นอิสระอยู่เหนือวัตถุไม่ต้องเป็นทาสของวัตถุและก็ด้วยการเล่นงานกิเลสด้วยการแผดเผากิเลสทำลายกิเลสไม่ตามใจกิเลสมันตรงกันข้ามอย่างนี้แม้บางคนไม่กล้า ไม่กล้านี้มีหลายอย่างเพราะอ่อนแอกลัวจะไม่ได้สนุกสนานตามความฝันที่หวังไว้มากมายและฝันไว้นานมาแล้วและยังฝันต่อไปอีกข้างหน้าโดยไม่สิ้นสุดจนกระทั้งมีคนกล้ากล้าคิดกล้านึกกล้าตัดสินใจกันใหม่นี้ค่อยเป็นไปได้มีช่องทางที่ว่าเราจะเอาชนะวัตถุได้ถ้าเดินมารูปนี้แล้วปัญหาชีวิตประจำวันแถบจะไม่มีอะไรเหลือคือจะไม่มีปัญหาอะไรเหลือมันจะราบรื่นไปหมดคงจะไม่มีปัญหาชีวิตประจำวันเกิดขึ้นมากจนยื่นคำถามข้อนี้มากเพราะคงจะล้วนคงแต่ประสบปัญหาทางวัตถุมาทั้งนั้นซึ่งจะประมวลได้ว่าเพราะสิ่งต่างๆทางวัตถุนี้คือตามบุคคลภายนอกนี้ล้วนแต่ไม่เป็นไปตามกิเลสนี้ต้องการไม่ใช่สติปัญญาต้องการตามที่กิเลสต้องการคือมีกิเลสออกมาแสดงบทบาทเป็นใหญ่เป็นประธานเสียเรื่อยฉะนั้นจึงมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายคือมี (aim หรือมี gold นาทีที่ ๓๔.๔๔) อยู่ตรงที่จะได้วัตถุเต็มตามความต้องการของกิเลสอย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้ปัญหาประจำวันเกิดขึ้นมากมายจนสางไม่ไหวนี้ใช้คำว่าสางไม่ไหวมันจะเกิดขึ้นมามากมายจนสางไม่ไหวปัญหาชีวิตประจำวันทุกวันจะเกิดขึ้นจนสางไม่ไหวแต่ถ้ากลับตรงกันข้ามเสียแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมันจะสลายตัวไปโดยทันทีอย่างนี้เป็นต้นเพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังขาดอยู่อย่างยิ่งก็คือความมีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นเอง ความมีนิพพานเป็นโกลด์เป็นออฟเจ็คของวัตถุที่มุ่งหมายที่ประสงค์มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลานั้นเองนี้เรายังขาดกันอยู่สิ่งที่ทุกคนเราทุกคนกำลังขาดกันอยู่และทำให้ปัญหาประจำวันมีมากขึ้นในการปฏิบัติงานหน้าที่ของตนคงจะมีคนบางคนตะโกนอยู่ในใจว่ามันจะทำได้อย่างไรกันโวยที่มันต้องใช้คำหยาบคายว่าโวยนี้เพราะมันเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆก็ได้เพราะเหตุที่มองไม่เห็นได้ทันทีและล้วนแต่มืดมนอยู่ไกลสุดเอื้อมเมฆคงจะต้องตะโกนว่าโวยแน่มันจะทำได้อย่างไรกันโวยการที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นน่ะจะทำได้อย่างไรที่ว่ายังขาดอยู่ทุกคนนี้ก็อธิบายอยู่ในตัวแล้วว่ามุ่งหมายไว้ถูกมุ่งหมายความสุขทางวัตถุคือทางเนื้อทางหนังไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากการรบกวนเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากตัวกูหรือของกูต้องการจะมีตัวกูของกูออกรับวัตถุเป็นเจ้าของวัตถุ บริโภคใช้สอยวัตถุ เพลิดเพลินมัวเมาอยู่ในวัตถุอย่างนี้เรียกว่ามีวัตถุเป็นอารมณ์ไม่ใช่มีนิพพานเป็นอารมณ์ถ้ามีนิพพานเป็นอารมณ์ก็คือมีความว่างมีความสะอาดสว่างสงบแห่งจิตเป็นอารมณ์ไม่มีอะไรรบกวนมุ่งมั่นจะได้สิ่งนั้นอยู่เป็นประจำนี้เรียกว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลา ถ้าถามว่าจะทำอย่างไรได้กันโวยก็ต้องดูให้ดีที่ตรงว่าชีวิตนี้มันมีแต่ภาพอย่างไรเพราะเหตุไรนั้นเองจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเองไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจนกระทั่งเห็นชัดประจักษ์แก่ตนเองว่าเพราะมีวัตถุเป็นอารมณ์นั้นแหละมันจึงยุ่งยากไปหมดเพราะส่วนบุคคลและส่วนสังคมและส่วนโลกทั้งโลกและทุกๆโลกถ้าหากจะมีเพราะมีวัตถุเป็นอารมณ์คอมมิวนิสต์ก็มีวัตถุเป็นอารมณ์ประชาธิปไตยเป็นอารมณ์อะไรก็ล้วนแล้วแต่มีวัตถุเป็นอารมณ์ไม่เคยมีใครมีนิพพานเป็นอารมณ์ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นทั่วไปหมดกระทั่งปัญหาทางจริยธรรมปัญหาจริยศึกษาปัญหาศีลธรรมเสื่อมปัญหาสิ่งเหล่านี้เสื่อมมีมูลมาจากความมีวัตถุเป็นอารมณ์ ในโลกนี้บรรยากาศฟุ้งไปด้วยความมีวัตถุเป็นอารมณ์ในแบบอย่างต่างๆกันและก็ได้รบกันเป็นวิกฤตการณ์ถาวรไม่เคยประสบสันติภาพนี้เราทุกคนเห็นโทษแห่งความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุเหล่านี้ทั้งนั้นจิตจะน้อมไปเองเพื่อนิพพานทำอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสไม่ใช่อาตมาว่าเป็นพระพุทธภาษิตที่อยู่ในหลักบาลีชัดๆเลยถ้ามองเห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นจิตจะน้อมไปเองเพื่อการนิพพานนั้นแหละคือมีนิพพานเป็นอารมณ์ นั้นถ้าอยากมีนิพพานเป็นอารมณ์นั้นก็ง่ายนิดเดียวด้วยการดูให้เห็นโทษอันร้ายกาจที่ครอบคลุมพวกเราทั้งโดยส่วนรวมทั้งโดยส่วนตัวอยู่นี้เพราะมันมีมูลมาจากความมีวัตถุเป็นอารมณ์มีความตกอยู่ในอำนาจของวัตถุเป็นอารมณ์นี้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้คราวเดียวกันเราก็อย่าบูชาวัตถุเป็นสรณะแต่บูชาธรรมะซึ่งไม่ใช่วัตถุนี้ซึ่งเป็นเครื่องปราบวัตถุนี้เป็นสรณะมีธรรมะเป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้วัตถุมาแพ้วพาลเราก็เกิดมีระเบียบประพฤติปฏิบัติชนิดที่เรียกว่าธรรมะเรียกขึ้นจะเรียกว่าจริยธรรมก็ได้ อาตมากล้ายืนยันว่าคำว่าจริยธรรมคำเดียวก็ใช้ได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนปลายจนกระทั่งถึงนิพพานได้เหมือนกันใช้ได้ตั้งแต่เรื่องโลกๆไปจนถึงเรื่องนิพพานได้เหมือนกัน จะละแปลว่าประพฤติ จะยะแปลว่าควรจริยธรรมแปลว่าธรรมะที่ควรประพฤติทุกแบบที่ควรประพฤติก็เรียกว่าจริยธรรมนี้พระพุทธเจ้าท่านว่างหลักไว้มากมายเช่นมรรคมีองค์ ๘ หรือย่อลงเหลือไตรสิกขาเป็นการง่ายมากที่เราจะดูที่ไตรสิขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราได้ยินคุ้นหูกันมากที่สุดว่านี้จะเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไรถ้าเราใช้หลักที่เรียกว่าไตรสิขา ที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วปัญหาเรื่องนี้จะเบาบางลงไปอย่างมากมายทีเดียวอย่างเห็นได้ชัดคำว่าศีล ศีลนั้นท่านอย่ามุ่งหมายมากมายอะไรกันนักแต่ต้องนั่งจดองค์อย่างนั้นองค์อย่างนี้ขาดหรือยังให้มันมากมายไปนักนั้นมันเป็นเรื่องที่หลังซึ่งทำให้ยุ่งยากมากขึ้นเป็นกลิ้งครกขึ้นภูเขาคำว่าศีลควรจะมีความหมายแต่เพียงว่าประพฤติดีแล้วและก็ใช้ได้กับศาสนาทุกชาติทุกภาษาทุกระบบของวัฒนธรรมในโลกนี้มีความประพฤติดีแล้วนี้เรียกว่าศีลมีความประพฤติดีแล้วคือไม่กระทบกระทั่งตัวเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนทางการกระทำภายนอกด้วยกายด้วยวาจานี้เรียกว่าศีล เมื่อเราให้ความหมายอย่างนี้แล้วคำว่าศีลก็จะสากลจนถึงกับใช้ได้ระหว่างชาติระหว่างโลกที่เดียวใช้ได้ตลอดโลกทั่วโลกนี้คำว่าสมาธินั้นควรจะมีบทนิยามแต่เพียงว่าสามารถบังคับใจของตนได้ตามต้องการขอให้ท่านทั้งหลายสนใจคำนิยามอย่างนี้ไว้เพื่อเข้าใจธรรมะถูกตรงและเพียงพอในการที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเพียงพอด้วยเหมือนกันคำว่าสมาธินั้นไปอ่านหนังสือเรื่องสมาธิดู อ่านตั้งเดือนก็ยังไม่จบไม่รู้ว่าอะไรในที่สุดแต่ใจความที่ถูกที่ตรงนั้นก็คือสามารถบังคับใจของตนได้ตามต้องการในการที่เราจะใช้มันให้ทำอะไรบ้างเดียวนี้เราไม่สามารถที่จะมีจิตใจที่จะใช้มันได้ตามที่ใจเราต้องการมันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้เสียเรื่อยนั้นคำว่าสมาธินั้นควรมีความมายของคำว่า(กรรมะนีโยนาทีที่๔๒.๓๗)ควรแก่การงานดังที่กล่าวแล้วแต่วันก่อนนี้เป็นหลัก คนเราทุกคนในโลกนี้ไม่สามารถบังคับใจของตัวเองได้ตามที่ต้องการหมายถึงในทางฝ่ายดี ฝ่ายที่คล้ายในความดีแต่ถึงแม้ในทางฝ่ายที่จะทำชั่วก็เถอะไม่ใช่มันจะได้อย่างใจเสมอไปใจมันเป็นอย่างนี้เองนั้นเราต้องมีการปฏิบัติระเบียบระบอบหนึ่งที่สามารถบังคับใจได้ตามต้องการจะฝึกที่ใดก็ได้ถ้าเราควบคุมใจอยู่ในอำนาจใช้มันได้ตามใจต้องการแล้วเรียกว่าสมาธิทั้งนั้นเพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิจึงเป็นของสากลอย่างยิ่งถึงที่สุดอีกอย่างเดียวกันคือใช้กับคนชาติไหนภาษาไหนวัฒนธรรมระบอบไหนก็ได้ไม่มีผิดเลยใช้ได้ทั้งนั้นที่นี้ก็มาถึงคำว่าปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มาถึงคำว่าปัญญาจะต้องย้ำความหมายของมันว่าเข้าใจทุกสิ่งอย่างถูกต้องทุกสิ่งนี้เราเอาเท่าที่มนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะว่าสิ่งใดไม่เอาเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็ไม่มีปัญหาไม่นึกถึงก็ได้แต่ว่าทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องนี้เราต้องเข้าใจมันอย่างถูกต้องนี้คือตัวปัญญาในพระพุทธศาสนาที่ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานไม่มีอะไรมากกว่านี้เลยขอให้ท่านเข้าใจทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้อย่างถูกต้องก็แล้วกันท่านจะแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ถึงที่สุดเดียวนี้เราไม่รู้ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส เหล่านี้คืออะไรกันแน่มีอะไรกันแน่คืออะไรโดยอะไรจากอะไรเราไม่รู้ทั้งนั้นแต่ว่าไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เสียเลยส่วนที่รู้นั้นรู้ผิดทั้งนั้นรู้ไม่ถูกเลยจึงมีค่าเท่ากับไม่รู้จึงรวบรัดพูดเสียว่าไม่รู้อย่างที่ถูกต้องรู้อย่างผิดๆนี้เท่ากับไม่รู้เพราะรู้ผิดถ้าเราสามารถรู้จากสิ่งที่มาเกี่ยวข้องทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งฝ่ายจิตใจคือว่าวัตถุที่จะมาเกี่ยวข้องเราและจิตใจคือความรู้สึกคิดนึกที่เกิดขึ้นเป็นประจำวันแก่ใจเราทั้งสองอย่างนี้เรารู้จักมันอย่างถูกต้องว่าคืออะไรจากอะไรเพื่ออะไรโดยอะไรแล้วละก็เรียกว่าเรามีปัญญาถึงที่สุดเพราะฉะนั้นจึงเป็นอย่างเดียวกันอีกที่ว่าสิ่งที่เรียกว่าปัญญานี้จะเป็นของสากลใช้ได้ทุกชาติทุกภาษาทุกศาสนาในวัฒนธรรมทุกระบบกระทั่งทุกโลกถ้าหากว่าจะมีหลายโลก นั้นท่านจะเห็นได้ว่าศีลสมาธิปัญญานี้สากลอย่างยิ่งไม่มีอะไรจะสากลไปกว่านี้แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้จริงรู้ยิ่งรู้ถูกจริงหรือไม่ขอให้เราคำนวณดูหรือว่าพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาสากลได้หรือไม่ช่วยตัดสินใจช่วยตัดสินกันอย่างยุติธรรมอย่าลำเอียงเลยพระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาสากลได้หรือไม่ในเมื่อว่างระบบของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวพุทธศาสนาไว้อย่างนี้เราเอาเพียง ๓ คือศีล สมาธิ ปัญญาไม่ต้องกระจายคือมรรคมีองค์ ๘ เวลาจะไม่พอท่านช่วยไปคิดดูว่าศีลมีความประพฤติดีแล้ว สมาธิสามารถบังคับใจได้ตามต้องการปัญญาเข้าใจสิ่งทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องนี้มันสากลไหม คือมันสากลสักเท่าไร สากลทั้งหมดใช่ไหม นี้ถ้าเราเอาหัวใจของพระพุทธศาสนาที่เป็นความหมายแตกออกไป ๓ ประการนี้มาใช้ได้เป็นเครื่องมือและก็ปัญหาทางชีวิตประจำวันในชีวิตประจำวันนี้จะหายไปเองมีความประพฤติดีแล้วบังคับใจตัวเองได้ถ้าใจสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างถูกต้องนี้เป็นหลักส่วนข้อปีกย่อยนั้นจะหาพบได้เองจะหาคำอธิบายได้เองในการประพฤติปฏิบัติมีหลักเพียงเท่านี้ที่ใช้ได้ไปทุกแขนงไม่ว่าเพื่ออยู่ในโลกนี้หรือเพื่ออยู่เหนือโลกก็ตามคือเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานก็ตามเพื่อมีความเจริญโดยทรัพย์ ยศไมตรีอย่างยิ่งอยู่ในโลกนี้หรือโลกสวรรค์ก็ตามมันไม่อาศัยหลักอื่นเลยอาศัยหลักเดียวกันแท้แต่อย่าลืมว่าทั้งสามสิ่งนี้มันมาจากความไม่เห็นแก่ตัวไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวจับอย่างที่กล่าวแล้วทั้งนั้นมันจึงเกิดอาการศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาได้โดยง่ายโดยตัวมันเองที่เราจะต้องนึกดูว่าการประพฤติที่เราบัญญัติกันว่าผิดหรือถูกนี้มันมีอะไรเป็นหลักจนถึงกับเกิดปัญหาว่าจะฆ่าเป็ดฆ่าไก่ขายนี้จะบาปไหมหรือมีปัญหาว่าทำนองนี้ว่าทำอย่างนี้จะผิดหลักศาสนาไหมอย่างนี้เป็นต้นในปัญหาชีวิตประจำวันนั้นคงจะลำบากยากใจอยู่ด้วยตัดสินผิดแน่หรือมันถูกแน่ว่ามันผิดหรือถูกแน่อยู่เป็นอันมากที่เดียวนั้นถ้าเราจะให้ปัญหายุ่งยากใจข้อนี้น้อยลงไปบางก็จะต้องรู้จักแบ่งแยกว่าไอ้ความผิดหรือความถูกนี้มันมีอยู่ ๒ ความหมายด้วยกันคือผิดหรือถูกโดยทางวินัยนี้อย่างหนึ่งผิดหรือถูกโดยทางธรรม ธรรมะนี้มันอีกอย่างหนึ่ง เดียวนี้เรากำลังพูดถึงจริยธรรมส่วนที่เป็นธรรมะไม่ได้ส่วนวินัยและมันก็ต้องถือส่วนธรรมะเป็นใหญ่และจะถือส่วนวินัยก็ได้ไม่ขัดกันเลยแต่เพื่อจะชี้ให้เห็นชัดนี้จึงได้แยกว่าผิดหรือถูกโดยส่วนวินัยนั้นมันต้องเอาตามที่ผู้บัญญัติวินัยได้บัญญัติไว้อย่าเอาอื่นเป็นหลักเลยแต่ถึงอย่างก็ดีพระศาสดาเหล่านั้นไม่ใช่เป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเข้าข้างตัวหรือตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมากมาย พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลศเลยนั้นสิ่งที่ท่านบัญญัติออกไปนั้นจึงเข้ารูปกันได้กับธรรมชาติเป็นส่วนมากหรือเป็นส่วนใหญ่หรือเหมาะสมแก่สังคมโดยวินัยผิดถูกโดยวินัยนั้นต้องตามที่พระศาสดาบัญญัตินั้นสิ่งที่เรียกว่าวินัยนี้มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำก็เป็น แมนเมด ทำด้วยมือของมนุษย์คือมนุษย์บัญญัติขึ้นเราจึงเรียกว่าศีลธรรมหรืออิฐทิ หรือ moralนาทีที่ ๔๙.๔๖ มันเป็นเรื่องมนุษย์ทำเราไม่เรียกว่าสัจธรรมเลยต่อเมื่อเป็นเรื่องของธรรมะเท่านั้นมันจึงจะเป็นธรรมชาติทำโดยธรรมชาติโดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไม่ใช่มือของมนุษย์ทำหรือบัญญัติเพราะฉะนั้นเราจึงเรียกว่าสัจธรรมนี้เราจะถือหลักผิดถูกกันอย่างไหนในวันหนึ่งๆซึ่งมีปัญหาอะไรก็ขึ้นที่โต๊ะทำงานก็ดีที่บ้านที่เรือนก็ดีหรือจะเดินเล่นอยู่ก็ดีเราจะรู้จักแยกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องของกฎหมายหรือวินัยหรือว่าเป็นเรื่องของธรรมะถ้าเป็นเรื่องระเบียบประเพณีขนบธรรมเนียมกฎหมายวินัยอะไรเหล่านี้แล้วเราก็ต้องเอาไปกฎหมายตามวินัยอย่าไปร้อนใจไปศึกษาจากคนที่รู้กฎหมายรู้วินัยรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ถ้ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องทางธรรมะละก็จะต้องศึกษาโดยเหตุผลตามหลักเกณฑ์ของธรรมะคือว่าเป็นไปเพื่อกิเลสโดยกิเลสหรือไม่ถ้าเป็นไปเพื่อกิเลสโดยกิเลสไม่ไหวแน่ หรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อกิเลสนั้นแหละจึงจะมีการไหลมาในทางฝ่ายถูกพอไม่มีกิเลสแล้วมันก็มีสติปัญญาเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น นั้นความถูกอยู่ที่ไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลสคือความยึดมั่นถือมั่นไม่มีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวว่าตัวกูว่าของกูนั้นเองนี้ถ้าเราจะต้องถามคนนั้นคนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลยนี้แหละว่าผิดนี้ผิดไหมนี้ถูกไหมนี้เป็นปัญหาชีวิตประจำวันอย่างนี้เรื่อยไปละก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนั้นควรจะมีหลักเกณฑ์ที่ตัดสินใจได้ตามลำพังตัวเองว่าผิดหรือถูกโดยอาศัยหลักอย่างนี้ อีกแง่หนึ่งจะต้องรู้จักคำว่าโดยธรรมชาติหรือที่โดยมนุษย์ทำที่มนุษย์ทำนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติเรามักจะเรียกกันว่า อาร์ตติฟิเชี่ยลคือมนุษย์มีความมุ่งหมายปรารถนาดีอย่างใดอย่างหนึ่งและประดิษฐ์สิ่งหรือวิธีการหรือกรรมวิธีอะไรขึ้นเหล่านี้อาร์ตติฟิเชี่ยล นี้ก็อย่างหนึ่งน่ะนี้ไม่ใช่ธรรมชาติแล้วมันจึงต้องต่างจากธรรมชาติเรามองให้เห็นชัดว่าธรรมชาติอย่างไรอาร์ตติฟิเชี่ยล อย่างไรอาตมายกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายๆสักเรื่องหนึ่งมันอย่างว่าหมอนหนุนศีรษะนี้หมอนยางมาใหม่ๆเป่าลมนี้อาตมาจะเรียกมันว่าอาร์ตติฟิเชี่ยล หมอนอาร์ตติฟิเชี่ยลหมอนที่เราใช้แต่โบราณคือตามธรรมชาติเดิมนั้นนี้ลองคิดดูซิว่าหมอนเป่าลมนี้กับหมอนเดิมๆที่เราเคยใช้มันต่างกันอย่างไรบ้างนั้นหมอนเป่าลมนี้ถ้ามันต่ำไปซ้อนกันสองลูกไม่ได้มันหล่นออกจากกันแม้หนุนลูกเดียวมันก็ผลุบไปผลุบมาบางทีมันกระโดดหนีไปเลยเป็นของที่น่าขบขันอย่างยิ่งอาร์ตติฟิเชี่ยล หมอนอย่างนี้ ถึงไม่เกิดแก่หมอนที่เราใช้กันอยู่ตามธรรมดาสามัญเลยลองคิดดูว่าโดยเนื้อแท้นี้เราควรจะมีระบบจริยธรรมเก่าที่เป็นไปตามธรรมชาติคล้อยตามธรรมชาติมากกว่าอย่าไปในพวกอาร์ตติฟิเชี่ยลเป็นระบบจริยธรรมใหม่แบบฝรั่งแบบไหนแบบชาติไหนก็ตามใจเถิดอย่าไปหลงใหลบูชาเข้านั้นจะตกมาฝ่ายอะไรอย่างหนึ่งซึ่งไม่เข้าล่องเข้าลอยกันกับธรรมะซึ่งเราก็รู้ดีเพราะความลุ่มหลงในวัฒนธรรมตะวันตกเราไม่ต้องกลัวเขาโกรธเราก็ไม่ได้ด่าเขาเพราะเค้ามีอยู่อย่างนั้นจริงๆข้อที่ไปนิยมระบบวัฒนธรรมตะวันตกนี้มันทำให้ปัญหาทางจริยธรรมหรือทางจริยศึกษานี้หรือศีลธรรมนี้เกิดขึ้นมากมายเช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นในประเทศเขาจนยุ่งยากจนสางไม่ไหวจนจะแก้ว่าจริยธรรมเป็นว่าศีลข้อ ๓ นี้ไม่มีในโลกด้วยซ้ำไป นี้ศีลขอกาเมสุมิจฉาจาราไม่ต้องมีในโลกด้วยซ้ำไปเป็นความจริงเป็นอย่างนี้จริงๆด้วยนี้เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ถ้าจะทำอย่างนั้นแล้วปัญหาชีวิตประจำวันจะเกิดขึ้นพลูไปหมดเหลือที่จะสางไหวเหมือนพวกเขาก็ประสบมาแล้วเหมือนกันเรามีพุทธศาสนาเป็นมิ่งขวัญใช้คำว่ามิ่งขวัญก็เข้าใจเอาเองว่าคุ้มครองทุกชนิดเราจะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้นี้เพียงแต่มีหลักเกณฑ์อย่างนี้เท่านั้นปัญหาชีวิตประจำวันที่พลูขึ้นแก่คนพวกโน้นจะไม่มามีแก่เราขอให้ตัดสินใจเสียให้แน่ว่าเราจะมีชีวิตประจำวันแบบไหนกันแน่ก็จะเอาแบบใหม่หรือเอาแบบเดิมของเรา เราจะมีการเป็นอยู่ประจำวันแบบไหนกันแน่แบบเดิมหรือแบบใหม่ของเขาอันนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นจนต้องมาบรรยายเรื่องนี้กันอย่างใหญ่โต ที่นี้เรามาพิจารณากันถึงปัญหาชีวิตประจำวันชนิดปลีกย่อยเฉพาะเรื่องไม่ใช่ปัญหาพื้นฐานเพราะถ้าเราจะมีธรรมะที่เหมาะสมแต่ชีวิตประจำวันของคนทุกชนิดทุกชั้นเราจะต้องรู้จักเราเองคือคนเราเองนี้ในลักษณะอย่างไรบ้างอาตมาได้กล่าวแล้วว่าถ้ากล่าวโดยพื้นฐานแล้วจริยธรรมก็มีสายเดียวใช้ได้แก่คนทุกคนทุกไวทุกเพศทุกวรรณะแต่ถ้ามาถึงขั้นส่วนที่เป็นปลีกย่อยเฉพาะคนเฉพาะเวลาแล้วเราก็ต้องพิจารณาคนเป็นพวกๆไปเหมือนกันเช่นเราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอแล้วว่ามีคนชั้นต่ำมีคนชั้นกลางมีคนชั้นสูงโดยวรรณะนี้มีคนชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูงอย่างนี้หลีกไม่พ้นบางคนเข้าใจผิดว่าพุทธศาสนาไม่มีวรรณะเอามาพูดอย่างนี้ผิดเรื่องไปแล้วก็ได้ พุทธศาสนาไม่มีวรรณะนั้นหมายถึงวรรณะโดยกำเนิดโดยบัญญัติสมมุติตามกำเนิดชาติที่เกิดมาจากพ่อแม่เป็นอย่างไรแล้วลูกต้องเป็นอย่างนั้นเช่นบัญญัติเป็นกษัตริย์เป็นพราหมณ์เป็นสูตรเป็นไวศยะเป็นแพทย์มาเกิดจากพ่อแม่เป็นอย่างไรแล้วก็จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้นนี้วรรณะตามแบบฮินดูหรือแบบพราหมณ์สมัยหนึ่งนั้นวรรณะอย่างนี้ในพุทธศาสนาไม่มีจริงไม่ย่อมรับโดยแน่นอนแต่วรรณะที่กล่าวเป็นชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูงโดยกรรมคือโดยการกระทำนั้นมีอย่างเต็มที่ในพุทธศาสนาดังที่กล่าวว่า กัมมัง สัตเตภะชะตินาทีที่๕๗.๒๓พระพุทธเจ้าว่ากรรมเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์การกระทำเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์ให้เป็นคนดีคนชั่ว ชั่วมาชั่วน้อย ดีมากดีน้อยนี้พอจะกล่าวได้ว่าเป็นชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูง ชั้นต่ำก็มีความทุกข์มากหรือมีกิเลสมากมีความชั่วมากชั้นกลางก็เบาบางไปชั้นสูงก็แทบจะไม่มีหรือไม่มีอย่างนี้เป็นต้นนี้เรียกว่าวรรณะโดยกรรมโดยการกระทำอย่างนี้มีอยู่ในพุทธศาสนาเราไม่อาจให้คนมีการศึกษาเท่ากันได้มีการกินอยู่ระดับการเป็นอยู่กินอยู่ดำรงชีพนี้เสมอเหมือนเท่ากันได้นั้นเป็นเรื่องแน่นอนเพราะว่ากรรมเป็นผู้จำแนกไม่ใช่เราจำแนกคือการกระทำของมนุษย์นั้นเองจำแนกมนุษย์ให้เป็นวรรณะอย่างนี้ถ้าอย่างนี้ก็ต้องมีธรรมะเป็นชั้นๆอย่างเดียวกันให้คนชั้นที่ต่ำที่เหนื่อยมากมีการศึกษาน้อยได้รู้ธรรมง่ายๆเข้าใจง่ายเข้าใจได้ทันทีและใช้ประพฤติปฏิบัติอยู่โดยไม่ให้ต้องเป็นทุกข์เหมือนกันตกนรกทั้งเป็นคนแจวเรือจ้างคนถีบสามล้อในระดับนี้ต้องการธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งข้อใดข้อหนึ่งที่เหมาะสมกับเค้าอย่างยิ่งเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาให้คงนิยมธรรมะและมีความสุขทางจิตใจอยู่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกเป็นทุกข์ทรมานหากมิฉะนั้นแล้วเขาจะเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อเขาทนไม่ไหวเขาก็จะต้องเลิกอาชีพสุจริตไปประกอบอาชีพทุจริตและเป็นภัยแก่สังคมโดยแน่นอนนั้นเราจะมีธรรมะเช่นความสันโดษเป็นต้นที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนทุกคนนี้เป็นต้นมาให้แก่เขาถึงแม้คนชั้นกลางชั้นสูงก็ยังจะต้องอาศัยธรรมะนี้ตามสัดส่วนอยู่เหมือนกันแต่เพราะมีสติปัญญามากอาจจะแก้ไขหาทางออกได้โดยวิธีอื่นแล้วจะมีธรรมะข้ออื่นบ้างที่แปลกออกไปนี้ถ้าเราจะเอาโดยไว้เป็นประมาณเราก็ต้องมีวัยเด็กเล็กๆเด็กอมมือนี้เด็กเล็กๆและก็มีวัยหนุ่มสาวและก็มีวัยพ่อบ้านแม่เรือนและก็มีวัยคนเฒ่าคนแก่อย่างนี้มันยิ่งต่างกันมากเพราะว่าได้เห็นโลกได้มีประสบการณ์ในโลกนี้น้อยกว่ากันมากที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้นั้นเราก็ต้องมีธรรมที่เหมาะสมแก่วัย ที่วัยนั้นๆที่จะพอรับเอาได้หรือเข้าใจได้ข้อนี้ท่านเขียนไว้ในอัตถะคาถาว่าขืนป้อนข้าวคำใหญ่ๆแก่เด็กที่ปากยังเล็กๆอยู่นี้มันก็ร่วงกระจายหมดและบางที่มันก็อันตรายแก่เด็กเข้าจมูกเข้าตามันเป็นเรื่องทำผิดนั้นมันจะมีวิธีที่จะคิดนึกให้ดีให้มีธรรมะสำหรับเด็กทั้งๆที่ได้กล่าวแล้วตลอดเวลาว่าธรรมะมีเพียงแนวเดียวสายเดียวคือความไม่เห็นแก่ตัวตนความไม่ยึดมั่นตัวตนนั้นแนวเดียวสายเดียวแต่เราเอามาย่อยให้เป็นรายละเอียดให้เหมาะแก่ชั้นได้เช่นเด็กๆก็ไม่เห็นแก่ตนอย่างที่เด็กๆควรจะมีเช่นไม่อิจฉาน้องไม่อิจฉาเพื่อนอย่างนี้เป็นต้นกระทั่งถึงรู้จักประพฤติปฏิบัติในทำนองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้นตามส่วนคนหนุ่มสาวมีปัญหาแปลกออกไปอีกเพราะว่าต่อมแกรนต่างๆทางวัตถุทางเนื้อหนังเจริญเต็มที่ขึ้นมาย่อมมีปัญหาโดยธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นต้องมีธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีกำลังมากพอที่จะหยุดที่จะบังคับความล้นของความรู้สึกต่างๆไว้ให้อยู่ในอำนาจมิฉะนั้นก็ต้องประกอบกรรมที่ไม่พึงปรารถนาโดยแน่นอน เหล่านี้เป็นต้น ที่นี้พ่อบ้านแม่เรือนหนักอึ้งอยู่เหมือนกับเป็นวัวลากแอก ลากไถอยู่กลางทุ่งนาตลอดเวลาเพราะมีภาระมากนอกจากภาระของตัวยังมีภาระของลูกหลานเหลนคนใช้คนในครอบครัวคนเกี่ยวข้องเจ้านายข้างบนคนต่ำข้างล่างมากมายก็จะต้องมีความอดกลั้นทนอดเป็นพิเศษพร้อมๆกันกับสติปัญญาที่จะระบายความอดกลั้นนั้นได้นั้นก็เป็นบ้าตายนี้ธรรมะก็มีให้เพียงพอในเรื่องนี้ นี้ถ้าเราคนแก่หง่อมแล้วเลิกกิจการงานในโลกแล้วยังรอวันที่จะแตกดับของสังขารนี้มักจะปั้มเป๋อนั้นจะมีธรรมะที่ป้องกันความปั้มเป๋อถ้าหากได้ประพฤติปฏิบัติในทางสมาธิภาวนาอยู่เป็นประจำแล้วอาการปั้มเป๋อจะไม่เกิดขึ้นให้เด็กๆลูกหลานเหลนนั้นหัวเราะอย่างนี้เป็นต้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในขั้นนี้นอกจากไม่ปั้มเป๋อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มีปัญญามั่นคงแล้วควรจะถึงขนาดที่ว่าเยอะเย้ยความตายได้ยิ้มรับหรือท้าสิ่งที่เรียกว่าความตายได้โดยที่ให้มีอาการเหมือนกับว่าความตายเข้ามากระทบในลักษณะของคลื่นกระทบฝั่งคือไม่มีความตายนั้นเองผู้ที่รู้ธรรมะในเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นดีแล้วก็หมดความรู้สึกที่ว่าเป็นตัวเราหรือของเรานั้นจึงไม่มีอะไรที่จะให้ความตายกระทบมันว่างไปหมดอย่างนี้นี้เป็นปัญหาชีวิตประจำวันของคนแก่ที่เตรียมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เขาเรียกกันว่าความตายแต่ที่แท้ไม่ใช่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ธาตุอายตนะปรกติธรรมดานั้นเองถ้ารู้อย่างนี้แล้วความตายไม่มีความตายก็ว่างผู้ที่จะตายก็ว่างที่นี้ถ้าเราจะดูกันถึงงานที่ทำเราจะมีกำลังงานที่ทำในขั้นของการศึกษาของการประกอบอาชีพของการเก็บเกี่ยวผลและบริโภคผลถ้าเราจะดูถึงหน้าที่ที่ผูกพันเราอยู่เราก็จะเห็นว่าเรามีหน้าที่รับใช้เขาหรือเรามีหน้าที่ถูกเขารับใช้เราเป็นผู้ดูแลเขาหรือเขาเป็นผู้เราถูกเขาดูแลเป็นต้นหรือถ้าจะพูดถึงอาการที่กำลังมีอยู่เราก็มีอาการของความเหนื่อยเหลือจะเหนื่อยก็มีเบื่อระอาก็มีเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีรู้สึกว่าจะต้องตายก็มี นี้อาการที่กำลังมีอยู่ปรากฏอยู่อย่างนี้ถ้าหากว่าไม่มีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วมันเป็นเรื่องตกนรกทั้งเป็นทั้งนั้นอาตมาจำเป็นจะต้องใช้คำว่าตกนรกทั้งเป็นมันจะหยาบคายไปบางก็ต้องขออภัยแต่ว่ามุ่งหมายถึงข้อที่มันมีลักษณะเป็นความทดทรมานในความหมายเดียวกันกับคำว่านรกความเบื่องานความเหน็ดเหนื่อยต่อการงานนี้ถ้าเราไม่มีธรรมะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้แล้วมันจะเป็นการเหนื่อยเอาจริงๆและเบื่อจริงๆทำไม่ไหวจริงๆและความเจ็บไข้ต่างๆก็จะเป็นภัยใหญ่โตมหาศาลเท่าภูเขาเหล่ากาไปจริงๆแต่ถ้าเรามีธรรมะถูกต้องตามวิธีของพระพุทธเจ้าแล้วในโลกนี้จะไม่มีความเบื่อจะไม่มีความเหนื่อยความเจ็บไข้จะไม่มีความตายอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นต้นท่านต้องรู้จักแยกว่าส่วนเนื้อหนังทางกายนั้นเป็นอย่างไรทางจิตทางวิญญาณนั้นเป็นอย่างไรมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรถ้าแยกออกจากกันได้และไม่ถือว่าส่วนไหนเป็นตัวกูของกูแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่มีคือความเหนื่อยความเบื่อนี้จะไม่มีในความรู้สึกเมื่อเหนื่อยนอนเสียก็แล้วกันตื่นมาก็หายทางกายทางใจมันมีธรรมะมันไม่รู้จักเหนื่อยมีสติปัญญาถูกต้องไม่ต้องเบื่อไม่ต้องรู้สึกเบื่อต่ออะไรไปเบื่อให้มันรำคาญใจทำไมเฉยหรือว่างอยู่ก็แล้วกันเป็นสติปัญญาอย่างยิ่งความเจ็บไข้นี้ถ้าฉลาดพอแล้วมันน่าหัวเราะมากกว่าที่น่ากลัวแต่เราก็หัวเราะไม่ออกเพราะว่าเราไม่มีความรู้ทางธรรมะนี้อย่างเพียงพอแต่โดยเนื้อแท้ของธรรมชาตินั้นก็มีมาให้สำหรับทำให้เราเกินกว่าที่จะหัวเราะได้เสียอีกที่นี้แม้ที่สุดแต่ว่าปัญหาที่เราชอบพูดถึงกันอยู่บ่อยๆปัญหาทางการประหยัดปัญหาทางการพัฒนาที่เป็นที่ต้องการของรัฐบาลอย่างยิ่งนี้อาตมายืนยันว่าถ้าไม่อาศัยธรรมะเข้ามาช่วยแล้วเป็นไม่มีทางเป็นไปได้มีแต่ผักชีโรยหน้าเล่นละครตลกไปทั้งนั้นไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลยถ้าเราควบคุมตัวกูของกูไม่ได้แล้วไม่มีทางประหยัดอะไรได้ ประหยัดช่องนี้ไว้ได้มันไปมีช่องโหวใหญ่มหาศาลที่อื่นรั่วเป็นพลูๆไปที่เดียวมันไม่มีทางจะประหยัดได้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางเนื้อหนังนี้ถ้าไม่เกิดความลุ่มหลงมั่วเมาแล้วไม่มีใครกั้นมันอยู่มันรั่วพลูๆไปที่เดียวนั้นเราจะต้องมีธรรมะชนิดที่เพียงพอทำให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร อะไรผิดอะไรถูกอะไรดีอะไรจริงอะไรไม่จริงอะไรจริงแท้อะไรจริงไม่แท้เราจึงจะควบคุมตัวเราได้และมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องและควบคุมมันได้ให้เกิดการประหยัดจริงเกิดการพัฒนาจริงและการประหยัดจริงพัฒนาจริงรูปนี้สนุกอย่างยิ่งที่อาตมาใช้คำว่าสนุกอย่างยิ่งนี้ไม่ใช่ว่าพูดเล่นพูดอย่างที่มองเห็นและมีเหตุผลหากแต่ว่าเหลือวิสัยที่จะพิสูจน์ในเวลาน้อยอย่างนี้เท่านั้นแต่ขอให้ใช้หลักเดียวกันกับที่ว่าถ้าจิตว่างแล้วงานเป็นสุข การงานเป็นสุขภาระหน้าที่ต่างๆเป็นสุขถ้าจิตวุ่นแล้วการงานหรือภาระหน้าที่ต่างๆเป็นนรกทั้งเป็นคือมีความทุกข์อย่างยิ่งนั้นเอง นี้อย่าลืมที่กล่าวมาทีแรกว่าทางนี้สายเดียวสำหรับบุคคลผู้เดียวสำหรับเดินสู่จุดหมายปลายทางอย่างเดียวนั้นมันไม่มีอย่างอื่นนอกจากธรรมะที่เป็นไปเพื่อว่างจากตัวตนแยกออกมาเป็นธรรมะปลีกย่อยต่างๆได้สารพัดอย่างเราจะต้องไม่ยึดถือตัวตนนั้นจึงจะระอายแก่บาปได้หรือว่ากลัวบาปได้ที่จะรักษาศีลได้สำเร็จที่จะมีขันติหรือจะมีสันโดษหรือจะมีอะไรได้นี้ในที่สุดเราก็มาถึงสิ่งที่ยืนยันอยู่เสมอว่าชีวิตประจำวันนี้จะต้องเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามหลักของอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงได้กล่าวแล้วแต่วันก่อนว่ามีอยู่อย่างไรจะเป็นความถูกต้องอย่างไรเป็นตัวแท้ของจริยธรรมอย่างไรถ้ามีสัมมาทิฐิถูกต้องแล้วจะเป็นเด็กสัมมาทิฐิเป็นหนุ่มสาวสัมมาทิฐิเป็นคนแก่สัมมาทิฐิเป็นพ่อบ้านแม่เรือนสัมมาทิฐิแก่สัมมาทิฐินี้มันมาในรูปนี้ทั้งนั้นมีสัมมาทิฐิเป็นเครื่องคุ้มครองไปหมดมีลูกจ้างสัมมาทิฐิมีนายจ้างสัมมาทิฐิมีผู้ใหญ่สัมมาทิฐิมีผู้น้อยสัมมาทิฐิมีผู้ปกครองประเทศสัมมาทิฐิราษฎรสัมมาทิฐิมักจะมีเทวดาหรือพระภูมิเครื่องคุ้มครองสักทีก็ขอให้มีสัมมาทิฐิอย่าให้เป็นมิจฉาทิฐิอะไรๆก็ขอให้เป็นสัมมาทิฐิคนชั้นกลางชั้นต่ำชั้นสูงอะไรก็ตามต้องตั้งอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฐิเสมอกันหมดและสัมมาทิฐินี้จะช่วยให้เขาแก้ปัญหาเฉพาะปัญหาในครัวปัญหาบนเรือนปัญหาข้างล่างปัญหาที่ตลาดปัญหาที่ออกฤทธิ์ปัญหาที่อะไรต่างๆได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฐินั้นเอง อย่าได้ลืมที่อาตมาได้เคยกล่าวมาบ้างแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัมมาทิฐิ สะมาทานาสัมมาทุกขังอะปัจจะกุงนาทีที่๗๐.๑๙ล่วงพ้นทั้งหลายทั้งปวงได้ด้วยสัมมาทิฐิ ทั้งนี้ก็เพราะว่าสัมมาทิฐิมันเป็นตัวนำตัวจูงเป็นตัวเหตุอย่างยิ่งของจริยธรรมทั้งปวงคือเป็นเหตุให้สัมมาอีก ๗ สัมมาคือสัมมาสังกะโปวาจาเป็นต้นไปเกิดขึ้นมาได้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ถึงที่สุดนี้ก็เป็นเหตุให้เราเข้าใจธรรมะปลีกย่อยทุกข้อได้ถึงที่สุดโดยไม่ต้องเรียนในโรงเรียนเลย โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียนนักธรรมก็ได้แต่ขอให้มีสัมมาทิฐิเท่านั้นมาจากการสังเกตเป็นส่วนใหญ่การพินิจพิจารณาอยู่เรื่อยๆไปจะรู้สัมมาทิฐิจะรู้จักสัมมาทิฐิจะมีสัมมาทิฐิเพิ่มขึ้นทุกวันเข้าที่อายุเพิ่มขึ้นนั้นเมื่อเด็กๆโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวตามลำดับนี้อย่าได้เถลิงลืมตัวจนถึงกับว่าสัมมาทิฐินี้เข้ามาไม่ได้เข้ามาไม่ไหวมันเป็นมิจฉาทิฐิประดังกันเข้ามานี้สัมมาทิฐิก็เข้าไม่จุมันล้นอยู่ด้วยมิจฉาทิฐิอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสลดใจอย่างยิ่งน่าสมเพชอย่างยิ่งมันก็เป็นเรื่องของบิดามารดาก่อนแล้วจึงเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่จะทำให้สัมมาทิฐินี้มีพืชมีเชื้อที่ดีเพาะปลูกให้ดีและงอกงามเจริญไว้ตามขึ้นมาด้วยกรรมกาลเวลาตามที่ร่างกายจิตใจเจริญขึ้นจากเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนเฒ่าคนแก่เป็นชั้นๆไปที่เดียวมีสัมมาทิฐิเป็นแกนกลางอยู่ตลอดสายนั้นคือสิ่งที่จะให้เกิดเครื่องคุ้มครองป้องกันหรือสร้างความเจริญในปัญหาประจำวันของชีวิตเรา ที่นี้จะยกตัวธรรมะที่สำคัญในปัญหาชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับสัมมาทิฐิมาให้ดูสักอย่างหนึ่งคือความสันโดษก่อน ความสันโดษนี้ถูกเข้าใจผิดอย่างยิ่งและนมนานมาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ท้อถ้อยบ้างทำให้หยุดบ้างเป็นเครื่องถ่วงความเจริญบางนั้นมันเป็นความสันโดษชนิดอื่นไม่ใช่ความสันโดษของพระพุทธเจ้าเป็นความสันโดษของอวิชชาโมหะหรือของพญามารหรือภูตผีปีศาจแห่งอวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าถ้าหากว่าสันโดษนั้นเกิดเป็นเครื่องขัดขวางความเจริญขึ้นมาสันโดษของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องเป็นเครื่องมืออย่างยิ่งในการที่จะสร้างความเจริญที่แท้จริงขึ้นมาข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเป็นทรัพย์สมบัติอย่างยิ่งและสันโดษเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างยิ่งเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเป็นเสบียงอย่างยิ่งคำว่าสันโดษแปลว่ายินดีด้วยสิ่งที่มีอยู่นี้ตามตัวหนังสือแท้ๆ สะนี้แปลว่ามีอยู่ดุทถะ ดุทธิ แปลว่าความยินดี โดษถะนาทีที่๗๓.๐๒แปลว่าผู้ยินดีแล้ว สันโดษก็แปลว่าผู้ยินดีแล้วในสิ่งที่มีอยู่จริงอยู่ที่คำนี้มันตัวหนังสือนี้ทำให้อธิบายผิดได้มีอะไรแล้วก็ยินดีนั่งยินดีอยู่นั้นไม่ลุกไปไหนมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่แท้จริงนั้นท่านหมายถึงว่าความพอใจในสิ่งที่มีแล้วหรือทำเสร็จแล้วเป็นเครื่องอิ่มใจของบุคคลนั้นให้เขาเป็นผู้ที่มีอะไรเป็นเครื่องอิ่มใจอยู่เสมอนั้นฝรั่งเขาจึงว่าสันโดษแปลว่า คอนเทนเมนท์(contentment)นาทีที่ ๗๔.๔๑ท่านครูบาอาจารย์ก็เข้าใจดีว่าคอนเทนเมนท์มันมีความหมายถึงอะไรจะยกตัวอย่างดีกว่าที่กล่าวโดยตรงอย่างนี้เหมือนอย่างว่าเราปลูกต้นกุหลาบเพื่อจะเอาดอกนี้พอเราเตรียมดินเสร็จเท่านั้นก็ต้องสันโดษพอใจว่าเตรียมดินเสร็จพอเอาต้นปลูกลงไปก็ต้องยินดีว่าเราปลูกต้นลงไปแล้วเรารดน้ำก็ยินดีว่ารดน้ำแล้ว ๙ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วันเดือนหนึ่งก็ตามพอใจทุกวันเพิ่มขึ้นว่าความใกล้เป็นดอกมันใกล้เข้ามาแล้วความเป็นดอกมันใกล้เข้ามาแล้ววันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วันก็มีความอิ่มใจยิ่งขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงวันที่ดอกกุหลาบบานก็ยินดีถึงที่สุดอย่างนี้เป็นต้นนี้ถ้าไม่มีสันโดษเพียงแต่ว่าเตรียมดินเสร็จมันก็ยังมืดมัวเต็มที่ไม่มีความพอใจบางทีก็สะบัดก้นลุกขึ้นไปเป็นเหตุให้ไม่สนใจที่จะปลูกอย่างดีรดน้ำอย่างดีอะไรอย่างดีเพราะมันไม่สันโดษที่แรกที่สุดคือเตรียมดินบางที่มันตายเลยตั้งแต่วันปลูกนั้นน่ะใครเคยทำอย่างนี้บางก็ลองไปคิดดูเองเพราะว่าความที่ไม่รู้จักสันโดษนี้มันยังเป็นเรื่องเล่นสนุกเพราะว่าชาวนาที่ทำงานกลางแดดกลางฝนอยู่ในทุ่งนาฟันช่วยจอบนี้ไม่รู้ว่ากี่ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งจึงจะเสร็จเรื่องนาชาวนายากจนก็ต้องสันโดษทุกคราวที่ฟันดินอิ่มใจทุกคราวที่ฟันดินว่ามันเสร็จไปครั้งหนึ่งแล้วอิ่มอกอิ่มใจหัวเราะร่าเริงผิวปากเล่นอยู่เรื่อยตลอดเวลาที่เขาฟันอยู่ทุกทีเขาว่างมีสติปัญญามีความพอใจไม่ว้าวุ่นนั้นจะฟันกันกี่วันกี่เดือนมันก็ไม่มีความทุกข์เลยและเป็นคนร่ำรวยขณะที่ฟันดินข้าวยังไม่ได้ปลูกยังไม่ได้ออกร่วงสักทีพระพุทธเจ้าท่านว่าสันสุขขีปะระมังสุทังนาทีที่๗๖.๕๔ สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่งมันหมายความอย่างนี้ที่นี้ไม่ต้องพูดถึงชาวนาก็ได้ พูดถึงกรรมกรแจวเรือจ้างกรรมกรสามล้อก็ได้ถ้าเขาไม่สันโดษเขาจะละอาชีพนั้นไปทำอาชีพทุจริตเบียดเบียนสังคมนี้ถ้าเขาไม่สันโดษและก็ไม่ไปทำอาชีพทุจริตเบียดเบียนสังคมด้วยเขาก็จะต้องเริ่มเป็นโรคเส้นประสาททนทรมานเกินไปและเป็นโรคจิตและตายที่เขารอดชีวิตอยู่ได้เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสันโดษแท้ๆแต่เป็นคนอาภัพอับโชคอย่างที่เรียกว่าไม่มีใครเลียวแลไม่มีใครยกย่องไม่มีใครให้เกียรติกลับเห็นเป็นศัตรูไปเสียก็มีอย่างนี้ นั้นมันไม่ใช่สันโดษของพระพุทธเจ้าสันโดษที่แท้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นมิตรแก่มนุษย์อย่างยิ่งและท่านทั้งหลายจะต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างยิ่งจะเป็นเสมียนพนักงานก็ตามจะเป็นผู้บังคับบัญชาก็ตามต้องพอใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปมันจึงจะขยันทำมากขึ้นๆไม่เบื่อหน่ายไม่เกียจคร้านและไม่หงุดหงิดมีความพอใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่เสมอแม้แต่ในสิ่งที่ทำผิดเราทำอะไรผิดลงไปเราต้องสันโดษพอใจวันนี้ก็เป็นครูอย่างดีอย่างไปเสียใจอย่างไปปกปิดเป็นความลับอย่าซ้อนเร้นอย่าทำทุจริตอย่างอื่นเปิดเผยออกมา ว่าความผิดก็เป็นครูยิ่งกว่าถูกเพราะความถูกนั้นเกิดความสับเพร่าได้มากความผิดให้เกิดการสังเกตระมัดระวังได้มากเพราะฉะนั้นเรายินดีแม้แต่ความผิดยินดีรับโทษเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ให้คุณมากเหมือนกันที่นี้ทำให้คนเราซื่อตรงสุจริตเป็นสุภาพบุรุษเป็นอะไรต่างๆได้เพราะความสันโดษในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กำลังเป็นอยู่กำลังมีอยู่หรือกำลังเป็นไปนี้ท่านใช้ธรรมะข้อนี้ได้เพียงข้อเดียวนี้ได้เท่านั้นมันก็จะมีความสดชื่นสมกับคำว่าคอนเทนเมนท์เป็นความสดชื่นที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้สดชื่นหล่อเลี้ยงโลกให้สดชื่นที่นี้พวกกรรมกรขอให้สันโดษเพราะไม่ถือว่ากรรมเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์ไปต่างๆกันเขาจะยื้อแย้งนายทุนขึ้นมาจะเอาอย่างไรดีไหมมูลเหตุที่จะให้ลัทธิกรรมกรล้มนายทุนปัญหาอย่างเดียวของโลกในทุกวันนี้มันเป็นอย่างไงมันมาจากไม่สันโดษใช่หรือไม่นั้นถ้าสันโดษยังคุ้มครองโลกอยู่แล้วลัทธิอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้โดยที่คนสันโดษไปตามที่กรรมจำกัดจำแนกให้ว่าเป็นอย่างไร กัมมังกัตเตวิพะชะตินาทีที่ ๗๙.๔๖ เหมือนที่กล่าวแล้วนี้ต้องไม่ลืมนั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องสัมมาทิฐิในเรื่องของธรรมะต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสันโดษนี้ยังแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้เสียเกือบหมดแล้วไม่ต้องพูดถึงธรรมะอีกหลาย ๑๐ ข้อหลาย ๑๐๐ ข้อหรือหลาย ๑๐๐๐ ข้อที่เดียวซึ่งว่า ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ซึ่งหมายถึง ๘๔๐๐๐ ข้อแต่มันมีไว้เผื่อเลือกทั้งนั้นข้อเดียวเท่านั้นข้อเดียวอย่างเดียวเท่านั้นถ้าทำถูกต้องอย่างถึงที่สุดแล้วมีประโยชน์อย่างยิ่งอย่างที่กล่าวมานี้เองนั้นขอสรุปว่าถ้าเราเข้าใจสันโดษอย่างถูกต้องแล้วก็เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเหตุป้องกันไม่ให้ทำชั่วป้องกันไม่ให้เป็นบ้าตายและ๒ มันเป็นเหตุให้ทำงานสำเร็จถ้าไม่อย่างนั้นแล้วทำงานไม่สำเร็จเต็มที่และ ๓ เป็นเหตุให้รู้สึกรวยรู้สึกเป็นสุขอยู่ตลอดเวลาจะเอาอย่างไงกันอีกไม่ให้ผละไปทำชั่วไม่ให้เป็นบ้าและให้งานสำเร็จและก็ให้รู้สึกรวยว่ารวยและเป็นสุขอยู่ตลอดเวลานี้หวังว่าครูบาอาจารย์
ทั้งหลายคงจะนำไปคิดไปสนใจเป็นพิเศษว่าการจะนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมันไม่ได้อยู่ที่ท่านทั้งหลายไม่รู้เรื่องนี้เลยและมันไม่ได้อยู่ที่ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ แต่มันอยู่ที่ว่าท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ในรูปอื่นในความหมายอย่างอื่นซึ่งผิวเผินซึ่งผิดเลยอย่างเรื่องสันโดษเป็นภัยแก่สังคมบางอย่างนี้เป็นต้นนี้เข้าใจว่าสันโดษเป็นภัยแก่การเจริญของสังคมนี้มันเป็นความเข้าใจผิดและท่านหลงผิดไปตามมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครช่วยได้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ว่าไว้อย่างนี้ยังมีธรรมะอย่างอื่นอีกมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะหมวดสัจจะธรรมะขันติ จาคะหรือฆราวาสธรรมนั้นมันวิเศษอย่างยิ่งที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการได้อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะบรรยายยังจะยืนยันว่าไตรลักษณ์คือเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ได้ยินแล้วง่วงนอนทันทีนั้นยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นไปอีกแต่แล้วก็ไม่มีเวลาพอที่จะบรรยายให้เห็นชัดได้จึงต้องขอยกไปไว้วันอื่นหรือแม้แต่ธรรมะข้อเดียวซึ่งอาตมาตั้งชื่อเอาเองว่าที่เรียกว่าไตรลักษณ์เรียกว่าเอกลักษณ์ก็ได้ลักษณะเดียวเท่านั้นคือสุญญตานี้จะแก้ปัญหาหมดทั้งโดยพื้นฐานและข้อปลีกย่อยที่รวมความแล้วก็คือว่าการเป็นอยู่โดยถูกต้องนั้นแหละเราจะต้องมีคือสัมมาทิฐิเป็นหลักของการเป็นอยู่โดยถูกต้องจะมีศีล สมาธิ ปัญญาที่สมบูรณ์จะเข้าใจธรรมะต่างๆถูกต้องจนสามารถเอาธรรมะเพียงข้อเดียวมาแก้ปัญหาได้ทั้งหมดหรือในที่สุดก็จะดิ่งไปสู่ความลึกที่เฉียบแหลมเข้าใจสิ่งต่างๆได้ลึกซึ้งถึงกับว่าเมื่อธรรมะก็มีข้อเดียวสายเดียวแนวเดียวเป็นของบุคคลเดียวเดินไปสู่จุดหมายแห่งเดียวละก็ทำไมท่านไม่คิดบ้างว่าเราควรจะเห็นตามที่เป็นจริงว่าแม้แต่มนุษย์ก็มีคนเดียวแม้แต่ศาสนาก็มีศาสนาเดียวจุดหมายปลายทางของมนุษย์ก็มีแต่จุดเดียว เชื่อว่ามนุษย์ก็มีคนเดียวนี้หมายถึงว่าถ้าเรามองดูมนุษย์ในแง่ของความทนทุกข์ทรมานแล้วเหมือนๆกันหมดถูกโลภะ โทสะ โมหะเบียดเบียนย้ำยีเหมือนกันหมดมีตัวกูของกูที่ทำให้เป็นนรกทั้งเป็นขึ้นมานี้เหมือนกันหมดนั้นเราควรจะรักกันเหมือนกับคนๆเดียวซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเมตตา กรุณาได้โดยง่ายถ้าท่านขี้โมโหแก่เด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์หรือเพื่อนบ้านอะไรก็ตามข้อให้นึกถึงข้อนี้ นั้นข้อที่ว่าท่านก็คือฉัน ฉันก็คือท่านคือคนๆเดียวกันนี้มีความหมายอะไรๆเหมือนกันหมดจะมองในแง่สมมุติหรือแง่ปรมัตถ์ก็มันคนเดียวกันเรื่อยไปในทางโลก ในทางโลกียะนี้เรามองเขาเป็นเพื่อนในฐานะเกิด แก่ เจ็บ ตายกันก็ได้แล้วก็เลยเป็นคนๆเดียวกันเหมือนกันหมดเป็นว่าโลกนี้ทุกโลกนี้มีมนุษย์เพียงคนเดียวมันจึงรักกันเท่าที่เราสามารถรวมเป็นคนๆเดียวมีเมตตากันมากถึงอย่างนี้มีศาสนาเดียวก็หมายความว่าทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหมายจะทำลายว่าความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูด้วยกันทั้งนั้นเราอย่าไปเพ่งที่ข้อปลีกย่อยต่ำๆเตี้ยๆฝอยมูลฝอยของศาสนาเราไปเพ่งเล็งถึงตัวแท้ของศาสนาเถิดมันจะพบว่าเป็นจุดเดียวกันตรงที่เขาก็ล้วนแต่มุ่งหมายแต่จะทำลายสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูคือก็เห็นแก่ตัวนี้กันทั้งนั้นแม้ว่าเขาจะไปบัญญัติผลแห่งการทำอย่างนั้นเสร็จแล้วเป็นตัวกูอย่างอื่นขึ้นมาอีกเป็นอาตมันบริสุทธิ์ถาวรขึ้นมาอีกไม่เป็นไร เขาอยากจะเรียกอย่างนั้นก็ตามใจเขาเราก็ปฏิบัติตามที่เขาสอนเพื่อให้เข้าถึงความเป็นอย่างนั้นก็ล้วนต้องให้ทำลายการเห็นความสุขแก่เนื้อหนังความเห็นแก่ตัวทางเนื้อหนังทางวัตถุที่เป็นอันตรายนี้เสียก่อนและก็น้อมไปสู่เรื่องทางจิตใจนี้สูงขึ้นไปให้มีความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั้นสิ้นไปไม่เหลืออยู่หรือไม่แสดงอยู่แล้วก็ได้นี้เรามีศาสนาเดียวอย่างนี้และจุดหมายปลายทางก็คืออย่างนี้อยู่โดยไม่มีความวุ่นวายมีแต่ความว่างความสะอาดความสงบด้วยกันทั้งนั้นนี้ปัญหาชีวิตประจำวันมันก็มีหลักอย่างนี้หลักพื้นฐานทั่วไปมันก็มีหลักอย่างนี้ขอให้เข้าใจแนวสังเขปดังที่กล่าวมาแล้วนี้ให้เข้าใจเสียก่อนจึงจะเรียกว่าเข้าใจวิธีที่จะใช้ธรรมะหรือจริยธรรมในปัญหาชีวิตประจำวันได้ในลักษณะที่ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายจะใช้มันได้เองเหมือนอย่างเราจะเรียนความรู้อะไรสักอย่างอย่างเรียนภาษาอังกฤษอย่างนี้เราจะต้องเรียนจากครูบาอาจารย์ถึงขนาดที่ว่าขอให้เรียนเองได้เสียก่อนพอต่อไปนั้นก็เรียนเองได้เท่าที่อาตมานำมาบรรยายเท่าที่ท่านทั้งหลายอาจจะเอาไปเรียนเองได้ไปค้นคว้าดูเองจัดระบบได้เองแล้วดำเนินได้ด้วยตนเองอาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ลงก็หมดเวลาเพียงเท่านี้ (โฆษกหญิง )ธรรมบรรยายในการอบรมของชุมนุมส่งเสริมจริยศึกษาชุดนี้ท่านก็คงทราบแล้วว่าท่านอาจจะเขียนคำบรรยายคำถามของท่านลงในบัตรหรือแผ่นกระดาษที่ท่านอ่านขอได้จากเจ้าหน้าที่ที่อยู่สองข้างของหอประชุมนี้ หรือท่านจะเขียนลงในแผ่นกระดาษของท่านเองก็ได้แล้วก็มอบให้เจ้าหน้าที่หรือถ้าท่านจะออกมาถามคำถามที่ท่านต้องการจะตอบในทันทีนี้ก็ได้แต่ว่าในขณะนี้ก็ขอให้ท่านพระราชชัยยกวีท่านได้พักสักเล็กน้อยก่อนต่อจากนั้นก็ขอเชิญให้ท่านออกมาถามได้สองสามคำถามดิฉันของเวลาอีกสัก สองสามนาทีจะอ่านคำถามถวายพระคุณเจ้าให้ท่านอธิบายต่อไป ขอความกรุณาพระคุณเจ้าโปรดอธิบายคำสมรสทางวิญญาณเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งอีกสักหน่อยเราควรจะถือธรรมะข้อใดเพื่อให้เป็นสิ่งจรรโลงใจสำหรับความมีจิตใจสูงดังกล่าวนี้ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิ่งนาทีที่๘๖.๕๗ ถึง๘๘.๓๒ คำๆนี้อาตมากล่าวถึงหรือสรรค์มากล่าวก็เพื่อจะให้เข้าใจเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เข้าใจความหมายของคำว่าอะไรๆก็ทางวิญญาณเท่านั้นเองเพื่อจะให้เข้าใจในข้อที่ว่าส่วนลึกในทางจิตใจนั้นมันมีอยู่อีกส่วนหนึ่งเสมอไปไม่ว่าคำไหนในภาษาที่เราพูดจะพูดถึงอะไรกริยาอาการอย่างไรคือมนุษย์เราทำกันอยู่นี้เราอาจจะแสวงหาความหมายในด้านลึกในทางจิตทางวิญญาณได้ แต่ที่เราแสวงอย่างนั้นก็เพื่อว่าเราจะค้นพบวิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะทำให้ไม่เป็นทุกข์หรือเป็นทุกข์น้อยได้ผลดีกว่าอย่างว่าสมรสทางวิญญาณนี้ก็เพื่อจะล้อเลียนการสมรสทางวัตถุทางเนื้อหนังทางร่างกายการสมรสทางเนื้อหนังทางร่างกายนี้อาตมาไม่ต้องอธิบายอยากจะขอชี้ตรงที่ว่าการสมรสทางร่างกายนั้นทำไมต้อฮือๆแฮๆกันอยู่บ่อยๆทำไมบางที่ไม่ดูหน้ากันสัปดาห์แต่ความสมรสทางวิญญาณนั้นไม่มีอาการอย่างนี้เลยเพราะว่าเป็นเรื่องของจิตของวิญญาณแล้วประกอบอยู่ด้วยสติปัญญาไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสตัณหาเลยก็ได้กล่าวมาแล้วว่าจิตแท้นั้นคือความว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูเพราะฉะนั้นมีจิตใจตรงกันในข้อนี้ได้เพราะมันมีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูแล้วมันยากที่จะตรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จึงจะอาศัยความรักทางกิเลสมาเป็นเครื่องประกันอย่างนี้มันไปไม่รอดดังที่เห็นๆกันอยู่แต่ถ้าอาศัยความรักในทางจิตทางวิญญาณคือสัมมาทิฐิเป็นต้นนี้มันไปได้ และควรจะเข้าใจว่าสะมะนี้แปลว่าเสมอคำว่ารสนั้นแปลว่ารสหรือเทศอย่างหนึ่งและอย่างหนึ่งภาษาบาลีคำนี้แปลว่าหน้าที่หรือกิจก็ได้คำว่ารสแปลว่ากิจหรือหน้าที่ก็ได้สะมะระสะ นี้แปลว่ามีรสเสมอกันก็ได้มีกิจมีหน้าที่เสมอกันก็ได้ในทางวิญญาณเรามีรสเสมอกันคือเพ่งเล็งถึงธรรมะที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่เสมอกันเช่นว่าความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ถ้าคนสองคนเกิดมีความเห็นตรงกันนี้หรือว่าทุกคนก็จะต้องมีความเห็นตรงกันว่าเสียสละแก่ผู้อื่นนี้ประเสริฐแล้วก็ร่วมมือร่วมใจกันทำงานอันนี้อย่างยิ่งในทางเสียสละไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยจนลืมเรื่องของการสมรสทางวัตถุทางร่างกายก็ได้และไม่มีกระทบกระทั่งเพราะไม่ตั้งอาศัยอยู่บนเหยื่อคือรูป เสียง กล่น รส สัมผัสนั้นเองนั้นถ้าทำไปได้ดีมันมีความเพลิดเพลินทางธรรมมากพอที่จะกลบเกลื่อนความอาลัยอาวรณ์ในเรื่องทางวัตถุหรือทางร่างกายได้ดีและถ้าคนเราในโลกนี้นิยมอะไรๆก็ทางวิญญาณอย่างนี้แล้วความทุกข์ยากลำบากไม่เกิดขึ้นในโลกและคนเราก็จะไม่เป็นโรคทางจิตทางประสาทมากเหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่นี้มันจะทำให้โลกนี้น่าอยู่น่าดูงดงามตามทางธรรมตามที่แท้จริงไม่ใช่งามหลอกๆนี้ยิ่งขึ้นได้เป็นอันมากนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าไม่มีความลับมีความจริงที่ลึกลับอยู่บางอย่างของวัตถุนี้มีอยู่ถ้าเรามองลึกลงไปแล้วเราอาจจะพบ ถ้าเราอาจไม่ไปเสียเวลาลำบากมากยุ่งยากมากอะไรกันในโลกนี้จนรบราฆ่าฟันกันไม่หยุดถ้าข้าศึกทั้งสองฝ่ายปรปักษ์ทั้งสองฝ่ายเกิดมีความเห็นที่เป็นธรรมะเพียงขอเดียวนี้เท่านั้นแหละก็สมรสกันได้เลยไม่เอาปืนเข้าใส่กันไม่เอาปรมาณูเข้าใส่กันและก็เกิดบูชาอุดมคติของความดีความจริงความงามความยุติธรรมความถูกต้องเข้ามาแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ที่นี้พอตกอยู่ใต้อำนาจของวัตถุต้องการอำนาจของวัตถุที่จะดลบันดาลทางวัตถุมันก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องเบียดเบียนกันไม่มีวันสิ้นสุดนี้จึงชี้ความหมายของการสมรสทางวิญญาณอะไรขึ้นมาในที่วันนั้นอาตมาพูดถึงคาถาของผู้ที่จะเรียนพระไตรปิฎกก็หมายความว่าพระไตรปิฎกนี้มันหลายๆหน้ากระดาษมากคือว่า ๔๕ เล่มเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าเล่มละ ๕๐๐ หน้านี้ถ้าจะเรียนมันให้หมดมันจะกินเวลานานเท่าใดก็ยังมีอัตตะทะคาถาอีกเท่าๆกันและยังมีฎีกาอีกเกือบเท่าๆกันอย่างนี้ถ้าจะเรียนให้จบมันจะต้องกินเวลาความอดทนสักเท่าไรนั้นท่านจึงแนะว่าให้สมรสกับวาณีเสียก่อนวาณีก็แปลว่าเป็นชื่อของนางฟ้าซึ่งหมายถึงพระไตรปิฎกซึ่งหมายความว่าข้อๆธรรมะในพระไตรปิฎกนี้ถ้าใครเข้าถึงคนนั้นก็จะหลงใหลอย่างกับหลงใหลนางฟ้าที่พวกชาวบ้านหลงใหลกันนักนั้นก็เหมือนกันและการที่สนใจอย่างยิ่งเพลิดเพลินอย่างยิ่งเกี่ยวกับการศึกษาแบบนี้เรามีความหมายว่ามันมีรสอย่างเดียวกันมีรสเสมอกันจึงเรียกว่าสมรสและที่สุดท้ายที่พูดถึงสุญญาตาว่าเป็นนางสาวนั้นจะเรียกว่าเป็นหนุ่มก็ได้จะเรียกว่าเป็นนางสาวก็ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่สดชื่นเสมอไม่มีการเปลี่ยนแปลงมันเป็นภาวะที่สดชื่นเสมอเป็นอินเธอนิตี้ ฝรั่งคนหนึ่งเขาเข้าใจถูกหรือย่างไรขึ้นมาไม่ทราบเป็นภาพอินเธอนิตี้นี้เป็นภาพนางสาวสวยที่สุดเคยตีพิมพ์ในหนังสือบริจจิท บรุคดอสนาทีที่ ๙๕.๐๕ที่ลอนดอนหลายปีมาแล้วเขาคงไปได้เคล้าเงื่อนมาอย่างเดียวกันคือเรื่องว่า อินเธอนิตี้นั้นจะต้องสาวเสมอคือเป็นที่พอใจอย่างยิ่งไม่มีอะไรเปรียบเสมอไปไม่มีตั้งต้นคือเกิดและไม่มีสิ้นสุดคือดับลงอย่างภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่าปัจจุบันธรรมเป็นปัจจุบันเรื่อยก็หมายความว่าสดชื่นเรื่อยเป็นชีวิตแท้เป็นชีวิตจริงแท้นี้คือความหมายของสิ่งที่เรียกว่าว่างจากการมีตัวตนว่างจากการปรุงแต่งให้วุ่นไปหมดว่างจากสิ่งสกปรกเศร้าหมองเข้ามาฉาบทาจะเรียกว่าสะอาดสว่างสงบหรือเรียกว่าอะไรก็ได้เป็นความว่างอย่างยิ่งถ้าจิตใจของใครเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันพอใจความเป็นอย่างนี้มีรสเสมอกันก็หลงใหลพอใจเหมือนกับคู่สมรสกำลังพอใจต่อกันอย่างยิ่งอย่างนี้ก็คืออุปมาไม่ใช่อะไรอื่นอุปมาของคำว่าการสมรสในทางวิญญาณไม่มีอะไรมากไปกว่าที่จะยกตัวอย่างให้เข้าใจความหมายของคำที่เราอาจจะเล็งกันในแง่ของวัตถุก็ได้ ทางกายนี้ก็ได้หรอเราจะเล็งกันในแง่ของวิญญาณซึ่งเป็นที่ตั้งของธรรมะอย่างยิ่งก็ได้นี้ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์นี้เกิดสมรสกันได้กับสปิริตหรืออุดมคติของความเป็นครูของปูชนียบุคคลขึ้นมาจริงๆแล้วอาจจะลืมคู่สมรสทางฝ่ายร่างกายก็ได้จึงได้ยกตัวอย่างอย่างนี้มา(โฆษกหญิง นาทีที่๙๘.๑๔ ถึง )ดิฉันขอเรียนเกี่ยวกับกำหนดธรรมบรรยายในครั้งต่อๆไปเพื่อเตือนความจำวันจันทร์ที่ ๒๒ กับวันพุธที่ ๒๔ มีการบรรยายตามเวลาตามปรกติคือ ๑๖ นาฬิกาวันพฤหัสที่ ๒๕ติดกันเลยกันวันที่ ๒๔ นั้นมีการบรรยายครั้งสุดท้ายท่านพุทาสภิกขุจะได้นำภาพนิ่งมาฉายให้ดูด้วยท่าผู้ใดยังมีปัญหาขอได้โปรดเขียนส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ร่วมรวมส่งให้ท่านได้ประมวลมาเป็นคำตอบตามการบรรยายต่อไปมีผู้เสนอขอทราบประวัติท่านผู้บรรยายขอเรียนให้ทราบว่าคุณสะอาด วัชราภัยได้เขียนไว้และมีหนังสืออยู่ที่ร้านสุวิชชาญก่อนมีความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนทำและได้รับผลแบ่งปันจากนายจ้างแต่นายจ้างหรือคนที่รวยแล้วไม่ได้คำนึงถึงความลำบากของกรรมกรสถานะหรือสภาวะของโลกบีบคั้นมากขึ้นถือสันโดษก็ไม่พอเฉลี่ยกันกินในครอบครัวของกรรมกรอย่างนี้รูสึกจะฝืนจิตใจปุถุชนในอันจะทนสันโดษต่อไปอย่างธรรมะขอใดจะช่วยทางนายจ้างหรือนายทุนได้ไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจุดวุ่นวายเริ่มต้นที่ตรงไหนสันโดษหรือธรรมะข้ออื่นควรเข้าแทรกที่ตรงไหนจึงจะไม่ยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่ในบางประเทศ ด้วยหน้าของสันโดษหรือธรรมะชื่อสันโดษนี้ไม่ได้กินความกว้างไปถึงแก่แก้ปัญหาที่นอกแนวแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะใช้ได้ข้อแรกต้องเป็นว่าความสันโดษนี้จะต้องใช้ในการที่สัตว์ทั้งหลายจะต้องเป็นไปตามกรรมเสียก่อนคือว่าคนเรานี้จะต้องยอมรับความต้องเป็นไปตามกรรมเพราะว่ากรรมนั้นคือสิ่งที่ตนกระทำเมื่อสิ่งที่ตนกระทำนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของตนทางกำลังกายทางกำลังสติปัญญาหรือคุณธรรมอย่างคือนั้นมันจึงเต็มที่ได้พียงสมรรถภาพของเขามีอยู่ที่เรามองเห็นชัดว่าเป็นไปตามธรรมอย่างนี้เขาก็พอใจนะ นี้ว่ากรรมกรเขามีสมรรถภาพเพียงเท่านั้นแล้วจะให้นายจ้างให้ประโยชน์ทดแทนเกินกว่าสมรรถภาพนี้มันก็เป็นไปไม่ได้มันก็ยุติธรรมแล้วกรรมกรก็ควรจะสันโดษผู้นั้นจะสันโดษถ้าเท่านั้นมันยังไม่พอเลี้ยงครอบครัวก็ต้องปลีกหนีไปในทางที่ดีขึ้นอย่างอื่นก็แล้วกันหรือเปลี่ยนไปหางานที่มันเหมาะสมกับสมรรถภาพของตนนี้นั้นก็ได้อย่างนี้ก็เรียกว่ามีสติปัญญาหรือมีสันโดษที่จะแก้ปัญหามุทะลุดุดันตามอำนาจของกิเลสได้ส่วนเรื่องทางฝ่ายนายทุนนั้นอาตมาไม่รับจ้างด่าท่านทุนเพราะว่าขืนพูดไปมากเดียวก็จะมีเรื่องเข้าใจผิดแต่พูดได้สั้นๆว่าถ้าเรามีนายทุนที่ประกอบด้วยธรรมละก็คำว่านายทุนก็คงจะหาไปมีแต่ผู้ที่มีเมตตากรุณาเหมือนที่เชียงใหม่เขาเรียกว่า พ่อเลี้ยงที่แท้ก็ลูกนายทุนอย่างหนึ่งเหมือนกันแต่ว่าเต็มไปด้วยเมตตากรุณาอย่างนี้แล้วความสันโดษหาง่ายนายจ้างที่มีความสันโดษนั้นมีทางที่จะแก้ปัญหาได้มากเหมือนกันเมื่ออะไรเกิดขึ้นไม่เป็นที่ถูกใจก็มีสติปัญญาแก้ไขด้วยความสันโดษเรื่องต่างๆก็ไม่เกิดเรื่องไม่น่าปรารถนาก็ไม่เกิดส่วนนายทุนนั้นเขามีความหมายในทางอยู่คือตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหากันกี่มากน้อยนั้นก็ยังไม่มีใครได้บัญญัติความหมายของคำนี้อีกสักที แต่อย่างไรก็ดีเขาเชื่อกันว่านายทุนจะต้องเอาประโยชน์จากกำไรที่เกิดมาจากเหงื่อไคลของกรรมกรนั้นตั้งหลาย ๑๐ เปอร์เซ็นต์เสมออย่างนี้เรียกว่าสันโดษหรือยังเรียกว่าโลภมากหรือเปล่าถ้าหากนายทุนในโลกนี้จะเอาประโยชน์พอสมควรนั้นคือมีสันโดษบางปัญหาเรื่องกรรมกรสไตรท์หรือแย้งชิงล้มระบบนายทุนนี้คงยังไม่เกิดยังไม่เกิดขึ้นในโลกนี้นั้นถ้าเราจะช่วยกันแผ่ธรรมะคือสัมมาทิฐิที่เป็นเหตุให้สันโดษก็ได้ให้มีหิริโอตะปะก็ได้ให้มีเมตตากรุณาก็ได้ต่างๆขึ้นแล้วก็จะแก้ปัญหาภาวะที่ไม่น่าปรารถนาในโลกนี้ได้เป็นอย่างดีนั้นขอให้เรามาช่วยกันคิดช่วยกันนึกในเรื่องต่อไปนี้จะดีกว่าควรทำอย่างไรที่จะช่วยให้เกิดความเลื่อมใสสนใจในธรรมะพอใจในธรรมะนี้มากยิ่งขึ้นหรือแพร่หลายออกไปโดยเร็วอาตมาคิดว่าพวกไทยเรานี้พุทธบริษัทชาวไทยเรานี้ที่มีเลือดเนื้อของความเป็นพุทธบริษัทเข้มข้นมาเกือบ ๑๐๐๐ ปีแล้วนี้ควรจะทำตัวให้เป็นตัวอย่างของประเทศที่สงบที่เมตตากรุณาที่มีหิริโอตะปะที่ยิ้มที่รวยอยู่เสมอให้ประเทศอื่นๆในโลกดูและบางที่จะครอบงำจิตใจของเขาจูงจิตใจของเขาให้เดินตามทางของธรรมะได้จัดการกับนายทุนในลักษณะอย่างนี้ดีกว่าที่จะไปเล่นงานกับเขาซึ่งๆหน้าซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูหรือว่าไม่มีผลที่น่าพอใจก็ได้ถ้าท่านที่ถามนี้อยากจะจัดการกับนายทุนละก็ช่วยกันทำอย่างอาตมาว่าดีกว่าคือช่วยกันเป็นพุทธบริษัทที่ดีให้ดูเท่านั้นแหพอแล้วที่ว่าจุดวุ่นวายตั้งต้นที่ตรงไหนนี้ก็ควรจะจับได้ด้วยตนเองว่าจุดวุ่นวายมันก่อเจิมขึ้นมาตั้งแต่ความเห็นแก่ตัวตนความเห็นแก่ตัวกูของกูตั้งต้นที่ตรงนั้นที่นี้มันก็ควรจะธรรมะนี้เข้าไปแทรกแซงมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าโพริซีที่ว่ากันดีกว่ากันแก้วิธีที่เราจะกันไม่ให้เกิดต่อไปนี้ก็คือทำว่าถ้าว่าที่แล้วมาเราแก้ไม่ไหวหรือไม่อยู่ฐานะที่จะแก้ได้เราก็กันต่อไปข้างหน้าและในส่วนที่มีมาแล้วมันค่อยๆแก่ตายไปเองข้างหน้ามันไม่เกิดนี้ควรจะตอบว่าควรจะแทรกแซงในลักษณะอย่างนี้ปัญหามีเท่านี้
ท่านทั้งหลายในการบรรยายครั้งที่ ๗ นี้อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าจะใช้จริยธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร อาตมาอยากจะขอร้องให้ทบทวนความจำถึงครั้งที่แล้วๆมาว่าในครั้งแรกที่สุดเราได้วินิจฉัยกันถึงความหมายของจริยธรรมเป็นต้นโดยคล่าวๆทั่วไปทุกแง่ทุกมุมและในครั้งที่ ๒ แสดงให้เห็นแนวของจริยธรรมทั้งหมดซึ่งเห็นได้ว่ามีแต่แนวเดียวไม่ได้แตกต่างกันคนละทิศคนละทางอย่างที่เข้าใจกันว่าของฆราวาสก็อย่างหนึ่งของบรรพชิตก็อย่างหนึ่งแล้วของเด็กก็อย่างหนึ่งของผู้ใหญ่ก็อย่างหนึ่งเรามีเพียงแนวเดียวตรงที่จะต้องกำจัดความเห็นแก่ตนคือความเห็นแก่ตนจัดอย่างเดียวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นการประพฤติธรรมะในสายไหนแม้ที่สุดก็จะเพื่อไปนิพพานก็ต้องกระทำอย่างนั้นและในครั้งที่สามได้กล่าวถึงอุปสรรคศัตรูความร่วนเรและการพังทลายของจริยธรรมว่ามีได้ด้วยอาการอย่างไรและในครั้งที่ ๔ ถือเป็นครั้งพิเศษได้กล่าวถึงมหรสพในทางวิญญาณเพื่อประโยชน์แก่จริยธรรมเพราะมีผู้คิดว่าจริยธรรมนี้น่าเบื่อเหงาง่อยชวนเศร้าที่แท้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นไม่เป็นอย่างนั้นอาจจะให้ความเพลิดเพลนบันเทิงได้เหมือนกันถ้ามีจิตใจสูงพอเหมาะก็สมกันเป็นที่ลุ่มหลงได้มากเหมือนกันแต่ไม่ใช่ลุ่มหลงด้วยกิเลสมันลุ่มหลงด้วยสติปัญญาพอใจด้วยสติปัญญาไม่ใช่พอใจด้วยกิเลสแล้วมันจึงต่างกันแต่ว่าให้ความเพลิดเพลนเหมือนกันในครั้งที่ ๕ได้กล่าวถึงจุดปลายทางของจริยธรรมคือความว่างคือความสิ้นสุดไปของกิเลสและในครั้งที่ ๖ ได้กล่าวถึงตัวแท้ตัวจริงของจริยธรรมโดยระบุเจาะจงลงไปที่อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นตัวพรหมจรรย์และเป็นตัวศาสนาพร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นใช้ได้ทั้งเรื่องของโลกียะและเรื่องของโลกุตตระหรืออาจจะปรับระดับให้เข้ากันได้กับชีวิตทุกระดับเพราะเหตุฉะนั้นอาตมาจะได้กล่าวถึงวิธีที่จะใช้อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือธรรมะที่เราเลือกกันว่าจริยธรรมในที่นี้ได้ในชีวิตประจำวันโดยลักษณะอย่างไรเรียกสั้นๆว่าจริยธรรมในชีวิตประจำวันเพราะเหตุว่าได้รับปัญหามากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงถือโอกาสประมวลรวมปัญหาของทุกท่านมาเป็นหัวข้อบรรยายหัวข้อหนึ่งที่เดียวเรียกว่าจริยธรรมในชีวิตประจำวันดังที่กล่าวแล้วถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจจริงต่อธรรมคือมุ่งหมายที่จะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ยากแต่ถ้าเป็นเพียงเรื่องสมัครเล่นได้ก็เอาไม่ได้ก็แล้วไปนี้เพราะไม่มีอะไรมาบังคับอย่างนี้มันก็ยากที่จะเป็นไปได้เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นเราถือเป็นหลักที่ว่าไม่บังคับไม่ใช่วินัย วินัยเป็นเรื่องบังคับแต่ธรรมะนี้ไม่ใช่เรื่องบังคับใครจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้แม้ใครตั้งใจจะเอาแต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีมันก็ยังไม่ได้อยู่นั้นเอง นั้นปัญหาใหญ่จึงอยู่ที่ว่าจะต้องเข้าใจและสนใจมากพอที่นี้เพื่อจะให้เข้าใจจนเกิดความสนใจมากพอจะต้องมีแนวสำหรับคิดในเบื้องต้นก่อน ซึ่งอาตมามีความเห็นว่าจะต้องตั้งปัญหาขึ้นมาก่อนว่าชีวิตของเรานี้มันคืออะไรจากอะไรเพื่ออะไรโดยวิธีใดดังจะได้กล่าวมาแล้วว่านี้เป็นหลักทางโลจิกของธรรมะในพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องอริยสัจอย่างเราจะรู้จักชีวิตดีเราต้องมีปัญหา ๔ ข้อนี้เป็นอย่างน้อยว่าชีวิตนี้คืออะไรแม้แต่เพียงว่าคืออะไรนี้มันก็มีหลายแง่หลายมุมเสียแล้วเพราะว่าคนเราเข้าใจคำว่าชีวิตนี้ต่างๆกันในแง่วัตถุก็มีในแง่นามธรรมทางจิตทางใจก็มีหรือในแง่ปรัชญาที่ลึกซึ้งเข้าไปก็มีว่าชีวิตนี้คืออะไรนั้นยอมตอบได้หลายทางทางวัตถุล้วนๆเช่นทางไบโอโลยีเมื่อตามว่าชีวิตคืออะไรเขาก็ระบุไปที่ชีวิตคือความสดชื่นยังเป็นอยู่ของโปรโตพลาสซึมของที่บรรจุอยู่ในเซลล์เซลล์หนึ่งๆเป็นนิวเคลียสของเซลล์ถ้าสิ่งที่เรียกว่าโปรโตพลาสยังสดอยู่ก็ถือว่ายังมีชีวิตอยู่แต่ว่าชีวิตอย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ความหมายในลักษณะไบโอโลยีอย่างนี้ย่อมใช้ไม่ได้กันกับทางธรรมะนั้นขอให้เว้นไว้ก่อนเราจะต้องมองดูในแง่ของจิตใจว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นคืออะไรถ้ากล่าวโดยทางธรรมะแล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตนี้คือความอยากหรือความดิ้นลนที่จะเป็นไปตามความต้องการของตัวมันเองเป็นอย่างน้อยความรู้สึกเมื่อมีตัวตนเป็นศูนย์กลางอยู่และก็มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นวัตถุที่มุ่งหมายของมันอยู่แล้วมันก็ทะเยอทะยานดิ้นรนเพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านั้นคือกระทำไปตามความอยากที่จะได้นั้นแม้จะได้มาแล้วก็ไม่ใช่จะหยุดความอยากที่จะได้ย่อมมีความอยากอย่างอื่นเนื่องมากับสิ่งที่จะได้นั้นและมีความอยากอย่างอื่นต่อไปมันจึงดิ้นรนต่อไปคืออยากต่อไปและก็ทำต่อไปคือได้ผลมาแล้วก็อยากต่อไปและก็ทำต่อไปอีกได้ผลมาแล้วก็ยังคงอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีกเป็นเกลียวไปทีเดียวไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปทีเดียวคือกระแสของความอยากคือการกระทำตามที่อยากได้มาหมดแล้วก็หล่อลี้ยงความยากอันอื่นขึ้นมาอีกหรือปรุงความอยากอันอื่นขึ้นมาอีกเป็นวงกลมที่ไหลวนเชี่ยวเป็นเกลียวไปทีเดียวชีวิตในแง่ของธรรมะหรือในแง่ของปรัชญาทางพุทธศาสนาก็มีความหมายกันอย่างนี้มันจะใช้กันได้กับท่านทั้งหลายหรือเปล่าของให้ลองคิดดูเป็นข้อแรกก่อนถ้ามันเป็นสิ่งที่ใช้ได้ก็พอวินิจฉัยกันต่อไปได้นั้นจึงนิยามคำๆนี้สั้นๆว่าชีวิตคือกระแสแห่งความดิ้นรนถ้าถามว่ามันมาจากอะไรมันเนื่องมาจากอะไรท่านลองคิดดูว่ามันเนื่องมาจากอะไร ถ้าตามทางวัตถุก็คงตอบว่าผมอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่งแต่ในทางธรรมะที่ลึกไปกว่านั้นเราถือว่ามันเนื่องมาจากความไม่รู้ความไม่รู้นั้นแหละเป็นเหตุให้ต้องดิ้นรนอย่างนั้นถ้ารู้มีสภาพแห่งความรู้มาแล้วมันก็หยุดทันทีนี้จึงตอบว่ามันมาจากความไม่รู้ดังนั้นจึงถือว่าตามปกติธรรมดาที่เป็นอยู่เองนี้เราไม่รู้ว่าอะไรตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไรหรือชีวิตนั้นมันไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องนั้นคือสภาพที่ปราศจากความรู้ที่เราเรียกว่าอวิชชาเป็นเหตุให้สร้างความดิ้นรนกระแสแห่งความดิ้นรนขึ้นมานี้ถ้าถามว่าเพื่ออะไรคำตอบนี้คล้ายกับกำปั้นทุบดินมันตอบว่าเพื่อหยุดนี้ถ้ามีปัญญาก็จะมองเห็นว่าไม่ใช่เพื่อกำปั้นทุบดินอย่างจะถามว่ากินเพื่ออะไรมันก็เพื่อหยุดกินแล้วทำงานเพื่ออะไรก็เพื่อจะได้หยุดทำงานหรือว่าเดินทางนี้เพื่ออะไรก็เพื่อที่จะได้หยุดเดินทางเพื่อถึงที่หมายปลายทางและเพื่อจะได้หยุดเดินทางเพราะฉะนั้นถ้าหากชีวิตนี้คือกระแสแห่งความไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปแล้วมันจะเป็นไปเพื่ออะไรนอกจากจะไม่ใช่เพื่อนั้นมันต้องเป็นไปเพื่อหยุดโดยแน่นอน หยุดนั้นแหละคือความว่างคือความหยุดหรือความสงบหรือแล้วแต่จะเรียกซึ่งไม่เป็นความทุกข์ก็แล้วกันเหล่านั้นก็จึงกล่าวว่าเพื่อความไม่ทุกข์ที่เราขวนขวายกันทุกอย่างทุกทางนี้ที่แท้ควรจะเป็นเพื่อความไม่ทุกข์และเนื่องจากไม่รู้จักความทุกข์และความไม่ทุกข์อย่างถูกต้องจึงดิ้นรนเท่าไหร่ๆก็ไม่เคยประสพความหยุดหรือความพ้นทุกข์สักทีและพาเอาความดิ้นรนนั้นเป็นเพื่อนเข้าโลงไปด้วยนี้เรียกว่าไม่เพราะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร หรือปัญหาข้อต่อไปว่าโดยวิธีใดหยุดก็คือว่าจะหยุดโดยวิธีใดนี้มันก็ต้องเอาความรู้เข้ามาเพราะว่ามันวิ่งเพราะความไม่รู้ที่หยุดได้โดยวิธีใดก็ต้องสิ่งตรงกันข้ามคือความรู้เพราะเราจะต้องมีความรู้ชนิดที่จำเป็นแก่ชีวิตมันจึงจะเป็นชีวิตที่หยุดได้นี้แหละคือปัญหาข้อแรกที่ว่าชีวิตคืออะไรและเราจะใช้ชีวิตและใช้ธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไรนั้นเราจะต้องแยกชีวิตนี้ออกเป็นสองรูปสองแบบเสียก่อนคือว่าชีวิตโดยพื้นฐานอย่างหนึ่งและชีวิตเฉพาะเหตุการณ์นี้อย่างหนึ่งชีวิตประจำวันเฉพาะเหตุการณ์เฉพาะเรื่องเฉพาะคนนี้อย่างหนึ่งชีวิตประจำวันพื้นฐานหมายถึงความที่เราจะต้องมีพื้นฐานแห่งความมีชีวิตเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องหรือตลอดกาลตลอดไปตลอดทุกเวลาเป็นพื้นฐานถ้าท่านจะถามว่าธรรมะสำหรับชีวิตพื้นฐานตลอดเวลานี้คืออะไรก็ไม่พ้นที่จะระบุไปยังความรู้จักควบคุมจิตใจไม่ให้รู้สึกว่าตัวกูว่าของกูให้ว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูไม่ให้มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเองนั้นแหละคือพื้นฐานทั่วไปของธรรมะที่จะใช้กับชีวิตที่เป็นพื้นฐานประจำวันและตลอดเวลานั้นถ้าจัดการเรื่องพื้นฐานไม่ได้ข้อปลีกย่อยเฉพาะเรื่องก็ทำไม่ได้เพราะมันสิ่งต่างๆมันจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแล้วเราจะต้องมีจิตใจดีมีพื้นฐานของจิตใจดีมีหลักเกณฑ์ความคิดความเข้าใจความเชื่อที่ดีเป็นพื้นฐานเสียก่อนซึ่งทั้งหมดนั้นจะไปรวมอยู่ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวตนของตนเพราะว่าความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วปิดบังปัญญาเสียหมดสิ้นนั้นต้องขจัดออกไปให้ปัญญาอยู่แทนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอะไรเป็นอะไรซึ่งสรุปความแล้วก็คือว่าทุกสิ่งนั้นไม่ควรยึดมั่นว่าตัวเราเป็นของเราดังที่กล่าวแล้วนั้นเองนั้นถ้าเรามีพื้นฐานของชีวิตถูกต้องโดยอาศัยธรรมะพื้นฐานอย่างเช่นนี้แล้วก็เรียกว่าชีวิตประจำวันของเราโดยพื้นฐานนั้นดีที่สุดแล้วจะต้องถือว่าชีวิตพื้นฐานนี้มันจะต้องเป็นของประจำวันด้วยเหมือนกันเพราะมันตั้งอยู่บนพื้นฐานตลอดวันตลอดคืนทั้งหลับและทั้งตื่นที่ว่าทั้งหลับนี้หมายความว่าแม้ตกอยู่ในความหลับก็ไม่ฝันร้ายอย่างนี้เป็นต้นที่นี้สำหรับชีวิตเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีนั้นมันหมายความว่าเราทุกคนแต่ละคนมีหน้าที่ที่จะต้องทำต่างๆกันนี้ก็อย่างหนึ่งเพราะยังมีสิ่งต่างๆมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยเรียกรวมๆกันก็เรียกอย่างนี้จากบุคคลนั้นจากบุคคลนี้จากบุคคลภายนอกจากบุคคลภายในที่ต้องประสพเป็นธรรมดาเรื่องแสวงหาเรื่องบริโภคใช้สอยต่างๆเหล่านี้มันมีเฉพาะเรื่องและเฉพาะคนนั้นก็จะต้องมีธรรมะเฉพาะเรื่องหรือตรงกันกับเรื่องมาช่วยขจัดปัดเป่าเป็นกรณีพิเศษออกมาจากส่วนที่เป็นพื้นฐานนั้นขอให้เรารู้จักแยกชีวิตนั้นออกมาเป็น ๒ รูปว่าชีวิตประจำวันนี้ส่วนที่เป็นทั่วไปพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกคนและทุกเวลาทุกแห่งนั้นก็แบบหนึ่งรูปหนึ่งและก็เรื่องที่เป็นเฉพาะคนจริงๆเฉพาะเวลาจริงๆเฉพาะเหตุการณ์จริงๆนั้นมันก็อีกแบบหนึ่งเมื่อเข้าใจทั้งสองแบบแล้วมันง่ายและขอเตือนว่าแบบพื้นฐานทั่วไปนั้นจะต้องอาศัยหลักไม่ยึดมั่นถือมันว่างจากตัวตนนั้นแหละเป็นพื้นฐานที่นี้ก็มีสติปัญญาที่จะแก้ไขชีวิตประจำวันเฉพาะเรื่องเฉพาะเวลาด้วยสติปัญญาที่เกิดมาจากความว่างนั้นเองแต่ว่ามีสติปัญญาให้ตรงตามเรื่องว่าจะต้องใช้ธรรมะข้อไหนอย่างไรเช่นว่าจะต้องใช้ธรรมะชื่อหิริโอตัปปะสติสัมปชัญญะสันโดษเลี้ยงง่ายในทำนองนี้เป็นต้นขอให้เข้าใจในการที่จะว่างพื้นฐานให้ดีเสียก่อนเถิดแล้วมันจะเหมือนกับป้อมค่ายที่มั่นคงที่ยากที่ข้าศึกคือกิเลศนั้นมันจะตีแตกธรรมะพื้นฐานจึงจำเป็นอย่างนี้ที่นี้เพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับปัญหาชีวิตประจำวันเฉพาะหน้าอยากจะให้ทุกคนรูจักคิดปัญหาคือที่ว่าเกิดมาทำไมอย่างน้อยควรจะลำพึงว่าเกิดมาทำไมหนอ จะใช้คำว่าหนอก็คงคิดนานสักหน่อยมันคงเห็นคำตอบได้ทันทีเมื่อถามว่าเกิดมาทำไมนี้ก็ตอบต่างๆกันมากมายเหลือที่จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ลองคิดคำตอบดูด้วยกันทุกคนในที่นี้เชื่อว่าคงจะไปกันคนละทิศคนละทางและบางทีก็น่าขบขันที่สุดบางคนเข้าใจผิดโดยได้ฟังมาผิดหรือเข้าสอนมาผิดว่าเกิดมาเพื่อทนทุกข์อย่างนี้ก็มีบางคนก็มากไปกับว่าเกิดมาเพื่อสนุกกันใหญ่ไม่ต้องคิดถึงอะไรอย่างว่าเกิดมาเพื่อกินเพื่อดื่มเพื่อสนุกรื่นเริงกันเต็มที่เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้อย่างนี้ก็มีบางคนก็เกิดด้วยหวังจะเอาอะไรที่ว่ายังอยู่ไกลนอกฟ้าหิมพานต์กันเลยทีเดียวยังไม่รู้จักยังไม่เข้าใจยังมืดมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะเอาให้ได้อย่างนั้นก็มีนี้ล้วนแต่แกว่งไปสุดเหวี่ยงคนละทิศคนละทางต่างๆนาๆอย่างนี้มันจะเอามาใช้กันได้กับการที่จะศึกษาธรรมะหรือใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรปัญหาข้อนี้มันซับซ้อนอยู่หลายชั้นที่ถามว่าเกิดมาทำไมนี้มันเป็นคำถามของคนที่ไม่รู้เรื่องจริงมันรู้เรื่องที่ไม่จริงคือมีตัวมีตนที่ได้เกิดมาจนกระทั่งไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมในที่สุดถ้ารู้เรื่องจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าก็หมายความว่าไม่ได้มีตัวมีตนซึ่งเกิดมามีแต่ความไหลเวียนเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เป็นรูปเป็นนามเป็นขรรค์ เป็นธาตุเป็นอายตนะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่ได้มีใครเกิดมา ไม่ได้มีใครเป็นอยู่ไม่ได้มีใครตายไป ไม่ได้มีใครเกิดใหม่อย่างนี้เป็นต้น เอาละทีนี้เราจะพูดอย่างที่เรียกว่าโดยโวหารสมมุติคือมีคนมาสนใจเรื่องธรรมะกระทั่งสนใจว่าเกิดมาทำไม่นี้ถ้าจะให้เข้ารูปกับกันธรรมะ มันก็จะต้องตอบว่าเกิดมาเพื่อรู้ธรรมะมากกว่าอย่างอื่นเพราะว่าที่จริงนี้มันไม่ได้เกิดมาเพื่อมีอะไรไม่ได้มีเกิดมาแต่ความหลงผิดมันหลงไปว่ามีอะไรเกิดมาตัวเราเกิดมาเมื่อความจริงมันไม่มีอะไรเกิดมามันก็ไม่ต้องมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายที่ไหนอะไรเกิดมาแต่ถ้าสมมุติว่าความรู้สึกอย่างนี้ว่าเป็นความรู้สึกของปุถุชนสามัญว่าเกิดมาแล้วที่เกิดมาเพื่ออะไรกันมาเพื่อหาเงินจนตายไม่รู้จักหยุดจักหย่อนมาเหน็ดเหนื่อยจนตายไม่รู้จัดหยุดจักหย่อนหรือว่าเพลิดเพลินสนุกสนานไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเกิดมาเพื่อต้องบริหารร่างกายให้ปรกติมีสุขอยู่เสมอไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเกิดมาเป็นทาสของร่างกายอย่างนี้น่าสนุกไหมมันล้วนแต่จะต้องคิดดูทั้งนั้นถ้าสมมุติว่าเราเกิดมาและมีภาระหน้าที่ผูกพันทุกอย่างทุกประการทั้งข้างนอกทั้งข้างในทั้งส่วนสังคมและส่วนตัวเราล้วนๆทั้งส่วนร่างกายและส่วนจิตใจอย่างนี้แล้วเราจะเห็นได้ทันที่ว่าการเกิดมานั้นมันเป็นความทนทรมานนั้นความมุ่งหมายของการเกิดมาเพื่อจะศึกษาให้เอาชนะความทนทรมานหรือความทุกข์ให้ได้ถ้าคิดอย่างนี้ค่อยง่ายหน่อยว่าเราเกิดมาเพื่อเอาชนะความทุกข์จะจริงหรือไม่จริงจะต้องคิดดูด้วยตนเองทุกๆท่านอย่าไปเชื่อตามธรรมที่เขียนไว้อย่างนั้นอย่างนี้กล่าวไว้อย่างนั้นอย่างนี้เราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่และที่มันมีอยู่เองเป็นอยู่เองเป็นไปเองโดยใครบังคับมันไม่ได้มันคืออะไรกันแน่คือความต้องรับภาระบริหารร่างกายจิตใจชีวิตการงานเรื่อยไปอย่างนี้ใช่หรือไม่และมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ถ้ามันเป็นทุกข์ ถ้ามันเป็นสุขก็ดีไปเราเกิดมาเพื่อสุขกันแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้แต่ถ้าเกิดมาเพื่อทุกข์แล้วก็มีปัญหาที่ต้องเอาชนะความทุกข์นั้นให้ได้โปรดอย่าใช้คำว่าหนีทุกข์เพราะคำว่าหนีทุกข์ไม่ใช่คำเดียวกับว่าเอาชนะความทุกข์แม้แต่คำว่าดับทุกก็ไม่น่าจะใช้แต่ถ้าจะใช้คำว่าดับทุกต้องอธิบายให้ถูกส่วนเรื่องหนีทุกข์เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึงกันมันผิดโดยประการทั้งปวงจะมีศาสนาไว้เพื่อหนีทุกข์เป็นเรื่องที่งมงายโง่เขลาอย่างยิ่ง หรือแม้ที่สุดแต่ว่าออกบวชออกจากบ้านเรือนไปบวชก็ไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์นั้นเป็นคำพูดที่ว่าเอาเองผิดอย่างยิ่งที่ถูกมันต้องเพื่อเอาชนะความทุกข์ที่ว่าจะดับทุกข์นั้นไม่ค่อยถูกหรือถูกครึ่งเดียวผิดครึ่งถูกครึ่งคือว่าเราไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยมัวไปดับทุกข์มันอยู่มัวไปดับมันทำไมเรามีวิธีใดวิธีหนึ่งที่มันไม่ให้มันมาทำอะไรเราได้ก็แล้วกันเรียกว่าเอาชนะความทุกข์ให้ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความอะไรทุกๆอย่างนั้นไม่มีความหมายไปเลยมันเป็นตัวมันเองไปตามเรื่องตามราวของมันเถอะมันไม่มาทำอะไรเราได้ก็แล้วกันนี้ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วจะต้องเรียกว่าเราเกิดมานี้เพื่อเอาชนะความทุกข์ไม่แพ้แก่ความทุกข์ไม่ต้องหนีทุกข์และไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยไปดับทุกข์กับมันมันก็พูดว่าเอาไม้สั่นไปลันจาระนี้มันยุ่งเปล่าๆมันเลอะเถอะเปล่าๆมันสกปรกเปล่าๆความทุกข์ก็เหมือนกันเราไม่ไปแตะต้องกันมันโดยที่เรามีวิธีที่ฉลาดที่จะอยู่เหนือหรือเอาชนะมันได้ที่นี้เราก็มีปัญหาต่อไปว่ามีความทุกข์ชนิดไหนบางที่ทางวัตถุเอาชนะไม่ได้ทางวัตถุหมายถึงมีเงินมีทองมีอำนาจวาสนามีวัตถุความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมีความรู้ทางวัตถุนี้กระทั้งมีเงินมากมีทรัพย์สมบัติมากมีอำนาจวาสนามากมีเครื่องมือสารพัดอย่างนี้ยังมีความทุกข์ชนิดไหนอยู่อีกที่อำนาจทางวัตถุที่เอาชนะมันไม่ได้นี่ลองคิดดูต่อไปในที่สุดเราก็จะย้อนมาพบว่าความทุกข์ที่เกิดมาจากความเห็นตัวตนนั้นคือตัวกูของกูที่ปรุงแต่งขึ้นมานี้นี้เป็นสิ่งที่วัตถุแก้ไม่ได้ชนะไม่ได้เพราะว่าสิ่งนั้นแหละมันปรุงวัตถุขึ้นมาหรือวัตถุก็ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งนั้นอันวัตถุแม้จะมีมากหรือมีอิทธิพลสูงอย่างไรก็แก้ความทุกข์ชนิดนี้ไม่ได้นี้ต้องอาศัยสิ่งอื่นที่ดีกว่าที่ประเสริฐกว่ามากมายทีเดียวนั้นแหละคือธรรมะ ธรรมะจะเข้ามาที่ตรงนี้จะช่องทางที่ธรรมะจะต้องเข้ามาที่ตรงนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่เราเราจึงรับเอาธรรมะเข้ามาในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับเอาชนะความทุกข์ประเภทที่วัตถุเอาชนะไม่ได้นั้นท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายลองคิดดูให้ดีว่าเรากำลังมีสิ่งนี้เครื่องมืออันนี้แล้วหรือยังหรือว่าสิ่งที่เรากำลังเรียนกำลังทำกำลังมุ่งมาดปรารถนานั้นมันออกไปจากขอบวงของวัตถุแล้วหรือยังหรือว่ายังตกอยู่ในวงของวัตถุยังเป็นเรื่องมัวเมาทางวัตถุถ้าอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ธรรมะเราจะต้องอยู่เหนือนั้นไปอีกมีจิตใจมีความรู้สึกที่อยู่เหนือวัตถุจึงจะเป็นธรรมะจึงจะมาควบคุมวัตถุที่เป็นปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวันได้ปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวันหรือชีวิตประจำวันที่เป็นปัญหายุ่งยากนั้นไม่มีอะไรเลย เนื่องมาจากวัตถุทั้งนั้นตามยุ่งยากเหล่านี้ไม่อาจจะเกิดมาจากธรรมะหรือเรื่องทางฝ่ายธรรมะซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจแต่เมื่อจิตใจตกมาเป็นบ่าวของวัตถุเป็นทาสของวัตถุหมดอิสรภาพแล้ววัตถุก็สร้างตัณหาขึ้นแก่จิตใจในชีวิตประจำวันแล้วเราจะแก้อย่างไรทีนี้ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคือธรรมะที่สามารถจะครอบงำอำนาจของวัตถุได้นั้นเองนี้เราจึงพบว่าที่ความทุกข์อยู่อีกแบบหนึ่งซึ่งวัตถุไม่อาจจะเอาชนะได้จะต้องเอาชนะด้วยสิ่งซึ่งมีอำนาจเหนือวัตถุคือธรรมะไม่ฝ่ายทางจิตใจหรือทางฝ่ายวิญญาณที่มีหลายๆคนไม่ชอบให้เอยชื่อถึงแต่ว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในส่วนนี้คือในชีวิตประจำวันนี้เองปัญหาควรจะเดินต่อไปว่าเมื่อเป็นดังนั้นแล้วอะไรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้เป็นประจำวันก็คือว่าเรื่องทางวัตถุนั้นเรื่องทางวัตถุหรือเรื่องทางจิตใจกันแน่ที่เราควรจะได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเป็นประจำวันหรือตลอดชีวิตข้อนี้พุทธศาสนาไม่ได้เป็นเอามากๆถึงกับรังเกียจฝ่ายโน่นรักฝ่ายนี้โดยส่วนเดียวเพราะว่าถ้าทำดังนั้นไม่เป็นสายกลางไม่ใช่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาเราไม่รังเกียจอะไรหมดและเราไม่หลงรักอะไรหมดแต่ว่าเราจะต้องมีสติปัญญาที่จะต้องควบคุมมันทุกอย่างทีเดียววัตถุนั้นเราต้องใช้ต้องเขาไปเกี่ยวข้องแต่ด้วยสติปัญญาหรือธรรมะที่ควบคุมมันได้เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นวัตถุหน้าใหม่เข้ามาคือเป็นวัตถุที่ถูกควบคุมแล้วที่ควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้วนี้เรื่องทางฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายจิตใจนั้นเราก็ระบุเอาเฉพาะที่เป็นความรู้อย่างถูกต้องอย่างพอเพียงอย่างในระดับกลางไม่ต้องเป็นเอามากๆเหมือนคนบางพวกที่คิดจะทำลายร่างกายนี้เสียเหลือแต่จิตใจล้วนๆนี้ซึ่งเป็นพวกมิจฉาทิฐิพวกหนึ่งซึ่งบำเพ็ญอัตตะนิฐานุโยก(นาทีที่ ๒๙.๕๐) ทำลายร่างกายหรืออะไรยิ่งไปกว่านั้นหรือที่เขาพูดถึงพวกพรหมชนิดหนึ่งซึ่งมีแต่ใจเพราะความคิดของเขารุนแรงมากถึงกับเกียจร่างกายไปโทษร่างกายเพราะมีร่างกายนี้จึงเกิดความทุกข์ขึ้นอย่างนี้ก็มีตัวจริงจะมีได้อย่างไรนั้นไม่แน่แต่ว่าความคิดอย่างนี้มีได้มีได้กับคนที่ชอบตั้งใจคิดแล้วคิดรุนแรงตะพึดตะพือไปนี้พุทธศาสนาจะมีจิตใจที่ควบคุมแล้วจะมีวัตถุที่ควบคุมแล้วจัดแจงปรับปรุงสร้างสรรค์คือย่างดีแล้วคือในสภาพที่เหมาะสมแก่การที่จะไม่เป็นทุกข์นั้นเอง ปัญหาที่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้นี้ขอให้จำเอาไปด้วยถ้าคิดปัญหาข้อนี้ถูกแล้วการใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันจะง่ายดายที่สุดแต่ถึงอย่างไรก็ดีเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องแทรกเรื่องวัตถุกับเรื่องทางวิญญาณหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๒ เรื่องได้เสมอไปเพื่อเห็นความแตกต่างและควบคุมให้ได้นั้นเองคือเราจะต้องมองให้เห็นว่าพวกที่หลงไปในทางวัตถุนิยมนี้ เขาแสวงหาความสุขด้วยจากวัตถุและด้วยการตามใจกิเลสขอให้ฟังประโยคนี้ให้ดีๆว่าพวกที่ตกไปฝ่ายวัตถุนั้นจะแสวงหาความสุขจากวัตถุและก็ด้วยการตามใจกิเลสนี้เราทุกคนกำลังหวังที่จะแสวงหาความสุขจากอะไรกันแน่จากวัตถุต่างๆที่มุ่งหมายจะสร้างสมหรือสะสมขึ้นข้างหน้าให้มากมายใช่หรือไม่และมุ่งหมายจะแสวงความสุขจากการกระทำต่อจิตใจให้ถูกต้องขอให้เกิดความสงบสุขอย่างประเสริฐขึ้นมาโดยไม่ต้องเกี่ยวกับวัตถุเลย ถ้าเรามุ่งหมายทางวัตถุตะพึดตะพือไปโดยถือหลักว่าเมื่อวัตถุสมบูรณ์แล้วจิตใจก็สมบูรณ์เองเมื่อคว้าวัตถุถึงที่สุดแล้วจิตใจก็มีความสุขถึงที่สุดนี้ก็ขอให้ทราบว่านี้ก็คือ Directic materialismนาทีที่ ๓๒.๒๖) เป็นต้นกำเนิดของคอมมิวนิสต์จะเอาหรือไม่เอาก็ลองคิดดูเองที่ถ้าหากว่าแสวงหาความสุขทางฝ่ายนามธรรมอยากจะเรียกขอเรียกสักทีว่ามโนนิยมเพราะไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไรการบัญญัติธรรมที่ก้าวหน้าเร็วเกินไปก็ได้ขอเรียกไปทีก่อนเพื่อให้พูดกันได้เท่านั้นเองเพราะถ้าเราไม่เป็นวัตถุนิยมแต่เป็นมโนนิยมก็แสวงสุขจากความเป็นอิสระจากวัตถุด้วยการเผาแผดเผากิเลสนั้นเสียมันตรงกันข้ามอย่างนี้ถ้าเป็นวัตถุนิยมต้องแสวงความสุขจากวัตถุด้วยการตามใจกิเลสปนเปรอกิเลส และแสวงความสุขจากมโนจากจิตจากวิญญาณทางวิญญาณเป็นมโนนิยมนี้ละก็ แสวงความสุขจากการเป็นอิสระอยู่เหนือวัตถุไม่ต้องเป็นทาสของวัตถุและก็ด้วยการเล่นงานกิเลสด้วยการแผดเผากิเลสทำลายกิเลสไม่ตามใจกิเลสมันตรงกันข้ามอย่างนี้แม้บางคนไม่กล้า ไม่กล้านี้มีหลายอย่างเพราะอ่อนแอกลัวจะไม่ได้สนุกสนานตามความฝันที่หวังไว้มากมายและฝันไว้นานมาแล้วและยังฝันต่อไปอีกข้างหน้าโดยไม่สิ้นสุดจนกระทั้งมีคนกล้ากล้าคิดกล้านึกกล้าตัดสินใจกันใหม่นี้ค่อยเป็นไปได้มีช่องทางที่ว่าเราจะเอาชนะวัตถุได้ถ้าเดินมารูปนี้แล้วปัญหาชีวิตประจำวันแถบจะไม่มีอะไรเหลือคือจะไม่มีปัญหาอะไรเหลือมันจะราบรื่นไปหมดคงจะไม่มีปัญหาชีวิตประจำวันเกิดขึ้นมากจนยื่นคำถามข้อนี้มากเพราะคงจะล้วนคงแต่ประสบปัญหาทางวัตถุมาทั้งนั้นซึ่งจะประมวลได้ว่าเพราะสิ่งต่างๆทางวัตถุนี้คือตามบุคคลภายนอกนี้ล้วนแต่ไม่เป็นไปตามกิเลสนี้ต้องการไม่ใช่สติปัญญาต้องการตามที่กิเลสต้องการคือมีกิเลสออกมาแสดงบทบาทเป็นใหญ่เป็นประธานเสียเรื่อยฉะนั้นจึงมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายคือมี (aim หรือมี gold นาทีที่ ๓๔.๔๔) อยู่ตรงที่จะได้วัตถุเต็มตามความต้องการของกิเลสอย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้ปัญหาประจำวันเกิดขึ้นมากมายจนสางไม่ไหวนี้ใช้คำว่าสางไม่ไหวมันจะเกิดขึ้นมามากมายจนสางไม่ไหวปัญหาชีวิตประจำวันทุกวันจะเกิดขึ้นจนสางไม่ไหวแต่ถ้ากลับตรงกันข้ามเสียแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมันจะสลายตัวไปโดยทันทีอย่างนี้เป็นต้นเพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังขาดอยู่อย่างยิ่งก็คือความมีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นเอง ความมีนิพพานเป็นโกลด์เป็นออฟเจ็คของวัตถุที่มุ่งหมายที่ประสงค์มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลานั้นเองนี้เรายังขาดกันอยู่สิ่งที่ทุกคนเราทุกคนกำลังขาดกันอยู่และทำให้ปัญหาประจำวันมีมากขึ้นในการปฏิบัติงานหน้าที่ของตนคงจะมีคนบางคนตะโกนอยู่ในใจว่ามันจะทำได้อย่างไรกันโวยที่มันต้องใช้คำหยาบคายว่าโวยนี้เพราะมันเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆก็ได้เพราะเหตุที่มองไม่เห็นได้ทันทีและล้วนแต่มืดมนอยู่ไกลสุดเอื้อมเมฆคงจะต้องตะโกนว่าโวยแน่มันจะทำได้อย่างไรกันโวยการที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นน่ะจะทำได้อย่างไรที่ว่ายังขาดอยู่ทุกคนนี้ก็อธิบายอยู่ในตัวแล้วว่ามุ่งหมายไว้ถูกมุ่งหมายความสุขทางวัตถุคือทางเนื้อทางหนังไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากการรบกวนเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากตัวกูหรือของกูต้องการจะมีตัวกูของกูออกรับวัตถุเป็นเจ้าของวัตถุ บริโภคใช้สอยวัตถุ เพลิดเพลินมัวเมาอยู่ในวัตถุอย่างนี้เรียกว่ามีวัตถุเป็นอารมณ์ไม่ใช่มีนิพพานเป็นอารมณ์ถ้ามีนิพพานเป็นอารมณ์ก็คือมีความว่างมีความสะอาดสว่างสงบแห่งจิตเป็นอารมณ์ไม่มีอะไรรบกวนมุ่งมั่นจะได้สิ่งนั้นอยู่เป็นประจำนี้เรียกว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลา ถ้าถามว่าจะทำอย่างไรได้กันโวยก็ต้องดูให้ดีที่ตรงว่าชีวิตนี้มันมีแต่ภาพอย่างไรเพราะเหตุไรนั้นเองจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเองไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจนกระทั่งเห็นชัดประจักษ์แก่ตนเองว่าเพราะมีวัตถุเป็นอารมณ์นั้นแหละมันจึงยุ่งยากไปหมดเพราะส่วนบุคคลและส่วนสังคมและส่วนโลกทั้งโลกและทุกๆโลกถ้าหากจะมีเพราะมีวัตถุเป็นอารมณ์คอมมิวนิสต์ก็มีวัตถุเป็นอารมณ์ประชาธิปไตยเป็นอารมณ์อะไรก็ล้วนแล้วแต่มีวัตถุเป็นอารมณ์ไม่เคยมีใครมีนิพพานเป็นอารมณ์ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นทั่วไปหมดกระทั่งปัญหาทางจริยธรรมปัญหาจริยศึกษาปัญหาศีลธรรมเสื่อมปัญหาสิ่งเหล่านี้เสื่อมมีมูลมาจากความมีวัตถุเป็นอารมณ์ ในโลกนี้บรรยากาศฟุ้งไปด้วยความมีวัตถุเป็นอารมณ์ในแบบอย่างต่างๆกันและก็ได้รบกันเป็นวิกฤตการณ์ถาวรไม่เคยประสบสันติภาพนี้เราทุกคนเห็นโทษแห่งความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุเหล่านี้ทั้งนั้นจิตจะน้อมไปเองเพื่อนิพพานทำอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสไม่ใช่อาตมาว่าเป็นพระพุทธภาษิตที่อยู่ในหลักบาลีชัดๆเลยถ้ามองเห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นจิตจะน้อมไปเองเพื่อการนิพพานนั้นแหละคือมีนิพพานเป็นอารมณ์ นั้นถ้าอยากมีนิพพานเป็นอารมณ์นั้นก็ง่ายนิดเดียวด้วยการดูให้เห็นโทษอันร้ายกาจที่ครอบคลุมพวกเราทั้งโดยส่วนรวมทั้งโดยส่วนตัวอยู่นี้เพราะมันมีมูลมาจากความมีวัตถุเป็นอารมณ์มีความตกอยู่ในอำนาจของวัตถุเป็นอารมณ์นี้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้คราวเดียวกันเราก็อย่าบูชาวัตถุเป็นสรณะแต่บูชาธรรมะซึ่งไม่ใช่วัตถุนี้ซึ่งเป็นเครื่องปราบวัตถุนี้เป็นสรณะมีธรรมะเป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้วัตถุมาแพ้วพาลเราก็เกิดมีระเบียบประพฤติปฏิบัติชนิดที่เรียกว่าธรรมะเรียกขึ้นจะเรียกว่าจริยธรรมก็ได้ อาตมากล้ายืนยันว่าคำว่าจริยธรรมคำเดียวก็ใช้ได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนปลายจนกระทั่งถึงนิพพานได้เหมือนกันใช้ได้ตั้งแต่เรื่องโลกๆไปจนถึงเรื่องนิพพานได้เหมือนกัน จะละแปลว่าประพฤติ จะยะแปลว่าควรจริยธรรมแปลว่าธรรมะที่ควรประพฤติทุกแบบที่ควรประพฤติก็เรียกว่าจริยธรรมนี้พระพุทธเจ้าท่านว่างหลักไว้มากมายเช่นมรรคมีองค์ ๘ หรือย่อลงเหลือไตรสิกขาเป็นการง่ายมากที่เราจะดูที่ไตรสิขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราได้ยินคุ้นหูกันมากที่สุดว่านี้จะเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไรถ้าเราใช้หลักที่เรียกว่าไตรสิขา ที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วปัญหาเรื่องนี้จะเบาบางลงไปอย่างมากมายทีเดียวอย่างเห็นได้ชัดคำว่าศีล ศีลนั้นท่านอย่ามุ่งหมายมากมายอะไรกันนักแต่ต้องนั่งจดองค์อย่างนั้นองค์อย่างนี้ขาดหรือยังให้มันมากมายไปนักนั้นมันเป็นเรื่องที่หลังซึ่งทำให้ยุ่งยากมากขึ้นเป็นกลิ้งครกขึ้นภูเขาคำว่าศีลควรจะมีความหมายแต่เพียงว่าประพฤติดีแล้วและก็ใช้ได้กับศาสนาทุกชาติทุกภาษาทุกระบบของวัฒนธรรมในโลกนี้มีความประพฤติดีแล้วนี้เรียกว่าศีลมีความประพฤติดีแล้วคือไม่กระทบกระทั่งตัวเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนทางการกระทำภายนอกด้วยกายด้วยวาจานี้เรียกว่าศีล เมื่อเราให้ความหมายอย่างนี้แล้วคำว่าศีลก็จะสากลจนถึงกับใช้ได้ระหว่างชาติระหว่างโลกที่เดียวใช้ได้ตลอดโลกทั่วโลกนี้คำว่าสมาธินั้นควรจะมีบทนิยามแต่เพียงว่าสามารถบังคับใจของตนได้ตามต้องการขอให้ท่านทั้งหลายสนใจคำนิยามอย่างนี้ไว้เพื่อเข้าใจธรรมะถูกตรงและเพียงพอในการที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเพียงพอด้วยเหมือนกันคำว่าสมาธินั้นไปอ่านหนังสือเรื่องสมาธิดู อ่านตั้งเดือนก็ยังไม่จบไม่รู้ว่าอะไรในที่สุดแต่ใจความที่ถูกที่ตรงนั้นก็คือสามารถบังคับใจของตนได้ตามต้องการในการที่เราจะใช้มันให้ทำอะไรบ้างเดียวนี้เราไม่สามารถที่จะมีจิตใจที่จะใช้มันได้ตามที่ใจเราต้องการมันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้เสียเรื่อยนั้นคำว่าสมาธินั้นควรมีความมายของคำว่า(กรรมะนีโยนาทีที่๔๒.๓๗)ควรแก่การงานดังที่กล่าวแล้วแต่วันก่อนนี้เป็นหลัก คนเราทุกคนในโลกนี้ไม่สามารถบังคับใจของตัวเองได้ตามที่ต้องการหมายถึงในทางฝ่ายดี ฝ่ายที่คล้ายในความดีแต่ถึงแม้ในทางฝ่ายที่จะทำชั่วก็เถอะไม่ใช่มันจะได้อย่างใจเสมอไปใจมันเป็นอย่างนี้เองนั้นเราต้องมีการปฏิบัติระเบียบระบอบหนึ่งที่สามารถบังคับใจได้ตามต้องการจะฝึกที่ใดก็ได้ถ้าเราควบคุมใจอยู่ในอำนาจใช้มันได้ตามใจต้องการแล้วเรียกว่าสมาธิทั้งนั้นเพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิจึงเป็นของสากลอย่างยิ่งถึงที่สุดอีกอย่างเดียวกันคือใช้กับคนชาติไหนภาษาไหนวัฒนธรรมระบอบไหนก็ได้ไม่มีผิดเลยใช้ได้ทั้งนั้นที่นี้ก็มาถึงคำว่าปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มาถึงคำว่าปัญญาจะต้องย้ำความหมายของมันว่าเข้าใจทุกสิ่งอย่างถูกต้องทุกสิ่งนี้เราเอาเท่าที่มนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะว่าสิ่งใดไม่เอาเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็ไม่มีปัญหาไม่นึกถึงก็ได้แต่ว่าทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องนี้เราต้องเข้าใจมันอย่างถูกต้องนี้คือตัวปัญญาในพระพุทธศาสนาที่ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานไม่มีอะไรมากกว่านี้เลยขอให้ท่านเข้าใจทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้อย่างถูกต้องก็แล้วกันท่านจะแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ถึงที่สุดเดียวนี้เราไม่รู้ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส เหล่านี้คืออะไรกันแน่มีอะไรกันแน่คืออะไรโดยอะไรจากอะไรเราไม่รู้ทั้งนั้นแต่ว่าไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เสียเลยส่วนที่รู้นั้นรู้ผิดทั้งนั้นรู้ไม่ถูกเลยจึงมีค่าเท่ากับไม่รู้จึงรวบรัดพูดเสียว่าไม่รู้อย่างที่ถูกต้องรู้อย่างผิดๆนี้เท่ากับไม่รู้เพราะรู้ผิดถ้าเราสามารถรู้จากสิ่งที่มาเกี่ยวข้องทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งฝ่ายจิตใจคือว่าวัตถุที่จะมาเกี่ยวข้องเราและจิตใจคือความรู้สึกคิดนึกที่เกิดขึ้นเป็นประจำวันแก่ใจเราทั้งสองอย่างนี้เรารู้จักมันอย่างถูกต้องว่าคืออะไรจากอะไรเพื่ออะไรโดยอะไรแล้วละก็เรียกว่าเรามีปัญญาถึงที่สุดเพราะฉะนั้นจึงเป็นอย่างเดียวกันอีกที่ว่าสิ่งที่เรียกว่าปัญญานี้จะเป็นของสากลใช้ได้ทุกชาติทุกภาษาทุกศาสนาในวัฒนธรรมทุกระบบกระทั่งทุกโลกถ้าหากว่าจะมีหลายโลก นั้นท่านจะเห็นได้ว่าศีลสมาธิปัญญานี้สากลอย่างยิ่งไม่มีอะไรจะสากลไปกว่านี้แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้จริงรู้ยิ่งรู้ถูกจริงหรือไม่ขอให้เราคำนวณดูหรือว่าพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาสากลได้หรือไม่ช่วยตัดสินใจช่วยตัดสินกันอย่างยุติธรรมอย่าลำเอียงเลยพระพุทธศาสนาจะเป็นศาสนาสากลได้หรือไม่ในเมื่อว่างระบบของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวพุทธศาสนาไว้อย่างนี้เราเอาเพียง ๓ คือศีล สมาธิ ปัญญาไม่ต้องกระจายคือมรรคมีองค์ ๘ เวลาจะไม่พอท่านช่วยไปคิดดูว่าศีลมีความประพฤติดีแล้ว สมาธิสามารถบังคับใจได้ตามต้องการปัญญาเข้าใจสิ่งทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องนี้มันสากลไหม คือมันสากลสักเท่าไร สากลทั้งหมดใช่ไหม นี้ถ้าเราเอาหัวใจของพระพุทธศาสนาที่เป็นความหมายแตกออกไป ๓ ประการนี้มาใช้ได้เป็นเครื่องมือและก็ปัญหาทางชีวิตประจำวันในชีวิตประจำวันนี้จะหายไปเองมีความประพฤติดีแล้วบังคับใจตัวเองได้ถ้าใจสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างถูกต้องนี้เป็นหลักส่วนข้อปีกย่อยนั้นจะหาพบได้เองจะหาคำอธิบายได้เองในการประพฤติปฏิบัติมีหลักเพียงเท่านี้ที่ใช้ได้ไปทุกแขนงไม่ว่าเพื่ออยู่ในโลกนี้หรือเพื่ออยู่เหนือโลกก็ตามคือเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานก็ตามเพื่อมีความเจริญโดยทรัพย์ ยศไมตรีอย่างยิ่งอยู่ในโลกนี้หรือโลกสวรรค์ก็ตามมันไม่อาศัยหลักอื่นเลยอาศัยหลักเดียวกันแท้แต่อย่าลืมว่าทั้งสามสิ่งนี้มันมาจากความไม่เห็นแก่ตัวไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวจับอย่างที่กล่าวแล้วทั้งนั้นมันจึงเกิดอาการศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาได้โดยง่ายโดยตัวมันเองที่เราจะต้องนึกดูว่าการประพฤติที่เราบัญญัติกันว่าผิดหรือถูกนี้มันมีอะไรเป็นหลักจนถึงกับเกิดปัญหาว่าจะฆ่าเป็ดฆ่าไก่ขายนี้จะบาปไหมหรือมีปัญหาว่าทำนองนี้ว่าทำอย่างนี้จะผิดหลักศาสนาไหมอย่างนี้เป็นต้นในปัญหาชีวิตประจำวันนั้นคงจะลำบากยากใจอยู่ด้วยตัดสินผิดแน่หรือมันถูกแน่ว่ามันผิดหรือถูกแน่อยู่เป็นอันมากที่เดียวนั้นถ้าเราจะให้ปัญหายุ่งยากใจข้อนี้น้อยลงไปบางก็จะต้องรู้จักแบ่งแยกว่าไอ้ความผิดหรือความถูกนี้มันมีอยู่ ๒ ความหมายด้วยกันคือผิดหรือถูกโดยทางวินัยนี้อย่างหนึ่งผิดหรือถูกโดยทางธรรม ธรรมะนี้มันอีกอย่างหนึ่ง เดียวนี้เรากำลังพูดถึงจริยธรรมส่วนที่เป็นธรรมะไม่ได้ส่วนวินัยและมันก็ต้องถือส่วนธรรมะเป็นใหญ่และจะถือส่วนวินัยก็ได้ไม่ขัดกันเลยแต่เพื่อจะชี้ให้เห็นชัดนี้จึงได้แยกว่าผิดหรือถูกโดยส่วนวินัยนั้นมันต้องเอาตามที่ผู้บัญญัติวินัยได้บัญญัติไว้อย่าเอาอื่นเป็นหลักเลยแต่ถึงอย่างก็ดีพระศาสดาเหล่านั้นไม่ใช่เป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเข้าข้างตัวหรือตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมากมาย พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลศเลยนั้นสิ่งที่ท่านบัญญัติออกไปนั้นจึงเข้ารูปกันได้กับธรรมชาติเป็นส่วนมากหรือเป็นส่วนใหญ่หรือเหมาะสมแก่สังคมโดยวินัยผิดถูกโดยวินัยนั้นต้องตามที่พระศาสดาบัญญัตินั้นสิ่งที่เรียกว่าวินัยนี้มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำก็เป็น แมนเมด ทำด้วยมือของมนุษย์คือมนุษย์บัญญัติขึ้นเราจึงเรียกว่าศีลธรรมหรืออิฐทิ หรือ moralนาทีที่ ๔๙.๔๖ มันเป็นเรื่องมนุษย์ทำเราไม่เรียกว่าสัจธรรมเลยต่อเมื่อเป็นเรื่องของธรรมะเท่านั้นมันจึงจะเป็นธรรมชาติทำโดยธรรมชาติโดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไม่ใช่มือของมนุษย์ทำหรือบัญญัติเพราะฉะนั้นเราจึงเรียกว่าสัจธรรมนี้เราจะถือหลักผิดถูกกันอย่างไหนในวันหนึ่งๆซึ่งมีปัญหาอะไรก็ขึ้นที่โต๊ะทำงานก็ดีที่บ้านที่เรือนก็ดีหรือจะเดินเล่นอยู่ก็ดีเราจะรู้จักแยกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องของกฎหมายหรือวินัยหรือว่าเป็นเรื่องของธรรมะถ้าเป็นเรื่องระเบียบประเพณีขนบธรรมเนียมกฎหมายวินัยอะไรเหล่านี้แล้วเราก็ต้องเอาไปกฎหมายตามวินัยอย่าไปร้อนใจไปศึกษาจากคนที่รู้กฎหมายรู้วินัยรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ถ้ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องทางธรรมะละก็จะต้องศึกษาโดยเหตุผลตามหลักเกณฑ์ของธรรมะคือว่าเป็นไปเพื่อกิเลสโดยกิเลสหรือไม่ถ้าเป็นไปเพื่อกิเลสโดยกิเลสไม่ไหวแน่ หรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อกิเลสนั้นแหละจึงจะมีการไหลมาในทางฝ่ายถูกพอไม่มีกิเลสแล้วมันก็มีสติปัญญาเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น นั้นความถูกอยู่ที่ไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลสคือความยึดมั่นถือมั่นไม่มีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวว่าตัวกูว่าของกูนั้นเองนี้ถ้าเราจะต้องถามคนนั้นคนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลยนี้แหละว่าผิดนี้ผิดไหมนี้ถูกไหมนี้เป็นปัญหาชีวิตประจำวันอย่างนี้เรื่อยไปละก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนั้นควรจะมีหลักเกณฑ์ที่ตัดสินใจได้ตามลำพังตัวเองว่าผิดหรือถูกโดยอาศัยหลักอย่างนี้ อีกแง่หนึ่งจะต้องรู้จักคำว่าโดยธรรมชาติหรือที่โดยมนุษย์ทำที่มนุษย์ทำนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติเรามักจะเรียกกันว่า อาร์ตติฟิเชี่ยลคือมนุษย์มีความมุ่งหมายปรารถนาดีอย่างใดอย่างหนึ่งและประดิษฐ์สิ่งหรือวิธีการหรือกรรมวิธีอะไรขึ้นเหล่านี้อาร์ตติฟิเชี่ยล นี้ก็อย่างหนึ่งน่ะนี้ไม่ใช่ธรรมชาติแล้วมันจึงต้องต่างจากธรรมชาติเรามองให้เห็นชัดว่าธรรมชาติอย่างไรอาร์ตติฟิเชี่ยล อย่างไรอาตมายกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายๆสักเรื่องหนึ่งมันอย่างว่าหมอนหนุนศีรษะนี้หมอนยางมาใหม่ๆเป่าลมนี้อาตมาจะเรียกมันว่าอาร์ตติฟิเชี่ยล หมอนอาร์ตติฟิเชี่ยลหมอนที่เราใช้แต่โบราณคือตามธรรมชาติเดิมนั้นนี้ลองคิดดูซิว่าหมอนเป่าลมนี้กับหมอนเดิมๆที่เราเคยใช้มันต่างกันอย่างไรบ้างนั้นหมอนเป่าลมนี้ถ้ามันต่ำไปซ้อนกันสองลูกไม่ได้มันหล่นออกจากกันแม้หนุนลูกเดียวมันก็ผลุบไปผลุบมาบางทีมันกระโดดหนีไปเลยเป็นของที่น่าขบขันอย่างยิ่งอาร์ตติฟิเชี่ยล หมอนอย่างนี้ ถึงไม่เกิดแก่หมอนที่เราใช้กันอยู่ตามธรรมดาสามัญเลยลองคิดดูว่าโดยเนื้อแท้นี้เราควรจะมีระบบจริยธรรมเก่าที่เป็นไปตามธรรมชาติคล้อยตามธรรมชาติมากกว่าอย่าไปในพวกอาร์ตติฟิเชี่ยลเป็นระบบจริยธรรมใหม่แบบฝรั่งแบบไหนแบบชาติไหนก็ตามใจเถิดอย่าไปหลงใหลบูชาเข้านั้นจะตกมาฝ่ายอะไรอย่างหนึ่งซึ่งไม่เข้าล่องเข้าลอยกันกับธรรมะซึ่งเราก็รู้ดีเพราะความลุ่มหลงในวัฒนธรรมตะวันตกเราไม่ต้องกลัวเขาโกรธเราก็ไม่ได้ด่าเขาเพราะเค้ามีอยู่อย่างนั้นจริงๆข้อที่ไปนิยมระบบวัฒนธรรมตะวันตกนี้มันทำให้ปัญหาทางจริยธรรมหรือทางจริยศึกษานี้หรือศีลธรรมนี้เกิดขึ้นมากมายเช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นในประเทศเขาจนยุ่งยากจนสางไม่ไหวจนจะแก้ว่าจริยธรรมเป็นว่าศีลข้อ ๓ นี้ไม่มีในโลกด้วยซ้ำไป นี้ศีลขอกาเมสุมิจฉาจาราไม่ต้องมีในโลกด้วยซ้ำไปเป็นความจริงเป็นอย่างนี้จริงๆด้วยนี้เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ถ้าจะทำอย่างนั้นแล้วปัญหาชีวิตประจำวันจะเกิดขึ้นพลูไปหมดเหลือที่จะสางไหวเหมือนพวกเขาก็ประสบมาแล้วเหมือนกันเรามีพุทธศาสนาเป็นมิ่งขวัญใช้คำว่ามิ่งขวัญก็เข้าใจเอาเองว่าคุ้มครองทุกชนิดเราจะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้นี้เพียงแต่มีหลักเกณฑ์อย่างนี้เท่านั้นปัญหาชีวิตประจำวันที่พลูขึ้นแก่คนพวกโน้นจะไม่มามีแก่เราขอให้ตัดสินใจเสียให้แน่ว่าเราจะมีชีวิตประจำวันแบบไหนกันแน่ก็จะเอาแบบใหม่หรือเอาแบบเดิมของเรา เราจะมีการเป็นอยู่ประจำวันแบบไหนกันแน่แบบเดิมหรือแบบใหม่ของเขาอันนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นจนต้องมาบรรยายเรื่องนี้กันอย่างใหญ่โต ที่นี้เรามาพิจารณากันถึงปัญหาชีวิตประจำวันชนิดปลีกย่อยเฉพาะเรื่องไม่ใช่ปัญหาพื้นฐานเพราะถ้าเราจะมีธรรมะที่เหมาะสมแต่ชีวิตประจำวันของคนทุกชนิดทุกชั้นเราจะต้องรู้จักเราเองคือคนเราเองนี้ในลักษณะอย่างไรบ้างอาตมาได้กล่าวแล้วว่าถ้ากล่าวโดยพื้นฐานแล้วจริยธรรมก็มีสายเดียวใช้ได้แก่คนทุกคนทุกไวทุกเพศทุกวรรณะแต่ถ้ามาถึงขั้นส่วนที่เป็นปลีกย่อยเฉพาะคนเฉพาะเวลาแล้วเราก็ต้องพิจารณาคนเป็นพวกๆไปเหมือนกันเช่นเราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอแล้วว่ามีคนชั้นต่ำมีคนชั้นกลางมีคนชั้นสูงโดยวรรณะนี้มีคนชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูงอย่างนี้หลีกไม่พ้นบางคนเข้าใจผิดว่าพุทธศาสนาไม่มีวรรณะเอามาพูดอย่างนี้ผิดเรื่องไปแล้วก็ได้ พุทธศาสนาไม่มีวรรณะนั้นหมายถึงวรรณะโดยกำเนิดโดยบัญญัติสมมุติตามกำเนิดชาติที่เกิดมาจากพ่อแม่เป็นอย่างไรแล้วลูกต้องเป็นอย่างนั้นเช่นบัญญัติเป็นกษัตริย์เป็นพราหมณ์เป็นสูตรเป็นไวศยะเป็นแพทย์มาเกิดจากพ่อแม่เป็นอย่างไรแล้วก็จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้นนี้วรรณะตามแบบฮินดูหรือแบบพราหมณ์สมัยหนึ่งนั้นวรรณะอย่างนี้ในพุทธศาสนาไม่มีจริงไม่ย่อมรับโดยแน่นอนแต่วรรณะที่กล่าวเป็นชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูงโดยกรรมคือโดยการกระทำนั้นมีอย่างเต็มที่ในพุทธศาสนาดังที่กล่าวว่า กัมมัง สัตเตภะชะตินาทีที่๕๗.๒๓พระพุทธเจ้าว่ากรรมเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์การกระทำเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์ให้เป็นคนดีคนชั่ว ชั่วมาชั่วน้อย ดีมากดีน้อยนี้พอจะกล่าวได้ว่าเป็นชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูง ชั้นต่ำก็มีความทุกข์มากหรือมีกิเลสมากมีความชั่วมากชั้นกลางก็เบาบางไปชั้นสูงก็แทบจะไม่มีหรือไม่มีอย่างนี้เป็นต้นนี้เรียกว่าวรรณะโดยกรรมโดยการกระทำอย่างนี้มีอยู่ในพุทธศาสนาเราไม่อาจให้คนมีการศึกษาเท่ากันได้มีการกินอยู่ระดับการเป็นอยู่กินอยู่ดำรงชีพนี้เสมอเหมือนเท่ากันได้นั้นเป็นเรื่องแน่นอนเพราะว่ากรรมเป็นผู้จำแนกไม่ใช่เราจำแนกคือการกระทำของมนุษย์นั้นเองจำแนกมนุษย์ให้เป็นวรรณะอย่างนี้ถ้าอย่างนี้ก็ต้องมีธรรมะเป็นชั้นๆอย่างเดียวกันให้คนชั้นที่ต่ำที่เหนื่อยมากมีการศึกษาน้อยได้รู้ธรรมง่ายๆเข้าใจง่ายเข้าใจได้ทันทีและใช้ประพฤติปฏิบัติอยู่โดยไม่ให้ต้องเป็นทุกข์เหมือนกันตกนรกทั้งเป็นคนแจวเรือจ้างคนถีบสามล้อในระดับนี้ต้องการธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งข้อใดข้อหนึ่งที่เหมาะสมกับเค้าอย่างยิ่งเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาให้คงนิยมธรรมะและมีความสุขทางจิตใจอยู่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกเป็นทุกข์ทรมานหากมิฉะนั้นแล้วเขาจะเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อเขาทนไม่ไหวเขาก็จะต้องเลิกอาชีพสุจริตไปประกอบอาชีพทุจริตและเป็นภัยแก่สังคมโดยแน่นอนนั้นเราจะมีธรรมะเช่นความสันโดษเป็นต้นที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนทุกคนนี้เป็นต้นมาให้แก่เขาถึงแม้คนชั้นกลางชั้นสูงก็ยังจะต้องอาศัยธรรมะนี้ตามสัดส่วนอยู่เหมือนกันแต่เพราะมีสติปัญญามากอาจจะแก้ไขหาทางออกได้โดยวิธีอื่นแล้วจะมีธรรมะข้ออื่นบ้างที่แปลกออกไปนี้ถ้าเราจะเอาโดยไว้เป็นประมาณเราก็ต้องมีวัยเด็กเล็กๆเด็กอมมือนี้เด็กเล็กๆและก็มีวัยหนุ่มสาวและก็มีวัยพ่อบ้านแม่เรือนและก็มีวัยคนเฒ่าคนแก่อย่างนี้มันยิ่งต่างกันมากเพราะว่าได้เห็นโลกได้มีประสบการณ์ในโลกนี้น้อยกว่ากันมากที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้นั้นเราก็ต้องมีธรรมที่เหมาะสมแก่วัย ที่วัยนั้นๆที่จะพอรับเอาได้หรือเข้าใจได้ข้อนี้ท่านเขียนไว้ในอัตถะคาถาว่าขืนป้อนข้าวคำใหญ่ๆแก่เด็กที่ปากยังเล็กๆอยู่นี้มันก็ร่วงกระจายหมดและบางที่มันก็อันตรายแก่เด็กเข้าจมูกเข้าตามันเป็นเรื่องทำผิดนั้นมันจะมีวิธีที่จะคิดนึกให้ดีให้มีธรรมะสำหรับเด็กทั้งๆที่ได้กล่าวแล้วตลอดเวลาว่าธรรมะมีเพียงแนวเดียวสายเดียวคือความไม่เห็นแก่ตัวตนความไม่ยึดมั่นตัวตนนั้นแนวเดียวสายเดียวแต่เราเอามาย่อยให้เป็นรายละเอียดให้เหมาะแก่ชั้นได้เช่นเด็กๆก็ไม่เห็นแก่ตนอย่างที่เด็กๆควรจะมีเช่นไม่อิจฉาน้องไม่อิจฉาเพื่อนอย่างนี้เป็นต้นกระทั่งถึงรู้จักประพฤติปฏิบัติในทำนองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้นตามส่วนคนหนุ่มสาวมีปัญหาแปลกออกไปอีกเพราะว่าต่อมแกรนต่างๆทางวัตถุทางเนื้อหนังเจริญเต็มที่ขึ้นมาย่อมมีปัญหาโดยธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นต้องมีธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีกำลังมากพอที่จะหยุดที่จะบังคับความล้นของความรู้สึกต่างๆไว้ให้อยู่ในอำนาจมิฉะนั้นก็ต้องประกอบกรรมที่ไม่พึงปรารถนาโดยแน่นอน เหล่านี้เป็นต้น ที่นี้พ่อบ้านแม่เรือนหนักอึ้งอยู่เหมือนกับเป็นวัวลากแอก ลากไถอยู่กลางทุ่งนาตลอดเวลาเพราะมีภาระมากนอกจากภาระของตัวยังมีภาระของลูกหลานเหลนคนใช้คนในครอบครัวคนเกี่ยวข้องเจ้านายข้างบนคนต่ำข้างล่างมากมายก็จะต้องมีความอดกลั้นทนอดเป็นพิเศษพร้อมๆกันกับสติปัญญาที่จะระบายความอดกลั้นนั้นได้นั้นก็เป็นบ้าตายนี้ธรรมะก็มีให้เพียงพอในเรื่องนี้ นี้ถ้าเราคนแก่หง่อมแล้วเลิกกิจการงานในโลกแล้วยังรอวันที่จะแตกดับของสังขารนี้มักจะปั้มเป๋อนั้นจะมีธรรมะที่ป้องกันความปั้มเป๋อถ้าหากได้ประพฤติปฏิบัติในทางสมาธิภาวนาอยู่เป็นประจำแล้วอาการปั้มเป๋อจะไม่เกิดขึ้นให้เด็กๆลูกหลานเหลนนั้นหัวเราะอย่างนี้เป็นต้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในขั้นนี้นอกจากไม่ปั้มเป๋อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มีปัญญามั่นคงแล้วควรจะถึงขนาดที่ว่าเยอะเย้ยความตายได้ยิ้มรับหรือท้าสิ่งที่เรียกว่าความตายได้โดยที่ให้มีอาการเหมือนกับว่าความตายเข้ามากระทบในลักษณะของคลื่นกระทบฝั่งคือไม่มีความตายนั้นเองผู้ที่รู้ธรรมะในเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นดีแล้วก็หมดความรู้สึกที่ว่าเป็นตัวเราหรือของเรานั้นจึงไม่มีอะไรที่จะให้ความตายกระทบมันว่างไปหมดอย่างนี้นี้เป็นปัญหาชีวิตประจำวันของคนแก่ที่เตรียมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เขาเรียกกันว่าความตายแต่ที่แท้ไม่ใช่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ธาตุอายตนะปรกติธรรมดานั้นเองถ้ารู้อย่างนี้แล้วความตายไม่มีความตายก็ว่างผู้ที่จะตายก็ว่างที่นี้ถ้าเราจะดูกันถึงงานที่ทำเราจะมีกำลังงานที่ทำในขั้นของการศึกษาของการประกอบอาชีพของการเก็บเกี่ยวผลและบริโภคผลถ้าเราจะดูถึงหน้าที่ที่ผูกพันเราอยู่เราก็จะเห็นว่าเรามีหน้าที่รับใช้เขาหรือเรามีหน้าที่ถูกเขารับใช้เราเป็นผู้ดูแลเขาหรือเขาเป็นผู้เราถูกเขาดูแลเป็นต้นหรือถ้าจะพูดถึงอาการที่กำลังมีอยู่เราก็มีอาการของความเหนื่อยเหลือจะเหนื่อยก็มีเบื่อระอาก็มีเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีรู้สึกว่าจะต้องตายก็มี นี้อาการที่กำลังมีอยู่ปรากฏอยู่อย่างนี้ถ้าหากว่าไม่มีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วมันเป็นเรื่องตกนรกทั้งเป็นทั้งนั้นอาตมาจำเป็นจะต้องใช้คำว่าตกนรกทั้งเป็นมันจะหยาบคายไปบางก็ต้องขออภัยแต่ว่ามุ่งหมายถึงข้อที่มันมีลักษณะเป็นความทดทรมานในความหมายเดียวกันกับคำว่านรกความเบื่องานความเหน็ดเหนื่อยต่อการงานนี้ถ้าเราไม่มีธรรมะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้แล้วมันจะเป็นการเหนื่อยเอาจริงๆและเบื่อจริงๆทำไม่ไหวจริงๆและความเจ็บไข้ต่างๆก็จะเป็นภัยใหญ่โตมหาศาลเท่าภูเขาเหล่ากาไปจริงๆแต่ถ้าเรามีธรรมะถูกต้องตามวิธีของพระพุทธเจ้าแล้วในโลกนี้จะไม่มีความเบื่อจะไม่มีความเหนื่อยความเจ็บไข้จะไม่มีความตายอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นต้นท่านต้องรู้จักแยกว่าส่วนเนื้อหนังทางกายนั้นเป็นอย่างไรทางจิตทางวิญญาณนั้นเป็นอย่างไรมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรถ้าแยกออกจากกันได้และไม่ถือว่าส่วนไหนเป็นตัวกูของกูแล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่มีคือความเหนื่อยความเบื่อนี้จะไม่มีในความรู้สึกเมื่อเหนื่อยนอนเสียก็แล้วกันตื่นมาก็หายทางกายทางใจมันมีธรรมะมันไม่รู้จักเหนื่อยมีสติปัญญาถูกต้องไม่ต้องเบื่อไม่ต้องรู้สึกเบื่อต่ออะไรไปเบื่อให้มันรำคาญใจทำไมเฉยหรือว่างอยู่ก็แล้วกันเป็นสติปัญญาอย่างยิ่งความเจ็บไข้นี้ถ้าฉลาดพอแล้วมันน่าหัวเราะมากกว่าที่น่ากลัวแต่เราก็หัวเราะไม่ออกเพราะว่าเราไม่มีความรู้ทางธรรมะนี้อย่างเพียงพอแต่โดยเนื้อแท้ของธรรมชาตินั้นก็มีมาให้สำหรับทำให้เราเกินกว่าที่จะหัวเราะได้เสียอีกที่นี้แม้ที่สุดแต่ว่าปัญหาที่เราชอบพูดถึงกันอยู่บ่อยๆปัญหาทางการประหยัดปัญหาทางการพัฒนาที่เป็นที่ต้องการของรัฐบาลอย่างยิ่งนี้อาตมายืนยันว่าถ้าไม่อาศัยธรรมะเข้ามาช่วยแล้วเป็นไม่มีทางเป็นไปได้มีแต่ผักชีโรยหน้าเล่นละครตลกไปทั้งนั้นไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลยถ้าเราควบคุมตัวกูของกูไม่ได้แล้วไม่มีทางประหยัดอะไรได้ ประหยัดช่องนี้ไว้ได้มันไปมีช่องโหวใหญ่มหาศาลที่อื่นรั่วเป็นพลูๆไปที่เดียวมันไม่มีทางจะประหยัดได้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางเนื้อหนังนี้ถ้าไม่เกิดความลุ่มหลงมั่วเมาแล้วไม่มีใครกั้นมันอยู่มันรั่วพลูๆไปที่เดียวนั้นเราจะต้องมีธรรมะชนิดที่เพียงพอทำให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร อะไรผิดอะไรถูกอะไรดีอะไรจริงอะไรไม่จริงอะไรจริงแท้อะไรจริงไม่แท้เราจึงจะควบคุมตัวเราได้และมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องและควบคุมมันได้ให้เกิดการประหยัดจริงเกิดการพัฒนาจริงและการประหยัดจริงพัฒนาจริงรูปนี้สนุกอย่างยิ่งที่อาตมาใช้คำว่าสนุกอย่างยิ่งนี้ไม่ใช่ว่าพูดเล่นพูดอย่างที่มองเห็นและมีเหตุผลหากแต่ว่าเหลือวิสัยที่จะพิสูจน์ในเวลาน้อยอย่างนี้เท่านั้นแต่ขอให้ใช้หลักเดียวกันกับที่ว่าถ้าจิตว่างแล้วงานเป็นสุข การงานเป็นสุขภาระหน้าที่ต่างๆเป็นสุขถ้าจิตวุ่นแล้วการงานหรือภาระหน้าที่ต่างๆเป็นนรกทั้งเป็นคือมีความทุกข์อย่างยิ่งนั้นเอง นี้อย่าลืมที่กล่าวมาทีแรกว่าทางนี้สายเดียวสำหรับบุคคลผู้เดียวสำหรับเดินสู่จุดหมายปลายทางอย่างเดียวนั้นมันไม่มีอย่างอื่นนอกจากธรรมะที่เป็นไปเพื่อว่างจากตัวตนแยกออกมาเป็นธรรมะปลีกย่อยต่างๆได้สารพัดอย่างเราจะต้องไม่ยึดถือตัวตนนั้นจึงจะระอายแก่บาปได้หรือว่ากลัวบาปได้ที่จะรักษาศีลได้สำเร็จที่จะมีขันติหรือจะมีสันโดษหรือจะมีอะไรได้นี้ในที่สุดเราก็มาถึงสิ่งที่ยืนยันอยู่เสมอว่าชีวิตประจำวันนี้จะต้องเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามหลักของอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงได้กล่าวแล้วแต่วันก่อนว่ามีอยู่อย่างไรจะเป็นความถูกต้องอย่างไรเป็นตัวแท้ของจริยธรรมอย่างไรถ้ามีสัมมาทิฐิถูกต้องแล้วจะเป็นเด็กสัมมาทิฐิเป็นหนุ่มสาวสัมมาทิฐิเป็นคนแก่สัมมาทิฐิเป็นพ่อบ้านแม่เรือนสัมมาทิฐิแก่สัมมาทิฐินี้มันมาในรูปนี้ทั้งนั้นมีสัมมาทิฐิเป็นเครื่องคุ้มครองไปหมดมีลูกจ้างสัมมาทิฐิมีนายจ้างสัมมาทิฐิมีผู้ใหญ่สัมมาทิฐิมีผู้น้อยสัมมาทิฐิมีผู้ปกครองประเทศสัมมาทิฐิราษฎรสัมมาทิฐิมักจะมีเทวดาหรือพระภูมิเครื่องคุ้มครองสักทีก็ขอให้มีสัมมาทิฐิอย่าให้เป็นมิจฉาทิฐิอะไรๆก็ขอให้เป็นสัมมาทิฐิคนชั้นกลางชั้นต่ำชั้นสูงอะไรก็ตามต้องตั้งอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฐิเสมอกันหมดและสัมมาทิฐินี้จะช่วยให้เขาแก้ปัญหาเฉพาะปัญหาในครัวปัญหาบนเรือนปัญหาข้างล่างปัญหาที่ตลาดปัญหาที่ออกฤทธิ์ปัญหาที่อะไรต่างๆได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฐินั้นเอง อย่าได้ลืมที่อาตมาได้เคยกล่าวมาบ้างแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัมมาทิฐิ สะมาทานาสัมมาทุกขังอะปัจจะกุงนาทีที่๗๐.๑๙ล่วงพ้นทั้งหลายทั้งปวงได้ด้วยสัมมาทิฐิ ทั้งนี้ก็เพราะว่าสัมมาทิฐิมันเป็นตัวนำตัวจูงเป็นตัวเหตุอย่างยิ่งของจริยธรรมทั้งปวงคือเป็นเหตุให้สัมมาอีก ๗ สัมมาคือสัมมาสังกะโปวาจาเป็นต้นไปเกิดขึ้นมาได้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ถึงที่สุดนี้ก็เป็นเหตุให้เราเข้าใจธรรมะปลีกย่อยทุกข้อได้ถึงที่สุดโดยไม่ต้องเรียนในโรงเรียนเลย โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียนนักธรรมก็ได้แต่ขอให้มีสัมมาทิฐิเท่านั้นมาจากการสังเกตเป็นส่วนใหญ่การพินิจพิจารณาอยู่เรื่อยๆไปจะรู้สัมมาทิฐิจะรู้จักสัมมาทิฐิจะมีสัมมาทิฐิเพิ่มขึ้นทุกวันเข้าที่อายุเพิ่มขึ้นนั้นเมื่อเด็กๆโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวตามลำดับนี้อย่าได้เถลิงลืมตัวจนถึงกับว่าสัมมาทิฐินี้เข้ามาไม่ได้เข้ามาไม่ไหวมันเป็นมิจฉาทิฐิประดังกันเข้ามานี้สัมมาทิฐิก็เข้าไม่จุมันล้นอยู่ด้วยมิจฉาทิฐิอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสลดใจอย่างยิ่งน่าสมเพชอย่างยิ่งมันก็เป็นเรื่องของบิดามารดาก่อนแล้วจึงเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่จะทำให้สัมมาทิฐินี้มีพืชมีเชื้อที่ดีเพาะปลูกให้ดีและงอกงามเจริญไว้ตามขึ้นมาด้วยกรรมกาลเวลาตามที่ร่างกายจิตใจเจริญขึ้นจากเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนเฒ่าคนแก่เป็นชั้นๆไปที่เดียวมีสัมมาทิฐิเป็นแกนกลางอยู่ตลอดสายนั้นคือสิ่งที่จะให้เกิดเครื่องคุ้มครองป้องกันหรือสร้างความเจริญในปัญหาประจำวันของชีวิตเรา ที่นี้จะยกตัวธรรมะที่สำคัญในปัญหาชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับสัมมาทิฐิมาให้ดูสักอย่างหนึ่งคือความสันโดษก่อน ความสันโดษนี้ถูกเข้าใจผิดอย่างยิ่งและนมนานมาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ท้อถ้อยบ้างทำให้หยุดบ้างเป็นเครื่องถ่วงความเจริญบางนั้นมันเป็นความสันโดษชนิดอื่นไม่ใช่ความสันโดษของพระพุทธเจ้าเป็นความสันโดษของอวิชชาโมหะหรือของพญามารหรือภูตผีปีศาจแห่งอวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าถ้าหากว่าสันโดษนั้นเกิดเป็นเครื่องขัดขวางความเจริญขึ้นมาสันโดษของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องเป็นเครื่องมืออย่างยิ่งในการที่จะสร้างความเจริญที่แท้จริงขึ้นมาข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเป็นทรัพย์สมบัติอย่างยิ่งและสันโดษเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างยิ่งเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเป็นเสบียงอย่างยิ่งคำว่าสันโดษแปลว่ายินดีด้วยสิ่งที่มีอยู่นี้ตามตัวหนังสือแท้ๆ สะนี้แปลว่ามีอยู่ดุทถะ ดุทธิ แปลว่าความยินดี โดษถะนาทีที่๗๓.๐๒แปลว่าผู้ยินดีแล้ว สันโดษก็แปลว่าผู้ยินดีแล้วในสิ่งที่มีอยู่จริงอยู่ที่คำนี้มันตัวหนังสือนี้ทำให้อธิบายผิดได้มีอะไรแล้วก็ยินดีนั่งยินดีอยู่นั้นไม่ลุกไปไหนมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่แท้จริงนั้นท่านหมายถึงว่าความพอใจในสิ่งที่มีแล้วหรือทำเสร็จแล้วเป็นเครื่องอิ่มใจของบุคคลนั้นให้เขาเป็นผู้ที่มีอะไรเป็นเครื่องอิ่มใจอยู่เสมอนั้นฝรั่งเขาจึงว่าสันโดษแปลว่า คอนเทนเมนท์(contentment)นาทีที่ ๗๔.๔๑ท่านครูบาอาจารย์ก็เข้าใจดีว่าคอนเทนเมนท์มันมีความหมายถึงอะไรจะยกตัวอย่างดีกว่าที่กล่าวโดยตรงอย่างนี้เหมือนอย่างว่าเราปลูกต้นกุหลาบเพื่อจะเอาดอกนี้พอเราเตรียมดินเสร็จเท่านั้นก็ต้องสันโดษพอใจว่าเตรียมดินเสร็จพอเอาต้นปลูกลงไปก็ต้องยินดีว่าเราปลูกต้นลงไปแล้วเรารดน้ำก็ยินดีว่ารดน้ำแล้ว ๙ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วันเดือนหนึ่งก็ตามพอใจทุกวันเพิ่มขึ้นว่าความใกล้เป็นดอกมันใกล้เข้ามาแล้วความเป็นดอกมันใกล้เข้ามาแล้ววันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วันก็มีความอิ่มใจยิ่งขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงวันที่ดอกกุหลาบบานก็ยินดีถึงที่สุดอย่างนี้เป็นต้นนี้ถ้าไม่มีสันโดษเพียงแต่ว่าเตรียมดินเสร็จมันก็ยังมืดมัวเต็มที่ไม่มีความพอใจบางทีก็สะบัดก้นลุกขึ้นไปเป็นเหตุให้ไม่สนใจที่จะปลูกอย่างดีรดน้ำอย่างดีอะไรอย่างดีเพราะมันไม่สันโดษที่แรกที่สุดคือเตรียมดินบางที่มันตายเลยตั้งแต่วันปลูกนั้นน่ะใครเคยทำอย่างนี้บางก็ลองไปคิดดูเองเพราะว่าความที่ไม่รู้จักสันโดษนี้มันยังเป็นเรื่องเล่นสนุกเพราะว่าชาวนาที่ทำงานกลางแดดกลางฝนอยู่ในทุ่งนาฟันช่วยจอบนี้ไม่รู้ว่ากี่ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งจึงจะเสร็จเรื่องนาชาวนายากจนก็ต้องสันโดษทุกคราวที่ฟันดินอิ่มใจทุกคราวที่ฟันดินว่ามันเสร็จไปครั้งหนึ่งแล้วอิ่มอกอิ่มใจหัวเราะร่าเริงผิวปากเล่นอยู่เรื่อยตลอดเวลาที่เขาฟันอยู่ทุกทีเขาว่างมีสติปัญญามีความพอใจไม่ว้าวุ่นนั้นจะฟันกันกี่วันกี่เดือนมันก็ไม่มีความทุกข์เลยและเป็นคนร่ำรวยขณะที่ฟันดินข้าวยังไม่ได้ปลูกยังไม่ได้ออกร่วงสักทีพระพุทธเจ้าท่านว่าสันสุขขีปะระมังสุทังนาทีที่๗๖.๕๔ สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่งมันหมายความอย่างนี้ที่นี้ไม่ต้องพูดถึงชาวนาก็ได้ พูดถึงกรรมกรแจวเรือจ้างกรรมกรสามล้อก็ได้ถ้าเขาไม่สันโดษเขาจะละอาชีพนั้นไปทำอาชีพทุจริตเบียดเบียนสังคมนี้ถ้าเขาไม่สันโดษและก็ไม่ไปทำอาชีพทุจริตเบียดเบียนสังคมด้วยเขาก็จะต้องเริ่มเป็นโรคเส้นประสาททนทรมานเกินไปและเป็นโรคจิตและตายที่เขารอดชีวิตอยู่ได้เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสันโดษแท้ๆแต่เป็นคนอาภัพอับโชคอย่างที่เรียกว่าไม่มีใครเลียวแลไม่มีใครยกย่องไม่มีใครให้เกียรติกลับเห็นเป็นศัตรูไปเสียก็มีอย่างนี้ นั้นมันไม่ใช่สันโดษของพระพุทธเจ้าสันโดษที่แท้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นมิตรแก่มนุษย์อย่างยิ่งและท่านทั้งหลายจะต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างยิ่งจะเป็นเสมียนพนักงานก็ตามจะเป็นผู้บังคับบัญชาก็ตามต้องพอใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปมันจึงจะขยันทำมากขึ้นๆไม่เบื่อหน่ายไม่เกียจคร้านและไม่หงุดหงิดมีความพอใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่เสมอแม้แต่ในสิ่งที่ทำผิดเราทำอะไรผิดลงไปเราต้องสันโดษพอใจวันนี้ก็เป็นครูอย่างดีอย่างไปเสียใจอย่างไปปกปิดเป็นความลับอย่าซ้อนเร้นอย่าทำทุจริตอย่างอื่นเปิดเผยออกมา ว่าความผิดก็เป็นครูยิ่งกว่าถูกเพราะความถูกนั้นเกิดความสับเพร่าได้มากความผิดให้เกิดการสังเกตระมัดระวังได้มากเพราะฉะนั้นเรายินดีแม้แต่ความผิดยินดีรับโทษเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ให้คุณมากเหมือนกันที่นี้ทำให้คนเราซื่อตรงสุจริตเป็นสุภาพบุรุษเป็นอะไรต่างๆได้เพราะความสันโดษในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กำลังเป็นอยู่กำลังมีอยู่หรือกำลังเป็นไปนี้ท่านใช้ธรรมะข้อนี้ได้เพียงข้อเดียวนี้ได้เท่านั้นมันก็จะมีความสดชื่นสมกับคำว่าคอนเทนเมนท์เป็นความสดชื่นที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้สดชื่นหล่อเลี้ยงโลกให้สดชื่นที่นี้พวกกรรมกรขอให้สันโดษเพราะไม่ถือว่ากรรมเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์ไปต่างๆกันเขาจะยื้อแย้งนายทุนขึ้นมาจะเอาอย่างไรดีไหมมูลเหตุที่จะให้ลัทธิกรรมกรล้มนายทุนปัญหาอย่างเดียวของโลกในทุกวันนี้มันเป็นอย่างไงมันมาจากไม่สันโดษใช่หรือไม่นั้นถ้าสันโดษยังคุ้มครองโลกอยู่แล้วลัทธิอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้โดยที่คนสันโดษไปตามที่กรรมจำกัดจำแนกให้ว่าเป็นอย่างไร กัมมังกัตเตวิพะชะตินาทีที่ ๗๙.๔๖ เหมือนที่กล่าวแล้วนี้ต้องไม่ลืมนั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องสัมมาทิฐิในเรื่องของธรรมะต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสันโดษนี้ยังแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้เสียเกือบหมดแล้วไม่ต้องพูดถึงธรรมะอีกหลาย ๑๐ ข้อหลาย ๑๐๐ ข้อหรือหลาย ๑๐๐๐ ข้อที่เดียวซึ่งว่า ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ซึ่งหมายถึง ๘๔๐๐๐ ข้อแต่มันมีไว้เผื่อเลือกทั้งนั้นข้อเดียวเท่านั้นข้อเดียวอย่างเดียวเท่านั้นถ้าทำถูกต้องอย่างถึงที่สุดแล้วมีประโยชน์อย่างยิ่งอย่างที่กล่าวมานี้เองนั้นขอสรุปว่าถ้าเราเข้าใจสันโดษอย่างถูกต้องแล้วก็เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเหตุป้องกันไม่ให้ทำชั่วป้องกันไม่ให้เป็นบ้าตายและ๒ มันเป็นเหตุให้ทำงานสำเร็จถ้าไม่อย่างนั้นแล้วทำงานไม่สำเร็จเต็มที่และ ๓ เป็นเหตุให้รู้สึกรวยรู้สึกเป็นสุขอยู่ตลอดเวลาจะเอาอย่างไงกันอีกไม่ให้ผละไปทำชั่วไม่ให้เป็นบ้าและให้งานสำเร็จและก็ให้รู้สึกรวยว่ารวยและเป็นสุขอยู่ตลอดเวลานี้หวังว่าครูบาอาจารย์
ทั้งหลายคงจะนำไปคิดไปสนใจเป็นพิเศษว่าการจะนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมันไม่ได้อยู่ที่ท่านทั้งหลายไม่รู้เรื่องนี้เลยและมันไม่ได้อยู่ที่ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ แต่มันอยู่ที่ว่าท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ในรูปอื่นในความหมายอย่างอื่นซึ่งผิวเผินซึ่งผิดเลยอย่างเรื่องสันโดษเป็นภัยแก่สังคมบางอย่างนี้เป็นต้นนี้เข้าใจว่าสันโดษเป็นภัยแก่การเจริญของสังคมนี้มันเป็นความเข้าใจผิดและท่านหลงผิดไปตามมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครช่วยได้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ว่าไว้อย่างนี้ยังมีธรรมะอย่างอื่นอีกมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะหมวดสัจจะธรรมะขันติ จาคะหรือฆราวาสธรรมนั้นมันวิเศษอย่างยิ่งที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการได้อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะบรรยายยังจะยืนยันว่าไตรลักษณ์คือเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ได้ยินแล้วง่วงนอนทันทีนั้นยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นไปอีกแต่แล้วก็ไม่มีเวลาพอที่จะบรรยายให้เห็นชัดได้จึงต้องขอยกไปไว้วันอื่นหรือแม้แต่ธรรมะข้อเดียวซึ่งอาตมาตั้งชื่อเอาเองว่าที่เรียกว่าไตรลักษณ์เรียกว่าเอกลักษณ์ก็ได้ลักษณะเดียวเท่านั้นคือสุญญตานี้จะแก้ปัญหาหมดทั้งโดยพื้นฐานและข้อปลีกย่อยที่รวมความแล้วก็คือว่าการเป็นอยู่โดยถูกต้องนั้นแหละเราจะต้องมีคือสัมมาทิฐิเป็นหลักของการเป็นอยู่โดยถูกต้องจะมีศีล สมาธิ ปัญญาที่สมบูรณ์จะเข้าใจธรรมะต่างๆถูกต้องจนสามารถเอาธรรมะเพียงข้อเดียวมาแก้ปัญหาได้ทั้งหมดหรือในที่สุดก็จะดิ่งไปสู่ความลึกที่เฉียบแหลมเข้าใจสิ่งต่างๆได้ลึกซึ้งถึงกับว่าเมื่อธรรมะก็มีข้อเดียวสายเดียวแนวเดียวเป็นของบุคคลเดียวเดินไปสู่จุดหมายแห่งเดียวละก็ทำไมท่านไม่คิดบ้างว่าเราควรจะเห็นตามที่เป็นจริงว่าแม้แต่มนุษย์ก็มีคนเดียวแม้แต่ศาสนาก็มีศาสนาเดียวจุดหมายปลายทางของมนุษย์ก็มีแต่จุดเดียว เชื่อว่ามนุษย์ก็มีคนเดียวนี้หมายถึงว่าถ้าเรามองดูมนุษย์ในแง่ของความทนทุกข์ทรมานแล้วเหมือนๆกันหมดถูกโลภะ โทสะ โมหะเบียดเบียนย้ำยีเหมือนกันหมดมีตัวกูของกูที่ทำให้เป็นนรกทั้งเป็นขึ้นมานี้เหมือนกันหมดนั้นเราควรจะรักกันเหมือนกับคนๆเดียวซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเมตตา กรุณาได้โดยง่ายถ้าท่านขี้โมโหแก่เด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์หรือเพื่อนบ้านอะไรก็ตามข้อให้นึกถึงข้อนี้ นั้นข้อที่ว่าท่านก็คือฉัน ฉันก็คือท่านคือคนๆเดียวกันนี้มีความหมายอะไรๆเหมือนกันหมดจะมองในแง่สมมุติหรือแง่ปรมัตถ์ก็มันคนเดียวกันเรื่อยไปในทางโลก ในทางโลกียะนี้เรามองเขาเป็นเพื่อนในฐานะเกิด แก่ เจ็บ ตายกันก็ได้แล้วก็เลยเป็นคนๆเดียวกันเหมือนกันหมดเป็นว่าโลกนี้ทุกโลกนี้มีมนุษย์เพียงคนเดียวมันจึงรักกันเท่าที่เราสามารถรวมเป็นคนๆเดียวมีเมตตากันมากถึงอย่างนี้มีศาสนาเดียวก็หมายความว่าทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหมายจะทำลายว่าความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูด้วยกันทั้งนั้นเราอย่าไปเพ่งที่ข้อปลีกย่อยต่ำๆเตี้ยๆฝอยมูลฝอยของศาสนาเราไปเพ่งเล็งถึงตัวแท้ของศาสนาเถิดมันจะพบว่าเป็นจุดเดียวกันตรงที่เขาก็ล้วนแต่มุ่งหมายแต่จะทำลายสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูคือก็เห็นแก่ตัวนี้กันทั้งนั้นแม้ว่าเขาจะไปบัญญัติผลแห่งการทำอย่างนั้นเสร็จแล้วเป็นตัวกูอย่างอื่นขึ้นมาอีกเป็นอาตมันบริสุทธิ์ถาวรขึ้นมาอีกไม่เป็นไร เขาอยากจะเรียกอย่างนั้นก็ตามใจเขาเราก็ปฏิบัติตามที่เขาสอนเพื่อให้เข้าถึงความเป็นอย่างนั้นก็ล้วนต้องให้ทำลายการเห็นความสุขแก่เนื้อหนังความเห็นแก่ตัวทางเนื้อหนังทางวัตถุที่เป็นอันตรายนี้เสียก่อนและก็น้อมไปสู่เรื่องทางจิตใจนี้สูงขึ้นไปให้มีความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั้นสิ้นไปไม่เหลืออยู่หรือไม่แสดงอยู่แล้วก็ได้นี้เรามีศาสนาเดียวอย่างนี้และจุดหมายปลายทางก็คืออย่างนี้อยู่โดยไม่มีความวุ่นวายมีแต่ความว่างความสะอาดความสงบด้วยกันทั้งนั้นนี้ปัญหาชีวิตประจำวันมันก็มีหลักอย่างนี้หลักพื้นฐานทั่วไปมันก็มีหลักอย่างนี้ขอให้เข้าใจแนวสังเขปดังที่กล่าวมาแล้วนี้ให้เข้าใจเสียก่อนจึงจะเรียกว่าเข้าใจวิธีที่จะใช้ธรรมะหรือจริยธรรมในปัญหาชีวิตประจำวันได้ในลักษณะที่ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายจะใช้มันได้เองเหมือนอย่างเราจะเรียนความรู้อะไรสักอย่างอย่างเรียนภาษาอังกฤษอย่างนี้เราจะต้องเรียนจากครูบาอาจารย์ถึงขนาดที่ว่าขอให้เรียนเองได้เสียก่อนพอต่อไปนั้นก็เรียนเองได้เท่าที่อาตมานำมาบรรยายเท่าที่ท่านทั้งหลายอาจจะเอาไปเรียนเองได้ไปค้นคว้าดูเองจัดระบบได้เองแล้วดำเนินได้ด้วยตนเองอาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ลงก็หมดเวลาเพียงเท่านี้ (โฆษกหญิง )ธรรมบรรยายในการอบรมของชุมนุมส่งเสริมจริยศึกษาชุดนี้ท่านก็คงทราบแล้วว่าท่านอาจจะเขียนคำบรรยายคำถามของท่านลงในบัตรหรือแผ่นกระดาษที่ท่านอ่านขอได้จากเจ้าหน้าที่ที่อยู่สองข้างของหอประชุมนี้ หรือท่านจะเขียนลงในแผ่นกระดาษของท่านเองก็ได้แล้วก็มอบให้เจ้าหน้าที่หรือถ้าท่านจะออกมาถามคำถามที่ท่านต้องการจะตอบในทันทีนี้ก็ได้แต่ว่าในขณะนี้ก็ขอให้ท่านพระราชชัยยกวีท่านได้พักสักเล็กน้อยก่อนต่อจากนั้นก็ขอเชิญให้ท่านออกมาถามได้สองสามคำถามดิฉันของเวลาอีกสัก สองสามนาทีจะอ่านคำถามถวายพระคุณเจ้าให้ท่านอธิบายต่อไป ขอความกรุณาพระคุณเจ้าโปรดอธิบายคำสมรสทางวิญญาณเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งอีกสักหน่อยเราควรจะถือธรรมะข้อใดเพื่อให้เป็นสิ่งจรรโลงใจสำหรับความมีจิตใจสูงดังกล่าวนี้ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิ่งนาทีที่๘๖.๕๗ ถึง๘๘.๓๒ คำๆนี้อาตมากล่าวถึงหรือสรรค์มากล่าวก็เพื่อจะให้เข้าใจเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เข้าใจความหมายของคำว่าอะไรๆก็ทางวิญญาณเท่านั้นเองเพื่อจะให้เข้าใจในข้อที่ว่าส่วนลึกในทางจิตใจนั้นมันมีอยู่อีกส่วนหนึ่งเสมอไปไม่ว่าคำไหนในภาษาที่เราพูดจะพูดถึงอะไรกริยาอาการอย่างไรคือมนุษย์เราทำกันอยู่นี้เราอาจจะแสวงหาความหมายในด้านลึกในทางจิตทางวิญญาณได้ แต่ที่เราแสวงอย่างนั้นก็เพื่อว่าเราจะค้นพบวิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะทำให้ไม่เป็นทุกข์หรือเป็นทุกข์น้อยได้ผลดีกว่าอย่างว่าสมรสทางวิญญาณนี้ก็เพื่อจะล้อเลียนการสมรสทางวัตถุทางเนื้อหนังทางร่างกายการสมรสทางเนื้อหนังทางร่างกายนี้อาตมาไม่ต้องอธิบายอยากจะขอชี้ตรงที่ว่าการสมรสทางร่างกายนั้นทำไมต้อฮือๆแฮๆกันอยู่บ่อยๆทำไมบางที่ไม่ดูหน้ากันสัปดาห์แต่ความสมรสทางวิญญาณนั้นไม่มีอาการอย่างนี้เลยเพราะว่าเป็นเรื่องของจิตของวิญญาณแล้วประกอบอยู่ด้วยสติปัญญาไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสตัณหาเลยก็ได้กล่าวมาแล้วว่าจิตแท้นั้นคือความว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูเพราะฉะนั้นมีจิตใจตรงกันในข้อนี้ได้เพราะมันมีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูแล้วมันยากที่จะตรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จึงจะอาศัยความรักทางกิเลสมาเป็นเครื่องประกันอย่างนี้มันไปไม่รอดดังที่เห็นๆกันอยู่แต่ถ้าอาศัยความรักในทางจิตทางวิญญาณคือสัมมาทิฐิเป็นต้นนี้มันไปได้ และควรจะเข้าใจว่าสะมะนี้แปลว่าเสมอคำว่ารสนั้นแปลว่ารสหรือเทศอย่างหนึ่งและอย่างหนึ่งภาษาบาลีคำนี้แปลว่าหน้าที่หรือกิจก็ได้คำว่ารสแปลว่ากิจหรือหน้าที่ก็ได้สะมะระสะ นี้แปลว่ามีรสเสมอกันก็ได้มีกิจมีหน้าที่เสมอกันก็ได้ในทางวิญญาณเรามีรสเสมอกันคือเพ่งเล็งถึงธรรมะที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่เสมอกันเช่นว่าความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ถ้าคนสองคนเกิดมีความเห็นตรงกันนี้หรือว่าทุกคนก็จะต้องมีความเห็นตรงกันว่าเสียสละแก่ผู้อื่นนี้ประเสริฐแล้วก็ร่วมมือร่วมใจกันทำงานอันนี้อย่างยิ่งในทางเสียสละไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยจนลืมเรื่องของการสมรสทางวัตถุทางร่างกายก็ได้และไม่มีกระทบกระทั่งเพราะไม่ตั้งอาศัยอยู่บนเหยื่อคือรูป เสียง กล่น รส สัมผัสนั้นเองนั้นถ้าทำไปได้ดีมันมีความเพลิดเพลินทางธรรมมากพอที่จะกลบเกลื่อนความอาลัยอาวรณ์ในเรื่องทางวัตถุหรือทางร่างกายได้ดีและถ้าคนเราในโลกนี้นิยมอะไรๆก็ทางวิญญาณอย่างนี้แล้วความทุกข์ยากลำบากไม่เกิดขึ้นในโลกและคนเราก็จะไม่เป็นโรคทางจิตทางประสาทมากเหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่นี้มันจะทำให้โลกนี้น่าอยู่น่าดูงดงามตามทางธรรมตามที่แท้จริงไม่ใช่งามหลอกๆนี้ยิ่งขึ้นได้เป็นอันมากนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าไม่มีความลับมีความจริงที่ลึกลับอยู่บางอย่างของวัตถุนี้มีอยู่ถ้าเรามองลึกลงไปแล้วเราอาจจะพบ ถ้าเราอาจไม่ไปเสียเวลาลำบากมากยุ่งยากมากอะไรกันในโลกนี้จนรบราฆ่าฟันกันไม่หยุดถ้าข้าศึกทั้งสองฝ่ายปรปักษ์ทั้งสองฝ่ายเกิดมีความเห็นที่เป็นธรรมะเพียงขอเดียวนี้เท่านั้นแหละก็สมรสกันได้เลยไม่เอาปืนเข้าใส่กันไม่เอาปรมาณูเข้าใส่กันและก็เกิดบูชาอุดมคติของความดีความจริงความงามความยุติธรรมความถูกต้องเข้ามาแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ที่นี้พอตกอยู่ใต้อำนาจของวัตถุต้องการอำนาจของวัตถุที่จะดลบันดาลทางวัตถุมันก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องเบียดเบียนกันไม่มีวันสิ้นสุดนี้จึงชี้ความหมายของการสมรสทางวิญญาณอะไรขึ้นมาในที่วันนั้นอาตมาพูดถึงคาถาของผู้ที่จะเรียนพระไตรปิฎกก็หมายความว่าพระไตรปิฎกนี้มันหลายๆหน้ากระดาษมากคือว่า ๔๕ เล่มเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าเล่มละ ๕๐๐ หน้านี้ถ้าจะเรียนมันให้หมดมันจะกินเวลานานเท่าใดก็ยังมีอัตตะทะคาถาอีกเท่าๆกันและยังมีฎีกาอีกเกือบเท่าๆกันอย่างนี้ถ้าจะเรียนให้จบมันจะต้องกินเวลาความอดทนสักเท่าไรนั้นท่านจึงแนะว่าให้สมรสกับวาณีเสียก่อนวาณีก็แปลว่าเป็นชื่อของนางฟ้าซึ่งหมายถึงพระไตรปิฎกซึ่งหมายความว่าข้อๆธรรมะในพระไตรปิฎกนี้ถ้าใครเข้าถึงคนนั้นก็จะหลงใหลอย่างกับหลงใหลนางฟ้าที่พวกชาวบ้านหลงใหลกันนักนั้นก็เหมือนกันและการที่สนใจอย่างยิ่งเพลิดเพลินอย่างยิ่งเกี่ยวกับการศึกษาแบบนี้เรามีความหมายว่ามันมีรสอย่างเดียวกันมีรสเสมอกันจึงเรียกว่าสมรสและที่สุดท้ายที่พูดถึงสุญญาตาว่าเป็นนางสาวนั้นจะเรียกว่าเป็นหนุ่มก็ได้จะเรียกว่าเป็นนางสาวก็ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่สดชื่นเสมอไม่มีการเปลี่ยนแปลงมันเป็นภาวะที่สดชื่นเสมอเป็นอินเธอนิตี้ ฝรั่งคนหนึ่งเขาเข้าใจถูกหรือย่างไรขึ้นมาไม่ทราบเป็นภาพอินเธอนิตี้นี้เป็นภาพนางสาวสวยที่สุดเคยตีพิมพ์ในหนังสือบริจจิท บรุคดอสนาทีที่ ๙๕.๐๕ที่ลอนดอนหลายปีมาแล้วเขาคงไปได้เคล้าเงื่อนมาอย่างเดียวกันคือเรื่องว่า อินเธอนิตี้นั้นจะต้องสาวเสมอคือเป็นที่พอใจอย่างยิ่งไม่มีอะไรเปรียบเสมอไปไม่มีตั้งต้นคือเกิดและไม่มีสิ้นสุดคือดับลงอย่างภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่าปัจจุบันธรรมเป็นปัจจุบันเรื่อยก็หมายความว่าสดชื่นเรื่อยเป็นชีวิตแท้เป็นชีวิตจริงแท้นี้คือความหมายของสิ่งที่เรียกว่าว่างจากการมีตัวตนว่างจากการปรุงแต่งให้วุ่นไปหมดว่างจากสิ่งสกปรกเศร้าหมองเข้ามาฉาบทาจะเรียกว่าสะอาดสว่างสงบหรือเรียกว่าอะไรก็ได้เป็นความว่างอย่างยิ่งถ้าจิตใจของใครเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันพอใจความเป็นอย่างนี้มีรสเสมอกันก็หลงใหลพอใจเหมือนกับคู่สมรสกำลังพอใจต่อกันอย่างยิ่งอย่างนี้ก็คืออุปมาไม่ใช่อะไรอื่นอุปมาของคำว่าการสมรสในทางวิญญาณไม่มีอะไรมากไปกว่าที่จะยกตัวอย่างให้เข้าใจความหมายของคำที่เราอาจจะเล็งกันในแง่ของวัตถุก็ได้ ทางกายนี้ก็ได้หรอเราจะเล็งกันในแง่ของวิญญาณซึ่งเป็นที่ตั้งของธรรมะอย่างยิ่งก็ได้นี้ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์นี้เกิดสมรสกันได้กับสปิริตหรืออุดมคติของความเป็นครูของปูชนียบุคคลขึ้นมาจริงๆแล้วอาจจะลืมคู่สมรสทางฝ่ายร่างกายก็ได้จึงได้ยกตัวอย่างอย่างนี้มา(โฆษกหญิง นาทีที่๙๘.๑๔ ถึง )ดิฉันขอเรียนเกี่ยวกับกำหนดธรรมบรรยายในครั้งต่อๆไปเพื่อเตือนความจำวันจันทร์ที่ ๒๒ กับวันพุธที่ ๒๔ มีการบรรยายตามเวลาตามปรกติคือ ๑๖ นาฬิกาวันพฤหัสที่ ๒๕ติดกันเลยกันวันที่ ๒๔ นั้นมีการบรรยายครั้งสุดท้ายท่านพุทาสภิกขุจะได้นำภาพนิ่งมาฉายให้ดูด้วยท่าผู้ใดยังมีปัญหาขอได้โปรดเขียนส่งให้เจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ร่วมรวมส่งให้ท่านได้ประมวลมาเป็นคำตอบตามการบรรยายต่อไปมีผู้เสนอขอทราบประวัติท่านผู้บรรยายขอเรียนให้ทราบว่าคุณสะอาด วัชราภัยได้เขียนไว้และมีหนังสืออยู่ที่ร้านสุวิชชาญก่อนมีความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนทำและได้รับผลแบ่งปันจากนายจ้างแต่นายจ้างหรือคนที่รวยแล้วไม่ได้คำนึงถึงความลำบากของกรรมกรสถานะหรือสภาวะของโลกบีบคั้นมากขึ้นถือสันโดษก็ไม่พอเฉลี่ยกันกินในครอบครัวของกรรมกรอย่างนี้รูสึกจะฝืนจิตใจปุถุชนในอันจะทนสันโดษต่อไปอย่างธรรมะขอใดจะช่วยทางนายจ้างหรือนายทุนได้ไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจุดวุ่นวายเริ่มต้นที่ตรงไหนสันโดษหรือธรรมะข้ออื่นควรเข้าแทรกที่ตรงไหนจึงจะไม่ยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่ในบางประเทศ ด้วยหน้าของสันโดษหรือธรรมะชื่อสันโดษนี้ไม่ได้กินความกว้างไปถึงแก่แก้ปัญหาที่นอกแนวแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะใช้ได้ข้อแรกต้องเป็นว่าความสันโดษนี้จะต้องใช้ในการที่สัตว์ทั้งหลายจะต้องเป็นไปตามกรรมเสียก่อนคือว่าคนเรานี้จะต้องยอมรับความต้องเป็นไปตามกรรมเพราะว่ากรรมนั้นคือสิ่งที่ตนกระทำเมื่อสิ่งที่ตนกระทำนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของตนทางกำลังกายทางกำลังสติปัญญาหรือคุณธรรมอย่างคือนั้นมันจึงเต็มที่ได้พียงสมรรถภาพของเขามีอยู่ที่เรามองเห็นชัดว่าเป็นไปตามธรรมอย่างนี้เขาก็พอใจนะ นี้ว่ากรรมกรเขามีสมรรถภาพเพียงเท่านั้นแล้วจะให้นายจ้างให้ประโยชน์ทดแทนเกินกว่าสมรรถภาพนี้มันก็เป็นไปไม่ได้มันก็ยุติธรรมแล้วกรรมกรก็ควรจะสันโดษผู้นั้นจะสันโดษถ้าเท่านั้นมันยังไม่พอเลี้ยงครอบครัวก็ต้องปลีกหนีไปในทางที่ดีขึ้นอย่างอื่นก็แล้วกันหรือเปลี่ยนไปหางานที่มันเหมาะสมกับสมรรถภาพของตนนี้นั้นก็ได้อย่างนี้ก็เรียกว่ามีสติปัญญาหรือมีสันโดษที่จะแก้ปัญหามุทะลุดุดันตามอำนาจของกิเลสได้ส่วนเรื่องทางฝ่ายนายทุนนั้นอาตมาไม่รับจ้างด่าท่านทุนเพราะว่าขืนพูดไปมากเดียวก็จะมีเรื่องเข้าใจผิดแต่พูดได้สั้นๆว่าถ้าเรามีนายทุนที่ประกอบด้วยธรรมละก็คำว่านายทุนก็คงจะหาไปมีแต่ผู้ที่มีเมตตากรุณาเหมือนที่เชียงใหม่เขาเรียกว่า พ่อเลี้ยงที่แท้ก็ลูกนายทุนอย่างหนึ่งเหมือนกันแต่ว่าเต็มไปด้วยเมตตากรุณาอย่างนี้แล้วความสันโดษหาง่ายนายจ้างที่มีความสันโดษนั้นมีทางที่จะแก้ปัญหาได้มากเหมือนกันเมื่ออะไรเกิดขึ้นไม่เป็นที่ถูกใจก็มีสติปัญญาแก้ไขด้วยความสันโดษเรื่องต่างๆก็ไม่เกิดเรื่องไม่น่าปรารถนาก็ไม่เกิดส่วนนายทุนนั้นเขามีความหมายในทางอยู่คือตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหากันกี่มากน้อยนั้นก็ยังไม่มีใครได้บัญญัติความหมายของคำนี้อีกสักที แต่อย่างไรก็ดีเขาเชื่อกันว่านายทุนจะต้องเอาประโยชน์จากกำไรที่เกิดมาจากเหงื่อไคลของกรรมกรนั้นตั้งหลาย ๑๐ เปอร์เซ็นต์เสมออย่างนี้เรียกว่าสันโดษหรือยังเรียกว่าโลภมากหรือเปล่าถ้าหากนายทุนในโลกนี้จะเอาประโยชน์พอสมควรนั้นคือมีสันโดษบางปัญหาเรื่องกรรมกรสไตรท์หรือแย้งชิงล้มระบบนายทุนนี้คงยังไม่เกิดยังไม่เกิดขึ้นในโลกนี้นั้นถ้าเราจะช่วยกันแผ่ธรรมะคือสัมมาทิฐิที่เป็นเหตุให้สันโดษก็ได้ให้มีหิริโอตะปะก็ได้ให้มีเมตตากรุณาก็ได้ต่างๆขึ้นแล้วก็จะแก้ปัญหาภาวะที่ไม่น่าปรารถนาในโลกนี้ได้เป็นอย่างดีนั้นขอให้เรามาช่วยกันคิดช่วยกันนึกในเรื่องต่อไปนี้จะดีกว่าควรทำอย่างไรที่จะช่วยให้เกิดความเลื่อมใสสนใจในธรรมะพอใจในธรรมะนี้มากยิ่งขึ้นหรือแพร่หลายออกไปโดยเร็วอาตมาคิดว่าพวกไทยเรานี้พุทธบริษัทชาวไทยเรานี้ที่มีเลือดเนื้อของความเป็นพุทธบริษัทเข้มข้นมาเกือบ ๑๐๐๐ ปีแล้วนี้ควรจะทำตัวให้เป็นตัวอย่างของประเทศที่สงบที่เมตตากรุณาที่มีหิริโอตะปะที่ยิ้มที่รวยอยู่เสมอให้ประเทศอื่นๆในโลกดูและบางที่จะครอบงำจิตใจของเขาจูงจิตใจของเขาให้เดินตามทางของธรรมะได้จัดการกับนายทุนในลักษณะอย่างนี้ดีกว่าที่จะไปเล่นงานกับเขาซึ่งๆหน้าซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูหรือว่าไม่มีผลที่น่าพอใจก็ได้ถ้าท่านที่ถามนี้อยากจะจัดการกับนายทุนละก็ช่วยกันทำอย่างอาตมาว่าดีกว่าคือช่วยกันเป็นพุทธบริษัทที่ดีให้ดูเท่านั้นแหพอแล้วที่ว่าจุดวุ่นวายตั้งต้นที่ตรงไหนนี้ก็ควรจะจับได้ด้วยตนเองว่าจุดวุ่นวายมันก่อเจิมขึ้นมาตั้งแต่ความเห็นแก่ตัวตนความเห็นแก่ตัวกูของกูตั้งต้นที่ตรงนั้นที่นี้มันก็ควรจะธรรมะนี้เข้าไปแทรกแซงมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าโพริซีที่ว่ากันดีกว่ากันแก้วิธีที่เราจะกันไม่ให้เกิดต่อไปนี้ก็คือทำว่าถ้าว่าที่แล้วมาเราแก้ไม่ไหวหรือไม่อยู่ฐานะที่จะแก้ได้เราก็กันต่อไปข้างหน้าและในส่วนที่มีมาแล้วมันค่อยๆแก่ตายไปเองข้างหน้ามันไม่เกิดนี้ควรจะตอบว่าควรจะแทรกแซงในลักษณะอย่างนี้ปัญหามีเท่านี้