แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่ปฏิญญาตัวเองว่าเป็นครูทั้งหลาย อาตมาใคร่จะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบและได้แสดงความเคารพต่อพระพุทธภาษิตข้อหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสดังต่อไปนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นสมณะและปฏิญญาตัวเองว่าเป็นสมณะ เมื่อถูกเขาถามว่าเป็นอะไร ก็ตอบว่าเราเป็นสมณะดังนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องกระทำทาง กาย วาจา ใจ หรืออันใด อันเป็นกิจของสมณะ เราจะทำกิจนั้นให้สมบูรณ์ เมื่อกระทำอยู่อย่างนั้น การบริโภคจตุปัจจัยทั้งสี่ของทายกทายิกาก็จะเป็นประโยชน์ เป็นกำไรแก่ทายกทายิกาทั้งหลายดังนี้
ขอให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูถึงพระพุทธภาษิตข้อนี้ ซึ่งมีอยู่ว่า เมื่อเราปฏิญญาตัวว่าเป็นอะไร และได้ทำหน้าที่ของความเป็นอย่างนั้นสมบูรณ์แล้ว ย่อมเกิดกำไรแก่บุคคลผู้จุนเจือช่วยเหลือเรา ท่านทั้งหลายปฏิญญาตัวว่าเป็นครู หน้าที่ก็คือเป็นผู้นำหรือเป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณ ของพลโลกในโลกนี้ให้สูงขึ้น เมื่อได้กระทำดังนั้น ก็จะเกิดเป็นกำไรมากมายแก่ผู้จุนเจือเรา เงินเดือนก็กลายเป็นธูปเทียนที่เป็นเครื่องบูชาคุณไป ไม่ใช่ค่าจ้าง เราจึงไม่ตกอยู่ในฐานะเป็นลูกจ้าง แต่เป็นปูชนียบุคคลดังที่ได้กล่าวแล้วในวันแรก
ถ้าผู้ใดยังปฏิญญาต่อไปว่าเป็นครู ก็เอาตัวรอดได้เพราะเหตุนี้ ถ้าหากเกิดไม่ยืนยัน ไม่ปฏิญญาว่าเป็นครูกันขึ้นมาแล้ว การอบรมการบรรยายของเราในคราวนี้ ก็จะมีสภาพเป็น Bank Group เป็นล้มละลาย ไม่พอใช้หนี้ คือว่าไม่คุ้ม ไม่นำมาซึ่งผลอันคุ้มกัน เพราะฉะนั้นถ้ายังคงปฏิญญาว่าเป็นครูอยู่ต่อไป การอบรมก็ยังดำเนินไปได้ คือว่ากันต่อไปได้
ในการบรรยายครั้งนี้อาตมาจะได้กล่าวถึง อุปสรรค ศัตรู ความรวนเร และความพังทลายของจริยธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้ทบทวนถึงข้อที่ว่า ในการบรรยายครั้งที่ ๑ นั้น อาตมาได้กล่าวถึงข้อความเบื้องต้นทั่ว ๆ ไป ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนาซึ่งรวมทั้งจริยธรรมด้วย และในการบรรยายครั้งที่ ๒ ก็ได้กล่าวถึงข้อที่ว่า จริยธรรมนั้นมีแนวเพียงแนวเดียวสายเดียว แม้จะมีหลายรูปหรือหลายเหลี่ยม
จึงขอให้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอนอย่างนี้ว่า เหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง ดูในทิศทางต่าง ๆ กันก็หลายรูปและมันยังมีหลายเหลี่ยม คือว่าแล้วแต่ใครมีจิตใจอย่างไร ก็จะมองเห็นแต่เหลี่ยมนั้นไม่เห็นเหลี่ยมอื่น พวกที่มีจิตใจหนักไปในทางปรัชญา ก็จะเห็นเป็นรูปปรัชญาไป พวกที่มีจิตใจหนักไปในทางวรรณคดี ก็จะเห็นเป็นรูปวรรณคดีไป ดังนี้เป็นต้น
เหมือนกับภูเขาลูกนั้น ถ้าสัตว์ที่เป็นวัว ก็จะเห็นแต่หญ้าหรือใบไม้ที่จะกินได้ ไม่มองเห็นสิ่งอื่น แต่พวกที่จะเอาไม้ไปขาย ก็เห็นแต่ต้นไม้เฉพาะที่จะตัดเอาไปขายได้ พวกต้องการหิน ก็มองเห็นแต่หินที่จะนำเอาไปขายได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังความคิดของเรานี้ ให้แล่นไปในรูปหรือในเหลี่ยมที่ควร หรือว่าเป็น Application คือนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเป็นประจำวันของเราได้จริง ดังนั้นจึงได้เตือนซ้ำ ๆ ในข้อนี้
การที่เรายังคงปฏิญญาว่าเป็นครูอยู่นี้ มันมีความหมายสำคัญมาก เพราะว่ามันมีจิตใจที่หนักแน่นเหมือนแผ่นหินลงไปในอุดมคติของคำว่าครู ไม่เลื่อนลอยเหมือนกับบุคคล ที่ถืออาชีพครูเป็นเพียงเรือจ้างลำน้อย ๆ ไม่กี่บาทก็ข้ามฟากไปสู่ฟากโน้นได้ ไม่ต้องลงทุนเป็นล้านเหมือนกับสร้างสะพานพุทธหรือสะพานกรุงธน ก็เป็นเรือจ้างลำน้อย ๆ ก็ข้ามฟากไปสู่อาชีพอื่น ซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ยกวิญญาณของพลโลกเหมือนกับความเป็นครู คือเปลี่ยนอาชีพ
ทีนี้อาตมาอยากจะแนะถึงคำว่าอาชีพ ในทางธรรมะก็มีคำว่าอาชีพอยู่คำหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นอาชีพแม่ของพระพุทธเจ้า หรือของพระภิกษุสงฆ์พระอริยบุคคล หรือสมมติสงฆ์ก็ตาม มีบาลีอยู่ว่า ภิกฺขุ ภิกฺขูน สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพอย่างเดียวกับภิกขุทั้งหลาย นี้คำว่าอาชีพ จะมีการศึกษาและอาชีพอย่างภิกษุทั้งหลาย
นี้ก็คืออาชีพที่เป็นเจ้าหนี้ เพราะว่าเมื่อเราได้บำเพ็ญตามอุดมคติ คือยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงแล้ว เรากลายเป็นเจ้าหนี้มหึมาทีเดียว เพราะสิ่งที่ทำให้แก่สัตว์โลกหรือคนทั้งหลายนั้น มันมีค่ามากมายเกินกว่าที่จะตีราคาไหว เป็นพวกนักพระ คือไม่ ๆ ตีราคากัน เมื่อครูได้ทำให้วิญญาณของใครสูงขึ้นได้ แม้เพียงคนเดียว ก็ถือว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่โลก ตีราคาไม่ไหว ดังนั้นเงินเดือนจึงกลายเป็นของเหมือนกับเส้นหญ้าเศษไม้ที่ใช้เป็นธูปเทียนบูชาคุณอย่างนี้ไป
สัตว์โลกกลายเป็นเจ้าหนี้ของปูชนียบุคคล ปูชนียบุคคลทั้งหลายจึงมีอาชีพเป็นเจ้าหนี้ อาชีพอย่างเจ้าหนี้ ถึงเขาจะใช้หนี้อย่างไร ก็ยังไม่เพียงพออยู่นั่นเอง บุณคุณยังอยู่เหนืออยู่นั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่รับมาหรือบริโภคไป มันก็กลายเป็นของเล็กน้อยเกินไปกว่าที่จะเรียกว่าค่าจ้าง แต่ถ้าเราไม่ทำตนให้สมกับที่ปฏิญญาว่าเป็นครู ปฏิบัติหน้าที่ย่อหย่อน เงินเท่านั้นเท่า ๆ จำนวนเดียวกันนั่นแหละก็จะกลายเป็นค่าจ้าง แล้วถ้าเผอิญเป็นได้ถึงกับว่างานที่ปฏิบัติไปไม่คุ้มกันแล้ว เราก็กลายเป็นทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง คือเป็นลูกจ้างที่ใช้ไม่ได้ นี้เป็นอันตรายที่สุด
เพราะฉะนั้นการที่สำนึกถึงข้อที่จะต้องมีอาชีพอย่างเจ้าหนี้ ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลนี้ จำเป็นมาก เราจึงจะต้องสนใจหน้าที่ที่จะยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงขึ้นจริง ๆ โดยเฉพาะในหลักการของจริยธรรม ซึ่งเป็นเครื่องมือยกวิญญาณของคนเราในโลกนี้ให้สูงขึ้น
อาตมาจะได้กล่าวถึง อุปสรรค ศัตรู ความรวนเร และความพังทลายของจริยธรรม นี้ขอทำความเข้าใจว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะอันแท้จริงหรือตัวธรรมะแท้นั้น รวนเรหรือพังทลายอะไรไม่ได้ แต่ในที่นี้เราหมายถึงภาวะแห่งจริยธรรม ซึ่งจะมีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของคนในโลกนี้ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงรวนเรได้ มีอุปสรรคและศัตรูอยู่รอบด้านเหมือนกัน ดังนั้นเราเมื่อมีหน้าที่ที่จะใช้จริยธรรมเป็นเครื่องยกวิญญาณของเราเอง และยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงขึ้น ก็จำเป็นจะต้องสนใจถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคและศัตรู และสภาพที่เรียกว่าเป็นความรวนเรและการพังทลายของจริยธรรมของมนุษยชาติเรา
อาตมาได้รับคำถามมากว่า จะสอนจริยธรรมแก่เด็กอย่างไร นี้ดูคล้ายกับว่าปัญหาใหญ่ของครูบาอาจารย์เรา ก็อยู่ตรงที่จนใจที่จะทำธรรมะหรือจริยธรรมนี้ให้ง่ายและให้น่าสนุก ให้ง่ายคือว่าเด็กเข้าใจได้ ให้สนุกคือเด็กไม่เบื่อ อาตมาก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายเลย ดังนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่จะปรึกษาหารือกัน ดีกว่าที่จะอ้างตัวเองเป็นผู้แนะในเรื่องนี้ ในฐานะที่ว่าเป็นครูด้วยกัน คือรับภาระในการที่จะยกสถานะทางวิญญาณของสัตว์ในโลกให้สูงด้วยกัน เราจะต้องตั้งอกตั้งใจพิจารณาปัญหาข้อนี้กันให้มาก
อาตมาคิดว่าเราจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะให้เกิดความรู้สึกอย่างถูกต้องขึ้นมาเสียก่อนว่า อะไรเป็นเครื่องดึงจูงเอาเด็ก ๆ ของเราไป ราวกับว่าเป็นอำนาจของมนต์ขลังหรือภูตผีปิศาจอะไรชนิดหนึ่งทีเดียว นี่ถ้าท่านผู้ใดอยากจะพบความจริงข้อนี้ อาตมาคิดว่าน่าจะลองทำอย่างนี้ดูบ้าง คือไปเพ่งฌานดูที่หน้าโรงหนัง โรงหนังที่มีโปสเตอร์มาก ๆ ไปยืนอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วเพ่งฌานดูให้ลึกเข้าไปในความหมายของโปสเตอร์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่นั่น
ไปเพ่งดูจนกว่าท่านจะเข้าลึกถึงความหมายข้อนี้ ถึงขนาดที่เป็นลมล้มฟุบลงไปด้วยความเศร้า เพราะว่าท่านจะต้องเกิดความรู้สึกอะไรได้มากมาย และจากความรู้สึกอันนั้นเองจะก่อให้เกิดความรู้สึกต่อไปเป็นลำดับ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สลดสังเวชต่อประเทศชาติหรือศาสนาของเรา ต่อบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเรา ที่หลับตาตายไปหลายชั่วหลายสิบชั่วแล้ว ดังนั้นลองคิดดูว่าสิ่งเหล่านี้ได้หันเหจิตใจของเด็ก ๆ ไปอย่างไร และเด็ก ๆ มีสภาพแตกต่างออกไป เอ่อ, มี ๆ จิตใจ มีสภาพของจิตใจสภาพทางจิตทางวิญญาณนั้นน่ะ ผันแปรไปจากเด็ก ๆ ในสมัยปู่ย่าตายายของเราอย่างไร
ภาพโปสเตอร์เหล่านั้น ท่านจะเห็นได้ว่ามันเป็นภาพของกิริยาอาการที่ตามธรรมดาไม่มีใครสามารถจะแสดงได้ในที่แจ้ง เป็นภาพเช่นเดียวกับในตัวหนังนั่นเอง ล้วนแต่เป็นภาพที่ใคร ๆ ไม่อาจจะแสดงได้ในที่แจ้ง คือจะต้องแสดงในที่ลับ แล้วก็เอามาพยายามด้วยวิธีต่าง ๆ จนมันแสดงเปิดเผยอยู่ในที่ที่ยิ่งกว่าแจ้ง เช่นเป็นไปข้าง ๆ ถนนอย่างนี้ แล้วก็เป็นภาพที่ประหลาด ๆ อย่างยิ่ง
คนที่แต่งตัวแบบไทยแล้วถือปืนพกอย่างท่าคาวบอยอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่มีไม่ได้ในหมู่ชนชาวไทยเรา อย่างคนไทยถือปืนทำท่าอย่างนั้น มันก็ดูเหมือนกับลิงชนิดหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นคนถือปืน แล้วมันสนุกได้อย่างไร ขอให้ลองคิดดูในเรื่องนี้ ถ้าพวกคาวบอยฝรั่งถือปืนก็ดูจะค่อยสมรูปสมร่าง แต่ว่าหน้าตาอย่างไทย รูปร่างอย่างไทยทำอย่างนั้น มันก็เหมือนกับว่าลิงชนิดหนึ่งมาถือปืนแสดงท่าทาง แต่ทำไมมันก็ยังทำให้เด็ก ๆ ของเราหลงใหลได้ อย่างที่เรียกว่าหันหลังให้พระเป็นเจ้าหรือหันหลังให้พระศาสนาทีเดียว
นี่ถ้าท่านลองฝึกฝนอบรมจิตใจให้เพ่งอะไรได้ลึก ๆ ในลักษณะนี้ ในทำนองนี้ ถึงกับว่าล้มฟุบหลับมาล่ะก็ อาตมาเชื่อว่าคงไม่ยากในการที่จะเข้าใจธรรมะ ง่ายถึงกับไปสอนเด็กได้และยกกิริยาของตัวเองได้ และนี่แหละคือคำตอบ ที่ตอบพร้อมกันไปในตัวถึงปัญหาที่ได้รับมากอีกข้อหนึ่งที่ว่า ทำไมคนเดี๋ยวนี้เรียนมากมาย จบพระไตรปิฎกแต่แล้วก็ยังไม่บรรลุ ส่วนคนครั้งพุทธกาลนั้น ฟังจากพระพุทธเจ้าสองสามประโยคก็บรรลุ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
คำตอบก็ดูเหมือนจะตอบได้ง่าย ๆ อย่างจะตอบว่า เพราะคนเดี๋ยวนี้นั่งพับเพียบไม่ได้ ที่เป็นผู้ชายนุ่งกางเกงอย่างนี้ มันก็นั่งพับเพียบไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่นั่งเก้าอี้ ที่เป็นผู้หญิงมีเครื่องนุ่งห่มอย่างแบบที่นั่งพับเพียบไม่ได้ เข้าใกล้พระพุทธเจ้าไม่ได้อย่างนี้ ขอให้เข้าใจคำว่านั่งพับเพียบไม่ได้นี่ ให้ถูกความหมายหรือความมุ่งหมาย โดยการที่เอาไปคิดไปนึกเอาเองว่า ไม่มีจิตใจในสภาพที่พร้อม ที่จะรับอะไรได้จากคำพูดเพียงสองสามประโยค แล้วก็เข้าถึงใจความของธรรมะที่ทำให้หลุดพ้นได้นั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นการพูดกันในระหว่างพวกที่มีหัวอกเดียวกัน คือท่านทั้งหลายก็เป็นครู อาตมาก็เป็นครู อ้างสิทธิที่จะเป็นครูก็เพราะว่าเป็นคนใช้ของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่จะทำหน้าที่ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งให้ทำ คือการยกวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ในโลกให้สูงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นอย่าได้ถือว่าเป็นคำเปรียบเปรยเยาะเย้ยถากถางอะไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น แต่ว่าปัญหาอยู่ที่ว่ามีความทุกข์มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน ที่จะต้องแก้ปัญหาของตัว คือช่วยกันกำจัดอุปสรรคและศัตรูของจริยธรรม ไม่ให้เกิดความรวนเรและความพังทลายขึ้นแก่จริยธรรม
ทีนี้ถ้าพูดถึงศัตรูของจริยธรรม คือธรรมะทั่วไปที่เราต้องประสงค์ ไม่ใช่เพียงของจริยศึกษาล้วน ๆ เป็นส่วนน้อยของจริยธรรมทั้งหมดล่ะ เราจะต้องมองให้เห็นว่าอะไรเป็นศัตรู ถ้ากล่าวโดยชื่อเจาะจงตรงไปตรงมาก็คือกิเลส ซึ่งรวมทั้งเหยื่อของกิเลส ถ้าเรียกอีกหย่างหนึ่งก็เรียกว่ากาม กิเลสกามและวัตถุกาม
สิ่งที่เป็นวัตถุของกาม สำหรับให้เกิดความรู้สึกทางกามนี้ เขาเรียกว่าวัตถุกาม ดังนั้นตัวกิเลสที่ใคร่ในกามเองก็เป็นกิเลสกาม จึงมีกามเป็น ๒ ประเภท คือเป็น Objective Sensuality, Subjective Sensuality เป็นของคู่ขึ้นมา อันนี้ถ้าควบคุมไว้ไม่ได้ ก็มีลักษณะเหมือนภูตผีปิศาจหรือที่เรียกว่าซาตาน เป็นปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนัง ครอบงำจิตใจคนแล้วยากที่จะถอนได้ ดังนั้นจึงต้องรู้เท่าหรือรู้จักศัตรูตัวนี้ หรือจะเรียกว่าคู่นี้ก็ได้
ถัดไปอีกก็คือความเข้าใจผิดต่อสิ่งทั้งสองนั่นแหละ ความเข้าใจผิดต่อกามและกิเลสกามวัตถุกามนั่นแหละ เป็นเหตุให้ดำรงตนไว้ผิด มิจฉาทิฏฐิต่อธรรมะก็ได้เกิดขึ้น เป็นกระทั่งหลงเห็นผิดเป็นว่า ธรรมะไม่จำเป็น จริยธรรมไม่จำเป็น หรือการอบรมทางจริยธรรมพ้นสมัย เหล่านี้เป็นต้น ถัดไปก็เกิดการหันหลังให้แก่ศาสนา หันหลังให้แก่พระเป็นเจ้า หันหลังให้แก่วัฒนธรรมประเพณีอะไรที่ดีงาม ที่ถูกต้องของประเทศชาติของตนเอง ที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้น
นี้ก็คือศัตรูของจริยธรรมโดยตรง รวมความแล้วก็คือกิเลสทั้งนั้น จะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เรียกว่ากิเลสทั้งนั้น ดังนั้นคำว่ากิเลสก็มีความหมายรวมอยู่ในลักษณะทั้งหมดนี้ มีกิเลส มีเหยื่อของกิเลส เกิดความเข้าใจผิดต่อสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ดำรงตนไว้ผิด เกิดมิจฉาทิฏฐิต่าง ๆ ขึ้นรอบด้าน เป็นการหันหลังให้ศาสนาเหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ มีความมุ่งมั่นไปในทางความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินทางวัตถุ คือทางเนื้อทางหนัง เป็นวัตถุนิยมไปหมด นี่เรียกว่าศัตรูของจริยธรรม
ทีนี้ในการต่อต้านศัตรูของเราเหล่านี้ เรายังทำไม่ได้เต็มที่ เพราะเหตุที่น่าสมเพชเวทนาอยู่หลายประการด้วยกัน อย่างว่าครูบาอาจารย์นี้มีหน้าที่ยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงขึ้น แล้วก็ไม่ได้ทำเต็มไม้เต็มมือ อย่างกระทรวงศึกษาธิการอะไรนี้ คิดดูให้ดีเถิดจะเห็นว่า ถูกมอบหมายให้ทำงานที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก
พระพุทธเจ้าท่านมีหน้าที่เพียงยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่กระทรวงศึกษาธิการก็มีหน้าที่อย่างนั้น และยังแถมต้องปลูกโรงเรียนอีก ต้องไปกวาดต้อนคนมาอีก ยังต้องลงโทษคนที่ไม่ส่งเด็กเข้าเล่าเรียนอีก หยุมหยิมเยอะแยะอย่างนี้ ซึ่งหน้าที่ส่วนนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำ ไม่ต้องทำ นั้นเป็นเรื่องที่คนอื่นที่จะต้องปลูกโรงเรียน มันควรจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยหรือเทศบาลมากกว่า ไม่ต้องมาแบ่งแยกกำลังแรงกำลังงานของกระทรวงศึกษาธิการไป
อันนี้ก็เป็นเหตุให้งานโดยตรงคือการยกวิญญาณ สถานะทางวิญญาณของคนในโลกให้สูงขึ้นนี้ มันพร่าไปหรือมันจางไป อย่างเป็นมโนราห์ที่ปักษ์ใต้ ถ้าชั้นที่ไม่ไหวแล้วเขาก็เรียกว่า ทั้งปลูกโรงเอง ทั้งรำเอง มโนราห์ชนิดนี้ไม่มีใครพอใจถึงกับช่วยปลูกโรงให้ จะไปเล่นให้ใครดูก็ต้องปลูกโรงเอง บางทีต้องหาข้าวกินเองด้วย มันเป็นงานที่แย่งเขาทำมากกว่า
นี่เราจะสงสารกระทรวงศึกษาธิการกันหรือไม่นี่ พวกที่ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นครูลองเอาไปคิดดู เพื่อจะได้แบ่งภาระ หรือถ้าว่าให้ยุติธรรมแล้ว กระทรวงศึกษาธิการควรจะมีรัฐมนตรีสองคนพี่น้อง คนหนึ่งไปสร้างโรงเรียน คนหนึ่งไปยกวิญญาณให้สูงขึ้นอีก มันจึงจะยุติธรรมจริงไหม ขอให้ลองคิด
ทีนี้เราลองเหลียวไปดูสิ่งบางสิ่งต่อไปอีก ก็คือวัดวาอาราม วัดวาอารามอย่างสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร ขอวิงวอนให้ช่วยกันอ่าน ศึกษาค้นคว้ามาอ่านดู แล้วมาเปรียบเทียบกันดูกับวัดวาอารามของสมัยนี้ อาตมารู้สึกว่าวัดสมัยนี้เรามีไว้สำหรับให้ฝรั่งถ่ายรูป แล้วเอาไปยืนยันว่าพุทธศาสนาเจริญในเมืองไทยอย่างนี้มากกว่า
ป่าไม้โล่ง ๆ ในช่วงพุทธกาลนั้น ไม่มีตึกรามไม่มีศิลปกรรมอะไรมากมายเหมือนกับวัดวาอารามสมัยนี้ แต่ว่าแทบทุกนาทีหรือทุกกระเบียดนิ้ว คือการส่องแสงสว่าง คือการยกวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้น ส่วนวัดวาอารามของเราสมัยนี้ ด้วยเหตุที่ไขว้เขวปะปนสับสนกันไปหมด มีอะไร ๆ ก็ไปอยู่ในวัด จนหน้าที่ที่จะยกวิญญาณให้สูงขึ้นนั้น พร่าไปหรือเลือนไปจางหายไป
พระส่วนมากไม่ได้ทำหน้าที่ คือยกวิญญาณตามความหมายในคำว่าคุรุหรือครูทางวิญญาณ แล้วบางองค์ก็เผลอจนกระทั่งว่าวิญญาณของตัวเองก็กำลังตกต่ำไปเสียก็มี นี่เพราะความประมาท ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการช่วยกันร่วมมือในการที่จะยกวิญญาณ นับว่าจะต้องช่วยกันแก้ไขอีกมาก นี่ท่านที่ไม่เรียกตัวเองว่าครู ก็ต้องช่วยเอาไปคิดดูด้วยเหมือนกัน
นี้เรามองดูไปที่กรมการศาสนาบ้าง ถ้าว่ากันโดยที่แท้แล้วก็ต้องทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์พระในการที่จะยกวิญญาณของประชาชนให้สูงขึ้น แต่แล้วก็มีอะไร ๆ เข้ามาแทรกแซงมาก จนหาโอกาสอย่างนั้นยากเหมือนกัน ท่านที่ครองสังฆการีหรือเต็มไปด้วยพัดยศ ยุ่งเวียนหัวเรื่องเงินไม่พอที่จะทำพัด อย่างนี้ก็ ๆ โกลาหลกันมากมาย
แล้วยังทำหน้าที่ตำรวจ แย่งหน้าที่ของตำรวจไปทำอีกด้วย เช่นต้องคอยจับพระสึกหรืออะไรทำนองนี้ มันมีอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่เข้าไปกระทบกระทั่ง ทำให้อุดมคตินั้นเปลี่ยนแปลง อยู่รวม ๆ กันมาก ๆ อย่างนี้แล้ว เราจะให้สถานะทางวิญญาณของยุวชนของเรานี่มีผลหน้าชื่นอกชื่นใจอย่างไรได้ และนี่จะถือว่าเป็นอุปสรรคของจริยธรรมหรือไม่ นี่ผู้ที่ไม่เรียกตนเองว่าเป็นครูก็ควรจะลองเอาไปคิดดู จะได้ช่วยกันมาก ๆ นี้เป็นแต่เพียงตัวอย่างเท่าที่ยกมาให้เห็นเท่านั้น
ทีนี้เราจะดูอะไรกันต่อไปจึงจะรู้จักศัตรูของจริยธรรม อาตมาคิดว่าเราจะต้องดูให้ครบสิ่งที่เรียกว่า ปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนั่นเอง ซาตานหรือปิศาจนี่ เด็ก ๆ เขาเรียกเต็มยศเต็มศักดิ์ว่า ภูตผีปิศาจแห่งความสนุกสนานเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินทางเนื้อทางหนัง ไม่ใช่ทางจิตหรือทางวิญญาณ นี่ถ้ารู้จักภูตผีปิศาจตัวนี้ดี ก็หมายความว่ารู้จักศัตรูของจริยธรรมคือดีที่สุด มันกำลังอยู่ที่ไหน กำลังอาละวาดแก่ใคร ช่วยกันเดี๋ยวนี้ ลองพิจารณาดูให้ดี ๆ
ข้อแรกบางทีเราจะต้องนึกถึงไปถึงสิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมและศิลปกรรม เพราะว่าเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ยกย่องบูชาเทิดทูนอวดโอ้กันนัก วรรณกรรมและศิลปกรรมนี้ ของเราเคยมีมาอย่างไร และเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ลองกวาดสายตาดูไปให้ลึกให้ไกล นับตั้งแต่ยุคพุทธกาลมาเลยก็ได้จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ วรรณกรรมหรือศิลปกรรมก็ตาม ล้วนแต่มุ่งหมายความงามที่บริสุทธิ์
วรรณกรรมก็มุ่งหมายความงามของวรรณคดีสามารถที่จะจับจิตใจของคนให้ลืมความเห็นแก่ตัวตนเสียได้ ศิลปกรรมก็เหมือนกัน ความงามนั้นมุ่งหมายจะให้จับใจคนจนถึงกับลืมความเห็นแก่ตัวตนเสียได้ กลืนใจบุคคลไปได้ ไปในทางที่จะให้สูงขึ้น ถ้าสูงขึ้นก็หมายความว่าไม่เห็นแก่ตัว คือละ Selfishness เสียได้
แต่ต่อมาวรรณกรรมหรือศิลปกรรมเหล่านี้ ถูกลูบคลำด้วยมือของปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนี่ นี้ผันวรรณกรรมและศิลปกรรมนั้น ลงไปเป็นเครื่องมือของภูตผีปิศาจไป ใช้บรรยายพรรณนาหรือแสดงสิ่งซึ่งเป็นเหยื่อของกามารมณ์ สูญเสียความหมายของวรรณกรรมและศิลปกรรมที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังหลงพอใจกันอยู่นักนั่นน่ะ
ดังนั้นขอให้กวาดสายตามองดูโดยละเอียดในเรื่องนี้เอาเอง อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะแจกรายละเอียด แต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือดนตรีและเพลง ดนตรีนั้นถ้าเป็นดนตรีบริสุทธิ์ ก็ยังทำให้จิตว่างจากความยึดถือว่าตัวกูหรือของกูอยู่ แต่ถ้าเป็นดนตรีสกปรกแล้ว ก็จะต้องปลุกความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวกูและของกูเสมอไป
เพลงไทยโบราณ ต้องใช้คำว่าโบราณด้วย เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อย่างไร ครูบาอาจารย์ก็รู้ดี คือลีลาศอย่างไร ให้เกิด Reaction อย่างไรก็รู้กันดี เกิดความนิ่มนวลอ่อนช้อยแก่ลักษณะเฉพาะของคนไทยและหล่อเลี้ยงลักษณะอันนี้ไว้อย่างไรก็รู้กันดี
ทีนี้พอมาถึงไอ้ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อเกิดเป็นเพลงไทยครึ่งชาติขึ้นมาที่เรียกกันว่าเพลงไทยสากลหรืออะไรทำนองนี้ ก็เลยเปลี่ยนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ดนตรีบริสุทธิ์หรือเพลงไทยเดิมของเรานั้น โอกาสไม่เปิดให้ใส่คำพูดโสกโดกหยาบโลนลงไปได้ เพราะถือเอาความไพเราะคือถ้อยคำอันไพเราะและลีลาศของดนตรีบริสุทธิ์ที่ไพเราะ ดังนั้นดนตรีใหม่ ๆ นี้มันเกิดขึ้น เพราะต้องการจะหาโอกาสแทรกคำหยาบโลนโสกโดก และทำนองเร่าร้อนของปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังลงไป นั้นจึงเกิดระบบอันใหม่นี้ขึ้นมา เป็นเพลงชนิดที่เปิดโอกาสให้ใส่ ถ้อยคำโสกโดก ดนตรีเร่าร้อน เป็นเหยื่อแห่งกิเลสลงไป
นี้คนเป็นบุถุชนมากขึ้นทุกที ก็เห็นดีเห็นชอบเห็นงามตามกันไปทั้งโลก ดังนั้นจึงเกิดดนตรีหรือเพลงแบบนี้ขึ้น วัดความพอใจในเรื่องนี้ได้ตรงที่สถานีวิทยุกี่สิบสถานีก็ตามนี้ ส่งเพลงพวกนี้มากที่สุด เหมือนกับบรรดาเพลงพวกนี้ที่ส่งไปนั้น ๘๐ % เป็นสำนวนที่เหมาะสำหรับผู้หญิงโสเภณีใช้ปะเหลาะผู้ชายหรือสำหรับผู้ชายปะเหลาะโสเภณีก็ได้ ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านั้น แล้วจะเป็นอย่างไรในเมื่อบรรยากาศของเมืองไทยกลุ้มไปด้วยเสียงเพลงเหล่านี้
ดังนั้นเราจะต้องรู้สึกอย่างไรบ้าง ในการที่จะมีหน้าที่ต่อต้านการพังทลายหรือรวนเรของจริยธรรม ถ้าให้ดีลองเปิดวิทยุตอนที่เขาก่อนเวลาถึงเวลาส่งจริง ๆ ในตอนเตือนสถานีนี่ เขาเปิดเพลงอะไรกันโดยมาก นี่จะพบดีกว่าในโปรแกรมที่เขากำลังส่งอยู่ นี้เราแสดงจิตใจของผู้ควบคุมเครื่องส่งวิทยุหรือผู้จัดโปรแกรมวิทยุ แล้วคนอย่างนี้จะจัดโปรแกรมทางวิทยุออกไปอย่างไรนี่
ดังนั้นขอให้ทำสถิติสถานีส่งวิทยุและเรื่องที่ส่ง แล้วค้นให้พบว่าบทความหรืออะไรที่ส่งเพื่อทะนุถนอมจริยธรรมของเรานั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์ และสิ่งต่าง ๆ ที่เป็น บทความ ดนตรี หรือเพลง ที่เป็นอุปสรรคศัตรูสร้างความรวนเรให้แก่จริยธรรมของเรานั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์
เด็กยึดติด ขนาดนิสิตมหาวิทยาลัยที่อาตมาเห็นเองด้วยตาตนเองนี่ นั่งทำการบ้านก็ยังต้องเปิดเพลงประเภทนี้ฟังอยู่ด้วย แล้วทำการบ้านไปพลาง แล้วผลมันจะได้อย่างไร นี่ครูบาอาจารย์ลองคิดดู และจะเป็นเด็กคนนี้เสียเองแล้วกระมังที่ก่อสิ่งที่ไม่งดงามขึ้นในมหาวิทยาลัยนั่น นู่น โน่น เป็นต้น
สถานีวิทยุของกระทรวงศึกษาจะเป็นอย่างไร ท่านครูบาอาจารย์ก็คงทราบดี ถ้ามีเพลงแบบที่ว่านี้ด้วยแล้ว ก็จะสุดวิสัยที่จะทนได้ ถ้ามีเมื่อไรแล้วก็ช่วยส่งข่าวให้อาตมาทราบบ้าง เพราะว่าอยู่ที่โน่นน่ะรับไม่ค่อยจะได้ บางวันก็รับได้ บางวันก็รับไม่ได้ ถ้าสถานีวิทยุศึกษาส่งเพลงแบบนี้แล้ว อาตมาก็จะทำสักอย่างหนึ่ง ชักชวนทายกทายิกา ภิกษุสามเณร จะทำสักอย่างหนึ่งเพื่อต่อต้าน
ท่านทั้งหลายคงจะคิดว่าเดินขบวนกระมัง มันเป็นไปไม่ได้ที่ทายกทายิกาจะเดินขบวน แต่ว่ามีวิธีที่ประพฤติกระทำกันอยู่ ก็คือชักชวนกันมามาก ๆ หุงข้าวแล้วก็ใส่บาตรอุทิศให้แก่จริยธรรมที่ได้ตายไปแล้ว นี่จะชวนกันทำอย่างนี้ เพราะว่ามันไม่มีทางที่จะทำอย่างอื่นได้ คือช่วยไม่ได้
นี้เราจะเห็นได้ว่าบทเพลงและดนตรีนี้ เป็นเครื่องมือของภูตผีปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนัง สำหรับผูกพันหัวใจลูกหลานตาดำ ๆ ของเรา แล้วพาจูงไปสู่ความพังทลายของจริยธรรม เป็นที่น่าสลดสังเวชในความเสื่อมเสียหรือเสียหายอย่างยิ่ง
ทีนี้ขอให้ดูที่ชุดแต่งกายของสุภาพสตรี ขอย้อนถอยหลังไปสักหนึ่งศตวรรษคือร้อยปีว่า บรรพบุรุษของเราในโลกทุกชาติทุกภาษานั้น สตรีแต่งตัวอย่างไร Costume ที่สวยงามของสตรีเรานั้นเป็นอย่างไร รูปภาพที่เขียนก็มีอยู่มากมาย หลักฐานอย่างอื่นก็ยังมีอยู่มากมายว่ามีอยู่อย่างไร แล้วต่อมาทำไมมันค่อยสั้นเข้าไปทุกที และไม่เพียงแต่สั้น มันยังทำให้นั่งลำบาก ขึ้นรถจิ๊ปก็ยังลำบาก เคยเห็นหกคะเมนลงมาเพราะเครื่องแต่งตัวชนิดนี้
นี้คือความต้องการของใคร ของพระเป็นเจ้าหรือว่าของ ๆ ใครที่ไหน แล้วตกเป็นเหยื่อของอะไร ถ้าพูดตรง ๆ ก็ต้องว่า ตกเป็นเหยื่อของปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังของฝ่ายเพศชาย เพราะว่าที่ทำไปนี้คงไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น นอกจากจะเพื่อถูกตาถูกใจของเพศชาย แล้วเพศชายก็เป็นฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งตัว แล้วเขาออกแบบให้อย่างไรก็รับอย่างนั้น เพราะความไม่เป็นตัวของตัว เครื่องแต่งกายของสตรีช่วงหนึ่งศตวรรษจึงเปลี่ยนแปลงมาอยู่ในรูปนี้ อย่างที่เรียกเมื่อตะกี้นี้ว่า นั่งพับเพียบไม่ได้ แล้วจะไม่ให้ความรวนเรหรือความพังทลายของศีลธรรมเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรกัน มันจะเอาอะไรไปต้านทานได้
และเรื่องที่น่านึกอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องประกวดนางงาม ที่เกิดขึ้นในเมืองฝรั่งยังไม่มีในเมืองไทย พวกคริสเตียนเขาต่อต้านคัดค้านอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่มีใครฟังเสียง พวกคริสเตียนน่ะเขาต่อต้านอย่างยิ่ง น่าสรรเสริญ เพราะเขาสงสัยอยู่ว่ามันเป็นการประกวดนางงามหรือนางหน้าด้านกันแน่
นี่ท่านลองฟังดูให้ดีเถิดว่า ประกวดนางงามหรือนางหน้าด้านกันแน่ นางหน้าด้านที่ดื้อดึงต่อคำสั่งสอนหรือความประสงค์ของพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นพวกคริสเตียนเขาจึงต่อต้านอย่างไม่กลัวตาย เอาเป็นเอาตาย มันก็ต่อต้านได้แต่ในวงคริสเตียน
ทีนี้น่าสงสารลูกสาวหลานสาวตาดำ ๆ ของเรา เกิดมาอายุไม่กี่ปี ไม่รู้จักโลก ก็พลอยตามเขาไปด้วย แต่เราจะโทษแกไม่ได้ เด็ก ๆ เหล่านี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่คนจัดนั่นแหละได้รับเอาวัฒนธรรมของต่างประเทศอันนี้มา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่พวกปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังเขาทำมันขึ้น เพื่อจะครอบงำมนุษย์ในโลก
การที่กระทรวงศึกษาธิการไม่อนุญาตให้ ครูบาอาจารย์ นักศึกษา นิสิต นักเรียน เข้าประกวดนางงามนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ต้องสาธุการทั้งของเทวดาและมนุษย์ ทายกทายิกาปู่ย่าตายายร้องสาธุกัน เหมือนกับเมื่อสาธุในโบสถ์เมื่อฟังเทศน์จบทีเดียว คืออาตมายืนยันได้ ดังนั้นขอให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับพรอันประเสริฐอันนี้ไว้ตลอดเวลา
เราสู้ไม่ไหว เรากำลังจะพ่ายแพ้ กำลังจะหมดเนื้อหมดตัว เพราะสิ่งที่เป็นศัตรูของจริยธรรมในลักษณะเหล่านี้ เราจะไปเอาฝรั่งเป็นอาจารย์นั้นคงจะไม่ไหวแน่ เรื่องที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละพิสูจน์ วรรณกรรมเรื่อง Faust หรือโอเปร่าเรื่อง Faust ถ้าเด็ก ๆ ของเราไปอ่านเสียแล้วหลงตามนั้นล่ะก็ จะไม่มีอะไรเหลือ
นางเอกมาร์กาเร็ตได้ขึ้นสวรรค์ทั้ง ๆ ๆ ที่ทำอะไรอย่างนั้น มันมีไม่ได้ในหลักการของพุทธศาสนาเรา แต่ถ้าเด็ก ๆ ถือว่าอย่างนั้นเป็นเรื่องถูก มันก็เป็นอันว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่จะเป็นมนุษย์ในพุทธศาสนา แต่ถ้าถือว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องทำขึ้นเพื่อล้อเลียนสังคม เป็นเอามาก ๆ ถึงอย่างนั้น มันก็ยากเกินไปกว่าที่เด็ก ๆ จะเข้าใจได้ ถ้ายอมให้เป็นการกระทำที่อยู่ในการชักนำของผีปิศาจที่เป็นเพื่อนคู่หูของเขา แสดงว่าสังคมนั้นน่ะมันถึงขนาดนั้น แล้วเราจะเอาเป็นแบบอย่างได้อย่างไร
นี่ถ้าเราขืนเอาพวกฝรั่งเป็นครูในลักษณะนี้เรื่อยไปล่ะก็ เราก็คงจะหมดความเป็นคนไทย หมดความเป็นพุทธบริษัท เราระวังให้มากในข้อนี้และอย่าได้แต่คิดหาชื่อเสียงในทางนี้เลย อย่าให้เมืองไทยของเราสร้าง Origin แบบระบำเปลือยอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเลย มีคนบอกให้ฟังว่าระบำเปลือยบางแบบมันแสดงกันได้อยู่แต่ในเมืองไทย ที่อื่นเขาไม่ อ่า, แสดงกันไม่ได้อย่างนี้ก็มี นี่จะเป็นเหตุให้เราคิดแบบระบำเปลือยใหม่ ๆ เป็น Origin ขึ้นในเมืองไทยนี้บ้างก็ได้ นี่ขอวิงวอนว่าเราหาชื่อเสียงทางอื่นกันเถิด
นี้เราทั้งหมดนี้คือภูตผีปิศาจอันร้ายกาจที่เป็นศัตรูของจริยธรรม จงรู้จักศัตรูในฐานะที่เป็นศัตรูและให้เต็มที่ ครูบาอาจารย์เราจึงจะช่วยกันกู้สถานการณ์อันนี้ขึ้นมาได้ ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือผู้ที่มีอำนาจปกครองประเทศ
นี่มีการสัมมนากันที่จุฬาลงกรณ์เรื่องที่ว่าจะสอน บังคับสอนวิชาพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น มีท่านที่มาร่วมสัมมนาท่านหนึ่ง ยืนยันขึ้นด้วยเสียงที่แสดงว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว คือมีความเชื่อ เพราะมันไม่ต้องทำอะไรหมด นอกจากปรับปรุงแก้ไขผู้ใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอย่างอื่น ท่านผู้นี้หมายความว่าที่เด็กเฮไปในทางพังทลายของจริยธรรมนี้ มันเพราะผู้ใหญ่ คืออิทธิพลทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มันคล้ายว่านำไปทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ดังนั้นจะต้องปรับตัวผู้ใหญ่ จับผู้ใหญ่กลับหลังหันอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ไม่ต้องคิดถึงอบรมอะไรกันให้มากมายอย่างที่กำลังทำอยู่ที่นี่ อื่น ๆ เด็ก ๆ ก็จะดีตามไปหมด เด็กกินเหล้าก็เพราะผู้ใหญ่กินเหล้า หรือผู้ใหญ่ทำเหล้าขายก็มีแล้วก็ชวนแกกินเหล้า แล้วจะให้เด็ก ๆ หยุดกินเหล้าอย่างไร
นี่ยกตัวอย่างอย่างนี้ ที่บางแสน อาตมาได้ฟังด้วยตนเองที่เขาคุยกันในร้านเหล้า มีคนไปถามเจ้าของร้านเหล้ามากมาย เจ้าของร้านเหล้าจึงได้บอกความจริงว่า มีนิสิตมหาวิทยาลัยเข้าไปกินเหล้ามากขึ้น ๆ แล้วก็คือ เอ่อ, เสียสติ อาละวาดขึ้นบ้างก็มี อย่างนี้เป็นต้น
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในสมัยบิดามารดาหรือว่าถอยหลังไปในปู่ย่าตายายของเรา ขนาดนิสิตของสถาบันที่เราหวังจะเอาเป็นที่พึ่งนี่เปลี่ยนแปลงไปถึงอย่างนี้ แล้วเรายังจะได้เห็นเด็กนิสิตหนุ่มสาวนั้นน่ะ เที่ยวไปก๋าหราเพรียวลมอยู่ที่บางแสนนี่ ซึ่งรู้จักดีว่าพ่อแม่ของเขากำลังฟันดินอยู่ที่บ้าน และเป็นหนี้เงินที่กู้เขามาโดยเอานาเป็นจำนำนี่ ส่งเงินมาให้ลูก
นี้ไอ้เด็กพวกนี้มีอยู่มากที่สอบไล่ตกก็บอกว่าได้ แต่พอเรียนหลายปีเข้า พ่อแม่ก็สงสัยว่าทำไมหลายปีแล้วมันไม่รู้จักจบสักที ก็บอกพ่อแม่ว่าเขาเพิ่มชั้นขึ้นเรื่อย คือเพิ่มปีที่เรียนนี้ขึ้นเรื่อย นี่พ่อแม่ก็ยังเชื่อ ก็ลองคิดดูว่าพ่อแม่นี้อยู่ในสภาพเช่นไร แล้วเด็ก ๆ ของเราล่ะอยู่ในสภาพเช่นไร นี้ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดหรือส่วนมาก แต่ยืนยันได้ว่ามันมี นี้ก็คือลู่ทางที่ว่าภูตผีปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนี่มาจับเด็ก ๆ ของเราไปในลักษณะอย่างไร
ดังนั้นเราที่กำลังต้องการจะต่อต้าน คือจะต้องทำอย่างไร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนี้คือปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังหรือวัตถุนิยมที่ว่านี้เอง ที่น่ากลัวอย่างยิ่งไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เดี๋ยวนี้น่ะตื่นคอมมิวนิสต์กันอย่างตาขาวด้วยความกลัว แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนี้คือตัวคอมมิวนิสต์แท้จริง และยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ เพราะว่าคอมมิวนิสต์ที่เรากลัวกันนั้นน่ะก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความสุข นี่ปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนัง คือหลงแต่วัตถุเกินไป คือเรียกร้อง ถ้าไม่หลงวัตถุเกินไปแล้ว แสวงหาความสุขทางจิตทางวิญญาณได้ถมไป ไม่ถึงกับต้องเรียกร้องหรือยึดอำนาจทางวัตถุ ซึ่งเป็นอุดมคติของลัทธิที่เป็นวัตถุนิยมจัดอย่างนี้ และนี่ก็คือการพังทลายของจริยธรรมลงจนหมดสิ้น ไม่มีส่วนเหลือ
ถ้าเราเป็นธาตุของวัตถุ มีความสุขทางเนื้อหนังกันแล้ว ไม่ต้องคอมมิวนิสต์ข้างนอกเข้ามา มันจะฟักตัวเป็นเชื้อของมันเองขึ้นมาในวงของเราเอง ไม่ต้องรับมาจากข้างนอก ดังนั้นอันนี้คือต้นตอที่มาของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา และมันอาจจะเกิดขึ้นได้ในตัวเราเอง ฟักตัวขึ้นมาในตัวเราเอง
ขอ Prove ขอพิสูจน์ด้วยข้อที่วัตถุนิยม Dialectic Materialism นี่ได้ก่อให้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นมาอย่างไร ซึ่งมีความประสงค์มุ่งหมายส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ความสุขทางวัตถุ ซึ่งไม่สามารถจะถือหลักว่าคนเราต้องไปตามกรรม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันทางร่างกายทางสติปัญญา ก็ต้องเป็นไปตามกรรม มีความเหลื่อมล้ำไปตามกรรม แต่ถ้าความหลงไหลในวัตถุ เอ่อ, ความสุขทางวัตถุมากขึ้นแล้ว มันรอไม่ได้ มันอดกลั้นไม่ได้ มันก็ต้องแย่งชิง มันก็ต้องมีลัทธิที่จะหาความเสมอภาคในความสุขทางวัตถุขึ้นจนได้ ทำไมเราจึงไม่กลัวสิ่งที่น่ากลัวอันแท้จริงคือวัตถุนิยม
จงดูให้ดีว่าทั้งสองค่ายในโลกรบกันได้ก็เพราะวัตถุนิยม เพราะความเห็นแก่วัตถุนิยม เพราะความหวงวัตถุนิยมของตน ๆ ตามแบบของตน ๆ แม้จะดูเป็นคนละฝ่ายตรงกันข้าม แต่จิตใจยังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือตกอยู่ใต้อำนาจของปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ ต้องเป็นลัทธิที่ไม่เห็นแก่ความสุขทางเนื้อหนัง เป็นจริยธรรมที่สามารถแสวงความสุขได้ทางจิตทางวิญญาณ แม้ว่าถึงขนาดถ้าเป็นได้ถึงกับว่า ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีผ้าจะนุ่ง ก็ยังแสวงหาความสุขทางจิตหรือทางวิญญาณได้อยู่นั่นเอง
นี้อันตรายทางวัตถุนิยม เป็นอันตรายอย่างยิ่งไม่มีอะไรเหมือน เป็นความล่มจมของมนุษยธรรม ประโยคที่ว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา ถ้าอาตมาเอามากล่าวอย่างนี้ ท่านก็คงคิดว่าคร่ำครึล้าสมัย เป็นคน อ่า, เป็นของ ๆ คนในสมัยที่ใช้มูลบทบรรพกิจเป็นแบบเรียน อย่างนี้เป็นต้น แต่แล้วคิดดูให้ดีเถิดว่าไอ้ ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา นี่ เป็นมูลเหตุแห่งความล่มจมของจริยธรรมใช่หรือไม่
การที่มีเพลงชนิด ๘๐% ที่ว่า ให้ฟังได้ตลอดรอบ ๒๔ ชั่วโมงของสถานีวิทยุหลายสิบสถานีนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดอาการ ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา ขึ้นมาได้โดยง่าย ในสมัยที่ไม่มีสถานีวิทยุ ใครจะสีซอกันอย่างไรได้ ก็ต้องไปหาเอามา แต่นี่ไม่ต้องมีซอ ซื้อเครื่องวิทยุนิดเดียวก็มีอาการค่ำเช้าเฝ้าสีซอได้ ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง เมื่อไรก็ได้
แล้วคนเราก็เป็นอย่างนี้กันมากขึ้น ซึ่งอยากจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้ คนหนุ่ม ๆ ชาวนาหนุ่ม ๆ ทางบ้านนอก ถ้ามีเงินบ้างแล้วก็ซื้อนาฬิกาข้อมือ ซื้อปากกา คือมาเหน็บมาแขวนโดยไม่ได้ใช้อะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นว่า ถ้ามีเงินบ้างแล้วซื้อเครื่องวิทยุ มันคงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ก็เพื่อประโยชน์แก่การค่ำเช้าเฝ้าสีซอนี่เองนะ แล้วเด็กหนุ่มของเราชนิดนี้จะไว้ใจได้ไหม เมื่อมีอาการชนิดค่ำเช้าเฝ้าสีซออย่างนี้ เขาจะมีจิตใจอย่างไร จะอยู่ในร่องรอยของจริยธรรมได้เหมือนกับเมื่อก่อนค่ำเช้าเฝ้าสีซอหรือไม่ นี่ขอให้ลองคิดดูในข้อนี้
หรือประโยคที่ว่า พาราสาวะถี ใครไม่มีปรานีใคร ก็มูลบทบรรพกิจอีกนั่นแหละ มันล้าสมัยอย่างนี้ แต่ลองคิดดูเดี๋ยวนี้ว่า ใครไม่มีปรานีใครน่ะเป็นมูลเหตุของคอมมิวนิสต์ เป็นมูลเหตุให้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กลัวกันจนตาเหลือกตาหลนนั่นหรือไม่ ใช่หรือไม่ คนบางประเภทกลัวคอมมิวนิสต์จนนอนไม่หลับ จนเส้นประสาทเสียเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ นี่ ดังนั้นมูลเหตุเกิดมาจากใครไม่มีปรานีใครนี่ใช่หรือไม่
นี้คนจนไม่ได้รับความปรานีจากคนมั่งมีหรืออะไรทำนองนี้ หรือว่าแต่ละฝ่าย ๆ ไหนก็ไม่มีใครปรานีใคร แล้วมันจะเกิดอะไรถ้าไม่ใช่เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นลัทธิที่จะทำให้ใครปรานีใครอย่างเสมอภาค นี่ทำไมจึงมองข้ามสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายกาจเหลือที่จะเอาชื่ออะไรมาเรียกให้สมกันได้ ที่เรียกว่าภูตผีปิศาจนี้ก็ยังไม่ได้ครึ่งของความหมายอันร้ายกาจของมันดังนั้นขอให้ท่องมนต์บทนี้กันบ้าง เพื่อกันลัทธิอันไม่พึงปรารถนา จะไม่ก่อ Germ อ่า, ก่อเชื้ออะไรขึ้นมาใหม่ ๆ ในจิตใจของเราเดี๋ยวนี้ที่ยังไม่เคยมีเชื้ออย่างนั้น
แล้วถ้าลอง ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา ใครไม่มีปรานีใคร ลองดูเถิดไม่เท่าไรจะต้องเกิดขึ้นมาได้เอง เป็น ไม่ต้องรับเชื้อมาจากไหน เพราะเหตุว่าวัตถุนิยมไม่ว่าแบบไหนหมด จะแบบคอมมิวนิสต์หรือแบบเสรีประชาธิปไตยก็ตาม ขึ้นชื่อว่าวัตถุนิยมแล้ว จะต้องนำไปสู่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เขาหลงบูชาความสุขทางเนื้อหนังแล้ว จะต้องนำไปสู่ความเห็นแก่ตัว คือ Selfishness หรือ Egoism ที่เดือดจัดจนเป็น Selfishness ทั้งนั้น แล้วอันนี้คือมูลเหตุแห่งความวุ่นวายสารพัดอย่าง และเป็นอุปสรรค เป็นศัตรู เป็นความรวนเร เป็นการพังทลายของจริยธรรม
ความเห็นแก่ตัวนี้ มันไม่ใช่เป็นศัตรูแก่จริยธรรมที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของพวกเราครูบาอาจารย์อย่างเดียว มันเป็นอุปสรรคศัตรูไปหมดไม่ว่าแขนงไหน เพราะมันเป็นภูตผีปิศาจแล้ว เป็นซาตานแล้ว มันต้องทำลายทั้งนั้น จึงว่าไม่ใช่แต่เป็นศัตรูของจริยธรรม
ยกตัวอย่างเหมือนว่า นโยบายประหยัด นโยบายพัฒนาของรัฐบาล ซึ่งต้องการอย่างยิ่งในขณะนี้ ถ้าประชาชนหรือคนหนุ่มส่วนมาก ตกเป็นสมุนของปิศาจทางวัตถุเนื้อหนังกันแล้ว จะประหยัดได้อย่างไร จะชวนคนที่ลุ่มหลงในมนต์หรือมนต์ขลังอะไรขลังของภูตผีปิศาจให้มาประหยัดนี้ไม่มีทาง อย่างใช้ซื้อวิทยุคอยเที่ยวฟังเพลง ๘๐% นั่นด้วยกันทั้งนั้นแล้ว คิดดูว่ามันเป็นเงินเท่าไร
มันไม่ใช่เพียงแต่เท่านั้น ซึ่งเมื่อจิตใจของเขาเสียลงไปแล้ว เป็นจิตใจของคนหนุ่มที่เดือดพล่านอยู่ด้วยความเห็นแก่ความสุขทางเนื้อหนังแล้ว ยังทำอะไรที่เป็นการทำลายจริยธรรมมากไปกว่านั้นอีก ดังนั้นความเสียหายส่วนนี้คิดเป็นเงินไม่ไหว ดังนั้นรัฐบาลจะประหยัดเงินด้วยวิธีใดได้ปีหนึ่งสักหมื่นล้าน ก็ยังไม่ชดใช้กันกับที่ความตกต่ำทางจิตใจของคนหนุ่มได้ตกต่ำลงไปเพราะเหตุนี้ แล้วจะประหยัดกันไปได้อย่างไร จะชวนเขาก็ประหยัดไม่ได้ แล้วคนอื่นที่ช่วยประหยัดขึ้นมาได้ มันก็ไม่คุ้มกันกับพวกที่ทำสุรุ่ยสุร่าย ทั้งทางวัตถุและทั้งทางวิญญาณหรือทางจิตใจ
ดังนั้นเราจึงเสียเงิน ประเทศไทยเราจึงต้องเสียเงินเพื่อจะไปซื้อวัตถุชนิดที่เป็นเหยื่อของกิเลสนี้ มาด้วยเงินเป็นอันมากโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการประหยัดที่จะประหยัดได้เพียงหมื่นล้านหรืออะไรทำนองนี้ ก็เป็น ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น ไปหมด มันไม่เป็นการประหยัดที่น่าชื่นอกชื่นใจได้
การที่จะชักชวนให้มีการพัฒนาอะไรที่เป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจอย่างนี้ มันทำไม่ได้ มันใช้กันไม่ได้กับผู้ที่มีจิตใจตกเป็นทาสของภูตผีปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังเสียแล้ว ในสมัยปู่ย่าตายายปู่ทวดตาทวดของเรา ที่จิตใจยังไม่ตกเป็นทาสของปิศาจทำนองนี้ เขาพัฒนาอะไรกันได้เอง โดยไม่ต้องขอร้อง ชักชวน หรือบังคับโดยอ้อมอย่างเดี๋ยวนี้ เขาก็สร้างวัด สร้างวิหาร สร้างโบสถ์วิหารกันขึ้นได้เต็มบ้านเต็มเมือง ด้วยระบบที่เรียกว่าพัฒนา คือช่วยกันทำฟรีนี่ทั้งนั้น
แต่เดี๋ยวนี้ทั้งที่คนมากขึ้นหรืออะไรก็มากขึ้น เราก็ยังใช้ระบบของปู่ทวดตาทวดของเราไม่ได้ ก็เพราะภูตผีปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนี้ มาเอาบ่วงผูกมัดหัวใจแล้วก็ลากเอาไปหมด ด้วยอำนาจของวรรณกรรม ศิลปกรรม เพลง ดนตรี เอาวัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ ของตะวันตก ที่เข้ามาในรูปที่เราหลงไปรับเอามาอย่างผิดหูผิดตานี่เอง สรุปแล้วนี่แหละคือ อุปสรรค ศัตรู ความรวนเร และการพังทลายของจริยธรรม
นี้เราสู้ไหวไหม กระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ฟื้นฟูหรือถนอมจริยธรรมเอาไว้ให้ได้นี่ จะสู้กันไหวไหมกับปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังนี้ จะสู้กันไหวไหม ต้องคิดดูในข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้น และถ้าจะสู้ให้ไหวจะต้องทำอย่างไร ถ้ามันเหลือกำลังของกระทรวงศึกษาธิการแล้วจะต้องทำอย่างไร
พวกที่ไม่เรียกตัวเองว่าครูบาอาจารย์นี้ต้องเอาไปคิดดูอีกเหมือนกัน จะได้ช่วยกัน ร่วมมือกันกับผู้ที่จะทำหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้นได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นขอให้สนใจในปัญหาที่เป็นสำคัญ ๆ ที่สุดของการแก้ไขจริยธรรม
และทั้งหมดเท่าที่กล่าวมานี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำ ๆ เดียว ที่รวมเรียกว่ากิเลสและเหยื่อของกิเลส ดังนั้นการที่อาตมายกตัวอย่างอะไรมามากมายนี่ ไม่ใช่เพื่อจะกระแนะกระแหนใคร แต่เพื่อจะชี้แจงให้เห็นความหมายของคำว่ากิเลส ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายไม่รู้ว่าจะสอนเด็กอย่างไร ให้รู้จักคำว่ากิเลสหรือการหมดกิเลสก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งที่ มีอยู่จริง เกิดอยู่จริง เป็นอยู่จริง อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ทั้งนั้น จึงจะเข้าใจคำว่ากิเลส
ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ เรามาพิจารณากันถึงสิ่งที่เรียกว่ากิเลสโดยตรง ถ้าจะให้เด็กรู้จักกิเลส ก็ต้องจับเด็กมาสอนมาอธิบายให้รู้จักกลไกของจิต โดยลักษณะที่ได้กล่าวแล้วเมื่อวันก่อน ในการบรรยายครั้งก่อนน่ะว่า กลไกของจิตเป็นอย่างนั้น ถ้าปล่อยให้มันเดินไปอย่างนั้น มันจะเป็นกิเลสอย่างนั้น ถ้า Sublimate มาอย่างนี้ มันจะเกิดเป็นสติปัญญาเป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้
ในการที่ได้ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวหนัง อะไรครั้งหนึ่งนั้นน่ะ ถ้าปล่อยไปก็ไปเป็นกิเลส ถ้า ๆ พยายามทำให้ดีที่สุด คือว่าเปลี่ยนร้ายให้เป็นดี เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้มันก็ทำให้เกิดสติปัญญาเป็นบุญเป็นกุศลไปได้เหมือนกัน สิ่งที่มากระทบ สิ่งแวดล้อมที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันให้เกิดได้ทั้ง ๒ ทาง ไม่ใช่ทางร้ายหรือทางดีอย่างเดียว มันจะเกิดอย่างไหนก็ได้ ดังนั้นมันอยู่ที่สติปัญญาที่ว่า เราจะรู้เท่าทันมันหรือไม่
นี้ถ้าเมื่อพูดถึงกิเลส อาตมาอยากจะระบุว่า ถ้าจะให้มีแต่เพียงหนึ่ง ขอให้จดว่า จะจดจำว่า ถ้าจะมีแต่เพียงหนึ่งแล้วก็ มันก็คืออวิชชา อวิชชา แปลว่า ภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ภาวะ หรือสภาวะ หรือสถานะ หรือลักษณะ หรืออะไรก็ตาม ที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ก็เรียกว่าอวิชชา นี้ก็คือกิเลส
ในขณะใดจิตใจของเราอยู่ในภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ในขณะนั้นเรียกว่าเต็มไปด้วยอวิชชา เป็นความไม่รู้ แล้วความไม่รู้นี่มันจะคลอดลูกออกไปเป็นกิเลส ๓ อย่าง กิเลส ๓ อย่างซึ่งได้ยินกันชินหูที่สุดว่า โลภะ โทสะ โมหะ หรือบางทีก็ยักเรียกเสียว่า ราคะ โกธะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วแต่จะเรียก มันก็เป็น ๓ เหมือนกันทั้งนั้น
อันแรกคือโลภะ อยากจะเอา อยากจะได้ ถ้ามันแรงจัดก็เรียกว่าราคะ ถึงขนาดกำหนัด นี้ถัดไปก็เรียกว่าโทสะหรือโกธะ มีความหมายไปในทางประทุษร้ายเขาก็เรียกว่าโทสะ ถ้าโกรธผู้อื่นนั้นก็เรียกว่าโกธะ อาการก็เหมือน ๆ กัน โทสะกับโกธะ ทีนี้อันหนึ่งก็คือโมหะ เป็นความหลง ถ้าจะแยกให้เห็นชัด ท่านต้องรู้จักความหมายของ ๓ คำนี้สักหน่อย
กิเลสประเภท ๆ ที่เป็นเหตุให้รวบรัด ดึงเข้ามาหาตัว เอามายึดครองอย่างนี้ คือดึงเข้ามานี้ เรียกว่าประเภทโลภะหรือราคะ ส่วนความรู้สึกประเภทที่ผลักออกไปหรือจะทำลายเพื่อให้วินาศ ไม่เอาเข้ามา แล้วจะทำลายเสียวินาศอย่างนี้ เป็นประเภทโทสะหรือโกธะ นี้เหลืออยู่ประเภทหนึ่งก็คือ หลงใหล ลังเล ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ยังไม่รู้แน่ว่าจะเอาเข้าหรือจะผลักออก อย่างนี้เป็นโมหะ
คือถ้ากิเลสจะมีหลายชื่อหลายสิบชื่อหรือว่าตั้งร้อยชื่อพันชื่อแล้วก็ มันไม่มีอะไรมากไปกว่า ๓ อย่างนี้ แล้วอาจจะจับลงได้ใน ๓ อย่างนี้โดยง่าย โดยเอาหลักเกณฑ์ที่ ๆ กล่าวแล้วนั้นมาเป็นเครื่องจับ ดังนั้นกิเลส ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี้เรียกว่าเป็นคือชี้ระบุไปถึงส่วนที่ใหญ่และโดยประมวลเป็นหัวข้อมีเพียง ๓ รายละเอียดจะแยกเป็นเท่าไรก็ได้
ดังนั้นเราลองแยกออกไปดูให้เห็น ในลักษณะที่มันเกิดเป็นประจำวัน อยู่ในชีวิตประจำวันดูบ้าง จะเกิดทุกชั่วโมงทุกนาทีก็จะได้สำหรับคนบางคน เป็นอาการของกิเลสที่แสดงออกมาไม่รุนแรงก็จริง แต่ว่ายังคงเป็นกิเลส อย่างนี้ก็เรียกว่าอุปกิเลส อุปกิเลส ก็แปลว่า กิเลสตัวน้อย นี้รองลงมา จำแนกออกเป็น ๑๖ นี่ ท่านลองไปฟังดูให้ดีว่า เด็ก ๆ จะรู้จักไหม ครูบาอาจารย์จะไปสอนเด็กได้อย่างไร
อภิชฌา อันทีแรกเรียกว่า อภิชฌา แปลว่า ความโลภ เพ่งเล็งจะได้ นี่ยักไปเรียกว่าอภิชฌาก็หมายความว่า เพ่ง เพ่งเล็งต่อสิ่งที่ตนอยากจะได้ นี่วันหนึ่ง ๆ น่ะ เราเพ่งเล็งต่ออะไรที่เราอยากจะได้หรือรักได้นี่ มันสักกี่สิบครั้ง ลองคิดดูว่า อภิชฌานี่เกิดกี่สิบครั้งในวันหนึ่ง ๆ จะเพ่งเล็งสิ่งที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ตาม ถ้าอยากจะได้มาเพื่อสนองแก่ความอยากกิเลสตัณหาแล้ว ก็เรียกว่าอภิชฌาหมด นี้เพียงอภิชฌาข้อเดียวแล้วก็ จะเห็นว่าแทบจะปัดเป่ากันไม่ไหว เดี๋ยวตัวนั้นมา เดี๋ยวตัวนี้มา เหมือน ๆ จับปูใส่กระด้งนี้ ระวังกันแทบไม่ไหว
นี้ถัดไปเรียกโทสะ ถัดไปเรียกโกธะ ถัดไปเรียกอุปนาหะ โทสะคือประทุษร้าย โกธะคือโกรธ อุปนาหะคือผูกโกรธ ๓ อันนี้เครือเดียวกัน คือเป็นเรื่องโกรธ ๆ หรือเป็นประเภทโทสะ โทสะประทุษร้ายน่ะคือคิดครุ่นไปในทางร้าย แต่มันยังไม่ใช่โกรธใคร อยู่คนเดียวก็คิดประทุษร้ายได้ ทำตัวเองให้ร้อนได้โดยไม่ต้องมีคนอื่นมาเกี่ยวข้อง หรือความคิดที่มันเดินไปในทางประทุษร้าย เร่าร้อนแล้วก็เป็นโทสะ รวมทั้งกระทั่งบันดาลโทสะ ส่วนโกธะนั้นหมายถึงว่าต้องมีบุคคลที่สองเข้ามา มันโกรธ ๆ อย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่น่ะ โกรธคนใช้ โกรธคนนั้น โกรธคนนี้ กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจก็ยังโกรธได้ เรียกว่าสิ่งที่สองหรือบุรุษที่สองเหมือนกัน
ทีนี้อุปนาหะ ผูกโกรธ นี้หมายความว่าความโกรธนั้นยากที่จะออกไปจากใจ เพราะไปหล่อเลี้ยงมันไว้เสมอ ตรงนี้ขอให้สังเกตละเอียดสักหน่อย คนที่ช่างสังเกตก็จะมองเห็นว่า เรื่องนิดเดียวหรือแทบจะไม่มีเรื่อง แต่ถ้าหลงเอามาทำเป็นอุปนาหะแล้ว มันก็ครุ่นคิดไปได้เรื่อย คือว่าขยายความออกไปได้เองเรื่อย เพื่อให้โกรธหรือเกลียดเขามากขึ้นและนานขึ้น บางทีคิดเผื่อไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป เรื่องนั้นยังไม่ทันเกิดจริงเลย ไม่ได้โกรธใครมาเลย แต่คิดเผื่อไว้ว่า ถ้าคนนั้นหรือเจ้านั่นมันจะมาอย่างนี้แล้ว เราก็จะเป็นอย่างนี้ ความคิดก็เพลินพล่านสนุกสนานไปแล้ว เป็นฝันขมหรือฝันร้อนไปเรื่อย ลืมตาฝันอย่างนี้ นี่เป็นอุปนาหะ
คนหนุ่มคนสาวเจ้าแง่เจ้างอนนี่มีได้มากที่สุด แล้วมันเป็นอันตรายอย่างไร อภิชฌาเป็นพวกความโลภ โทสะ โกธะ อุปนาหะ นี้เป็นพวกความโกรธ ทีนี้เหลือต่อไปอีก ๑๒ นี่เป็นพวกโมหะทั้งนั้น ถัดไปก็คือมักขะ ลบหลู่คุณเขา คือหมายความว่าเราไม่รับรู้ ไม่ยอมรับ หรือรู้แล้วก็แกล้งไม่รู้ ในบุญคุณของผู้อื่น หรือสัตว์อื่น หรือสิ่งอื่น
ใครบ้างขอบใจถนนหนทางแล้วช่วยกันรักษาให้อยู่ในสภาพเช่นนั้น มีแต่จะเบียดเบียนเนื้อที่ของถนนหนทาง เอารั้วล้ำออกมา ปลูกต้นไม้ให้งอกออกมาอย่างนี้ เรียกว่าลบหลู่บุญคุณของมัน นี่ใครบ้างที่กำลังอยู่ในสภาพที่เป็นมักขะเช่นนี้
ไม่รู้คุณของสัตว์ สัตว์เลี้ยงสวย ๆ หรือว่าสัตว์พาหนะก็ตาม วัวควายที่มีบุญคุณนั้นน่ะ เอามาฆ่าแกงกิน บวงสรวงปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนังกันหมด ไม่มีใครสนใจแม้แต่ผีเสื้อสวย ๆ ที่มีบุญคุณสำหรับประดับโลกให้งดงาม ลบหลู่คุณของมัน ทั้ง ๆ ที่ชอบมัน
ทีนี้สูงขึ้นมาถึงมนุษย์เรากันเองนี่ ความไม่รู้บุญคุณซึ่งกันและกันนี้เป็นการทำลายโลก เพราะถ้าคิดดูให้ดีแล้ว ไม่มีใครที่ไหนที่จะไม่มีบุญคุณต่อกัน ทุกคนก็มีบุญคุณต่อกัน ไม่มีใครกระดิกตัวไปทางไหนได้ที่ไม่ ๆ ต้องไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณของคนอื่น แต่ว่าต้องดูด้วยสายตาหรือจิตใจของคนที่กตัญญูกตเวทีจริง ๆ เท่านั้น จึงจะเห็นความจริงข้อนี้ ดังนั้นเราจึงมีเป็นโรคมักขะ คือลบหลู่คุณของสิ่งที่มีคุณกันอยู่โดยง่ายที่สุด
ถัดไปเรียกว่าปลาสะ คือตีเสมอ นี่ไม่ ๆ ๆ ดีเท่าเขา ไม่อะไรเท่าเขา ก็ตีเสมอเขา ด้วยกิริยาท่าทาง ด้วยวาจา ด้วยจิตใจ นี่ความอยากตีเสมอนี่ ที่มีอยู่ในใจนั้นมันรู้ได้ด้วยตนเอง คือแสดงออกมาทางกายวาจา เขาเกลียดกันทั้งนั้น เขาเกลียดเขาชังกันทั้งนั้น แต่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมี
ถัดไปเรียกว่าอิสสา แปลว่าริษยา พระพุทธเจ้าทรงถือว่า ความริษยาทำโลกให้ฉิบหาย อรติ โลกนาสิกา ความริษยาเป็นเครื่องทำโลกให้ฉิบหาย ถ้าว่าโลกแบ่งเป็น ๒ พวกรบกัน ต้องหมายถึงต่างฝ่ายต่างริษยาความจะได้ จะมี จะเป็น หรือความได้ ความมี ความเป็น อะไรของกันและกัน ไม่อยากให้ใครเสมอหรือดีกว่า แม้เขาจะมีน้อยกว่าก็ยังริษยาอย่างนี้ คนมั่งมีก็อาจจะริษยาคนจนได้ ถ้าเป็นไปมากเข้า นี่เป็นเครื่องทำโลกให้วินาศฉิบหาย ถ้าหยุดริษยากันเสียเท่านั้นน่ะ ต่างฝ่ายต่างจะอยู่กันได้ด้วยสันติ
ถัดไปเรียกว่ามัจฉริยะ ความตระหนี่ นี่หมายถึงโง่ เช่นไม่รู้จักเจือจานเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย กันเลย ที่ทำบุญให้ทานนั้นน่ะ เพื่อจะซื้อสวรรค์แลกวิมานต่างหาก ไม่ใช่จาคะที่บริจาคไปด้วยความจริงใจหรือไม่มีความตระหนี่ ดังนั้นดูเหมือนว่า ทุกคนจะถือหลักว่า ถ้าลงทุนแล้วต้องได้มาเกินทุน ดังนั้นจะลงทุนไปโดยตรงหรือโดยอ้อมชนิดไหนก็เหมือนกัน มันต้องได้มาเกินทุน ไม่ยอมให้น้อยกว่านั้น นี้เรียกว่าไม่ยอมบริจาคบริสุทธิ์ ไม่มี ไม่ ๆ ยอมบริจาคโดยบริสุทธิ์ เพราะความตระหนี่ มีมากแล้วก็ยิ่งต้องการจะให้มากยิ่งขึ้นไปอีก นี่เป็นเรื่องของความตระหนี่
นี้ถัดไปเรียกว่ามายา นี้หมายความว่าไม่ตรงกันทั้งข้างนอกและข้างใน คือจิตใจอย่างหนึ่ง แต่วาจาหรือคำพูดหรือกิริยาท่าทางนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งนี่ อาตมาไม่ต้องอธิบายก็คงจะเข้าใจกันได้ คำว่ามายาหรือมารยา หรือเจ้ามารยา
คำว่าสาเถยยะ แปลว่า โอ้อวดหรือโอ่อวด นี้น่าจะถือว่าเป็นสัญชาตญาณถึงขนาดที่ว่า แม้แต่สัตว์มันก็ยังโอ้อวด ลูกสุนัข ลูกไก่ หรือไก่ สุนัขนี้มันก็ยังมีอาการที่เรียกว่าโอ้อวด มันรู้จักแสดงท่าทางอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เป็นการโอ้อวดหรือข่มขี่กัน อย่างนกยูง นก ยิ่งเห็นได้ง่ายว่ามันโอ้อวดอะไรอยู่เรื่อย แต่คนก็ไม่หยอกเหมือนกัน เพราะว่าพร้อมที่จะอวด
อันนี้เป็นกิเลสที่ให้ฟังเทศน์ไม่รู้เรื่อง คือจิตใจพลอย เอ่อ, คอยครุ่นอยู่แต่ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสพูดออกมาหรือแสดงความคิดเห็นของตัวออกมา มันกลุ้มอยู่อย่างนี้แล้วมันจะฟังถูกได้อย่างไร มันต้องการจะอวดภูมิของตัวอยู่เสมอไป ตลอดเวลาฟังหรือคุยกัน สนทนากัน อภิปรายกัน ดังนั้นการอภิปรายมันจึงเป็นยุ่งเป็นยุงตีกันไปหมด เพราะต่างกันต่างจะโอ้อวด ดังนั้นถือว่าโทษของอุปกิเลสข้อนี้ก็ไม่น้อย
ถัดไปเรียกว่าถัมภะ แปลว่าหัวดื้อ ไม่มีอะไรกดลง ถัมภะนี้แปลว่าเสา แต่ความหมายทางธรรมะแปลว่าความหัวดื้อ หัวแข็งเหมือนกันเสา ใครลองกดลงบนหัวเสานี้มันกดลงหรือไม่ มันรับน้ำหนักได้เท่าไร ถ้าเสาลงยืนกันแล้วกดทางบนหัวของเสานี้ มันจะรับน้ำหนักได้มากจนเหลือ ๆ เชื่อทีเดียว นี่อาการของถัมภะหรือหัวดื้อก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ มันก็ยังมีอาการอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนใหญ่ ดังนั้นมันจึงทำกันยากในการที่จะอบรมจริยธรรมหรืออะไรที่เราต้องการจะอบรม
นี้ถัดไปเรียกว่าสารัมภะ อันนี้หมายถึงการบิดพลิ้ว บิดพลิ้วแก้ตัว แก้ตัวให้ตนเองก็ได้ คือเมื่อจิตใจมันอยากจะทำอะไรที่ไม่ควรทำแล้ว มันก็บิดพลิ้วให้ตัวเองได้จนได้ไปทำจนแล้วจนรอด ที่ว่าบิดพลิ้วคำสั่งที่ถูกต้อง งดงาม จริงจังที่สุด นี้ก็มีได้ด้วยสารัมภะ หน้าที่ทางสัญญาประชาคมที่จะช่วยกันประหยัดพัฒนานี้ ก็ถูกบิดพลิ้วด้วยสารัมภะ ซึ่งหมายความว่า ถึงอย่างไร ๆ ก็ต้องมีข้อแก้ตัวได้เสมอ ทางออกสำหรับข้อแก้ตัวนั้นหาได้ร้อยแปดอย่างเสมอไป นี่มันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงไอ้สารัมภะไว้ บดบิดพลิ้วเถลไถลรวนเร ไม่ได้ทำสิ่งที่ควรจะทำให้เต็มที่หรือเต็มรูป
นี้ถัดไปเรียกมานะ มานะนี่ถือตัว มี Ego มี Egoism ขึ้นมาจาก Ego แล้ว Egoism นี่เป็นเหตุให้รู้สึกว่า ฉันก็เป็นฉัน หมายความว่า ฉันก็เป็นฉันนี่ ดังนั้นยอมให้ใครไม่ได้ แต่ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามานะนี้ ถ้ารู้จัก Sublimate คือใช้มานะไปในทางดีแล้ว ก็ยังเป็นประโยชน์ได้ ที่เป็นอุปกิเลสนี้ เราหมายถึงมานะเพื่อกิเลส มานะเพื่อภูตผีปิศาจแห่งความสุขทางเนื้อหนัง เป็นต้น ดังนั้นจึงจัดเป็นอุปกิเลสไปหมด
นี้ถัดไปเรียกว่าอติมานะ คือดูหมิ่นคนอื่น จะถือตัวนั้นไม่พอแล้ว นี้มาเลยไปถึงว่าถือตัวมากเข้าก็ดูหมิ่นคนอื่น อาการดูหมิ่นคนอื่นนี้ เป็นได้โดยไม่รู้สึกตัว อย่าได้ประมาท ขอให้สังเกตดูดี ๆ เถิดว่า เรานี่พร้อมที่จะดูหมิ่นคนอื่นอยู่เสมอ ท่องไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถ้าช่องโอกาสมีแล้วมันโพล่งออกไปเอง เกิดเป็นโรค Habit ชนิดหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกกันว่า ผู้หญิงแล้วก็ต้องนินทาคนอื่น ที่ไปเที่ยวนั่งคุยตามเรือนของคนอื่นนั้นน่ะ ดูเป็นเรื่องนินทากันมากกว่าเรื่องอื่น นี้มันก็รวมอยู่ในเรื่องของการดูหมิ่นคนอื่น ดังนั้นถ้าใครพูดมาก เขาก็ต้องระวังคำพูด คนที่พูดน้อยก็ปลอดภัย
อันที่ ๑๕ เรียกว่ามทะ อันที่ ๑๖ เรียกว่าปมาทะ นี้คล้ายกันมาก มทะ แปลว่า เมา ปมาทะ แปลว่า เมาเต็มที่ ปมาทะคือประมาทน่ะคือเมาเต็มที่ มทะ มัวเมาในสิ่งที่เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะว่าความแห่งความสุขทางเนื้อหนังอีกเหมือนกัน ก็มัวเมาไม่สร่าง เป็นเครื่องเสพติดไปเลย ส่วนปมาทะ ประมาทนี่เราหมายถึงว่า พอเมาแล้วมันเสียสติ สติสูญเสียไป ความสูญเสียไปแห่งสติเรียกว่าปมาทะ ความมัวเมาที่เป็นเหตุให้สูญเสียสตินั้นเราเรียกว่ามทะ รวมกันเป็น ๑๖ อย่าง อย่างนี้เรียกว่าอุปกิเลส ๑๖ ประการ เป็นชีวิตประจำวันแท้ ๆ แต่ว่าในฝ่ายเสื่อมเสีย ในฝ่ายที่ทำให้เราเป็นทุกข์
ทีนี้อาตมาจะกล่าวถึงอีกสักหมวดหนึ่ง คือสิ่งที่เรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ ประการ นี้เป็นกิเลสที่ละเอียด ที่กล่าวไว้ในเรื่องราวของการบรรลุมรรคผลนิพพานโดยตรง แต่อย่าเพ่อหาว่าอาตมาเอาเรื่องไม่จำเป็นหรือนอกเรื่องมายัดเยียดให้ ขอให้ฟัง ทนฟังต่อไปสักนิดหนึ่งว่า สังโยชน์ ๑๐ กิเลสอันละเอียดนี้มันเป็นอย่างไร และเมื่อทำลายไปได้แล้ว จะเป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพานได้อย่างไร ดังนั้นเราจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรด้วย สักกายทิฏฐิเป็นข้อแรก นี้คือความเห็นแก่ตัว ความสำคัญว่ามีตัวแล้วเห็นแก่ตัวนั่นน่ะคือ Selfishness ทั่วไปเลย คือคนทั่วไปมี เป็นสังโยชน์อันแรกที่สุด
แล้ววิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจลงไปได้ว่าจะเอาอย่างไร นี้หมายถึงทุกอย่าง แม้ถึงกับไม่แน่ใจในหน้าที่การงานอาชีพนี่ จะเป็นครูดีหรือว่าจะข้ามฟากไปเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองดี นี้ก็ยังเรียกว่าวิจิกิจฉา หรือว่าธรรมะดีหรือโลกดีนี้ก็ยังไม่แน่ จริยธรรมนี้จะดีแน่หรือไม่ก็ยังไม่แน่ อุดมคติดีแน่หรือว่าเงินดีกว่านี้ก็ยังไม่แน่ ตลอดถึงไม่แน่ในเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม ไม่แน่ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือไม่แน่ในการที่จะยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จะถือพระศาลพระภูมิดีหรือถือพระพุทธเจ้าดีอย่างนี้ก็ไม่แน่ อย่างนี้มันเป็นวิจิกิจฉาไปหมด มันไม่แน่ลงไปได้
เรื่องที่ ๓ เรียกว่าสีลัพพตปรามาส ตามตัวหนังสือแปลว่าลูบคลำศีลและวัตรปฏิบัติให้เศร้าหมองไป สิ่งที่เรียกว่าศีลแลวัตรปฏิบัตินั้นน่ะ คือระเบียบปฏิบัติที่ดีที่งามที่จะทำให้คนเราดีขึ้น ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ทีนี้เราเข้าใจผิดต่อสิ่งเหล่านั้น เอาไปใช้ผิด ๆ ไม่มีเหตุผล อยู่นอกเหนืออำนาจของเหตุผลไปเสียเลย
เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราเข้าใจไม่ถูก ก็ไปเอานั่นเอานี่มาเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เซ่นด้วยข้าวปลาอาหารได้ไปทางนี้ก็มี เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์แขวนคอได้อย่างนี้ก็มี ล้วนแต่จับไม่ถูกตัวจริง ไม่ถูกสิ่งที่จะดับทุกข์ได้จริง แต่เอาชื่อนั้น ๆ น่ะมายึดถือ
นี้เรียกว่าลูบคลำศีลและวัตรเหล่านั้น ที่เคยบริสุทธิ์สะอาดใช้ประโยชน์ได้นั้นน่ะ ให้คล้ายเป็นเศร้าหมองใช้ประโยชน์ไม่ได้ไป อาการอย่างนี้มีมากเหลือที่จะจาระไน ดูเอาเองตามบ้านตามเรือน ตามการกระทำทุกอย่างที่ยัง ถือเคล็ด ถือลาง ถือโชค ถือคาถา ซื้ออะไรต่าง ๆ อยู่นี่ ไม่มีความมั่นใจตัวเอง ไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อเหตุผล ไม่อยู่ในวิสัยของเหตุผล อาการอย่างนี้ควรจะหมดไปตั้งแต่สมัยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นเสนาบดีนี่ เพราะท่านได้พูดเรื่องนั้นมาก แต่นักเรียนน่ะทำไมไม่เห็นหมดไปสักที
นี่ ๓ อย่างนี้ เรียกว่าสังโยชน์ ๓ อย่างทีแรก ที่ใครละได้แล้วเป็นพระโสดาบัน นี่ลองคิดดูว่า สูง ต่ำ ตื้น ลึก มากน้อยอย่างไร ละสักกายทิฏฐิเสียให้ได้ ละวิจิกิจฉาเสียให้ได้ ละสีลัพพตปรามาสเสียให้ได้ ๓ อย่างนี้เท่านั้นเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนั้นเป็นฆราวาสก็มี เป็นบรรพชิตก็มี ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้ ครองเรือนก็ได้ เป็นคนโสดก็ได้ ดังที่ปรากฏอยู่ในครั้งพุทธกาล นี้ถ้าเราละ ๓ อย่างนี้ได้แล้ว และเรายังละอื่น ๆ ได้มากอีกสักอัตราหนึ่งหรือว่าขนาดหนึ่งด้วย ยังเป็นพระสกิทาคามีซึ่งสูงขึ้นไป
นี้สังโยชน์ถัดไป ที่ ๔ เรียกว่ากามราคะ ที่ ๕ เรียกว่าปฏิฆะ อันนี้หมายถึงความยินดีในกามที่เป็นเหยื่อใยเหนียวหนืด ปฏิฆะ หมายถึงความหงุดหงิดด้วยอำนาจของความโกรธแต่ไม่ใช่เดือดพล่าน นี่ ๒ อย่างนี้ พระอรหันต์ อ่า, พระโสดาบันก็ละไม่ได้ พระสกิทาคามีก็ละไม่ได้ เพราะมันเป็นชั้นละเอียด ส่วนกามราคะหรือความโกรธอย่างหยาบ ๆ นั้น ท่านละได้ แต่ส่วนที่ละเอียดเร้นลับยังละไม่ได้ ถ้าละได้จะเป็นพระอนาคามี คืออริยบุคคลขั้นที่ ๓
นี้มันก็เหลืออยู่อีก ๕ ที่ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์จะต้องละ เรียกว่ารูปราคะ นี้ยินดีกำหนัดในความสุขที่เกิดจากสิ่งที่มีรูป หรือเป็นรูปบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกาม อรูปราคะ กำหนัดยินดีในความสุขที่เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีรูป และก็ไม่เกี่ยวกับกามเหมือนกัน
ดังนั้นอย่างที่ช่วยยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า คนแก่สักคนหนึ่งไม่ยุ่งด้วยกามคุณ แต่ไปหลงใหลใน ต้นบอน ต้นโกสน ต้นอะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นลาย เครื่องลายครามแจกันนี่ เป็นวัตถุอย่างนี้ จนลืมคนอื่น ลืมลูก ลืมเมีย นี้ก็มีได้
นี้อรูปราคะก็ไปหลงใหลในนามธรรม เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง หรืออะไรทำนองนั้น มุ่งแต่วิชาความรู้จนลืมลูกลืมเมียนี้ก็มีได้ นี่เป็นตัวอย่างชั้นต่ำ ๆ แต่โดยที่แท้เขาหมายถึง บุคคลที่บรรลุรูปฌานและอรูปฌาน แล้วหลงใหลในความสุขที่เกิดจากฌานทั้ง ๒ นั้น อย่างนี้พระอนาคามีก็ยังละไม่ได้ พระโสดา เอ่อ, พระสกิทาคาก็ยิ่งละไม่ได้ใหญ่ จะละได้ก็แต่พระอรหันต์
ทีนี้อันถัดไปเรียกว่ามานะ คือสำคัญตัวว่ามีอยู่ เป็นอย่างไร ดีกว่าเขา เลวกว่าเขา เสมอเขา ยุ่งไปหมด อย่างนี้เรียกว่ามานะ ความรู้สึกอย่างนี้ควรจะละเสีย ถ้าไม่ละแล้วมันจะมีเรื่องทุกข์ร้อนอยู่เสมอไป
นี้อุทธัจจะ หมายถึงความฟุ้งขึ้นแห่งจิต นี้ถ้าพูดง่าย ๆ เข้าใจได้ทันทีก็คือ Excite ต่าง ๆ คือความรู้สึกขึ้น รู้สึกสนใจขึ้นมาทีเดียว เมื่อได้ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส นั่นนี่ แม้ว่าไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการกามคุณ ไม่ต้องการอะไรหมด แต่ก็อดสนใจหรือขึ้นไม่ได้ เขาสนใจว่านี่มันจะเป็นอันตรายแก่เราไหมนี่ น่ากลัวไหม วิ่งหนีได้ไหม นี้ก็ขึ้นหรือสนใจ หรือบางทีก็ เออ, มันอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์อะไรได้บ้างกระมัง อย่างนี้ก็ยังขึ้นหรือสนใจ นี้เนื่องมาจากความที่ยังสงสัยหรือข้องใจอะไรอยู่นั่นเอง และมูลเหตุแท้จริงน่ะก็ยังเห็นแก่ตัวตนอยู่บางส่วนแม้น้อยเต็มที
นี้อันสุดท้ายจริง ๆ ก็คืออวิชชา สภาวะที่ปราศจากความรู้ ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์แท้จริง อะไรเป็นมูลเหตุให้เกิดทุกข์แท้จริง และอะไรที่จะไม่มีความ อ่า, เป็นสภาพที่เรียกว่าไม่มีทุกข์แท้จริง และอะไรที่จะเป็นทาง เป็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์แท้จริงนั้น คือถ้าละได้อีก ๕ อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์
นี่ ๑๐ อย่างนี้ก็เรียกว่ากิเลสเหมือนกัน เรียกด้วยชื่อเดียวว่ากิเลสเหมือนกัน แต่ว่าเป็นชั้นละเอียดจึงได้เรียกว่าสังโยชน์ โดยความหมายว่าผูกเย็บจิตใจสัตว์ไว้อย่างยิ่ง ไม่รู้สึกตัว ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อที่ในธรรมะชั้นสูง แล้วจะมาสอนเด็กได้อย่างไร มันก็ง่ายนิดเดียว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่นั้นเข้าใจเสียแล้วว่า ความหมายนั้นมันหมายถึงอะไร
สักกายทิฏฐิก็เรื่องเห็นแก่ตัว เด็ก ๆ เขาต้องเข้าใจได้ สอนเด็กไม่ให้เห็นแก่ตัวนั่นแหละคือสอนให้ละสักกายทิฏฐิ นี้สอนให้ละวิจิกิจฉา คือสอนให้เขาเป็นคนมีระเบียบปฏิบัติที่ แน่นอน ตายตัว ไม่มีลังเล ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง เป็นคนแน่ใจในหลักการ ในชีวิต ในสิ่งที่จะต้องทำลงไป อย่างนี้เรียกว่าวิจิกิจฉาละได้ นี้สีลัพพตปรามาสก็เหมือนที่กระทรวงศึกษาธิการเคยตั้งหน้าตั้งตาจะกำจัดไปทีหนึ่งแล้ว คือความไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผล นี่คือสีลัพพตปรามาส
ถ้าเรารู้จักความหมายของ ๆ ๆ สิ่งเหล่านี้แล้ว อาจจะดัดแปลงมาใช้แก้ไขเด็ก และเมื่อแก้ไขได้ มันก็เป็นการแก้ไขส่วนลึก ส่วนลึกที่สุดของจิตใจที่จะทำให้แก้ไขทางศีลธรรมได้จริง ๆ นี่มันจึงเป็นสิ่งที่ควรสนใจ ในรายงานการประชุม เอ่อ, อภิปรายอะไรที่มีเรื่องราวของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ซึ่งได้ให้ใช้สักกาย อ่า, ละสังโยชน์จิตนี้เป็นหลักสำหรับอบรมนักเรียนนั้น อย่าได้ถือว่าเป็นสิ่งไร้เหตุผล ซึ่งอาตมากำลังพูดอยู่อย่างเดียวกันนี้ แม้คำอธิบายจะไม่เหมือนกันบ้าง ก็เพราะว่าเล็งไปคนละแง่
ทีนี้ที่จะละเพื่อเป็นพระอนาคามี คือละ กามราคะ ปฏิฆะ นั้น เราก็เห็นชัดอยู่แล้วว่า เด็ก ๆ นี้ก็ยังกำหนัดในทางกามารมณ์เกินกว่าที่ควรจะเป็น และมีปฏิฆะทำให้จิตวุ่นวาย ในกรณีที่ไม่จำเป็นจะต้องมี มันก็ยังมีอยู่มาก
ส่วน รูปราคะ อรูปราคะ นั้นน่ะ ก็มีความหมายอย่างเดียวกันน่ะ อย่าไปมัวเมาในรูปวัตถุอะไรมากมายเกินไป เช่นมัวเมาในตุ๊กตามากเกินไปอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องรูปราคะ หรือมัวเมาในความสรรเสริญเยินยอ เขาเป่าหัวเป่าหูให้ชกให้ต่อยกันอย่างไรก็ได้อย่างนี้ มันเป็นเรื่องมัวเมาในอรูปราคะ
ส่วนมานะการถือตัวนั้นน่ะ ก็ให้รู้จักถือให้มันพอเหมาะพอสม ละส่วนที่ควรจะละออกไป ส่วนการละอุทธัจจะนั้นน่ะ คืออย่า Excite อะไรมากหรือง่ายเกินไป ส่วนอวิชชานั้นน่ะ ให้รีบเรียนสิ่งที่ควรจะต้องเรียนต้องรู้ให้มากขึ้นโดยเร็วนี่ (เสียงหายช่วงนาทีที่ 95:20-95:33) มากเพียงพอหรือเปล่า ถ้ายังไม่เพียงพอจนตัวเองก็วิ่งหนี ไม่สู้หน้า ไม่ยอมศึกษาถ้อยคำเหล่านี้แม้แต่สักคำเดียวนี้แล้ว แล้วจะใช้หลักการของพุทธศาสนาในการอบรมจริยธรรมของเด็ก ๆ ได้อย่างไร มันจึงไม่มีทาง
ถ้าเราจะให้เด็ก ๆ เข้าใจเรื่องนิพพาน ทำได้ง่าย ๆ อย่างนี้ โดยจับเด็กมาบอกว่าให้หัวเราะตลอดเวลานี่เอาไหม สั่นหัว ไม่เอา ให้ร้องไห้ตลอดเวลานั้นเอาไหม ก็ยิ่งไม่เอา เพราะฉะนั้นไอ้อยู่ว่าง ๆ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ นี้ดีกว่าใช่ไหม เด็กก็พอจะคิดได้ว่า ถ้าอย่าต้องหัวเราะต้องร้องไห้นี้ดูมันยังน่าสนุกกว่า ความหมายของคำว่านิพพานนี้ก็คือ ว่างอยู่ตรงกลาง ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ดีใจไม่เสียใจ เป็นจิตที่ว่างจากความรู้สึกคิดนึก ว่าตัวกู ว่าของกู นั่นเอง สอนไปในทำนองนี้ เราจะได้เด็กที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง รู้จักดำรงตนให้อยู่ในสภาพที่ปรกติ
ดังนั้นโปรด ขอวิงวอนว่า โปรดอย่าได้คิดว่ามีธรรมะข้อไหนที่อยู่สูงเหนือวิสัยที่จะนำมาอธิบายแก่เด็กได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกิเลสนี่ จะต้องเอามาศึกษาให้แตกฉานให้เข้าใจทั่วถึงกันหมด เพราะตั้งอยู่ในฐานะ เป็นอุปสรรค เป็นศัตรู เป็นความรวนเร และเป็นความพังทลายของจริยธรรมจริง ๆ
นี่เวลาได้หมดเสียก่อนแต่ที่อาตมาจะได้บรรยายให้หมด ตามที่ได้ตั้งใจไว้ในเรื่องกิเลส จึงขอยกไว้ต่อในวันหลัง จะสรุปความว่า ให้สนใจในเรื่องที่เรียกว่ากิเลสหรือสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนี้ ให้เป็นพิเศษกว่าเรื่องใด ๆ หมด ในบรรดาสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะอันตรายยิ่งไปกว่ากิเลส เพราะฉะนั้นจึงขอให้สนใจเรื่องที่เป็น อุปสรรค ศัตรู หรือความพังทลายของจริยธรรมนี้ ให้มากเป็นพิเศษ สมกับที่เราจะต้องใช้เวลาสัก ๒ วัน
อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ลง ด้วยความจำเป็นแก่เวลา เพียงเท่านี้