แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(นาทีที่ 00.17-00.37 เป็นบทสวดมนต์)
ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะสมควรลงด้วยเวลา เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันมาฆปุณณมี จึงมีสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจกัน ว่าวันเช่นวันนี้นั้นมีความสำคัญอย่างไรเกี่ยวกับพุทธบริษัท
ข้อแรก ก็คือ วันเพ็ญมาฆะ หรือ วันเพ็ญเดือนมาฆะนี้ เป็นวันที่นับอย่างจันทรคติ ถือเอาพระจันทร์เป็นหลักเกณฑ์สำหรับนับ จึงนับเมื่อพระจันทร์โคจรไปในกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ เมื่อพระจันทร์เต็มดวงโคจรอยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์ ชื่อว่ามาฆะ วันเพ็ญวันนี้ วันนั้นก็ชื่อว่า วันเพ็ญมาฆะ หรือมาฆปุณณมี พุทธบริษัทเรานิยมนับถือการนับปฏิทินทางจันทรคติดังนี้ จึงได้กำหนดเอาวันเพ็ญแห่งเดือนมาฆะหรือวันมาฆปุณณมีเป็นสำคัญ ถ้าจะนับอย่างสุริยคติ ก็นับเป็นเดือนกุมภาพันธ์ วันที่นั้นไม่แน่นอน ไม่คำนวณตามพระจันทร์ วันเพ็ญจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนไป ไม่ตรงเป็นวันเดียวกัน จึงไม่สามารถจะกำหนดนับได้โดยสุริยคติ สำหรับพุทธบริษัทเรา การที่นับเอาพระจันทร์เป็นหลักเกณฑ์เป็นทางจันทรคติดังนี้ สืบเนื่องมาจากขนบธรรมเนียมประเพณี (เสียงขาดหายนาทีที่ 2:50-2:59) เนื่องมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีของพุทธบริษัท และของต่างศาสนาด้วยกัน จึงล้วนแต่ถือเอาจันทรคตินี้เป็นเครื่องกำหนด เพราะฉะนั้นเราจึงได้วันเพ็ญทุกคราวไป ด้วยเหตุที่ถือเอาจันทรคติเป็นหลักนี้เอง
อีกทางหนึ่งพุทธบริษัทบางพวกอาจจะถือเอาสุริยคติ หรือถือเอาเดือนของตนเองเป็นประมาณ ถ้าเป็นดังนั้นการนับก็เปลี่ยนไป และไม่ลงรูปกับวันเพ็ญ ไม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่พุทธบริษัทอย่างฝ่ายเถรวาท เช่นประเทศไทย เป็นต้น เป็นอันว่าประเทศไทยเราได้ถือเอาวันมาฆปุณณมีเป็นหลักเช่นนี้เสมอไป
ข้อที่ว่าเหตุใดวันเช่นวันนี้จึงเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา วันเพ็ญมาฆะนี้ เป็นวันสำคัญขึ้นมาก็เนื่องจากพระอรหันต์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา ได้ประชุมกันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา ดังที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้ว และอีกประการหนึ่งนั้นเนื่องมาจากการที่พระพุทธองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร กำหนดวันปรินิพพานว่าจะมีในโอกาสสามเดือนหลังจากวันนี้เป็นต้นไป เมื่อเป็นดังนี้ เราก็ได้ความสำคัญของวันนี้เป็นสองอย่าง คือ
รวมเป็น ๒ ประการด้วยกัน ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ที่จะทำการวินิจฉัยกัน ในข้อที่จะถือเอาเป็นคติอย่างไรได้
ข้อแรก ที่ว่าประชุมจาตุรงคสันนิบาตนั้น มีใจความสำคัญอยู่ตรงที่พระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกัน และข้อความที่ทรงแสดงนั้น ก็คือ หลักธรรมะที่ทำบุคคลให้เป็นพระอรหันต์นั่นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยกัน ก็คือเรื่องความเป็นพระอรหันต์ ว่ามีความสำคัญอย่างไร? เกี่ยวเนื่องกันกับพวกเราเป็นอย่างไร? เป็นต้น
ถึงแม้การปลงพระชนมายุสังขารนั้นเล่า ก็กล่าวได้ว่า เป็นวิธีการหรือเป็นอาการอันหนึ่งของพระอรหันต์ซึ่งจะพึงกระทำได้ และพึงกระทำ
เพราะฉะนั้น เราวินิจฉัยรวมกันได้เลยทีเดียวว่า เรื่องของพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร? ถ้าได้ทราบเรื่องราวของพระอรหันต์อย่างถูกต้องแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ก็นับว่าเป็นการทราบเรื่องราว อันเกี่ยวกับวันมาฆบูชานี้อย่างครบถ้วนทีเดียว การที่จะเข้าใจเรื่องราวของพระอรหันต์นั้นไม่เป็นของง่ายนัก ถ้าจะวินิจฉัยกันแต่ตามตัวหนังสือหรือเรื่องราวในพระคัมภีร์แล้ว แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรแก่บุคคลผู้ได้ฟังได้ยินเพียงครั้งเดียว เพราะว่าจะต้องกำหนดศึกษาพินิจพิจารณากันมาก ด้วยเหตุฉะนี้ โอกาสเช่นวันนี้จะได้วินิจฉัยกันแต่ในทางที่จะเข้าใจได้สำหรับคนทั่วไป ว่าพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร? การที่พระอรหันต์ประชุมกัน ประชุมกันในวันไหน? ด้วยเหตุไม่นัดหมายเป็นต้นนี้ ยังไม่สำคัญเท่ากับข้อที่ว่า ความเป็นพระอรหันต์ของท่านนั้นเป็นอย่างไร? เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงได้สนใจ ในเรื่องของพระอรหันต์โดยตรง ว่าความเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างร? และจะเป็นประโยชน์แก่พวกเราเท่าที่จะถือเอาได้เพียงไรสืบต่อไปด้วย
เมื่อกล่าวเป็นคำถามขึ้นว่า พระอรหันต์นั้นคือบุคคลชนิดใด ดังนี้แล้ว ย่อมจะกล่าวได้ว่าพระอรหันต์เป็นบุคคลที่อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเรา มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับพวกเราในข้อที่ว่า พวกเราก็อยู่ภายใต้ความทุกข์โดยประการทั้งปวงเหมือนกัน ในเมื่อพระอรหันต์ท่านอยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ปัญหาก็จะมีว่า เราจะสนใจไปทำไม? นี้มันแล้วแต่บุคคลผู้ใดจะมีความประสงค์อย่างไร ถ้าบุคคลผู้ใดประสงค์จะอยู่ใต้ความทุกข์โดยประการทั้งปวงไปตามเดิม ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของพระอรหันต์เลยก็ได้ ก็จะได้มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง สมน้ำหน้าของบุคคลชนิดนั้นโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าบุคคลใด มีความหวังว่าจะบรรเทาความทุกข์นั้น จนกระทั่งอยู่เหนือความทุกข์แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องสนใจเป็นธรรมดา และจะต้องมีความสนใจมากเป็นพิเศษ สำหรับบุคคลที่อยากจะดับทุกข์สิ้นเชิง หรือสำหรับบุคคลที่มีความคิดว่า เราเกิดมาทั้งทีจะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับ เพราะฉะนั้น บุคคลประเภทนั้นจึงมีความสนใจในเรื่องของพระอรหันต์ยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด จนได้รับประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้รับจริงๆ
ข้อที่ว่าคนเราเกิดมาควรจะอยู่ภายใต้ความทุกข์ หรืออยู่เหนือความทุกข์นั้น นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดก็แทบจะกล่าวได้ แต่ถ้าคนบางคนมาเกิดท้อถอย เกิดความท้อแท้ ว่าคนอย่างเราหรือคนทั่วไปไม่สามารถจะอยู่เหนือความทุกข์ได้ดังนี้แล้ว ก็ไม่สนใจ ถือเสียว่าเป็นสิ่งสุดวิสัย ดังนี้ ก็เพราะเหตุว่าเป็นกรรม เป็นบาปของบุคคลนั้นเอง ที่ไม่พยายามเข้าใจให้ถูกให้ตรงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เป็นผู้สมัครที่จะมีแต่ความทุกข์ หรือทนทุกข์โดยสิ้นตา แต่ถ้าบุคคลบางคนมันมีความคิดนึกว่า สิ่งนี้ต้องไม่เป็นสิ่งที่เหนือวิสัย ถ้าเป็นสิ่งที่เหนือวิสัย พระพุทธเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ก็เพื่อที่จะช่วยสัตว์โลก เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์จะต้องไม่เหนือวิสัยที่สัตว์โลกจะปฏิบัติตาม
และอีกประการหนึ่งนั้น ถือกันว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ตรัสรู้ถึงที่สุดและด้วยพระองค์เอง การตรัสรู้ถึงที่สุดในสิ่งที่ควรรู้ทั้งปวง เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความตรัสรู้ในสิ่งทั้งปวงและถึงที่สุดนั้นเอง จะต้องทำให้พระองค์ทรงแสดงธรรมที่ไม่อยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ฉลาดถึงที่สุดและรู้สิ่งทั้งปวง ย่อมสามารถทรงแสดงธรรมะนั้น ให้อยู่ในสภาพที่มนุษย์ทั้งหลายจะพึงเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงไว้ต้องไม่เป็นสิ่งที่เหลือวิสัยเลย เมื่อมีความคิดนึกมาในทำนองนี้ ก็พอที่จะเกิดความสนใจ และเกิดความพยายามพากเพียร ที่จะมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และพยายามศึกษาประพฤติปฏิบัติจนได้รับประโยชน์ตามสมควรที่จะได้รับ นี้เรียกว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และเป็นพุทธบริษัท
แต่ถ้ากล่าวให้กว้าง กว้างออกไปแล้ว จะเป็นพุทธบริษัทหรือไม่เป็นพุทธบริษัทก็ตาม ความดับทุกข์ย่อมเป็นเหมือนกันหมด การทำความดับทุกข์ก็เหมือนกันหมด เพราะว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และนำมาสอนนี้เป็นสิ่งสากลของธรรมชาติ ที่ว่าพระองค์กล่าวไปตามความจริงของธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ตรัสเอาเอง และไม่ใช่ตรัสเฉพาะบุคคลบางหมู่บางพวก แต่ตรัสในฐานะที่เป็นความจริงของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ไม่ต้องกล่าวถึงมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ แม้พวกเทวดา พวกพรหมในสวรรค์ก็ยังต้องเป็นอย่างนี้ คือจะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน แม้จะต่ำลงไปจนถึงพวกสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย เป็นต้น ก็ยังมีกฎเกณฑ์อย่างนี้ มีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน ในการที่จะปฏิบัติเพื่อทำความดับทุกข์ให้แก่ตน
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งสำหรับทุกคน โดยไม่ยกเว้นผู้ใดเลย แต่การที่มีคนบางคนเกิดเข้าใจผิด แล้วเดินเถลไถลออกไปเสียนอกทางนั้น นับว่าเป็นกรรมของบุคคลนั้นเอง จะทำอย่างไรได้ เพราะเหตุเช่นนี้แหละ จึงจำเป็นที่จะต้องพูดกัน แต่ในบุคคลที่ไม่มีบาปกรรมมากเกินไป คือ จัดเป็นบุคคลที่ไม่อาภัพ แต่เป็นบุคคลที่มีความสมควรมีความเหมาะสมที่จะทำความดับทุกข์ให้แก่ตนได้ เรื่องราวของการทำความดับทุกข์สิ้นเชิง นั่นแหละคือเรื่องราวของการทำความเป็นพระอรหันต์ และผู้ที่ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงไม่มีเหลือ นั่นแหละคือบุคคลประเภทที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นถ้าบุคคลผู้ใดมีความนิยมในการทำความดับทุกข์สิ้นเชิงแล้ว ก็ควรจะสนใจในเรื่องราวของพระอรหันต์โดยตรง เพราะไม่มีเรื่องอื่นนอกไปจากนี้
ข้อที่กล่าวว่า เรื่องราวของพระอรหันต์เป็นความดับทุกข์โดยตรงนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ใครบัญญัติขึ้นหรือว่าเอาเอง แต่ว่าเรื่องได้เป็นมาอย่างนั้น คือว่าบุคคลที่รู้เรื่องความจริงของความทุกข์ จนปฏิบัติดับทุกข์ได้สิ้นเชิง คนนั้นก็เป็นผู้พ้นทุกข์ แล้วเราเพิ่งมาเรียกกันเอาเองตามความพอใจ ตามความเคารพว่า พระอรหันต์ ฟังดูเป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทางหนึ่ง เลยทำให้เกิดความนิยมไปในทางขลัง ทางศักดิ์สิทธิ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดในเรื่องอันเกี่ยวกับพระอรหันต์ด้วยเหมือนกัน เพราะจะต้องทำจิตใจให้เป็นกลาง ให้รู้จักความทุกข์ รู้สึกกลัวความทุกข์ เบื่อระอาต่อความทุกข์ แล้วพยายามทำความดับทุกข์นั้นเสีย จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์อย่าไปสนใจ เมื่อดับทุกข์หมดสิ้นเชิงแล้ว จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ไม่มีปัญหาอะไร และว่าโดยที่แท้ก็ย่อมเป็นพระอรหันต์อยู่โดยถูกต้องและในตัวมันเอง ไม่ต้องไปคิดไปนึกในข้อนี้ให้เสียเวลา เพราะถ้ายิ่งไปคิดไปนึกก็ยิ่งเกิดความยึดมั่น-ถือมั่น เป็นความหลงใหล เป็นความทะเยอทะยานอยาก อยากที่จะเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่อาจจะเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยความอยาก ยิ่งมีความอยาก ก็ยิ่งไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นจะต้องหยุดความอยากโดยประการทั้งปวง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องอยาก ถ้ามีความอยาก ก็อยากไปในทางที่จะดับความทุกข์ เพราะว่าการอยากในทางที่จะดับความทุกข์นี้ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น-ถือมั่น ไม่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นคำที่ขลัง ฟังแล้วน่าอยาก เหมือนอยากเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เหล่านั้นเป็นต้น คำเหล่านั้นถูกเสี้ยมสอนให้เห็นเป็นของขลัง น่าอยาก แล้วก็อยากกันด้วยความหลงใหลไปเสียหมดแล้ว เลยยิ่งไม่เป็นพระอรหันต์มากยิ่งขึ้นทุกที เพราะเป็นความอยากที่เข้าข้างตัว เห็นแก่ตัว ไม่มีความรู้-ความเข้าใจว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไรโดยแท้จริง แต่ก็อยากด้วยความหลงๆกันเท่านั้นเอง อยากด้วยความเห่อเหิม ทะเยอทะยานที่จะเป็นอริยบุคคล จนเป็นบ้าเป็นหลัง รักษาไม่หายดังนี้ก็มี นั่นแหละคือความอยากในการที่จะเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น ของบุคคลที่ไม่มีความรู้เพียงพอ และเป็นอันตรายเพราะเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น-ถือมั่น
ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นได้แก่ ความอยากจะดับทุกข์ ข้อนี้ไม่เป็นอันตราย ข้อนี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น-ถือมั่น เพราะว่าถ้าความทุกข์ปรากฏชัดอยู่จริงๆ แล้วต้องการ อยาก ประสงค์ ปรารถนา ที่จะดับมันเสีย ก็พยายามทำไปเรื่อยๆ ในทางที่จะดับมัน มันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เข้าใจผิด หรือเป็นความหลงยึดถือ ในทำนองเป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ไปได้ จึงเป็นไปโดยเรียบร้อย ความทุกข์หมดไปโดยลำดับ จนกระทั่งหมดทุกข์สิ้นเชิง ก็สามารถที่จะเป็นผู้อยู่เหนือความทุกข์ หรือที่เรียกกันอย่างไพเราะว่าเป็นพระอรหันต์นั้นได้ ถ้าไม่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสามารถที่จะเป็นผู้มีความทุกข์เบาบาง มีความทุกข์แต่เล็กน้อย พอสมกับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ไม่มีความทุกข์เต็มที่เหมือนบุคคลที่โง่-หลง งมงายเต็มที่ คือ ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมะอยู่ในใจของตนเลย
เป็นอันว่าการที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับธรรมะ ที่ทำความเป็นพระอรหันต์นั้น อย่าได้ทำไปด้วยความยึดมั่น-ถือมั่นในความเป็นพระอรหันต์เป็นต้น แต่ให้มีความแน่วแน่ในการที่จะดับทุกข์ หรือทำลายความทุกข์ของตนเองจริงๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา หลงใหลในเกียรติยศชื่อเสียงที่สูงสุดเช่นนั้น สิ่งต่างๆก็จะเป็นไปด้วยดี คือ สามารถที่จะบรรเทาความทุกข์ของตนเองได้คราวละเล็กละน้อย เป็นลำดับๆไปทุกวัน ไม่ใช่ทำด้วยความละเมอ-เพ้อฝัน ว่าจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาปุบปับ ด้วยอาการทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งไม่เคยสมประสงค์แม้แก่บุคคลใดเลย เพราะเป็นความหลงผิดโดยสิ้นเชิง
บุคคลที่เป็นพระอรหันต์ท่านไม่ทะนงตัว ไม่สำคัญตัว ไม่ยึดถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์ บุคคลที่ไม่เป็นพระอรหันต์ต่างหากที่หลงไป ยกย่อง สรรเสริญ หรือกระหยิ่ม ต่อความเป็นอย่างนั้นแทนพระอรหันต์เสียเอง นี้ก็เป็นเพราะว่าคนธรรมดาสามัญนั้น มีความกระหยิ่ม อยากที่จะเป็นนั่น-เป็นนี่ และอยากจะเป็นให้สูงสุดกว่าคนทั้งปวง จึงกระหยิ่มเรื่องความเป็นพระอรหันต์ ของพระอรหันต์ ไม่ใช่ของตนเองเลย แต่ก็ไปกระหยิ่มในความเป็นพระอรหันต์ ของพระอรหันต์ ทั้งที่พระอรหันต์ไม่มีความรู้สึก และไม่มีความกระหยิ่มในความเป็นพระอรหันต์ของตน
ขอให้พิจารณาดูเถิดว่ามันต่างกันอย่างไร? ในระหว่างบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ กับบุคคลที่ไม่เป็นพระอรหันต์ คนที่มีความทะเยอทะยาน มีความกระหยิ่มที่จะเป็นนั่น-เป็นนี่อยู่ตลอดเวลานั้น ไม่มีทางที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ในทางที่ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านั้นแหละเป็นสิ่งที่จะต้องบรรเทาลงไป คือ อย่าได้มีความกระหยิ่ม ทะเยอทะยาน ในการที่จะเป็นอะไร หรือ ลดบรรเทา ความกระหยิ่ม ความทะเยอทะยานนั้นให้น้อยลงตามลำดับ ตามลำดับ ก็จะสามารถดำเนินตนใกล้ความเป็นพระอรหันต์เข้าไปได้ทุกที โดยไม่รู้สึกตัวก็ยังได้ นี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การเป็นพระอรหันต์นั้น หมายถึง การทำลายความอยาก ความปรารถนา หรือความต้องการของกิเลสตัณหา ออกไปเสียตามลำดับ ตามลำดับ แต่เป็นผู้มีสติปัญญา พิจารณาเห็นสิ่งทั้งปวง โดยความเป็นของที่เราไม่ต้องอยาก แต่มีสติปัญญาแล้ว ก็ทำมันไปตามสมควรแก่เหตุผล สติปัญญาบอกให้รู้ว่าควรทำ ควรทำเพราะเหตุใด? และควรทำอย่างไร? จิตใจจึงจะไม่เป็นทุกข์ แล้วก็ทำไปตามนั้นก็แล้วกัน
การที่จะไม่ทำอะไรเสียเลยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราต้องทำ เราต้องทำอะไรทุกๆอย่างที่ควรจะทำ ปัญหามันมีอยู่ว่าในการทำนั้น เราจะทำให้มันเป็นทุกข์ หรือ ทำให้ไม่เป็นทุกข์ ถ้าจะทำไม่ให้เป็นทุกข์ ต้องทำด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา หรือความอยาก ถ้าต้องการให้มันเป็นทุกข์ นั่นแหละ จึงค่อยทำด้วยกิเลสตัณหา หรือด้วยความอยาก จะทำอะไรสักนิดหนึ่งก็ตาม ถ้าทำด้วยความรู้สึกที่เป็นความอยาก หรือเป็นกิเลสตัณหาแล้ว ต้องมีความทุกข์โดยแน่นอน แต่ถ้าทำด้วยสติปัญญา อย่าให้กิเลสตัณหาต้องมาเกี่ยวข้องแล้ว แม้จะทำมากมายก่ายกองเพียงไร ก็หาเป็นความทุกข์ไม่ เพราะสติปัญญารู้จักทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่แหละเรียกว่า สติปัญญาของพระอรหันต์
สติปัญญาของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ คือ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอยาก หรือเป็นทุกข์ ทำให้เราทำสิ่งต่างๆไปได้มากมาย โดยไม่ต้องอยากหรือต้องเป็นทุกข์ เราจึงไม่มีความทุกข์เลยโดยประการทั้งปวง อย่างนี้เรียกว่าสติปัญญาแท้ ถึงจะทำอะไรก็ควบคุมความอยากไว้ได้ ไม่มีความอยากจนเป็นทุกข์ เลยเป็นผู้ชนะความอยากอยู่ตลอดเวลา เมื่อชนะความอยากแล้วก็เป็นการชนะความทุกข์ด้วย และเมื่อเป็นการชนะความอยากและความทุกข์แล้ว ก็ย่อมเป็นการชนะสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งหมด ทั้งสิ้น ในโลกนี้ และโลกอื่นๆ ด้วย เป็นอันว่าเป็นผู้ชนะโดยประการทั้งปวง เพราะไม่มีความอยาก เพราะเอาชนะความอยากเสียได้ และเป็นผู้มีสติปัญญาอยู่โดยสมบูรณ์ นี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดลงไปข้อหนึ่งแล้วว่า ถ้าเราจะทำอะไรไม่ให้เป็นทุกข์ เราต้องทำด้วยสติปัญญาที่เหมาะสม ที่เพียงพอ อย่าไปทำด้วยกิเลสตัณหาในเรื่องนั้นเป็นอันขาด
บางคนอาจจะคิดว่าถ้าไม่ทำด้วยกิเลสตัณหา ไม่สนุก ข้อนี้ มันมีความหมายแตกต่างกันเป็นสองอย่าง คือ
สนุกอย่างคนมีกิเลสตัณหา ก็ต้องได้มานอนก่ายหน้าผากเสียน้ำตา สมน้ำหน้าของมันอีกตามเคย
แต่ถ้าทำด้วยสติปัญญาแล้ว ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น แม้จะไม่ต้องหัวเราะ แม้จะไม่ต้องร้องไห้ ก็มีชัยชนะอยู่ตลอดเวลา คือประสบความสำเร็จ สิ่งต่างๆเป็นไปด้วยดี เป็นผู้ที่มีความต้องการอันสำเร็จได้ โดยไม่ต้องร้องไห้ โดยไม่ต้องหัวเราะ การเป็นอย่างนี้เรียกว่าเป็นความสนุกของบุคคลที่มีปัญญา ถ้าจะเรียกว่าหัวเราะก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ส่วนเรื่องร้องไห้นั้นเป็นไม่มีเลย เพราะว่าการร้องไห้นั้น มันมาจากการไม่ได้สมตามที่อยาก ถ้าเราไม่อยากเสียแล้ว มันก็ไม่มีการที่ไม่ได้สมตามที่อยาก และมันก็ไม่มีการร้องไห้ หรือการต้องร้องไห้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการร้องไห้ จะมีก็แต่การหัวเราะ แต่ก็ไม่ใช่หัวเราะเฮฮาอย่างคนโง่ๆ การหัวเราะเฮฮาเพราะได้อย่างใจของคนโง่ๆนั้น มันคู่กันกับการร้องไห้ มันเหน็ดเหนื่อยเพราะความอยาก เพราะฉะนั้น มันก็เป็นการร้องไห้อย่างโง่เขลาชนิดหนึ่งนั่นเอง คือการหัวเราะเพราะได้อย่างใจนั่นแหละ เป็นการร้องไห้อย่างโง่ๆอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง
เป็นอันว่ามันมีแต่ความแผดเผา มีแต่ความทนทรมานด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นผู้มีสติปัญญา ไม่มีกิเลส-ตัณหาที่เป็นเหตุให้ทำแล้ว มันหัวเราะแท้จริง คือ หัวเราะด้วยจิตใจ หัวเราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นไปตามที่มันเป็นของมันเอง แล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ มันทำให้เรามีความทุกข์ไม่ได้ เรามองเห็นอยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราหัวเราะเยาะมันเพราะเราทายถูก และในที่สุดเราหัวเราะเยาะมันเพราะมันทำอะไรให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ได้ การหัวเราะอย่างนี้จึงผิดกันไกลกับการหัวเราะของบุคคลที่หัวเราะสรวลเส เฮฮา เพราะได้อะไรมาสมตามความอยากของตน การหัวเราะชนิดนั้นมันก็ต้องเป็นของสำหรับคนที่มีกิเลสตัณหาอยู่ดี และต้องมีความอยาก ครั้นได้สมอยากจึงหัวเราะ แต่ว่ามันจะสมอยากไปได้สักเท่าไร ในเมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ช้ามันก็ต้องร้องไห้ถ้ายังมีความอยากอันนั้นอยู่ มีความหลง-อยากในสิ่งที่ได้มา หลง-รักในสิ่งที่ได้มา อยาก-ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดมันก็ต้องร้องไห้เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนแปลงไป หรือว่าเพราะสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปตามที่ตนต้องการ คือรักมาก-ยิ่งอยากมาก อยากจะให้เป็นไปตามความต้องการของตนมาก มันก็ยิ่งไม่เป็นไปตามความต้องการของตนมากขึ้นอีก เพราะตนอยากมากเกินไปนั่นเอง ถ้าตนอยากแต่น้อยมันก็พอจะเป็นไปได้บ้าง แต่ถ้าไม่อยากเสียเลย มันก็ไม่มีความผิดหวังในข้อนี้เลย จึงเป็นอันว่าไม่ต้องร้องไห้ และไม่ต้องหัวเราะชนิดที่เป็นการสรวลเส เฮฮา
การร้องไห้ การสรวลเส เฮฮาเป็นของคู่กัน และเป็นของบุคคลที่มีความอยาก ส่วนบุคคลที่มีชัยชนะ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาสมบูรณ์นั้น มีแต่หัวเราะทั้งสองอย่าง คือ เมื่อไม่เป็นไปตามที่ตนต้องการ ก็หัวเราะเยาะว่ามันเป็นอย่างนั้นเองของมันเองตามธรรมชาติ แม้มันเป็นไปตามต้องการ ก็หัวเราะเยาะว่าเราไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ใช่สิ่งที่เราจะหลงรัก หลงอยาก หลงต้องการ จะมีมาก็ได้ ไม่มีมาก็ได้ เราถือเอาเพียงความสะดวกสบายในการเป็นอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงหัวเราะเยาะทั้งสองทาง คือ ทั้งที่เป็นไปตามต้องการ และทั้งที่ไม่เป็นไปในทางที่ต้องการ จึงเป็นผู้ไม่มีความทุกข์เลย ลักษณะของบุคคลเช่นนี้แหละ เรียกว่า บุคคลผู้ชนะสิ่งทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดมาทำบุคคลนี้ให้เร่าร้อน ให้เดือดร้อน ให้เป็นทุกข์ได้แต่ประการใด นับว่าเป็นอุบายวิธีที่ฉลาดที่สุดของมนุษย์เรา หรือถ้าถือว่าเป็นศิลปะก็เป็นยอดของศิลปะแล้ว และบรรดาบุคคลทั้งหลาย ที่นิยมศิลปะนั้น ควรจะรู้จักศิลปะอันสูงสุดของมนุษย์ กล่าวคือ ศิลปะที่เอาชนะความทุกข์ทั้งปวงได้นี่เอง
เป็นอันว่าบุคคลประเภทใดก็ตาม จะถือเอาความจริงก็ตาม จะถือเอาโดยเป็นอุบายวิธีก็ตาม จะถือเอาแม้แต่เป็นเพียงศิลปะก็ตาม เรื่องทั้งหมดนั้นก็จะต้องเป็นไปในเรื่องของพระพุทธศาสนา คือ เรื่องธรรมะที่ทำบุคคลให้เป็นพระอรหันต์ ให้อยู่เหนือความอยาก เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวงดังนี้ เป็นอันว่า ในบรรดาเรื่องราวทั้งหลายที่มนุษย์เราควรจะรู้ ควรจะทำนั้น ไม่มีเรื่องใดจะประเสริฐสูงสุดไปกว่าเรื่องนี้ คือ เรื่องที่ทำให้เราเป็นผู้ชนะ อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวงนี้เอง เพราะฉะนั้นเมื่อมีการกล่าวถึงพระอรหันต์ หรือ การทำพิธีเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เช่นเรากระทำในวันนี้แล้ว เราจะต้องระลึกนึกถึงความชนะ คือ ความชนะสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จนไม่มีสิ่งใดมาทำให้เราหัวเราะ หรือร้องไห้ได้ แต่จะมีสติปัญญาสำหรับหัวเราะเยาะ หัวเราะอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นการหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะด้วยสติปัญญาอยู่ในภายใน คือ มีความสนุกสนานตามแบบของบุคคลผู้มีปัญญานั่นเอง ไม่ต้องสนุกสนานไปตามแบบของบุคคลที่จะต้องหลั่งน้ำตา หรือ หัวเราะชนิดที่ทำให้ท้องคัดท้องแข็ง เหนื่อยอกเหนื่อยใจเช่นเดียวกันกับการร้องไห้
ถ้าเราระลึกนึกถึงพระอรหันต์ เราอย่าเพียงแต่ยึดถือในคำคำนี้ว่าเป็นคำสูงสุด แต่เรายังต้องระลึกนึกถึงข้อที่คนเรานี่แหละ จะต้องทำตนให้เป็นอย่างนั้นให้จนได้ คือ ให้อยู่เหนือความทุกข์ให้จนได้ ให้ชนะสิ่งทั้งหลายทั้งปวง อย่าให้มีสิ่งใดมาเบียดเบียนจิตใจให้เร่าร้อน หรือเดือดร้อนได้ นั่นแหละจึงจะสมกันกับการที่เราระลึกนึกถึงพระอรหันต์ หรือเราออกปากเอ่ยชื่อถึงพระอรหันต์ หรือเรามาทำพิธีเป็นที่ระลึก เป็นการบูชาแก่พระอรหันต์ เช่นที่กระทำในวันนี้ เป็นต้น หรือว่าเราจะสวดร้องท่องบ่น สิ่งที่เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ก็ตาม จิตใจของเราจะต้องระลึกนึกถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ สะอาด สว่างไสว แจ่มแจ้ง สงบเย็น ไม่มีอะไรมาบีบคั้นให้เร่าร้อน เดือดร้อนได้แต่ประการใด จึงจะได้ชื่อว่าวันนี้เป็นวันมาฆบูชาสำหรับเราอย่างเต็มที่และอย่างถูกต้อง ถ้าผิดจากนี้แล้ว มันก็เป็นวันหยุดการงานของคนทำงาน หรือเป็นการหยุดโรงเรียนของเด็กโรงเรียน แม้แต่เด็กอมมือก็รู้จักดีใจว่าได้หยุดโรงเรียน นี้ไม่เป็นการทำมาฆบูชาที่ถูกต้องเลย ถ้าจะให้เป็นการทำมาฆบูชาที่ถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่เพียงแต่หยุดโรงเรียนหรือหยุดการงาน แต่มันจะต้องเป็นการทำจิตใจของเราเอง ให้มีความรู้ สว่างไสว แจ่มแจ้ง ในเรื่องของพระอรหันต์ และพยายามทำจิตใจของเราให้คล้ายกับจิตใจของพระอรหันต์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่ทำด้วยความทะเยอะทะยานอยาก ด้วยกิเลสตัณหาว่า กูจะเป็นพระอรหันต์ ดังนี้ก็หาไม่ เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้น มันยิ่งไม่ได้ และจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง สำรวมเป็นอันดี มีสติสัมปชัญญะ อย่าให้กิเลสตัณหามาครอบงำต่างหาก เมื่อทำได้ดังนั้น จิตใจของบุคคลผู้นั้นก็จะเป็นจิตใจที่คล้ายกันกับจิตใจของพระอรหันต์ขึ้นมาทันที แม้ว่าจะไม่เป็นไปโดยตลอดและเด็ดขาด เป็นเพียงชั่วครู่-ชั่วยามหรือชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่งก็ยังประเสริฐสุด เป็นสิ่งประเสริฐสุดที่มนุษย์ได้รับ วันหนึ่งคืนหนึ่งดังนี้ แล้วจะเอาอย่างไรเล่า
ตามธรรมดาเรามีจิตใจมืดมัว เร่าร้อน กระวนกระวาย ดิ้นรน ระส่ำระสาย วิ่งไป-วิ่งมา หาความสงบระงับมิได้ อยู่ตลอดทั้งเดือนทั้งปีแล้ว จะไม่เป็นการสมควรบ้างเลยเชียวหรือว่า เราจะมีความสงบเยือกเย็นสักวันหนึ่งคืนหนึ่ง เพื่อรู้ถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ข้อนี้ไม่เป็นการขาดทุน ไม่เป็นการเสียหายอะไร ถ้าคิดนึกไปในแง่ของการพักผ่อน ก็เป็นการพักผ่อนอย่างยิ่ง ถ้านึกไปในแง่ของการศึกษา ก็เป็นการศึกษาอย่างสูงสุด ถ้านึกไปในแง่ของการทำความดี ก็เป็นการทำความดีสูงสุด จนอยู่เหนือความดีโดยประการทั้งปวง
เป็นอันว่าการที่เสียสละเวลาและเสียสละสิ่งต่างๆ มาทำกาย วาจา ใจของตน ให้อยู่ในร่องในรอยของพระอรหันต์ในวันเช่นวันนี้นั้น เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดสำหรับบุคคลทุกประเภทแล้ว เพราะว่าแม้แต่บุคคลประเภทที่ยังต่ำอยู่ ยังมีกิเลสหนาอยู่ มันก็ยังเป็นการดีอยู่นั่นเอง ที่จะทรมานกิเลสนั้นเสียบ้าง หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะได้มีความรู้อย่างถูกต้องว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะแก้พิษ แก้อำนาจของกิเลสได้โดยแท้จริง ถ้าเมื่อใดกิเลสลุกลามมากเกินไป ก็จะได้รู้จักอาศัยสิ่งนั้น นำสิ่งนั้นมาใช้แก้กิเลสของตนได้ ตามสมควร เป็นการที่ดีกว่าที่จะไม่รู้เสียเลยเป็นไหนๆ เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีความทุกข์เกินไป และไม่มีความโง่หลงถึงกับจะต้องไปฆ่าตัวตาย เหมือนกับคนโดยมากเป็นกันอยู่ นี้คืออานิสงส์ของเรื่องของความเป็นพระอรหันต์ ที่อาจจะมีแม้แก่บุคคลที่เป็นขั้นต้นขั้นต่ำหรือเป็นปุถุชนถึงที่สุด เมื่อบุคคลที่เป็นปุถุชนถึงที่สุดก็ยังได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้แล้ว บุคคลที่มีความเป็นปุถุชนเบาบางก็ยิ่งต้องการความเป็นอย่างนี้มากขึ้น คือ สามารถที่จะทำตัวเองให้ก้าวหน้าไปถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้รับนี้ได้มากขึ้น
เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงได้มีความมั่นใจ มีความแน่ใจในการจะทำพิธีมาฆบูชานี้ ด้วยการทำจิตใจของเราให้คล้ายกันกับจิตใจของพระอรหันต์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้ ว่าเป็นวันที่ระลึกสำหรับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในปีหนึ่งนั้นมีเพียงวันเดียว คือ วันเช่นวันนี้เท่านั้น ที่กำหนดไว้สำหรับพระอรหันต์โดยเฉพาะ เมื่อวันเช่นวันนี้มาถึงเข้า และเราก็อยากจะทำการบูชาในวันนี้ มันก็ไม่มีสิ่งอื่นใดดีไปกว่าที่จะทำให้ถูกเรื่องถูกราว คือ ทำให้ถูกเรื่องถูกราวของพระอรหันต์นั่นเอง กล่าวคือ การทำจิตใจของตนให้คล้ายกับจิตใจของพระอรหันต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้แต่ลูกเด็กๆ ตัวเล็กๆ ก็จะต้องมีความตั้งอกตั้งใจ ว่าเราจะระมัดระวังรักษาจิตใจของเราในวันนี้ ให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ระงับดับหายไป อย่าให้เกิดขึ้นในใจได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมาในใจ เราจะต้องหลบเลี่ยงให้มากที่สุด เราจะต้องอดกลั้นอดทนให้มากที่สุด เราจะต้องบรรเทา ทำลายมันลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยสติปัญญาของเราเอง
ถ้าเป็นดังนี้แล้ว แม้เป็นลูกเด็กเล็กๆ ก็ยังได้ชื่อว่าบูชาพระอรหันต์ โดยวิธีที่ถูกต้องยิ่งกว่าคนแก่-คนเฒ่าที่ไม่รู้จักทำอะไร เอาแต่ธรรมเนียม ประเพณี พิธีรีตองอย่างเดียวไปจนตาย พิธีรีตองนั้นเป็นเพียงเครื่องยึดบุคคลไว้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามที่พิธีรีตองนั้นต้องการเท่านั้น แต่หาสามารถทำให้ก้าวหน้าไปจนถึงความจริง คือ ความดับทุกข์ตามแบบของพระอรหันต์ทั้งหลายได้ไม่ แต่ถ้าเราเลิกล้างพิธีรีตองเสีย อย่าให้มาฝังแน่นอยู่ในจิตใจ จะได้เอาของจริงเข้าว่า เอาของจริงเข้าว่า ก็คือ การตั้งอกตั้งใจ ขจัดความชั่ว กิเลสและความทุกข์ ออกไปเสียจากใจให้ได้ นั่นแหละชื่อว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ดังที่เราได้ยินได้ฟังมาในพระคัมภีร์นั้น พระอรหันต์ที่เป็นเด็กๆก็ยังมี ไม่ใช่มีแต่พระอรหันต์ที่เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นคนแก่-คนเฒ่า และแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยมากก็ยังมี นี้ก็เพราะเหตุที่ว่า ความเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ได้อยู่ที่อายุ หรือวัย-เวลา หรือสถานที่ แต่ว่าอยู่ที่สติปัญญา ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนเพียงพอ ถ้ามีอุปนิสัยเพียงพอ เข้าใจในสิ่งนั้นๆได้แล้ว ก็สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้ โดยไม่จำกัดอายุหรือเวลาเลย เป็นการแสดงให้เห็นอยู่อย่างชัดแจ้งแล้วว่า ความเป็นพระอรหันต์นี้ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่ตั้งใจจริง หรือว่าเรื่องของพระอรหันต์นี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือวิสัยของบุคคลเราเลย ทุกคนควรจะสนใจรับเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ ตามมาก ตามน้อย ตามสมควรที่จะพึงมีได้ เพราะว่าทำอย่างไรเสีย คนเราก็ยังมีความทุกข์กันอยู่ด้วยกันทุกคน เราจงพยายามบรรเทาความทุกข์นั้น ตามสัดส่วนแห่งสติปัญญาของตนจงทุกๆคนเถิด เพราะตามปกติคนเราก็รับความดี ความสูง ความประเสริฐอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว จงตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดี ความสูง ความประเสริฐนั้น ตามความสามารถของตนทุกคน ทุกคน
การที่ได้รับความรู้เรื่องความดีหรือความสูงประเสริฐอย่างสูงสุดนี้ จึงไม่เสียหายอะไร ทำให้เรารู้ได้ว่าความสูงประเสริฐนี้เป็นอย่างไร? และไปสูงสุดอยู่ที่ไหน? และเราดำเนินไปได้เพียงใดเท่าใด มันก็เป็นการได้แก่เราเพียงนั้น เท่านั้น เป็นการได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ตามสมควรแก่สติปัญญาของเรา อย่าได้ประมาทหลงใหลโง่เง่า ไม่คำนึงถึงสิ่งนี้แล้ว ปล่อยให้กิเลสลากพาตนไปอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากความทุกข์ ความเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง ไม่มีทางที่จะมีความสะอาด สว่าง และสงบได้ นั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ปล่อยไปมันก็เป็นไปเอง ยิ่งปล่อยมากมันก็ยิ่งเป็นไปมาก จึงมีแต่ความสกปรก มืดมัว และเร่าร้อน จนถึงกับแก้ไม่ไหวต้องแก้ด้วยการฆ่าตัวตาย นี้ไม่ใช่เป็นของแปลก ใครอยากทำเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าเรื่องที่จะเอาชนะกิเลสทั้งหลาย ดำรงตนอยู่ในความสะอาด ความสว่าง และความสงบนั้น มันเป็นงานฝีมืออย่างยิ่ง คือ จะต้องทำด้วยฝีมือของกาย วาจา ใจ ที่มีฝีมือ จึงมีความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ มีความสูงประเสริฐของจิตใจเป็นต้นทุน เป็นผู้หวังไปในทางสูง แทนที่จะหวังไปในทางต่ำ เป็นผู้หวังไปในทางที่จะชนะ ไม่หวังไปในทางที่จะพ่ายแพ้ จึงจะทำได้
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้พยายามเป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะอุทิศวันเช่นวันนี้สักวันหนึ่ง เป็นการศึกษาและประพฤติปฏิบัติในการควบคุมจิตใจของตน ให้ตั้งอยู่ในร่องรอยของพระอรหันต์ ให้ได้รับประโยชน์จากธรรมะ ซึ่งทำความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงประทานไว้สำหรับเรา และเราก็ได้ประกาศตนเองนับถือพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางของเรา ได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทและพบพระพุทธศาสนา เราก็จงทำตน ให้ได้รับสิ่งที่พุทธบริษัทควรจะได้รับ แล้วก็จะเป็นผู้ชนะ คือ หัวเราะเยาะสิ่งทั้งปวงได้ โดยที่จิตใจไม่ต้องเหี่ยวแห้ง โดยที่จิตใจไม่ต้องหม่นหมอง โดยที่จิตใจไม่ต้องเดือดร้อน ระส่ำระสาย กระวนกระวาย ไม่ต้องมีจิตใจที่เป็นการวิ่งไป-วิ่งมา ด้วยการหลงเหยื่อทางทิศนั้น-ทิศนี้ ซึ่งเป็นความระหกระเหินในชีวิตของมนุษย์เรา อย่างที่ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบได้ ไม่เห็นว่าน่าสรรเสริญที่ตรงไหน ใครๆที่มีสติปัญญาแล้วพิจารณาดูเถิด ว่ามันน่าสรรเสริญที่ตรงไหน น่าพออกพอใจที่ตรงไหน ในการที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และรับเอามาเป็นเครื่องทรมานตนนี้ มันจะน่าชื่นใจที่ตรงไหนกัน
แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้รู้จักป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มาย่ำยี เบียดเบียนตนได้ มีลมหายใจสะอาดบริสุทธิ์อยู่ทุกเมื่อ เป็นผู้ชนะสิ่งทั้งหลาย-ทั้งปวงอยู่เป็นปกติดังนี้แล้ว แม้จะมีอายุอยู่เพียงสักวันเดียว ก็นับว่ามีค่ามากมายเหมือนกับได้อยู่ตั้งกัปป์ทั้งกัลป์ เพราะว่ามันไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นอีกแล้ว มันไม่มีอะไรสูงไปกว่านั้นอีกแล้ว เมื่อเราได้สิ่งนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าได้สิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงไปกว่านั้นแล้ว ส่วนจะได้วันเดียวหรือจะได้กี่วันนั้น ไม่เป็นปัญหาเลย มันเป็นการได้แล้ว ซึ่งสิ่งสูงสุดที่มนุษย์เราควรจะได้ดังนี้ จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ควรพยายาม พากเพียรอย่างยิ่ง แม้ว่าจะได้แล้วตายลงไปในขณะนั้น มันก็เป็นการดีอยู่นั่นเอง เพราะเป็นการได้ชื่อว่าเราได้รับสิ่งนั้นแล้ว ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้แล้ว เป็นความรู้ของจิตใจที่รู้สึกแล้วว่าอยู่เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยประการทั้งปวง เราจึงไม่มีความเกิดหรือความตาย การได้รู้ถึงสิ่งนั้น จึงเป็นผู้อยู่เหนือความตาย ไม่รู้จักตายไปด้วยกัน จึงกล่าวว่า แม้จะได้รู้ ได้รู้ถึงสิ่งนั้นแล้วชั่วขณะเดียว ร่ายกายแตกดับไป สิ่งนั้นก็ยังหาแตกดับไปไม่ ยังคงอยู่ตลอดอนันตกาลอยู่นั่นเอง จิตถึงความดับสนิทเป็นอันเดียวกันกับสิ่งนั้นแล้ว ย่อมเป็นจิตที่เป็นอนันตกาลไปด้วย จึงกลายเป็นบุคคลที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ยังไม่รู้จักตายเลยไปอีกด้วย เป็นสิ่งที่ควรสนใจเป็นอย่างยิ่ง สมกันแล้วกับการที่เราบัญญัติวันเช่นวันนี้ ว่าเป็นวันสำคัญสำหรับพระอรหันต์แล้ว เราพากันประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ อันประเสริฐ อันสูงสุดนี้ ด้วยความเสียสละ พยายามอย่างยิ่งที่จะต้องอดทนอย่างนั้นอย่างนี้ จนได้มาประชุมกันอยู่ที่นี่ ก็ขอให้ทุกคนจงได้ทำใจให้ถูกต้อง ทำจิตใจให้เข้าถึงสิ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลเป็นกำไร เกินค่ากว่าที่ได้สละมาอย่างแท้จริง เป็นอันว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็วันหนึ่งคืนหนึ่งแล้วเป็นแน่นอน ถ้าสามารถทำให้ยืดยาวตลอดไปได้เท่าไร ก็เป็นการดีแก่บุคคลผู้นั้นมากเท่านั้น เป็นคนๆไป โดยไม่ต้องกล่าวถึง แต่อย่างไรเสียก็พึงกระทำให้ได้ ให้ดีที่สุดตลอดเวลา วันหนึ่ง คืนหนึ่งนี้ ด้วยกันจงทุกคนเถิด
ธรรมเทศนาเท่าที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ได้เห็นโดยประจักษ์ ว่าความเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร คือสูงอย่างไร บนสุดอย่างไร ประเสริฐอย่างไร อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวงอย่างไร และยังเป็นการชี้ให้เห็นว่าความเป็นพระอรหันต์นั้น มันเกี่ยวข้องกันกับเราที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์อย่างไร ถ้าผู้ใดฟังถูกและฟังเข้าใจ ก็จะเห็นชัดด้วยตนเองว่ามันเกี่ยวข้องยิ่งเสียกว่าจะเกี่ยวข้อง ถ้าจะเปรียบเทียบกันก็เหมือนกับเปรียบเทียบว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามนั้น มันเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่กำลังเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ถ้าสมมติว่าไฟกำลังไหม้เรา น้ำนั่นแหละจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราที่จะเอามาดับไฟ น้ำนั้นไม่จำเป็นเลย สำหรับคนที่ไม่ถูกไฟไหม้ แต่มันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังถูกไฟไหม้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราถูกไฟไหม้ น้ำที่ตรงกันข้ามกับไฟนั่นแหละ จำเป็นสำหรับเรา
ข้อนี้ก็เหมือนกัน คือว่าถ้าเราเป็นคนมีทุกข์ มีความทุกข์แล้ว ความดับทุกข์นั่นแหละจำเป็นสำหรับเรา หรือเรื่องของพระอรหันต์เป็นเรื่องความดับทุกข์โดยตรง เรื่องของพระอรหันต์จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเรา ส่วนบุคคลที่หลงใหล เอาความทุกข์ไปกลับกันกับความสุข หรือสำคัญความทุกข์ผิดไปนั้น ย่อมเป็นการยากที่จะเอาความจริงนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เขาจะต้องเข้าใจความทุกข์และความดับทุกข์นั้นให้ถูกต้องเสียก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะกำลังมีความทุกข์อยู่ ยังกำลังหลงใหลอยู่ในความทุกข์นั้นด้วย แต่ถ้าได้เข้ามาให้ทางของพระอรหันต์แล้ว ก็จะค่อยลืมหูลืมตา รู้จักความทุกข์นั้นอย่างถูกต้องได้ตามลำดับ จะหายโง่ หายหลง ในเรื่องของความทุกข์ จะสามารถดับทุกข์ได้วันหนึ่งโดยแน่นอน
เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่า เรื่องราวของพระอรหันต์นั้นจำเป็นแก่คนทุกคน นับตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปถึงเทวดา นับตั้งแต่มนุษย์ลงไปถึงสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน ก็ล้วนแต่ต้องการธรรมะสำหรับดับทุกข์ให้แก่ตนด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้ประมาทเลย จงอย่าได้เข้าใจผิดไปว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราควรต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรศึกษาหรือควรปฏิบัติ โดยที่แท้แล้วสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น เป็นสิ่งที่สัตว์มีชีวิตทุกคนจะต้องรู้ จะต้องเข้าใจไว้ สำหรับบำบัดทุกข์ของตน เพราะว่าทุกคนมีความทุกข์อยู่จริงๆ โดยที่ความรู้ของสิ่งนี้ไม่เสียหลาย แม้ว่ายังใช้ในวันนี้ไม่ได้ ก็จะต้องใช้ได้ในวันหน้า แม้ว่าจะใช้ในวันนี้ได้ไม่ทั้งหมด ในวันหน้าก็จะต้องใช้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่ตระเตรียม ศึกษา ฝึกฝน อบรมไว้ในวันนี้แล้ว ในวันหน้าจะเอามาแต่ไหนใช้ เพราะว่าสิ่งนี้ไม่อาจจะเข้าใจได้โดยง่ายด้วยเวลาเพียงเล็กน้อยเลย จะต้องอาศัยการศึกษา ฝึกฝนเป็นวันๆ เดือนๆ ปีๆ ไปทีเดียว ถึงจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้ ดังที่เห็นประจักษ์ชัดอยู่ในประวัติแห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็ใช้เวลากันมากตามสมควร และเหตุใดเล่าที่เราทั้งหลายจะไม่ใช้เวลาให้มากเพียงพอกัน
เพราะฉะนั้นทุกคราว ทุกโอกาส หรือทุกวัน ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ จะได้ศึกษา หรือปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ ท่านทั้งปวงจงได้ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา และประพฤติ ปฏิบัติ เพราะมีแต่กำไรโดยส่วนเดียว ไม่มีทางขาดทุนเลย จะระงับความยากแค้น ความเดือดร้อน ความระส่ำระสายของท่านได้ทุกเรื่องทุกราวไป และในทุกโอกาส
ดังที่ได้กล่าวมาแต่ต้นจนอวสานนี้ เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า ธรรมะที่ทำความเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร และธรรมะนั้นมันเกี่ยวข้องกับเราที่เป็นอยู่ปุถุชนนี้อย่างไร เหลืออยู่แต่ว่าต่อไปท่านทั้งหลายจะประพฤติปฏิบัติ กระทำแต่ธรรมะนี้ให้เป็นประจำอยู่อย่างไรเท่านั้น นี้เป็นการเตรียมตัวสำหรับการดับทุกข์สิ้นเชิงในอนาคต ดังนี้ เป็นการกระทำในวันนี้เพื่อเป็นการบูชาแด่พระอรหันต์ เนื่องในวันมาฆปุณณมีที่เราพากันจัดขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ด้วยกันจงทุกคนเถิด การกระทำในวันนี้ และวันต่อไป และจนตลอดชีวิตของเรา ก็จะเป็นไปในทางดับทุกข์ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังตรงนี้ ด้วยประการละฉะนี้
สาธุ สาธุ สาธุ