แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สวดมนต์บาลี นาทีที่ 00.15-00.37
....อะระหัง สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
.................................................
อันธะตะมัง ตะฑา โหติ ยัง โลโภ สะหะเต นะรัง
ธรรมเทศนาเป็นปุพพปรลำดับ สืบต่อจากธรรมเทศนาที่ได้วิสัชนามาแล้ว นิกเขปบท ข้อนี้มีใจความสำคัญว่า ความหลงเป็นเหตุให้บุคคลไม่รู้ อรรถ ความหลงเป็นเหตุให้บุคคลไม่เห็น ธรรม / โมหะ คือ ความหลงครอบงำบุคคลใดแล้ว ที่นั่นแหละมีความมืดเหมือนกับตาบอด พระพุทธภาษิตข้อนี้แสดงว่า ที่ที่มืดที่สุดนั้น ก็คือ ที่ที่ โมหะ ครอบงำ ปัญหานี้เนื่องกันถึงข้อที่ว่า บุคคลไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับสนิทของความทุกข์ และวิธีที่จะให้ได้ความดับสนิทของความทุกข์นั้นเพราะ โมหะ อย่างเดียว บรรดาความมืดทั้งหลายไม่มีความมืดอันใดจะยิ่งไปกว่า โมหะ เพราะว่าผู้ที่ถูก โมหะ ครอบงำแล้ว แม้จะมีแสงอาทิตย์ส่องให้สักพันดวงก็ไม่สามารถที่จะมีแสงสว่างเห็นอะไรได้ เมื่อใด ในที่ใดมีความมืด มี โมหะ ที่นั้นก็เรียกว่า มีความมืดชนิดที่ทำให้เป็นคนตาบอด แต่ถ้าคนตาบอดไม่มี โมหะ ที่นั้นกลับมีแสงสว่าง จึงกลายเป็นคนตาดีไป แม้ว่าจะเป็นคนตาบอดโดยกำเนิด แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจ ก็ย่อมกลายเป็นคนมีแสงสว่าง หรือมีตาดีไปได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ความมืดหรือความสว่างนี้ย่อมอยู่ที่มี โมหะ - หรือไม่มี โมหะ ถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นความจริงข้อนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะมีความกล้าหาญพากเพียรในการที่จะกำจัด โมหะ ผู้ที่หลงด้วย โมหะ ย่อมไม่รู้ อรรถ ย่อมไม่เห็น ธรรมะ นี่เป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าไม่เห็น อรรถ ไม่รู้ อรรถ ไม่รู้ธรรมะ คือ ไม่รู้ทั้ง อรรถ ทั้ง ธรรม แล้วก็แปลว่า ไม่รู้โดยประการทั้งปวง
สิ่งที่จะช่วยมนุษย์เราให้เอาตัวรอดได้ ก็คือ ความรู้ อรรถ รู้ ธรรม - เห็น อรรถ เห็น ธรรม ถ้าปราศจากการเห็น อรรถ เห็น ธรรมะ เสียแล้ว ก็คือ ความมืดชนิดที่ทำให้เหมือนกับตาบอด หรือความมืดชนิดที่เป็นราตรีอันมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายทุกคนควรจะถือเป็นหลักว่า ที่ที่มืดที่สุดนั้น ก็คือ ที่ที่ถูก โมหะ ครอบงำ เวลาที่มืดที่สุดนั้น ก็คือ เวลาที่ โมหะ ครอบงำ เมื่อใด โมหะ คือ ความหลงครอบงำคนเราแล้ว เมื่อนั้นแหละชื่อว่า มีความมืดอันแท้จริง เวลากลางคืน เป็นต้นนั้น ยังไม่ใช่ความมืดที่แท้จริง เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ในท่ามกลางความมืดแห่งราตรี เราอาจจะนั่งคิดนึก ศึกษา ค้นหาความจริงต่างๆได้ในที่สงัดเวลากลางคืน ความมืดของกลางคืนจึงไม่เป็นอุปสรรคของการรู้ อรรถ และรู้ ธรรมะ ความมืดที่แท้จริงจึงไม่ใช่เวลากลางคืน แต่ได้แก่ โมหะ ที่ครอบงำบุคคลใด ที่ไหน เมื่อไรแล้ว ย่อมทำที่นั้นให้เป็นกลางคืนขึ้นมาทันที ผู้เห็นความจริงข้อนี้จะเกิดความสะดุ้งกลัวต่อ โมหะ คือ ความหลงหรือความไม่รู้ เมื่อมีความสะดุ้งกลัวในข้อนี้แล้ว ก็จะบรรเทาความดื้อดึงลงเสียได้ ไม่ประชดความจริง ไม่ประชด ธรรมะ ไม่ประชดตัวเอง เพราะความไม่ดื้อ เป็นผู้ที่พอจะว่าได้ กล่าวได้ หรือสอนได้ พอเหมาะพอสมที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไป ผู้ใดมี โมหะ อันเบาบาง ผู้นั้นย่อมแน่นอนที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานในโอกาสข้างหน้า ความที่มี โมหะ เบาบางเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมายของบุคคลที่จะก้าวหน้าไปในทางแห่งการตรัสรู้ แต่ถ้ามี โมหะ หนาแน่นก็ย่อมไม่เห็น อรรถ เห็น ธรรมะ ดังที่กล่าวแล้ว ไม่เห็น อรรถ เห็น ธรรมะ นั้นก็คือ เห็นผิดไปจากความจริง ทั้งโดยย่อและโดยพิสดาร ทั้งโดยหัวข้อและโดยความหมาย ทั้งโดยตัวหนังสือและโดยคำอธิบาย แปลว่าไม่รู้ทั้งอย่างย่อและอย่างพิสดาร ไม่รู้ทั้งใจความสำคัญและไม่รู้ทั้งความหมายหรืออรรถาธิบายอันกว้างขวาง ไม่เห็น อรรถ ไม่เห็น ธรรม แล้ว ก็เห็นสิ่งทั้งปวงกลับตรงกันข้ามจากความเป็นจริง
ความเป็นจริงมีอยู่ข้อหนึ่งซึ่งถือกันเป็นหลักว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายที่มีการเกิดการดับได้นั้น มีแต่ความทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น- หามีความสุขไม่ แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดๆดับๆ ในบรรดาสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับคนเรานั้น ไม่มีอะไรนอกไปกว่าสิ่งที่มีการเกิดๆดับๆอยู่เสมอ แต่คนที่ไม่รู้หรือเป็นคนเขลา คนหลงก็ยังมัวแสวงหาความสุขในสิ่งที่มีการเกิดๆดับๆอยู่นั่นเอง มีพระบาลีใน สังยุตตนิกาย ว่า
ทุกขเมวะ หิ สัมโภติ ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้น
ทุกขัง ติฏฐติ เวติ จะ ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่และดับไปหรือเปลี่ยนไป
นาญญัตตระ ทุกขา สัมโภติ นอกจากความทุกข์แล้ว หาได้มีอะไรเกิดขึ้นไม่
นาญญัตตระ ทุกขา นิรุชฌติ นอกจากความทุกข์แล้ว หาได้มีอะไรดับไปไม่
หลักข้อนี้เป็นเครื่องยืนยันตรงๆว่า ให้คนทั้งหลายได้พินิจพิจารณาดูให้เห็นตามที่เป็นจริง ว่าในบรรดาสิ่งที่เกิดๆดับๆอยู่ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีแต่ ความทุกข์ อย่างเดียว-ไม่มี ความสุข เขาจะต้องพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีอะไรที่ไม่มีการเกิดการดับในบรรดาสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับเรา และในบรรดาสิ่งที่เกิดๆดับๆอยู่นั้น มันเป็นความทุกข์อยู่ในตัวความเกิดและความดับนั้นเองแล้ว เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความสุขอันใดที่จะเกิดหรือดับ-มีแต่ความทุกข์ แต่ที่เราไปสมมติเอาว่าเป็น สุข นั้น ก็เพราะเอา โมหะ หรือความหลงเข้ามาช่วย คือ หลงสำคัญผิดเป็นความสุขไปเอง สมมติว่า สุขเวทนา ที่เกิดมาจากกามารมณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ใครๆก็เรียกกันว่า เป็นความสุข เพราะให้เกิด สุขเวทนา ในขณะนั้น แต่โดยหลักธรรมะที่แสดงอยู่ว่า สิ่งที่เรียกว่า เวทนา นั้นย่อมเป็นเพียง สังขาร ชนิดหนึ่ง คือ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ต้องเกิดๆดับๆ ความที่ต้องดับนั้นย่อมทำให้เกิด ทุกข์ แก่บุคคลที่ยึดถือว่าเป็น ของตน และอยากให้อยู่คงทนถาวร หรือว่าอาการที่มันเกิดๆดับๆนั้น มันย่อมทรมานจิตใจคนที่ยึดถือว่าเป็น ของตน หรือว่าอาการที่เกิดๆดับๆนั้นย่อมแสดงความว่างจากสาระ ที่จะไปจับฉวยเอาเป็นจริงเป็นจังได้ เพราะมีแต่การเกิดๆดับๆ สิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา กำลังหลงใหลมัวเมากันว่าเป็นความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินนั้น ที่แท้ก็คือการเกิดการดับที่ถี่ยิบของ สังขาร หมายความว่า เวทนา นั้นย่อมเกิดขึ้นมาจาก ผัสสะ ซึ่งเป็นการกระทบ มีการเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ทุกขณะที่ความคิด หรือความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกเป็นสุขหรือสนุกสนานนั้นมันต้องเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ว่ามันจะนิ่งแน่ตายตัวลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วหยุดอยู่ ความสนุกสนานที่เดินไปเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนั้นอย่างนี้นั้น คือ อาการของการ เกิดดับแห่งสังขาร คือ ที่ปรุงเป็นความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาได้ มองดูในลักษณะเช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าเป็น มายา ชนิดหนึ่ง เหมือนกับพยับแดดซึ่งหลอกให้เห็นเป็นรูป เป็นร่าง อย่างใด อย่างหนึ่ง แต่เข้าไปใกล้ก็ไม่มีอะไร ความรู้สึกที่เป็น สุขเวทนา รู้สึกอยู่ในใจก็เป็นอย่างนั้น ถ้า โมหะ ครอบงำก็จะเห็นว่า เป็นตัวเป็นตน แต่พอสติปัญญา หรือความจริงเข้ามาเท่านั้นก็ไม่มีตัว-ไม่มีตน กลายเป็นของที่เป็นเพียง มายาไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเที่ยงแท้ถาวร จึงให้เกิดความทุกข์แก่บุคคลที่เข้าไปยึดถือว่า สุขเวทนานี้ของเรา สิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา นั้นเป็นที่สรุปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งครอบงำใจสัตว์ แต่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา ในฐานะที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ ไปถือเสียว่าเป็นส่วนที่ควรจะยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมิได้เป็นปัญหาที่สำคัญ
โดยที่แท้นั้น สุขเวทนา ที่เป็นของหลอกๆหรือเป็นมายานั่นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งความทุกข์มั้งหลาย เพราะเราจะเห็นได้ว่า ความขวนขวายทุกสิ่งทุกอย่างของสัตว์นั้น มีความประสงค์มุ่งหมายตรงที่ สุขเวทนา อย่างเดียวเท่านั้น การที่อุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ คล้ายๆกับว่าไม่ได้คำนึงถึง สุขเวทนา อันจะมีมาข้างหน้า แต่โดยที่แท้แล้วการศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมตนให้มีสติปัญญา ความรู้ ความสามารถนั้น มันก็ไปจบลงแค่ความปรารถนาใน สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง หรือจะกล่าวว่าทางตา ทาทงหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ได้ รวมความแล้วก็คือ ทางเนื้อทางหนัง เพราะว่าต้องอาศัย วัตถุ เป็นปัจจัยสำคัญ ลองพิจารณาดูว่า ความขวนขวายของคน หรือของสัตว์เดียรัจฉานก็ตาม ความขวนขวายไหนบ้างที่ไม่มุ่งไปยัง สุขเวทนา แม้แต่การทำบุญให้ทานก็มุ่งหมายจะได้ สุขเวทนา กันเป็นส่วนใหญ่ มุ่งหมายจะให้ได้สวรรค์ ได้เกิดในสวรรค์ แล้วความหมายของสวรรค์นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจาก สุขเวทนา คือ ความสนุกสนานเพลิดเพลินทางวัตถุ หรือทางเนื้อทางหนังดังที่กล่าวแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการขวนขวายที่ต่ำลงไปกว่าการทำบุญ เมื่อการทำบุญเองก็มุ่งหมาย สุขเวทนา ดังนี้เสียแล้ว การทำบาปหรือการทำอย่างอื่นก็ต้องต่ำลงไปกว่านั้นมาก คนพาล คนเขลา หรือปุถุชน ประกอบกรรมอันเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นความชั่ว ก็เพราะเหตุอย่างเดียว คือ เหตุที่ตกเป็นทาสของ สุขเวทนา นั่นเอง คือ ถ้าจะได้ความสุขสนุกสนานทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนังแล้วก็ประกอบกรรมอันไม่ควรกระทำ เพราะว่าแสวงหาจากกรรมอันสุจริตไม่ได้ ก็ต้องแสวงหาด้วยกรรมที่เป็นทุจริต มีการลัก การขโมย หรือการล่วงละเมิดต่างๆ ซึ่งเป็นไปในทางุจริต ทำสิ่งที่ไม่ควรทำได้ทุกอย่าง กระทั่งถึงฆ่าบิดามารดาของตัวเองก็ได้ ในเมื่อ สุขเวทนา เป็นนายเหนือจิตเหนือใจมากขึ้น ผู้ที่ตกเป็นทาสของ กามคุณ ย่อมมืดมัวจนถึงกับฆ่าบิดามารดาของตนได้ หรืออกตัญญูต่อบิดามารดาของตนได้ นี้ นับว่าเป็นไปถึงที่สุด อาจจะทำทุกอย่างซึ่งเป็น อนันตริยกรรม เท่าๆกัน เพราะอำนาจของการตกเป็นทาสของ สุขเวทนา นั่นเอง แต่คนส่วนมากก็ไม่ได้สนใจถึงโทษอันร้ายกาจของ สุขเวทนา มองข้ามไปเสียเลยกลายเป็นเห็นว่า สุขเวทนา นี้น่าบูชา น่ายึดถือ น่าแสวงหา น่าประมวลเอามาไว้ให้มากๆ เมื่อหลงใหลไปในทำนองดังที่กล่าวนี้แล้ว ก็จะต้องเป็นคนที่ถูก โมหะ เข้าครอบงงำอย่างยิ่ง เป็นผู้มืดอย่างยิ่ง ประกอบกรรมที่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนผู้อื่นอย่างยิ่งพร้อมกันไปในตัว เป็นอันว่าสัตว์โลกทั้งหลายไม่ว่าโลกไหน มีการเบียดบียนกันแล้วก็ต้องเนื่องมาจาก สุขเวทนา ทั้งนั้น
เหมือนอย่างที่ว่า เขากำลังจะรบราฆ่าฟันกันอยู่ในโลกนี้ ในสมัยนี้ นี่ ก็เพราะมี สุขเวทนา เป็นมูลเหตุ คือ คนทุกคนต้องการ สุขเวทนา ต้องการจะได้วัตถุปัจจัยที่มาปรุงแต่งส่งเสริมให้เกิด สุขเวทนา และให้มีอยู่ตลอดไป ครั้นมีไม่พอ หาไม่ได้จากที่อื่น ก็ต้องคิดลักล้วงของคนอื่นมา นี่คือ แผนการที่จะทำสงคราม จะเป็นสงครามร้อน คือ สงครามรบราฆ่าฟันกันตรงๆ หรือว่าจะเป็นสงครามเย็น สงครามเงียบ คือ ใช้อุบายเอาเปรียบเอารัดกันโดยไม่ต้องรบกัน ดังนี้ก็ตาม สงครามทุกชนิดล้วนแต่มีมูลมาจากกการที่คนทุกคนเหล่านั้นต้องการ สุขเวทนา คือ ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินทางเนื้อ ทางหนัง หรือทางวัตถุ การที่คนนับจำนวนเป็นร้อยๆล้านคนพร้อมเพรียงกันสมัครตาย เพื่อจะไปรบคนอื่นให้ชนะให้จงได้ นี่ ก็เพราะอำนาจของ สุขเวทนา อย่างเดียวเท่านั้น ทุกคนหวัง สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง พร้อมใจกันปล้นสดมภ์เอาของของบุคคลอื่นมา ถ้าต้องรบราฆ่าฟันกันก็ยอมตาย และเพื่อเหตุอันนี้ เพื่อให้ได้สิ่งนี้ ก็พากันขวนขวายประดิษฐ์เครื่องมือที่จะล้างผลาญกัน เมื่อล้างผลาญฝ่ายอื่นให้ราบเตียนไปแล้ว ตนก็จะได้กอบโกยเอาวัตถุปัจจัยที่เป็นเครื่องเกื้อกูลแก่ สุขเวทนา นั้นมาเป็นของตน การที่เขาพูดกันว่า ทำสงครามเพื่อความยุติธรรมบ้าง เพื่อมนุษยธรรมบ้าง ดังนี้ เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องมดเท็จ เป็นเรื่องหลอกลวงคนอื่นให้ร่วมมือ โดยที่แท้แล้วคนเหล่านั้นตกเป็นทาสของ สุขเวทนา กันอย่างเร้นลับ ต้องการจะรวบรวมกำลังสำหรับต่อต้าน หรือล้างผลาญบุคคลอื่นเพื่อกอบโกยเอาประโยชน์ของเขามาเป็นของตน แสวงหาพรรคพวกโดยอ้างเอามนุษยธรรม หรือความยุติธรรมมาเป็นฉากบังหน้า ดังนี้ก็มี
หรือแม้ที่สุดแต่พวกที่ถูกเขารุกรานเอาต้องต่อสู้ป้องกันตัว ความต่อสู้ป้องกันตัวนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากจะต่อสู้ป้องกันตัวให้ยังคงมีชีวิตอยู่สำหรับเสวย สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังต่อไปเท่านั้น ถ้าปราศจาก สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังเหล่านี้แล้ว ชีวิตของคนเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะปุถุชนเหล่านั้นประกอบไปด้วย โมหะ หลงใหลอยู่ใน สุขเวทนา อย่างเต็มที่ ที่ไม่อยากตายนี้ก็เพราะเป็นห่วง สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังจึงไม่อยากตาย แต่ความรู้สึกนั้นเร้นลับเกินไปจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมจึงไม่อยากตาย? ขอให้คนทุกคนที่ไม่อยากตายในที่นี้หรือที่ไหนก็ตาม พิจารณาดูให้ดีว่า การที่ไม่อยากตายนั้นเพราะประสงค์อะไร? ถ้าพิจารณาไป พิจารณาไปก็จะพบว่า เพราะประสงค์จะอยู่ และอยู่เพื่อทำอะไร? อยู่เพื่อได้บริโภคสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจหรือถูกแก่จิตใจ อันนั้นก็คือ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังนั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ยกเว้น พระอริยเจ้า จึงเป็นอันว่าปัญหาของปุถุชนคนธรรมดาสามัญ ตลอดจนถึงสัตว์เดรัจฉานนั้นไปรวมจุดอยู่ที่ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังนั่นเอง
สำหรับสัตว์เดรัจฉานนั้นยิ่งเห็นได้ง่ายชัด ว่าปัญหาต่างๆเกิดขึ้นเพราะ สุขเวทนา ทางปาก ทางท้อง และทางกายสัมผัสเป็นส่วนใหญ่ ถ้านอกจากนี้แล้วก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงแม้ของมนุษย์ก็เหมือนกัน ของคนนั้นก็เหมือนกัน เป็นแต่ประณีตกว่ากัน รู้จักพูดจาโยกโย้ หลบเลี่ยงให้เห็นเป็นอย่างอื่นไป แต่มูลเหตุอันแท้จริงก็คือ สุขเวทนา ทางเนื้อหนังดังที่กล่าวแล้ว สติปัญญาของมนุษย์เจริญงอกงามไปแต่ในทางที่จะบริโภค สุขเวทนา นั้นให้ประณีตยิ่งๆขึ้นไป ปัญหาจึงไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าเป็นเพียงความต้องการตามธรรมชาติแล้ว ก็คงต้องการน้อยมาก คือ น้อยเท่าที่สัตว์เดรัจฉานทั่วไปต้องการ แต่คนมีสติปัญญากว้างขวางรู้จักคิดนึกให้มากออกไป ปัญหาเรื่อง สุขเวทนา จึงไม่มีที่สิ้นสุด ได้อย่างนี้แล้วก็ยังจะเอาอย่างโน้น ได้อย่างโน้นแล้วก็ยังจะเอาอย่างอื่นต่อไปอีก เพราะสติปัญญาที่งอกงามออกไปไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง การตกเป็นทาสของ สุขเวทนา ของคนเราจึงกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เหมือนกับของสัตว์เดรัจฉาน ข้อความที่กล่าวว่า “ยิ่งรู้มาก-ยิ่งยากนาน” ก็ได้แก่ อาการที่กล่าวนี่เอง รู้จักคิดนึกให้มันมากเรื่องออกไป มันก็ต้องมีความทุกข์มากออกไป เพราะรู้จักขยายความต้องการใน สุขเวทนา นั้น-ไม่มีขอบเขต
เป็นอันว่าการเคลื่อนไหวทุกอย่างของสัตว์ จะเป็นคนก็ตาม เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์มุ่งหมายอยู่ที่ สุขเวทนา ด้วยกันทั้งนั้น ถ้ายังเห็น สุขเวทนา เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดควรบูชาอยู่ดังนี้แล้ว ย่อมไม่สามารถจะกำจัดปัดเป่าความทุกข์ให้หมดไปได้ เพราะนั่นเป็นความหลงอย่างสูงสุด เป็นความเข้าใจผิดอย่างสูงสุด คือ เป็น โมหะ หรือเป็นความมืดอย่างสูงสุด จนถึงกับบูชา สุขเวทนา ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ยากทั้งหลายทั้งปวง หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า นั่นแหละคือ สิ่งที่เป็นอันตรายร้ายกาจที่สุดในการที่เสกสรรค์ความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่มนุษย์เรา แต่แล้วมนุษย์หรือคนเราก็ยังหลงบูชาสิ่งเหล่านั้น คอยแต่จะเอาอกเอาใจเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาให้เต็มที่อยู่เสมอ เลยต้องเป็นยิ่งกว่าทาสของ สุขเวทนา แปลว่า ยอมแพ้ยิ่งกว่าที่พวกทาสจะยอมแพ้ จนไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี ใช้คำว่าเป็น ทาสของสุขเวทนา ดังนี้ก็ยังไม่ค่อยสมกัน ยังน้อยไป แต่เราไม่มีคำพูดอื่นจะมาใช้ จะพูดได้ก็แต่เพียงว่าเป็นทาสยิ่งไปกว่าทาสของ สุขเวทนา ลักษณะอาการเช่นนี้แหละ คือ ลักษณะปกติธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีไฝฝ้าในดวงตาหนาแน่นอยู่ ถ้าได้พิจารณาเห็นความจริงข้อนี้กันเสียบ้าง ความเป็นปุถุชนนั้นก็จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขไปในทางที่จะให้สูงขึ้น หรือไฝฝ้าในดวงตาก็จะค่อยบางลงไป หรือบางออกไปเอง จะมองเห็นความจริงที่สำคัญที่สุดคือ สุขเวทนา อันเป็นที่ตั้งแห่ง ตัณหา ทุกชนิด เมื่อ ตัณหา ทุกชนิดเป็น สมุทัย คือ ให้เกิดทุกข์หรือให้เกิดทุกข์อยู่แล้ว สุขเวทนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ตัณหา ก็นับว่าเป็น ต้นตอของความทุกข์ ได้โดยตรงทีเดียว ผู้มีปัญญาควรจะพิจารณาให้ทะลุลงไปถึงตัว สุขเวทนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กิเลส- ตัณหา นี้ให้เห็นอย่างชัดเจนเสียก่อน จึงจะสามารถจัดการกับปัญหาให้ปลอดภัยได้ มัวสนใจแต่ตรงที่ ตัณหา ก็ไม่รู้ว่าจะดับมันได้อย่างไร? ถ้าไปสนใจถึงที่ตั้งของ ตัณหา ก็มีหวังที่จะดับ ตัณหา ได้โดยไม่ยากนัก เพราะฉะนั้น ในพระบาลีจึงมีพระพุทธภาษิตมากมาย หลายสูตรทีเดียว ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงถึง สุขเวทนา ว่า เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ให้เห็นชัดเจนแล้ว บุคคลผู้ฟังสามารถบรรลุ มรรคผลนิพพาน ได้เพราะความเข้าใจอันนี้ก็มีอยู่เป็นอันมาก และเป็นเรื่องที่คนทั่วไปพอจะมองเห็นได้ด้วยกันทุกคน เพราะทุกคนก็กำลังเป็น ทาส ของ สุขเวทนา อยู่ บางคนเป็นมากจนถึงกับไม่รู้สึกตัวเสียทีเดียว บางคนไม่สู้มากก็รู้สึกบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ควรจะมีบุคคลอักสักประเภทหนึ่งที่มามองเห็นชัดอยู่ตามที่เป็นจริงว่า สุขเวทนา นี้คืออะไรกันแน่? เป็นพระเจ้าที่ควรบูชาเหมือนที่เขากำลังบูชากันอยู่หรือไม่ ผู้ที่มีปัญญาพิจารณาถึง สุขเวทนา ในฐานะเป็นพระเจ้าได้ แต่เป็นพระเจ้าชนิดที่สร้างความทุกข์ให้แก่คนเรา เป็นพระเจ้าที่น่าหวาดเสียวน่าสะดุ้งกลัวเพราะสร้างความทุกข์ให้แก่คนเรา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะทำความดับทุกข์ให้แก่ตน จะต้องมีความรู้ในเรื่องของ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังนี้ให้มากพอสมควร เพราะว่าปัญหาของเรามาติดตันอยู่ที่นี่เอง จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นเด็ก-ผู้ใหญ่ ก็ล้วนแต่มีปัญหาข้อนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่าความพอใจใจ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังนั้น เป็นกิเลสประจำสันดานของสิ่งที่มีชีวิตทุกชีวิตทีเดียว มันสลับซับซ้อนจนถึงกับกล่าวได้ว่า ธรรมชาตินี้ฉลาดเหลือเกิน ได้สร้างเหยื่อมาสำหรับล่อคนให้สมัครใจตกเข้าไปเป็นทาสของความทุกข์ หรือกิเลสอย่างไม่มีสร่าง เหยื่อนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น คือ สุขเวทนา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังแล้ว พญามารทั้งหลายก็จะตายไปหมดแล้ว โลกนี้ก็จะไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ให้เป็นปัญหาสำหรับพวกเราอีกต่อไป
แต่บัดนี้โดยเหตุที่ สุขเวทนา เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก ธรรมชาติได้ใช้เป็นเหยื่อสำหรับล่อลวงสัตว์ให้ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือสมัครเป็นทุกข์ สมัครที่จะทนทุกข์ มองเห็นความทุกข์เป็นของน่าทน หรือควรทนเพื่อจะได้ สุขเวทนา นี้เอง คนที่ตกเป็นทาสของ กามคุณ ย่อมยอมทนเป็นทุกข์หน้าชื่นตาบาน ยอมทนทุกข์ทุกอย่างทุกชนิด แม้แต่ชีวิตก็อาจจะสละได้นี้ก็เพื่อประโยชน์แก่ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังนิดเดียวเท่านั้น ไม่มีสาระอะไร ก็กลับเห็นเป็นสิ่งที่มีสาระอันใหญ่หลวง ถึงกับกล้าเสียสละชีวิตแลกเอามาซึ่ง สุขเวทนา นั้น ดังที่เราจะได้เห็นกันอยู่บ่อยๆว่า สัตว์ได้เสียชีวิตไปเพื่อเห็นแก่ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง ยิ่งสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งเห็นได้มาก เห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ในหมู่มนุษย์นี้ก็ไม่ใช่น้อย ถ้าพิจารณาดูให้แยบคายสุขุมแล้วจะเห็นได้ว่า ความตายของคนทุกคนส่วนมากในคดีฆาตกรรมนั้น มีมูลมาจาก สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังที่จุดใดจุดหนึ่ง อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งด้วยกันทั้งนั้น หรือแม้แต่ความตายทั่วๆไปก็มักจะมีมูลเหตุอันแท้จริงมาจากการแสวงหา สุขเวทนา เช่นว่า ต้องไปตายในทะเล ต้องไปตายที่นั่น ที่นี่ นอกไปจากบ้านจากเรือน ก็มีมูลมากจากการแสวงหา สุขเวทนา เอามาเป็นของตัว การที่ต้องเจ็บป่วยทนทรมานอยู่กันเป็นส่วนมากนี้ ก็ลองพิจารณาดูเถิดว่า ความตรากตรำอันเป็นต้นเหตุแห่งการเจ็บป่วยนั้นมันมีมูลมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อ สุขเวทนา อุตส่าห์ทนทำการทำงานก็เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์อันเป็นวัตถุปัจจัยสำหรับ สุขเวทนา อะไรๆก็ไปรวมอยู่ที่ สุขเวทนา ซึ่งมีอำนาจอันเด็ดขาด บังคับให้สัตว์ทั้งหลายต้องวิ่งว่อนไปแสวงหา ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ได้แล้วก็เป็นทุกข์ เกิดแย่งชิงกันที่ไหนก็ถึงกับฆ่ากันตาย จึงเป็นอันว่าความระส่ำระสาย เดือดร้อนทุกชนิดของสัตว์โลกนั้น มีมูลมาจาก สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังอย่างเดียว แต่ข้อที่จะอาศัยตา อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น หรืออาศัยกายสัมผัสเป็นเครื่องล่อ เป็นเครื่องติดต่อนั้นไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ตรงที่ สุขเวทนา ที่ได้มาจากสิ่งนั้นๆเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสระบุลงไปที่ สุขเวทนา นั้นว่า เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ แต่เป็นสัตว์ที่หลงใหลเห็นเป็นที่ตั้งของความสุข อย่างที่เรียกว่า สุขเวทนา คำที่ใช้เรียกนี้ก็หลอกลวงให้หลงอยู่อย่างเต็มที่แล้ว คือ เรียกว่า สุขเวทนา แต่ตัว สุขเวทนา อันแท้จริงนั้น คือ ตัวให้เกิดความทุกข์ หรือเป็นความทุกข์อยู่ในตัว ทุกขเวทนา นั้นมันไม่ล่อใครให้เข้าไปหลงติดได้ มันจึงเป็นทุกข์อยู่อย่างเปิดเผย ทุกข์ซึ่งหน้า แต่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครเข้าไปยุ่งด้วย ส่วน สุขเวทนา นี้ให้เกิดความทุกข์อย่างเร้นลับ ปิดซ่อนความทุกข์ไว้มิดชิดทีเดียว เอาความที่ยั่วยวน น่าหลงใหลนั้นออกมาล่อ สัตว์ทั้งหลายจึงตกเป็นทาสของ สุขเวทนา ต้องทนทุกข์ไปอย่างสมัครใจ จมอยู่ในกองทุกข์ คือ สุขเวทนา นั้นเอง ชาติหนึ่งยังไม่พอก็ต้องการชาติหน้าและชาติต่อๆไปไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พันชาติ นี้เรียกว่า ต้องทนเวียนว่ายไปในวัฏฏสงสารอันยืดยาวแสนที่จะยาวนั้นเพื่อ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังอย่างเดียวเท่านั้น
เห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นความทุกข์เฉพาะหน้าเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นความทุกข์ตลอดกาล ตลอดชาติ หรือตลอดหลายๆ สิบชาติ หลายร้อยชาติ หรือตลอดวัฏฏสงสารอันยาวยืดของคนคนหนึ่ง เขาได้รับความทุกข์เพราะตกเป็นทาสของ สุขเวทนา นี้แหละคือ สิ่งที่เรียกว่า โมหะ ซึ่งเมื่อครอบงำบุคคลใด ที่ไหน เมื่อไรแล้ว ที่นั่นแหละคือ ความมืดอันสูงสุด ปิดบังไม่เห็น อรรถ ไม่เห็น ธรรม จึงไม่ถอนตัวมาจาก สุขเวทนา นั้นได้ แม้ต้องตายไปสักกี่ครั้งก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าตัว สุขเวทนา นั้นคือ ศัตรูอันร้ายกาจดังนี้ ตกเป็นทาสของ สุขเวทนา แล้วก็จะต้องถูกกระทำไปตามที่พญามารจะทำอย่างไร มีบาลีพระพุทธภาษิตข้อหนึ่งว่า
มจฺจุนาพฺภหโต โลโก สัตว์โลกนี้ถูกมัจจุราชจับตัวไว้
ชราย ปริวาริโต ชรามาช่วยรุมล้อมไว้อย่าให้หนีไปได้
ตณฺหาสลฺเลน โอติณฺโณ ตัณหา ซึ่งเป็นเหมือนกับหลาวเหล็กก็มาช่วยทิ่มแทงให้
อิจฺฉาธุปายิโต สทา ส่วนความอยากประเภทอิจฉานั้นก็มาช่วยสุมเผาให้สุกอีกต่อหนึ่ง
ใจความสั้น ๆ ก็คือว่า
สัตว์โลกนี้ถูกมัจจุราชจับตัวไว้
ถูกชราแวดล้อมกักขังไว้ไม่ให้หลุดไปได้
ตัณหา ก็เข้าช่วยทิ่มแทง
อิจฉาก็ช่วยเข้าเอาไฟเผาลน
แล้วคิดดูเถิดว่าสัตว์โลกนี้จะตกอยู่ในภาวะเช่นไร? เพราะถูกจับตัวมัดไว้ ถูกล้อมไว้ ถูกแทง ถูกเผาอยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงมาตกหนักถึงปานนี้ด้วยเล่า นี่ ก็เพราะเหตุอำนาจของ สุขเวทนา ทางเนื้อหนังอย่างเดียว ที่ทำให้หลงในความมืด จนตกมาอยู่ในสภาพที่ถูกจับตัว ถูกแวดล้อม ถูกทิ่มแทง และถูกเผาลน ด้วยสิ่งทั้ง ๔ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น และความเป็นอย่างนี้เป็นไปได้โดยไม่รู้จักเข็ดจักหลาบ คือ เป็นไปอย่างซ้ำๆ ซากๆ เวียนไปเวียนมาอยู่ที่ตรงนี้เองไม่ออกไปได้ ตัณหา เป็นเครื่องทำให้เกิดขึ้นมา จิตของเขาก็แล่นไปตามอำนาจของ ตัณหา เข้าถึง สังสารวัฏฏ ไม่หลุดพ้นไปจากความทุกข์ที่มีอยู่ใน สังสารวัฏฏ อะไรเป็นจุดพรางที่ทำให้เวียนอยู่รอบ ๆ อันนั้นก็คือ สุขเวทนา ทางเนื้อหนังนั่นเอง มีอยู่ที่ตรงไหน สัตว์ก็ไปเวียนตอมว่อนอยู่รอบๆ ที่นั่น จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่ดึงดูดจิตใจของสัตว์ให้วิ่งเข้ามาหา วัฏฏสงสาร นั้นคือ สุขเวทนา นั่นเอง
ยิ่งพิจารณาไปเท่าไร ยิ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ร้ายกาจ หรือเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ไม่มีอะไรที่จะร้ายกาจเท่าสิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา แต่มันก็เป็นสิ่งที่ถูกบูชายกย่องสรรเสริญกันเท่าๆกับความร้ายกาจของมัน นี่แหละคือความหลงของสัตว์ คือ หลงบูชาสิ่งที่เป็นความทุกข์อันร้ายกาจอย่างยิ่ง ยิ่งให้ความทุกข์ร้ายกาจเท่าไรก็ยิ่งหลงบูชากันมากเท่านั้น จึงตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า แทบจะไม่มีหวังในการที่ถอนตนออกมาเสียจากอำนาจของ สุขเวทนา หรืออำนาจของ กิเลส- ตัณหา หรืออำนาจของ สังสารวัฏฏ ถ้าผู้ใดมีสติปัญญามากพอที่จะสอดส่องให้เห็นความจริงหรือภาวะอันแท้จริงของ สุขเวทนา แล้ว ผู้นั้นแหละจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ลืมตา หรือเป็นผู้เริ่มเห็นกระแสของพระนิพพาน คือ อย่างน้อยก็เป็น พระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เพราะเห็นลู่ทางชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร เห็น สุขเวทนา ในฐานะที่เป็นตัวการอันใหญ่หลวงของความทุกข์ จนถึงกับเบื่อหน่ายคลายกำหนัดใน สุขเวทนา นั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการที่จะหลีกถอยไปเสียจากอันตรายอันร้ายแรงนี้ มีหวังที่จะเข้าถึงพระนิพพานในโอกาสข้างหน้าได้ ถ้าผิดไปจากนี้ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาสามัญกำลังหลับหูหลับตาเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำดังที่ได้กล่าวแล้ว จะต้องเกิดในน้ำอยู่ในน้ำและตายในน้ำต่อไปไม่มีทางจะขึ้นมาได้ ข้อที่ต้องศึกษาให้ละเอียดให้สุขุมแยบคาย ก็คือ การศึกษาถึงความลึกซึ้ง ถึงความเร้นลับ ถึงอันตรายอันซ่อนเร้นของ สุขเวทนา นี้เอง ไม่มีการศึกษาอันใดที่จะลึกลับซับซ้อน หรือว่ายกย่องขึ้นว่าเป็นการศึกษาที่สูงสุดเท่ากับการศึกษาให้รู้จักความจริงในเรื่อง สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง เพราะมันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ในโลกทุกชนิดหรือทั้งมวล เมื่อผู้ใดได้ศึกษารู้เรื่องนี้ก็ได้ชื่อว่าได้ศึกษารู้เรื่องที่สำคัญที่สุด ที่โลกมนุษย์ควรจะศึกษา แต่แล้วทำไมเราจึงไม่ศึกษากันในลักษณะอย่างนี้ กลับศึกษากันไปแต่ในทางที่จะทำให้ตกเป็นทาสของ สุขเวทนา ยิ่งขึ้น
เด็กๆได้รับการศึกาชนิดที่บูชา สุขเวทนา ให้ทำทุกอย่างอุทิศให้แก้ สุขเวทนา ให้ได้มาซึ่ง สุขเวทนา ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เคยมีใครสอนให้เด็กๆรู้สำนึกเสียตั้งแต่ทีแรกว่า สิ่งที่เรียกว่า สุขเวทนา นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องระวังให้มาก อย่าได้หลงพลัดตกไปสู่อำนาจของมันเลย ตรงกันข้ามพวกครูบาอาจารย์ไปยุให้เด็กๆ ฉลาดแสวงหา สุขเวทนา มาใส่ตน ไปยุให้มุ่งหมาย สุขเวทนา ยิ่งๆขึ้นไป คนที่เกิดมาเหล่านี้หรือเกิดมาในชั้นหลังนี้จึงตกหนักยิ่งขึ้นทุกที คล้ายกับว่าจะเป็นทาสของ สุขเวทนา ทางเนื้อหนังนั้นมาเสียตั้งแต่ในท้องมารดาทีเดียว เพราะได้รับการอบรมกันแต่ทำนองนั้น แม้บิดามารดาก็ยังมีความหวังอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้ลูกในท้องนั้นตกเป็นทาสของ สุขเวทนา มาตั้งแต่ก่อนคลอดอย่างไรได้ น่าจะเป็นภาระที่ผู้ที่เป็นบิดามารดาศึกษาเรื่องนี้กันเสียบ้าง จะได้รู้จักอบรมลูกหลาน หรือไม่ถึงกับสร้างนิสัยแห่งความเป็นทาสของ สุขเวทนา ให้แก่ลูกแก่หลานมาเสียตั้งแต่ในท้อง ถ้าทำได้ดังนี้ปัญหาที่จะเข้าใจเรื่องพระอรหันต์ก็จะได้ง่ายขึ้น การทำวามดับทุกข์ก็จะได้ง่ายขึ้น เพราะรู้ความจริงมาตั้งแต่ในท้อง คือว่า บิดามารดาเป็นผู้รู้ความจริงเสียแล้ว ความจริงอันนั้นก็คงจะซึมซาบมาถึงลูกได้เป็นแน่นอน เพราะว่าเป็นสิ่งที่คลอดมาจากบิดามารดา ปรุงแต่งขึ้นมาจากบิดามารดา อย่างน้อยที่สุดบิดามารดานั่นแหละจะแวดล้อมให้จิตของลูกผันแปรไปอย่างไร ทว่าบิดามารดามีจิตใจอยู่เหนือ กิเลส- ตัณหา เหนือ เหนือ สุขเวทนา คือ ควบคุม กิเลส- ตัณหา ได้ ลูกที่เกิดมาก็มีส่วนที่จะเป็นอย่างนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย แต่ถ้าบิดามารดาเป็นทาสของ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังอย่างหลับหูลืมตาไม่สร่าง ดังนี้อยู่แล้ว ก็เท่ากับฝังพืชพันธุ์แห่งความเป็นอย่างนั้นให้ลูกมาเบ็ดเสร็จ บิดามารดาลองพินิจพิจาณาดูว่า การที่เราทำความชั่วหรือทำความไม่ดีที่ไม่ควรกระทำต่างๆนั้นมันมีมูลมาจากอะไร? ถ้าว่าจะเห็นแก่ลูกรักลูกรักหลานก็ได้ แต่แล้วความที่ให้ลูกให้หลานได้อะไรนั้นมันได้อะไรกันแน่ มันก็จะได้ สุขเวทนา อีกนั่นเอง ถ้าบิดามารดาไม่ได้ต้องการ สุขเวทนา โดยตรงก็เป็นเรื่องที่ต้องการให้ลูกหลานได้ สุขเวทนา จึงเป็นอันว่าอะไรๆก็ไม่พ้นไปจาก สุขเวทนา พัวพันกันอยู่แต่ที่ สุขเวทนา ทำให้ตกเป็นทาสของ สุขเวทนา ตลอดกาล ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ลงมาถึงชั้นบิดามารดา ชั้นลูกชั้นหลานชั้นเหลนต่อไปเป็นสายไม่มีที่สิ้นสุด แล้วโลกนี้จะสงบได้อย่างไร?
แม้จะปฏิญญาณตัวว่าเป็นพุทธบริษัท แต่ถ้าตกเป็นทาสของ สุขเวทนา เห็นการดังนี้เสียแล้ว ความเป็นพุทธบริษัทนั้นก็จะต้องร่อยหรอไปจนหมดสิ้นแทบไม่มีอะไรเหลือ เป็นพุทธบริษัทแต่ปาก เป็นพุทธบริษัทแต่เปลือก หรือเป็นพุทธบริษัทแต่ตามบัญชีทะเบียนกันตามเคย หาได้เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงแต่อย่างไรไม่ ถ้าเรายังรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังรักพระพุทธศาสนา ยังรักความเป็นพุทธบริษัทของเรา อยากให้ความเป็นอย่างนี้มั่นคงยืนยาวถาวรแล้ว ควรที่จะช่วยกันหันหน้าเข้าไปต่อต้านทำลายความหลงใน สุขเวทนา หรือทำลายพิษอำนาจของ สุขเวทนา ให้หมดไป จึงจะทำให้ความเป็นพุทธบริษัทนั้นเป็นไปได้ง่ายขึ้น และมีมากขึ้นหรือมีสมบูรณ์ทั่วไป โลกเรานี้ก็จะเป็นโลกของพุทธบริษัทขึ้นมาได้ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุธเจ้าก็จะไม่เป็นหมัน แต่เดี๋ยวนี้ลักษระอาการเป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม คนนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความหวังว่าจะได้ สุขเวทนา เสียด้วยซ้ำไป คนทั่วไปคนเขลาๆทั่วไป หรือว่าเป็นชาวบ้านตามธรรมดาทั่วไป ที่เข้ามานับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ ก็ด้วยหวังอยู่ว่าจะได้ สุขเวทนา ในเมืองสวรรค์ ซึ่งเป็น สุขเวทนา ที่ประณีตไปกว่า สุขเวทนา ในเมืองมนุษย์ นี่ น่าประหลาดอย่างยิ่งหรือน่าขบขันอย่างยิ่ง คือ เขาอ้างเอาบุคคลที่สอนให้ทำลายความยึดถือใน สุขเวทนา นั้น มาเป็นที่พึ่งของตนเพื่อให้ได้ สุขเวทนา ไปเสียอีก เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งเพื่อจะให้ได้ สุขเวทนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กิเลส- ตัณหา ดังนี้ มันไขว้กันโดยสิ้นเชิง เป็นความเขลาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ที่ยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผิดความหมาย แต่ก็ยึดถือกันมาอย่างนี้ และยึดถือกันอยู่ทั่วๆไป ยังไม่มองเห็นทางที่ว่าจะสละละความเข้าใจผิดอันนี้กันไปได้อย่างไร? คือข้อที่ว่านับถือศาสนานี้ก็เพื่อให้ได้ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง พวกที่ถือพระเจ้าก็อยากให้พระเจ้าช่วยให้ได้สิ่งนี้ พวกที่นับถือพระพุทธเจ้าก็อ้อนวอนบวงสรวงในทำนองเดียวกัน หรือว่าหวังอยู่ว่าถ้าประพฤติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยิ่งจะได้ สุขเวทนา ในสวรรค์นั้นมาได้โดยง่ายดาย
เรื่องมันกลับตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สุขเวทนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ตัณหา นี้เป็นตัวการของความทุกข์ ถ้าจะมาให้พระพุทธเจ้าแจกจ่ายสิ่งเหล่านี้แก่คนทุกคน มันเป็นการขบถต่อพระพุทธเจ้า เป็นการทำลายพระพุทธเจ้าเสียเอง แล้วจะได้รับผลสมตามความมุ่งหมายที่เป็นไปในทางธรรม หรือถูกทำนองคลองธรรมได้อย่างไรกันเล่า? ผู้ที่อ้างเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นผู้อำนวย สุขเวทนา ทั้งที่เป็นอย่างมนุษย์ หรือเป็นอย่างเทวดาก็สุดแท้ ควรจะได้คิดกันเสียใหม่ ควรจะได้พินิจพิจารณากันเสียใหม่ มองเห็นชัดตามที่เป็นจริงว่าพระพุทธเจ้าไม่อาจจะเป็นสื่อสำหรับให้ได้ สุขเวทนา ไม่อาจจะรับจ้างพวกสาวกทายกทายิกาเป็นผู้แสวงหา สุขเวทนา มาประทานให้ เพราะว่าพระองค์ทรงประนาม สุขเวทนา นั้นว่าเป็น มายา ไม่มีสาระ ไม่มีตัวตนอันแท้จริง ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อเป็นเหยื่อของ กิเลส- ตัณหา ทำให้ กิเลส- ตัณหา เจริญงอกงามจนมีความทุกข์เกิดขึ้นเป็นปัญหายุ่งยากทั่วๆไป การมาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของพุทธบริษัทควรจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมาย คือ มุ่งหมายที่จะเอาชนะ สุขเวทนา ให้ได้ อย่าได้ตกเป็นทาสของ กามคุณ หรือกามารมณ์ เป็นต้น อีกต่อไปเลย ถ้าผิดไปจากนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา เป็นการเอาเรื่องนอกพระพุทธศาสนาเข้ามาตู่ให้เป็นพุทธศาสนา ทำลายของจริงให้ลับไป ให้สูญหายไป ยกของเท็จของปลอมขึ้นมาแสดงแทนที่ นั่นแหละคือ งานของพุทธบริษัทที่หลงใหลใน สุขเวทนา แล้วจะมาอ้างตัวเองว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของพระอรหันต์ พอใจในความเป็นพระอรหันต์ ยกย่องสรรเสริญบูชาพระอรหันต์ก็น่าหัวเราะเต็มที มันเป็นการเล่นตลกให้ลูกเด็กๆดูมากกว่า หรือว่าเป็นการเล่นตลกแบบภูติผีปีศาจเท่านั้นเอง ไม่ควรจะมีแก่พระพุทธบริษัทผู้ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องและแท้จริง พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นต้องทำอย่างเดียวกันกับพระศาสดา เดินไปทางเดียวกัน ในร่องรอยเดียวกันกับพระศาสดา คือ มีจิตใจที่เกลียดชังสิ่งอันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ กล่าวคือ กิเลส- ตัณหา ถอนตัวมาเสียให้ห่าง ไม่เกี่ยวข้องกับ กิเลส- ตัณหา หรือสิ่งอันเป็นที่ตั้งของ กิเลส- ตัณหา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกที่เดินในร่องรอยเดียวกันกับพระศาสดา ทุกคนกำลังเป็นอย่างนี้ หรือเป็นอย่างไหน? ขอให้ลองคิดดู ถ้ามัวแต่จะแสวงหา สุขเวทนา โดยเอาพระศาสดาเป็นครู หรือเอาการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือแล้วก็นับว่า-ใช้ของผิด คือ เอาสิ่งหนึ่งไปใช้ในฐานะที่ไม่ใช่เป็นความมุ่งหมายของสิ่งนั้น เรียกว่า ใช้ของผิดโดยสิ้นเชิง เป็นผู้ที่หลงใหล ไม่รู้ความจริงจนถึงกับกลับสิ่งหนึ่งให้เป็นสิ่งหนึ่ง กลับหน้ามือเป็นหลังมือ กลับดำเป็นขาว ดังนี้เป็นต้น ไม่สามารถที่จะรับประโยชน์จากพระพุทธวจนะ หรือจากการปฏิบัติตามพระพุทธวจนะ เป็นการทำไปอย่างที่ไขว้กัน คือ เป็นทาสของภูตผีปีศาจ ของ กิเลส- ตัณหา แต่มาอ้างว่าเป็นผู้นับถือพระรัตนตรัย การกระทำก็เป็นไปเพื่อให้เป็นทาสของ สุขเวทนา มากยิ่งขึ้น แต่ก็มาอ้างว่าเป็นการทำตามหลักของพระพุทธศาสนา เช่นว่า สอนให้ทำบุญให้เกิดกุศล สำหรับจะไปเกิดในเมืองสวรรค์แล้วก็เพื่อ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนังอย่างเดียวเท่านั้น ดังนี้มันจะเข้ากันได้อย่างไรกับหลักของพระพุทธศาสนา ที่แสดงไว้ชัดแจ้งแล้วว่า ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราจะต้องฆ่ามันเสียให้ตาย ด้วยการอย่าให้อาหารแก่มัน คือ อย่ามี สุขเวทนา มาเป็นที่ตั้งของ ตัณหา นั่นเอง
เมื่อได้พิจารณาเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งตามที่เป็นจริงดังนี้ หูตาจะสว่างขึ้น ไม่เป็นคนหลับอีกต่อไป เป็นผู้ที่สามารถทำให้มีความสว่างได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็นผู้ที่สามารถดับความทุกข์ของตัวได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง จะปฏิบัติหรือจะทำอย่างไรลงไปก็ล้วนแต่ถูกทาง คือ เป็นไปเพื่อจะเอาชนะ สุขเวทนา นั่นเอง ไม่ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแปลกๆใหม่ๆ มากมาย เพื่อให้คนเป็นทาสของ สุขเวทนา มากยิ่งขึ้น เราได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า คืนหนึ่งวันหนึ่งในวันนี้ เราจะพยายามกระทำให้อยู่ในร่องรอยของพระอรหันต์ เราจะพยายามทำตามแบบอย่างของพระอรหันต์ เราจะทำตนให้คล้ายกับพระอรหันต์ให้มากที่สุดที่เราจะทำได้ แม้ว่าจะไม่ยั่งยืนตลอดไปแต่เราก็ต้องให้ได้ในวันนี้ คืนนี้ ดังนี้
ฉะนั้น เพื่อจะเป็นการรวบรัดให้เราทำได้ดังนี้ทันแก่เวลา เราก็จะต้องระดมความคิดนึกหรือการศึกษาของเราตรงไปยังจุดสำคัญที่สุด กล่าวคือ สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง จงรีบพินิจพิจารณาในลักษณะของ กรรมฐานภาวนา หรือ วิปัสสนา เสียแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ที่นี่ ให้เห็นชัดแจ้ง ชัดเจนตามที่เป็นจริงว่า สุขเวทนา ที่ปรารถนากันนักนั่นแหละ คือ ตัวศัตรูอันร้ายกาจ จงได้พิจาณาให้เห็นความจริงข้อนี้กันทุกคนเถิด ก็จะเกิดการถอยหลัง คือ ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจาก สุขเวทนา นั้นขึ้นมาได้ทันอกทันใจ ทันในเวลานี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เรียก วิปัสสนา นั้นต้องแปลว่า ความเห็นแจ้ง / ตามตัวหนังสือ แปลว่า ความเห็นแจ้ง ธรรมดาเราไม่เห็นแจ้งเพราะเราขี้เกียจคิด ขี้เกียจนึก ขี้เกียจพินิจพิจารณาให้ติดต่อกันไป ฟังแต่ว่าลมๆแล้งๆ ก็พอใจเสียแล้ว หรือว่าคิดพอเข้าใจครั้งหนึ่งแล้วก็ปล่อยให้เงียบไป ไม่ได้เอาความคิดหรือความรู้สึกที่ถูกต้องนั้น มาฝังไว้ประจำอยู่ในใจให้มันเจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปทุกที
การทำวิปัสสนาที่แท้จริงนั้นโดยที่แท้แล้ว ก็คือ การปักความเห็นจริง หรือความรู้ที่เกิดขึ้นให้ลงรากมั่นคงตลอดกาลนาน ความรู้จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ เห็นแจ้งชัดเจนถึงที่สุดก็ได้ แต่แล้วยังไม่มั่นคง คือ หายไปเสียอีก การทำวิปัสสนา ก็คือ การจับตัวมันมา เอามาพินิจพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้ง ชัดเจน มั่นคงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก และตลอดเวลานาน ถ้ามันถูกบังคับ ถูกควบคุมอยู่อย่างนั้น มันก็ค่อยๆเจริญไปได้ คือ เป็นไปในทางที่จะให้ กิเลส- ตัณหา เบาบาง เกิดความพ้นจากความทุกข์ขึ้นมาได้ ถ้าทำได้ดังนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นการลัดที่สั้นที่สุด เป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุด ทันอกทันใจของบุคคลที่หวังว่าจะได้มองเห็น หรือหยั่งทราบ ซึมซาบถึงคุณธรรมของพระอรหันต์ว่ามีอยู่อย่างไร? ว่าท่านบริสุทธิ์สะอาดอย่างไร ท่านสว่างไสวแจ่มแจ้งอย่างไร และท่านสงบเย็นอย่างไร อาศัยการทำ วิปัสสนา ในลักษณะเช่นนี้จะทำให้รู้จักได้โดยไม่ยากเลย ถ้าไปทำ วิปัสสนา ในลักษณะที่หวังนั่น หวังนี่ หวังอะไรนอกลู่นอกทางไปอีก มันก็ไม่เป็น วิปัสสนา แต่จะกลับเป็นอะไรไปอย่างหนึ่งที่ผลักไสบุคคลที่ทำนั้นให้ตกลงไปในเหวแห่ง กิเลส-ตัณหา จมอยู่ใน สุขเวทนา อย่างไม่รู้สร่างเสียอีก บางทีก็ทำ วิปัสสนา บางทีก็เป็นอาจารย์สอน วิปัสสนา แต่ผลที่หวังกันอยู่นั้นก็คือ สุขเวทนา ซึ่งเป็นเหยื่อของ กิเลส- ตัณหา อย่างนี้แล้วจะยิ่งกลับตรงกันข้าม ยิ่งไปกันคนละทิศละทาง เราไม่ได้ทำ วิปัสสนา เพื่อให้ได้ สุขเวทนา แม้ในโลกสวรรค์เบื้องหน้า ไม่ได้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาเพื่อให้ได้ชื่อเสียงมาแล้วเป็นทางมาแห่งลาภผลซึ่งเป็นที่ตั้งแห่ง สุขเวทนา ทางเนื้อทางหนัง เราจะเป็น นักวิปัสสนา หรือ อาจารย์สอนวิปัสสนา กันในความหมายของการที่ทำให้เห็นชัดเจน ประจักษ์แจ้งลงไปว่าตัว สุขเวทนา ที่คนทั้งหลายปรารถนานั่นแหละ คือตัวศัตรูอันร้ายกาจ เราจะต้องช่วยกันจับทำให้มันหมดอำนาจ ให้มันหมดสมรรถภาพในการที่ทำคนให้เป็นทุกข์อีกต่อไป เมื่อทุกคนช่วยกันเฝ้าสอนซึ่งกันและกัน ปรึกษาหารือกัน คิดนึกกันให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการจะขจัดเสียซึ่งความหลงใหลใน สุขเวทนา ที่เรามักจะเรียกกันว่า กามคุณ บ้าง กามารมณ์บ้าง เป็นส่วนใหญ่ ความหมายข้อนี้กว้างขวาง คือ ครอบงำไปถึงสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ในฐานะเป็นสิ่งที่น่ารักน่าปรารถนานั่นเอง ความน่ารักความน่าปรารถนานั้นเป็นเหมือนกับบ่วง ที่ผูกจิตใจของสัตว์ให้ติดอยู่กับสิ่งนั้นๆ ถ้าพิจารณาเห็นชัดตามที่เป็นจริงก็จะเห็นเป็นสิ่งที่ไม่น่ารักไม่น่าปรารถนา เพราะมันเป็นของหลอก เป็นของหลอกลวง เป็นมายา มีการเกิดดับไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่มีการเกิดดับก็มีแต่ความทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งเห็นว่า การหลงใหลใน สุขเวทนา นั้น มันเป็นความสำคัญผิดอย่างร้ายกาจทีเดียว
ดังที่ท่านอุปมาไว้ว่าเปรียบเหมือนกับบุคคลคนๆหนึ่งเอาสุ่มไปจุ่มในนาในน้ำเพื่อจะหาปลา ครั้นสุ่มได้สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งติดอยู่ในสุ่มแล้วล้วงขึ้นมามันเป็นงู แต่คนนั้นไม่รู้ว่างูเพราะมี โมหะ เข้าใจว่าเป็นปลาอยู่นั่นเอง ก็เอางูพิษอันร้ายกาจนั้นมายึดถือ หรือกอดรัดไว้ในฐานะที่ว่ามันเป็นปลา การที่เอาสิ่งที่เป็นศัตรูอันร้ายกาจมายึดถือไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาดังนี้ ลองพิจารณาดูเถิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอันตรายอย่างร้ายแรงเพียงไร? แต่แล้วเราก็ทำกันอยู่ทุกคน คือ ยึดมั่น-ถือมั่นใน สุขเวทนา ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะต้องบูชา แล้วมันก็กัดเอา กัดเอา คือ ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นอย่างซ้ำๆ ซากๆ อุปมาเหมือนกับเขียงที่รอสับเนื้อดังที่กล่าวแล้ว แต่เขียงนั้นมันก็ไม่รู้จักเข็ดจักหลาบ คล้ายๆกับว่ามันไม่มีความรู้สึกในการเจ็บปวดเสียเลย กระดานที่ใช้เป็นเขียงรองสับนั้นมันเป็นไม้กระดาน ไม่มีชีวิตวิญญาณ แต่จิตใจของคนเราเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ไม้กระดาน ควรจะรู้สึกเจ็บปวด ควรจะรู้สึกเข็ดหลาบ หรือรู้สึกในความจริงของการทิ่มแทง แผดเผา ร้อยรัดนี้กันเสียบ้าง จะได้ถอยห่างมาเสียจากการลุ่มหลง ทำตนให้ออกไปได้ห่างไกลจากความทุกข์ ทำให้ สุขเวทนา ไม่มีความหมายอีกต่อไป นั่นแหละ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องตามทำนองของพุทธบริษัท แล้วก็ทำได้ทันในเวลาอันเหลืออยู่ไม่มากนี้ เพราะเดินทางลัดตรงไปยังตัวการ กล่าวคือ สุขเวทนา ซึ่งเป็นที่ลุ่มหลงอยู่ตลอดชีวิตของบุคคลทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
การที่ได้รวบรัดตัดตอนชี้ให้เห็น สุขเวทนา ว่าเป็นที่ตั้งของ กิเลส- ตัณหา เป็นทางมาแห่งความทุกข์ทั้งมวลนี้ ก็เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องลัดๆ สั้นๆ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมากที่สุดในพระคัมภีร์ทั้งมวล เราก็ควรจะได้ยินได้ฟังกันเสียที แล้วเป็นทางที่ให้เกิดความถอยหลัง คือ เบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้โดยง่ายด้วย เป็นการทำที่ดีที่สุดแล้วในการที่จะบูชาพระอรหันต์ทั้งหลาย ในโอกาสแห่งมาฆบูชานี้ อย่างน้อยสักขณะจิตหนึ่งก็ยังดี ถ้าเราเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดต่อ สุขเวทนา ก็ยังจะได้ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณธรรมตรงตามความหมายของคำว่าพระอรหันต์ หรือว่ามีจิตใจชนิดเดียวกันกับจิตใจของพระอรหันต์ แม้จะชั่วแวบหนึ่งก็ยังดี ยังดีกว่าที่จะลุ่มหลงตลอดกาล แต่ถ้าเราอุตส่าห์ทำ วิปัสสนา ให้ถูกต้องแท้จริงตามความหมายของคำว่า วิปัสสนา แล้ว ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หรือความปล่อยวางนั้นจะอยู่นานเกินกว่าแวบเดียว คือ จะอยู่เป็นวันๆ เดือนๆ ปีๆ ก็ได้ ตลอดเวลานั้นเป็นการทำให้ กิเลส อดอาหาร ไม่ได้อาหารมาบำรุง มันก็จะเหือดแห้งสูญสิ้นไปในที่สุดได้เหมือนกัน จึงควรถือโอกาสอันนี้ กระทำสิ่งซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่โดยส่วนเดียว ไม่มีทางผิดพลาด ถ้าไม่ได้ทางนี้ก็เอาทางโน้น ถ้าไม่ได้อย่างถาวรก็เอาอย่างชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้เสียเลย และโดยเฉพาะในวันมาฆบูชาหรือวิสาขบูชานั้น จำเป็นที่จะต้องกำจัดปัดเป่าความรู้สึกคิดนึกเรื่องอื่น ๆ ออกไปเสียให้หมดสิ้น มาคิดนึกพิจารณากันถึงแต่โทษของ สุขเวทนา แล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นก็ได้ชื่อว่ามีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ มาดำรงอยู่ในจิตใจของเราชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี ถ้าเรารักษาไว้ได้ต่อไป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะยังคงอยู่ในจิตใจของเราตลอดกาลอันถาวร ถ้าเราทำผิดไปก็ได้อยู่รอบหนึ่งชั่วขณะหนึ่งที่ทำถูก นับว่าไม่เสียหายอะไรเลยในการที่จะพินิจพิจารณาอันตรงดิ่งไปยัง สุขเวทนา อันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ หรือ กิเลส- ตัณหา โดยนัยยะดังที่วิสัชนามานั้น ก็จะทำให้ตนเป็นผู้ได้นามว่า ไม่มืดไม่บอด แต่เป็นอยู่ด้วยแสงสว่าง ซึ่งเป็นกำลังจะสร้างให้รุ่งโรจน์ยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะถึงที่สุดในกาลอันเป็นอนาคต
รวมความว่าในวันนี้เราก็ได้ทำดีที่สุดแล้ว ในการที่จะเข้าถึงคุณธรรมของพระอรหันต์ กล่าวคือความดับทุกข์สิ้นเชิง เราได้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะเสียสละได้ เราพยายามที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ควรจะได้ยินได้ฟัง เราได้พยายามที่จะประพฤติปฏิบัติตามร่องรอยของพระอรหันต์ ด้วยความหวาดกลัวต่อความทุกข์ เอาความหวาดกลัวต่อความทุกข์นั่นแหละมาเป็นต้นทุน หรือเป็นเดิมพัน สำหรับจะระดมทุ่มเทกำลังทั้งหมดทั้งสิ้นลงไปในการต่อสู้กับ สุขเวทนา ไม่ให้มันมาหลอกลวงเราได้ต่อไป ให้รู้แจ้งเห็นจริงว่ามันเป็นอย่างไรแล้ว เพิกถอนความยึดถือใน สุขเวทนา นั้นเสียให้เด็ดขาด ให้กลายเป็น สุขเวทนา ที่ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะจิตใจไม่ยึดถือ ก็ได้ชื่อว่าเป็นการทำที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ทำแล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็นการได้ผลที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เราควรจะได้แล้ว มันดียิ่งไปกว่าการได้เงินได้ทอง ได้ชื่อเสียง ได้อำนาจวาสนา เพราะว่าการได้สิ่งนั้น ๆ มานั้น มันทำให้เป็นทาสของ สุขเวทนา ยิ่งขึ้น และเราก็ต้องมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราได้สติปัญญา ความรู้แจ้งเห็นจริงในข้อนี้มา มันทำให้เราไม่มัวเมาในทรัพย์สมบัติ ในชื่อเสียง ในยศศักดิ์บริวาร อำนาจ วาสนา มันทำให้เราไม่ต้องตกไปเป็นทาสของ สุขเวทนา เพราะเหตุนั้น เราจึงถือว่าเป็นการได้ที่ดี เป็นการได้ที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ และอย่างน้อยเราก็ได้แวบหนึ่งแล้วในขณะนี้ในโอกาสนี้ ดีกว่าจะไม่ได้เสียเลย เพราะจะเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นอุปนิสัยส่งเสริมให้ได้มากยิ่งขึ้นในโอกาสข้างหน้า เมื่อเราได้ชิมลองของที่ดี หรือของที่ประเสริฐสามารถจะกำจัดทุกข์ภัยได้แล้ว เราก็คงจะยินดีในการที่จะแสวงหา จนได้มาซึ่งสิ่งซึ่งเราเคยชิมลองนั้นในอนาคตอันใกล้นี้เป็นแน่ เพราะว่าทุกคนก็หวังที่จะกำจัดความทุกข์ ดับทุกข์ของตัวอยู่ หากแต่ โมหะ เข้ามากั้นกลางไว้ เราได้พยายามที่จะทำลาย โมหะ หรือเครื่องกั้นกลางอันนี้เสีย ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจนตามที่เป็นจริงว่า ความทุกข์ทั้งนั้นที่เกิดขึ้น ความทุกข์ทั้งนั้นที่ตั้งอยู่ ความทุกข์ทั้งนั้นที่ดับไป นอกจากความทุกข์แล้วไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น เราจะไปสนใจยึดถือกับสิ่งเหล่านี้ทำไม? ควรจะทำจิตทำใจอยู่เหนือความยึดถือสิ่งทั้งหมดทั้งสิ้น เราก็จะไม่ถูกมัจจุราชจับตัว จะไม่ถูกชรารุมล้อม จะไม่ถูก ตัณหา ทิ่มแทง จะไม่ถูกอิจฉาเผาลน ก็จะกลายเป็น เบญจขันธ์ ที่มี กิเลส เบาบางหรือเป็น เบญจขันธ์ ที่มีความบริสุทธิ์สะอาดปราศจาก กิเลส โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเวียนว่ายใน วัฏฏสงสาร อีกต่อไป เป็นผู้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ เพราะมีแสงสว่างแห่งพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดามาเป็นเครื่องส่องสว่างอยู่เสมอ ดำเนินไปถูกทางตั้งแต่ต้นจนปลาย ในที่สุดก็จะได้พบสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้สำหรับเป็นมรดกตกทอดแก่สัตว์ทั้งหลายที่มีสติปัญญาพอสมควร ตั้งอยู่ในฐานะเป็น เนยยบุคคล คือ เป็นสามัญธรรมดาที่พอจะรู้อะไรได้ และก็ได้รู้จริงๆ ได้เป็นพุทธบริษัท หรือได้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ อยู่ในฐานะที่มั่นคง ปลอดภัย ตัวเองก็ติเตียนตัวเองไม่ได้ คนอื่นก็มาติเตียนเราไม่ได้ เป็นผู้ที่มีความดี ความงาม ความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความสะอาด ความสว่างและ ความสงบ สมตามความมุ่งหมายทุกประการแล้ว ชื่อว่าได้ทำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาสิงสถิตอยู่ในจิตใจแล้ว เป็นการได้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้แล้ว เพราะอำนาจเมตตาบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงประทานหลักธรรมคำสอนไว้ และอาศัยอุปนิสัย สติปัญญา บารมีของเราเอง สามารถจะรองรับสิ่งเหล่านั้นเอามาได้ เอามาประพฤติปฏิบัติให้เจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะ ดับ กิเลส- ตัณหา ได้ตามสมควรแก่การปฏิบัติของตน
นี่แหละชื่อว่า ไม่เสียทีที่ได้เกี่ยวข้องกันกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือนำตนเข้ามาเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ก็ได้รับประโยชน์สมตามความประสงค์ ทั้งของเราเองและทั้งของพระพุทธเจ้า หรือของพระอรหันต์ทุกๆ องค์ที่มีอยู่ต่อสรรพสัตว์ นับว่าเป็นการได้ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้โดยแน่นอน ไม่ต้องมีข้อกังขาสงสัยอะไรในเรื่องนี้อีกต่อไป เป็นทางเจริญแห่งศรัทธา เป็นทางเจริญแห่งความเพียร เป็นทางเจริญแห่งปัญญา เป็นทางเจริญแห่งความตั้งใจมั่น คือ สมาธิ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันที่จะทำให้เราก้าวหน้าไปถึงที่สุดของความทุกข์ นับว่าเป็นความหวังในทางที่ควรหวัง เป็นการเดินไปในทางที่ควรเดิน และก็จะได้ลุถึงสิ่งที่ควรจะได้ โดยที่เราทั้งหลายทุกคนพึงมีความเชื่อ ความเลื่อมใสมั่งคงในพระรัตนตรัยอย่างไม่เสื่อมคลาย
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้