แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรดี นึกไม่ค่อยออก เท่าที่นึกได้เราควรจะพูดกันถึงเรื่องการมอบ มอบชีวิต มอบกายถวายชีวิต ในบทธรรมวัตร ทำวัตรนี่ เช้าเย็นนี้เราก็มีมอบกาย คือถวายชีวิตแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คำว่ามอบทั้งหมดแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้ไอ้คำว่ามอบอะไรทั้งหมด มอบชีวิต มอบอะไรนี่ มันก็พูดได้ว่ามีในทุกศาสนา โดยเฉพาะศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าอย่างบุคคลซึ่งมีอยู่มากศาสนา เรียกร้องการมอบชีวิต หรือมอบทุกอย่างแก่พระเจ้า หรือพระเป็นเจ้า แล้วเขาก็ทำงานได้ดี ได้จริงเหมือนกัน ดูจะไม่มอบเปล่า บางราย บางกรณีมอบเหมือนกับเป็นบ้าไปเลย เหมือนกับคนบ้า แต่เขาก็ไม่เสียผลในการงานของเขา ที่จริงมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ตามธรรมชาติอยู่มากเหมือนกันแหละ ถ้าว่าเรามันหลงรัก หลงนับถือ หลงเชื่อในสิ่งใด มันก็เป็นอันมอบไอ้ชีวิตจิตใจในสิ่งนั้นโดยธรรมชาติอยู่ ถ้ามันเป็นถูก ถ้ามันถูกที่ดีก็ดีไป ถ้ามันถูกที่ไม่ดี หรือไม่จริง มันก็ ก็แย่เหมือนกัน ฉะนั้นเราน่าจะวินิจฉัยเรื่องนี้ให้เป็นที่เข้าใจแล้วก็ใช้มันให้สำเร็จประโยชน์
นับตั้งแต่มอบทุกอย่างให้แก่การศึกษา เพราะเราเป็นนักศึกษา ดูเราจะไม่ได้มีการกระทำอย่างนั้นกันนัก หรือกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคนละอย่างนะที่ว่าเราจะศึกษาเพื่อแลกเอาประโยชน์อะไรบางอย่าง อย่างนี้มันไม่ใช่มอบหรอก ถ้าว่ามันมอบ มันก็มอบอย่างไม่คิดถึงว่าจะเอาอะไรมาตอบๆแทน ไม่เรียกร้องๆอะไรตอบแทน ถ้าความคิดที่มันจะเรียกร้องอะไรตอบแทนมีอยู่ มันก็ไม่ใช่มอบหรอก ดูให้ดีเถิด แล้วมันก็คงจะผิดกันมากนะ กำลังๆที่จะผลักไส (นาทีที่ 0:04:57)อะไรต่างๆเหล่านี้มันไม่ๆเท่ากัน เราน่าจะปรับปรุงให้ยิ่งๆขึ้นไป แล้วให้มันไปจบจุด หรือที่จุดสูงสุดว่าพุทธบริษัทนี่จะมอบทั้งหมดชีวิตจิตใจให้แก่ใคร ให้แก่อะไร ในที่สุดมันก็หลีกคำว่าสิ่งสูงสุดไม่พ้น ทีนี่จะเรียกว่าพระเจ้า หรือจะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ แต่ต้องเป็นสิ่งสูงสุด เดี๋ยวนี้เราใช้กันจนชินปาก ชินการพูดนี้ คือคำว่าพระเจ้า แล้วมันก็เกิดเป็นปัญหายุ่งยากขึ้นมาว่ามีพระเจ้า หรือไม่มีพระเจ้า นี่ก็ทำให้เกิดปัญหา ดูฝรั่งมันจะเป็นผู้ขีดวงให้เราถือ หรือยึดถือ ข้อนี้ไม่ถูก ฉะนั้นเราไม่เชื่อตามที่ฝรั่งเขาขีดวงให้ว่าพระเจ้าคืออะไร บางศาสนามีพระเจ้า บางศาสนาไม่มีพระเจ้า เราอย่าไปถือเอาตามที่เขาขีดวงให้ แล้วยิ่งๆไปกว่านั้นอีกก็คือว่าเราใช้คำ ใช้คำบัญญัติ หรือคำแปลความหมายคำบัญญัตินั้นไม่ตรงกันๆ ฉะนั้นมันเข้าใจผิดอยู่ในทีโดยไม่รู้ตัว อย่างในคำว่าพระเจ้านั่นเอง ถ้ามันมีพระเจ้า ถ้าๆว่าเป็นระบบที่มีพระเจ้ามันก็ง่ายแหละไอ้การมอบอะไรๆ มอบชีวิต มอบอะไรทั้งหมดก็มอบแก่พระเจ้า แล้วมันก็ทำไปตามอุดมคติอันนั้น ถ้าไม่มีพระเจ้าขึ้นมา มันก็ยังไม่รู้จะมอบกับอะไร มันก็ต้องรองๆๆๆลงมาจนกระทั่งต่ำมาก ถือประโยชน์ของตัวเองคือพระเจ้า
อีกอย่างหนึ่งเรื่องพระเจ้านี้ผมคิดว่าพวกเราควรจะมีความรู้เพียงพอ และยุติเรื่องนี้สักที เรื่องพระเจ้า แล้วก็ต้องยุติในลักษณะที่ถูกต้อง และมีประโยชน์ที่สุด ฉะนั้นเราพูดกันถึงเรื่องพระเจ้ากันก่อน ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของภาษาเสียมากกว่า การใช้ภาษาไม่ถูกต้องตามความหมายแท้จริง แล้วก็เลยเกิดความคิดเปลี่ยนแปลง ไอ้คำว่าพระเจ้าในภาษาไทย และพระเจ้านี่เป็นภาษาไทย มันก็ไม่ต้องพูดว่าพระเจ้าในภาษาไทย ไอ้คำว่าพระเจ้านั้นมันในภาษาไทยหมายถึงสิ่งสูงสุด ไม่ได้จำกัดว่าอะไร ไปเอากฎหมายเก่าเพียงแค่กรุงรัตนโกสินทร์นี่ กฎหมายเก่าๆมาอ่านดูเถิด จะพบคำว่าพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า แต่หมายถึงภิกษุนั่นเอง กฎหมายเรื่องไปเป็นทหารจับศึกก็ดี เรื่องมรดกก็ดี อะไรก็ดี มีคำว่าพระผู้เป็นเจ้าก็มี พระเป็นเจ้าก็มี คือหมายถึงภิกษุ ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าบนสวรรค์หรอก คำว่าพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า ไปดูเถิด มันเป็นภาษาไทย แล้วจะหาที่มา ที่ๆๆเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างนี้ที่อื่นมันก็หายาก มันไปเห็นในกฎหมายภาษาไทย แล้วก็เชื่อว่าคงสืบมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
คำว่าพระผู้เป็นเจ้า หมายถึงสิ่งที่เคารพนับถือสูงสุด ที่นี้เขาคงจะเคารพพระๆสงฆ์นี่มาก ใช้คำว่าพระผู้เป็นเจ้ากับๆๆภิกษุนั่นเอง แล้วก็ๆยังคงใช้เรื่อยๆมาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ในภาษาไทย ภาษาทางศาสนา พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ถวายสังฆทานเดี๋ยวนี้ก็ยังว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับทานนี้ เป็นต้น เป็นที่ยุติได้ว่าคำๆนี้เขาจะใช้กับสิ่งสูงสุดของการเคารพนับถือ จะเป็นเพราะว่าอยากให้เคารพพระสงฆ์สูงสุดจึงใช้คำว่าพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระเป็นเจ้า แม้แต่คำว่าเจ้ากู เจ้ากู นั้นมันก็คือคำว่าพระเป็นเจ้าของกู ที่เรียกว่าเจ้ากู ที่ใช้ในความหมายอย่างอื่นยังไม่พบนี่ มันยังไม่พบหลักฐาน ที่มันอยู่เป็นลายลักษณ์อักษร มันมีใช้หมายถึงภิกษุสงฆ์ ฉะนั้นจึงๆต้องสันนิษฐานว่าไอ้คำนี้ใช้หมายถึงสิ่งสูงสุด เมื่อถือว่าพระสงฆ์เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ ของมนุษย์ ก็ใช้คำนี้ แม้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ทีนี้พอฝรั่งคริสต์ตัง คริสต์เตียนอะไรมันเข้ามา เมื่อเขาจะแปลพระคัมภีร์ เขาออกเป็นภาษาไทย เขาต้องสืบหาคำที่ดีสุด ที่สูงสุด ที่จะใช้แปลของคำว่า God ได้ ที่นี้คนไทยก็ต้องตอบว่าคำนี้สูงสุดสำหรับภาษาไทย คือพระผู้เป็นเจ้า แล้วเขาก็ได้ใช้ ใครจะเป็นผู้อนุญาต หรือต่อรองกันอย่างไรกันก็ไม่ทราบ แต่เราเอาหลักฐานในปัจจุบันนี้ มันแสดงเห็นชัดแล้วว่าเขาได้ใช้คำๆนี้ แล้วเราก็ได้หยิบยกยื่นให้เขาไป แต่พอมาในตอนหลังแล้วเกิดเปลี่ยนความหมายของพระเจ้า หรือพระเป็นเจ้า หรือของคำๆนี้ เราก็เลยเกลียดพระเป็นเจ้าที่เราให้ฝรั่ง ให้พวกคริสต์ตังเขายืมไป เมื่อยังอยู่กับเราแต่ก่อนเราก็ไม่เคยรังเกียจอะไร แต่พอให้เขายืมไปใช้ แล้วเขาจะมาใช้กับเรา เราก็เลยรังเกียจ การศึกษาเล่าเรียนมันเลยไปถึงว่าพระผู้เป็นเจ้าชนิดนั้น ชนิดที่เขายืมเอาคำของเราไปใช้ คือคำว่า God นั้น มันๆๆไม่มี มันไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา นี่ก็เป็นเรื่องที่ควรจะศึกษาด้วยเหมือนกัน
ในอินเดียเขาก็ต้องมีคำ หรือว่าอะไรก็ตามที่มีความหมายถึงพระ พระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า คือสูงสุด เราถือคำว่าสิ่งสูงสุด หรือผู้สูงสุดเป็นหลักก็ได้ เอานั่นเป็นจุดยืน Supreme thing Supreme thing จะเป็นสิ่ง หรือเป็นคน อันนั้นต้องมี เพราะมนุษย์จะรู้สึกเองตามธรรมชาติว่ามันมีสิ่งสูงสุด โดยสามัญสำนึก โดยสัญชาติญาณต้องมีสิ่งสูงสุดที่เราสู้ไม่ได้ ที่เราจะต่อสู้ไม่ได้ และที่เราจะต้องยอมแพ้ และที่เราจะต้องอาศัยมาเป็นที่พึ่ง ผมสังเกตเห็นแม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังมีสัญชาติญาณรู้สึกได้เองว่ามีสิ่งสูงสุดซึ่งมันจะต้องกลัว ไอ้โดยความรู้ หรือรู้สึกเดาๆ หรือว่าตามธรรมชาติอะไรของมันก็ตามเถิด มันรู้สึกว่ามีสิ่งสูงสุดซึ่งมันจะต้องกลัว และจะเป็นที่คุ้มครองให้มันปลอดภัย มันนึกหาไอ้สิ่งสูงสุดเท่าที่มันจะนึกได้ ดังนั้นมันจึงเกิดไอ้พ่อฝูง หรือจ่าฝูงไอ้ทำนองนี้ขึ้นมาในๆหมู่สัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็เป็นมากขึ้นตามความวิวัฒนาการเหมือนกัน ไอ้สัตว์นี่มันก็รู้จักหาไอ้สิ่งสูงสุดมาเป็นที่พึ่ง ไอ้สุนัขนี่มันๆตามผมมานี่ ไม่ใช่มาคุ้มครองผม คุณไม่รู้ มันมาให้ผมคุ้มครองมันอยู่ตลอดเวลา ผมสังเกตเห็นมัน คนทั่วไปเขาคิดว่ามันจะมาคุ้มครองเรา ที่จริงไม่ใช่ มันอยากให้อยู่ในความคุ้มครองของเรา เพื่อความปลอดภัยของมันอยู่ตลอดเวลา เราไปที่ไหนๆมันก็ตามไปอยู่ข้างๆ บางทีมันนอนหลับไปด้วย คือไว้ใจได้ว่าปลอดภัย นี่ๆไม่ใช่เรื่องคาดคะเน เป็นเรื่องที่เห็นชัด เห็นรู้สึกได้ว่ามันๆต้องการความคุ้มครอง แล้วก็ยกให้เรานี่เป็นผู้สูงสุด ตีก็ไม่สู้ อะไรก็ได้ แล้วก็ง้อ แล้วก็ประจบ ก็ขอให้คุ้มครอง ให้ๆอยู่ในความคุ้มครอง เราก็เลยเห็นเป็นเรื่องกตัญญู เรื่องที่มันจะมาคุ้มครองเรา กลับตรงกันข้ามแล้วที่จริงมันไม่ใช่หรอก เขาต้องการอยู่ในความคุ้มครองที่ปลอดภัยของเรา
ฉะนั้นมันรู้จักนึกเอง สัตว์ๆเดรัจฉานทุกชนิดนึกถึงว่ามีสิ่งสูงสุดซึ่งมันต้องกลัว ต้องยอมแพ้ และต้องหวังพึ่ง วิวัฒนาการนี้ยังอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งว่ามันเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เป็นพวก Ape นี่ มันก็ยังมีๆลัทธิอย่างนี้ เพราะมันต้องมีสิ่งสูงสุด แต่ถ้ามาเป็นมนุษย์แล้ว เป็นคนสมัยแรกๆแล้ว มันก็ยังมีลัทธิอันนี้ว่ามีสิ่งสูงสุด ตามที่เขาจะพูดกันจะสอนกัน จะแนะนำกัน ตามแต่หัวหน้าหมู่เขาจะทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาอย่างไร มนุษย์แม้กระทั่งทุกวันนี้ที่ว่าวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว มันก็ยังละทิ้งไอ้ความรู้สึกของสัญชาติญาณที่จะพึ่งสิ่งสูงสุดไม่ได้ ฉะนั้นจึงมีความคิดที่จะมีสิ่งสูงสุด แล้วถือเอาเป็นที่พึ่ง ไอ้การมอบชีวิต มอบอะไรให้มันๆก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเรียน มันเป็นไปได้โดยสัญชาตญาณ เท่ากับที่ว่ามันต้องการที่พึ่ง สัญชาตญาณต้องการที่พึ่ง มันก็มีสัญชาตญาณที่มอบ ยอมแพ้แก่สิ่งนั้น ฉะนั้นมันจึงเกิดไอ้สิ่งสูงสุดได้ทุกระดับของวิวัฒนาการกระทั่งเป็นมนุษย์แล้ว
วัฒนธรรมมันตั้งต้นแล้วมันสูงสุดขึ้นในถิ่นไหน มันก็บัญญัติไอ้ความหมายของไอ้สิ่งสูงสุดนี้สูงขึ้นไป แล้วเหมาะสมกับประชาชนที่นั่น แล้วมันจึงมีสิ่งสูงสุด แล้วก็ให้ชื่อกันในชั้นหลังนี่ว่าพระเป็นเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้าในภาษาไทย ซึ่งในภาษาอื่นมันไม่ใช่ภาษาไทยนี่ มันก็ไม่มีคำว่าพระผู้เป็นเจ้า มันก็ต้องมีคำอื่นซึ่งมีความหมายเท่ากันว่าเป็นสิ่งสูงสุด ฉะนั้นเราศึกษาให้ดีเราจะพบว่าไอ้สิ่งสูงสุดนั้นเขาให้ความหมายกันอย่างไร ไอ้ความหมายแรกที่สุดก็คือสูงสุดนั่นแหละ ความหมายที่ ๑ มันเป็นไอ้คุณสมบัติด้วย ไอ้คำว่า Qualification นั่นแหละ ใช้ได้ มันไม่ใช่คำแปล หรือไม่ใช่ความหมาย แต่มันเป็นไอ้ลักษณะ คุณค่า หรือคุณสมบัติ ไอ้สิ่งสูงสุดจะต้องมีไอ้ Qualification อย่างไร นี่เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนมาเรื่อย ตามความสูงของสิ่ง ของสัตว์ ของมนุษย์เรา เดี๋ยวนี้มาถึงขั้นนี้แล้วเราพอจะรวบรวมได้จากศาสนาอื่นๆทุกๆศาสนา หรือโดยหลักของธรรมชาติซึ่งมันเป็นไปได้ด้วยกัน ว่าสิ่งสูงสุดจะต้องมีลักษณะเป็นปฐมเหตุ The First Cause คือว่าเป็นจุดออกมา เป็นจุดตั้งต้น เป็นที่ออกมาของสิ่งทั้งปวงนั่น จะต้องเป็นปฐมเหตุ ทีนี้เมื่อไอ้สิ่งนั้นมันมีอยู่ก่อน สิ่งอื่นๆออกมาจากสิ่งนั้น ความคิดมันก็คิดกันมาได้เองว่าสิ่งนั้นเป็นผู้สร้าง เช่นในบาลี พรหมชาลสูตรก็มีความคิดเรื่องพระเจ้าผู้สร้างขึ้นมา โดยเหตุที่ว่าไอ้สัตว์จำพวกหนึ่งมันมองเห็นสัตว์จำพวกหนึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เทวดาพวกหนึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เทวดาพวกที่มาที่หลังก็เลยยุติเอาว่าไอ้ที่มันอยู่ก่อนคือมันสร้างเราขึ้นมา นี่ไอ้ความคิดว่าผู้สร้างมันก็เกิดขึ้น เมื่อมันมีความเชื่อลงไปว่าไอ้สิ่งนั้นมันมีอยู่ก่อน มีอยู่ก่อนแล้วเรามาทีหลัง ฉะนั้นไอ้ๆความรู้สึกว่าเป็นผู้สร้างก็เกิดขึ้น
สิ่งสูงสุดนั้นเป็นปฐมเหตุแล้วก็มาเป็นผู้สร้าง Create Creator Creation ความคิดว่าวิวัฒนาการยังไม่มี ไม่อาจจะมีในหมู่มนุษย์ประเภทนี้ Revolution นั่น ไม่ๆๆๆๆๆเกิด ไม่มีในความรู้สึก มันเกิดการรู้สึกเป็นว่าเขามีอยู่ก่อนเรา เรามาทีหลัง เขาสร้างเรา ความคิดว่าเขาสร้างเรามันเกิดก่อน มันเป็น Creation แล้วมันจึงเดี๋ยวนี้มันไม่ มันเกิดพวกที่ไม่ยอมเชื่อ Creation มันมาแตกแขนงออกมาเป็น Revolution ไอ้คำที่ใช้รวมกันอยู่ทั้งโลก แบ่งคนในโลกเป็น ๒ พวกตามความเชื่อ พวก Creationism ก็คือพวกที่เชื่อว่าไอ้ทั้งปวงนี้พระเจ้าสร้าง พวก Revolutionist มันก็ว่าสิ่งทั้งปวงนี้คือวิวัฒนาการ มาถึงก็ถามแล้วคุณเป็น Creationism หรือเป็น Revolutionist เท่านี้ก็พอแล้ว คือความเชื่อของคุณนั้นเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง หรือว่ามันวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ทีนี้ไอ้วิวัฒนาการตามธรรมชาติมันมีไม่ได้ในยุคนั้น มันเพิ่งมีเมื่อเร็วๆนี้เอง แล้วมันก็มีความคิดว่าสิ่งสูงสุดนั้นคือปฐมเหตุ และคือผู้สร้าง ผู้สร้างนี้สร้างแล้วก็ไม่ทิ้ง ก็คอยๆควบคุมรักษา Preserve สิ่งสูงสุดนั้นจะต้องค่อย Preserve เป็น Preserver ต่อสิ่งทั้งปวงที่มันได้สร้างขึ้นมา
แล้วมันก็มีความหมายออกมาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งว่าไอ้สิ่งสูงสุดนั้นจะต้องยกเลิกไอ้สิ่งที่สิ่งนั้นสร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ นี่ก็เลยกลายเป็นผู้ที่ว่ายกเลิกทำลายล้าง Destroy Destroy Destroyer ไอ้ ๓ คำนี้ ยึดไว้ๆเป็นหลักสำหรับที่จะพูดจากัน The creator The preserve, The destroyer เป็นความหมาย เป็น Qualification ของสิ่งสูงสุดซึ่งเราจะเรียกกันด้วยภาษาอะไรก็ตามใจ ทีนี้มันยังขยายความให้เต็มที่ขึ้นไปอีกว่าไอ้สิ่งสูงสุดคือพระเจ้านี่ จะต้องครอบงำอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เลยใช้คำว่า Omni Omni ทั้งหมด Omni ที่แปลว่าทั้งหมด Omnipotence มันเป็นใหญ่กว่าใครในที่ทั้งหมด Omnipresent แล้วมันเป็นผู้ที่อยู่สถิตย์อยู่ในที่ทั้งหมด Omniscient รู้ มันรู้ทุกสิ่ง ก็อธิบายกันง่ายๆว่าเป็นผู้สูงสุดกว่าทุกสิ่ง ตามความเชื่อของคนป่า หรือของสัตว์เดรัจฉานก็ได้ มันๆๆอยู่เหนือทุกสิ่ง มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง แล้วมันมีอยู่ในที่ทั่วไป เรียกว่าพระเจ้านี่มีอยู่ในที่ทั่วไป แล้วก็ว่ามันรู้ทุกสิ่ง หมายความว่าอะไรๆที่พระเจ้าไม่รู้เป็นไม่มี นี่เพื่อจะเอาเปรียบที่ว่าพระเจ้านั้นรู้ แล้วก็ทำให้มนุษย์นั้นรู้ทุกสิ่งเหมือนพระเจ้า เพราะฉะนั้นไอ้ความรู้แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ที่รู้สร้างยานอวกาศไปดวงจันทร์ ไปอะไรก็ตามนั้น มันก็อยู่ในคำว่า Omniscient ของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาแปลกใหม่ได้ หรือทุกสิ่งได้ อะไรๆจะเกิดขึ้นๆจนครบ จนเรียกว่าทุกสิ่งเลย เป็นวิสัยของพระเจ้า
ถ้าจะพูดกันว่าพระเจ้าคืออะไรแล้วก็ใช้คำบัญญัติเหล่านี้แหละ ช่วยจำกันไว้เถอะ สักวันหนึ่งมันจะต้องปะทะกันแน่นอน ที่ว่าต่างคนต่างจะมีพระเจ้า และต่างฝ่ายต่างก็จะประกวดยืนยันว่าพระเจ้าของฉันนี่มีคุณสมบัติครบตามนี้ พระเจ้าของคุณไม่มีครบตามนี้ เป็น Supreme thing ก็ความหมายที่ ๑ เป็น The First Cause เป็นปฐมเหตุ c]tเป็น The creator Preserver Destroyer ๓ หน้าที่ แล้วก็ขอบเขตก็คือว่า Omnipotence, Omnipresent Omniscient Omniscient มันเหนือทั้งหมด มันทั่วไป แล้วก็มันก็รู้ทุกทั้งหมด แม้ว่าไอ้ความคิดอันนี้จะมาจากความคิดของคนป่า วิวัฒนาการเรื่อยๆมา มันก็มาพบไอ้จุดอันนี้ ว่าสิ่งสูงสุดคืออย่างนี้ ทีนี้ก็มันมีปัญหาเหลืออยู่เพียงว่ามันก็มาๆๆๆๆต่อสู้กันอีก มาพิสูจน์อีก ว่าพระเจ้าตามทัศนะของคุณนั้นมีครบอย่างไหม ที่เรายืนยันว่าพระเจ้าตามทัศนะของเราคืออย่างนี้ๆ มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบ พระเจ้าของชาวพุทธ ถ้ามีเป็นสิ่งสูงสุดมันก็คือกฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อวันตรัสรู้นั้น อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท ค้นพบในวันที่ตรัสรู้ ท่านเคารพๆเป็นสิ่งสูงสุดเลย
กฎอิทัปปัจจยตาของธรรมชาตินี่มันเป็นพระเจ้าสูงสุด ถือเป็น Supreme thing ทีนี้ก็มาเถียงกันอีก พระเจ้าของคุณ อย่างพระเจ้าของคุณนี่ ไปอยู่ในสิ่ง ไปอยู่ในที่ทุกแห่งได้ แล้วคุณก็ ทีนี้เราพูดกันไม่ใช่ว่าจะนินทาเขา ไอ้คัมภีร์ไบเบิ้ลมันก็ให้พระเจ้าอยู่ที่เมืองพระเจ้า ในคัมภีร์ Revelation นั้นมันมีวิมานสวรรค์ เป็นที่อยู่ของพระเจ้า เขียนกันไว้เป็นรายละเอียด ไปอยู่ในที่ทุกแห่งได้ ไอ้เรามันกฎอิทัปปัจจยตา มันไปอยู่ในทุกๆปรมาณูของทุกสิ่ง อย่าว่าแต่ว่าในทุกๆปรมาณูที่มันประกอบกันขึ้นเป็นทุกสิ่ง พระเจ้าของคุณอยู่ไปอยู่ในกองขี้หมาได้หรือ แต่พระเจ้าของฉันมันอยู่ไปในทุกๆปรมาณูของทุกสิ่ง อย่าว่าแต่กองขี้หมาเลย มันไปอยู่ได้ในที่ทุกหนทุกแห่งจริงๆอย่างนี้ เป็นต้น
และกฎอิทัปปัจจยตานั่นแหละมันจะให้คำตอบว่าสูงสุดเหนือสิ่งใด และเป็นต้นตอ The First Cause ที่ออกมาของไอ้สิ่งต่างๆ กฎอิทัปปัจจยตาบังคับให้ทุกสิ่งอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องปรุงแต่งเรื่อยออกมาๆๆๆ นี่เป็นพระเจ้าผู้สร้าง เป็นพระเจ้าผู้ควบคุม กฎอิทัปปัจจยตาควบคุม กฎอิทัปปัจจยตาทำลาย ยุบ ล้าง ดับ เมื่อๆมันควรจะดับ กฎอิทัปปัจจยตานี่สูงสุดกว่าสิ่งใด มีอยู่ในที่ทุกแห่งจนพูดว่าในทุกๆปรมาณูของทุกสิ่ง แล้วก็รู้ทุกสิ่ง หมายความว่ากฎอิทัปปัจจยตานั้นสร้างทุกสิ่งได้ อย่าว่าแต่ว่ายานอวกาศไปโลกพระจันทร์ ยิ่งกว่านั้นก็ได้ มันโดยกฎของอิทัปปัจจตา คือกฎวิทยาศาสตร์ อะไรๆในข้างหน้าที่มันจะสร้างขึ้นมาได้ดีกว่าไอ้คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์มันก็โดยกฎอิทัปปัจจยตาทั้งนั้น ฉะนั้นในคำว่ากฎอิทัปปัจจยตามันรวมความรู้ทุกอย่างไว้แล้ว เมื่อเราเอาอิทัปปัจจยตาเป็นตัวสภาวะ หรืออะไรก็ตามของพระเจ้า คือสิ่งสูงสุดเราก็มี ทีนี้มันก็มีปัญหาเพียงแต่ว่าอิทัปปัจจยตาไม่ใช่บุคคล มันเป็นกฎของธรรมชาติ ส่วนพระเจ้า God ของไอ้ศาสนาทั้งหลายมันเป็นอย่างบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล โกรธก็ได้ รักก็ได้ ทีนี้พิสูจน์ความจริงกันตรงนี้ทีหนึ่งที่ว่าถ้าพระเจ้าของคุณเป็นพระเจ้าจริง คำว่า God นี่เขาqอธิบายว่า คือคำว่า Good คือ Good หรือดีนั่นเอง รวมๆ Good Good ดีๆทั้งหมด คือคำว่า God ถ้าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างบุคคล หรือมีความรู้สึกอย่างบุคคลเป็นพระเจ้าได้ ทำไมพระเจ้าสร้างสิ่งเลวร้ายขึ้นมาในโลกเยอะแยะไปหมด สิ่งเลวร้ายที่ไม่ควรจะสร้างขึ้นมาในโลกมันเต็มไปหมด พระเจ้าของคุณบ้าหรืออย่างไร ไม่ประสีประสาหรืออย่างไร แต่ถ้าว่าเป็นกฎอิทัปปัจจยตามันได้ เพราะมันไม่ใช่รู้สึกอย่างบุคคล มันเป็นกฎที่ตายตัวว่าเมื่อทำลงอย่างนี้ มันมีปฏิกิริยาอย่างนี้ ว่าทำไปอย่างนี้ ปฏิกิริยามันอย่างนี้ ฉะนั้นพระเจ้าอิทัปปัจตามันสร้างขึ้นมาได้ทั้ง ๒ ฝ่ายจริง ฝ่ายที่มนุษย์ปรารถนา และฝ่ายที่มนุษย์ไม่ปรารถนา ฉะนั้นเรียกว่าเป็นผู้เที่ยงธรรมที่สุด ยุติธรรมที่สุด เหมาะสมที่จะเรียกว่าพระเจ้า นี่คือกฎอิทัปปัจจยตา
มันก็เลยเกิดเป็นสิ่ง Supreme thing อันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติทั้งหมดของพระเจ้าอย่างที่ว่ามาแล้ว ส่วนไอ้ฝ่ายโน้นมันก็ยังพระเจ้าอย่างบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล แล้วประกอบด้วยคุณสมบัติทุกอย่างที่ว่ามาแล้ว ทีนี้มันก็มาปะทะกัน พิสูจน์ดูว่าใครมันจะมีคุณสมบัติทั้ง ๕ อย่างนั้นได้ ถ้าพระเจ้ารู้สึกโกรธ และรักได้อย่างบุคคล พระเจ้าก็อยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ จะไม่เรียกว่าสิ่งสูงสุด ฉะนั้นเราพุทธบริษัทโดยที่เราไม่ต้องๆๆบัญญัติ หรือไม่ต้องทะเยอทะยานอะไร มันก็มีสิ่งสูงสุดอยู่แล้วในลักษณะนี้ ประกอบไปด้วยคุณสมบัติหรือ Qualification ของไอ้คำว่าพระๆๆเป็นเจ้าครบถ้วนแล้ว มันคือกฎอิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เคาพรทันที ถือเป็นไอ้สิ่งสูงสุด
เราก็มีพระเจ้าทั้ง ๒ ชนิด พระเจ้าอย่างมิใช่บุคคล ฝ่ายโน้นก็เป็นพระเจ้าอย่างบุคคล พระเจ้าที่เขามีๆกันอยู่ก่อนแล้วเป็นพระเจ้าอย่างบุคคล มันก็เรียกว่าพระเจ้าอย่างบุคคล Personal Personal God God ที่มีลักษณะอย่างบุคคล ถ้าว่าของพุทธเราคืออิทัปปัจจยตาต้องใช้คำว่า Im หรือ Non Non personal god อย่าไปอุตริใช้คำว่าอะไรกันนะ มันๆไม่ได้นะ ต้องใช้คำว่า Non หรือ Im เท่านั้นนะ คือไม่ๆใช่บุคคล แต่อย่าไปพูดว่าเป็นเทวดา เป็นผี เป็นอะไรเข้า มันจะผิดๆทันทีเลย ใช้ว่าไม่ใช่บุคคลก็แล้วกัน
พระเจ้าของเขาอย่างคริสต์เตียนนี่เขาใช้คำว่าวิญญาณ The ghost Holy ghost ถูกล้อว่าเป็นผีคำเดียว คำที่แปลว่าผี แต่เขาแปลว่าวิญญาณ พระเจ้านั้นถ้าถามว่าเป็นอะไรไม่ใช่คน เป็นอะไร เป็นวิญญาณ เป็น Holy ghost แต่ก็ไม่พ้นจากความหมายแห่งบุคคล มันวิญญาณของบุคคล เพราะว่ามันรู้สึกอย่างบุคคล โปรดปรานก็ได้ โกรธขึ้นมาอาระวาดก็ได้ เพราะฉะนั้นในๆความจริง ในข้อเท็จจริงปัจจุบันนี้ ในสากลจักรวาลนี้ มันมีพระเจ้าอยู่ ๒ ชนิด คือพระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล และพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคล จึงเป็นอาการเห็นได้ว่าไม่มีศาสนาไหน หรือไม่มีบุคคลคนไหนที่จะไม่มีพระเจ้า ก็ต้องมีความเชื่อว่ามีสิ่งสูงสุดนับๆๆตั้งแต่สุนัข และแมวขึ้นไป มันรู้สึกว่ามีสิ่งสูงสุด มันก็มีพระเจ้าตามแบบของมัน ไอ้คนป่า คนอะไร ก็มีพระเจ้าตามแบบของเขา มีสิ่งสูงสุดตามแบบของเขา มันๆๆคิดอย่างคน คิดโดยคน คิดตามธรรมดาของคน มันก็เป็นพระเจ้าอย่างคนทั้งนั้น ฉะนั้นก็ถือว่าพุทธศาสนาเป็นๆวัฒนธรรม หรือวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมสูงสุด ที่มีพระเจ้านี่สูงขึ้นไปกว่าคน คือมิใช่คน พูดอย่างนี้เขาก็คงไม่ยอม เขาก็หาว่าเราเอาเปรียบ พุทธศาสนาเป็นยอดสุดของวัฒนธรรม ในทางความคิดนึก แล้วความจริงก็เป็นอย่างนั้น ก็มีพระเจ้าอย่างคนกันมาก่อน จนกระทั่งมีพระพุทธเจ้าซึ่งครบ พระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคลก็มาทีหลัง ก็สุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้ไปได้อีก ก็ใช้คำว่าสุดยอด
เช่นเดียวกับคำสอนเรื่องนิพพาน เรื่องโลกุตตระนั้นมันสุดยอดแล้ว ไม่มีใครสอนให้เลยนั้นไปได้อีกแล้ว ในพุทธศาสนาก็มีการพบพระเจ้าสุดยอดที่จริง จนพระพุทธเจ้าก็เคารพ ทีนี้ก็พูดถึงพวกฝรั่ง พวกฝรั่งนี่เขาๆก็เรียนมาอย่างฝรั่ง เรียนมาอย่างถือศาสนาคริสต์นั่นแหละ เขาก็เรียนอย่างคริสต์ มีพระเจ้าอย่างคริสต์ เป็นพระเจ้าอย่างบุคคลแล้วก็ใช้คำนั้นเป็นหลัก คือคำว่าเทวะๆ ไอ้ Theist ไอ้ Theist คือมีThea Thea (นาทีที่ 38:58)นั้นมันก็คำเดียวกับ Deva Deva แล้วก็มาคำเดียวกับคำว่าเทวะๆในอินเดีย มัน Deva Devine แล้วก็ Thei Thei thea thea Theist (นาทีที่38:12) มันก็คือคำเดียวกับคำว่าเทวะ ฉะนั้นอย่างที่รัชกาลที่ ๖ ท่านว่าความคิดอันนี้ไปจากอินเดีย ความคิดเรื่องเทวะๆนี่ไปจากอินเดีย ไปเป็นไอ้ความคิดของฝ่ายตะวันตก ไปจากอินเดีย มีพระเจ้า ใช้คำว่าเทวะเหมือนกัน Deva Deva ก็เลยมีแต่พระเจ้าอย่างคน ในอินเดียก็มีแต่พระเจ้าอย่างบุคคล จนกว่าพระพุทธเจ้าจะทรงค้นพบกฎอิทัปปัจจยตาซึ่งมันเป็นสิ่งสูงสุดที่มิใช่บุคคล
ทีนี้ฝรั่งเขาก็ยึดหลักตามแบบของเขาว่าพระเจ้าต้องเป็นอย่างบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล ใช้คำว่า Deva ศาสนาต้องมีเทวะ ถ้าไม่มีเทวะนี่ไม่ใช่ศาสนา เดี๋ยวนี้ก็ยังดีหน่อยที่ว่ายอมให้ว่าไม่มีเทวะก็เป็นศาสนา ครั้งหนึ่งมันไม่ยอมกันสักทีเดียวว่าถ้าไม่มีเทวะแล้วก็ไม่ใช่ศาสนา เมื่อๆพุทธศาสนาไม่มีเทวะคือพระเจ้านี่ พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ Religion อย่างนี้เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ดูจะผ่อนกันออกมาถึงว่าเป็นศาสนาด้วยกันทั้ง ๒ ชนิด เป็น Theist คือมีเทวะ เป็น Atheist คือไม่มีเทวะ ก็จัดพวกเราพุทธนี่ หรืออื่นๆที่มันไม่มีเทวะด้วยกันนี่ว่าเป็น Atheist
ทีนี้มันๆมีปัญหาเกิดขึ้นตรงไปแปลคำนั้นว่าอะไร ไอ้เทวะไปแปลว่าพระเป็นเจ้านี่ไม่ถูกหรอก เพราะว่าเทวะมันไม่ได้แปลว่าพระเป็นเจ้า มันแปลว่าเทวะนี่แหละ พระพุทธศาสนาไม่มีเทวะ แต่ก็มีพระเป็นเจ้าได้ ก็มีสิ่งอื่นเป็นพระเป็นเจ้า คือไม่ต้องมีเทวะเป็นพระเป็นเจ้า ซึ่งเรามีกฎอิทัปปัจจยตาเป็นพระเป็นเจ้า เราก็ไม่ยอมรับไอ้ที่ๆฝรั่งจะมาขีดเส้นให้เราเรียนอย่าง จำกัดตายตัวนี่ เราไม่ยอมรับ เราขอมีศาสนาชนิดที่มีพระเจ้าซึ่งมิใช่บุคคลเป็น Atheist อย่างเขาว่า แต่ว่ามันมากกว่านั้น เพราะไอ้ Deva หรือ Theist นี่มันหมายถึงเทพพระเจ้า เรายิ่งไปกว่านั้น คือว่าเรามีอะไรที่มีความหมายมากกว่าเทวะ เราไม่มีเทวะจริง แต่เรามีสิ่งที่มีความหมายมากกว่าเทวะ มันก็มีๆๆเหตุผลที่จะเรียกว่ามีพระเป็นเจ้าได้ แต่พระเป็นเจ้าในภาษาไทยไม่รู้จะไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาศาสนาของฝรั่งว่าอะไร ทีนี้ในภาษาบาลีเรา คำว่าพระ พระเจ้า หรือชั้นพระเจ้า เทียบชั้นพระเป็นเจ้า ก็พบแต่คำว่าอิสระคำหนึ่ง เทียมพู(นาทีที่ 43:08)คำหนึ่ง กรรมมาคำหนึ่ง ปะชาปะติ(นาทีที่ 43:12)คำหนึ่ง ไม่มีคำว่าเทวะเลย ในสี่ห้าคำเหล่านี้ไม่มีคำว่าเทวะเลย แต่ถ้าจะเอาคำว่าเทวะ เช่น เทวานะมินทะ มันไม่อยู่ในชุดนั้น มันหลังลงมาอีก มันต่ำลงมาอีก
ไอ้คำที่มันน่าจะมีความหมายเป็นพระเป็นเจ้าก็คือคำว่าอิสระ อิสระในๆบาลีเรามันๆตรงกับคำว่าอิศร (นาทีที่ 43:42) ของๆสันสกฤตคืออิศวรๆ เรามีคำว่าอิสระ แล้วคำนี้ได้ใช้ในความหมายของพระเป็นเจ้า คำว่าอิสระนี่ อิสรนิมมานเหตุ สุขทุกข์เป็นอิสระ นิมมานเหตุ มีเหตุมาแต่การบันดาลของอิศวระ(นาทีที่ 44:12) อิสระๆ คำนั้นไม่ใช่อิสรภาพ แล้วไม่ใช่นาย ไม่ใช่เจ้านายอย่างที่เราใช้ มันเป็นความหมายเดิมในภาษาบาลี หมายถึงสิ่งที่เป็นอิสระสูงสุดเหนือสิ่งใด คือคำว่าอิศวรนั่นเอง
ในพระบาลีแท้ๆคำว่าอิสระนั่นใช้ๆหมายถึงพระเจ้า พระเป็นเจ้าอย่างในความหมายที่เรากำ้ลังพูดกันเมื่อตะกี้ สุขทุกข์มิใช่เป็นอิสรนิมมานเหตุ มีเหตุมาแต่การนิมิตตะ นิมิต นิมมานะของอิศร(นาทีที่ 44:53) อิสระ หรืออิศวร และมิใช่ปุราณกัมม อุปาทกัมม ไม่ใช่ผลกรรมเก่า สุข ทุกข์ มันมาจากการทำผิด ทำถูกโดยกฎอิทัปปัจจยตา นี่บาลีเป็นหลักฐานชัดเจนอย่างนี้ สุข ทุกข์ คือผลของการทำผิด ทำถูกเกี่ยวกับอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่ผลของกรรมเก่า และก็ไม่ใช่การบันดาลของอิสระ คือพระเจ้า
ในพุทธศาสนา ในคัมภีร์ของพุทธศาสนามีคำว่าพระเจ้าใช้ คือคำว่าอิสระในพระบาลีนั้นนั่นเอง แต่ก็มิใช่คำเดียวกับอิสระในภาษาไทยที่เรากำลังใช้อยู่ และก็มิใช่คำเดียวกับในคำทำวัตรเย็นที่เราสวดกันเมื่อตะกี้ ข้าพเจ้าเป็นนาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า ไม่ใช่คำเดียวกับคำนั้น เพราะบททำวัตรเย็นนี้เพิ่งแต่งเมื่อเร็วๆนี้ แต่งเป็นภาษาไทย ใช้ความหมายคำว่าอิสระอย่างภาษาไทย ไม่ในความหมายระดับเดียวกันกับในกับบาลีนั้น เขาเชื่อกันว่าไอ้คำทำวัตรเย็นนี้พระจอมเกล้าฯแต่ง ท่านใช้ความหมายคำว่าอิสระนี่ไม่ใช่ระดับเดียวกันกับอิสระในพระบาลีนี้ อย่าเข้าใจผิด โดยที่ว่าคำเหมือนกันแล้วจะเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าคนละยุค คนละสมัยก็ต่างกันลิบ เพราะอิสระในภาษาบาลียุคเดิมแล้วก็หมายถึงอิศวร ธรรมมา ปะชาปะตี(นาทีที่ 46:25) สยัมภู ล้วนแต่เป็นคำที่เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ คำเหล่านี้มันของศาสนานอกพุทธศาสนา ก่อนพระพุทธเจ้าเขามีใช้อยู่แล้ว มันจึงมามีอยู่ในพระบาลี พระไตรปิฎกของเรา สยัมภูก็ดี พรหมมาก็ดี ปะชาปะตีก็ดี(0:46:46) อิสระก็ดี เขามีความหมายตามแบบๆของเขา แต่พอเอามาเป็นหลักแล้ว เช่น สยัมภู ถ้าเป็นเอง อะไรจะเป็นเองได้ กฎอิทัปปัจจยตานี้ไม่ต้องสงสัย เป็นเองได้ มีอยู่ตามธรรมชาติได้ เป็นกฎของธรรมชาติได้ หรือว่าจะให้เหนือกว่าสิ่งใดๆ มันก็ต้องๆเหนือกันได้จริง อะไรที่มันจะเหนือได้จริงก็นั่นแหละ สิ่งนั้นแหละเอามาเถิด นี่พูดเตลิดเปิดเปิงมาแล้วถึง ไปถึงสิ่งสูงสุด เพื่อจะพูดนิดเดียว ที่ตั้งต้นทีแรกว่าเราจะมอบกายถวายชีวิตนี้ให้แก่ใคร ไอ้เรามนุษย์ทุกคนนี้เรามีชีวิต เราทำทุกอย่าง จะเป็นการมอบหมายให้บูชา หรือว่าให้เป็นแก่ใคร ตั้งแต่สิ่งสูงสุดจะใช้เรียกว่าพระธรรมก็ได้ อิทัปปัจจยตาก็เป็นพระธรรม เป็นธรรมะในฐานะเป็นกฎของธรรมชาติอย่างนี้ก็ได้ จะอุทิศให้แก่ธรรมะในฐานะเป็นกฎของธรรมชาติ ก็อันเดียวกันแหละกับกฎอิทัปปัจจยตา
สรุปความแล้วก็ต้องอุทิศให้กับสิ่งสูงสุด ฉะนั้นเราจะมีชีวิต จะกิน จะนอน จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ จะมีชีวิตต่อไป ก็ต้องมีที่มุ่งหมายอุทิศแก่สิ่งนั้นทั้งหมดทั้งสิ้น เหมือนกับที่เขาอุทิศ ทำอะไรๆอุทิศพระเป็นเจ้าของเขา พวกที่มีพระเป็นเจ้าอย่างคนนั้น ทำอะไรๆเขาอุทิศพระเป็นเจ้าอย่างคน เขาก็จึงทำได้ดี แล้วบางทีก็เกินดีไปเสียอีก จึงเกิดเรื่องเห็นไหม ถ้ามันทำเกินดีไปมันก็ยุ่ง ฉะนั้นเราก็มีสิ่งที่จะอุทิศให้ หรือบูชาให้ และก็จะทำได้มาก ถ้าเราศึกษาเล่าเรียน ทำการงาน เพื่อประโยชน์แก่เราเอง อุทิศเราเอง มันๆไม่ได้มาก ไม่ได้กี่มากน้อย ถ้าอุทิศแก่สิ่งสูงสุดแล้วมันจะได้สูงสุด แล้วไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นมีสิ่งสูงสุดๆ เลือกเอาตามใจชอบก็ได้ เราเลือกเอง อย่าต้องให้ใครมาเลือกให้ เรามีสิ่งสูงสุด เราจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสิ่งสูงสุด ถ้าว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นก็คือตัวอิทัปป ตัวกฎของอิทัปปัจจยตาก็ได้เหมือนกัน แต่เราจะไต่ขึ้นไปว่าพระพุทธเจ้านั้นเคารพใคร พระพุทธเจ้าเคารพอะไร ถือเอาอันนั้นเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไปอยู่ที่พระธรรม พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วก็เคารพพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ แล้วพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นคืออะไร มันก็กลายเป็นกฎอิทัปปัจจยตา พระเจ้าตรัสรู้พระธรรมแล้วเคารพพระธรรม นี่มันไม่ชัดว่าพระธรรมนั้นคืออะไร แต่พอถามเข้าไปมันก็พระธรรมนั้นที่ตรัสรู้ และเคารพ คือกฎ คือเรื่องกฎอิทัปปัจจยตา และอิทัปปัจจยตาเป็นสิ่งสูงสุดของพุทธบริษัท ไม่เป็นของใคร ไม่เข้าข้างใคร ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่อะไรหมด สมกับที่จะเป็นพระเจ้า คือรักไม่เป็น โกรธไม่เป็น เกลียดไม่เป็น เพราะไม่ใช่บุคคล ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีจิตใจอย่างบุคคล นี่เราจะมีพระเจ้า คือสิ่งสูงสุดที่แท้จริงได้และแท้จริงยิ่งกว่าพระเจ้าชนิดไหนหมด ยิ่งกว่าพระเจ้าในศาสนาใดๆหมด
ไอ้ความคิดที่ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้านั้น มันพูดโดยบุคคลที่ไม่รู้เรื่องนี้ ผมกล้าพูดอย่างนี้ มันพูดโดยบุคคลที่ไม่รู้เรื่องนี้ หรือไปๆตามก้นฝรั่งที่ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า มันก็เป็นๆลูกศิษย์ฝรั่งไปเสีย พุทธศาสนาต้องมีสิ่งสูงสุด ไอ้คำนั้นอีกคำหนึ่งมันมีความหมายยืดหยุ่นได้มาก คือคำว่าบรมธรรมๆ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม มันมีคำว่าบรมธรรม มีความหมายคล้ายๆกับว่าดินแดน หรือที่ๆของพระเจ้า ในศาสนาไหนๆเขาก็มี มีที่ๆเป็นวิมาน เป็นสวรรค์ เป็นไอ้ที่อยู่ของพระเป็นเจ้าด้วยกันทุกศาสนา นี่เรามีนิพพานเป็นบรมธรรม เป็นแดนๆสูงสุด เป็นแดนอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่มีอะไรบ้าๆบอๆเหมือนกับในสวรรค์ของพระเจ้าอย่างที่เขาพูดกัน เราก็มีไอ้นิพพาน หรือสวรรค์ที่เหนือกว่า สมกับที่ว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา โดยกฎอิทัปปัจจยตา เป็นพระเจ้าที่แท้จริง
ถ้าเราอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้วก็นึกประหลาดที่ว่าไปๆสวรรค์ คือไปอยู่ที่นั้นข้างๆพระเจ้า คล้ายๆไปอยู่เป็นอะไรล้อมรอบพระเจ้า เราจะมีสวรรค์อย่างนั้นไม่ได้ แล้วเราจะมีพระเจ้าอย่างนั้นไม่ได้ เราจึงมีพระเจ้าอย่างของเรา และมีไอ้จุดมุ่งหมายตามแบบของเรา ว่าเราจะอยู่ (นาทีที่ 53:33-53:49 ท่านไล่สุนัข) เราต้องการจะพูดเรื่องการมอบกายถวายชีวิต อุทิศให้สิ่งนั้น แล้วเราจะทำอะไรได้มาก เราจะทำอะไรได้มากที่สุดที่ๆเราจะทำได้ เดี๋ยวนี้เรารู้จักสิ่งที่แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเคารพ คือพระธรรม ก็คือสัจจะของธรรมชาติ พระธรรมเป็นตัวกฎของธรรมชาติ เป็นสัจจะของธรรมชาติ ไม่เข้าใครออกใคร เที่ยงตรงที่สุด มีคุณสมบัติเหมือนพระเจ้าทุกอย่าง คือเป็นผู้สร้าง เป็นผู้รักษา เป็นผู้ทำลาย เป็นอยู่ในที่ทั้งปวง รู้สิ่งทั้งปวง เหนือสิ่งทั้งปวง บรรดาไอ้คุณค่าอะไรๆของพระเจ้าตามที่เขามีอยู่จะมาอยู่ในสิ่งนี้หมด และจริงกว่าๆ เช่นว่าอยู่ในที่ทั้งปวงๆของเราจริงกว่า พระเจ้าของเราอยู่ในที่ทั้งปวงจริงกว่าพระเจ้าของเขา จึงขอถามว่าอยู่ในกองขี้หมาได้ไหม เขาสั่นหัว มันไม่อาจจะมาอยู่ในทุกๆปรมาณูของทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล
กฎอิทัปปัจจยตาจะไปอยู่ในทุกๆปรมาณู หรือว่าถ้าไอ้ปรมาณูหนึ่งๆมันยังแบ่งส่วนได้อีก เข้าไปอยู่ในทุกๆส่วนแบ่งของปรมาณู เกินกว่าที่จะเข้าไปอยู่ในกองขี้หมา จึงว่ามันๆแน่นอน เที่ยงแท้จริง มันไม่ยกเว้นอะไร มันเฉียบขาด ฉะนั้นเรารู้จักไอ้ๆหลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้บ้าง เผื่อสักวันหนึ่งมันจะต้องโต้เถียงกันในเรื่องของพระเจ้า เราก็จะมีวิธีพูด มีทางพูด มีเหตุผลสำหรับจะพูด เป็นพระเจ้าที่ไม่มีพระเจ้า ไหนจะเหนือกว่าได้อีก และจริงกว่า และจริงถึงที่สุด ควรจะได้นามว่าสิ่งสูงสุด ส่วนคำภาษาไทยที่ว่าพระเจ้า หรือพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้านั้นก็มันๆๆแล้วแต่ความหมายที่ใช้กันในยุคไหน ครั้งหนึ่งในภาษาไทยก็คือหมายถึงภิกษุธรรมดา นี่คือพระผู้เป็นเจ้า ใช้คำว่าผู้เป็นเจ้าแก่ภิกษุธรรมดา กับพระผู้เป็นเจ้าละเพศออกไป มรดกทั้งหลายจากกาลก่อนก็ยังเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ในๆภาษากฎหมายมันเป็นอย่างนี้
เรามีสิ่งสูงสุดที่เรามุ่งอุทิศยิ่งกว่าสิ่งใด มันคล้ายๆกับว่าเกินไปก็ได้ คนสมัยนี้อาจจะไม่ยอมรับก็ได้ เราจะไม่มุ่งหมายอยู่แต่เพียงประเทศไทย จะไม่มุ่งหมายอยู่แต่เพียงว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของประเทศไทย เรามันมุ่งไกลออกไปทั่วจักรวาลนู้น สิ่งสูงสุด สิ่งที่เราจะอุทิศ ถ้าเรามีจิตใจดวงเดียวนี่ จะอุทิศนี่ จะอุทิศให้ใคร คิดดู จะอุทิศให้พระพุทธเจ้า หรือจะอุทิศให้ประเทศไทย พอพูดอย่างนี้เขาคงจะหาว่าเราไม่ๆรักประเทศไทย หรือพูดจาเป็นอันตรายแก่ประเทศไทยก็ได้ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจะให้เรามอบอะไรให้ทั้งหมด เราก็จะมอบให้แก่พระพุทธเจ้าก่อนประเทศไทย และพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ของประเทศไทยด้วย มันของสากลจักรวาล
เดี๋ยวนี้เราก็ นี่ผมพูดมากไปแล้ว อยากไปดูหนังกันใช่ไหม ถ้าว่าเราเรียน เราพยายามจะเป็นคนมีความรู้ จะสามารถจะทำอะไรให้ดีที่สุด เราจะทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ถ้าว่ามีความตั้งใจถูกต้องก็ต้องทำได้ดี เดี๋ยวนี้ยิ่งเราเป็นภิกษุ เป็นสามเณร เป็นอะไรนี้ด้วยแล้วก็ไม่ต้องสงสัย มันก็ต้องขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้า และสิ่งที่พระพุทธเจ้าเองก็ยังทรงอุทิศ หรือเคารพอีกทีหนึ่ง เช่นพระพุทธเจ้าเคารพธรรม ทรงมุ่งหมายให้เราผดุงส่งเสริมพระธรรม ซึ่งเป็นพระศาสนาที่พระองค์ตรัสรู้แล้วตั้งขึ้นไว้ จะเรียกว่าธรรมวินัย จะเรียกว่าพรหมจรรย์ จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าสิ่งนั้นพระพุทธเจ้าทรงประสงค์ เพราะพระองค์ก็เคารพสิ่งเหล่านั้น ทำอะไรก็เพื่อสิ่งเหล่านั้น ไอ้เราก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตของเราก็ควรจะอุทิศแก่สิ่งนั้น คือสิ่งสูงสุด ใช้คำว่าสิ่งสูงสุดโดยภาษาไทย จะใช้คำว่าพระเจ้า หรือใช้คำอื่นๆมันก็ๆได้เหมือนกัน แต่มันกำลังเป็นปัญหาที่ความหมายมันถกเถียงกันมากเกินไป ถ้าเราจะมีพระเจ้ากันบ้างก็ขอให้มีอย่างๆของชาวพุทธ พระเจ้าของชาวพุทธ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเคารพเป็นสิ่งสูงสุด ได้แก่กฎอิทัปปัจจยตา ในนามของคำว่าพระธรรม พระองค์ตรัสรู้พระธรรม คืนนั้นพิจารณาปฏิจจสมุทบาท ทบไป ทบมา ทบไป ทบมา จนตรัสรู้ ถ้าพูดให้สั้นที่สุดก็อุทิศปรมัตถสัจจะ ไอ้ปรมัตถสัจจะนั่นแหละจะเป็นๆไวพจน์ของพระเจ้า หรือกฎอิทัปปัจจยตา หรือพระธรรม หรืออะไรก็ได้ เราจะทำทุกอย่างเพื่อ หรืออุทิศแก่ปรมัตถสัจจะของธรรมชาติ
ทีนี้คำว่าธรรมชาตินี้ คำนี้มันลำบากที่สุด ในภาษาไทยของเราก็ใช้ความหมายแคบ ในภาษาฝรั่งนี่มันใช้คำว่า Nature Nature ความหมายของมันก็แคบ ไม่เต็มแบบความหมายในภาษาบาลี ในภาษาบาลีคำว่าธรรมชาติมันกว้างหมดไม่ยกเว้นอะไร ธรรมชาติสังขตะ ธรรมชาติอสังขตะ อะไรเป็นธรรมชาติหมด ไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติ นี่เราไม่รู้จะแปลไอ้คำว่าธรรมชาติความหมายในภาษาบาลีนี้เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร หรือใช้ในภาษาไทยว่าอะไร ถ้าใช้ธรรมชาติ เด็กๆไม่รู้คำว่าธรรมชาติ มันหมายถึงวัตถุ แล้วก็เป็นเรื่องที่เป็นแผ่นดิน เป็นโลก เป็นอะไรไปหมด ไม่เป็นๆนามธรรม ไม่เป็นอสังขตธรรมอะไรได้ ฉะนั้นปัญหาที่พูดจาสั่งสอนธรรมะต่อไปในอนาคตแก่ชาวต่างประเทศนี้ มันก็ติดขัดอยู่ที่ๆคำนี่แหละ คำไม่พอใช้ หรือว่าคำใช้ความหมายไม่ตรงกัน เดี๋ยวนี้ถ้าพูดกับฝรั่งแล้วมันก็ๆได้แต่เล่าเรื่องโดยไม่ต้องใช้คำบรรยาย เล่าเรื่องให้เขาฟังหมด คุณจะเรียกว่าอะไร คุณไปหาเอาเอง คุณเป็นๆเจ้าของภาษานี่ เราๆไม่รู้ภาษาที่เหมาะ คำบัญญัติเฉพาะคำนั้นคุณไปหาเอาเอ งแต่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ๆ เขาก็ค่อยๆฟังถูก เช่นคำว่าธรรมชาติตามความหมายในภาษาบาลี มันเหนือๆคำว่า Nature เขา
แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งก็ชักจะขยับตัวเหมือนกัน ขยับเพิ่มความหมายให้แก่คำที่เคยจำกัดอยู่ เดี๋ยวเพิ่มความหมายให้มากขึ้น สังเกตดูหนังสือเล่มหลังๆนี่เขา เขาใช้คำว่า Nature ที่มีความหมายมากกว่าที่ใช้กันอยู่แต่ก่อน และใช้คำว่า Natural law นี่เขาก็ใช้กันแล้ว มีทางที่จะมาพบปะกันได้ ถ้า Natural law เป็นแต่เพียงเรื่องทางฟิสิกส์ เคมีแล้ว ไม่ไหวแล้ว มันไม่มีทางจะพูดกันได้ เรารู้เรื่องไว้สำหรับเล่าเรื่องให้เขาฟัง พอเขาเข้าใจดีแล้วก็ให้เขาไปหาไอ้ Technical term เอาเอง ว่าจะใช้ว่าอะไรในภาษาของเขา เพราะเขารู้ดีกว่าเรา แม้แต่อธิบายธรรมะธรรมดาๆที่พูดกันอยู่ทุกวัน เรื่องฝัน เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องทุกข์สุขอะไรก็ตาม ก็ยังต้องพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าเขามีความหมายไม่เหมือนเราหรอก เราต้องพูด แม้แต่จะอยากพูดว่าเวทนาคืออะไรนี่ เราต้องเล่าเรื่องเขาฟัง จะไปใช้คำว่า Feeling Feeling เขามีความหมายเฉไปทางอื่นก็ได้ มันไม่ตรงตามที่เราต้องการ ฉะนั้นหัดพูดบรรยายเรื่องให้เขา แล้วเขาไปหาคำบัญญัติขึ้นเอง แล้วก็บอกเราอีกทีหนึ่งดีกว่า เช่นคำว่าอายตนะนี่ ไม่ไหว ถ้าถือเอาตามคำที่บัญญัติไว้ในปทานุกรมมันไม่ได้ ไม่รู้เรื่องกันแน่ คำว่าอายตนะมันๆๆไม่รู้ แม้แต่ว่าในเมืองไทยนี่มันก็ยังไม่ค่อยจะรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร ผมบอกเขาว่าคำว่าอายตนะคือสิ่งที่เราติดต่อได้ สิ่งที่เราติดต่อได้ รู้สึกได้ สัมผัสได้นั้นคืออายตนะ มันเป็นไอ้ Consentabling(นาทีที่ 01:05:18) ใช้คำว่าอย่างนี้ มันสิ่งที่มัน Concern กันได้ก็แล้วกัน แม้นิพพานก็เป็นอายตนะ รูป เสียง กลิ่น รส ก็เป็นอายตนะ ถ้าเรารู้ความหมายแล้วเราก็บอกเรื่อง ไม่ใช่บอกคำ Sense organ Sense object นี่ไม่พอๆความหมายของคำว่าอายตนะ ทุกๆสิ่งมันเป็นอายตนะ เพราะมันสัมผัสได้ มันรู้จักได้ เกี่ยวข้องได้ สัมผัสได้ ติดต่อได้ ไม่มีทางที่จะใช้คำบัญญัติเฉพาะ สะดวกๆ พูดกันโดยเร็ว รวบรัดได้ ไม่มีทาง แม้พูดกับคนไทยด้วยกันก็ยังทำไม่ค่อยได้ จะไปพูดกับฝรั่งด้วยแล้วยิ่งทำไม่ได้ ที่จะใช้คำบัญญัติที่บัญญัติไว้แล้ว ไม่เข้าใจกัน ไม่รู้เรื่อง คือรู้ๆเรื่องน้อยมาก เมื่อมาพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน เรื่องพระเป็นเจ้า เรื่องสิ่งสูงสุด บรมธรรม อสังขตะ อันนี้แล้วก็ยิ่งลำบาก
สรุปความว่าขอให้ทุกๆองค์นั้นมีๆสิ่ง หรือรู้จักสิ่งสูงสุด ซึ่งเราทำอะไรๆก็ล้วนแต่อุทิศเพื่อสิ่งนั้น ไปเรียกชื่อเอาเอง ผมไม่ๆต้องพูด จะเรียกว่าอะไรไปเรียกชื่อเอาเอง ถึงพูดมันก็จะผิด หรือว่าเข้าใจร่วมกันไม่ได้ ขอให้ทุกท่านมีสิ่งสูงสุด ทำอะไรอุทิศสิ่งเหล่านั้น แล้วจะได้มาก ได้หมด กว่าจะทำอะไรเพื่ออุทิศตัวเราเอง หรือแม้เพื่อประเทศชาติของเราเอง หรือแม้เพื่อโลกของเราเองก็ยังไม่เท่า ต้องขอให้เป็นการอุทิศสิ่งสูงสุดก็แล้วกัน ผมคิดว่าจะ ๆๆๆๆๆๆพอกันที จะไปดูหนัง
สิ่งสูงสุด แต่ถ้าพระบาลีมันจะมีคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา เอาพระนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดก็ได้ ถ้าเราจะเรียน จะปฏิบัติอะไร ก็เอาพระนิพพานเป็นจุดหมายก็ยังได้ ขอยุติการสนทนาวันนี้เพียงเท่านี้