แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นธรรมเทศนาปรารภ การที่ท่านอาจารย์เพชร วัฑฒโน ได้ล่วงลับไป มีสรีระปรากฏอยู่ในที่นี้ เพื่อเราทั้งหลายจะได้บำเพ็ญทักษิณานุปทานกิจเป็นวาระสุดท้าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพิธีบรรจุศพ ท่านทั้งหลายควรจะมีความเข้าใจกันให้ดีๆในเรื่องที่เกี่ยวกับพิธี
คำว่าพิธีนี้ย่อมมีความหมาย แต่ถ้าทำไม่มีความหมายมันก็กลายเป็นพิธีรีตองใช้ไม่ได้ และเป็นเรื่องงมงาย แต่ถ้าเป็นเรื่องพิธีโดยแท้จริงและโดยถูกต้องแล้วย่อมจะมีประโยชน์ เพราะว่าเรากระทำไปด้วยมีความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อผลที่พึงปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่ง โอกาสนี้เป็นพิธีที่ประกอบขึ้นเพื่อการบรรจุสรีระของท่านอาจารย์ไว้ในปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานอันสมควร เพื่อเป็นเครื่องระลึกตลอดกาลนาน ไม่ใช่เพียงแต่ว่ากระทำไปโดยไม่มีความมุ่งหมาย เรากระทำนี้กระทำเหมือนอย่างว่าท่านอาจารย์ยังไม่ตาย พูดง่ายๆก็คือว่ายังไม่ตาย แต่จะยังอยู่กับพวกเราทั้งหลายสืบไปในเบื้องหน้า
สำหรับสรีระร่างกายนั้นเป็นคนละส่วนกับท่านอาจารย์ มันเป็นเหมือนกับเปลือกหรือภาชนะ ซึ่งใส่คุณธรรมของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นตัวท่านอาจารย์ แม้แต่สรีระของท่านเราก็จัดการให้ประดิษฐานอยู่ในลักษณะที่มีประโยชน์ คือจะได้เป็นเครื่องตักเตือนให้ผู้ได้พบได้เห็นได้ระลึกนึกถึงท่านอาจารย์ แต่การนึกถึงท่านอาจารย์นั้นไม่ใช่เพียงแต่นึกถึงต้องมีการประกอบหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้สมกับที่ระลึกนึกได้ด้วย การที่จะทำอะไรนั้นไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ของลำบาก ขอแต่เพียงว่าท่านอาจารย์ต้องการอย่างไรก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน ขอให้จำความข้อนี้ไว้ให้แม่นยำด้วยว่าการที่ระลึกนึกถึงท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ ด้วยความกตัญญูหรือความรู้สึกอย่างใดก็ตามนั้น ระลึกเพื่อจะทำตามที่ท่านอาจารย์ต้องการ เพียงแต่ความระลึกเฉยๆก็ไม่มีประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อยเกินไป การระลึกนั้นเป็นเครื่องจูงใจให้เรากระทำทุกอย่างตามที่อาจารย์ต้องการให้กระทำ
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะต้องระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ โดยร่างกายนี้ท่านต้องการให้เราทำอะไร ระลึกในข้อนี้ให้ดีเป็นพิเศษแล้วจงกระทำอย่างนั้นเถิด สำหรับท่านอาจารย์นั้นไม่มีอะไรที่ต้องการ นอกจากต้องการให้คนทั้งหลายทั้งปวงอยู่กันเป็นผาสุกเมื่อมีการกระทำที่ไม่เหมาะไม่สมท่านก็ว่ากล่าวตักเตือน การว่ากล่าวตักเตือนนั้นเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เราทุกคนตลอดกาลนาน ถ้ายังรักษาไว้ได้
ท่านอาจารย์มีเวลาที่จะนั่งคิดนั่งนึกทบทวนในพระธรรมวินัย จึงรู้อะไรมากกว่าคนชาวบ้านที่มีเรื่องมาก มีธุระมาก ไม่ค่อยมีเวลานั่งคิดนึกศึกษาหรือทบทวน ฉะนั้นการเชื่อฟังท่านอาจารย์จึงมีประโยชน์คือได้รับคำสั่งสอนที่ถูกต้อง และเป็นการชักจูงจิตใจของคนให้มั่นอยู่ในธรรม คนทั่วๆไปไม่เคยคิดเพราะว่ามีเรื่องมาก แต่ท่านอาจารย์มีเวลามากก็ต้องได้คิดมาก
อย่างจะยกตัวอย่างขึ้นให้ฟังสักเรื่องหนึ่งว่าคนที่ขโมยของวัดของสงฆ์ไปนั้นมันเป็นการขโมยของๆ พระพุทธเจ้า อย่างนี้คนชาวบ้านไม่เคยคิดท่านอาจารย์เคยคิด ก็ห้ามว่าอย่าพึงกระทำเป็นอันขาด การที่ขโมย ขโมยของๆชาวบ้านด้วยกันนั้นมัน มันเป็นอีกอย่างหนึ่งตะหาก คือว่าเมื่อชาติก่อนเราจะเคยขโมยเขาก็ได้ ชาตินี้เขาจึงขโมยเรา คิดอย่างนี้มันก็ดีไปและก็อาจจะเป็นการถูกต้อง แต่ถ้าเป็นการขโมยของวัดซึ่งเป็นของที่เขาถวายพระพุทธเจ้านั้น ใครๆก็ต้องคิดได้ทันทีว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยขโมยของๆใคร การที่ไปขโมยของวัดหรือของพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นการขโมยเต็มที่ เต็มประตู เป็นขโมยที่ไม่มีทางจะให้อภัยอย่างไร และไม่มีข้อแก้ตัวอย่างไร ไม่เหมือนขโมยของเพื่อนบ้านด้วยกันซึ่งจะซัดโยนกันไปโยนกันมาว่าต่างฝ่ายต่างเคยขโมยแก่กัน แล้วก็ใช้หนี้ใช้เวรแก่กันและกันดังนี้ ท่านอาจารย์จึงห้ามว่าอย่าขโมยของวัด ของศาสนา ของสงฆ์ มันเป็นขโมยเต็มที่ มันเป็นโทษ เป็นบาปเป็นกรรมเต็มที่ ผิดกันกับขโมยซึ่งกันเองอย่างนี้
นี่แหละเป็นตัวอย่างที่คิดดูให้ดีเถอะว่าเราเคยคิดนึกหรือเปล่า แต่ครูบาอาจารย์คิดนึกแล้วก็เอามาห้ามมาสอน แต่แล้วในที่สุดก็ไม่ค่อยจะสำเร็จประโยชน์เพราะว่าไม่ค่อยจะเชื่อฟัง มีคนดื้อดึงต่อคำแนะนำสั่งสอน ไม่ประพฤติตาม อย่าว่าแต่อย่างเคร่งครัดเลยแม้อย่างธรรมดาก็ไม่ค่อยจะได้ ถ้าอาจารย์ยังอยู่ก็จะได้คอยห้ามปรามกันต่อไป ถ้าอาจารย์ล่วงลับไปแล้วโดยร่างกายเช่นนี้ก็ไม่มีใครที่จะมานั่งห้ามอยู่ ดังนั้นเราจะต้องมีอาจารย์อยู่ตลอดไป แม้แต่มีสรีระร่างของท่านบรรจุไว้ในสถูปก็ดี ก็ต้องทำให้เหมือนกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ คอยนั่งห้ามอยู่ทุกวันๆว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่าทำอย่างนี้ นี่แหละคือประโยชน์ในทางสูงในทางลึกของท่านอาจารย์หรือครูบาอาจารย์ทั่วๆไป
ท่านทั้งหลายจะต้องนึกอย่างนี้ แล้วจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องในลักษณะอย่างนี้ด้วยว่ามันยังมีเรื่องที่ลึกเกินกว่าที่คนธรรมดาจะนึก ก็ต้องพึ่งพาสติปัญญาของครูบาอาจารย์ที่นั่งคิดนั่งนึกอยู่เสมอว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็คอยพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาคนทั้งบ้านทั้งเมืองให้ตั้งตนอยู่ในความถูกต้องเพื่อจะได้เป็นอยู่กันผาสุก
เพราะฉะนั้นเราจะต้องระลึกนึกด้วยความไม่ประมาทให้เป็นอย่างยิ่งว่าบุคคลประเภทอาจารย์นั้นมีความสำคัญอย่างไร แม้ว่าเราจะต้องเสียสละอะไรๆให้มากไปกว่าที่เสียสละกันอยู่ในบัดนี้ก็เป็นการสมควร เพื่อจะรักษาไว้ซึ่งสถาบันของอาจารย์ ไม่ให้สูญหายไปจากโลกนี้ รักษาวิญญาณของอาจารย์ให้ยังคงมีอยู่กับเราทั้งหลายไม่เลือนลับไป ขอท่านทั้งหลายจงได้มีความรู้สึกในเบื้องต้นอย่างนี้กันก่อน
สำหรับข้อนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือคนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพวกเด็กๆ คนแก่ๆนี้ดูก็ดีอยู่ มีความพร้อมเพรียงกัน แสดงความกตัญญูต่อบิดา ต่อ ต่อท่านอาจารย์ หรือว่าต่อทุกคนที่มีบุญคุณ แต่ว่าเด็กๆ ของเราในอนาคตนั้นยังไม่แน่ มีลักษณะอาการที่จะไม่น่าไว้วางใจเพราะว่าเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยเคารพครูบาอาจารย์ ไม่ค่อยระลึกนึกถึงความหมายของครูบาอาจารย์หรือกระทั่งบิดามารดา มันจึงผิดกันมากในระหว่างยุคก่อนกับยุคปัจจุบัน
คนยุคก่อนโน้นมีครูบาอาจารย์เต็มที่ คนในยุคปัจจุบันนี้มีครูบาอาจารย์น้อยลงๆ ไม่ใช่มีครูบาอาจารย์เพียงสักว่าเรียกด้วยปากว่าครูบาอาจารย์ เราจะต้องมีครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ ด้วยความนับถือ ด้วยการปฏิบัติตาม สำหรับครูบาอาจารย์มีหน้าที่โดยตรงที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งจิตใจของลูกศิษย์ คนทุกคนมีอาจารย์
คนทุกคนตั้งอยู่ในฐานะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางจิตในทางวิญญาณนี้เป็นส่วนสำคัญ เรื่องทำมาหากินนั้นก็มีปัญญาของตัวเองเพียงพออยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องทางจิตทางวิญญาณคือทางธรรมนั้นแทบจะไม่มี เมื่อขาดความรู้ทางนี้แล้วการทำมาหากินนั่นก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา
ไม่รู้จักตั้งจิตใจไว้ให้ถูกทางในเมื่อประกอบการงานในหน้าที่ หรือว่าเมื่อสิ่งทั้งหลายวิบัติพลัดพรากไปตามธรรมดาของสังขาร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่รู้จักทำกิจการงานด้วยจิตใจที่เป็นปกติสุข ทำการงานด้วยจิตใจที่เร่าร้อนมันก็เหมือนกับตกนรกไปพลางทำงานไปพลาง คนสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันแทบทั้งนั้น คือเป็นอยู่ทุกวันตลอดวันนี้ด้วยความเร่าร้อนอยู่ในใจ เป็นการตกนรกชนิดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเสียหายอย่างยิ่งแก่การเป็นมนุษย์
เราจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องในทางจิตทางวิญญาณ คือสามารถทำจิตใจให้เป็นปกติสุข มีความสงบอยู่ได้ แล้วประกอบการงาน และการได้ประกอบการงานนั้นก็กลายเป็นความสนุกสนาน เพราะว่าได้กระทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ควรทำแล้วก็พอใจ เป็นผู้ที่มีความพอใจในตัวเองเพราะว่าได้กระทำสิ่งที่ควรกระทำอยู่เป็นปกติ อย่างนี้ความเร่าร้อนในใจไม่มี มีแต่ความสงบสุข และยังได้กำไรตรงที่ว่าการงานนั้นก็ล่วงไปๆ จนสำเร็จผลเป็นทรัพย์สมบัติหรือเป็นอะไร เป็นเกียรติยศชื่อเสียง เป็นต้นที่ถูกต้องขึ้นมา เรียกว่าได้สิ่งที่ควรจะได้ทุกอย่างทุกประการ และจิตใจก็ไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อน
คนสมัยนี้ละเลยธรรมะละเลยคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ จึงไม่ค่อยจะมีธรรมะ ไม่มีความเป็นธรรมะอยู่ในจิตใจ แล้วก็ยิ่งหลงระเริงไปตามความนิยมแห่งสมัยใหม่ ก็ยิ่งไม่มีธรรมะมากเข้า ก็กลายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีแต่ความกระหายอย่างเดียวกระหายที่จะได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสตามที่ตนปรารถนาอย่างเดียว
อย่างนี้มันก็กลายเป็นเปรตคือมีความหิวกระหายในทางจิตทางวิญญาณ เหมือนจะขาดใจอยู่เรื่อย แล้วก็มีความเป็นสัตว์นรกคือมีความร้อนใจอยู่เรื่อย แล้วนั่นมันก็เป็นความโง่ด้วย จึงว่าเท่ากับเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ด้วยเป็นธรรมดา และยังแถมขี้ขลาด นอนไม่ค่อยจะหลับ อย่างนี้ก็เป็นอสูรกาย
รวมความแล้วว่าขาดธรรมะเมื่อใด สิ่งที่เรียกว่าอบายก็จะครอบงำผู้นั้น ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่จะช่วยสะสางปัญหาเหล่านี้ ให้แก่คนทั้งหลาย จะได้เป็นอยู่อย่างถูกต้องสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมันก็ต้องมีใจสูง อยู่เหนือความทุกข์ อยู่เหนือความชั่ว เหนือความเศร้าหมอง จึงจะสมกัน
เพราะฉะนั้นในโอกาสเช่นนี้ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับท่านอาจารย์ ท่านทั้งหลายจะต้องระลึกนึกถึงพระคุณของท่านให้มากเป็นพิเศษ แล้วก็เตรียมตัวไว้สำหรับกาลข้างหน้าในอนาคตว่าเด็กๆ ของเราจะเป็นอย่างไร เด็กๆของเราจะสามารถเป็นอย่างเราได้หรือไม่ คำว่าสามารถเป็นอย่างเรานี้หมายความว่าจะเป็นผู้เยือกเย็นอย่างเราได้หรือไม่
เด็กๆ สมัยนี้เรียนอะไรมาก มีความรู้มาก ปราดเปรื่องมาก แต่ว่าปราดเปรื่อง ความปราดเปรื่องเหล่านั้นเป็นไปในทางความร้อน ร้อนเพื่อตัวเองไม่พอแล้วยังป้ายมาถึงพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็พลอยร้อนไปด้วย นี้เป็นการแสดงให้เห็นอยู่แล้วเหมือนกับเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมายว่าในอนาคตนั้นมันจะเป็นอย่างไร การที่ละทิ้งธรรมะเรื่อยๆไปอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร มันจะต่างกันกับความมีธรรมะอยู่อย่างถูกต้องและสมบูรณ์นั้นอย่างไร แล้วว่าเด็กๆของเราจะค่อยเปลี่ยนไปๆจนผิดกันกับปู่ย่าตายายอย่างเป็นหน้ามือหลังมือหรือหาไม่
นึกดูง่ายๆอย่างสมัยเราเด็ก ผู้ใหญ่เมื่อยังเป็นเด็กได้ทำอะไรกันบ้าง แล้วเด็กสมัยนี้ทำอะไรกันบ้าง สมัยโน้นแม้แต่จะพลั้งออกมาด้วยความตกใจก็ยังพลั้งว่า พุทโธ พุทธัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พุทโธ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เหล่านี้เป็นของชินปาก จนถึงกับพลั้งออกมาเมื่อมีอะไรทำให้ตกใจหรือมีอะไรเกิดขึ้นที่รู้สึกว่าเป็นอันตราย แต่เด็กๆสมัยนี้ดูจะไม่มีเสียแล้วที่จะพลั้งปากว่า พุทโธ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เหล่านี้ คงจะพลั้งออกมาเป็นบทเพลงสมัยใหม่ เป็นเพลงสากล เป็นเพลงอะไรตามที่เขาเคยชิน ชินหูชินใจชินปาก นี้แสดงว่ามันกำลังไปกันคนละทาง
เด็กๆสมัยโน้นไม่กล้ายิงนกตกปลาที่ในวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกกางเขนที่เรียกกันว่านกบินหลานี้เด็กๆไม่กล้าทำอันตราย อาตมาก็รู้ดีก็เพราะว่าเคยเป็นเด็ก และเคยเป็นเด็กอยู่วัด เด็กวัดหรือเด็กบ้านก็ไม่กล้าทำอันตรายนกกางเขน ถือว่าเป็นนกที่ศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าใช้ชาติ หมายความว่าจะสนองกรรมเหมือนกับที่ได้กระทำแก่มัน และในปัจจุบันทันตาเห็นด้วย เด็กสมัยนั้นไม่มีใครกล้าทำอันตรายนกเช่นนกกางเขนเป็นต้น แต่แล้วเด็กสมัยนี้เป็นอย่างไร เด็กสมัยนี้เป็นอย่างไรก็รู้ได้ตรงที่ว่านกกางเขนก็หายไปหมด ไม่มีเหลืออยู่สำหรับร้องให้ฟังอีกต่อไป นี่แหละการอบรมของครูบาอาจารย์มั่นคงอย่างไร ท่านลองคิดดูเถิด จิตใจของเด็กๆมีความมั่นคงในศีลธรรมอย่างไร แม้แต่จะพลั้งปากก็พลั้งออกเป็นธรรมะธัมโม แม้แต่จะทำอันตรายสัตว์ก็ยังนึกถึงการใช้ชาติที่เรียกว่าการต้องสนองกรรม ไม่มีใครกล้าทำอันตรายสัตว์วัด สัตว์บ้าน ในป่าก็ยังมีลิง ค่าง ชะนีให้ดู ในทุ่งนาก็ยังมีนกเขาขันให้ฟัง แต่ว่าสมัยนี้อีกาก็แทบจะไม่มีให้เห็น ลองคิดดูว่ามันเป็นอย่างไรกัน
ศีลธรรมของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จนกระทั่งว่าในทุ่งนาก็ไม่มีนกเขาขันให้ฟัง สิ่งต่างๆ ที่เคยมีอยู่ตามธรรมชาติที่เป็นของสวยของงามนั้นมันหายไปไหนหมด คิดดูให้ดีแล้วเป็นสิ่งที่น่าสลดใจและสังเวช สิ่งเหล่านี้ท่านอาจารย์เป็นผู้ห้ามปราม เป็นผู้แนะนำสั่งสอนเด็กๆไม่ให้ใจบาปหยาบช้า ให้รู้จักเมตตากรุณา มันจึงรอดมาได้ แต่พอมาถึงสมัยที่เด็กๆไม่เชื่อฟังอาจารย์หรือไม่มาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ เรื่องมันก็กลับกันเป็นหน้ามือหลังมืออย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
คนแต่ก่อนไม่มีใครตวาดพ่อแม่ สมัยนี้แม้แต่เด็กๆมันก็ตวาดพ่อแม่ มันใช้พ่อแม่ให้ทำการงาน มันหลอกพ่อแม่ให้ส่งเงินไปให้สนุกสนาน โดยบอกว่าไปศึกษาเล่าเรียน เด็กสมัยก่อนต้องกราบตีนพ่อแม่เป็นประจำวัน เด็กสมัยนี้ไม่รู้ว่านั่นคือการทำอะไร เด็กสมัยก่อนแม้จะแต่งงานก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ หรือพ่อแม่จะเป็นฝ่ายที่เลือกให้ด้วยซ้ำไป ส่วนเด็กสมัยนี้ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ มีแต่จะบังคับพ่อแม่ให้ทำอะไรๆเร็วๆตามที่เราต้องการ มันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามอย่างนี้ แต่แล้วเราพิจารณาดูเถิดว่าเมื่อมันตรงกันข้ามถึงอย่างนี้นั้นก็ตามที แต่ว่าอย่างไหนเล่าที่มันไม่ทำให้เกิดเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นขึ้นมา อย่างไหนไม่ทำให้เกิดตกนรกทั้งเป็นขึ้นมาเราต้องเอาอย่างนั้น และถือว่าอย่างนั้นแหละถูก จึงจะเป็นการถูกจริงๆ
เด็กๆ สมัยนี้ถ้าพูดตรงๆ ก็ต้องพูดว่าเป็นเจ้าชู้กันแต่เล็กแต่เด็กทีเดียว จะนึกถึงเรื่องนี้ก่อนเรื่องการศึกษาเล่าเรียน พ่อแม่บางคนก็พลอยสนับสนุนด้วยซ้ำไป แล้วมันจะไม่เป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามอย่างไร เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก แล้วยังใช้เงินเปลืองตั้งแต่เล็ก นี่แหละลองคิดดูเถอะว่ามันมีธรรมะอะไรเหลืออยู่ที่ตรงไหน ครูบาอาจารย์เคยห้ามปรามอย่างไร มันเท่ากันได้หรือไม่ ในที่สุดเด็กชนิดนี้แหละก็ทำการสไตรค์หรือแอนตี้ครูบาอาจารย์ ซึ่งไม่เคยมีในสมัยโบราณสมัยปู่ย่าตายาย
พูดให้ชัดกันอีกทีหนึ่งว่าสมัยปู่ย่าตายาย เด็กๆไม่เคยสไตรค์หรือแอนตี้ครูบาอาจารย์ พอมาถึงสมัยนี้เด็กๆพากันสไตรค์หรือแอนตี้ครูบาอาจารย์ ข่มเหงอาจารย์ จะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ก็คือไม่มีครูบาอาจารย์นั่นเอง เด็กบางคนถึงขนาดจะสไตรค์หรือแอนตี้บิดามารดาของตนเองด้วยซ้ำไป ที่กล่าวมานี้เป็นการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าครูบาอาจารย์นั้นกำลังเลือนรางไป เลือนรางไปจนจะไม่ค่อยมีเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว มันเป็นโลกที่ไม่มีครูบาอาจารย์แล้ว แล้วมันจะเป็นโลกอะไรก็ลองคิดดูเถิด
เด็กสมัยนี้เอาแต่ความคิดเห็นของตัว เอาแต่ความต้องการของตัว ดูถูกว่าความคิดความต้องการของพ่อแม่นั้นใช้ไม่ได้ ครึคระงมงายพ้นสมัย เขาไม่เอากันแล้ว แล้วเด็กสมัยนี้เขาต้องการอย่างไร เรามองดูแล้วก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน รวมความว่าความสับสนวุ่นวาย ความเดือดร้อนความระส่ำระสายนี้มันมีมูลมาจากการที่ขาดครูบาอาจารย์
ฉะนั้นจึงเป็นที่น่าวิตกกังวล น่าหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่งที่ครูบาอาจารย์มาล่วงลับไป ล่วงลับไปหมายความว่าครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพเชื่อฟังอย่างยิ่งนั้นล่วงลับไป ล่วงลับไป ล่วงลับไปแล้วไม่มีอาจารย์ชนิดนี้เกิดขึ้นมาแทน ไม่ขึ้นมาแทนที่ แล้วต่อไปมันจะเป็นอย่างไรท่านทั้งหลายจงคิดดูเถิด ถ้าระลึกนึกได้ก็จงเตรียมตัวให้พร้อมในการที่จะช่วยตัวเอง หรือว่าจะระลึกนึกถึงครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น แล้วพากันประพฤติปฏิบัติเหมือนกับเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ก็แล้วกัน
แต่ทีนี้สำหรับลูกเด็กๆ เล็กๆ ที่เกิดมาทีหลังเล่า มันไม่ได้เกิดมาในสมัยที่มีความเคารพครูบาอาจารย์เสียแล้ว มันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่มีครูบาอาจารย์ นั่นแหละจงช่วยกันวิตกกังวลเถิด เป็นสิ่งที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าที่จะไม่มีเงินใช้ไม่มีข้าวกินเสียอีก เพราะว่ามันเป็นเรื่องเสื่อมเสียทางจิตใจ แล้วก็จะทำให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ ไม่มีใครเย็นอยู่ได้แม้แต่สักคนเดียว
การที่เด็กๆเกิดมามีบิดามารดา มีครูบาอาจารย์นี้เป็นของสำคัญมาก เดี๋ยวนี้ก็มีบิดามารดา มีครูบาอาจารย์เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มี แต่มันเปลี่ยนรูปไปมาก มันไม่เป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ที่เด็กๆเคารพหรือเชื่อฟัง โดยมันเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ที่จะรับใช้เด็กๆหรือกลัวเด็กๆ หรือยอมทำตามความต้องการของเด็กๆไปเสียมากกว่า
ขอให้ระวังให้ดี ในบรรดาผู้ที่จะยังคงเป็น จะ จะมีชีวิตอยู่เป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ต่อไป หมายความว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องเป็นผู้ชักจูงเด็ก ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเป็นผู้ชักจูงตน อย่าได้มีความรักความหลง หรือความโง่เขลาจนปล่อยให้เด็กชักจูงตน จงตั้งตนให้อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ชักจูงเด็กให้จนได้ โลกนี้จึงจะมีบิดามารดา ครูบาอาจารย์เหลืออยู่สืบไปตลอดกาลนานและเป็นโลกที่จะสงบเย็นได้
การที่เด็กๆไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมหรือความดีนั้นคืออะไรนั่นแหละเป็นอันตรายอย่างยิ่ง สมัยก่อนนั้นได้อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมที่ดีจนพูดจากันติดปาก แม้แต่พลั้งก็พลั้งว่า พุทโธ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ดังกล่าวแล้ว วัฒนธรรมหรือประเพณีเหล่านั้นแหละทำให้เด็กอยู่ในความรู้สึก มีอยู่ในความรู้สึกว่าความดีอยู่ที่ไหน ความชั่วอยู่ที่ไหน เราเกิดมาทำไม คนสมัยก่อนอย่างน้อยก็พูดได้พูดเป็นว่าเราจะต้องไปนิพพาน แต่พอมาถึงสมัยนี้ไม่มีใครต้องการ แม้แต่คนโตๆแล้ว ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นไปในทางที่น่าหวาดเสียว หมายความว่าจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานอันลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป โดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ แต่ว่าเป็นความทุกข์อย่างใหญ่หลวง มันจะแก้ได้ก็ตรงที่อย่าลืมครูบาอาจารย์ จงทำให้เหมือน กับว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะท่านอาจารย์เพชรเป็นต้นได้เคยพูดอะไรไว้กี่คำกี่พยางค์ก็ขอให้จำไว้ให้แม่นยำ เพื่อจะเอามาคิดนึกศึกษามาพิจารณามารักษาไว้ เพื่อประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเหมือนกับท่านมีชีวิตอยู่ ถ้าท่านทั้งหลายทำได้ดังนี้ก็นับว่าเป็นกุศลอันเลิศในการที่จะมาร่วมกันบรรจุศพของท่านก็ดี หรือทำบุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งตามความสามารถก็ดี เราทำทั้งหมดนั้นเพื่อผลอันนี้ เพื่อผลอันนี้ก็คือเพื่อผลที่ว่าอาจารย์จะอยู่กับเราตลอดกาลนานไม่มีที่สิ้นสุด ร่างกายของท่านจะถูกเก็บไว้ในฐานะที่สิ้นสภาพมีชีวิต แต่ว่าดวงจิตหรือวิญญาณของท่านนั้นยังอยู่กับเรา ยังอยู่กับเรา ยังอยู่กับเราตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุดเพราะว่าเรายังจำคำทุกคำที่ท่านพูดไว้ได้ แต่เรายังรู้ความประสงค์ของท่านทุกอย่างว่าต้องการให้เราทำอะไร เรารักษาถ้อยคำเหล่านี้ไว้รักษาความประสงค์อันนี้ไว้แล้วก็ทำสืบไปจริงๆ ให้สมกับที่ว่าวันนี้เรามาแสดงทุกอย่างออกมาให้เห็นว่าเรามีความรัก มีความกตัญญูมีความเสียสละมีอะไรทุกอย่างแต่แล้ว
อย่าให้เป็นการเพียงแสดงท่าทาง ขอให้เป็นการแสดงความ รู้สึกที่ซื่อสัตย์สุจริตที่มีอยู่ในจิตในใจ แล้วกระทำไปตามนั้นจริงๆ นั่งกันอยู่ที่นี่ พร้อมกันอยู่ที่นี่แล้วขอให้ถือว่าเป็นการยืนยันตัวเอง ปฏิญญาตัวเองว่าจะทำเช่นนั้นต่อท่านอาจารย์ หรือว่ามาตั้งสัตย์ปฏิญาณกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่าตลอดกาลอันไม่มีที่สิ้นสุด เราจะนึกถึงคำสั่งสอนและความประสงค์ของท่านอาจารย์ไว้สำหรับประพฤติปฏิบัติต่อไปอย่าให้รู้ขาดสายได้ ให้พระคุณของท่านคุ้มครองเราอยู่เช่นเดียวกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่หรือยิ่งขึ้นไป เพราะว่าบัดนี้เราสำนึกอะไรได้มากกว่าเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
เมื่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ดับขันธ์ไปแล้ว คนทั้งหลายมักจะรู้สึกคุณความดีของท่านมากกว่าเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้อนี้เป็นความจริง ทุกคนเอาไปคิดไปตรองดูเถิด ทีนี้เมื่อได้เห็นว่าท่านมีพระคุณอย่างไร มีความดีมีความเมตตากรุณาอย่างไร แล้วก็ควรจะสนองความต้องการของท่านด้วยการทำอะไรให้ตรงตามที่ท่านต้องการ
สรุปความแล้วก็คือว่าไม่สามารถจะทำความผิดความชั่วอันใดได้เลยเพราะท่านอาจารย์ไม่ต้องการ แต่มีแต่จะทำความดีความงามทุกอย่างให้เต็มขึ้นมาตามที่ท่านอาจารย์ต้องการ ทั้งที่ท่านรู้จักและไม่รู้จัก เราควรจะทำความดีทุกอย่างเพื่อบูชาคุณของท่านอาจารย์ นั่นแหละมันจึงจะเป็นการกระทำที่ซื่อตรง ตรงไปตรงมา ไม่หน้าไหว้หลังหลอก ข้างนอกเป็นอย่างไรข้างในก็เป็นอย่างนั้น
อย่างว่ามีความรู้สึกในบุญคุณของท่าน จึงมาที่นี่ เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ต้องทำตามที่ท่านต้องการ ไม่ใช่มาเพียงเพื่อให้รดน้ำมนต์ หรือไม่ใช่มาเพียงเพื่อทำพิธีอะไรให้แล้วๆไป แต่ต้องมาเพื่อตั้งสัตย์ปฏิญญาต่อหน้าสรีระของท่านว่าจะทำทุกอย่างตามความประสงค์ของท่านอาจารย์โดยแน่แท้ทุกคน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วบารมีของท่านอาจารย์จะคุ้มครองคนทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งโลก เพราะว่ามันเกี่ยวเนื่องกัน
เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกคล้ายๆ กับว่าอยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สนาถา ภิกฺขเว วิหรถ ภิกษุทั้งหลายเธอจงเป็นผู้อยู่อย่างมีที่พึ่งเถิด มา อนาถา อย่าเป็นผู้อยู่อย่างไม่มีที่พึ่งเลย พระพุทธเจ้าท่านแนะท่านสอนท่านขอร้องว่าจงอยู่อย่างมีที่พึ่งเถิด อย่าอยู่อย่างไม่มีที่พึ่งเลย
ทีนี้ลองคิดดูว่าอะไรมันเป็นที่พึ่ง ท่านตรัสว่า
ธมฺมสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา
ธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมเป็นดวงประทีป ธรรมเป็นที่พึ่ง
สทฺธมฺโม ครุกาตพฺโพ
พระสัทธรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะเคารพ
การพูดอย่างนี้มันก็เกี่ยวข้องกันกับครูบาอาจารย์โดยตรง ถ้าเราอยากจะอยู่อย่างมีที่พึ่งเราก็ต้องมีความรู้ในธรรม ซึ่งจะทำความ ซึ่ง ซึ่งจะทำความเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้ ความรู้เหล่านี้ก็ได้มาจากอาจารย์ อาจารย์เป็นผู้ควบคุมให้เป็นผู้มีธรรม มีการประพฤติธรรมจนเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ แม้ว่าธรรมจะเป็นที่พึ่งแต่ว่าเราก็ต้องอาศัยอาจารย์เป็นผู้ชี้หนทางแห่งธรรม หรือเป็นผู้ชักจูงให้คนเข้าถึงธรรมแล้วธรรมก็จะเป็นที่พึ่ง เมื่อ เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรมมีคุณสมบัติสูงสุดอย่างนี้ คนทั้งปวงจึงควรเคารพธรรม แม้พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก็ทรงเคารพธรรม
ขอให้ท่านทั้งหลายคิดดูเถิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลสูงสุดแต่ก็เคารพธรรม แล้วเคารพทุกๆพระองค์ด้วย ความสำคัญของธรรมมีอยู่ถึงเพียงนี้ เราจึงต้องสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม และมีได้โดยการเชื่อฟังครูบาอาจารย์ อาจารย์เป็นผู้ชักจูงดึงฉุดบุคคลให้ไปตามหนทางของธรรม บางครั้งบางคราวถึงกับออกต่อต้านลูกศิษย์ลูกหาไม่ให้เดินผิดทาง อาจารย์ทนทะเลาะกันกับลูกศิษย์ ไม่มีเรื่องอื่นนอก จากเรื่องไม่ยอมให้ลูกศิษย์เดินไปผิดทางของธรรม ท่านเสียสละมากถึงอย่างนี้ แต่เราก็ไม่เคยนึกกัน ถ้าอาจารย์ขัดคอเรา เราก็โกรธ บางทีเราก็ไม่อยากจะมาหาอาจารย์อีกต่อไป แต่หานึกไม่ว่าข้อขัดคอของอาจารย์นั้นคือการฉุดการลากการดึงเข้าไปหาสิ่งที่เรียกว่าธรรม หรือคอยต่อต้านขัดขวางไม่ให้เดินออกไปนอกทางของธรรม ท่านเสียสละเพื่อเราจะเข้าถึงธรรม เพื่อประโยชน์ความสุขของเราเองดังนี้
คนสมัยนี้ยิ่งไม่รู้จักธรรม ก็เช่นเดียวกับเด็กๆที่เหินห่างจากครูบาอาจารย์ โลกสมัยนี้จึงเป็นโลกที่ไม่เหมือนกับสมัยที่แล้วมา คือว่าในโลกสมัยที่แล้วมาคนยังถือธรรมเป็นหลัก พอมาถึงสมัยนี้ คนในโลกไม่ค่อยจะถือธรรมเป็นหลัก หรือถึงกับไม่ถือธรรมเป็นหลักเอาเสียเลยก็มี
เรื่องนี้ท่านทั้งหลายก็จะมองเห็นได้ด้วยตนเองไม่ยากนักว่าการที่ไม่ถือธรรมเป็นหลักนี้มีมากขึ้นในโลกอย่างไร หรือจะดูในทางผลของมันก็จะเห็นได้ว่าโลกในทุกวันนี้มีความเดือดร้อน มีความระส่ำระสาย มีความทุกข์ที่เกิดมาจากการ การเบียดเบียนตนเองและเบียดเบียนผู้อื่นมากขึ้นๆ
เบียดเบียนตนเองก็คือไม่รู้จักตั้งจิตตั้งใจไว้ในทางที่จะสงบเย็น เผาตัวเองให้ร้อน ก็คิดผิดพูดผิดทำผิด แล้วที่เบียดเบียนกันจากภายนอกคือคนอื่นมาเบียดเบียนนั้นมันก็มีมากขึ้น
ท่านทั้งหลายก็เห็นกันอยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างไร มันมีอยู่สักเท่าไร และมันมากขึ้นสักเท่าไร นี่แหละคือลักษณะหรือเครื่องหมายของการที่ไม่มีธรรมหรือมีธรรมน้อยลงไป
มนุษย์สมัยนี้ทำสงครามกันกับพระธรรม พูดแล้วก็ ก็น่าขันคือน่าหัว หรือไม่น่าเชื่อ ที่อาตมาจะพูดว่ามนุษย์ คนสมัยนี้กำลัง กำลังทำสงครามกับพระธรรม ท่านลองคิดดูว่าคนทำสงครามกับพระธรรมได้อย่างไร มันก็เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ยากนักว่าคนที่เหยียบย่ำธรรม ไม่ประพฤติตามธรรมนั่นแหละคือคนที่ทำสงครามกับพระธรรม พระธรรมต้องการให้เป็นอย่างนี้ เขาไม่ยอมทำอย่างนี้ เขายอม เขาทำไปในทางที่ตรงกันข้าม อย่างนี้เรียกว่าทำสงครามกับพระธรรม หรือจะพูดกันอย่างสมมติเป็นปุคคลาธิษฐานก็ว่าทำสงครามกับพระเจ้า
คนสมัยนี้กำลัง กำลังทำสงครามกับพระเจ้ากันอยู่ทั่วไปทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คนรบราฆ่าฟันกัน เป็นสงครามในระหว่างคนต่อคนมนุษย์ต่อมนุษย์นั่น นั้นก็ยังไม่ใช่สงครามที่ลึกซึ้งอะไร สงครามที่ลึกซึ้งนั้นคือสงครามที่มีอยู่ระหว่างคนกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้คนทำสงครามแก่กันและกัน แต่คนก็กล้าดื้อกล้าฝืนทำสงครามแก่กันและกัน นี้คือการทำสงครามแก่พระเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่ทำสงครามแก่กันและกันจึงต้องได้รับโทษจากพระเจ้า คือมีความทุกข์กันอยู่อย่างไม่ขาดสายทั้ง ๒ ฝ่าย คู่สงครามทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นเป็นผู้กล้าทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าจึงลงโทษให้สาสมกันคือให้มีความทุกข์กันทั้ง ๒ ฝ่าย จนกว่าเมื่อใดจะปรองดองคืนดีกันได้ นั้นก็คือเลิกทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้รางวัลคือให้คนทั้งหลายอยู่กันเป็นผาสุก
ท่านจงไปคิดดูในข้อนี้ให้มากว่าคนนี้ละเลยธรรมะละเลยพระเจ้า จนทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียเอง ทั้งในยามปกติและในยามที่มีสงคราม ในยามปกติที่มัน ที่เขาไม่รบกันนั้นก็ยังมีมนุษย์ที่ทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้า คือฝืนพระธรรมหรือฝืนคำของพระเจ้า ที่ฝืนกันมากที่สุดทั่วไปทั้งโลกก็คือว่าคนสมัยนี้แสวงหาหรือมีไว้เกินกว่าความจำเป็น เขาต้องการจะให้สวย ให้รวย ให้สนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ส่วนพระธรรมหรือพระเจ้านั้นบอกว่าอย่าต้องการให้มันมากถึงขนาดนั้นเลย จงต้องการแต่เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะเป็นอยู่กันอย่างผาสุกเถิด
ให้ทุกคนๆแสวงหาและมีไว้เท่าที่จำเป็น หรือเหมาะสม หรือสมควรแก่การที่จะมีความสุขกันอยู่ในโลกนี้ด้วยกันจงทุกคนเถิด ทีนี้คนในโลกไม่เชื่อฟัง แสวงหามากมายเกินกว่าความจำเป็นยิ่งกว่าเป็นมหาเศรษฐีไปเสียอีก และทุกคนกำลังต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น เมื่อทุกคนเป็นอย่างนั้นต้องการอย่างนั้นมันก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน นี่เรียกว่ามีผลทั้งขึ้นทั้งล่อง
แสวงหาหรือมีไว้เกินความจำเป็นนั้นมันเพิ่มกิเลสตัณหา มันทำให้มีความโลภจัดโกธรจัด มีความอิจฉาริษยาจัด มีการกระทำซึ่งเบียดเบียนกันโดยง่าย นี่ก็เป็นการทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งอยู่แล้ว เมื่อควบคุมไว้ไม่ได้ก็ต้องทะเลาะวิวาทกันหรือทำสงครามกัน
เพราะฉะนั้นพวกที่แสวงหาเกินความจำเป็นนั้นเป็นผู้ที่ทำสงครามกันกับพระเจ้าหรือพระธรรม จะต้องมีความเดือดเนื้อร้อนใจ นอนไม่หลับ เป็นโรคเส้นประสาท เป็นวิกลจริตกระทั่งถึงตายในที่สุด แต่ถ้าผู้ใดมีจิตใจปกติ ไม่มุ่งมั่นอย่างนั้น กระทำไปตามที่ถูกที่ควรแล้วก็ไม่ต้องรับบาปกรรมอันนั้น และบางทีจะร่ำรวยได้ง่ายๆโดยไม่ต้องยุ่งยากลำบากด้วยซ้ำไปนี่เป็นผลรางวัลของการที่เชื่อฟังพระเจ้าเชื่อฟังพระธรรม
ในที่สุดผู้ที่มัวเมาอยู่ด้วยความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีสร่างไม่มีซา นี่ก็คือผู้ที่ทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้คนเกิดมาโง่ถึงขนาดนั้น ลองคิดดูให้ดีว่าพระธรรมไม่ได้ต้องการให้คนโง่ถึงขนาดนั้น ต้องการให้คนอยู่ด้วยความเป็นปกติสุขมีความสะอาด สว่าง สงบพอสมควรแก่อัตภาพ
เดี๋ยวนี้คนก็ไปบูชาเหยื่อทางอายตนะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่เป็นเรื่องกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นไม่มีที่สุด นี้ก็คือการทำสงครามกันกับพระธรรมหรือพระเจ้า ทีนี้เราดูต่อไปโดยไม่ต้องเกรงใจใครว่าคนทุกคนในโลกทุกประเทศ ไม่เฉพาะประเทศไหน ทุกประเทศในโลกเขาก็เตรียมกันไปในทางที่จะเบียดเบียนกันเอาเปรียบกัน เช่นว่ามีการตระเตรียมทางทหารกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางเศรษฐกิจกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางการเมืองกันทุกๆประเทศ แต่แล้วตระเตรียมเพื่ออะไรกัน มันตระเตรียมเพื่อความโลภโมโทสัน ตระเตรียมเพื่อจะเอามาให้มาก เพื่อจะกวาดล้อมเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัว หรือเพื่อจะรวมหมู่รวมพวกกันต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามแล้วเอามาแบ่งกัน อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ทำสงครามกันกับพระเจ้า ทำสงครามกันกับพระธรรม เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น พระธรรมก็ไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น แต่มนุษย์ก็ยังคงทำ เรียกว่ามนุษย์นี่เตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ท่านจะนึกว่ามันเป็นคำด่าหรือคำสบประมาทหรืออะไรก็ตามที แต่อาตมาจะยืนยันอยู่ว่ามนุษย์นี้เตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น
ทุกคนลองตรวจสอบตัวเองดูว่าเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่นหรือไม่ แล้วมีกี่คนที่เตรียมพร้อมที่จะเสียสละให้ผู้อื่น แล้วมันมีกี่คนที่เตรียมพร้อมเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้ว
นี่ผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้วนี้คือผู้ที่ทำสงครามกันกับพระธรรม ทำสงครามกันกับพระเจ้า เหยียบย่ำพระธรรม เหยียบย่ำพระเจ้า กล้าดื้อกล้าดึง กล้าฝ่าฝืนพระธรรมหรือพระเจ้า คำว่าเอาเปรียบผู้อื่นในที่นี้หมายความว่าเตรียมพร้อมที่จะได้ประโยชน์มาเป็นของตนแทนที่จะให้ผู้อื่นได้ และพร้อมที่จะเอามาเป็นของตนโดยไม่ต้องคิดถึงผู้อื่น มัน ดูผิวๆเผินๆก็คล้ายๆกับว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย แต่ถ้าดูให้ลึกซึ้งลงไปแล้วจะเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้น เว้นเสียแต่จะมีสิ่งๆหนึ่งเข้ามาแทรกแซงคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง
ธรรมะที่ท่านอาจารย์ของเราเคยพร่ำสอนนั่นเองว่าเห็นแก่มันบ้าง สงสารมันบ้าง อย่าเอาเปรียบมันเลยอย่างนี้ จะเป็นคำที่ท่านอาจารย์เคยพูดแล้วไม่น้อยกว่าร้อยๆครั้งหรือพันๆครั้ง ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใดมันก็เอาเปรียบผู้อื่นไม่ได้ พร้อมที่จะเสียสละให้ผู้อื่นอยู่เสมอไป ข้อนี้จะมองเห็นได้หรือพิสูจน์ได้ง่ายๆโดยมองดูกันต่อไปว่ามนุษย์นี้มีแต่ความหมายมั่นว่าตัวกูและของกู แม้จะไม่พูดออกมาทางปากเป็นศัพท์เป็นเสียง แต่ในจิตใจมันก็มีความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกูอยู่เสมอจนกระทั่งถูกลิงด่า อาตมาชอบเล่านิทานเรื่องลิงด่า ไม่กลัวว่าใครจะเบื่อ เพราะ ฉะนั้นวันนี้ก็จะต้องเล่าอีกว่า
มีลิงพระโพธิสัตว์อยู่ในป่า ถูกจับมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เลี้ยงไว้ดูเล่นในสวนอุทยาน พอเวลาล่วงไปๆพอสมควรแล้วพระเจ้าแผ่นดินก็เบื่อ บอกว่าเอาลิงตัวนี้ไปปล่อยกลับเสียใน กลับไปในป่าเถิด คนก็ คนใช้ก็เอาลิงโพธิสัตว์นั้นไป กลับไปปล่อยที่ในป่าตามเดิม ลูกลิงบริวารทั้งหลายก็มาเยี่ยมมาถามว่าเมื่อท่านไปอยู่ในเมืองมนุษย์นั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ ลิงพระโพธิสัตว์ก็ตอบว่าไม่มีดอก อย่าถามเลย เรื่องนี้อย่าถามเลย ลูกลิงก็รบเร้าว่าจงเล่าเถิดมันต้องมีแน่ๆ พระโพธิสัตว์ทนไม่ได้ก็บอกว่าในเมืองมนุษย์นั้นทั้งกลางวันและกลางคืนมีแต่เสียงว่าเงินของกู ทองของกู ลูกของกู เมียของกู ผัวของกู พระโพธิสัตว์พูดไม่ทันจบ ลูกลิงทั้งหลายก็ลุกขึ้นฮือไปที่ลำธารไปล้างหู บอกว่าหูเพิ่งสกปรกเสียแล้วในวันนี้เพราะได้ยินคำอย่างนี้ นี่นิทานนี้ไม่ใช่นิทานชาวบ้านพูด มีอยู่ในพระคัมภีร์ส่วนที่เรียกว่าคัมภีร์ชาดก ไปหาอ่านโดยพิสดารก็ได้ แสดงไว้ในลักษณะที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่ามนุษย์ตกอยู่ในสภาพที่ลิงด่าด้วยการล้างหูอยู่ทุกวันทุกคืน ใครจะรู้จักเจ็บหรือ ไม่รู้จักเจ็บก็ไปคิดเอาดู
ดูเอาเองเถิดว่ามนุษย์นี้ตกอยู่ในสภาพที่ถูกลิงด่าด้วยการล้างหูอยู่ทุกวันทุกคืนเพราะพูดว่าเงินของกู ทองของกู ลูกของกู ผัวของกู เมียของกูจนไม่รู้ว่าจะกี่ร้อยอย่างพันอย่าง นี้มันเป็นโจรปล้นธรรมชาติ มนุษย์เหล่านี้เป็นโจรปล้นธรรมชาติ ถ้าใครมีปัญญาสักหน่อยก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งปวงบรรดามีอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตามมันเป็นของธรรมชาติไม่ใช่ของใคร แต่มนุษย์โง่เขลาเบาปัญญาเหล่านี้ไปปล้นเอามาเป็นของกู ที่นาก็ของกู ที่สวนก็ของกู ป่านี้ก็ของกู อะไรนี่ก็ของกู อะไรๆก็ของกู นี้เรียกว่าเป็นโจรปล้นธรรมชาติเอามาเป็นของกู เพราะฉะนั้นลิงจึงล้างหูใส่หน้าให้เป็นการด่าว่ามนุษย์นี้มีเท่านี้เอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังให้มากในการที่จะเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู ท่านอาจารย์จะต้องเคยห้ามอยู่ตลอด เวลาว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานว่าตัวเราว่าของเรา หรือว่าตัวกูว่าของกูดังนี้เป็นแน่ เดี๋ยวนี้มนุษย์เป็นโจรปล้นธรรมชาติกันไปหมดแล้ว อะไรก็ของกู แล้วก็ของกูมากขึ้นจนเอาเปรียบผู้อื่น จนฆ่าฟันผู้อื่นเพื่อจะเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัวนี่ นี้เรียกว่าเป็นการทำสงครามกับพระเจ้าหรือพระธรรม
การศึกษาของมนุษย์ในโลกสมัยนี้ก็เป็นทาสของกิเลสตัณหาคือจัดการศึกษาไปตามกิเลสตัณหาของมนุษย์นั้นเพื่อประโยชน์ทางวัตถุหรือความสุขทางเนื้อทางหนังอย่างเดียว ไม่รู้จักพระธรรมไม่รู้จักพระเจ้า ให้มันเรียนถึงมหาวิทยาลัยหรือยอดมหาวิทยาลัยไหนมันก็ไม่รู้จักพระธรรมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าการศึกษานี้มันจัดไปแต่ในทางได้มาซึ่งวัตถุเพื่อเอามาเป็นตัวกูเพื่อเอามาเป็นของกูนี่แหละคือข้อที่มนุษย์กำลัง กำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้า มนุษย์ทั้งโลกกำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้าหรือกับ กับพระธรรม แล้วมนุษย์จะมีความผาสุกได้อย่างไร
เรียกว่ามหาสงครามมันเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วโลกนี้มันจะมีความสุขได้อย่างไร ข้อที่ว่าองค์การโลก องค์การนั้นองค์การนี้ องค์การโลก โลกนั้นนั่นแหละอวดอ้างว่าจะจัดให้โลกนี้มีสันติภาพ มันก็เป็นของน่าหัวเราะเยาะอย่างเด็กอมมือ
มนุษย์จะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพได้อย่างไรในเมื่อการสงครามนี้มันมีอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าไม่ใช่ทำสงครามกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
ท่านลองคิดดูให้ดีมันทำสงครามกันอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้า แล้วมนุษย์ไหนจะมีปัญญาขจัดสงครามนี้ให้ออกไปได้ เว้นไว้แต่ว่ามนุษย์จะหันหน้าไปคืนดีกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าหรือพระธรรมก็จะบันดาลให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลกนี้
นี่การศึกษาของมนุษย์ในโลกในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไปเพื่อหันไปหาพระธรรมหรือพระเจ้ากันเสียเลย มีแต่จะให้เหินห่างออกไป มันจึงได้รับความทุกข์มากมายกันถึงขนาดนี้ ท่านอาจารย์ของเราไม่เคยสอนอย่างนี้ ไม่เคยสอนให้หันหลังให้พระธรรมหรือพระเจ้า เคยสอนให้หันหน้ามาหาพระธรรม ให้เชื่อพระพุทธ ให้เชื่อพระธรรม ให้เชื่อพระสงฆ์ ให้ตั้งตนอยู่ในการไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ให้มองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่เป็นประจำ เพื่อว่าจะไม่ไปโง่ไปหลง หมายมั่นปั้นมือว่านั่นนี่เป็นตัวกูเป็นของกูจนถูกลิงล้างหูใส่หน้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ทีนี้ดูให้ดีต่อไปอีกว่ามนุษย์นี้กำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้า แล้วจะมาอวดอ้างว่าจะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพ มนุษย์สมัยนี้ทำลายธรรมะ ทำลายความประสงค์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นทุกที มีความเห็นแก่ตัวมากยิ่งขึ้นทุกที มีความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นทุกที
ท่านจงดูให้ดีว่ามันมากขึ้นทุกทีอย่างไร สิ่งที่น่าอัปยศอดสูที่สุดก็คือการศึกษาที่จัดไปในทางให้ไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้จักพระธรรม แม้แต่จะจัดการกีฬา ก็จัดไปเพื่อให้คนเห็นแก่ตัว ในสนามกีฬาที่แข่งขันกันระหว่างชาติระหว่างประเทศนั้นก็มีการชกต่อยกันในหมู่ ในหมู่นักกีฬานั่นเอง ท่านลองคิดดูเถิดว่านักกีฬาที่มีเกียรติมาจากต่างชาติต่างประเทศก็มาชกต่อยกันในสนามกีฬานั่นเอง ทั้งที่พูดว่ากีฬานี้มีไว้เพื่อฝึกหัดความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา แต่แล้วมันก็มาชกต่อยกัน เพราะมันถือเรื่องเกียรติของกู เรื่องชื่อเสียงของประเทศของกูอะไรเหล่านี้ทั้งนั้น นักกีฬาจึงชกต่อยกัน ไม่เหมือนกับนักกีฬาในสมัยที่เขาไม่มีความเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้ แม้อย่างนี้ก็เรียกว่ามนุษย์กำลังกล้าลองดีกับพระธรรมหรือพระเจ้า กำลังทำสงครามกับพระเจ้า อย่าเล่นกีฬา นอนเสียให้สบายที่บ้านดีกว่าเพราะมันไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัว พอลงไปในสนามกีฬามันก็เพิ่มความ เห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างใจก็ชกต่อยกัน อย่างนี้เรียกว่าอย่าเล่นกีฬาชนิดนั้นเสียเลยจะดีกว่า ขืนลงไปเล่นก็มันเป็นการทำสงครามกับพระเจ้าอีกต่อไปอย่างแน่นอน นี่แหละเรียกว่ามนุษย์ทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้าไปเสียหมดทุกหัวระแหง ทุกอย่างทุกทาง
จะดูกันให้ใกล้เข้ามาก็คือเรื่อง เรื่องช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันนี้เขาถือกันว่าเป็นความดี ไอ้เราก็ยอมรับว่าเป็นความดี แต่ว่าการที่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเพื่อเอาเกียรติเอาหน้าอะไรอย่างนี้มันไม่ใช่ความช่วยเหลือที่ถูกต้อง
ทำบุญเอาหน้าแต่อ้างว่าเพื่อพระธรรม ทำบุญเพื่อพระธรรมทำบุญเพื่อพระเจ้าแต่ที่แท้ก็ทำบุญเพื่อเอาหน้าเอาเกียรติของตัว อย่างนี้ก็เรียกว่าทำสงครามกับพระเจ้า
แต่ถ้าว่าช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเพื่อซื้อเขามาเป็นพวกเรา แล้วยกพวกไปข่มเหงผู้อื่น อย่างนี้มันก็ยิ่งเป็นการทำสงครามกันกับพระเจ้า
เพราะฉะนั้นให้ระวังให้ดีๆสำหรับสิ่งที่เรียกกันว่าความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือนี่มันคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นความช่วยเหลือเพื่อเอาหน้าเอาตา หรือเพื่อซื้อคนอื่นมาเป็นพวกของตัวแล้ว ความช่วยเหลือนี้เรียกว่าการทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ พระธรรมไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ ต้องการให้คนเสียสละบริจาคออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ท่านอาจารย์ของเราก็สอนอย่างนี้ ให้เสียสละออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เพื่อซื้อเอาเขามาเป็นพวกเรา เหมือนที่เขาทำกันอยู่ในสมัยนี้ นั้นมันเป็นการสมคบกันทำสงครามกันกับพระเจ้า ขอให้คิดดูให้ดีเถิดว่าคนกำลังทำสงครามกันกับพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร
ทีนี้เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของวัตถุของกิเลสเนื้อหนังมากขึ้นแล้วก็ยิ่งทำสงครามกันกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก ข้อนี้จะรู้ได้ในเรื่องอันเกี่ยวกับจริยธรรมหรือศีลธรรม เดี๋ยวนี้คนหลงใหลในเรื่องลามกอนาจาร ไม่เห็นแก่ศีลธรรมมากขึ้นทุกที แก้ไขกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมเสียใหม่ให้กลายเป็นไม่ลามกอนาจาร
การแต่งเนื้อแต่งตัวซึ่งไม่เคยมีก็มีขึ้นมาในลักษณะที่เรียกว่าคนสมัยโบราณเห็นแล้วก็จะต้องวิ่งหนี มนุษย์หลอกลวงกันเองให้เป็นเครื่องเล่นในทางกามารมณ์แก่กันและกันเองมากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นเครื่องนุ่งห่มของสตรีจึงสั้นเข้าๆ สั้นเข้าทุกปีๆ เพราะว่ามนุษย์ทำสงครามกันกับพระเจ้าในลักษณะอย่างนี้ กล้าลองดีกับพระธรรมอย่างนี้มันก็มีเรื่องวุ่นวายในโลกมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้
ขอให้คิดกันดูเสียใหม่ในทางที่จะไม่ทำสงครามกันกับพระเจ้า การทำสงครามกันกับพระเจ้านั้นมันคือการตบหน้าตัวเอง กล้าทำสงครามกับพระเจ้าเท่าไรมันก็ยิ่งเป็นการตบหน้าตัวเอง เชือดคอตัวเอง ขุดหลุมฝังตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น ขออย่าได้กล้าคิดไปในทำนองที่จะทำสงครามกันกับพระเจ้าหรือพระธรรม ให้คิดเสียใหม่ ให้ถอยหลังกลับมาในทางที่จะเคารพนับถือบูชาพระเจ้าหรือพระธรรม
ท่านอาจารย์ของเราต้องการอย่างนี้ อาตมายืนยันว่าท่านอาจารย์ต้องการอย่างนี้ เมื่อท่านทั้งหลายยังมีความกตัญญูต่อท่านอาจารย์อยู่ก็จงประพฤติกระทำให้ตรงตาม ตามความประสงค์ของท่านอาจารย์ ว่าท่านทั้งหลายอย่าได้กล้าทำตนเป็นคู่สงครามกันกับพระธรรมหรือพระเจ้าเลย จงบูชาพระธรรมในฐานะเป็นสิ่งที่สูงสุด แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็บูชาธรรมเคารพธรรม
จงเห็นแก่ธรรม แล้วจงเป็นอยู่ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การกินอาหารก็ดี การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี การอยู่อาศัยก็ดี ทุกๆอย่างของการเป็นอยู่นั้นให้ประกอบไปด้วยธรรม
การประกอบไปด้วยธรรมนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าให้ดำเนินไปอย่างพอเหมาะพอสม อย่างเรียกว่ากินดีอยู่ดี อย่างนี้เรียกว่าถูกต้องตามธรรมหรือไม่ลองคิดดู ถ้าว่ากินดีอยู่ดีมันเตลิดเปิดเปิงออกไปจนต้องมีเงินใช้ ต้องมีอะไรมากมายเกินไปแล้วมันไม่ถูกตามธรรม
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจงกินอยู่ให้พอดี มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง กินอยู่พอดี ถ้าอย่างนี้มันจะเป็นไปเพื่อธรรม เพื่อพระธรรมตามความประสงค์ของพระเจ้า แต่ถ้าว่ากินดีอยู่ดีขยายออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด จนว่าทุกๆคนจะต้องมีนั่นมีนี่เต็มไปทั้งบ้านทั้งเรือนอย่างนี้แล้วมันก็เป็นการหลอกลวง เป็นการทำสงครามกับพระธรรมด้วยการหลอกลวง หมายความว่าเป็นเหยื่อของกิเลส ตกเป็นทาสเป็นบ่าวของกิเลสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากเกินไป มีอาการที่เรียกว่าหลงใหลมัวเมาในกามคุณหรือในกามารมณ์ ที่เรียกกันว่ากินดีอยู่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นกินอยู่พอดีมันก็ไม่มีทางจะผิดเลย
อาตมากล้ายืนยันว่าท่านอาจารย์ของเราต้องการให้ท่านทั้งหลายทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่าจงกินอยู่พอดี อย่าให้ถึงกับกินดีอยู่ดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่หมายมั่นปั้นมือกัน มีนั่นแล้วจะมีนี่ จะมีตู้เย็นจะมีอะไรเรื่อยขึ้นไปในเรื่องการกินอย่างนี้มันก็คือคนบ้า เพราะว่าทุกคนไม่อาจจะมีอย่างนั้นได้ และขืนไปมีอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องวุ่นวายมากไปกว่าเดิมเพราะว่ามันเกินความจำเป็น
จงมี จงกิน จงใช้ จงแต่งตัว จงอะไรต่างๆเท่าที่เหมาะสมเท่าที่จำเป็นอย่าให้เกินกว่าความจำเป็น แล้วจะเรียกว่าทำถูกตามความประสงค์ของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์มีความประสงค์อย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้าหรือพระธรรม หรือพระเจ้าต้องการให้มนุษย์เป็น ท่านอาจารย์เป็นเพียงสื่อที่ถ่าย ที่รับมอบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือของพระธรรมมาสู่เรา เป็นสื่อระหว่างเรากับพระธรรมหรือพระเจ้า ท่านจึงพูดหรือสอนเหมือนกับพระธรรมต้องการหรือพระพุทธเจ้าต้องการ เราจงเคารพบูชาท่านด้วยการทำตาม ก็ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อท่าน
วันนี้ทุกคนมาด้วยความกตัญญู ถ้ามาด้วยความหวังอย่างอื่นก็เปลี่ยนเสียเถิด จงเปลี่ยนเป็นว่ามาด้วยความกตัญญูต่อท่านอาจารย์ แล้วก็พยายามที่จะทำตนให้สมกับผู้ที่กตัญญูคือรู้ว่าท่านอาจารย์ต้องการอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น ในที่สุดก็จะมาพบกันตรงที่ว่าจะเว้นเสียจากการทำสงครามกับพระธรรม อย่ากล้าลองดีทำสงครามกับพระธรรมเลย จงยอมแพ้แก่พระธรรม จงถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งเป็นสรณะของตน มีความเคารพต่อพระธรรมให้สูงสุดเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทุกองค์เคารพพระธรรมเถิด แล้วบุญกุศลอันใดที่เกิดขึ้นจากการนี้ก็จงพร้อมใจกันอุทิศส่วนกุศลนี้แก่ท่านอาจารย์ เพื่อประโยชน์สมควรแก่คติวิสัยของท่านเป็นลำดับๆไปเทอญ ในที่สุดเราก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอยู่อย่างมีที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นดวงประทีป มีธรรมะเป็นหนทางตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ แล้วเคารพพระธรรมอยู่ทุกทิพาราตรีกาล ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้