แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสธรรมิกสพรหมจารีภิกษุสามเณรทั้งหลาย ผมขอสักการะปฏิสันฐานด้วยการกล่าวธรรมิกถาโดยสมควรแก่โอกาสเพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่มาประชุมกันในสถานที่นี้สืบต่อไป หัวข้อที่จะกล่าวนั้นมีชื่อว่า เพื่อนสธรรมิกสพรหมจารีภิกษุสามเณรทั้งหลาย ผมขอสักการะปฏิสันฐานด้วยการกล่าวธรรมิกถาโดยสมควรแก่โอกาสเพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่มาประชุมกันในสถานที่นี้สืบต่อไป หัวข้อที่จะกล่าวนั้นมีชื่อว่า สถาบันของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่จะกล่าวมีใจความสำคัญในข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ด้วยกันนี่แหละเป็นใจความสำคัญของเรื่องที่จะกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่จะต้องปรารภกันตลอดกาล ตลอดกาลที่ยังเป็นพุทธบริษัทประชุมกันอยู่ตั้งกลุ่มกันอยู่เป็นพุทธบริษัท จะต้องขอพูดโดยใจความนี้เรื่อยๆไป พระพุทธเจ้าอยู่กับเราจริงหรือไม่ เราอยู่กับพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ มันเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือเป็นเรื่องจริงจัง เป็นเรื่องจริงจังที่สมควรแก่ความเป็นสถาบัน ทำอย่างไรเราจึงได้จะได้พบกันกับพระพุทธเจ้า และทำอย่างไรเราจึงจะได้อยู่ด้วยกัน คือว่า ประกอบกิจกรรมร่วมกันนี่คือใจความสำคัญ เราจะมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธรูปอย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องเด็กๆเป็นเรื่องของเด็กๆ
ถ้าจะมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธรูป เราจะต้องมีพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระพุทธเจ้า ใช่จะว่าเป็นบุคคลก็ยังไม่ถูกต้องนัก ก็ต้องเป็นสถาบันคือความเป็นพระพุทธเจ้าความเป็นพระพุทธเจ้าโดยประการทั้งปวง เราอยู่กับพระพุทธเจ้านี่หมายความว่าไม่ใช่เด็กๆเล็กๆ สามเณรตัวน้อยๆมารับใช้พระพุทธเจ้ารับใช้บุคคลที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าเราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วยคุณธรรมที่ถูกฝาถูกตัวกันทั้งสองฝ่าย ถูกฝาถูกตัวกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายสาวกและฝ่ายพระพุทธเจ้า มีคุณธรรมตรงกันจึงจะเรียกว่าอยู่ด้วยกัน ข้อนี้ก็หมายความว่า ทุกคนมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่ชื่อหรือสมัญญานามที่จะเรียกออกมาว่าเป็นอะไร เป็นภิกษุสามเณร กระทั่งว่าแม้แต่จะเป็นอุบาสก อุบาสิกกา ต่ำลงมาหรือจะเป็นพระเถรา พระเถระ มีลักษณะสมกับชื่อด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าอยู่กับเรานี่ฟังดูให้ดีว่าท่านอยู่อย่างไร ท่านอยู่ที่ไหน พวกเด็กๆก็เอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า มันก็ไหว้กราบพระพุทธเจ้าตามประสาเด็กๆ และมันก็เรียกว่าการกระทำของเด็กๆ ไม่ใช่การกระทำอย่างที่พวกเราควรจะกระทำ ที่ว่าเป็นภิกษุสามเณรเป็นพุทธบริษัทจะพึงกระทำจะต้องมีพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยจิตใจ ดำรงอยู่ด้วยจิตใจ มีการเกี่ยวข้องกันประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างเหมาะสมที่สุด
ดังนั้นก็ได้แก่การมีคุณธรรม เอาละ,แม้ที่สุดแต่เราจะเรียกว่าเป็นพิธี เป็นพิธีก็มีพิธีที่สำเร็จประโยชน์ คือเป็นวิธีที่ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่พิธีสักแต่ว่ากระทำ กระทำพอเป็นพิธี เป็นวิธีที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ ดังนั้นเราจึงต้องมีคุณธรรมอย่างที่เรารู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่าเรามีสรณาคมน์ การถึงสรณะที่ถูกต้องแก่พระพุทธเจ้าเรามีศีลคือข้อวัตรปฏิบัติที่กำจัดกิเลสได้ เรามีสมาธิที่จิตที่ตั้งมั่น ที่สำเร็จประโยชน์แก่การกระทำในทางจิต เรามีวิปัสสนาปัญญา มีความรอบรู้ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้ กระทั่งว่าเราจะมีคุณธรรมสูงสุดที่จะขึ้นไปถึงกับเป็นการบรรลุมรรคผลและนิพพาน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในลักษณะที่ว่าเราเหมือนกับเราหรืออยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อยู่กับเรา แม้ที่เป็นส่วนพิธีรีตองเราก็ทำให้มันถูกต้องไม่ใช่ให้เป็นเพียงพิธีรีตอง ถ้าแต่เป็นวิธีที่สำเร็จประโยชน์ในการที่จะประพฤติต่อกันและกัน สรณาคมน์ก็หมายถึงข้อที่มีจิตใจถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ เป็นสรณาคมน์อย่างแท้จริง มีการถึงอย่างแท้จริงมีการถึงที่พึ่งอย่างแท้จริง มีการได้รับที่พึ่งอย่างแท้จริงนี้เป็นส่วนสำคัญเป็นเบื้องต้นแล้วก็มีศีล นั่นคือว่ามีสิกขาบท ปฏิบัติตามภูมิ ตามควร ตามชั้นแก่สถานะของตน มีผู้ที่มีศีลเป็นที่รัก มีศีลเป็นที่พอใจ มีศีลเป็นคุณธรรมอันประกาศได้ทุกเวลา แล้วก็มีอาจารมีโคจรมีการประพฤติมีการกระทำมีที่เที่ยวที่ถูกต้องโดยสมควรแก่ความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะมีสมาธิคือมีจิตที่ตั้งมั่นประกอบด้วยคุณธรรมที่เรียกว่าสมาธิ ซึ่งเป็นเหตุให้บรรลุคุณธรรมอันสูงขึ้นไป
มีสมาธิเป็นเบื้องต้นเป็นรากฐานสำหรับดำเนินให้สูงขึ้นไป ยึดถือเอาสมาธิเป็นตัวสำคัญสำหรับให้สำเร็จประโยชน์ การสำเร็จประโยชน์นั้นมันอยู่ด้วยความที่จิตเป็นสมาธิ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิแล้วก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรมันเป็นเรื่องลมๆแล้งๆเสียมากกว่าการที่จะเป็นเนื้อเป็นตัวของพุทธบริษัทของภิกษุสามเณรก็ตามนี่ มันก็ต้องเป็นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิแหลมคมเหมือนกับสิ่งที่แหลมคมเหมือนกับว่าอุปมาด้วยฉมวกชนักเสียบลงไปบนตัวปลาตักตัวปลาขึ้นมาได้ นั่นแหละเสียบลงไปอย่างนั้นแหละจะต้องมีสมาธิอย่างนั้นแหละเสียบลงไปได้ สำหรับการบรรลุคุณธรรมเป็นมรรคผลนิพพาน เสียบฉมวกเสียบชนักลงไปได้ที่ตัวมรรคผลนิพพานเลยจึงจะมีการบรรลุด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ ซึ่งมีรายละเอียดที่ท่านทั้งหลายก็พอจะเข้าใจกันอยู่ได้ว่ามันมีลำดับขั้นตอนอย่างไร สมาธินี่มันเป็นส่วนสำคัญเป็นวิปัสสนาถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่สำเร็จประโยชน์น่ะ ถ้าว่ามันไม่มีความแหลมคมมันขี้ทื่อก็ได้ วิปัสสนาที่ไม่มีสมาธิเป็นแกนกลางเป็นใจกลางนี่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นทุกคนจะต้องพยายามบำเพ็ญตนให้มีสมาธิโดยสมควรแก่สติฐานะแห่งตนแห่งตน สมาธิจึงจะสำเร็จประโยชน์แก่การที่จะมีวิปัสสนา
ถ้าเรามีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่เรียกว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้ามีสรณาคมน์สมบูรณ์ มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ มีวิปัสสนาสมบูรณ์ ทำได้อย่างนี้เรียกว่ามีการอยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการทำอย่างนี้จะไปเรียกว่าอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ไปเรียกว่าอยู่กับอะไรก็ตามใจ ตามใจใครมันจะเรียก แต่ถ้าจะอยู่กับพระพุทธเจ้าให้สมชื่อสมนาม สมกับความที่เรามีความตั้งใจกระทำกันอยู่จริงๆแล้วมันก็อยู่กับพระพุทธเจ้าด้วยการมีสรณาคมน์มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนา พระพุทธเจ้าก็จะอยู่กับเรา เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูกันให้ดีว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา ฟังดูมันก็ยังกำกวมกันอยู่มาก ที่จริงถ้ามีการกระทำถูกต้องแล้วมันไม่กำกวมมันอยู่กันได้จริงๆ จะให้พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ ให้เราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ไม่เรื่องทำไม่ใช่เรื่องทำเล่นหลอกๆ หลอกลวง ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ คุณธรรมของพระพุทธเจ้าแผ่ซ่านปกคลุมอยู่กับเรา เราก็อยู่ใต้บารมีของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติการกระทำแก่ภูมิแก้ชั้นของตน อย่างนี้จะเรียกได้ทั้งสองอย่างว่าถ้าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้พระพุทธเจ้าอยู่กับเราก็ได้ ไม่เป็นเหมือนกับว่าไปเล่นละคร เอารูปปฏิมามาตั้งก็อย่างหนึ่ง
รูปปฏิมานี่คือรูปแทนพระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ้า รูปแทนเทพารักษ์ รูปแทนอะไรต่างๆ รูปปฏิมามาตั้งเข้าเป็นประธานแล้วก็ทำพิธีรีตองบูชาบวงสรวงอะไรกันต่างๆนานา อย่างนี้ป่วยการเรียก ป่วยการเรียกที่จะเรียกว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา มันเป็นเรื่องที่น่าหัว เป็นเรื่องของเด็กๆหรือยิ่งกว่าเรื่องของเด็กๆ ที่ว่าจะเอารูปปฏิมารูปเจว็ดก็แล้วกันใช้เรียกกันอย่างนั้นน่ะมาแทนพระพุทธรูปทดแทนพระพุทธเจ้า แล้วก็บูชาบวงสรวงกันมันก็เป็นเพียงพิธีรีตอง อย่างนี้ไม่มีทางหรอกที่เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าจะอยู่กับเรา นี้เราจะมีสถาบันของพระพุทธเจ้า เราจะมีสถาบันสถาบันของพระพุทธเจ้า คือมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่อยู่ในจิตใจของเรา ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าสถาบันๆ นั้นยังเข้าใจผิดกันอยู่มากอะไรๆ ก็เป็นสถาบัน ตึกรามบ้านช่องอาคารสถานที่ก็เป็นสถาบัน แม้แต่พระพุทธรูปก็จะเอาเป็นสถาบัน มันกลายเป็นเอาอิฐเอาปูนเป็นสถาบันอย่างนี้ยังไม่ถูกต้องตามความหมาย สถาบันคือสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจน่ะ ขอให้ฟังถูกให้เข้าใจให้เห็นจริงเห็นแจ้งประจักษ์ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าสถาบัน สถาบันนั้นคือสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจไม่ใช่เป็นอิฐเป็นปูน ไม่ใช่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สมมุติอย่างนั้นอย่างนี้ มันต้องเป็นสิ่งจริงเป็นคุณธรรมแท้จริงเป็นตัวธรรมมะแท้จริงที่มีอยู่ในจิตใจจึงจะเรียกว่าสถาบัน สถาบันคำนี้แปลว่าการตั้งอยู่การตั้งอยู่แต่เป็นการตั้งอยู่ในจิตใจแห่งสิ่งที่เป็นคุณธรรมอันแท้จริง
ถ้าว่ามีพระพุทธเจ้าในจิตใจนั่นน่ะจึงจะเป็นสถาบันของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สถาบันของอิฐปูนของไอ้รูปเคารพ แม้จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันก็ต้องเป็นสถาบัน คือมี คือมีอยู่ในจิตใจตั้งอยู่ในจิตใจนี่จึงจะเรียกว่าเป็นสถาบัน สถาบันของพระพุทธเจ้านั้นคือสิ่งที่ตั้งอยู่ในจิตใจคือคุณธรรมที่แท้จริงที่เรียกกันว่าเป็นพระพุทธคุณและเป็นพระพุทธเจ้านะ เป็นองค์สถาบันที่ตั้งอยู่ในจิตใจมันไม่ใช่ตั้งอยู่ตามลำพังของวัตถุนั้นๆนี่เป็นสถาบัน นี่คือความหมายของคำว่าสถาบันซึ่งแปลว่าตั้งอยู่แต่ตั้งอยู่ในจิตใจ ถ้ามันตั้งอยู่กลางดินอย่างนี้ไม่ใช่สถาบันน่ะมันนอนเค้เก็ยู่กลางดิน มันต้องตั้งอยู่ในจิตใจจึงจะเรียกว่าเป็นองค์สถาบัน สถาบันพระพุทธก็ดีตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันพระธรรมก็ดีตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันพระสงฆ์ก็ดีตั้งอยู่ในจิตใจ ตั้งอยู่ในจิตใจจึงจะเป็นองค์สถาบัน เรามีสถาบันของพระพุทธเจ้าก็คือมีสิ่งที่ตั้งอยู่ในจิตใจของเราเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริงเป็นพระธรรมองค์จริง เป็นพระสงฆ์องค์จริงตั้งอยู่ในจิตใจของเรา เราจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่าสถาบันโดยถูกต้อง เดี๋ยวนี้เขามักไปเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาเครื่องหมายเอาอะไรต่างๆนานาแม้แต่ว่าเอาอิฐเอาปูนมาเป็นก็นหินศักดิ์สิทธิ์มาเป็นไอ้เครื่องบูชาบวงสรวงอ้อนวอนก็นับถือเป็นสถาบันนั้นเรายังไม่ไม่ต้องการเราไม่ต้องการ เราต้องการแต่สิ่งที่ตั้งอยู่ได้ในจิตใจและตั้งอยู่ได้จริงๆในจิตใจ อย่างนี้เราจะทำจนกระทั่งว่าสถาบันหรือหัวใจของเราจริงๆตั้งอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็มาตั้งอยู่ในจิตใจของเรานี่จึงจะเป็นสถาบัน
พระพุทธเจ้าอยู่กับเราเพราะเราก็มีสถาบันมีจิตใจของเราตั้งอยู่ในพระพุทธเจ้า เราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็คงมีสถาบันอันแท้จริงของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ในจิตใจของเรา ต่อไปมีคำถามว่าทำอย่างไรพระพุทธเจ้ากับเราจึงจะพบกัน พระพุทธเจ้ากับเราจึงจะอยู่ด้วยกัน เมื่อไรจึงจะพบกันมันก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องสำเร็จประโยชน์ในการที่จะมีปริยัติคือความรู้ที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีปฏิเวธคือการตรัสรู้ตามที่ถูกต้อง มีปฏิยัติมีปฏิบัติมีปฏิเวธที่ถูกต้องมันจึงจะพบกันต้องลงทุนเป็นตามสมควรหรือจะต้องเรียกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก็ได้ ที่จะให้มีสิ่งที่เรียกว่าปริยัติ และก็ปฏิบัติ และก็ปฏิเวธ มีทั้งปฏิยัติทั้งปฏิบัติทั้งปฏิเวธแล้วก็ไม่ต้องสงสัย การอยู่กับพระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่กับเราก็จะเป็นความจริงมันเกิดเป็นสิ่งพิเศษสูงสุดขึ้นมาว่าเป็นการบรรลุมรรคผลและนิพพาน มรรคคือสิ่งที่ตัดกิเลสได้ ผลคือผลของการตัดกิเลสได้ นิพพานคือสภาพสิ้นไปแห่งความทุกข์ มีมรรคมีผลมีนิพพานนี่จึงจะเรียกว่าเป็นสถาบันของพระพุทธเจ้า มรรคผลนิพพานมีอยู่ในจิตใจของเราตั้งมั่นอยู่ในจิตใจของเราจึงจะเรียกว่านี่เป็นสถาบันของพระพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา เราจึงจะพบกันกับพระพุทธเจ้า เรากับพระพุทธเจ้าก็จะมีกันอยู่ด้วยกัน นี่พูดอย่างบุคคลาธิษฐานไปหน่อย พระพุทธเจ้ากับเราพบกัน พระพุทธเจ้ากับเราอยู่ด้วยกัน
พบกันก็หมายถึงสติปัญญาเห็นโดยประจักษ์แจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง พบกันแล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นสติปัญญาที่กลมกลืนกันในการที่จะกำจัดกิเลสแบะความทุกข์ นี่เรียกว่าเราพบกันกับพระพุทธเจ้าหรือเราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่แน่นแฟ้นมั่นคง แข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใดๆ สถาบันนี้เป็นสถาบันของจิตใจ แม้จะเป็นสถาบันแห่งจิตใจก็แข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใดๆ มั่นคงแน่นหนายิ่งกว่าสิ่งใดๆ นี่แหละคือการที่เราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้าในลักษณะที่เป็นสถาบัน เรียกว่าสถาบันของพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็คิดกันดูต่อไปว่าอ้าวเราพบกับพระพุทธเจ้าแล้วอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า เราก็ตั้งปัญหาต่อไปว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีพระพุทธเจ้าเป็นกาลนิรันดร ทำอย่างไรเราจึงจะดับทุกข์ได้เป็นกาลนิรันดร ทำอย่างไรจะมีพระพุทธเจ้านิรันดร ทำอย่างไรจะมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์นิรันดร ทำอย่างไรเราจะดับทุกข์ได้เป็นนิรันดร ข้อนี้หมายความว่าจะต้องบรรลุถึงคุณธรรมอันสูงสุด คุณธรรมที่เป็นพิเศษสูงสุดอย่างที่เรียกว่าพระนิพพาน พระนิพพานมีความว่างจากความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ความไม่มีความทุกข์นี้เรียกว่าว่างจากความทุกข์ว่างจากความทุกข์ สุญญตา สุญญตา แปลว่าความว่างว่างจากความทุกข์ ว่างจากเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ คือว่างจากอารมณ์
สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์นั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าไม่มีเรื่องของอารมณ์แล้วมันก็เป็นเรื่องของการมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอารมณ์นั้นๆ มันก็ไม่ใช่ความว่างเพราะมันยังมีการยึดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ มันมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ ถ้าเรามีจิตว่างจากอารมณ์ได้ก็มันก็เป็นสุญญตา มันก็ว่างจากอารมณ์โดยประการทั้งปวง ก็เป็นพระนิพพานโดยแท้จริง นี่แหละคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นสิ่งที่แท้จริงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ และเป็นความดับทุกข์ได้ มีความว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนนี้มันประดับกิเลส มีความไม่ไม่มีความรู้สึกเป็นอารมณ์ต่อสิ่งใดไม่มีอารมณ์ว่าผู้ใด ไม่มีอารมณ์ว่าใคร ไม่มีอารมณ์ว่าที่ไหน ไม่มีอารมณ์ว่าอย่างไร ไม่มีอารมณ์ว่าเมื่อไร ไม่มีอารมณ์ว่าเท่าไร นี่เรียกว่าไม่มีอารมณ์ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นเรียกว่า พระนิพพานด้วยเหมือนกัน นิพพานเป็นสิ่งที่ไม่มีอารมณ์โดยความหมายสูงสุดที่ว่า อัปปติฏฐังมิได้ตั้งอยู่ อัปปวัตตังมิได้เป็นไป อนารัมมณังมิได้มีอารมณ์ มิใช่มีอารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์ ต่อเมื่อจิตไม่เป็นอารมณ์ ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ที่จิตจะต้องการ และเมื่อนั้นแหละมันจึงจะเรียกว่าไม่มีอารมณ์ นั่นคือเป็นพระนิพพาน เราจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็ได้ มันพูดอย่างเด็กๆพูดไปหน่อยอะไรๆ ก็อยากได้พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
แต่ว่าองค์พระนิพพานแท้จริงนั้นมิใช่อารมณ์มิใช่อารมณ์ไม่มีอารมณ์มิใช่อารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์ ถ้าป็นอารมณ์มันก็เป็นพระนิพพานไม่ได้ ที่จริงแล้วไม่มีอารมณ์ อัปปติฏฐัง อัปปวัตตัง อนารัมมณัง มิได้ตั้งอยู่มิได้เป็นไปและก็ไม่มีอารมณ์ มันเป็นสิ่งสูงสุดที่ใครจะพยายามสังเกตใคร่ครวญคิดนึกดูก็ได้ว่าไม่มีอารมณ์มันคืออะไร ตัวอย่างแบบฝึกหัดง่ายๆอย่างเด็กๆก็ตื่นนอนขึ้นมาไม่มีอารมณ์ทำได้ไหม ตื่นนอนขึ้นมาไม่มีอารมณ์ทำได้ไหม พอตื่นนอนขึ้นมามันก็มีอารมณ์อะไรเข้ามาเสียแล้วเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้นั่นอยากได้นี่ มีอย่างนั้นอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาเสียแล้ว นี่มันมีอารมณ์มาเสียแล้วแต่ยังไม่ทันตื่นนอน ฉะนั้นเราจะฝึกฝนบทเรียนสูงสุดคือพระนิพพานในข้อที่ว่าตื่นขึ้นมาไม่ให้มีอารมณ์ นี่ก็เพราะเตรียมไว้ดีแล้ว มีสมาธิมีวิปัสสนาที่เตรียมไว้ดีแล้วมันจึงจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ไม่มีอารมณ์ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ว่าใครผู้ใดผู้หญิงผู้ชายที่ไหนเมื่อใดอย่างไรเท่าไร อะไรนี่มันมันมันเป็นอารมณ์ไปเสียทั้งหมดอย่างนี้ไม่ไหว ถ้าตื่นขึ้นมาไม่มีอารมณ์อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าไม่มีอารมณ์ จะทำให้เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาได้ตามลำดับ ลำดับที่จะสูงขึ้นไป นี่เรียกว่ามันดับทุกข์ได้เพราะความไม่มีอารมณ์ บทนิยามบทจำกัดความของคำว่าพระนิพพานนั้นมีอยู่ว่าอัปปติฏฐังมิได้ตั้งอยู่ อัปปวัตตังมิได้เป็นไป อนารัมมณังไม่มีอารมณ์
ช่วยจำกันไว้ให้ดี อัปปติฏฐังมันไม่มีอะไรที่ตั้งอยู่เป็นตัวตน อัปปวัตตังไม่มีอะไรที่ต้องเป็นไปด้วยเป็นการจุดหรืออุบัติไม่ต้องเป็นไป แล้วอนารัมมณังไม่มีอารมณ์ในปัจจุบันโดยประการทั้งปวง ไม่มีอารมณ์ในปัจจุบันโดยการทั้งปวงนี้เรียกว่าไม่มีอารมณ์ ทำอย่างนี้แหละจึงจะดับทุกข์ได้ จะดับทุกข์ได้ มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อยู่กับเนื้อกับตัว พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์พระองค์จริง พระองค์จริงที่เป็นคุณธรรมน่ะอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ใช่มีบุคบุคคลหรือร่างบุคคลหรือสันนิฐานตัวแทนแห่งบุคคล นี่จึงจะดับทุกข์ได้ด้วยอำนาจของมีความว่าง ของความไม่มีอารมณ์ไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆเป็นอารมณ์ คำว่าอารมณ์นี้เข้าใจยากลำบาก ภาษาธรรมะภาษาปรัชญาภาษาอภิปรัชญาก็เข้าใจยาก และมันก็ทำยากด้วยการพิสูจน์กันได้ง่ายๆว่าทำจิตไม่ให้มีอารมณ์นี่มันยากง่ายยากง่ายเท่าไร ยากง่ายกี่มากน้อย การที่จะทำจิตไม่ให้มีอารมณ์ตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ทำยากกันกี่มากน้อย มันมีอารมณ์ยังไม่ทันตื่น ตื่นขึ้นมาก็ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้อยู่กับพระนิพพาน ไม่มีพระนิพพานเป็นเพื่อนอยู่ ท่านทั้งหลายเคยปัจเวกคือพิจารณากันโดยแท้จริงอย่างนี้ไหม คือทำการจัดทำจิตไม่ให้มีอารมณ์ ไม่ไม่ให้มีอารมณ์ด้วยประการทั้งปวง อย่างนี้สักครั้งหนึ่งไหม สักครั้งหนึ่งไหม
เดี๋ยวนี้มันไปดูเอาตัวจริงไปดูตัวจริงที่มันมีอยู่ในจิตใจน่ะ ไม่ใช่เอาตัวหนังสือไม่ใช่เอาคัมภีร์ไม่เอาตำราเป็นหลัก เอาตัวจริงเลย เราเอาตัวคนเป็นหลัก เอาตัวจิตเป็นหลัก จิตมีอารมณ์ไหม จิตมีอารมณ์ตั้งแต่เมื่อไร ถ้ามันมีอารมณ์อย่างนี้แล้วมันก็เรียกว่าล้มละลายแล้ว พิจารณาดูโดยปัจเวกว่ามีอารมณ์ไหมมีอารมณ์ไหม หลีกเลี่ยงจากอารมณ์โดยประการทั้งปวง ขอระบุไปยังสิ่งๆหนึ่งซึ่งมีความสำคัญที่สุดที่เรียกว่าระบบประสาท ระบบประสาทก็ที่เราเรียกกันว่าอินทรีย์หรืออารมณ์นั่นแหละระบบประสาท ระบบประสาทสิ่งที่มีชีวิตจิตใจมันมีระบบประสาท ระบบประสาทนี่สำคัญมากมันมีอยู่อย่างลึกลับลี้ลับซ่อนเร้นกลับกลอกหลอกลวง ระบบประสาทมันสำหรับทำความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกๆ ถ้าสรุปรวบยอดก็คือก็รู้สึกทางกาม รู้สึกทางกามอารมณ์ หรือที่เรียกกันตามภาษาบ้านๆว่า sex น่ะ sex ที่ซิกมันด์ ฟรอยด์เรียกว่า sex น่ะนั่นแหละคือกามอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่เกิดไปตามระบบประสาท ระบบประสาทมันละเอียดลึกซึ้งลี้ลับซ่อนเร้นเหลือประมาณมันมีระบบประสาทมันจึงทำให้รู้สึกอารมณ์
คนอยู่ตกอยู่ได้อำนาจใต้วิสัยของระบบประสาทด้วยกันทั้งนั้นแม้แต่สัตว์เดียรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ก็ตกอยู่ในอารมณ์ของระบบประสาท มีการเคลื่อนไหวมีการหวั่นไหวไปตามความรู้สึก แม้แต่จะเป็นใบไม้เป็นต้นไม้เป็นใบไม้นี่ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เดรัจฉานแล้วไม่ต้องพูดถึงคน คนมันก็มีระบบประสาทเช่นเดียวกันกับสัตว์หรือแม้แต่ต้นไม้ต้นใบไม้มันมีระบบประสาท ถ้าไม่รู้สึกอารมณ์มันก็หวั่นไหวไปตามระบบประสาทสิ่งนี้เรียกว่ากาม เพราะว่าถ้าหวั่นไหวมันหวั่นไหวไปตามความใคร่ทั้งนั้น ถ้าไม่มีความใคร่มันไม่หวั่นไหวเพราะมีความใคร่มันยังมีการหวั่นไหว มันมีการหวั่นไหวเขาเรียกว่า ระบบประสาทที่หวั่นไหว เรียกว่ากามหวั่นไหวไปตามกาม กามนี้จำกัดความสั้นๆง่ายๆว่าสิ่งที่มันต้องการ สิ่งที่มันอยากคือสิ่งที่จิตมันอยากนี่คือระบบประสาท แท้จริงคนทุกคนสิ่งที่มีชีวิต สัตว์หรือคน หรือจะหรือคนหรือสัตว์หรือแม้แต่พืชพันธ์ต้นไม้ทั้งหลายมันก็มีระบบประสาท มันก็หวั่นไหวไปตามระบบประสาททั้งนั้น เมื่อหวั่นไหวไปตามระบบประสาทแล้ว ก็เรียกว่ามันมีอารมณ์ มันมีอารมณ์เป็นคำพูดสั้นๆว่ามันมีอารมณ์ ถ้าไม่มีไม่มีอารมณ์มันเป็นพระนิพพาน
ถ้ามันยังหวั่นไหวไปตามอารมณ์หรือตามระบบประสาทอยู่มันก็เป็นวัฏสงสารน่ะ เป็นตัวความทุกข์ มันไม่ใช่พระนิพพานนี่เพราะว่ามันมีอารมณ์ ระวังให้ดีว่ามันตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์หรือจะเรียกว่าอินทรีย์ก็ได้ อินทรีย์ก็ก็ไอ้สิ่งที่ให้เกิดอารมณ์ ทำตามระบบประสาทมีระบบประสาทจึงขอให้ ดูตัวอย่างว่าเด็กๆหนุ่มสาวผู้ใหญ่แก่เถ้าอะไรขึ้นมามันก็มีระบบประสาท มันตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ตามที่ระบบประสาทมันต้องการ เดี๋ยวนี้ทำไมอันธพาลมันจึงเต็มบ้านเต็มเมือง ทำไมอันธพาลมันจึงเป็นเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะว่ามันเพิ่มไอ้คนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของระบบประสาท คือตกอยู่ภายใต้อำนาจของกาม หรือตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เรียกว่า sex นี้มันก็เป็นไปตามระบบประสาทมันก็มีอารมณ์มันก็ไม่ใช่นิพพาน นิพพานจึงทำยังเป็นสิ่งที่ยากและสูงสุดหาทำยาหยอดตาก็จะไม่ได้ เพราะว่ามันมีแต่ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของระบบประสาททั้งหญิงทั้งชายทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนมั่งมีทั้งคนยากจนทั้งแม้แต่สัตว์เดรัจฉานแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ แม้แต่ใบไม้ที่ยังสดอยู่นี่มันก็ยังมีความหวั่นไหวไปได้ตามอารมณ์หรือระบบประสาททำตามที่ระบบประสาทมันระบุให้หรือจะเรียกว่าระบบประสาทหรือกามน่ะมันบังคับมันบีบคั้นหรือพูดมันคำหยาบก็ว่าไสหัวไป ระบบประสาทน่ะมันไสหัวไป กามอารมณ์น่ะมันไสหัวไปมันจึงไปตามอำนาจของระบบประสาท
นี่คือสิ่งสูงสุดยากเย็นที่สุดที่ว่ามันตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ ตกอยู่ภายใต้ของวิสัยที่จะเป็นไปตามอำนาจของอารมณ์ ทุกคน ทุกคน ทุกคน ทุกคน สังเกตดูใครบ้างที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งๆนี้ คือระบบประสาทหรือที่เรียกว่ากามหรือที่เรียกว่า sex ก็คือสิ่งที่จิตปรารถนา ใครบ้างไม่มีจิต ใครบ้างที่มีจิตแล้วไม่ปรารถนาอะไร ถ้าจิตมันปรารถนาอะไรสิ่งนี้ก็เรียกว่าอารมณ์ๆๆทั้งนั้น ดังนั้นไปฝึกฝนฝึกฝนบทเรียนวิเศษประเสริฐที่สุดสูงสุดคือจิตที่ไม่มีอารมณ์ ตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ไม่ให้จิตมีอารมณ์นั่นน่ะมันอยู่กับพระนิพพานพอมีอารมณ์เมื่อไรมันก็ไปอยู่กับวัฏสงสารเมื่อนั้น จิตน่ะไปอยู่กับวัฏสงสารเมื่อนั้น ถ้าสำรวมจิตไว้ได้ไม่มีอารมณ์ ปกครองจิตไว้ได้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องจิตไม่มีอารมณ์มันก็อยู่กับพระนิพพานคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ไม่มีความทุกข์หรืออายตนะพิเศษที่เรียกว่า ตถายตนะ(นาทีที่ 38.27) ไม่มีอารมณ์ไม่มีความทุกข์ใดๆ นี่เป็นได้อย่างนี้ นี้ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักไอ้สิ่งสูงสุด เป็นปัญหาที่สุดอย่างหนึ่งคืออารมณ์ของจิตหรือการที่จิตมันมีอารมณ์ จิตมันมีอารมณ์เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติสูงสุดจะเรียกว่าธรรมชาติยิ่งกว่าธรรมชาติก็ได้เพราะมันเป็นธรรมชาติเต็มที่ที่จะมีอารมณ์แล้วมันจะรู้สึกไปตามระบบอารมณ์
ดังนั้นเราจึงมีอารมณ์ละไปอยู่กันกับอารมณ์ไม่อยู่กับพระนิพพาน เราจึงอยู่กับพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าได้ท่านไม่มีอารมณ์ท่านเป็นพระนิพพานน่ะไม่มีอารมณ์ จิตของพระพุทธเจ้าบรรลุความไม่มีอารมณ์ อัปปติฏฐังไม่ได้ตั้งอยู่ อัปปวัตตังมิได้เป็นไป อนารัมมณังมิใช่อารมณ์ มันไม่มีอารมณ์มันไม่มีอารมณ์ มันตัดต้นเหตุซึ่งคือกิเลสทั้งหลายได้มันจึงไม่มีอารมณ์ ถ้าจิตมันยังมีจิตเป็นความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่มันมีอารมณ์ มันก็จะต้องเป็นไปตามอารมณ์นี้ก็เรียกว่าธรรมดาสามัญที่สุด เมื่อมีอารมณ์แล้วมันก็เป็นไปตามอำนาจแห่งอารมณ์ ขอย้ำอีกทีย้ำอีกนิดย้ำเรื่อยไปก็ได้ว่าจงฝึกฝนบทเรียนที่ว่าตื่นนอนขึ้นมาจิตไม่มีอารมณ์ ฝึกฝนบทเรียน ฝึกฝนบทเรียน บทเรียนที่ว่า ตื่นขึ้นมาไม่จิตไม่มีอารมณ์ เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั้นเมื่อนี้ อะไรน่ะมีอารมณ์ทั้งนั้น ถ้าจิตไม่มีอารมณ์แล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ก็เป็นพระนิพพานท่าน เรียกว่า เอโส อันโต ทุกขัสสะ นั่นแหละคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ อนารัมมณังเอวะตัง นั่นแหละคือความไม่มีอารมณ์ ความไม่มีอารมณ์ ความไม่มีอารมณ์ นี่เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด สูงสุดจนไม่รู้จะสูงกันอย่างไร สูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา หรือจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาทั้งหมดหรือนอกจากพระพุทธศาสนาทั้งหมดออกไปอีกมันก็ไม่มีอะไรสูงสุดไปกว่านี้ ไม่มีอะไรสูงสุดไปแก่ไปกว่าความที่จิตไม่มีอารมณ์ จิตไม่ใช่อารมณ์ จิตไม่มีอารมณ์ จิตมันอบรมดีถึงที่สุดจนจำกัดกิเลสได้ จนไม่มีเหตุอันเป็นที่เกิดแห่งอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์มันก็ไม่มีอารมณ์ได้ นี่จิตไม่มีอารมณ์มันก็คือพระนิพพาน
แต่ธรรมดาจิตแล้วมันต้องการอารมณ์ จิต จิต สิ่งที่เรียกว่าจิตต้องการอารมณ์ยิ่งกว่าสิ่งใด ต้องการมากเหมือนว่าปลาจับขึ้นโยนขึ้นบนบกมันก็จะลงน้ำมันต้องการจะลงน้ำ ปลาจับขึ้นโยนขึ้นไปบนบกมันต้องการจะลงน้ำมันมีอารมณ์มากถึงอย่างนั้น จิตนี้ก็เหมือนกันน่ะ จิตมันเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารนี่มันต้องการอารมณ์ มันต้องการอารมณ์ มันต้องการอารมณ์ มันจึงมีแต่อารมณ์ ตื่นนอนขึ้นมาไม่ทันจะตื่นด้วยซ้ำไปมันก็มีอารมณ์เสียแล้ว มันก็เป็นวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือความมีอารมณ์ เป็นความทุกข์ เดี๋ยวนี้เราจะมีการอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เราอยู่กับพระพุทธเจ้า เราพบกันกับพระพุทธเจ้า เราอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า นี่ใช้คำสมมุตินะว่าเราน่ะเราน่ะ หมายถึงสิ่งสมมุติสิ่งหนึ่งว่าตัวเรา แต่ถ้าจะให้ไม่เป็นสมมุติก็ต้องเรียกว่าจิตที่เฉลียวฉลาดที่รอบคอบถึงที่สุดประกอบด้วยวิชชา วิชชาปัญญา สูงสุดแล้วนี่มันจึงจะมาแทนแทนตัวเรา มาแทนที่แห่งตัวเรา เธอจะมาอยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าจิตทำได้อย่างนั้น จิตฝึกฝนจนไม่มีอารมณ์แล้วน่ะมันก็มาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ได้เหมือนกันน่ะถ้าจิตมันไม่มีอารมณ์
แต่เดี๋ยวนี้ถ้าชื่อว่าถ้าจิตแล้วมันยังมีอารมณ์มันก็เป็นไม่ได้มันก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เราจึงไม่มีสถาบันของพระพุทธเจ้า เรียกว่าสิ่งสูงสุดมั่นคงที่สุดคือสถาบันของพระพุทธเจ้า จะขอพูดว่าพระ ในทีนี้ว่าสถาบันของพระพุทธเจ้าก็คือความถูกต้องของเราเอง ความถูกต้องของเราเอง ความถูกต้องของพระพุทธเจ้านั้นคือจิตที่ไม่มีอารมณ์พูดย้ำไปย้ำมาก็ย้ำอยู่ตรงนี้ กี่ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งแสนครั้งล้านครั้ง ก็ว่าจิตของพระพุทธเจ้าไม่มีอารมณ์ ดังนั้นพระพุทธเจ้าก็คือผู้ที่ไม่มีอารมณ์ พระพุทธเจ้าจึงมีสถาบันที่มั่นคงแน่นแฟ้นแน่นหนาแข็งโก๊กยิ่งกว่าสิ่งใด แข็งโก๊กยิ่งกว่าของแข็งทั้งหลาย ไอ้เพชรที่ว่าแข็งแล้วก็ยังไม่แข็งเท่ากับอารมณ์ ความไม่มีอารมณ์เท่ากับความไม่มีอารมณ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ท่านมีความทุกต้องของท่าน ความถูกต้องของท่านคือความไม่มีอารมณ์ ความถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือความไม่มีอารมณ์ จึงแข็งโก๊กอยู่ในความไม่มีอารมณ์ เป็นความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ไม่มีปัญหาอีกต่อไป ก็คือไม่มีความทุกข์อะไรอีกต่อไป นั่นจึงสิ่งเรียกว่าสิ่งที่ไม่มีตัณหาอีก ไม่มีปัญหาอีกต่อไป พระพุทธเจ้าพระองค์จึงเป็นนิรันดรอย่างนี้ คือมีความแน่นอนเป็นนิรันดร ว่าไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ แล้วก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไปนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า
จะขอใช้คำนิยามว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้องของพระพุทธเจ้าคือธรรมหรือธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า รวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้า สมมุติว่ารวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้าเรียกโดยสมมุติ ที่จริงก็เป็นสักว่าทาสตามธรรมชาติ หรือถ้าว่าจะเป็นทาสก็ไม่ทาสของความไม่ปรุงแต่ง ทาสของความไม่ปรุงแต่งอะไรก็ทาส ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมทาสของพระพุทธเจ้าไม่มีการปรุงแต่งไม่มีอารมณ์ก็ไม่มีความทุกข์ใดๆ นี่คือความเป็นนิรันดร เป็นความเป็นนิรันดรของความไม่มีอารมณ์ไม่ใช่อารมณ์เป็นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเป็นสถาบันอยู่ในองค์พระพุทธเจ้า นี้เราก็ยังมีสถาบันเพิ่มขึ้นในตัวเราให้มีความเป็นสถาบันเพิ่มขึ้นในตัวเราเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ด้วยความไม่มีอารมณ์ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ มีแต่ความถูกต้อง ขอให้สนใจคำพูดเพียงคำเดียวว่าความถูกต้อง ภิกษุ ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา หญิงชายอะไรก็ตามน่ะ ขอให้มีสิ่งสูงสุดคือความถูกต้อง ความถูกต้องพระพุทธเจ้าเรียกในพระบาลีว่าสัมมัตตะ
บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินว่าสัมมัตตะ สัมมัตตะคืออะไรสัมมัตตะ แปลว่าความถูกต้อง คือ สัมมา สัมมา สัมมา สัมมา ประกอบกันสิบคำเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมากัมกัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญานะ สัมมาวิมุตติ นี่สัมมาๆๆ สิบคำประกอบกันเข้าเรียกว่า สัมมัตตะ แปลว่าความถูกต้อง ความถูกต้องนี่จะเอาเป็นองค์พระพุทธเจ้าสมมุติเป็นองค์พระพุทธเจ้าได้โดย โดยถูกต้อง โดยสมบูรณ์ โดยครบถ้วนอีกแหละ องค์พระพุทธเจ้าคือความถูกต้องหรือสัมมัตตะ สัมมัตตะ แปลว่าความถูกต้อง ขอให้ท่านทั้งสาธุชนทั้งหลายทุกคนสนใจในสิ่งที่เรียกว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมายหรือเป็นองค์แทน เป็นสิ่งสมมุติเรียกโดยสมมุติ เครื่องหมายองค์แทน แม้จะเป็นธรรมาธิษฐาน ก็จะเรียกว่าเป็นความถูกต้องหรือสัมมัตตะ สัมมัตตะ นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นพระพุทธเจ้าที่อยู่กับเรา เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้า เราจะพบกับพระพุทธเจ้า เราจะอยู่ด้วยกันกับพระพุทธเจ้า ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสัมมัตตะ สัมมัตตะ และเป็นความดับทุกข์ดับทุกข์สิ้นทุกข์นิรันดรอยู่ในตัวเอง เพราะว่ามันควบคุมสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้ คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือระบบประสาท ให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ที่เรียกว่ากามๆ ควบคุมได้ นั้นก็เลยไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์มันก็เป็นพระนิพพาน เป็นความถูกต้อง
ความถูกต้องของเราก็คือสิ่งที่เรียกว่าพุทธเจ้า คือสิ่งที่เราจะขอเรียกโดยสมมุติว่าพระพุทธเจ้าเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง สัมมัตตะ สัมมัตตะ สัมมัตตะ ของเราเอง นี่ใจความที่ผมจะพูด ธรรมปฏิสันถารเป็นปฏิการในวันนี้แก่ท่านทั้งหลายก็คือ สถาบันของพระพุทธเจ้า สถาบันของพระพุทธเจ้าคืออะไร คือ คืออะไร คืออะไร คืออะไร จนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าคืออะไรเสียแล้ว สถาบันของพระพุทธเจ้าคือความถูกต้องของพระพุทธเจ้า ซึ่งรวมกันอย่างเข้มข้นก็คือความเป็นพระพุทธเจ้า หรือความเป็นพระนิพพาน หรือความไม่มีอารมณ์ ความที่จิตไม่มีอารมณ์ ความที่จิตอบรมดีถึงที่สุดแล้วไม่มีอารมณ์อะไรอีกต่อไป ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็มีความเป็นพระพุทธเจ้า ในตัวพระนิพพานนั้นไม่มีอารมณ์ ไม่เกิดความไม่มีอารมณ์นั้นเป็นตัวในนิพพาน เป็นองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริงสูงสุดโดยประการทั้งปวง เรียกว่าสถาบันของพระพุทธเจ้าซึ่งไม่เหมือนใครซึ่งไม่ ไม่สามารถที่จะถูกกระทำใด ๆ และไม่กระทำแก่สิ่งใด ไม่ถูกกระทำโดยสิ่งใด คือความถูกต้อง ความถูกต้อง เรียกว่าพระนิพพานนี่
เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าจะอยู่กับเราเป็นสิ่งเดียวกับพระนิพพานเราจะพบกับพระพุทธเจ้าหรือเราจะอยู่กันด้วยกันกับพระพุทธเจ้า มันก็คือสิ่งที่เรียกว่าพระนิพพาน ความว่างจากปัญหา ความว่างจากอารมณ์ ว่างจากปัญหา ว่างจากอารมณ์ ว่างจากปัญหา ว่างจากอารมณ์ ว่างจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง ขอให้เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ภิกษุสามเณร อุบาสิก อุบาสิกา ธรรมิกสพรหมจารีทั้งหลาย จงได้สนใจในคำๆนี้ คือคำว่าไม่มีอารมณ์และคำว่าพระนิพพาน ไม่มีอารมณ์ ฝึกฝนการไม่มีอารมณ์ ปฏิบัติให้สำเร็จในการไม่มีอารมณ์แล้วก็คือพระนิพพาน แล้วก็ถือเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติต่อไปอย่าให้จิตโง่เหล่านี้ อย่าให้จิตโง่พวกนี้มันมีความทุกข์อีกต่อไป อย่าให้ไอ้จิตโง่เหล่านี้มันมีความทุกข์ได้อีกต่อไป อย่าให้จิตโง่ โง่ เหล่านี้มันอยากมีความทุกข์ได้อีกต่อไป นี้คือการประพฤตินิพพาน ขอให้มุ่งหมายสิ่งนี้เป็นวัตถุประสงค์ มุ่งหมายของการที่ได้มาศึกษามีการมาศึกษาร่วมกัน มีการปฏิบัติร่วมกัน ได้รับผลของการปฏิบัติร่วมกัน ให้ได้รับผลของการที่จิตสามารถที่จะไม่มีอารมณ์ด้วยกันจงทุกๆท่านทุกๆคนเทอญ ขอยุติการบรรยายในงวดนี้