แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถึงธรรมะ หัวข้อธรรมะ หลักธรรมะใดๆ พูดถึงเรื่องนั่งกลางดินกันก่อนดีกว่า รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจและมองข้ามกันไปเสียหมด เรื่องนั่งกลางดิน เพื่อเป็นเครื่องระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ในที่สุดก็นิพพานกลางดิน นี่ขอให้นึกไว้ในใจอยู่เสมอๆ ผู้ที่เรียนนักธรรมก็สอบสวนดูเอาเองว่า ตามพระพุทธประวัตินั้นมันแสดงชัดอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนี้ เมื่อเป็นกษัตริย์ ในที่สุดก็ยังไปประสูติกลางดิน ที่ลุมพินีใต้ต้นไม้ การศึกษาเล่าเรียน การประสบความสำเร็จในการเรียนของท่าน ก็กลางดินที่ใต้โคนต้นไม้ ที่เราเรียกกันว่าต้นโพธิ์ ไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย เมื่อสอนก็เรียกว่า เที่ยวสอนกลางดิน ไปเที่ยวสอนชาวไร่ชาวนา ยืนพูดกันก็มี โต้ตอบหรือว่าไปสนทนากับเจ้าลัทธิอื่น เดียรถีย์อื่น ในเรื่องมันก็ปรากฏว่ามันกลางดิน
แม้เมื่อท่านจะสอนอยู่ที่วัด ก็นั่งสอนกันกลางดิน เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น ที่อยู่ที่อาศัยของพระนี่มันเป็นพื้นดิน มีเตียง มีตั่งเตี้ยๆ เมื่อลงอุโบสถตามบาลีแท้ๆ ก็นั่งกลางดิน ไม่มีหลังคาด้วยซ้ำไป ฝนตกต้องเลิก นี่ท่านก็อยู่กลางดินก็หมายความว่า อยู่ที่วัดก็กลางดินนะ เพราะว่ากุฏิวิหารมันพื้นดิน ที่ท่านอยู่อย่างพักแรมที่ไหนมันก็กลางดิน แม้จะมีเรื่องว่าพักแรมในโรงหม้อของช่างหม้อ มันก็กลางดินนั่นแหละ ปูเสื่อนอนกลางดิน เมื่ออยู่ก็อยู่กลางดิน อิริยาบถ ดำรงชีวิต ก็ล้วนแต่กลางดิน ในที่สุดก็นิพพาน ก็รู้กันอยู่แล้วว่าอยู่ที่กลางดินที่โคนต้นไม้ ต้นสาละ ที่เอามาปลูกไว้ที่ตรงนั้นนั่นแหละ ต้นสาละ ฉะนั้นขอให้ถือเอาความหมายอันสูงสุดนี้ให้ได้และก็ต้องปฏิบัติด้วย วันนี้จึงมานั่งกันกลางดิน ซึ่งร้ายแต่ฝนตกนะ เราจึงจะไปนั่ง ที่ๆ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่กลางดิน เพื่อให้ได้รู้ว่าไอ้เรื่องดินนะ เรื่องแผ่นดิน มันไม่ได้เป็นของต่ำต้อยตามความรู้สึกของคนทั่วไป
จะดูความหมายอย่างอื่นมันก็ยังมีความหมายอีกเยอะแยะเลย เช่น มันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของสรรพสิ่งที่มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ต้นไร่ สัตว์เดรัจฉาน คน และมันก็ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ฉะนั้นจงให้เกียรติแก่แผ่นดินให้มันมาก ให้มันสมกัน
ฉะนั้นความหมายที่ว่าเป็นธรรมะก็คือ เราเป็นอยู่กันให้ต่ำๆ ให้อยู่กันอย่างต่ำ แล้วการกระทำนั้นให้มันสูง ความคิดให้มันสูง ถ้าอย่างนี้มันก็คือ ป้องกันกิเลส หรือว่าเล่นงานกิเลส ลบกิเลส เป็นอยู่ที่ต่ำๆ แต่ความ การกระทำหรือความคิดมันสูง เหมือนพระพุทธเจ้านะ อะไรๆ ก็กลางดิน แต่ว่างานและผลงานของท่านนั้น มันสูง สูงสุด เรียกว่าสูงที่สุด ฉะนั้นเราทั้งหลายนี้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จงพยายามตามรอยของท่าน เดินตามรอยของท่าน ถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็ขอให้นั่ง นอน บนดินกันบ้าง ทุกโอกาสแหละ ทุกโอกาสที่จะนั่ง นอน อะไรเดิน ยืนบนดินก็เอาเลย ในใจจะได้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเต็มที่ แล้วเราก็จะไม่ประมาท ไม่ลืมตัว ไม่ลืมตัวนั่นแหละสำคัญ ฉะนั้นที่นี่เราจะนั่งกลางดินอย่างนี้กันเสมอ เว้นไว้แต่จำเป็นเท่านั้นแหละ ที่ฝนตก เป็นต้น
ราถือว่าแผ่นดินนี้ กลายเป็นสิ่งสูงสุด มีเกียรติที่สุด เป็นที่นั่ง ที่นอน ที่นิพพานของพระพุทธเจ้า ดังนั้นขอให้เราได้นั่งพูดกันบนที่อันสูงสุด คือดินนี่ แล้วก็พูดกันถึงเรื่องสูงสุด คือธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องสูงสุด มีค่ามากแหละ มีประโยชน์ที่สุด มีค่ามาก มันก็สมกัน เพราะฉะนั้นอย่าได้อิดหนาระอาใจที่จะต้องนั่งกลางดิน แต่กลับพอใจที่ได้นั่งกลางดิน แล้วก็สร้างนิสัยที่จะชอบนั่งกลางดิน อยู่พื้นดินให้มากที่สุดแหละจนกระทั่งเป็นปกตินิสัยคือชอบ ชอบพื้นดินเป็นปกตินิสัย พอนั่งที่ดิน เอามือคลำดิน สัมผัสกับดิน ให้มันถึงจิตใจ แล้วสิ่งต่างๆ มันจะลดต่ำวูบลงไปอยู่ที่ดิน นั่นแหละพอสำหรับเรื่องนั่งกลางดิน เป็นเรื่องแรกที่จะทำความเข้าใจ จะได้หมดมานะทิฐิ หมดความจองหองพองขน หมดความยกตัวยกอะไรกัน อย่างที่เรียกว่าเป็นกิเลสยกหูชูหาง เสียให้มากที่สุด
ทีนี้ก็จะพูดเรื่องที่มีความประสงค์ตรงกันว่าจะพูด คือเรื่องบวชและเรื่องเรียนนี้ เรื่องบวชและเรื่องเรียน บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่า การได้บวชนั้นเป็นเรื่องดีที่สุด หรือเป็นโชคดีที่สุด ขอให้สำนึกตนเองว่า เมื่อๆ จะบวช เมื่อคิดที่จะบวช และเข้ามาบวชนะรู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นโชคดีที่สุดที่ได้บวช แล้วก็จัดการบวชอย่างนี้หรือไม่ ถ้ารู้สึกไม่อย่างนี้แล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาหรอก แต่นี่กลัวว่าไอ้ความรู้สึกอันแรกนี้จะไม่ค่อยมี คิดว่าโดยมากบวชตามประเพณี หรือว่าเขาบังคับให้บวช ถ้าอย่างนี้ละก็ในจิตใจมันจะไม่รู้สึกว่า ไอ้การได้บวชนี่เป็นการดี เป็นการได้ที่ดี เป็นคนมีโชคดี ถ้ายังไม่รู้สึกว่ามันเป็นโชคดี ก็มาคิดกันเสียใหม่เดี๋ยวนี้ ว่าสำหรับเราๆ นี่เป็นโชคดีจริงหรือไม่ ฉะนั้นคำว่าโชคดี ผมหมายความโดยเฉพาะว่า เราได้มีโอกาสทำให้ชีวิตชาติหนึ่งนี้มีค่ามากที่สุด คือได้รับผลมากที่สุด โชคดีที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตชาติหนึ่งนี้ให้มีค่าที่สุด เป็นผลดีที่สุด ที่สุดที่มันจะเป็นไปได้นะ ที่สุดที่จะเป็นไปได้
ถ้าว่ามันเป็นคนโง่เง่าเต่าปูปลา มันไม่รู้ว่าชีวิตมีค่า หรือจะต้องใช้ให้สมกับที่มีค่า ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะไม่ได้คิด เพราะไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมีค่า แล้วจะใช้มันให้มีค่าถึงที่สุด แต่ถ้าเป็นคนที่มีการศึกษา ลืมหูลืมตา มันจะรู้สึกอย่างนั้น แล้วเกิดปัญหาขึ้นว่า เราได้ใช้ให้ชีวิตนี้ มีค่าถึงที่สุดหรือเปล่า ผมเห็นว่าเป็นโชคดีที่สุดที่ได้บวช รวมทั้งผมเองด้วย ไอ้เรื่องของผมนี่เข้าใจว่า พระเณรทั้งหลายก็คงจะรู้กันอยู่บ้างแล้วไม่มากก็น้อย ได้เป็นมาอย่างไร แต่ผมจะบอกในที่นี้ว่า เดี๋ยวนี้รู้สึกอย่างนี้ๆ จริงๆ ว่า ถ้าผมไม่ได้บวช ก็ไม่ ไม่มีโอกาสที่ๆ จะทำให้ชีวิตนี้มีค่ามากเท่ากับได้บวช
คุณเดาเอาเองก็ได้ว่า ถ้าผมไม่บวช ผมก็ไปเป็นไอ้คนธรรมดาคนหนึ่งตามประสาชาวบ้านเขาเป็นกัน ไม่ได้มีโอกาสที่จะรู้อะไรมากมาย ไม่มีโอกาสที่จะได้เผยแผ่ไอ้สิ่งที่มีค่านั้นให้กว้างขวาง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่มนุษย์เรา หรืออะไรๆ หลายอย่างทีเดียวจะไม่ได้เกิดขึ้น
ถ้าพูดอย่างชาตินิยมก็ได้ ก็ว่าจะไม่ได้ทำให้ใครรู้จักบ้านเมืองนี้ คือเมืองไชยานี้ สักกี่คน เดี๋ยวนี้คุณก็พอจะรู้ว่า ทำให้คนในโลกนี้รู้จักคำว่าไชยานี้จำนวนไม่น้อยแหละ ทั้งในประเทศ ทั้งนอกประเทศ แล้วจะไม่รู้สึกว่ามีโชคดีอย่างไร ถ้าคน ถ้าคุณจะเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ ไม่ใช่โชคดี หรือไม่ใช่มีค่าแล้ว ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน เพราะผมต้องการจะพูดในทำนองว่า ขอให้ทุกคนทำชีวิตให้มีค่า ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งเราคนจนๆ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ รวมทั้งผมด้วย มันไม่มีทุนรอนอะไรที่จะไปเรียนเมืองนอกเมืองนากับเขา ไม่มีความรู้ ไม่มีเกียรติเหมือนเขา แต่เราก็ทำได้ ให้ๆ มันดีกว่าเขาด้วยซ้ำไป ทั้งที่เราไม่มีเงิน ไม่มีทุน โดยเราอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ใช้คำเรียกๆ รวมๆ กันว่า บารมีของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ทำให้เกิดมีการบวช มีประเพณีการบวช มีอะไรในเมืองไทย หรือทั่วๆ ไปก็ได้ ให้มีการบวช ครั้นคนได้บวชแล้วก็สามารถที่เรียนรู้ และมีสิ่งที่มีค่าที่สุด มีค่าดีกว่าที่ไอ้คนที่ร่ำรวย หรือมีเกียรติมีอำนาจมันจะทำได้เสียอีก
แล้วเราจะเห็นได้ว่า พระราชา มหากษัตริย์ เศรษฐีมหาศาล คหบดีมหาศาล คหบดีมหาศาล เขาก็เคารพภิกษุที่มีคุณธรรม โดยถือว่าดีกว่า สูงกว่า ไอ้คนเหล่านั้น ฉะนั้นเราอาศัยการบวชเป็นการยกตัวเองขึ้นอยู่ในสถานะที่สูงกว่า ดีกว่า มีประโยชน์กว่าไอ้คนที่ร่ำรวยเหล่านั้น จึงกล่าวสรุปว่ามันเป็นโชคดี เป็นการทำให้ชีวิตมีๆ ค่า ชีวิตได้มาเหมือนๆ กันทุกคนแหละ ชีวิตหนึ่งด้วยกันทุกคน แต่บางคนมันรู้จักมีค่าน้อยมาก ก็เรียกว่า ก็จะไม่คุ้มค่าข้าวสุกก็ได้ เราไม่อยู่ในพวกนั้น มันต้องมีประโยชน์เกินค่า อย่าว่าแต่ค่าข้าวสุกเลย ค่าอะไรอีกมากมายแหละ มากกว่านั้นเราก็มีประโยชน์ เกินค่า คุ้มค่า มันก็หมดปัญหาแหละ คือมันไม่มีช่องทางที่ว่าใครจะมาติเตียน ว่าไอ้คนนี้มันเกิดมาทีหนึ่งมันเสียชาติเกิด มันมีอะไรไม่คุ้มค่าที่ได้เกิดมา เพื่อจะแก้ปัญหาอันนี้ ขจัดปัญหาอันนี้ออกไป
เราก็มีวิธีทำ มีวิธีทำให้เรามันมีชีวิตที่มีค่า คนอื่นอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นประมาณแหละ อย่าไปเอาคนภายนอกเป็นหลักนะ เอาความจริงเป็นหลัก ไอ้เรามันมีค่ามีอะไรที่แท้จริง คนภายนอกเขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามใจเขา แต่ส่วนใหญ่มันรู้กันทั้งนั้นแหละ มันปิดไม่มิดหรอกถ้ามันดีจริงอะไรจริง
นี่ก็พูดอีกทีว่าเรา พวกเราคนจนๆ ด้วยกัน ยังมีทางที่จะยกตนให้ขึ้นสู่สถานะที่สูงสุด ที่คนมั่งมีโดยมากกระทำไม่ได้ ที่คนมั่งมีจำนวนมากมันก็ทำไม่ได้ ไอ้เราคนจนๆ นะทำได้ ทำอะไรให้มีขึ้นมาได้ มันๆ ไม่ใช่ๆ ว่าเรื่องเงินอย่างเดียวมันจะสำเร็จ อย่าไปคิดอย่างนั้น มันต้องมีเรื่องดีจริง ดีแท้ ของไอ้ความดี ทำดี พูดดี คิดดี ทำประโยชน์ดี คือแจกความดี แจกความดีให้ผู้อื่นสำคัญมาก มันก็ทำได้ แล้วผมก็ยังคิดว่าทุกคนทำได้ ถ้าๆ ต้องการจะทำ นี่กลัวว่าไม่ต้องการจะทำ เพราะไม่รู้ว่าทำได้เลยก็ได้ เพราะไม่เห็นหนทางที่จะทำได้ก็ได้ แต่ความจริงนั่นนะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ และมีหนทางที่จะทำด้วยกันทุกคน
คนเป็นลูกชาวนา เรียนแค่ๆ ป.๔ มันก็เป็นใหญ่เป็นโตได้ โดยอาศัยผ่านทางการบวช นี่ไม่ใช่เรียกว่าทุจริต ไม่ใช่ทุจริตหรอก เพราะว่ามันมีๆ มีทางอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่เป็นวิธีทุจริต ไม่ใช่ว่าอาศัยผ้าเหลืองหากิน ไม่ใช่ แต่มันเป็นโอกาสที่จะเล่าเรียนได้สำหรับประชาชนคนจน อย่างเดี๋ยวนี้เขาก็มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ ควรจะสนใจกันบ้าง หมายมั่นปั้นมือที่จะได้เข้าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นพระธรรมดาๆ ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไรมากมาย เรียนให้จบวิชาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ขนาดนี้ก็เรียกว่าสามารถพอตัวที่จะทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ รวมทั้งตัวเองด้วยแหละ เพื่อยกตัวเองขึ้นมาได้ พ้นจากไอ้ความไม่มีค่า เป็นคนจนมันก็เกิดกลางดิน แล้วมันก็งอกงามๆ ขึ้นไปบนฟ้าแหละ ขึ้นไปบนฟ้า นี่ทุกคนทำได้แหละ มีคนทำได้มาเยอะแยะหมดแล้ว
ก่อนนี้เขาก็อาศัยเรียนบาลี ป.๖ ประโยค ๖ แล้วก็ไปเข้าสอบเข้าธรรมศาสตร์ เป็นใหญ่เป็นโตกันเยอะแยะ เต็มไปหมดเมื่อแรกมีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดี๋ยวนี้ก็มีมหาวิทยาลัยสงฆ์จึงสามารถจะเรียนได้ และได้รับเกียรติซึ่งๆ มันเป็นเครื่องหมายนะ เราไม่หลงเกียรตินะ แต่ว่ามันเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า มันรู้อะไรสักเท่าไร อย่างไม่ต้องก็มีเกียรติเป็นปริญญาตรี แม้ว่าที่แล้วมาทางรัฐบาลก็ไม่ๆ ยอมรับฐานะ แต่เดี๋ยวๆ นี้มันกำลังจะยอมรับฐานะอยู่ในเร็วๆ นี้ แต่ข้อนี้มันไม่สำคัญหรอก อยากจะๆ รับหรือไม่รับฐานะนั่น เรามีความรู้ก็แล้วกัน เรามีความรู้ชนิดที่ทำอะไรให้ๆ คนทั้งหลายเขาได้รับประโยชน์ก็แล้วกัน ผมก็ไม่ได้รับปริญญา สอบไล่อะไรกับเขาได้ แต่ก็ทำประโยชน์มากกว่า มากกว่าคนที่ได้รับปริญญาในบางสิ่งบางอย่างเสียอีก
ที่นี่คุณก็เหมือนกันแหละ ถ้าไม่เหลวไหล ไม่เหลวไหล ถ้าไม่งมงายจนไม่รู้จัก งมงายจนไม่รู้จักค่าของชีวิต คุณก็พยายามเล่าเรียนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนอยู่ในฐานะที่บำเพ็ญประโยชน์ได้สูงสุด ยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดา นี่เรียกว่า เพื่อจะมีความเจริญทางโลกตามที่เขาสมมุตินิยมกัน มันก็มีทางทำได้ ถ้าเราไม่เหลวไหลอย่างเดียว ถ้าเรายอมรับสถานะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเขา เหมือนๆๆ เหมือนเพื่อนกันนะ เราทำได้ ถ้าเราไม่ต้องการชนิดนั้น เราก็มีทางไปฝ่ายธรรมะ ศึกษาเล่าเรียนให้รู้ ปฏิบัติธรรมะ มีความสูงไปในทางธรรมะ ทางด้านจิตใจที่เรียกว่า ไปในฝ่ายศาสนา ฝ่ายมรรคผลนิพพานมันก็ทำได้ และถ้าทำได้
คุณคิดดูนะ มันก็อยู่ในฐานะสูงสุดอย่างยิ่ง สูงสุดอย่างยิ่งขึ้นไปอีกนู่น ยังจะอีกกว่าชนิดเรียนรู้มีปริญญาไปเสียอีก ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้เป็นพระอริยบุคคล นั่นแหละมันมีเกียรติสูงไปกว่าเรื่องชาวบ้าน เรียนเรียนมีปริญญา แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ แล้วก็เหมาะสม แม้คนยากจนเกิดมาในตระกูลที่ยากจน ไอ้โลกุตรทรัพย์ อย่างนี้เขาเรียกว่าโลกุตรทรัพย์ ทรัพย์ฝ่ายโลกุตระ มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า เรามีไว้สำหรับทุกคนหรือเรามอบให้แก่ทุกคน อย่างนี้เราไม่เลือกนะ ไม่เลือกว่าคนมั่งมียากจน อะ อะไร ไม่ ไม่เลือก ขอให้เป็นคนปกติธรรมดา ก็สามารถจะบรรลุธรรมอันสูงสุดในฝ่ายจิตใจได้ นี่มันเห็นอยู่ชัดๆ นี่เรา ถ้าต้องการฝ่ายไหนก็ยังได้ ประโยชน์สูงสุดทางฝ่ายโลกก็ได้ ประโยชน์สูงสุดทางฝ่ายธรรม ธรรมะนะ ทางจิตใจก็ได้ นี่เราอาจจะทำได้
ทีนี้ขอให้มองให้เห็นว่าในชั้นพื้นฐานทั่วไปนั้นนะ มันโชคดีแล้วที่ได้เกิดมา ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันโชคดีแล้ว ทีนี้มันก็โชคดีต่อไป ในการที่ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นโอกาสเป็นช่องทางให้เราได้ใช้ชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์ที่สุด พูดอย่างอุปมา มันก็ๆ น่าฟังเหมือนกันแหละ แต่บางทีมันก็จะหยาบคายไปบ้างก็ได้ คือมันๆ มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่บนหัวคน การบวชของเรานั้นนะ มันเป็นโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่บนหัวคน ทุกคน ในบ้าน ในเมือง ในโลก เพราะการบวช ถ้าไม่มีการบวชจำนวนมาก คนจำนวนมากไม่มีโอกาสแหละ ที่จะขึ้นไปอยู่บนหัวคน คราวนี้ก็บวชนี้ก็เพื่อให้มันมีสถานะเลื่อนขึ้นไปอยู่บนหัวคนทุกคนนะ คือคนทุกคน คือโชคดีที่สุดของคนเรา ของคนอย่างเราๆ
แต่มันก็มีข้อเท็จจริงที่จำกัดอยู่เหมือนกันแหละ คือมันไม่ใช่สักแต่ว่าบวชๆ มันต้องให้เป็นการที่กล่าวได้ว่า มันบวชจริง มันบวชจริง มันเป็นบวชจริงๆ มันเป็นการบวชจริงๆ แล้วมันก็เรียนจริงๆ เรียนจริงๆ เรียนจริงๆ แล้วมันก็รู้ๆ จริง รู้จริง แล้วมันก็ปฏิบัติๆๆ จริง ปฏิบัติจริง แล้วมันก็สอนๆ เข้าไป สอนผู้อื่นไป สอนจริง สอนจริง เผยแผ่จริง ที่จริงมันเป็นเรื่องที่น่าสนุก และมีความสนุกอยู่ในนั้นสำหรับผู้มีสติปัญญา ยกเว้นคนโง่คือคนไม่เอาถ่าน ฉะนั้นขอให้บวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง สั่งสอนเผยแผ่ต่อไปจริงๆ นะ ผมยึดถือหลักนี้ และไม่ใช่ดีแต่ชักชวนผู้อื่น ผมก็ถือหลักอย่างนี้สำหรับตัวเองตลอดเวลา ที่เรียกว่าเดี๋ยวนี้ห้าสิบกว่าปีที่บวช พยายามปรับปรุงให้มีการบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง สอนจริงๆ ช่วยเหลือกันจริงๆ มันจึงมีผลเกิดขึ้นอย่างที่เห็นๆ อยู่ อย่าเข้าใจว่าเป็นบุคคลพิเศษ ให้รู้มันว่าเป็นบุคคลธรรมดาเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่ามันบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง สอนจริง มุ่งทำประโยชน์จริงนะ มันก็ดูในที่สุดคล้ายกับเป็นคนพิเศษ หรืออัจฉริยะมนุษย์ไป แต่เปล่าๆ เลย มันไม่ได้เป็นอัจฉริยะเยอะอะไรที่ไหน มันอยู่ที่จริง มันอานุภาพของความจริง ของพระพุทธเจ้า ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
ฉะนั้นขอให้เรามีจริงตัวเดียวแหละ จริงคำเดียว แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะอยู่ในๆ กำมือของเรา อยู่ในอ้อมความสามารถของเรา เราทำได้ มีจริงคำเดียว จำไว้ แล้วไปแจกรูปเป็นว่า บวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนจริง ช่วยเขาจริงๆ เรียนจริง บวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง สอนจริง ช่วยเขาจริงๆ มีอยู่ ๖ จริง เอาไปเป็นเครื่อง เครื่องรางๆ แขวนไว้สำหรับความเจริญรุ่งเรืองในความเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นเครื่องรางจริง ไม่ใช่เครื่องรางหลอกๆ เหมือนที่เขาแขวนกันโดยมาก แล้วก็ไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้นมาในทางที่แท้จริง กลายเป็นเรื่องเล่นๆ หลอกๆ ไปเสียหมด
นี่ผมรู้สึกกับตัวเองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุดที่ผมควรจะพูดให้พวกคุณฟัง ถ้าผมมีเรื่องอะไรที่ดีที่สุด มีค่าที่สุด เหมาะสมที่สุดที่จะพูดให้คุณฟังเหรอ ผมก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ ที่ควรพูดให้คุณทุกองค์แหละฟัง และก็ขอให้ช่วยฟัง ช่วยฟัง แล้วไม่ใช่ฟังแล้วก็เลิกกัน ให้มันติดอยู่ในใจ เอาไปคิดไปนึกให้เห็นตามที่เป็นจริง ครั้นเห็นตามที่เป็นจริงแล้วก็ทำ ก็ลงมือทำ ก็ทำไป คือปฏิบัติแหละ มันก็ได้ผลตามที่ว่า เพราะว่าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง แล้วไม่เหลือวิสัยของคนเราที่จะทำได้ ไม่เหลือวิสัยของคนเราโดยเฉพาะที่เป็นคนไทยนะ มีเลือกเนื้อเชื้อไขที่นับถือพุทธศาสนามาแต่กาลก่อน มันก็ต้องทำได้ ถ้าผมไม่ได้พูดเรื่องนี้นะ ผมรู้สึกว่ายังบกพร่อง ที่ไม่ได้พูดเรื่องสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดให้เพื่อนมนุษย์กันฟังนี่ อย่างนี้มันก็รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ดีที่สุด ได้พูดเรื่องที่ควรพูดที่สุดให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันฟัง โดยเฉพาะเพื่อนสหธรรมมิตร
ช่วยจำกันไว้ให้ดีๆ ว่าคำว่า สหธรรมมิตร หมายความว่าเพื่อนนักบวชด้วยกันนะ ภิกษุสามเณรด้วยกันนะเป็นสหธรรมมิตร ในระดับเดียวกันเรียกว่าสหธรรมมิตร ไอ้ชาวบ้านเขาก็ประพฤติธรรมเหมือนกันแหละ แต่มันอยู่อีกระดับหนึ่ง ก็เรียกว่าสหธรรมมิตรอีกระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราพูดไว้กลางๆ เฉยๆ ว่าสหธรรมมิตรแล้วก็หมายถึง เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน ทั้งภิกษุ ทั้งสามเณร ถ้าเป็นอย่างก่อนก็เป็นภิกษุณีด้วย ผมก็ได้พูดเรื่องที่ควรจะพูดให้ฟังแล้ว สรุปอยู่ที่ว่า ไอ้การได้บวชนี้ คือเป็นโชคดีที่สุด โอกาสดีที่สุดที่เราจะได้ใช้ความเป็นมนุษย์ของเราให้เต็มที่ ถ้าเราไม่ได้บวช อย่างเราๆ นี่มันอาจจะใช้ไม่ได้เต็มที่ เพราะว่าเราๆ ยากจน ถ้าเป็นฆราวาสต้องทำมาหากิน จะเอาเวลาไหนมาศึกษาธรรมะให้สูงสุดได้ ทีนี้การได้บวชนี่ มันเป็นช่องโอกาสที่ออกมาสู่ที่โล่ง ที่อิสระสำหรับจะยกตัวเองให้มันขึ้นสู่ระดับสูงสุดไม่มีอะไรข้องขัด ไม่เหมือนฆราวาส ฉะนั้นจึงขอให้ทุกคนสนใจมองเรื่องนี้ อย่าให้พลาดโอกาสนี้ อย่าผลัดเพี้ยนว่าเอาชาติหน้า ยกไปไว้ชาติหน้า อย่านี้ไม่ได้หลอก อย่าๆ พูดเลยเดี๋ยวมันหยาบคาย ไม่ๆ ควรที่จะผลัดไว้ชาติหน้าถึงค่อยเอาค่อยทำ ชาตินี้ที่มันได้เกิดมาแล้ว และมันมีโอกาสให้แล้วนี้ ก็รีบทำ รีบทำ มีแต่ดีทั้งนั้นแหละ จะถึงที่สุดหรือไม่ มันก็จะยังมีแต่ดีๆๆๆ เรื่อยไป หรือมันจะถึงที่สุดความสามารถของเราแล้ว ก็เรียกว่าถึงที่สุดเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้ฉวยโอกาส
ถ้าที่แล้วมา มันบวชโดยไม่รู้ความมุ่งหมาย บวชโดยไม่รู้จักการบวชเพราะบวชตามประเพณี หรือว่าถูกบังคับ ถูกล่อ ถูกชักชวนตามประเพณี ก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวนี้มันมารู้แล้วว่ามันต้องทำอย่างไร ถึงผมเองก็บวชตามประเพณี ตกลงกันว่าจะบวชสักสามเดือน แล้วกลับออกไปทำอะไรต่อไปตามเดิม นี่ตั้งใจอยู่ว่าจะบวชสามเดือนตามประเพณี แล้วมันก็กลายเป็นเดี๋ยวนี้ มาตั้งประเพณีใหม่กันดีกว่า ถ้าบวชให้นานที่สุดเท่าที่เราจะนานได้ เท่าที่เราจะทำประโยชน์ได้ ไม่จำกัดเวลานะ ไม่จำกัดเวลาวันเดือนปีอะไรกัน บวชให้มันยาวนานเพื่อจะได้ทำประโยชน์อานิสงส์ให้มากที่สุด แล้วเมื่ออย่างนั้นก็ต้องบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง สอนจริง อะไรจริงอย่างที่ว่ามาแล้ว
ประโยชน์ของการบวชนี่ผมพูดทุกคราวที่มีการบวชแหละ แต่ว่าบางๆ องค์อาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ ว่าให้มันได้ประโยชน์แก่ตัวเราเอง ให้ได้ประโยชน์แก่บิดามารดา ญาติทั้งหลาย และให้ได้ประโยชน์แก่ศาสนา หรือแก่มนุษย์ทั้งโลก ถ้าฟังแล้ว ฟังเข้าใจแล้ว มันก็ถึงจะเรียกว่า หัวลุก ขนหัวลุก พองโต หรือมันเป็นประโยชน์มหาศาลจริงๆ
ต่อตัวเอง
ไอ้เราเองนี่มันก็ได้ประโยชน์สูงสุดเพราะการบวช เพราะรู้ธรรมะ เพราะปฏิบัติธรรมะ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เพราะการบวช ถ้าไม่บวชมันไม่ได้ ยังไม่ได้ปะ ยังไม่ได้รู้ธรรมะโดยการปฏิบัติ เพียงแต่รู้หนังสือ อ่านหนังสือ ไม่พอ ถ้าบวชแล้วปฏิบัติ เมื่อรู้จากการปฏิบัติ เป็นผลการปฏิบัติ โอ้, มันถึงตัวธรรมะ มันเปลี่ยนชีวิตจิตใจหมดแหละ เปลี่ยนจากเป็นคนมีความทุกข์ มาเป็นคนไม่มีความทุกข์นะ จากไอ้ที่มันเป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส มันก็เป็นคนที่บาง มีกิเลสเบาบางจนกระทั่งว่า ถ้ามันหมดกิเลสได้ก็เป็นการดีอย่างนี้ ไอ้ส่วนตัวเราเองผู้บวชนี่ได้ดีที่สุด ที่มนุษย์มันจะดีกันได้
ต่อผู้มีพระคุณ
ทีนี้ประโยชน์ที่ ๒ ก็คือว่า เพื่อประโยชน์แก่ผู้มีพระคุณคือ ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น เราอยากตอบแทนพระคุณญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น ไม่มีอะไรดีกว่าการบวชของเรา ซึ่งทำให้ท่านเหล่านั้นใกล้ชิดธรรมะมากขึ้น เขาเรียกกันว่าให้เป็นญาติในพระศาสนา พูดชัดๆ ตรงๆ ก็ว่าการบวชของเรานี้ ทำให้ญาติ มีบิดามารดา เป็นต้น มาเกี่ยวข้องกับพระศาสนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน มากขึ้นกว่าเดิม มาเกี่ยวข้องยิ่งๆ ขึ้นไป จนธรรมะนั้นมันครอบงำเอาบิดามารดาของเราให้กลายเป็นผู้รู้ธรรมะ มีธรรมอย่างสูงสุดไปด้วยนี่แหละสำคัญมากนะ เพราะธรรมดาบิดามารดาไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนา แต่ถ้าลูกมันบวช โอ้ย, มันเข้ามาทันทีแหละ โดยประเพณีก่อนๆ ก็ได้ ฉะนั้นเข้ามาใกล้ชิดพระศาสนามากขึ้น ไอ้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนานั่นแหละมันศักดิ์สิทธิ์นัก มันครอบงำเอาบิดามารดา ดึงเข้ามาสู่ศาสนายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน และถ้าเรามีความตั้งใจ เจตนาด้วยแล้วก็ยิ่งแรง ยิ่งเร็วขึ้น ยิ่งเร็วขึ้น เราจงมีเจตนา ตั้งใจที่จะดึงลากบิดามารดาเข้ามาสู่ทางของพระศาสนานี่แรงหนึ่งด้วย อย่าให้เพียงแต่พระธรรมในพระศาสนาดึงอย่างเดียว เรานี่แหละเจตนาดึงด้วย หาโอกาสดึงด้วย ที่เขาเรียกกันว่า โปรดบิดามารดานั่นแหละมันสำเร็จกันตอนนี้ การแทน ทดแทนพระคุณอย่างอื่นไม่มีอะไรสาสม อย่างเพลงเด็กๆ ร้อง เด็กๆ มันร้องว่าแม้แต่ค่าน้ำนมหยดเดียวก็ไม่คุ้ม ไม่ๆ สมกัน แต่ถ้าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง อะไรจริงอย่างที่ว่าแล้ว มันเกิน เกินค่า เรียกว่ามันสมกัน มันเกินค่า นี่ๆ มันก็น่าคิดนะ ถ้าเราเป็นคนกตัญญู เมื่อเราไม่มีทางอย่างอื่นจะตอบแทนได้จริง เราก็เลือกเอาทางนี้แหละ ซึ่งมันเป็นการตอบแทนได้จริง มันก็ได้จริง เราก็เป็นคนกตัญญู บวชจริง เรียนจริงอะไรเพื่อบิดามารดา
ต่อพระศาสนาและเป็นที่พึ่งของชาวโลก
ทีนี้ข้อที่ ๓ ข้อสุดท้ายก็ว่าเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาเอง นี่ก็หมายถึงว่าสืบอายุพระศาสนาเอาไว้ ศาสนาก็เป็นสังขารธรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกันแหละ มีเหตุมีปัจจัย อยู่ได้ด้วยเหตุด้วยปัจจัย ขาดเหตุขาดปัจจัยเมื่อไรมันก็สูญสลาย แม้แต่สิ้นเรียกพระศาสนา ดังนั้นเราจึงพยายามกระทำเหตุปัจจัยที่ให้พระศาสนานี้ยังอยู่ คือ บวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริงของเรานี้ มันก็มีศาสนาอยู่แหละ ศาสนาในรูปของการเรียน ศาสนาในรูปของการปฏิบัติ ศาสนาในรูปของการรับผลของการปฏิบัติเพื่อเผยแผ่ต่อไป ศาสนาอยู่ได้ ไม่สูญหายไปเพราะเหตุนี้ ฉะนั้นการบวชของเราเป็นการทำให้ศาสนายังมีอยู่ในโลก กี่พันปีก็ตามใจ ถ้ามีคนบวชจริง เรียนจริงอยู่อย่างนี้แล้วมันก็หลายหมื่นปี หลายแสนปีก็ได้ มันยังอยู่ในโลก เมื่อศาสนามันมีอยู่ในโลก ทุกคนในโลกมันได้รับประโยชน์ ดังนั้นมันจึงเท่ากับทำประโยชน์ให้แก่คนทุกคนในโลก โดยการมีศาสนาไว้ให้เขา และเราทำให้เขาได้รับความรู้เรื่องศาสนานี้ก่อน แล้วที่เขารู้ๆ กันอยู่มันไม่แจ่มแจ้ง ไม่เข้าใจ เราก็ทำให้เขารู้ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่รู้อย่างงมๆ ซึ่งเราก็ได้ปรับปรุงกันกระมังในข้อนี้
แม้แต่สวดมนต์เราก็ต้องให้รู้ความหมาย เราก็มีแปล ทีนี้ความหมายของคำที่ลึกๆ เรื่องลึกๆ ทุกเรื่อง เรื่องปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา มรรคผลนิพพาน เราก็พยายามที่จะอธิบายให้เข้าใจให้จนได้ นี่แหละเรียกว่า เราเพิ่มปัจจัย เพิ่มเหตุเพิ่มปัจจัยให้แก่ความมั่งคงของพระศาสนา นี่ถ้าเราทำอย่างนี้ เราทำให้ประชาชนได้พบกับพระศาสนา แล้วให้เขาได้รู้ ได้เข้าใจ แล้วให้เขาได้เอาไปปฏิบัติ ใช้ให้สำเร็จประโยชน์ อยู่กันเป็นผาสุก ทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก นี่เรียกว่า อานิสงส์ที่ ๓ เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา สำหรับเป็นที่พึ่งแก่ชาวโลก
ถ้าพิจารณาดูแล้ว ๓ แหละ ๓ ข้อเท่านี้พอ เกินพอ สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการบวช เราเองก็ได้รับสูงสุด บิดามารดา ญาติทั้งหลายของเราก็พลอยได้รับสูงสุด สัตว์โลก หรือพระศาสนาเองนั้นก็ได้รับ คือมีอยู่ตลอดไป ถ้ามองเห็นอย่างนี้ มันก็รู้สึกกำลัง กำลังใจ กำลังศรัทธาขึ้นมา มันก็อยู่ไปได้ กิเลสก็ไม่รบกวน พญามารก็มาดึงเอาไปไม่ได้ ไม่มีพญามารไหนจะมาดึงไอ้คนที่มันรู้สึกอยู่อย่างนี้ออกไปได้ ไอ้ๆ เรื่องที่เรียกว่าผ้าเหลืองร้อน ผ้าเหลืองร้อนนั้นมันก็ไม่มี มันก็ไม่มีแก่ไอ้คนชนิดนี้ มันก็กลายเป็นผ้าเหลืองเย็น คือ บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง รู้จริง สนุกไปเลย สนุกไปเลย เป็นสุขและสนุกไปในการบวชการเรียนนี้ แล้วไปมองดูที่ผล มันมหาศาลเหลือเกิน
ฉะนั้นทีแรก คำพูดทีแรกที่ว่า ประโยชน์และอานิสงส์ของการบวชนั่น มองกันอย่างไร มองกันอย่างไร คือมองกันอย่างนี้ แล้วเราก็จะรู้สึกว่า โอ้, มันเป็นโชคดีที่สุดแล้วโว้ยที่ได้บวช ไม่ใช่เรื่องถูกจับตัวมากักไว้ให้ทนทรมานด้วยการเล่าเรียน การอะไรที่ลำบากที่เราไม่อยากจะทำ จนเขาต้องบังคับ นี่ๆ อย่างนี้เสียหายมาก จนบิดามารดา ครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ต้องบังคับ นอนสาย ไม่เล่าไม่เรียน อาจารย์ต้องตี ต้องปลุกด้วยการตีให้ลุกขึ้นเล่าเรียน อย่างนี้มันก็แย่มาก มันก็มีอยู่เหมือนกัน นั่นแหละคือคนที่มันไม่รู้เรื่องว่าประโยชน์ของการบวชเป็นอย่างไร ไม่รู้อานิสงส์ของการบวช มันบวชกันตามๆ กันเข้ามา นี่แหละมันก็คือ บวชรอวันสึก บวชชนิดนี้ ของคนชนิดนี้ คือ การบวชเพื่อๆ รอวันสึก ไม่มีความหมายอะไรเลย แล้วก็น่าละอายอย่างยิ่งด้วย ถ้าไม่มีที่ละอายใคร ก็ละอายผี ละอายผีก็แล้วกัน สำหรับคนที่บวชเพื่อรอวันสึก มันมาได้ไอ้ของที่ดี มีค่ามีประโยชน์สูงสุด ที่สุดแล้วกลับไม่เอานี่แหละ มันก็ควรจะละอาย ให้ผีมันหัวเราะเยาะ เราอย่าได้รวมอยู่ในบุคคลเหล่านั้นเลย อย่าได้รวมอยู่ในบุคคลเหล่านั้น
นี่ผมตั้งใจจะพูด แล้วผมก็รู้สึกว่าได้พูดเรื่องที่ดีที่สุด ที่มีค่าที่สุด เรื่องที่พูดได้พูดเรื่องที่ดีที่สุด มีค่าที่สุด ได้ทำประโยชน์ให้มากที่สุด แล้วก็พอใจที่ได้พูดเรื่องชนิดนี้ อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่า ถ้าผมมีเรื่องอะไรที่ดีที่สุดที่จะบอกผู้อื่นแหละก็ มันก็คือเรื่องนี้ มันไม่มีเรื่องอื่น ฉะนั้นขอให้ฟังแล้วเอาไปปรับให้มันเข้ากับชีวิตของตน แม้แต่เณรตัวเล็กๆ นี่ก็ฟังเถอะ เพราะว่าในประวัติศาสตร์ที่แล้วมา เณรเขาก็บรรลุมรรคผลกันได้ เณรนี่เป็นผู้ทำหน้าที่สำคัญในประวัติศาสตร์ คือตามเรื่องราวที่กล่าวไว้มีอยู่ว่า ผู้ที่ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชเข้ามาสู่พุทธศาสนาสุดท้ายก็คือ เณรๆ คนหนึ่ง เณรองค์หนึ่ง ฉะนั้นถ้าเป็นเณร ก็ๆ อย่าๆ ให้มันเป็น อย่าให้เป็นเหมือนกับว่า มันๆไม่ใช่ มันไม่ใช่เณร เณรๆ ถ้าจะเป็นเณร ก็ขอให้เป็นเณรนะ อย่าให้เป็นเหมือนกับไม่ใช่เณร
คำว่าสามเณรแปลว่าผู้ที่เตรียมตัวเป็นสมณะ ศัพท์บาลีเขาว่า เป็นผู้เป็นเหล่ากอของสมณะ สามะ เณระ สมณะ เณระปัจจัย สามะ เณระ เป็นเหล่ากอของสมณะ ก็คือผู้ที่เตรียมตัวเพื่อจะเป็นสมณะ หรือถ้ายังเล็กอยู่นี่จะทำๆ ยังไงได้เล่ามันยังเล็กอยู่นี่ เขาจึงให้เรียนในๆ รูปแบบที่ว่าเตรียมตัวเพื่อจะเป็นพระ เป็นพระคือ เป็นสมณะ แล้วก็ไปอย่างที่ว่า ไปสู่การบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนไปจริงๆ ช่วยโลก ช่วยมนุษย์ไปจริงๆ ก็ทำได้เหมือนกันแหละ ไม่ๆ กี่ปีนะเราก็โตขึ้นเป็นพระ แล้วก็ทำได้ ถ้าๆ เตรียมตัวได้ตั้งแต่เป็นเณรนี่ยิ่งได้เปรียบ คือจะทำได้มากกว่า จะเรียนได้มากกว่า หลายคนแหละที่เขาได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโตได้เพราะเขาๆ เรียนแค่เป็นเณร อย่าต้องออกชื่อเลย แต่มีๆ แน่แหละ มีหลายคน เรียนแค่เป็นเณร ความรู้ป.๔ แต่ได้ไปเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในระดับรัฐมนตรีนะ ปลัดกระทรวงนะ
เณรทั้งหลายช่วยรู้ความหมายของสามเณรไว้ด้วยว่า คือผู้ที่เตรียมตัวสำหรับเป็นพระ คือเป็นสมณะ เราก็มีเวลามากกว่า ก็เรียกว่าเราได้เปรียบสิ เราเป็นเณรอยู่ เรากำลังได้เปรียบพระ เพราะว่าเรามีโอกาสเรียนมากกว่า เรียนได้สะดวกกว่า จำได้เก่งกว่า อะไรเก่งกว่า รีบใช้เวลาที่เป็นเณรนั่นแหละ ให้ดีที่สุดอีกชั้นหนึ่ง มันเป็นพระ มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำอย่างที่ว่าแล้ว ทีนี้เป็นเณรนะมันเป็นการเตรียมล่วงหน้าๆ ออกไปกว่านั้น ก็เตรียมให้ดีที่สุด นั่นแหละคือการที่มันได้เปรียบ ได้เปรียบพระเพราะเรายังเล็กอยู่ โอกาสเรียนมันมีมากกว่า ไม่มีธุระการงานให้รับผิดชอบอะไรนัก เพราะเป็นเณร เพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสเรียนได้มากกว่า ฉะนั้นเรียนให้สนุก นี่เณรๆ ช่วยจำไว้ด้วยว่า เรียนให้สนุกและเป็นสุขเมื่อเรียน ถึงพระก็เหมือนกันแหละ ผมอยากจะขอร้องว่าช่วยจำกันไว้ด้วย เรียนให้สนุกแล้วเป็นสุขเมื่อเรียน เป็นสุขเมื่อเรียน
ไอ้คำแรกว่า เรียนให้สนุก เพราะเรารู้แจ้งประจักษ์อย่างที่พูดมาแล้วนะ ว่าการบวชนั้นเป็นโชคดีที่สุดที่จะได้เรียน แล้วการเรียนนั้นเป็นวิธีเดียวที่จะไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับสูง เพราะฉะนั้นการเรียนมันก็คือหน้าที่ของเรา หน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ รู้ๆ ซะบ้าง ถ้าไม่เคยรู้นะ รู้เสียบ้างว่า ไอ้ธรรมะเขาแปลว่า หน้าที่ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นะ คือธรรมะ หน้าที่ ที่ถูกต้อง ที่มีประโยชน์ทุกอย่างแหละ ไม่ใช่หน้าที่ทำชั่ว หน้าที่ลักขโมย นั่นไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นหน้าที่ของโจร ของคนพาล แต่หน้าที่ของไอ้สุจริตชนทั่วไป เขาก็คือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองก่อน และแก่ผู้อื่น แล้วพอเราทำหน้าที่อย่างนี้ก็เรียกว่ามีธรรมะ
ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ แต่ในเมืองไทย ธรรมะไม่ได้สอนให้แปลว่าหน้าที่ แต่ที่เมืองเดิม เจ้าของเดิม อินเดียเจ้าของภาษานั่นนะ ธรรมะเขาแปลว่า หน้าที่ เด็กๆ จะเรียนรู้มาตั้งแต่เล็กๆ นะ ว่าคำว่าธรรมะแปลว่า หน้าที่ๆ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนะ บรรดาสิ่งที่มีชีวิตต้องมีหน้าที่ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีหน้าที่ ไม่ได้ทำหน้าที่ มันตายหมดแล้วไม่มีเหลืออยู่หรอก แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่นี้มันก็มีหน้าที่ ดำรงชีวิต ทำทุกอย่างที่มันจะรอดชีวิต สัตว์เดรัจฉาน มันก็ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อรอดชีวิต เพื่อดำรงชีวิต พอผมเห็นไอ้ไก่มันเขี่ยดินกินอาหารให้ลูกมันกินเอง ผมก็อนุโมทนามัน เพราะไก่นี้มันปฏิบัติธรรมะ คือ หน้าที่ ทีนี้คนเราก็เหมือนกันแหละ ต้องทำหน้าที่ หน้าที่ต่ำสุดก็คือให้รอดชีวิตอยู่ได้ ให้มีอาหารกินให้รอดชีวิตอยู่ได้พอสะดวกสบายนี่แหละหน้าที่ต่ำสุด นี่คงจะทำกันได้เป็นทั่วไป ที่หน้าที่สูงขึ้นมา พอว่ามันรอดชีวิตอยู่ได้แล้วจะทำอะไรนี่แหละ ตอนนี้แหละมันเป็นหน้าที่ชั้นสูง ก็หมายความว่าให้มันดีขึ้นไปๆๆ เลื่อนขึ้นไปๆๆ ถ้าเป็นทางโลก มันก็มีเกียรติ มีประโยชน์ มีคุณค่าอะไรมากขึ้นไป ถ้าเป็นทางธรรมมันก็บรรลุมรรคผลนิพพาน คือใกล้นิพพานยิ่งขึ้นไป ใกล้นิพพานยิ่งขึ้นไป เรียกว่าหน้าที่ เมื่อใดปฏิบัติหน้าที่ เมื่อนั้นมีธรรมะ
ถ้าเดี๋ยวนี้การเรียนนักธรรมหรือการเรียนบาลี มันเป็นหน้าที่ ก็ให้รู้ไว้เถิดว่านั่นคือธรรมะ เราปฏิบัติธรรมะ แล้วก็ทำให้สนุก เรียนให้สนุก เรียนธรรมะให้สนุก เรียนให้เป็นกีฬาก็ได้ คือแข่งขันกันไปเลย สมัยผมเรียนมีลักษณะแข่งขันเป็นกีฬากันมากที่สุด เพราะว่าชอบถก ชอบเถียง ชอบวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่นักเรียนนอกเวลาเรียน แล้วสนุกสนานอย่างยิ่ง นี่เรียกว่าเรียนสนุกสนาน พอค่ำลงได้ยินท่องขรมไปหมดทั้งวัด กุฏิไหนห้องไหน ทีนี้มันสนุกตลอดเวลาที่เรียน และสำหรับผมยังสนุกเป็นพิเศษที่ว่า ตอนบ่ายไปเรียนที่โรงเรียนสนุก แล้วจำเอาที่เรียนในวันนั้นนะ มาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ เทศน์ประจำวัด เทศน์ตอนเย็นให้ๆ แม่ชี ให้คนทั้งหลายชาวบ้านเขาไปฟังอีกที อันนี้ ข้อนี้ต้องๆ บอกเหมือนกับอวด ผมบวชได้ ๔-๕ วันแล้วเทศน์ บวชได้เพียง ๔-๕ วัน ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ทำไมมันเก่งอย่างนั้นเล่า ก็เพราะมันจำไปจากโรงเรียน มันจำเอาไปจากโรงเรียนที่นั่งเรียนอยู่ในโรงเรียน ตอนนั้นมันกำหนดจดจำมาดี กลับมาถึงวัดขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย ไม่ขึ้นกุฏิ กะพอดีว่า พอดีขึ้นไปโรงธรรมไปเทศน์บนธรรมาสน์เลย มันก็สนุก มันก็ยิ่งสนุก นี่เรียกว่าเรียนให้สนุกนะ เพราะมันเป็นหน้าที่ๆ คือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้สนุกคือเรียนให้สนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังเรียน ไม่หวังว่าจะไปได้เป็นสุขข้างหน้า ได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นพระผู้ใหญ่ มีเกียรติ ไม่ๆ ได้หวังแหละ เป็นสุขซะแล้วเมื่อเรียน เมื่อเรียน แล้วเมื่อทำหน้าที่ไปพลางอย่างที่ว่านี้ พอใจ ในห้องเรียนก็เป็นสุข จิตใจเป็นสุข ในห้องเรียนนักธรรมที่โรงเรียนก็เป็นสุข กลับไปถึงวัดก็เป็นสุข เรียนก็เป็นสุข สนทนายังนอกชานหลายๆ องค์ก็สนุก เป็นสุข มันก็เลยเป็นสุขนี่ โรคผ้าเหลืองร้อนก็เกิดไม่ได้ โรคผ้าเหลืองร้อนเกิดแล้วมันจะเป็นสุขอย่างไรได้ มันเหมือนกับตกนรกนะ นี่เรียกว่าเราเรียนให้สนุกแล้วเป็นสุขเมื่อเรียน ดังนั้นมันจึงเจริญๆๆ เร็วมากในการเรียน การเรียนมันเจริญเร็วมาก เพราะมันเรียนสนุกและเป็นสุขเมื่อเรียน
ผมถือหลักมาจนบัดนี้ ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน พอเรียนเสร็จออกมาทำงาน มันก็ทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน แล้วมันก็ได้ผลงานมาก เพราะมันเป็นสุขและสนุกนี่ มันสนุกและเป็นสุขมันได้ผลมาก ไอ้ผลงานที่ทำได้แสดงอยู่ในตึกหลังแดงนั่น เข้าไปดูกันบ้างสิ ในตึกแดงนี่มันมีผลงานแสดงอยู่ว่ามันทำมาตลอดเวลา ที่ทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันก็มากสิ มันก็มากไม่น่าเชื่อว่าคนเดียวทำ แต่เพราะเหตุที่ถือหลักอย่างนี้ มันเลยทำได้มาก ฉะนั้นขอให้ทุกคนถือหลักอย่างนี้ ทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำ มันก็ไม่เป็นโรคประสาทนะ ถ้าเป็นฆราวาสมันก็ไม่ยากจน ไม่เป็นโรคประสาท ทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำ มันทำได้มาก มันเป็นสุขเมื่อกำลังทำเสียแล้ว มันก็ไม่ต้องเลิกงานไปอบายมุข ไปกามารมณ์ที่ไหน มันก็สบายดี เงินมันก็ไม่หมด เงินไม่ถูกใช้ ร่างกายสบายดี ไม่เป็นๆโรคประสาทด้วย นี่แหละผลของการที่ว่า ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน นี่อยากจะพูดกับเณรเล็กๆ นี้ว่า จงเรียนให้สนุก แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังเรียน
พระก็เหมือนกันแหละ แรกบวชใหม่ ก็ขอให้เรียนให้สนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังเรียน ต่อไปเป็นครูบาอาจารย์ เป็นเจ้าหน้าที่อะไรขึ้นมา เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะขึ้นมา ก็ทำงานให้สนุก แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานอีกแหละ อย่างนี้แล้วก็ว่า พระศาสนาเจริญแน่ เจริญแน่ๆ เพราะว่ามันมีเหตุปัจจัยมากเพียงพอ สำหรับศาสนาจะอยู่และศาสนาเจริญ ขอให้อุทิศเถิด เพื่อศาสนาอยู่และเจริญ ด้วยการบวชจริง บวชจริงๆ เรียนจริงๆ รู้จริงๆ ปฏิบัติจริงๆ สอน ได้รับผล ได้รับผลจริงๆ แล้วสอนเขาไปจริงๆ แล้วทำประโยชน์ให้เขาจริงๆ ๖ จริงอย่างที่ว่ามาแล้วนะ ช่วยจำให้ดีๆ ๖ จริง บวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนไปจริงๆ ทำประโยชน์จริงๆ ทั้ง ๖ ทั้ง ๗ นะ ชีวิตนี้ก็มีค่าสูงสุดเหลือที่จะกล่าวได้ รับปริญญาของพระพุทธเจ้า รับปริญญาของธรรมชาติก็ได้ ไม่ต้องรับปริญญาของมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ รับปริญญาของพระพุทธเจ้าคือมันจริงๆๆๆ แล้วมันมีประโยชน์จริงๆๆ แล้วเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จริงๆ นี่เรียกว่า ปริญญาของพระพุทธเจ้า หรือของธรรมชาติ ซึ่งเขามีมาให้พอที่จะทำอย่างนี้ได้จริง จึงพูดสรุปความสั้นๆ เหมือนกับคำพูดทีแรกว่า โชคดีที่ได้เกิดมาและได้บวช ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ปกตินี่ก็โชคดีในขั้นต้น พอได้บวชก็เป็นโชคดีแท้จริงในขั้นนี้ แล้วเมื่อประสบความสำเร็จในการบวช ก็เรียกได้ว่าเป็นโชคดีชั้นผลสุดท้ายแหละ ทีนี้ขอให้ทุกคนมีโชคดีอย่างที่ว่ามานี้
ทีนี้ขอแถมอีกนิดหน่อย อย่าเพิ่งง่วง แล้วอย่าเบื่อๆ อย่าเบื่อรำคาญ ไอ้คำว่า จริงๆๆๆ นั่นแหละสำคัญ เรียนจริงอย่างไร บวชจริงอย่างไร เรียนจริงอย่างไร ปฏิบัติจริงอย่างไร ก็หมายความว่ามันต้องมอบกายถวายชีวิตกันเลย ให้มันจริงสิ ที่เราทำวัตรเย็นนะ พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ นี่ พุทโธ สามิกิสสะโร นี่ พุทโธ เม สามิกิสสะโร เราข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนื้แด่พระพุทธเจ้า ผู้เป็นนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระองค์ นั่นแหละ มันมอบกาย ถวายชีวิตให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นแหละคือจริงๆๆ ทำไมจะให้ไม่ได้
เดี๋ยวนี้ยังจะสงวนไว้ให้ใครอีก ชีวิตนี้มันสงวนไว้ให้ใครเล่า โดยมากมันก็สงวนไว้ให้กิเลส มันจะสงวนไว้ให้กิเลส หรือสงวนไว้ให้แม่ยายพ่อตาในอนาคต อย่างนี้มันก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร สู้ให้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ให้พระธรรม ให้พระสงฆ์ ให้พระศาสนาไม่ได้ แล้วมันจะเป็นการให้แก่ทุกคน
นี่ลองคิดดู ถ้าเราให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ แล้วการให้นั้นมันจะแผ่ขยายออกไปเป็นให้ เป็นการให้แก่ทุกคนในโลกเลย ทีนี้ขอให้รู้จักให้กันบ้างสิ มอบกายถวายชีวิตนี้ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แหละ แล้วก็ทำตามหลักของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็เรียกว่าจริงสิ มันจริง มันเป็นคนจริง มันจริงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันคือจริงต่อตัวเอง ที่ควรจะดีจริง จะเจริญจริง จะก้าวหน้าจริง ข้อแรกจึงอยู่ที่ว่ามอบกายถวายชีวิตกันจริงๆ ให้แก่พระศาสนา ภาษาบาลีก็มีพูดบ่อยๆ แหละคำนี้ เรียกว่า อุรัง ทัตวา นี้ มอบชีวิตจิตใจ คำว่า อุวัง แปลว่า หัวอก มอบหัวอก คือ จิตใจให้แก่พระรัตนตรัยนะ นั่นแหละมันจริง มันจึงจะมีบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนจริง ทำประโยชน์จริง ได้จริง
มีศรัทธาจริง ถ้าอื่นๆ มันจะมีได้ง่าย จะมีตามมาเป็นหาง ถ้าว่ามันมีศรัทธาจริง เพราะว่าศรัทธาของเรานี้ เป็นศรัทธาที่มองเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าศรัทธาเพ้อๆ ศรัทธาว่าๆ กัน เหมาๆ กัน หรือชักชวนกันอย่างงมงาย ไม่ใช่ศรัทธาอย่างนั้น แต่มันเป็นศรัทธาที่เกิดมาจากปัญญา เห็นชัดแจ้งละเอียดอย่างที่ว่ามาแล้วแต่ต้นนะ อย่างที่ว่ามาแล้วแต่ต้นนะ เราก็มองเห็นชัดอย่างนี้ นี่แหละมันเกิดจากศรัทธาที่มาจากปัญญา คือเป็นศรัทธาจริง มีความแน่นแฟ้นและแข็งแกร่งอยู่ในตัวมันเอง ถ้าเป็นศรัทธางมงาย เพ้อๆ ตามๆ กันมาแล้วมันไม่จริงแหละ เขาเรียกว่า ศรัทธาหัวเต่า ศรัทธาหัวเต่า เดี๋ยวหลุบ เดี๋ยวโผล่ เดี๋ยวหลุบ เดี๋ยวโผล่ เรียกว่าศรัทธาหัวเต่า อย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นขอให้ทบทวนไอ้เรื่องที่ผมได้พูดมาแล้วข้างต้นนะ ให้เห็นชัดอย่างนั้นแหละ แล้วศรัทธามันจะจริง ศรัทธามันจะจริง จะจริงที่สุดเลย
เมื่อศรัทธาจริงแล้ว ไม่ต้องกลัว ไอ้ๆ ความพอใจ ความพากเพียร ความขยันขันแข็ง ความกล้าหาญ ความเสียสละมันมาเอง มันมาเองแหละ ขอให้มีศรัทธาที่มาจากปัญญา ถึงที่สุด มันจะเกิดฉันทะ ความพอใจ เกิดวิริยะ ความพากเพียร เกิดจิตตะ ความเอาใจใส่ เกิดวิมังสา ความใคร่ครวญทดสอบอยู่เสมอ มีทุกอย่างที่จำเป็น มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เพิ่มขึ้นไปอีก ก็สำเร็จประโยชน์แน่นอน เป็นอันว่าเกิดมาทีมีโชคดี แล้วได้บวชนี่ก็ยิ่งมีโชคดี ได้เล่าเรียน แล้วได้เรียนจริงๆ นี้ก็ยิ่งมีโชคดี ได้รับผลของการเล่าเรียนจริงก็มีโชคดี ต่อไปนี้มันก็มีแต่การหลั่งประโยชน์ที่เรียกว่า อานิสงส์
อานิสงส์แปลว่า หลั่งประโยชน์ เหมือนน้ำนมที่หลั่งออกจากเต้านม นั่นแหละอาการอย่างนั้นแหละเขาเรียก อานิสงส์แหละ เขารีดนมวัว มันมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านมไม่ขาด อานิสงส์ก็ไหลออกมาไม่ขาด ไหลออกไปแก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น แก่คนทั้งโลก เกิดมาชาติหนึ่งได้ทำประโยชน์แก่คนทั้งโลก มันก็จะเรียกว่าคนจนอย่างไรเล่า มันก็ยิ่งกว่าคนมั่งมีเสียอีกนะ เพราะว่าคนมั่งมีมันก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นได้ เราเป็นลูกคนจน อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า แล้วก็ทำอย่างนั้นได้ ก็ทำประโยชน์ให้แก่คนทั้งหลายในโลกนี้มากกว่าคนมั่งมี
เดี๋ยวนี้คนมั่งมี คนมีอำนาจแล้วมันมีแต่จะสูบประโยชน์ของคนอื่น มีแต่สูบเอาประโยชน์ของบุคคลอื่น กอบโกยประโยชน์ของบุคคลอื่น เดี๋ยวนี้เราเป็นคน ลูกคนจน แต่ได้ไปเป็นลูกของพระพุทธเจ้า รับใช้พระพุทธเจ้า อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ยกตัวเองๆๆ ขึ้นอยู่ในระดับที่ทำประโยชน์แก่คนทั้งโลก ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ผมๆๆ รู้สึกอย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ว่า ว่าดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ได้ทำประโยชน์แก่ตนเอง ทำประโยชน์แก่คนทั้งโลกแล้ว มันหมดแล้ว มันจบแล้ว มันจะไม่มีอะไรดีกว่านี้ แล้วก็เลยเชื่อแน่ ปักใจแน่วแน่ เชื่อแน่ว่านี่เป็นโชคดีที่สุดที่ทำได้อย่างนี้ ฉะนั้นในวันนี้เราพูดกันแต่อะไร จุดต้น หรือว่าหลักการเบื้องต้นอย่างที่ว่ามานี้มันก็สมควรแก่เวลา ถ้ามีโอกาสวันหลังเรามาพูดเรื่องอื่นที่ต่อๆ กันไปอีก
วันนี้ขอสรุปว่าเรามานั่งกลางดิน นั่งกลางดินที่สูงสุดเพราะว่าเป็นที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่สั่งสอน ที่อยู่ ที่ตายของพระพุทธเจ้า นั่งกลางดิน ถ้าไปพูดกันที่วัดพระธาตุ ไม่มีโอกาสนั่งกลางดินอย่างนี้ ฉะนั้นที่นี่มันสะดวก จัดไว้สำหรับนั่งพูดกันบนที่นั่ง ที่นอน ที่ตายของพระพุทธเจ้า คือกลางดิน แล้วเมื่อนั่งกลางดินนั้นก็ขอให้นึกถึงว่า เรามันอยู่กันอย่างต่ำๆ แต่ว่ามุ่งกระทำให้มันสูงสุดเลย ถ้าไปกินอยู่สูงด้วยกิเลสแล้ว ทีนี้กายมันจะลงต่ำ มันจะลงนรกลงก้นเหว เราดำรงชีวิตขั้นๆ ต่ำพื้นฐานเหมือนแผ่นดิน เป็นเครื่องรองรับสิ่งทั้งปวงให้เจริญงอกงาม ถ้ามีจิตใจเหมือนแผ่นดินก็ๆ ดีมากแหละ คือว่าทนๆ ได้ทุกอย่าง จะรับภาระหนักของสิ่งทั้งปวง ที่มันตั้งอยู่บนแผ่นดิน
แล้วเราก็เลยพูดกันถึงการได้บวชว่าเป็นโชคดีที่สุด ไม่มีโชคไหนจะดีกว่าโชคที่ได้บวช แต่เราไม่รู้จักมันเองนี่จะทำอย่างไรเล่า ฉะนั้นเมื่อไม่รู้จักกันมาก่อน ก็มารู้จักกันเสียเดี๋ยวนี้ เรียกว่าเป็นโชคดีที่สุด ขอให้ภิกษุ สามเณรทั้งหลายนี้ บากบั่น มุ่งหน้าบากบั่นเข้าไปให้ถึงไอ้สุดท้าย ของไอ้โชค ของสิ่งที่เรียกว่าโชคดีที่สุด จะชื่นใจ สบายใจว่าเกิดมาทั้งที ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์มันควรจะได้ ถ้าจะไปทำไร่ทำนาแล้วค้าขาย มันก็แค่นั้นเองแหละ มันก็แค่นั้นเอง ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันก็ทำเป็นนะ สัตว์เดรัจฉานมันก็หากินเป็น รอดชีวิตอยู่ได้ สืบพันธุ์ได้ อะไรได้ มันไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้มาๆ เกิดใหม่ด้วยการบวช เกิดด้วยโอปปาติกะ ด้วยการบวช เกิดมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์ ด้วยการบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เผยแผ่สั่งสอนจริง ช่วยโลกจริงๆ ไม่ได้เกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้เหลือที่จะกล่าว เขานิยมเรียกกันว่าพระอริยเจ้าแหละ เกิดเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมา เป็นบุคคลประเสริฐที่สุด ไม่เสียทีที่ได้เกิดมา เกิดมาทีหนึ่งแล้วได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มพระอริยเจ้า มันก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เสียทีที่จะเกิดมา ขอให้ถือเอาจุดตั้งต้นอันมั่นคงอย่างนี้ไว้ได้ก่อน แล้วเรายังจะได้พูดกันต่อไปข้างหน้าถึงเรื่องรายละเอียดที่จะทำกันอย่างไร
ในที่สุดนี้ ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแก่เวลา ขอตั้งจิตอธิษฐานให้พรพวกเธอทั้งหลายที่เป็นนักเรียนว่า เธอเป็นนักเรียนนี้ก็คือ ต้องการจะทำให้สิ่งที่เรียกว่าความเป็นมนุษย์ของเธอได้ขึ้นถึงระดับสูงสุดที่มนุษย์มันจะขึ้นไปได้ จะมีประโยชน์ที่สุดที่มนุษย์มันจะทำให้เกิดขึ้นได้ แล้วเป็นสุข สนุกสนาน อยู่ด้วยการบวชจริง เรียนจริง รู้จริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนจริงๆ ทำประโยชน์จริงๆ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ