แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
กระผมขอโอกาสพูดจาที่เรียกว่าปราศรัยตามธรรมเนียม ตามธรรมเนียมมันก็แปลว่าเพื่อประโยชน์ ฉะนั้นขอได้โปรดมองไปในแง่ที่ว่าเป็นการทำประโยชน์ ขอปรับความเข้าใจตั้งแต่ต้นเลย เพื่อประโยชน์แก่ผู้บวชใหม่โดยเฉพาะด้วย ว่าการทำวัตรแบบเก่าแบบโบราณนี้ เชื่อได้ว่าทำกันมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว ขอได้โปรดรักษาไว้ให้มันอยู่ถึงพัน ๆ ปีเถิด อย่าไปเปลี่ยนแปลงมันเสีย โดยความเก่าแก่ของมันก็ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว จะโดยความหมาย มันมีประโยชน์มาก เพราะว่าอะไร มันมีความหมายถึงสามประการ คือว่าแสดงความเคารพด้วย ขอให้อดโทษด้วย แลกเปลี่ยนส่วนบุญกันด้วย ถ้าเราอยู่กันด้วยความเคารพ และอดโทษ และแลกเปลี่ยนส่วนบุญแล้วไม่มีวันที่จะยุ่งยากลำบากแต่ประการใด เดี๋ยวนี้คนในโลกมันไม่มี ไม่มีความเคารพ ไม่มี ไม่มีความไอ้, หวังดีต่อกันและกันถึงขนาดนี้ โลกมันวุ่นวาย ธรรมะที่เป็นหัวใจของการทำวัตรนี่ก็ช่วยให้โลกรอดได้ ขอให้ถือไว้เป็นหลักเถิด ให้มันถึงพัน ๆ ปีไปเลย มันขลังดี ในการที่ช่วยกันทำวัตร รักษาการทำวัตรแบบนี้ไว้นี่ ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
เอ้า, ขอโอกาสปรารภต่อไปว่า โดยส่วนธรรมะก็ขออนุโมทนาในการรักษาประเพณี โดยส่วนตัวก็ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่มาในลักษณะอย่างนี้ ต้องขอทำความเข้าใจเป็นพิเศษด้วยว่า ถ้าขอให้เรียกการมาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้นั้นว่า เป็นการเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปีเถิด โปรดเรียกว่ามาเยี่ยมสวนโมกข์เป็นประจำปีเถิด อย่าได้เรียกว่ามาทำวัตรอาจารย์เหมือนที่เคยเรียกกันแรก รุ่นแรก ๆ เลย ขอยกเลิก ขอยกเลิก มันไม่เหมาะสมว่ามาเยี่ยมสวนโมกข์ก็คือ สนองพระพุทธโอวาทที่ตรัสไว้ว่า หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ปฏิบัติตามข้อตกลงในที่ประชุมแล้วก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่หมู่คณะตลอดกาลนานนั้นนะ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ก็ขอให้ถือโอกาสว่าวันที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปีนี้ก็เป็นวันที่ประชุม ๆ ๆ อยู่ในรวม รวมอยู่ในคำว่าเนืองนิตย์ ๆ แล้วก็จะได้มีโอกาสทำความเข้าใจในการประชุม มีอะไรก็มาแลกเปลี่ยนกันให้เกิดความเจริญงอกงามก้าวหน้าในพระศาสนา สมตามพระพุทธประสงค์
เมื่อได้ทำอย่างนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่าถ้าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นการกระทำอย่างนี้ สนองพระพุทธประสงค์อย่างนี้ พระองค์ก็จะตรัสอนุโมทนา อนุโมทนาว่าดีแล้ว ๆ ๆ เป็นแน่นอนละ สาธุด้วยนะ ถ้าท่านได้มาเห็น ว่าเราหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ มีความหมายมาก สูงกว่าคำว่ามาทำวัตรอาจารย์ ผมขอยกเลิกทีเถอะ ขอให้เป็นว่ามาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปี แล้วมาประชุมกันเนืองนิตย์ เรื่องทำวัตรอาจารย์ไว้เป็นส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เถิด อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างนี้เลย
ที่ว่าประชุมกันเนืองนิตย์ แล้วก็มีโอกาสทำความเข้าใจให้เป็นหลักปฏิบัตินั้นก็มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วในหลักสูตรที่เราเล่าเรียนกันมา คือที่นี้ก็มาทำความเข้าใจต่อไปว่า จิตใจของกระผมโดยแท้จริงถือว่าทุกท่านแม้แต่สามเณร แม้แต่สามเณร ก็เป็นเพื่อนสหธรรมิกปฏิบัติธรรมะร่วมกัน เป็นสหพรหมจารีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน สหธรรมิกสหพรหมจารีย์ร่วมกัน ๆ เราจะมีความหมายในคำนี้ว่า รับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่สามเณรตัวน้อย ๆ ถึงพระมหาเถระ ก็รับผิดชอบร่วมกันในการตั้งอยู่ได้แห่งพระศาสนา เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกตลอดกาลนาน ฉะนั้นขอให้ได้ร่วมกันรับผิดชอบในข้อนี้ นี่ตรงตามพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง
ฉะนั้นพระศาสนานี้ พระพุทธองค์ทรงประสงค์ไว้ในคำตรัสโดยเฉพาะว่า เพื่อประโยชน์แก่ความสุขของเทวดาแลมนุษย์ เอ้อ, ทั้ง ทุก ๆ ไม่ยกเว้นอะไร แก่เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เลย ธรรมะนี้มีอยู่เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ขอให้เรารับผิดชอบไว้ให้มันเป็นอย่างนี้ ให้มันตลอดกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่โลกกำลังจะวินาศ โลกกำลังจะวินาศเพราะกิเลสของมนุษย์นี้ จงช่วยกันต่อต้านไว้ด้วยเอาธรรมะเข้ามารับหน้า เข้ามารับหน้า สถานการณ์เลวร้ายของโลกแก้ไขด้วยเหตุอย่างอื่นไม่ได้นอกจากด้วยธรรมะ ธรรมะ
ขอถวายความรู้ตามโอกาส ไหน ๆ ก็พูดว่าประชุมกันเนืองนิตย์ แล้วก็ทำเข้าใจกันด้วย คำว่าธรรมะธรรมะนี้ ครูในโรงเรียนเขาสอนเด็กผิด ๆ จนเด็กไม่มีธรรมะนะ นั่นคือว่าครูในโรงเรียนสอนเด็กว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นละ สอนในโรงเรียนอย่างนั้น แต่ว่าในอินเดียครั้งพุทธกาลนะ คำสอนของใครก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้นแหละ ธรรมะของนิครนถ์นาฎบุตร มักขลิโคศาละ นั่นก็เรียกธรรมะทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นคำสอนของลัทธิไหน อันนี้เดียรถีไหนก็เป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมะ เขาถามว่าชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของใคร
ธรรมะนั้นนะไม่แปลว่าคำสั่งสอน ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนละ มันแปลว่าหน้าที่ เพราะสิ่งที่สั่งสอนนะสั่งสอนเรื่องหน้าที่ หน้าที่สอนธรรมะคือสอนหน้าที่ คำว่าธรรมะ
ธรรมะนั้นแปลว่าหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วก็จะเป็นทุกข์นะ คนทั้งหลายก็กลัวความทุกข์ก็ทำหน้าที่ คือรับเอาธรรมะไปปฏิบัติ ธรรมะ ธรรมะ หมายถึงหน้าที่
หน้าที่คืออะไร ก็ขอได้กรุณาช่วยจำ ไปคิดดูเล่น อย่าหาว่าผมอวด อวดดีอวดเด่นอะไรนัก ผมเสนอคำว่าธรรมะ ธรรมะ ในที่ทั่วไปในเวลานี้ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ
ธรรมะคือระบบปฏิบัติ คำแรก ระบบปฏิบัติ คือมันปฏิบัติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ไม่มีทาง ต้องปฏิบัติเป็นระบบถูกต้องกลมกลืนกันเป็นระบบ ธรรมะคือระบบปฏิบัตินี่ ความหมายที่หนึ่ง ที่ถูกต้อง ที่ถูกต้อง คือผิดไม่ได้ ถูกต้อง ถูกต้องแก่ความรอด รอดแก่ความรอด ทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอด ทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่นนะ ขอได้โปรดสอนธรรมะ หรืออธิบายคำว่าธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้ให้ยิ่งๆๆๆ ขึ้นไป แล้วธรรมะจริงก็จะกลับมา มิฉะนั้นจะเรียกว่าธรรมะคำพูด ธรรมะคำพูด มันจะไม่ค่อยมีประโยชน์ ขอให้ธรรมะจริงกลับมา ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอด รอดทางกายคือรอดชีวิต รอดทางจิตคือไม่เป็นทุกข์ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนเข้าโลงนะ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต แล้วเพื่อตัวเองด้วย เพื่อผู้อื่นด้วย ขอให้ได้เข้าใจคำว่าธรรมะอย่างนี้ เผยแผ่ให้สำเร็จอย่างนี้ สั่งสอนให้สำเร็จอย่างนี้
ทีนี้ถ้าจะให้พูดเพียงพยางค์เดียว ธรรมะแปลว่าหน้าที่ คำว่าธรรมะ ธรรมะ ที่ไม่เคยพูดกันในโลกนะ มันเกิดพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพราะว่าผู้พูดคนแรก ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ คือสิ่ง ๆ หนึ่งเรียกว่าหน้าที่ ถ้าไม่ทำแล้วตาย ถ้าทำแล้วจึงรอด มันจึงเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ธรรมะ ธรรมะ แปลว่าสิ่งที่ทรงผู้มีไว้ ธรรมะคือสิ่งที่ทรงผู้มีธรรมะไว้ให้รอดนะ ความหมายอย่างเดียวกับภาษาไทยว่าหน้าที่ ๆ ๆ เมื่อทำหน้าที่แล้วก็จะรอด
เพราะฉะนั้นธรรมะก็คือพระเป็นเจ้านั่นเอง คือเราไม่มีพระเจ้าอย่าง พระอิศวร นารายณ์ พระพรหม พระยะโฮวา ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น แต่เรามีหน้าที่ ๆ หน้าที่คือธรรมะ พอทำแล้วให้ความรอด ประทานความรอด หน้าที่นั่นละคือพระเป็นเจ้าที่แท้จริง จงเคารพสิ่งเหล่านี้สูงสุดให้เหมือนกับที่พระพุทธองค์ทรงเคารพ พระพุทธองค์เป็นพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าแล้วทรงสงวนว่าต่อไปนี้จะเคารพอะไร ในที่สุดก็เคารพธรรมะ เคารพธรรมะ ก็กล่าวว่าพระพุทธเจ้าทั้งอดีตอนาคตทุกพระองค์เคารพธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดอย่างนี้ ในความหมายที่เรียกว่าพระเป็นเจ้าสูงสุด แต่ว่าเราไม่ได้ให้คุณค่าอย่างเดียวกับพระเป็นเจ้าในศาสนาอื่น เสมือนได้รับสินบนนะ อ้อนวอนให้ช่วยโน่น ช่วยแล้วรับสินบน นี้ไม่ต้องวอน ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องติดสินบนก็ช่วยหมด ใครทำหน้าที่คือมีธรรมะ มีหน้าที่แล้วก็ช่วย ช่วยกัน ธรรมะก็คือพระเจ้าที่ช่วยให้รอด พอไม่มีหน้าที่ ไม่มีธรรมะ ไม่มีหน้าที่ก็คือตาย ช่วยอธิบายความหมายนี้ แม้ในการสอนธรรมะในโรงเรียนนักธรรม ว่า ธรรมะ ธรรมะ คำนี้มันมีความหมายไกลไปถึงอย่างนั้น
ส่วนที่เอามาเป็นระบบสั้น ๆ คู่กับคำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมว่าธรรมนี้ คือนี้ พระธรรมก็คือระบบปฏิบัติให้รอดนี่ ที่ว่าทำความเข้าใจให้กว้างขวางออกไปให้ ๆ ๆ ๆ สมแก่สมัย ขอให้สอนธรรมะ แม้นักธรรมนี้ให้เข้าใจกว้างขวางเป็นประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถึงจะมีธรรมะ มีธรรมะ
ต้องมีการศึกษา นี่ขอถวายความรู้ต่อไปสำหรับคำว่า ศึกษา ศึกษา เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ มันมีความรู้ว่า คำว่า ศึกษา คือครู สอนอะไรจำไว้จดไว้ในสมุดเรียกว่าการศึกษา มันไม่สำเร็จประโยชน์ ประกาศนียบัตรก็ยุคก่อน ๆ ที่สอบ นักเรียนสอบไล่ได้ ที่ ประกาศนียบัตรด้านบนจะมีคำว่า สุ จิ ปุ ลิ ความคิด ถาม จำ ความคิด ถาม จำ นั่นละเป็นการศึกษา เดี๋ยวนี้มันจะไม่มีแล้ว ได้ข่าวว่าไม่มีแล้ว คำ สุ จิ ปุ ลิ เด็กไม่เคยได้ยินแล้ว เด็ก ๆ ก็เคยได้ยินไว้แหละดี แต่ขอขยายความให้กว้างออกไป ศึกษาในสันสกฤต สิกขาในภาษาบาลี มันประกอบขึ้นมาด้วยคำว่า สะกับอิกขะ สะ สะนี่ส่วนหนึ่ง แล้วอิกขะ สะนี้แปลว่าเองก็ได้ แปลว่าภายในก็ได้ ส่วนอิกขะ อิกขะนี้แปลว่าเห็น เห็น เห็น ฉะนั้นคำว่าสิกขานี้ก็คือต้องเป็นการดูตัวเอง ด้วยตนเอง ในภายในตัวเอง แล้วเห็นด้วยตนเอง มันจึงจะตรงกับคำว่าสิกขา มันต้องมีการดู แล้วจึงมีการเห็นนะ ไม่ใช่สิ่งเดียวกันนะ จะสอนธรรมะหรือสอนอะไรก็ใช่ มันละเอียดว่า การดูนั้นเป็นการกระทำทีแรก แล้วมันเห็นก็ได้ไม่เห็นก็ได้ ต้องดูตัวเอง เห็นตัวเอง พอเห็นตัวเองแล้วต้องรู้จักนะ รู้จักตัวเอง เห็นแล้วไม่รู้จักก็ได้ ดูตัวเองเห็นตัวเอง รู้จักตัวเองแล้วก็วิจัย ๆ ๆ วิจารณ์ตัวเอง ๆ เห็นว่านี้มีประโยชน์อย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติ ๆ ๆ นี่ ถ้าครบอย่างนี้แหละ จะเรียกว่าศึกษา หรือสิกขา หรือศึกษา ขอให้ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อย่าไปสอนพระเณรให้เข้าใจคำว่าสิกขา ศึกษานี้ ให้มันชัดอย่างนี้ ดูด้วยตนเองเข้าไปภายในตัวเองด้วยตนเองแล้วก็เห็น แล้วก็รู้จัก แล้วก็วิจัย วิจารณ์ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ตามนั้น รวมหมดนี้เรียกว่า สิกขา ๆ
เรารักความอยู่รอดของคณะสงฆ์ของเรา ขอได้กรุณาช่วยให้มีการศึกษา มีการศึกษาที่แท้จริง ให้สำเร็จประโยชน์ แล้วการปฏิบัติก็จะสำเร็จตามความมุ่งหมาย แล้วการปกครอง ปกครอง ก็จะเป็นไปได้โดยง่าย แล้วการพัฒนาก็เป็นอันหวังได้โดยแน่นอน มีการศึกษาให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง ปกครองให้ถูกต้อง พัฒนาให้ถูกต้อง ฉะนั้นขออย่าลืมว่า ปริยัติ ๆ นี้ไม่ใช่เป็นเป็นของเล่น ๆ อย่างคนบางคนเขาเข้าใจ ปริยัตินั้นนะมันเป็นที่ออกมาแห่งปฏิบัติ มันไม่มีปริยัติจะปฏิบัติอย่างไรเล่า คนไม่ดีปกครองกันได้ที่ไหนละ คนไม่มีธรรมะพัฒนาอะไรได้ ฉะนั้นปริยัติความรู้มันออกมาเป็นการปฏิบัติ เป็นคนที่ดี ช่วยกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วมันต้องคู่กันแหละ
ในบาลีที่กล่าวถึงเรื่องอันตรธานนั้น บัญญัติปริยัติไว้เป็นสิ่งสุดท้าย ถ้าปริยัติยังอยู่ไม่สูญ ไม่สูญ ถ้าปริยัติยังอยู่ไม่สูญ เพราะมันกลับออกมาเป็นปฏิบัติได้ แต่ถ้าปริยัติสูญไป มันหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรกลับมาอีก มรรคผลสูญไป แล้วก็ปฏิบัติก็สูญไป ปริยัติก็เหลืออยู่ ท่านแจกรายละเอียดมาก ขี้เกียจจำ แต่ว่าคงปริยัติไว้ คงปริยัติไว้คือว่ารักษาไว้อย่าให้สูญ ถึงแม้การปฏิบัติจะสูญไป พระอรหันต์จะหายไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากปริยัติยังอยู่ มันตั้งต้นใหม่ได้ มันตั้งต้นใหม่ได้ ถ้าปริยัติยังอยู่ ฉะนั้นขอได้ขอบพระคุณปริยัติอย่างยิ่ง ให้อย่างสูงสุด อย่าดูหมิ่น อย่าดูถูกปริยัติเลย นี่เราก็ทำความเข้าใจกันอย่างนี้ ถ้าหากปริยัติยังอยู่แล้วศาสนาไม่มีวันสูญสิ้น เราศึกษากันให้มันถูกจุด จะดับทุกข์ได้
เดี๋ยวนี้การศึกษามันเฟ้อ ในโลกนี้มันศึกษากันแต่หาเงิน หาทอง มันศึกษาแต่ให้ฉลาด ไปหาประโยชน์ มันไม่ได้ศึกษาเพื่อดับทุกข์ มันยินดีที่จะเป็นทุกข์ มันก็จะเอาเงินเอาทองเอาอำนาจวาสนาบารมี แล้วไม่รักใคร่สงสารผู้อื่น นี่มันเป็นความรู้สึกที่ผิด ๆ
ทีนี้เรามารู้จักไอ้ตัวชีวิตในฐานะที่เรียกว่าเป็นตัวปัญหา คือ นามและรูปนั่นละ อย่าดูถูก อย่าดูหมิ่นว่าเป็นคำครึคระเอาไว้หัวเราะเยาะเล่น ไอ้ตัวนามรูปมันคือตัวชีวิต เพราะว่าตัวนามรูปมันแจกเป็นตัวอายตนะทั้งหก แล้วมันมีอะไรเนื่องอยู่กับอายตนะทั้งหกอีกมากมายมหาศาล อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก มีวิญญาณหก มีผัสสะหก มีเวทนาหก แล้วก็มีสัญญาหก ทั้งเจตนาหก ตัณหาหก วิตกหก วิจารณ์ อีกสารพัดอย่าง มันเนื่องอยู่ที่อายตนะ แล้วก็มันอยู่ที่นามรูป ให้สนใจ ให้รู้จักนามรูป ช่วยกันสอนในโรงเรียนนักธรรม ให้รู้จักนามรูป
มันง่ายที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา แล้วสอนให้เห็นความจริงว่ามันเป็นอนัตตา อนัตตา คำว่าอนัตตานั้นอย่าไปแปลผิด ๆ ว่าไม่มีตัวตน คำนี้ต้องแปลว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวตน อัตตามีอยู่จริงในความรู้สึกมีอยู่จริง เราก็รู้สึกมันอยู่จริง แต่มันไม่ใช่อัตตา มันเป็นความรู้สึกที่โง่เขลาว่าอัตตา ถ้าอย่างนี้เรียกว่าสอนพระพุทธศาสนาถูกต้อง พวกสุดทางนี้ก็มีอัตตา ๆ เต็มที่ มีอัตตา พวกสุดทางฝั่งว่า นิรตา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย นี้มันผิดทั้งคู่ ตรงกลางนี่คือพุทธศาสนาว่า มีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตา คือเป็นอนัตตา อย่างนี้แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู รอด มันรอดเพราะเหตุนี้
พระพุทธเจ้าท่านสอนอนัตตา ซึ่งพวกก่อน ๆ ไม่เคยสอน พวกก่อน ๆ มันเคยสอนแต่อัตตา ๆ เต็มที่ อีกฝั่ง นิรตา นิรตา ไม่มีอะไรเลย ตรงกลางที่ว่ามีอัตตาแต่มิใช่อัตตา เป็นอัตตาของความคิด คืออวิชชา ใช้ไม่ได้ สอนอนัตตาให้ถูกความหมายว่า มิใช่อัตตา อย่าว่าไม่มีอัตตาแล้วมันจะผิด เพราะอัตตามันมีอยู่แล้ว มีอยู่จริงในความรู้สึก
ทีนี้สำหรับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอโอกาสพูดสักหน่อยเรื่องพระพุทธเจ้า จึงขอให้พยายามสักหน่อย มันจะเหน็ดเหนื่อยหน่อยก็ช่างเถอะ ขอให้นักศึกษาของเราทั้งพระทั้งเณร ได้รู้จักพระพุทธเจ้าในทุก ๆ ความหมาย คือทุก ๆ ระดับแห่งความหมาย อย่าให้น้อยหน้าพวกอื่น นี้ไม่ใช่พูดอย่างชาตินิยมด้วยกิเลสนะ ไม่ใช่นะ แต่พูดตามความจริงว่า อย่าให้น้อยหน้าพวกอื่นนะ ความรู้นี้ พุทธะ พุทธะ คำนี้ต้องรู้ให้หมด เอาทั้งของมหายาน ทั้งมิใช่มหายาน ทั้งเถรวาทเอามารวมกันดูแล้วจะได้ความหมายว่า พุทธะ พุทธะนี้มีหลายชั้น เอาของมหายานมาเป็นอันแรกก็ อาทิพุทธะ พระพุทธเจ้าที่เป็นจุดตั้งต้น อาทิแปลว่าจุดตั้งต้น นั้นคือธาตุตามธรรมชาติ ธาตุแห่งพุทธะ ธาตุแห่งพุทธิ เป็นธาตุมีอยู่ตามธรรมชาติ มีอยู่ตามธรรมชาติเหมือนกับธาตุทั้งปวง นี่พุทธะอาทิ อาทิพุทธะคืออย่างนี้ แล้วทีนี้มีคนทำสมาธิ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ทำสมาธิแล้วมันก็ออกมาเป็นความรู้ เป็นความรู้ เป็นความรู้ที่เราเรียกว่าความรู้ ตรัสรู้นั่นแหละ นี่ก็เป็นพุทธะเหมือนกัน เป็นธยานีพุทธะ พุทธะที่ออกมาจากการเพ่งฌาน เพ่งฌานแล้วพุทธะองค์นี้ออกมา ธยานีพุทธะ พุทธะที่ออกมาด้วยกำลังฌานของผู้เพ่งฌาน ครั้นแล้วมันก็มีพุทธะที่เป็นบุคคล คือบุคคลที่มีความรู้ข้อนี้เรียกว่า มานุษีพุทธะ พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ ก็ได้แก่ พระพุทธเจ้าที่เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า สิทธัตถะ สมณโคดมนี่เป็นมานุษีพุทธะ ท่านเพ่งฌาน เพ่งฌาน จนมียานีพุทธะ รู้ว่า พุทธะ พุทธะ เป็นอย่างไร เราก็เลยได้พุทธะที่เป็นมนุษย์ แล้วไม่เท่าไร มานุษีพุทธะก็นิพพาน ก็เผากัน ก็เหลือแต่พุทธะที่เป็นองค์แทน คือพระธาตุ พระธาตุ พระพุทธองค์ที่เป็นองค์แทน ต่อมาก็มีทำเทียมขึ้นมา เรียกว่าพระพุทธรูป นี่ก็เป็นพุทธะ ฉะนั้นจึงมีพระพุทธะองค์ธรรมะ พุทธะองค์บุคคล พุทธะองค์แทน พุทธะองค์แทนอีก มาอีกชั้นหนึ่ง นั่นคือเทียม ทำเทียมขึ้นมา
ทีนี้เราจะให้นักเรียนนักศึกษาของเรา รู้จักพุทธะทั้งหมด แล้วตั้งแต่ธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน มีอยู่นิรันดร มีอยู่นิรันดรนี้ ธาตุนี่ก็เป็นพุทธะ อะไรก็พุทธะ อนุพุทธะ อะไรกี่อย่างๆ พระองค์คนทั้งนั้นแหละ เป็นพระพุทธเจ้าอย่างคนทั้งนั้น พระองค์คน แล้วก็ถึงนิพพานเผาแล้วเหลือแต่พระองค์แทน ๆ ก็ได้ เป็นพระพุทธรูปก็ได้ สอนให้รู้จักทุกองค์นะ แล้วเขาก็จะใช้ประโยชน์ให้สำเร็จได้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหน เดี๋ยวนี้ไปซื้อมาแขวนคอแล้วก็เสร็จเรื่องกัน ไม่รู้อะไรก็มั่วเท่ากันหมด ขอให้รู้ว่าพระองค์แทน พระองค์เทียม พระองค์แทนนี้มันแทนพระองค์คน แทนพระองค์ธรรม แทนพระองค์เดิมแท้ตลอดนิรันดร พระพุทธเจ้าองค์นิรันดรเคยรู้จัก องค์ชั่วคราวที่อายุ นี่ก็รู้จักไม่ใช่ทำขึ้นใหม่ อายุเท่าไรก็รู้เอาเองนะ ซื้อมากี่บาทก็รู้เอาเอง ทีนี้ก็ทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทุกพระองค์ต่อพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่ารู้จักพระพุทธเจ้า
ผมขอ ขอให้เก็บเอาไปคิดว่าอย่า อย่าเห็นมันเป็นเรื่องเหลือวิสัย เสียเวลาเปล่า ๆ ขอให้สอนให้นักเรียน นักเรียนธรรมะ นักธรรมะของเรา เป็นพระ เป็นเณรก็ตามรู้จัก