แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายผู้เป็นสมาชิกแห่งการระดมธรรมที่กำลังประชุมกันอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาในการกระทำในครั้งนี้ ในลักษณะอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรแก่เวลาและแก่สถานการณ์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ถ้าจะให้พูดกันอย่างตรงๆก็อยากจะกล่าวว่าควรกระทำกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้เสียนานแล้ว การที่เพิ่งกระทำในเวลานี้เรียกว่ามันอยู่ในลักษณะที่สุกงอมหรือปล่อยไว้ก็เน่า อย่างนี้ก็นับว่าพอทันแก่เวลาอยู่ ในการที่จะกระทำสิ่งที่เรียกว่าการระดมธรรม
ข้าพเจ้าขอร้องให้ช่วยกันกระทำให้เหมาะสมแก่ภาวะของพุทธบริษัท หรือจะเป็นศาสนิกในศาสนาไหนก็ตาม เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เรียกว่ากระทำกันในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท ก็ขอร้องให้กระทำอย่างเหมาะสมแก่ความเป็นพุทธบริษัท คือไม่ให้เป็นเพียงพิธีรีตอง มีลักษณะงมงาย มันถือว่าหลอกตัวเองเสียมากกว่า ถ้าทำเหมาะสมแก่ความเป็นพุทธบริษัทแล้ว ก็ย่อมจะเหมาะสมแก่ความเป็นคนไทย ดู โดยอัตโนมัติ หรือจะกล่าวให้กว้างกว่านั้นก็คือเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์ ในความหมายของคำว่ามนุษย์ที่ถูกต้อง
ข้าพเจ้าเข้ามาร่วมกิจกรรมไม่ได้ด้วยตนเองจึงต้องขอถือโอกาสส่งความคิดเห็นและความรู้สึกบางประการนี้มาโดยอาศัยเครื่องมืออย่างที่ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วในเวลานี้ เรียกว่าเป็นของแทนตัวข้าพเจ้าผู้มาไม่ได้ด้วยเหตุหลายอย่างหลายประการ และส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพ ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นอยู่บ้าง และเชื่อว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับการกระทำสิ่งที่กำลังกระทำอยู่นี้ และมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะนำมาแถลงให้ทราบพร้อมๆกันไป ขอได้โปรดฟังอย่างพินิจพิจารณาด้วย
ในชั้นแรกก็จะพูดกันถึงคำว่าการระดมธรรมตามความคิดเห็นและความรู้สึก เมื่อพูดถึงคำว่า ระดม ก็พอจะเข้าใจกันได้ว่าหมายถึงอะไร ถ้าเป็นการระดมแท้จริงก็คือกระทำอย่างขยันขันแข็ง หรืออย่างว่าระดมกันดับไฟที่กำลังไหม้บ้านก็ทำกันสุดกำลังหรือสุดฝีไม้ลายมือ หรือว่าจะระดมกันขุดคูขุดคลองให้ทันแก่เวลา ก็เป็นการระดมกันอย่างสุดกำลังหรือสุดฝีไม้ลายมือ ระดมกำลังงาน ระดมเครื่องมือ ระดมกำลังสติปัญญา แต่ว่าในขณะที่กำลังระดมนั่น เราไม่ค่อยมีโอกาสคิดนึกใคร่ครวญกันมากนัก แล้วก็มีการซักซ้อมกันก่อนหน้านั้นหรือซักซ้อมอยู่เป็นประจำ เมื่อถึงคราวที่จะระดมให้ทันแก่เวลาก็จะทำได้โดยง่าย ยอมใช้พลังงานทั้งหมดที่มี ยอมใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มี ยอมใช้สติปัญญาทั้งหมดที่มี และเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครขยักไว้ได้ถ้ามันมีเหตุการณ์ที่เรียกว่าเอาเป็นเอาตายกันทีเดียว ในการระดมธรรมนี้ก็ขอให้มีความหมายอย่างนี้
สำหรับคำว่าธรรมนั้น มีความหมายมากเกินกว่าที่จะเอามาบรรยายกันในเวลาอย่างนี้ขอสรุปเอาแต่ใจความที่สั้นและถูกต้องที่สุด ว่าธรรมนั่นคือสิ่งที่จะทรงโลกนี้ไว้ได้ นี่เป็นข้อแรก คือจะทรงโลกนี้ไว้ในลักษณะที่เป็นโลก ไม่วินาศไป ไม่ว่าโลกชนิดไหนถ้ารอดอยู่ได้ก็ด้วย ด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าธรรม
ในเมื่อรอดอยู่ได้แล้วก็ยังต้องประกอบไปด้วยสันติคือความสงบสุข สันติก็มีได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรม เมื่อมีสันติแล้วก็ต้องมีความสะดวกสบายพอสมควรด้วย ความสะดวกสบายที่เกินไปนั้นเป็นการทำลายจิตใจของคนให้เหมือนกับคนบ้า ถ้าสะดวกสบายพอสมควรแล้วก็ดีแน่ การที่จะเป็นไปพอสมควรนั้นก็เรียกว่าธรรม
นี่เป็นใจความสำคัญของสิ่งที่เรียกกว่าธรรม คือพอดี หรืออยู่ตรงกลาง ไม่มากไม่น้อย ไม่สุดโต่งข้างนั้นข้างนี้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าธรรมจึงจำเป็นสำหรับที่จะทรงโลกนี้ไว้ไม่ให้พินาศและก็ให้อยู่ในสันติ ให้อยู่ในความสะดวกสบายพอสมควร ทีนี้คำว่าธรรมนั้นยังไม่หมดกระแสความ ท่านจะพูดกันสั้นๆว่าระดมธรรมก็ตามใจ ข้าพเจ้าอยากจะขยายความออกไปอีกหน่อยว่าระดมพลังแห่งธรรม ดังนั้นเราจะต้องสนใจคำว่าพลังแห่งธรรมกันอีกสักความหมายหนึ่ง
เราต้องนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพลัง ถ้าไม่มีพลังแล้วมันทำอะไรไม่ได้ แต่พลังแห่งธรรมนี้มันยังมีพิเศษตรงที่ว่า ไม่มีพลังอะไรจะจริงกว่า ดีกว่า สูงกว่า แน่นอนกว่า ขอให้ใคร่ครวญดู เพราะพลังที่ชอบพูดถึงกันนักนั้น มันเป็นพลังแห่งความโง่ก็ได้ มิจฉาทิฏฐิก็ได้ ใช้กันไปอย่างบ้าๆบอๆ ขออภัยที่ใช้คำโสกกระโดกหยาบคายอย่างนี้ ก็เพื่อประหยัดเวลา พลังของธรรมนั้นเป็นพลังที่จริงกว่า มันเป็นพลังของธรรมชาติที่เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันจึงจริงกว่า มันดีกว่า ก็ต้องเชื่อว่าเป็นธรรมมันประกอบไปด้วยธรรม มันสูงกว่าก็เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะอยู่เหนือธรรมไปได้ มันสูงกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจึงควมคุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ เหมือนกับที่พระเป็นเจ้าอยู่เหนือกว่าและก็คุ้มครองโลกได้ ทีนี้พลังแห่งธรรมจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือพระเป็นเจ้า พลังแห่งธรรมจึงสูงกว่า ไอ้ที่ว่าแน่นอนกว่านั้นก็หมายความว่าอาศัยได้ ไว้ใจได้ พึ่งพาได้ พลังอย่างอื่นนั้นมันไม่แน่นอน แต่พลังแห่งธรรมแล้วมันแน่นอนอย่างนี้ ระดมธรรมก็คือ ก็คือระดมพลังแห่งธรรมซึ่งจริงกว่า ดีกว่า สูงกว่า แน่นอนกว่า
ทีนี้ก็อยากจะให้ขยายความให้ชัดเจนออกไปอีกนิดหนึ่งอีก คือแทนที่จะพูดว่าระดมพลังแห่งธรรม ก็อยากจะพูดว่าระดมการใช้พลังแห่งธรรม ระดมพลังแห่งธรรมนั้นมันยังฟังกำกวม เลือนลางอะไรอยู่ ระดมพลังแห่งธรรม เราพูดให้ชัดเสียเลยว่า ระดมการใช้พลังแห่งธรรม การใช้พลังแห่งธรรมนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมและอย่างถูกต้องด้วย อยากจะพูดแต่เพียงว่ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมก็แล้วกัน ถ้ารู้จักผิดๆก็เรียกว่าไม่รู้จัก ถ้ารู้จักธรรม ธรรมะนี้ก็ต้องเรียกว่ารู้จักอย่างถูกต้อง หน้าที่ของมนุษย์ที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรม นั่นก็คือการระดมกันใช้พลังแห่งธรรมนั่นเอง ระดมให้ถูกพลังแห่งธรรมจริงๆ ไม่งมงาย ไม่อ่อนแอ
เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากแม้ที่เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัทผู้ประพฤติธรรมก็ยังมีความงมงายอยู่มาก และเนื่องมาจากความอ่อนแอ ไม่อดกลั้นอดทน ไม่ขยันขันแข็ง ก็พูดแต่ปาก ปากก็อาจจะพูดได้มากว่าปฏิบัติธรรม ขยันขันแข็ง แต่แล้วก็ไม่มีผลอะไรเลย ดังนั้น ขอให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมายและตามกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ พูดซ้ำกันอีกทีหนึ่งก็ว่าระดมธรรม หรือระดมพลังแห่งธรรมขยายออกไปเป็นระดมการใช้พลังแห่งธรรม ทีนี้การระดมการใช้พลังแห่งธรรมนั้นอยากจะระบุไปเสียเลยว่า คือพลังแห่งสัมมาทิฏฐิและการกระทำไปตามอำนาจของสัมมาทิฏฐินั้น นั่นก็คือการระดมการใช้พลังแห่งธรรมที่เต็มความหมาย
ระดมการใช้พลังแห่งธรรมพูดได้แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ก็เลยระบุเสียว่าสัมมาทิฏฐิคำเดียวก็พอ ระดมพลังแห่งสัมมาทิฏฐิและการกระทำไปตามอำนาจแห่งสัมมาทิฏฐิ เรามีสัมมาทิฏฐิเป็นพลัง แต่ให้สัมมาทิฏฐินั้นเป็นผู้ชักจูงไป นี้เป็นหลักที่แน่นอน อย่าใช้หลักอื่นมาเป็นเครื่องยึดถือเลย สัมมาทิฏฐิคำเดียวก็พอแล้วเพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง เราก้าวล่วงความทุกข์ทั้งหลายเพราะการสมาทานสัมมาทิฏฐิ ก้าวล่วงทุกข์ทั้งหลายก็คือตัดปัญหาทั้งหลายออกไปได้ ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ ขึ้นชื่อว่าปัญหาแล้วเป็นความทุกข์ทั้งหมดและทุกระยะเวลาด้วยคือทั้งอดีตทั้งปัจจุบันทั้งอนาคต คือต้องทำให้หมดปัญหา สัมมาทิฏฐิจะทำให้หมดปัญหา แต่ว่าต้องสมาทานสัมมาทิฏฐิ คือมีไว้อย่างถูกต้องและพร้อมมูล
ที่เรียกว่าสมาทานนั้นแปลว่าการมีไว้หรือถือเอาไว้อย่างถูกต้องและอย่างครบถ้วน ฉะนั้นสมาทานสัมมาทิฏฐิก็คือมีสัมมาทิฏฐิอย่างถูกต้องและครบถ้วน ที่นี้คำว่าถูกต้องนี่ขยายความให้ชัดดีกว่า ให้ถูกต้อง ให้เข้มแข็ง ให้มากพอและก็ให้ทันแก่เวลา อย่างน้อยก็ ๔ นัยยะแล้ว
มันต้องถูกต้องคือตรงตามเรื่องราว อย่างที่เรียกว่ามันถูกฝาถูกตัวเพราะธรรมะมีมากแง่ มากมุม มากระดับ ต้องเอามาอย่างถูกต้องถูกฝาถูกตัว แล้วก็ต้องเอามาอย่างเข้มแข็ง ไม่ใช่อย่างออดแอด อ่อนแอเหมือนที่เป็นอยู่กันโดยมาก ที่เรียกว่าเคร่งนั่นแหละจะต้องระวังให้ดี ให้มันเป็นการเคร่งที่ถูกต้อง ถ้าเคร่งครัดก็ยังใช้ได้ ถ้าเข้มแข็งนี้ก็ยังแน่นอนขึ้นไปอีก แต่เราจะเรียกสั้นๆว่ามันเข้มแข็งก็แล้วกัน ที่ว่าให้มากพอนั้นบางทีมีธรรมะกระปริบกระปรอยไม่มากพอ ถึงมีความถูกต้องแต่มันน้อยไปมันไม่มากพอมันต้องให้มีอย่างเพียงพอ ควรจะทดสอบดูด้วยตนเอง ในการมีธรรมะของตนเองแต่ละคนแต่ละเรื่องว่ามันมากพอหรือเปล่า ถ้ามันมากพอแล้วมันจะต้องแก้ปัญหาได้ หรือให้มันถูกต้องเข้มแข็งนิดๆหน่อยๆ ชั่วครู่ชั่วขณะ และมันก็ไม่มากพอด้วย อันสุดท้ายก็ให้ทันแก่เวลา ถ้ามานอกเวลาไม่ทันแก่เวลาก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงย้ำมากในข้อที่ว่าให้มันทันแก่เวลา อย่างที่ตรัสหรือยอมรับที่คนอื่นกล่าวว่า ข โณ มา โว อุปัจจคา (นาทีที่ 00.21.18) ขณะอย่าก้าวล่วงท่านทั้งหลายไปเสียเลย เรื่องราวหนึ่งๆเหตุการณ์อันหนึ่งประโยชน์อันหนึ่ง ล้วนแต่มีเวลาจำกัดเฉพาะ และมันจะต้องสำเร็จลงในขณะหนึ่งเท่านั้น ถ้าขณะนี้พลาดไปก็ยุ่งกันหมด เพราะมันเนื่องด้วยสิ่งหลายสิ่ง หรือแม้ที่สุดก็เนื่องด้วยเวลานั่นเองเป็นส่วนสำคัญ ต้องทันแก่เวลา การจะมีสัมมาทิฏฐิก็ต้องให้ถูกต้อง เข้มแข็งมากพอ และทันแก่เวลา นีเรียกว่าเป็นการระดมการใช้พลังของสัมมาทิฏฐิอย่างถูกต้อง
ทีนี้ก็มาดูกันต่อไปว่าเราระดมพลังแห่งธรรมะนี้เพื่อประโยชน์อะไรให้ชัดเจนลงไปอีกทีหนึ่ง เราระดมการใช้พลังแห่งธรรมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเรา อย่างที่มีการกล่าวปรารภแล้วในแถลงการณ์ที่ได้โฆษณาไปในลักษณะเป็นการเชิญชวนในการระดมธรรม สรุปความว่าเรามีปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนกับว่าไฟไหม้หลังคาบ้านอยู่ทีเดียว จะต้องรีบจัดการให้ทันแก่เวลา
ปัญหาเฉพาะหน้าของเราควรจะมองกันให้กว้างๆอย่างที่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาเฉพาะหน้าของเราในฐานะที่เป็นคนไทยคือจะมีปัญหาในการที่จะรักษาความเป็นคนไทย หรือมีความเป็นไทย หรือมีเอกราชของชนชาติไทย ทีนี้ถ้าพูดว่าเราเป็นชาวโลกกับเขาด้วยคนหนึ่งและก็มีปัญหาเฉพาะหน้าที่เราจะต้องทำเพื่อโลกหรือเพื่อมนุษย์โลก ใครปฏิเสธได้ว่าเราไม่เป็นชาวโลกและใครจะยอมให้เราปฏิเสธ และที่ ที่สำคัญกว่านั้นเราเป็นพุทธบริษัท และก็มีหน้าที่เพื่อเป็นพุทธบริษัท จะต้องแก้ปัญหาของพุทธบริษัทเพื่อคงความเป็นอริยชนไว้ให้ได้ ขอซักซ้อมอีกทีหนึ่งว่าแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเราในฐานะเป็นคนไทยก็แก้ปัญหาเพื่อความมีเอกราชอย่างคนชนชาติไทย ในฐานะที่เป็นชาวโลกก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อมนุษยโลก มนุษยชาติ ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทก็แก้ปัญหาเพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นอริยชน เป็นพุทธบริษัทนั่นมีความหมายสำคัญอยู่ที่ว่าต้องเป็นอริยชน คือคนที่เป็นอริยชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นคนธรรมดาหรือเป็นปุถุชน ซึ่งมีอะไรๆไม่ค่อยจะแตกต่างจากสัตว์ทั่วๆไปนัก
เป็นมนุษย์ก็มีใจสูงมีความหมายดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นพุทธบริษัทเข้ามาอีก ความหมายก็เพิ่มมากขึ้นไปอีกจนถึงกับว่าจะเป็นอริยชน ขอให้มองเห็นและก็รับรู้ไว้ด้วยเป็นอันว่าเราจะสรุปเอาใจความกันอย่างนี้ดีกว่า ว่าการระดมการใช้พลังแห่งธรรมนั้นเราจะทำไปเพื่อความมุ่งหมาย ๓ ประการคือ
หนึ่ง เพื่อระงับวิกฤตการณ์ของมนุษยโลก นี้เป็นประโยชน์เพื่อมนุษย์ เพื่อโลกส่วนรวม
สอง เพื่อความปลอดภัยของชนชาติไทย นี้เพื่อประโยชน์แก่ประเทศไทยของคนไทยในฐานะที่เป็นหน้าที่ของชนชาติไทย และ
สาม เพื่อความสุขสวัสดีของแต่ละคนๆ ไม่เลือกชั้นชาติ ไม่เลือกศาสนาก็ได้
อย่างต่ำที่สุดก็เพื่อบุคคลคนหนึ่ง สูงขึ้นมาก็เพื่อชนชาติไทยทั้งหมด สูงขึ้นไปอีกก็เพื่อมนุษย์ เพื่อโลกทั้งหมด ทำไมเราต้องแยกออกเป็น ๓ ชั้นอย่างนี้ เพราะว่ามันไม่อยู่ในระดับเดียวกันบ้าง มันแตกแยกกันไปตามเหตุผลหรือตามปัจจัยที่เนื่องกันอยู่ อย่างเดี๋ยวนี้ที่เรานึกถึงโลกมนุษย์นี่แล้ว ก็รู้สึกว่าน่าหวาดเสียวคือเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์มากขึ้นจนพูดกันไม่รู้เรื่อง อาจจะทำลายล้างกันให้หมดไปจากโลก หรือเกือบหมดไปจากโลกเมื่อไรก็ได้ นี่มันกว้างขวางอย่างนี้ ทีนี้ประเทศไทยเราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกก็มีปัญหาที่เนื่องด้วยเหตุปัจจัยเฉพาะของประเทศไทย ก็ต้องแบ่งแยกออกมาสำหรับจะแก้ไขกันอีกส่วนหนึ่งให้เหมาะเจาะ เหมาะสมแก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ ทีนี้ที่ว่าสำหรับปัจเจกชนคนหนึ่งๆนั้นหมายถึงโอกาสที่คนแต่ละคนจะทำได้มากกว่าที่จะทำรวมๆกัน เขาก็มีปัญหาเฉพาะตน ซึ่งจะต้องพยายามแก้ด้วยตนของตนเป็นพิเศษไม่มีใครมาร่วมวงได้ เพราะมันเป็นปัญหาเฉพาะตน
สรุปได้สั้นๆว่า เพื่อระงับวิกฤตการณ์ของโลกเป็นข้อแรก เพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติเป็นข้อที่สอง เพื่อความสุขสวัสดีเป็นพิเศษของคนแต่ละคนเป็นชั้นที่สาม ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นการปรารภกันในเบื้องต้น ปรารภใจความของเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนสำหรับกิจกรรมที่เรียกกันว่าการระดมธรรมหรือระดมพลังแห่งธรรม หรือระดมการใช้พลังแห่งธรรมก็ตาม ทีนี้เรามาพูดกันทีละเรื่องให้ละเอียดออกไป
เรื่องแรกก็คือหัวข้อแรกที่ว่าระดมพลังแห่งธรรมในลักษณะที่เป็นการต่อต้านเพื่อประโยชน์แก่โลกเป็นส่วนรวม เรียกว่าข้อแรกให้นึกถึงโลกทั้งหมดก่อนและก็ระดมการใช้พลังแห่งธรรมเพื่อผลดีแก่โลกทั้งโลก ข้อแรกจะต้องนึกถึงว่าโลกของเราควรจะเป็นอย่างไร โลกในปัจจุบันนี้มีลักษณะอย่างไร โลกในปัจจุบันนี้ควรจะผ่านเลยไปถึงความวินาศหรือไม่ หรือจะหยุดยั้งอยู่ได้แล้วก็แก้ไขให้กลับไปสู่ความสวัสดีและปลอดภัย แม้อย่างวิธีที่เรียกว่าต้องถอยหลัง อย่างที่เค้าเปรียบกันนักว่า "ถอยหลังเข้าคลอง"
เดี๋ยวจะได้พูดกันถึงข้อนี้ เพื่อให้เข้าใจข้อนี้ว่าโลกจะวินาศหรือไม่จะต้องศึกษากันสักหน่อยและใช้ระยะเวลายืดยาวพอสมควร มันลำบากอยู่ที่ว่าเราไม่ได้มีอายุยืนตั้งร้อยปีพันปีหรือหลายพันปี เราจึงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดแจ้งด้วยตาของเราเอง เราจึงต้องศึกษาจึงต้องคำนวณเดี๋ยวนี้สังคมมันเป็นอย่างไร ถ้าเทียบกันเมื่อสักไม่กี่ร้อยปีมานี้ก็จะเห็นว่าต่างกันไกลลิบ พูดแล้วก็น่าหัวที่จะพูดว่าก่อนนี้พวกโจรมีอยู่ในป่าในเวลาค่ำคืน แต่เดี๋ยวนี้พวกโจรมีอยู่ในกรุงแล้วก็ประกอบกิจกรรมของเขากลางวันแสกๆ นี่มันเปลี่ยนถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ยอม ยอมรับหรืออย่างไร คนสมัยโน้นไม่ใจดำอำมหิต อย่างที่มีใจดำอำมหิตอยู่ในโลกเวลานี้ แม้ในกลางกรุงนครหลวงนี้ เมื่อวานนี้ก็ยังได้ฟังข่าวเรื่องผัวคนหนึ่งฆ่าเมียเป็นการยิงด้วยปืน และฆ่าลูกหญิงเล็กๆ ด้วยการยิงด้วยปืนและก็ฆ่าตัวเองด้วยปืนกระบอกเดียวกัน เพราะเหตุแต่เพียงว่าสงสัยว่าเมียมีชู้และก็ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นจนถึงประกอบกรรมอันนี้
ในสมัยนี้ที่ถือกันว่ามนุษย์มีความเจริญ แต่ว่าในสมัยโน้นที่ถือกันว่ามนุษย์ยังโง่ยังไม่เจริญนั้นเขาไม่ทำกันอย่างนี้ เขามีการอบรมมาด้วยธรรมะอย่างอื่นซึ่งทำให้ให้อภัยได้หรือจะหย่ากันโดยอย่างหัวเราะเยาะก็ได้ ไม่มีทางที่จะฆ่าเมีย ฆ่าลูกและฆ่าตัวเองด้วยความโง่เขลาบ้าหลังอย่างเดี๋ยวนี้ และในวันเดียวกันนี้ยังมีข่าวเรื่องผู้ชายคนหนึ่งฆ่าพี่สาวด้วยมีดในครัวที่กำลังนอนอยู่ด้วยเหตุเพียงนิดเดียวว่าขอเงินไปใช้ไม่ได้ เขาเป็นคนเหลวไหลไม่ค่อยทำงาน พี่สาวเขาไม่ให้เงินใช้ก็โกรธขึ้นมา ก็ฆ่าเสียแล้วก็พาข้าวของหนีไป นี่ในถิ่น ในยุคสมัยที่ถือกันว่าเจริญมันยังมีอย่างนี้ และมันกลับไม่มีในถิ่นหรือในยุคในสมัยที่หา และที่ถูกประนามว่ายังไม่เจริญ ขอให้คิดดูเถิด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องวัดที่ดีว่าโลกปัจจุบันนี้กำลังเป็นอย่างไร ถ้าเห็นว่ามัน ว่ามันกำลังเปลี่ยนไปสู่ความวินาศแล้วเราก็จะต้องนึกถึงการแก้ไข ถ้ามันเดินไปผิดเราก็ต้องถอยหลังมาหาความถูก ยิ่งเดินไปมันก็ยิ่งผิดมากไป หรือว่าออกข้างๆคูๆมันก็คงจะไม่ถูกได้
ถ้าเมื่อสมัยโบราณแต่กาลก่อนมันถูกคือมันไม่มีเหตุการณ์อันเลวทรามอย่างนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องถอยหลังเข้าคลองไปหาความถูก เรื่องจะรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือนั้นไม่สำคัญ คนสมัยที่ไม่เคยรู้หนังสือก็อยู่กันเป็นผาสุขมีสันติสุขกี่พันปีมาแล้วก็ตามใจ แม้ในครั้งพุทธกาลนี้ก็เรียกว่าไม่รู้หนังสือ ไม่มีการใช้หนังสือ หรือในประเทศไทยเราหลายร้อยปีมาแล้วก็เรียกว่าไม่รู้หนังสือกันเป็นส่วนใหญ่ ต้องสอนธรรมะกันด้วยรูปภาพเป็นต้น แต่มันมีความอยู่กันเป็นผาสุก สงบสุขมีจิตใจประกอบด้วยธรรมะในทุกแง่ทุกมุมนั่นเอง เดี๋ยวนี้มันมีความเปลี่ยนแปลงในการมีธรรมะของแต่ละคน นี้เราก็จะระดมธรรมนี่ก็เพื่อโลกปัจจุบันนี้ อย่าได้เลยต่อไปอีกเพราะมันเลวมากพอแล้ว ย้อนกลับมาหาความปลอดภัยเพื่อจะได้เป็นโลกที่อยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่พึงปราถนา เรียกว่าเป็นโลกที่มันมีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ อยู่ในจิตใจของมนุษย์ตามสมควร
ถ้าคนแต่ละคนมีความสะอาด สว่าง สงบ สามอย่างนี้อยู่ในจิตใจแล้ว โลกนี้ก็เป็นโลกแห่งความสะอาด สว่าง สงบ โดยไม่ต้องสงสัย เราอยากจะมีโลกในรูปแบบที่น่าชื่นใจ น่าปราถนา เราจึงต้องมีการแก้ไข ที่นี้เพื่อจะให้รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าโลกดีขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้นพูดกันรู้เรื่องง่ายขึ้น อาตมาอยากจะชี้หรือแนะให้มองดูสิ่งที่เรียกว่าโลก โลกนี่น่ะใน ๓ รูปแบบด้วยกัน แบบที่หนึ่งสมบูรณ์ทางมโนธรรมแต่ไม่สมบูรณ์ทางวัตถุ แบบหนึ่งสมบูรณ์ทางวัตถุแต่ไม่สมบูรณ์ทางมโนธรรม ส่วนอีกแบบหนึ่งสมบูรณ์ทั้งทางมโนธรรมและทางวัตถุ ขอให้ดูให้ดีมันเป็นสิ่งที่ควรสนใจอย่างยิ่งเพราะมันเกี่ยวกับปัจจุบันและอนาคตของเราทุกคนนั่นเองว่า
โลกแบบหนึ่งสมบูรณ์ทางจิตหรือทางมโนธรรมอย่างสมัยพุทธกาลเป็นต้น แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวัตถุ ปัจจัย อุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบาย ในยุคที่ศาสนาเกิดขึ้นในโลก หลายๆศาสนานี้ก็ได้กล่าวไว้ว่ามีปัญหาทางมโนธรรมมากกว่าและเขาก็ไม่มีเวลาที่จะไปสนใจกับเรื่องทางวัตถุมากนักพออยู่กันไปได้ก็แล้วกัน เพราะว่าความรู้มันยังไม่เจริญในทางวัตถุ แต่ก็ได้ชดเชยด้วยความรู้ในทางนามธรรมคือทำจิตใจของเราให้ต่อสู้ได้ในทุกกรณีที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา เราก็อยู่ได้ด้วยโลกแบบที่เรียกว่าสมบูรณ์ในทางมโนธรรมหรือเพียงพอด้วยมโนธรรม แต่ยังไม่สมบูรณ์ในทางวัตถุ
ที่นี้โลกก็ได้เปลี่ยนมาเรื่อยจะโดยอะไรก็ตาม สำหรับโลกปัจจุบันนี้ควรจะถือว่าสมบูรณ์ทางวัตถุ สมบูรณ์เลยสมบูรณ์จนเฟ้อ จนเรียกว่าบ้าหลังเอาทีเดียว แต่แล้วกลับไม่มีหรือไม่สมบูรณ์หรือถึงกับพินาศในทางมโนธรรม ที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้คนเป็นอันมากก็หาว่ามุ่งร้าย เจตนาร้ายดีแต่ด่าคนอื่น ข้อนี้จะไม่ตอบหรือไม่โต้ตอบแต่จะขอร้องว่าให้ดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวนี้สมัยนี้คนในโลกนี้มีมโนธรรมกี่มากน้อย พึงวัดด้วยการเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว ยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนผู้อื่นหรือไม่ มุ่งแต่จะเอาส่วนเกินมาเป็นของตนให้หมดหรือไม่ โลกกำลังเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายต่อการเบียดเบียนแย่งชิงข่มเหงเอาเปรียบหรือไม่ ทั้งๆที่ว่าโลกนี้มันมีความก้าวหน้าทางวัตถุ มีเครื่องใช้ไม้สอยเป็นอยู่กินอยู่อย่างที่เรียกว่าไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน คล้ายๆกับเป็นของทิพย์ของสวรรค์เอาทีเดียว แต่แล้วมันก็เป็นไปเพื่อพอกพูนความเห็นแก่ตัว คือส่งเสริมกิเลส ยิ่งก้าวหน้าด้วยวัตถุอย่างนี้ก็ยิ่งพอกพูนกิเลส แล้วจะได้อะไรขึ้นมานอกจากความเบียดเบียน เบียดเบียนผู้อื่นนั้นเห็นได้ชัดแต่เบียดเบียนตัวเองนั้นยิ่งมากกว่านั้นแต่มันเห็นยาก คนที่เดือดร้อนระส่ำระสายเป็นโรคเส้นประสาทเป็นบ้าตายมากขึ้นทุกทีในโลกปัจจุบัน
แม้ในประเทศไทยเรานี้ เพราะว่ามันเบียดเบียนตัวมันเองอย่างไม่รู้สึกตัว มันไปหลงผิดเป็นทาสของวัตถุเป็นทาสของเนื้อหนัง ต้องการเกินความจำเป็น แสวงหาเกินความจำเป็น บริโภคเกินความจำเป็นเกินฐานะอะไรต่างๆ มันก็มีปัญหาเกิดขึ้นจนเป็นโรคเส้นประสาทจนเป็นบ้าจนกระทั่งตายไป นี้เรียกว่ามันมีความสมบูรณ์ทางวัตถุแต่มันพินาศในทางจิตใจหรือทางมโนธรรม
ทีนี้ในโลกรูปแบบที่สามคือสมบูรณ์ทั้งสองทางนั้น นี้เค้าเรียกกันมาแต่ก่อนโน้นว่าโลกสมัยพระศรีอารย์ หรือว่าโลกพระศรีอารย์ มีธรรมะสูงตามแบบของพุทธบริษัท คือมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอนและการเป็นอยู่ของประชาชนก็สมบูรณ์ด้วยวัตถุปัจจัยเพื่อความสะดวกสบายอย่างที่กล่าวไว้มากมาย จนถึงกับว่าเปรียบเหมือนกับมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ คือต้นไม้ที่ให้สำเร็จความปราถนาแก่ทุกคนอยู่ทั่วไปทุกมุมเมือง ใครต้องการอะไรก็ไม่ขาดแคลน แล้วบางทีความหมายเหล่านั้นมีความสะดวกสบายเหมือนกับอย่างกับว่า น้ำในแม่น้ำนั้นน่ะ ไหลลงข้างหนึ่งไหลขึ้นข้างหนึ่ง มีศีลธรรมดีถึงขนาดว่าเมื่อคนลงไปจากเรือนแล้วก็จำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันเหมือนกันไปหมด พอกลับมาถึงบ้านขึ้นบนเรือนของตัวแล้วจึงจะรู้ว่า บ้านของเรา ผัวของเรา เมียของเรา ลูกของเราอย่างนี้เป็นต้น นั่นสมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายมโนธรรม เรียกว่าพระศรีอาริยเมตไตรย
เมตไตรยแปลว่ามีความเป็นมิตร อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ไม่มีศัตรูแม้แต่กระผีกเดียว ในศาสนาของพระศรีอารย์หรือโลกพระศรีอารย์เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็น่าหัวที่ว่าเมื่อคำว่า socialism เข้ามาในประเทศเราใหม่ๆ มีคนแตกตื่นกันว่าเป็นลัทธิพระศรีอารย์แต่เราก็ไม่กล้าเชื่อ และก็มาหันไปพิสูจน์ว่าพระศรีอารย์เก๊ ไอ้ socialism หรือสังคมนิยมเพียงแต่ให้ทุกคนมีใช้มีกินมีความสะดวกสบายพอๆกันนั้น มันจะเป็นโลกพระศรีอารย์ไปไม่ได้เพราะมันเป็นไปแต่เรื่องทางวัตถุ เรื่องจิตใจมันยังเห็นแก่ตัว หรือว่ามันยังมีกิเลสตัณหามาก ท่านทั้งหลายไปคำนวณดูเอาเองว่าให้ทุกคนมีกินมีใช้สะดวกสบายไปหมด แต่ถ้ามันมีกิเลสตัณหามากแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็ยังคงเบียดเบียนกันอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหานั่นแหละ มันจะล่วงเกินบุตร ภรรยา สามี ของบุคคลอื่นอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นพระศรีอารย์เก๊ มันไม่เป็นสังคมนิยมทั้งทางฝ่ายวัตถุและทาง ทางฝ่ายมโนธรรม มันเป็นแต่ฝ่ายวัตถุอย่างเดียว มันก็เป็นเรื่องที่น่าหัว
จนกระทั่งวันนี้เดี๋ยวนี้ ไอ้พวกที่ละเมอเพ้อฝันในเรื่องของสังคมนิยมนั่น มันไม่เคยมองเลยว่าความสมบูรณ์แต่ทางวัตถุนั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ มันจะทำให้มนุษย์รักใคร่กันไม่ได้หรือให้มนุษย์มีกิเลสเบาบางลงมันก็ทำไม่ได้ มันต้องการแต่สิ่งบำรุงบำเรอกิเลสตัณหามากขึ้นไป นี่ ยิ่งบำรุง บำรุงบำเรอมากขึ้นไปมันก็คล้ายคนบ้า มันมากขึ้นทุกที มันจึงมีความผาสุกหรือสันติสุขไปไม่ได้ และถ้าเป็นโลกพระศรีอารย์โดยแท้จริงแล้ว ก็จะต้องถูกต้องเหมาะสมทั้งทางฝ่ายวัตถุและจิตใจจึงจะไม่มีปัญหา
ยิ่งโลกมีอยู่สามแบบอย่างนี้เราจะระดมธรรมหรือระดมพลังแห่งธรรมเพื่อโลกแบบไหนก็คิดดูเอาเอง เป็นของง่ายแล้วก็เด็กๆก็พอจะคิดออก ดังนั้นการจะพูดว่าเราจะระดมธรรมเพื่อโลกมีความสุขสวัสดีนี่ มันต้องเป็นโลกชนิดที่สมบูรณ์ด้วยมโนธรรมและวัตถุในสัดส่วนที่กลมกลืนกันไป เป็นอันว่าระดมธรรมในลักษณะการต่อต้านเพื่อโลกรอดอยู่ได้นั้นจะต้องไปไกลถึงกับว่ามีความถูกต้องทั้งส่วนมโนธรรมและส่วนวัตถุ และมันก็เป็นสังคมนิยมที่ถูกต้องหรือเป็นอะไรที่ถูกต้องไปในตัวเอง เรียกชื่ออย่างเดียวกันแต่มันผิดได้เพราะเหตุนี้
ทีนี้ ที่ต้องดูกันต่อไปเกี่ยวกับโลกนั้นก็มีว่าไอ้โลกนี้มันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้จากธรรมะหรือจากมโนธรรมหรือจากสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ดังนั้นถ้าเราต่อสู้เพื่ออยู่รอดของโลกก็เพื่อเราต่อสู้ให้โลกมันมีธรรม มีมโนธรรมหรือมีศาสนา ในโลกที่มีมโนธรรมเท่านั้นแหละจะเป็นโลกที่น่าอยู่หรือเป็นโลกที่น่าปราถนา โลกที่ปราศจากธรรมะแล้วมันก็จะเป็นโลกอย่างเดียวกับโลกสัตว์เดรัจฉาน หรือจะเลวร้ายไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะคนมันคิดเก่งว่าสัตว์เดรัจฉานมาก มันคงทำอันตรายกันมากกว่าที่สัตว์เดรัจฉานจะทำอันตรายแก่กัน
ความลำบากอย่างยิ่งมันมีอยู่ที่ว่าสิ่งที่เรียกว่า ว่ามโนธรรมนี่มันมีหลายขั้นตอน มีหลายระดับ มันเป็นความรู้สึกของคนที่รู้สึกต่างๆกัน ว่าอย่างนี้เรียกว่ามโนธรรม อย่างนั้นไม่ใช่ เพียงเท่านี้ก็เถียงกันไม่หวาดไหวอยู่แล้วเพราะมันหลายขั้นตอนความหมายของคำนี้กำกวมอยู่ตลอดเวลา ความหมายมันดิ้นได้เปลี่ยนไปได้ตามการศึกษาในโลกนี้ โลกนี้มีการศึกษาอย่างไร เข้าใจสิ่งต่างๆอย่างไร ก็บัญญัติไอ้สิ่งที่เรียกว่ามโนธรรมนั้นไปตามความรู้สึกนั้นๆ เราจึงเถียงกันไม่รู้จักจบว่ามโนธรรมที่แท้จริงที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร พวกคอมมิวนิสต์ก็ถือว่ามโนธรรมนั้นคืออย่างนั้น พวกสังคมนิยมอ่อนลงมาก็ถือว่าอย่างนี้ พวกประชาธิปไตยฟุ่มเฟือยก็ถือว่าอย่างโน้น เราก็ไม่รู้ว่าจะเอามโนธรรมอย่างไหน พุทธบริษัทจะต้องมีมโนธรรมที่ถูกต้องตามแบบของพุทธบริษัทเรา เพราะฉะนั้นขอให้เราทำการรณรงค์ต่อสู้ ในการระดมธรรมคือระดมการใช้กำลังแห่งธรรมให้มันได้มาซึ่งโลกที่พึงปราถนา อันนี้เป็นข้อแรก ก็ขอให้เราจงระดมธรรมเพื่อประโยชน์แก่โลกกันในลักษณะอย่างนี้เถิด
ที่นี้ก็มาถึงขั้นที่สองที่เราจะต้องระดมธรรมในลักษณะการต่อต้านเพื่อประโยชน์เพื่อประโยชน์แก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ เรื่องก็ต้องดูกันก่อนว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาอย่างไร เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือเพื่อจะแก้ปัญหานั้นๆ และเรามีเหตุผลอะไรเป็นของเฉพาะตน ซึ่งไม่เหมือนกับของคนเหล่าอื่น ซึ่งเราจะต้องยึดถือเป็นหลักเพื่อแก้ไขของเราโดยเฉพาะนั้นให้ได้จริงๆ ปัญหาของประเทศชาตินั้น มันก็เหมือนๆกันทุกประเทศก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ใหญ่เล็กกว่ากัน โดยหลักทั่วไปมันก็เหมือนๆกัน แต่มันมีปัญหาว่ามันไม่ได้อย่างนั้น ยิ่งไม่มีอำนาจก็ยิ่งไม่ได้อย่างนั้น ก็ไม่ ก็ไม่ได้อย่างที่ต้องการมากขึ้น เรามีปัญหาของประเทศ และก็ปัญหาทางการเมืองนี้ก็เพื่อการอยู่รอดเพื่อความเป็นเอกราชของประเทศชาตินั่นเอง เรามีปัญหาทางเศรษฐกิจก็เพื่อให้ประเทศของเรามีกำลังที่จะบันดาลอะไรได้ หรือว่าเรามีปัญหาทางวัฒนธรรม ทางศีลธรรมนี้ก็เพื่อว่าประเทศของเราจะได้มีความสงบสุข มีสันติสุข ทั้งส่วนปัจเจกชนและส่วนสังคม มันมีปัญหาไม่สิ้นสุดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แก้ไขไม่จบบ้าง รักษาไว้ไม่ได้บ้าง มันก็เหมือนกับมีปัญหาอยู่นั่นเอง ทีนี้ปัญหาเหล่านี้มันเกี่ยวข้องคือพัวพันกันไปถึงประเทศอื่นๆที่เราเรียกว่าต่างประเทศ
ทีนี้แต่ละประเทศไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน เข้มแข็งกว่ากัน มีอิทธิพลกว่ากัน ปัญหามันก็เลยมากออกไปอีก ในที่สุดมีการยื้อแย่งกันเพื่อจะเอาอย่างนั้นเพื่อจะเอาอย่างนี้ หรือถึงกับแย่งกันเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้แก้ปัญหาของประเทศชาติ มีความยื้อแย่งกันในระหว่างอุดมคติต่างๆ ลัทธิการเมืองต่างๆ ประชาธิปไตยบ้าง สังคมนิยมบ้าง คอมมิวนิสต์บ้าง นี่เป็นตัวอย่างที่มีอยู่เวลานี้ ที่มีอยู่จริงตลอดเวลา มีการยื้อแย่งกันระหว่างลัทธิ ระหว่างอุดมคติแล้วก็ต้องมีการต่อสู้กันเป็นธรรมดา นั่นเป็นปัญหาที่เร่าร้อนที่แผดเผาที่สุด ทุกคนก็มองเห็น เมื่อมองเห็นแล้วก็จะรู้สึกขึ้นมาเองว่า เราจะต้องระดมกำลังกันแก้ไข เหมือนกับช่วยกันระดมดับไฟที่มันกำลังไหม้บ้าน ก็จะทำกันอย่างนั้นจริงหรือเปล่าเราก็ดูเอาเอง ถ้าทำกันแต่ปากมันก็เหมือนกับว่าสร้างปัญหาให้มากขึ้น
ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์มันก็ต้องมุ่งหมายที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือ เพราะเรามีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น เราจะได้มีเครื่องมือในการใช้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ในลักษณะที่ต่างกันมาก แต่พอจะแบ่งแยกได้เป็น ๓ อย่าง ๓ ตอน เราต้องป้องกัน ต้องต่อต้าน ต้องแก้ไข ป้องกันไม่ให้เข้ามา ถ้ามันเข้ามาก็ต่อต้าน ได้แล้วก็ต้องแก้ไขให้มันถูกต้อง ลัทธิที่ไม่พึงปราถนาที่มาจากข้างนอกหรือจะเกิดขึ้นข้างในล้วนแต่ต้องป้องกันทั้งนั้น ป้องกันสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ ต่อต้านสิ่งลาย เลวร้ายเหล่านี้ แก้ไขสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เราจะแก้ไขหรือป้องกันด้วยสิ่งชนิดไหน
อยากจะถามว่าเราจะต้องใช้สิ่งที่มันตรงกันข้ามอย่างหนึ่ง หรือว่าเราจะต้องใช้สิ่งที่เป็นชนิดเดียวกันแต่ดีกว่าหรือเหนือกว่า หรือว่าเราจะใช้สิ่งที่พอๆกันหรือเลวกว่า
สมมติเรา เกลียดลัทธิการเมืองชนิดนี้ เราจะต้องเราจะใช้อะไรที่จะขจัด ขจัดออกไป ถ้าเราจะใช้สันติวิธีเราจะต้องทำอย่างไร ถ้าเราจะใช้ความทารุณโหดร้ายเราจะต้องทำอย่างไร ถ้าเราใช้สิ่งที่ตรงกันข้ามก็ต้องปะทะกันและฆ่าฟันกันเป็นธรรมดา ถ้าเราใช้สิ่งที่ดีกว่าหรือเหนือกว่าแยบยลกว่า ก็ไม่ต้องฆ่าฟันกัน และมันก็จะสำเร็จประโยชน์เต็มตามความมุ่งหมาย
อย่างเราเกลียดคอมมิวนิสต์ ไม่ชอบ เราก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า ที่เหนือกว่า เราก็จะต่อสู้คอมมิวนิสต์ได้ หรือถ้าเราเกลียดสังคมนิยมชนิดนั้น เราก็ต้องเป็นสังคมนิยมชนิดอื่นที่ดีกว่า เหนือกว่า ถูกกว่า แยบยลกว่า เราก็เอาชนะได้ เราเกลียดประชาธิปไตยเพ้อเจ้อเหมือนที่กำลังมีอยู่เวลานี้ เราก็ต้องมีประชาธิปไตยที่จริงกว่า เหนือกว่า สูงกว่า เราก็จะเอาชนะได้ นี่คือความหมายของคำว่าเราจะต่อต้าน ป้องกัน แก้ไข ด้วยสิ่งที่เหนือกว่านี่อย่างหนึ่ง
ทีนี้เราจะต่อต้านด้วยสิ่งที่พอๆ กันหรือเลวกว่านี่ไม่ต้องพูดก็ได้ คือมันเป็นไปไม่ได้ มันเหลืออยู่แต่ว่าเราจะใช้สิ่งที่ตรงกันข้าม จะได้ฆ่าฟันกัน หรือว่าเราจะใช้สิ่งชนิดเดียวกันแต่ที่ว่ามันเหนือกว่า หรือดีกว่า สูงกว่า จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้โดยที่ไม่ต้องฆ่าฟันกัน ถ้าเรามองเห็นอย่างไหนจะเป็นเส้นทางรอดได้แล้วก็ขอให้ช่วยกันระดมพลังแห่งธรรม ในการป้องกันต่อต้านแก้ไขในลักษณะเช่นนั้นเถิด ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เรามีอะไร ก็มีสิ่งที่ได้เอ่ยชื่อถึงมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าสัมมาทิฏฐิ คือมีความรู้ความเห็นความเข้าใจอันถูกต้อง ถูกต้องจนแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ แล้วก็ทำให้มันเหนือกว่า หากแต่ว่าเราจะต้องมีวิธีของเราเองตามแบบของพุทธบริษัท และก็จะต้องถูกต้องตามเหตุปัจจัยอันอื่น ฉะนั้นชนชาติไทยของเราอยู่ในประเทศไทยอย่างนี้ มีภูมิประเทศอย่างไร มีทรัพย์ในดินอย่างไร ดินฟ้าอากาศอย่างไร วัฒนธรรมในสายเลือดเป็นอย่างไร เราอยู่มาถึงทุกวันนี้และปัญหามันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราต้องมีอะไรเป็นของเฉพาะที่เหมาะสมกับไอ้ลักษณะเหล่านี้ อย่าไปหลับตาหลงคว้าเอาไอ้อย่างอื่นที่มันเหมาะกับคนพวกอื่นสำหรับแก้ปัญหาของเขาโดยเฉพาะมาแก้ปัญหาของเรา
เราต้องมีสัมมาทิฏฐิของเรา ความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อถืออะไรต่างๆ นี้ ที่จะรวมสั้นๆว่าทิฏฐิ หรือความคิดเห็นในที่สุดนั้นคือความถูกต้อง เรามีเอ่อ,วัฒ วัฒนธรรมที่ถอดแบบออกมาจากพุทธศาสนาอยู่ในสายเลือด เอ่อ,ซึ่งมีอหิงสาเป็นหลัก คือมีการไม่เบียดเบียนเป็นหลัก ดังนั้นเราจะต้องใช้ดอกบัวสีเหลือง คือถือดอกบัวสีเหลืองเป็นการแก้ปัญหา อย่าถือดอกบัวสีแดงเลย อย่าใช้ดอกบัวสีแดงเลยมันจะต้องหลั่งเลือด ถ้าใช้ดอกบัวสีเหลืองมันก็ด้วย เอ่อ,มันอำนาจของสัมมาทิฏฐิอันจะแก้ปัญหาได้ เอ่อ,เขาเป็นอะไรมา เอ่อ,เราเป็นได้เหนือกว่า เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้เราก็ชนะเขาได้โดยสันติ อยู่ร่วมด้วยกันโดยสันติ อย่างสมมติว่าเขาใช้ระบบสหกรณ์แบบของเขา เราก็ต้องมีแบบของเราที่ดีกว่าเหนือกว่าเพื่อประโยชน์แก่ประ เอ่อ,แก่พวกของเรา ซึ่งมีเอ่อ,ลักษณะอย่างนี้ เราก็ไม่ต้อง ไม่จำเป็นจะต้องยอมรับไอ้ระบบอื่นที่ไม่เหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วมันแบ่งแยกกันตรงที่ว่าเราไม่ต้องการการเบียดเบียน ไม่ต้องการการหลั่งเลือด ตามแบบของไอ้พุทธบริษัทหรือตามศาสนาไหนก็ตามล้วนแต่ไม่ต้องการหลั่งเลือด หากแต่ว่าเอ่อ,สาวกในศาสนานั้นเข้าใจผิดเองทำให้เกิดการหลั่งเลือดบ่อยๆ นั้นมัน มัน มัน ไม่ใช่เจตนาของไอ้ศาสนานั้นๆ หรือของพระศาสดานั้นๆ จะต้องระวังให้ดี ถ้าเรามีภัยจากลัทธิอะไร เราต้องมีเอ่อ,ความฉลาดสามารถในลักษณะที่เหนือกว่า ในรูปแบบเดียวกันที่เหนือกว่า สูงกว่า ดีกว่าเสมอไป อย่างนี้อยากจะเรียกว่าเพื่อป้องกันในการหลั่งเลือดนั่นเอง ประเทศไทยเราจึง จึงจำเป็นที่จะต้องมีอะไรตามแบบเป็นของของ ของไทยเรา ที่ถือเอ่อ,พระธรรมเป็นหลัก จึงย้ำว่าเราจะถือดอกบัวสีเหลืองในการแก้ปัญหา รีบทำความเข้าใจกันในข้อนี้ว่าอันนี้มันเหมาะอย่างยิ่ง ซึ่งเหมาะเต็มที่สำหรับจะใช้แก้ปัญหาของเราซึ่งมีอะไรๆเป็นอย่างนี้ ดอกบัวสีแดงอาจจะเหมาะสำหรับพวกอื่น มีปัญหาอย่างอื่นไม่เหมือนเรา ไม่ตรงกับสิ่งที่เรียกว่านิสัยสันดานพื้นฐาน หรือกำพืดของเรา เราต้องการเอ่อ,ดอกบัวสีเหลืองเสมอไป นี่แหละคือการระดมธรรมที่แท้จริง เพื่อประเทศชาติคือระดมกันเอ่อ,เพาะปลูกแต่ดอกบัวสีเหลือง ถือดอกบัวสีเหลืองเป็นอาวุธในการแก้ปัญหาทั้งภายนอกภายใน ไม่ว่าปัญหาขั้นไหนๆ แม้ที่สุดแต่การทำสงครามก็ต้องใช้ดอกบัวสีเหลือง ซึ่งหมายความว่ามันประกอบไปด้วยธรรมอยู่เสมอ ระดมพลังแห่งธรรมในลักษณะเช่นนี้เป็นวิถีทางที่ดีที่สุดไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ นี่เรียกว่าระดมธรรมในลักษณะต่อต้านเพื่อประเทศชาติแห่งชนชาติไทย ทีนี้ประเด็นที่จะมองดูต่อไปถึงเอ่อ,การระดมที่สาม คือระดมในลักษณะการต่อต้านเพื่อความสุขสวัสดีเอ่อ,ของแต่ละคน คนแต่ละคนเอ่อ,ทำอะไรได้มาก กว่าที่จะผูกพันกันเป็นสังคม หรือว่าทำได้มากในทางด้านมโนธรรม ด้านจิตใจไปได้ไกลเพื่อจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ อย่างนี้เรียกว่าเราทำได้ แต่ถ้าผูกพันกันเป็นสังคมแล้วมันยากที่จะทำอย่างนั้นได้ มันก็ลดมาอยู่ในระดับที่ต่ำ เพราะฉะนั้นประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์เอ่อ,ของสังคม นั้นมันต่างกันอยู่อย่างนี้ เมื่อพูดโดยบุคคลมันก็มาถึงปัญหาอย่างเดียวกันอีกแหละ คือศีลธรรมส่วนบุคคล ความมีศีลธรรมหรือความไม่มีศีลธรรมส่วนบุคคลนั่นแหละ มันจะ มันก็จะสร้างโลกนี้ให้เกิดขึ้นมาในลักษณะหนึ่งๆ ถ้ามีศีลธรรมมันสร้างขึ้นมาในลักษณะหนึ่ง ถ้าปราศจากศีลธรรมมันก็สร้างขึ้นมาในลักษณะหนึ่ง เพราะว่าโลกนี้มันประกอบกันขึ้นด้วยหน่วยย่อยคือคน มันจึงแล้วแต่ว่าคนจะเป็นอย่างไร ทีนี้ มาถึงไอ้วัตถุ เอ่อ,มาถึงยุคที่วัตถุนิยมครองโลกนี่มันกระทบกระเทือนสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมอย่างไร ศีลธรรมนั้นแปลว่าเอ่อ,ความสงบหรือธรรมที่ทำความสงบ หรือเหตุที่เป็นที่ตั้งของความสงบเหล่านี้เราเรียกว่าศีลธรรม ทีนี้ความเอ่อ,เจริญทางวัตถุจนเฟ้อนี่ มันเสียความสงบ เสียความปกติ แล้วเอ่อ,ความก้าวหน้าทางวัตถุนี้มันยั่วยวน มันดึงคนไปในทางของไอ้กิเลสตัณหาคือตามใจตัวเอง เมื่อคนไม่รู้สึกมันก็เสื่อมศีลธรรมเอ่อ,ลงไปอย่างที่ไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายเอ่อ,ฟังแล้วก็สังเกตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ว่าความเสื่อมศีลธรรมนั้นเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว หรือไม่รู้จักเอาเสียเลยว่านี่เป็นความเสื่อมแห่งศีลธรรม เราจึงได้ลงไปอยู่ในเอ่อ,ปลักหนองของความไม่มีศีลธรรมด้วยความสมัครใจ เพราะเราไม่รู้ว่านี่คือความไม่มีศีลธรรม ขอให้ท่านสังเกตเถิดทุกแห่งทุกหนที่มันตกลงไป เอ่อ,สู่ปัญหายุ่งยากของเอ่อ,กิเลส ของเนื้อหนังนั่นก็เพราะมันไม่รู้ว่านั่นมันเป็นอันตราย ในโวหารพระศาสนาเขาเรียกว่ามันเห็น เอ่อ,กงจักรเป็นดอกบัว เขาเปรียบด้วยสิ่งที่มันมีรูปร่างคล้ายๆกัน ไอ้กงจักรที่ผันอยู่มันดูคล้ายดอกบัวที่บานอยู่ก็ได้ มันไปเข้าใจว่าดอกบัวมันเอามาใส่หัวของมัน มันจึงมีเลือดไหลจากศีรษะอยู่ตลอดเวลา นี่คือเอ่อ,สิ่งที่มันเป็นอยู่จริงหรือว่าเป็นไปจริงเกี่ยวกับศีลธรรมของคนในยุคที่วัตถุเจริญ วัตถุก้าวหน้าจนกระทั่งเฟ้อ วัตถุนิยมก็หมายความว่า เอ่อ,ติดรสอร่อยของวัตถุ เขาพัฒนาเอ่อ,วัตถุเพื่อความเป็นอย่างนั้นเพราะตลาดมันต้องการอย่างนั้น ไอ้วัตถุพัฒนานี่มันยิ่งกว่ากามารมณ์เฟ้อที่เขาเรียกกันว่า Oversex นี่รู้กันมาตั้งแต่สมัยคนป่าคนดอยโน่น ว่ามันเป็นอันตรายคนสมัยนี้ก็ไม่เห็นว่าเป็นอันตราย ก็มีกามารมณ์เฟ้อแต่ก็ยังไม่ร้ายกาจเท่ากับไอ้วัตถุนิยมเฟ้อ เพราะว่ามันบวกไอ้ที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เข้าไปด้วย มันมีส่วนที่เป็นกามารมณ์เต็มที่ เต็มอัตราของมัน และมันยังบวกไอ้วัตถุประเภทที่ไม่ใช่กามารมณ์ และแต่ทั้งหมด(นาทีที่ 01.12.38)สำหรับหลงใหลอย่างยิ่งเข้าไปอีกด้วย เรื่องกามารมณ์นี้หมายถึงเรื่องเพศ วัตถุปัจจัยอุปกรณ์ทั้งหลายเพื่อกามารมณ์นั้นก็เป็นเพื่อกามารมณ์จนกระทั่งกามารมณ์มันเฟ้อเอ่อ,ในโลกนี้มันส่วนหนึ่งแล้ว ที่นี้ของเล่นที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ของใช้ของสะสมอย่างคนแก่เขาชอบสะ ชอบสะสมสิ่งสวยงามไม่เกี่ยวกับกามารมณ์นี่มันก็หลงได้เท่ากัน ปัญหามันก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าวัตถุเฟ้อนี่ร้ายกาจยิ่งกว่ากามารมณ์เฟ้อเพราะมันรวมกามารมณ์เอาไว้ด้วย แล้วเอาวัตถุที่ไม่ใช่กามารมณ์เข้ามาอีกส่วนหนึ่งด้วย มันก็ทำอันตรายให้แก่มนุษย์มาก ศีลธรรมมันจึงเสื่อมหนักขึ้นไปอีก อย่างไอ้ต้องมีรถยนต์ไว้ขี่เล่นไม่เกี่ยวกับกามารมณ์มันก็เป็นวัตถุเฟ้อ ไอ้ส่วนที่มันเกี่ยวกับกามารมณ์เพราะเอ่อ,เนื่องด้วยรถยนต์นั่นมันก็มีอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เอ่อ,คนแก่ไว้นั่งเล่นมันก็มีอีก วัตถุเฟ้อนี่อันตรายยิ่งไปเสียกว่ากามารมณ์เฟ้อ เดี๋ยวนี้โลกกำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่าวัตถุเฟ้อ เพราะพัฒนากันแต่ในทางวัตถุเราจึงมีปัญหาหนัก หนักกว่าที่เคยมีมาแล้วยุคที่วัตถุไม่เฟ้อคนมีกามารมณ์เฟ้อก็ได้ แต่ว่าศีลธรรมของพวก พวกคนป่าสมัยหินโน่นเขายังมีบัญญัติว่าไอ้กามารมณ์เฟ้อนี้เป็นบาป นี่ คนป่าที่ยังไม่สู้จะมีปัจจัยแห่งกามารมณ์เขาก็ยังกลัวว่ากามารมณ์นี้มันเป็นบาป แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครกลัว เขาชอบให้มันเฟ้อ เฟ้อจนไม่รู้ว่าจะเฟ้ออย่างไรจนเป็นบ้า จนไม่มีศีลธรรมเหลือ เอ่อ,จนฆ่าแกงกันเอ่อ,แม้แต่ว่าฆ่าบิดามารดาของตัวเองเพราะว่ามันตกเป็นทาสของกามารมณ์มากเกินไป นี่แต่ละคนตกอยู่ในลักษณะอย่างนี้ในปัญหาอย่างนี้คือความเสื่อมทางศีลธรรมเรื่อยๆมา จนกระทั่งมาถึงยุคที่รุนแรงที่สุดคือวัตถุเฟ้อและเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัวไม่รู้จักเอาเสียเลยว่านี่คืออันตราย เราต้องระดมเอ่อ,พลังแห่งธรรมเพื่อช่วยกันให้มีสัมมาทิฏฐิ ให้รู้ข้อเท็จจริงอันนี้กันเสียก่อน แล้วก็จะต้องระดมสิ่งที่จะเป็นการแก้ไข เราต้องการการกลับมาแห่งศีลธรรมที่เราได้ปล่อยปละละเลยจนเลือนหายไป นี้คือสิ่งที่จะต้องมองให้เห็นต้องมีการกลับมาแห่งศีลธรรมที่เราได้ปล่อยปละละเลยให้มันค่อยๆเลือนหายไป ไม่อย่างนั้น มันก็ไม่มีทางหรือไม่มีเอ่อ,สิ่งที่จะหวังได้อะไรเลย สำหรับจะอยู่กันอย่างสันติ นี่เป็นข้อแรกที่จะต้องเอามาพูด คือการกลับมาแห่งศีลธรรม ที่นี้ข้อถัดมาอีกก็จะต้องสร้างพลังของธรรมของแต่ละคนให้เพียงพอแก่การแก้ปัญหาของส่วนรวม พลังธรรมของแต่ละคนรวมกันแล้วอาจจะแก้ปัญหาของส่วนรวม ของประเทศก็ได้ ของโลกก็ได้ เดี๋ยวนี้คนแต่ละคนไม่มีธรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก็เลยไม่มีพลังแห่งธรรมเอ่อ,ของแต่ละคน แล้วใครจะแก้ได้ ทำให้สังคมไม่มีศีลธรรม ทำให้โลกไม่มีศีลธรรม ฉะนั้นมาระดมกันใหม่สร้างพลังแห่งธรรมของแต่ละคน รวมกันแล้วพอที่จะแก้ปัญหาของโลกได้ วิธีการ พูดถึงวิธีการต่อไปอีก เราจะยึดหลักแน่นอนว่าถือดอกบัวสีเหลืองไม่ถือดอกบัวสีแดง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องป้องกันชนิดที่ไม่ต้องหลั่งเลือด เมื่อพูดกันถึงเอ่อ,วิธีการอันหนึ่งของบรรพบุรุษแต่โบราณกาล ซึ่งพูดไว้ว่าเราจะจุดไฟบ้านเพื่อต้อนรับไฟป่า บางคนฟังไม่รู้เรื่องและเข้าใจผิดได้ด้วย ดังนั้นต้องรู้เรื่องของคนโบราณเข้าไปอยู่ในป่า ในป่า เพื่อทำมาหากินเต็มไปด้วยพงหญ้า พงอ้อ ถึงฤดูแล้งไฟป่ามันลามมาไหม้บ้านไหม้เรือนหมดไม่มีอะไรเหลือ เราจะต้องจุดไฟบ้านรอบๆบ้านด้วยมือของเขาเอง ให้มันเตียนเรียบร้อยไปหมดรอบบ้าน ในรัศมีที่พอสมควร พอไฟป่ามามันก็ทำอะไรไม่ได้ คือไม่ต้องรบกับไฟป่าให้มันไหม้ ให้มันพอง ให้มันเดือดร้อน ให้มันแสบตา นี่เรียกว่าเอ่อ,เราจุดไฟบ้านคือดอกบัวสีเหลือง ต้อนรับไฟป่าคือดอกบัวสีแดง ถือว่าเป็นหลักอันแน่นอนว่าจะต้องใช้หลักการณ์อันนี้ในการต่อต้านลัทธิอันไม่พึงปรารถนาด้วยทำสิ่งที่ดีกว่าเพื่อเอาชนะสิ่งนั้นเสมอไป การต่อต้านอย่างเผชิญหน้านั้นมีแต่จะต้องหลั่งเลือด ฉะนั้นต้องเหนือกว่าชนิดที่ไม่ต้องการหลั่งเลือด หรือว่าเปลี่ยนพลังอันนั้นให้เป็นประโยชน์เสียแทนที่จะมันเอ่อ,จะเป็นอันตราย ไอ้การต่อต้านอย่างนี้จึงจะเรียกว่าถูกต้องตามหลักของศีลธรรม โดยเฉพาะสำหรับคนไทยผู้มีเอ่อ,จิตใจฝังรากเอ่อ,อยู่ด้วยพุทธศาสนา ดูต่อไป ว่าเราจะต้องการรอดชีวิตอยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องคือประกอบไปด้วยธรรม ระดมพลังธรรมเพื่อให้เรามีชีวิตรอดอยู่ด้วยรูปแบบของธรรม ถ้าไม่มีธรรมก็คือผิด ถ้าผิดยอมตายเสียดีกว่าอยู่ ถ้าอยู่ต้องอยู่อย่างถูกต้อง ผู้ถือธรรมะก็ถือกันอย่างนี้ ผู้ที่ไม่ถือธรรมะก็ถือกันอย่างอื่น เขาไม่ยอมตาย ยอมอยู่ด้วยเอ่อ,ความเลวร้ายแม้จะเป็นการเอาเปรียบคนอื่น ถ้าให้ประกอบด้วยธรรมก็ต้องยึดหลักที่เป็นธรรม เพราะชีวิตอยู่นั้นต้องอยู่อย่างที่ธรรมอยู่ ธรรมะอยู่ ในที่สุดก็มาถึงไอ้สติปัญญาที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ ถ้าไม่อาศัยสติปัญญามันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ สติปัญญาสูงสุดก็คือสัมมาทิฏฐิเอ่อ,ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ เห็นถูกต้องนี่มันจะทำให้เรารู้ได้เองในตัวของมันว่า เราควรระดมอะไร แปลว่าระดมในลักษณะอย่างไร สำหรับข้อที่ว่าระดมอะไร พูดกันอย่างกำปั้นทุบดินในแบบของพุทธบริษัทก็ว่า เว้นสิ่งที่ควรเว้น ทำสิ่งที่ควรทำ แล้วก็ช่วยเหลือกันให้เป็นอย่างนั้น มันเป็น ๓ ข้ออยู่นะ ไอ้พวกที่พูดกัน เอ่อ, ไอ้พวกที่พูดกันแต่ว่าเว้นควรเว้น เจริญสิ่งที่ควรเจริญนี้ ไม่พอ มันยังขาดอีกอย่างหนึ่ง คือต้องช่วยกันและกันให้ทำอย่างนั้นได้ด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะต้องเอ่อ,รับผิดชอบในการที่จะช่วยผู้อื่นให้ทำอย่างนั้นได้ด้วย นี่ เราควรระดมอย่างนี้ ระดมเว้นสิ่งที่ควรเว้น ทำสิ่งที่ควรทำ แล้วระดมช่วยกันให้ทุกคนทำอย่างนั้นได้ด้วย ทีนี้ส่วนข้อที่ว่าในลักษณะอย่างไร เท่าไร และเมื่อใดนี่ สัมมาทิฏฐิจะบอกเองเฉพาะกรณีๆไป นี่ ความรู้อันถูกต้องมีประโยชน์อย่างนี้ นี่สำหรับรากฐานของศีลธรรมนั้นถือตามหลักของพระศาสนาเลย ว่า ศาสนาพระศรีอารย์ยกมิตรภาพเป็นเบื้องหน้า ศรีอาริยเมตไตรย เมตไตรยนี่คือมิตรภาพ อริยะอันประเสริฐ ศรีนี่มันสูงสุดแล้ว ศรีอาริยเมตไตรยมีมัด เอ่อ,มิตรภาพอันเลิศแล้วก็สูงสูด เอาอุดมคตินั้นมา ตามที่มันมีอยู่ในทุกศาสนาก็ว่าได้ ข้อแรกให้ถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บรรดาที่มีชีวิตแล้วจะเป็นคนก็ได้ เป็นสัตว์ก็ได้ เป็นต้นไม้ก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ ให้วางมาตรฐานไว้ก่อนว่ามันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะต้องช่วยเหลือให้อยู่ด้วยกันได้ พวกที่ทำลายป่าไม้จะวอดวายหมดเพราะมันไม่มีศีลธรรมเอ่อ,ข้อนี้อยู่ในจิตใจแม้แต่นิดเดียว มันฆ่าสัตว์เอ่อ,เสียจนไม่มีอะไรเหลือเพราะมันไม่มีศีลธรรมข้อนี้ และในที่สุดมันก็ฆ่ามนุษย์กันเอง เพราะมันไม่ยอมรับว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้เป็นหลักแล้ว มนุษย์ก็จะไม่มีการเบียดเบียน ไม่ประทุษร้ายเอ่อ,ชีวิตร่างกายผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายของรักใคร่ของผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมของผู้อื่น กระทั่งมันไม่โง่ไปประทุษร้ายสติปัญญาของตัวเอง ด้วยความมีหลักเกณฑ์อันถูกต้อง ว่าเอ่อ,ต้องอยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เร่งระดมธรรมข้อนี้ เร่งระดมการใช้พลังแห่งธรรมข้อนี้ ให้ครอบงำทั่วไปทั้งโลก ให้คนทั้งโลกมองตากันในลักษณะที่มีมิตรภาพเหมือนกันไปหมดเลย อย่างที่พูดเมื่อตะกี้(นาทีที่ 01.24.46)ว่าในศาสนาพระศรีอารย์นั้น พอคนลงจากเรือนแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันเป็นมิตรเอ่อ,ไปเสียหมด ไม่มีอะไรที่เป็นเอ่อ,ศัตรูหรือแสดงความเป็นศัตรู รากฐานที่สองของศีลธรรมคือต้องบังคับความรู้สึก มนุษย์สมัยนี้ถูกสอนอย่างโง่เขลาในระบบการศึกษา ไม่ให้บังคับความรู้สึก ไม่ให้อดกลั้นอดทน เขาเรียกว่าความกดดันเป็นอันตราย นั่นแหละยิ่งส่งเสริมกิเลส เราต้องบังคับความรู้สึกตามสัญชาตญาณ บังคับอย่างถูกต้อง บังคับอย่างเฉียบขาด และบังคับอย่างทันควันหรือทันท่วงที ในกรณีของราคะก็ตาม ในกรณีของโทสะก็ตาม ในกรณีของโมหะก็ตาม ความรู้สึกใดเป็นไปด้วยราคะ คือจะรัก จะเอา จะยึด จะครอง นี่ก็เรียกว่าราคะ ก็ต้องบังคับความรู้สึก ในกรณีอันใดที่จะทำลาย จะฆ่า จะผลักออกไป จะตี จะเตะออกไป นี่ก็เรียกว่าโทสะ ในกรณีที่สงสัยซึ่งสนใจไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีแต่มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น เขาเรียกว่าโมหะ ๓ อย่างนี้ต้องบังคับ ความรู้สึกราคะ โทสะ โมหะนี้ต้องบังคับ บังคับถูกต้อง บังคับเฉียบขาดและบังคับทันควัน ทำได้อย่างนี้ศีลธรรมจะมี
ข้อที่สามต้องไม่เป็นทาสของอายะตะนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ อย่าไปเอ่อ,บำรุงบำเรอไอ้ลักษณะที่โง่เขลาคือตามใจมัน ทั้งที่ไม่จำเป็นและเกินจำเป็น คนก็เป็นทาสของอายะตะนะ สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมี ต้องกิน ต้องใช้ก็เอ่อ,ไปหามา ไม่จำเป็นเลยก็ไปหามา ที่เกินจำเป็นก็ไปหามา นี้เรียกว่าเป็นทาสของอายะตะนะ คนสมัยนี้กำลังเอ่อ,เทิดทูนความเป็นทาสของอายะตะนะ เอ่อ,สร้างค่านิยมหรือรสนิยมผิดๆขึ้นมาล้วนกันว่าเหลือจะผิดไอ้โลกนี้ก็ได้(นาทีที่ 01.26.51)เป็นโลกระส่ำระสายด้วยวิกฤตการณ์ ขอให้คิดเสียให้ถูกต้อง จึงต้องอาศัยเอ่อ,ข้อที่สี่ ที่เรียกว่ามีปัญญาอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง หัวใจของพุทธศาสนาในส่วนของการปฏิบัติเรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา(นาทีที่01:27:17) มีปัญญาอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไม่เอาลัทธิวัตถุนิยมมาเป็นพระเจ้าสร้างโลก ต้องเอาธรรมะมาสร้างโลก นี่ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ตัวอย่างเช่นว่าเอ่อ,เราจะนอนหลับโดยปราศจากการรบกวนของกิเลสนี้ดีกว่า คนทั่วไปเค้าอยากจะให้กิเลสรบกวนคือยั่วเย้า ยุแหย่ในเรื่องของกามารมณ์อยู่เรื่อยไป แม้นอนไม่หลับก็พอใจ นั้นเป็นความผิดโง่เขลาอย่างยิ่ง เราจะต้องเห็นค่าของการนอนหลับโดยไม่มีกิเลสมากวน เมื่อนอนก็นอนหลับสนิทและก็เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าไม่มีเอ่อ,กามารมณ์เฟ้อ ไม่มีกามารมณ์ฟุ่มเฟือย ถ้าถือหลักกันอย่างนี้แล้ว คงไม่ต้องมีระบบจัดสรรครอบครัวเอ่อ,โดยการใช้เครื่องคุมกำเนิดกันให้วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเรามีความเข้าใจถูกต้องตามหลักของธรรมะแล้วก็จะเกลียดชังเอ่อ,กามารมณ์ จะทำแต่เหตุผลที่พอสมควรจะทำ คงไม่ต้องใช้การคุมกำเนิดเป็นแน่ ไปคิดดูกันใหม่ก็พอเข้าใจได้ ทีนี้รากฐานอันที่ห้าของศีลธรรมนี้ สถาบันใดเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกที่ประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว ช่วยกันสนับ เอ่อ,สนับสนุนส่งเสริมสถาบันนั้นให้แน่นแฟ้นอยู่ในโลกนี้ ตัวอย่างเช่นสถาบันแห่งผู้มีพระคุณเช่น บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ ส่งเสริมสถาบันนี้ไว้ให้มั่นคง และสถาบันที่ทำให้เกิดความกตัญญูกตเวทีก็ส่งเสริมให้มั่นคง สถาบันที่ทำให้เกิดความเคารพซึ่งกันและกันตามสูงตามต่ำ อย่าไปใช้สิทธิเสรีภาพบ้าๆบอๆ ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไปรักษาสถาบันที่ทำให้เกิดความเคารพกันตามฐานะที่ควรเคารพไว้ให้มั่นคง สถาบันที่ทำให้เกิดความละอายความชั่วช่วยรักษาไว้ เอ่อ,สถาบันที่ทำให้เกิดความอ่อนโยนไม่กระด้างก็ช่วยกันรักษาไว้ สถาบันทั้งหลายเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมีอยู่แห่งธรรมะที่พึงปรารถนาแล้วช่วยกันรักษาเถิด ช่วยกันระดมธรรมะในข้อนี้ ช่วยกันระดมทุกอย่างเพื่อกลับมาแห่งศีลธรรมและรากฐานของศีลธรรม วิธีการนั้นเอ่อ,ก็สำหรับ วิธีการนั้นอยากจะระบุว่าเราต้องกระทำกันจริงๆ อย่างที่เรียกว่าระดมกันดับไฟ รุนแรง รวดเร็ว เรียบร้อย ร่าเริง ต้องถูกต้องเอ่อ,มันจึงจะร่าเริง หรือเรียบร้อย รวดเร็วหรือรุนแรง แล้วแก้ที่ต้นเหตุอย่าไปมัวหลงแก้ที่ปลายเหตุ ในส่วนศีล ส่วนสมาธิ ส่วนปัญญา นี้ต้องทำให้มีขึ้นมา ส่วนศีลทำแล้วก็เจริญในส่วนธรรม ส่วนจิตทรามละเสียแล้วก็เจริญในการที่จะมีจิตสูง ละความเห็นผิดเสียแล้วก็เจริญในส่วนที่มีความเห็นถูก นี่คือศีล สมาธิ ปัญญา สากลใช้ได้ตลอดโลก ทั้งหมดนี้ไม่ใช่พิธีรีตอง ต้องทำจริงตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ในรูปลักษณะของวิทยาศาสตร์ ส่วนพิธีรีตองนั้นมีไว้สำหรับเด็กๆมีไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึงแก่นแท้ของสัจจะอันนั้นเราก็ต้องมีพิธีรีตองบ้าง แต่อย่าให้หยุดอยู่เพียงที่ตรงนั้นมันจะไม่รู้จักเติบโต ในที่สุดก็มาสู่ไอ้ของจริงซึ่งไม่ใช่พิธีรีตอง ขอให้ระดมธรรมกันในลักษณะที่เป็นของจริง เป็นตัวจริงก้าวล่วงพิธีรีตองขึ้นมาให้ได้เถิด ทุกอย่างจะเป็นไปเอ่อ,ตามที่ต้องการ เวลาสำหรับจะพูดกันก็พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าขอยุติเอ่อ,การบรรยายโดยรายละเอียด สรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ต้องระดมในลักษณะที่ถูกต้องตามธรรม เป็นการระดมธรรมต่อต้านเพื่อโลกนี้รอด ระดมธรรมในลักษณะการต่อต้านเพื่อประเทศไทยนี้อยู่รอด และระดมธรรมในลักษณะต่อต้านเพื่อแต่ละคนนี้อยู่รอดด้วยความสุขสวัสดี เมื่อทำถูกต้องตามนี้แล้ว เอ่อ,ผลนั้นก็จะหวังได้ขอให้เป็นไปเอ่อ,ตามที่เรามุ่งหมายเอ่อ,ในการระดมธรรมนี้ทุกๆประการเถิด ขอยุติ เอ่อ,ไว้แต่เพียงเท่านี้