แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอโอกาสพูดภาษาที่คนต่างจังหวัดต่างจังหวัดฟังถูก ถ้าจะพูดบ้านเราหลายคนฟังไม่ถูก ขอโอกาสพูดด้วยภาษากลาง ภาษาไทย
วันนี้เรียกว่าวันมาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปี ขอให้เรียกให้ถูกว่าวันมาเยี่ยมสวนโมกข์เป็นประจำปี มีความมุ่งหมายสำหรับจะพบปะ แล้วก็ไม่ได้พบปะเฉยๆ เป็นการพบปะที่จะพยายามให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งจนสุดความสามารถแห่งตนๆ เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ซึ่งเราก็ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้วทุกคน ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักว่าเราจะต้องประชุมกันเนืองนิตย์หรือมากเท่าที่จะมากได้ ถ้าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยการประชุมนั้น นี่มันก็เป็นของจริงที่พิสูจน์แล้วตลอดเวลาไม่ไช่เพียงมีอยู่แต่ในพระบาลี
ฉะนั้น เราจงปฏิบัติตามนี้สืบต่อไปเป็นการรักษาความมั่นคงภายในแห่งพระพุทธศาสนา หมายความว่าถ้ามีการกระทำอะไรที่เป็นภายใน คือในตัวมันเองอยู่อย่างถูกต้องแล้ว มันก็จะเกิดความมั่นคงแข็งแกร่งยากที่อะไรจะมาทำลายได้ เหมือนที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสวางระเบียบวินัย หลักเกณฑ์ต่างๆไว้ ถ้าเรายังคงปฏิบัติอยู่ตามนั้นก็จะเกิดความมั่นคงอย่างยิ่ง อย่าว่าเพียงแต่สองพันห้าร้อยปีที่ล่วงมาแล้วเลย จะต่อไปกี่พันปีก็ได้
นี่ผมกล้าพูดยืนยันด้วยความรู้สึกอันแท้จริงว่า ถ้าเรายังรักษาระเบียบวินัยแม้ที่สุดแต่ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ได้ปฏิบัติกันมา พิสูจน์ความมีประโยชน์อย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลาดังนี้แล้วไม่ต้องสงสัย พุทธศาสนาจะมีความมั่นคงอยู่ในตัวเองที่เราชอบเรียกกันว่าความมั่นคงในภายใน มันก็อยู่ได้ ก็จะเป็นการสมตามพระพุทธประสงค์ที่ให้พวกเราช่วยกันสืบอายุพระศาสนาไว้ เป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ตลอดกาลนาน
คำว่ากาลนานในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจำกัดเท่านั้นปีเท่านี้ปี แต่นานอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด หรือว่านานเท่าที่มนุษย์มันยังมีอยู่ในโลก มันต้องการมีธรรมะสำหรับคุ้มครองให้มีสันติสุขสันติภาพ นี่มันต้องนานกันไปขนาดนั้น ถ้ายังมีมนุษย์ในโลกแล้วก็ขอให้มีธรรมะในโลก ให้เราสนองพระพุทธประสงค์กันด้วยการกระทำอย่างนี้ การมาประชุมกันเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยรักษาวัตถุประสงค์อันนี้
ดังนั้นผมจึงมีความยินดีและเห็นด้วยที่ว่าเราจะจัดให้มีวันบางวัน กี่วันก็ตามใจ ที่พบปะพร้อมหน้ากัน ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ปรึกษาหารือกันอย่างยิ่งอย่างเต็มที่ที่จะได้มีโอกาสกระทำสิ่งที่เป็นความมั่นคงแห่งพระศาสนา จึงขออนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลาย
ซึ่งทราบอย่างดี อาตมาทราบ เอ่อ... ผมก็ทราบอย่างดีว่ามีความลำบาก คิดว่าก็คงว่าคงมีผลคุ้มค่าของความลำบาก เพราะว่ามันเป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ที่มาด้วยความรักใคร่ส่วนตัวผมก็ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ที่มีการกระทำเป็นส่วนกลางเพื่อเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ก็ขออนุโมทนาท่านทั้งหลายที่มาจากที่ไกลด้วยความยากลำบาก และยังจะต้องขออภัยถ้าบกพร่องในการต้อนรับขับสู้เป็นต้นแล้ว ก็ขออภัย
ไอ้วัดที่อยู่กันอย่างวัดป่าก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่บริบูรณ์ไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย แม้ที่สุดมันยังต้องนั่งกันกลางทรายกันอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรจะพอใจ ส่วนพวกเราก็ถือว่าเป็นการประพฤติสันโดษมักน้อย ซึ่งเป็นหลักธรรมะวินัยอยู่ข้อหนึ่งเป็นไปเพื่อความสันโดษ แต่แล้วยังมีสิ่งที่ต้องระลึกมากไปกว่านั้น ก็คือเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน
จนเกือบจะกล่าวได้ว่าพระไตรปิฏกทั้งหมดนั้นน่ะสอนกลางดิน ท่านก็อยู่กลางดินเพราะท่านอยู่กลางดิน เมื่อพูดกันมันก็เป็นการพูดกันกลางดิน กุฏิวิหารบนพื้นดิน แล้วในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานกลางดิน นี่ขอให้ระลึกถึงเหตุการณ์อันนี้ไว้ตลอดกาลว่าพระศาสดาของเราโดยเฉพาะพระพุทธศาสนานี่ พระศาสดาประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน แผ่นดินซึ่งมีอุปมาเหมือนกับธรรมะ ธรรมะเปรียบด้วยแผ่นดินเป็นที่ตั้ง ที่อาศัยแห่งสิ่งทั้งปวง ปราศจากแผ่นดินมันไม่มีที่ตั้งที่อาศัยสิ่งทั้งปวง มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ หรือมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันไม่มีที่ตั้งที่อาศัย
แผ่นดินจึงเหมือนกับธรรมะ ธรรมะจึงเหมือนกับแผ่นดิน เมื่อเราได้นั่งกลางดินอย่างนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่พระพุทธองค์ได้ทรงประพฤติกระทำและเป็นไปว่า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน ก็จะได้ฝังลงไปในจิตใจทีละเล็กละน้อย คือความมั่นคงในพระศาสดา ในพระธรรม และในพระสงฆ์ นี้ได้มานั่งกันกลางดินในลักษณะที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะแผ่นดินมันศักด์สิทธิ์ ปีหนึ่งครั้งหนึ่งก็ยังดี
นี้ขอได้ฝังความรู้สึกอันนี้ไว้ในใจกลับไปด้วยทุกๆท่าน ไปหาโอกาสนั่งกลางดินที่อื่นก็ยังมีก็ทำได้ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้ที่นี่เป็นศูนย์กลางอันหนึ่งซึ่งประกอบพิธีชนิดที่เรียกว่านั่งกลางดิน เท่ากับว่านั่งบนพระธรรม งอกงามอยู่บนพระธรรมเหมือนกับต้นไม้งอกงามอยู่บนแผ่นดิน ไอ้เราพุทธบริษัททั้งหลายก็งอกงามอยู่บนแผ่นดินคือพระธรรม ถ้าทำความรู้สึกได้แม้เพียงเท่านี้ ผมเห็นว่าคุ้มกัน คุ้มกันที่อุตส่าห์มาด้วยความลำบาก หมดเปลือง เหน็ดเหนื่อย เพราะว่าได้รับผลทางจิตใจคุ้มค่าเวลาที่มาเป็นแน่นอน
นี่ก็ขอโอกาสพูด แม้จะว่าเป็นการพูดที่ซ้ำซากอยู่บ้าง ก็ยังเป็นการดีสำหรับผู้ที่เพิ่งมา ผู้ไม่เคยมา หรือว่าแม้จะเคยมาก็ลืมไปเสียแล้ว กระผมขออภัย ขอโอกาสพูดเรื่องที่ตั้งใจจะพูดสืบต่อไป แม้ว่าจะทำให้มีการต้องทนฟัง
เรื่องแรกที่สุดก็จะพูดถึงเรื่องการทำวัตรแบบนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งใจจะพูดกับภิกษุใหม่ และสามเณร เรามีภิกษุใหม่อยู่หลายและสามเณรก็หลาย ภิกษุใหม่และสามเณรได้โปรดฟังผมพูดให้ดีดี ด้วยความหวัง ด้วยความรักเธอทั้งหลายว่า การที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานั้น เราจะต้องมีการประพฤติ กระทำหลายอย่างหรือบางอย่างที่จะให้เกิดความมั่นคง เมื่อตะกี้มีการทำวัตรแบบเก่า เขาใช้คำว่าแบบเก่า ต้องใช้คำว่าแบบเก่าคือแบบที่บูรพาจารย์ทั้งหลายได้เคยกระทำกันมา มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับภิกษุใหม่และสามเณร
ในการทำวัตรแบบเก่านี้สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ทำหวัดๆอย่างขอไปที มันจึงแยกได้เป็นสามส่วนเป็นอย่างน้อย อุตาสะ วันทา มิภันเต นี่แสดงการเคารพ สัพพัง อะปะราธัง ขมะถะ เมภันเต นี่ขอโทษ มะยา กะตัง ปุญญัง นี้แลกเปลี่ยนส่วนบุญ
ขอให้ภิกษุใหม่และสามเณรทั้งหลายจำไว้ให้ดีว่า เธอจงมีหลักประพฤติประจำตน คือ เคารพ อ่อนน้อม ไม่กระด้าง ไม่หัวแข็ง เคารพครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ อาจารย์นั้นแน่นอน นั้นมันก็ต้องนั่นอยู่แล้ว แต่ว่าเพื่อนฝูงแก่กันและกันก็ต้องเคารพ จงเคารพความเป็นภิกษุความเป็นสามเณรของเขา อย่าแสดงอาการ พูดจาหรือคิดนึก เหยียดหยามหรือดูหมิ่น
แม้ภิกษุก็ต้องเคารพสามเณรเพราะว่าเขาก็เป็นสามเณรไม่ใช่เป็นเด็กกลางทุ่งนา สามเณรแปลว่าผู้ที่พร้อมที่จะเป็นสมณะ เตรียมพร้อมที่จะเป็นสมณะ ก็ต้องเคารพสามเณร ฉะนั้น อย่าดูถูกสามเณร อย่าเอาสามเณรเป็นลูกไล่ลูกล้อ เป็นต้น สามเณรก็เคารพสามเณร ภิกษุใหม่ก็เคารพสามเณร ภิกษุใหม่ก็เคารพภิกษุใหม่ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราไม่มีทางที่จะทำผิดในข้อที่ว่ามีความคิดประทุษร้ายบันดาลโทสะ ทะเลาะวิวาท จนถึงกับทำอันตรายร่างกายซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นความเสียหายที่สุดสำหรับบรรพชิตในพระพุทธศาสนา เป็นบรรพชิตแล้วจะประทุษร้ายกันอย่างนั้นไม่ได้ การที่มีภิกษุสามเณรทะเลาะวิวาททำร้ายกันนั้นน่ะก็เพราะว่าไม่ถือหลักของพระพุทธศาสนากันในข้อนี้ ซึ่งรวมอยู่ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้เป็นหลักอันถาวรสำหรับภิกษุสงฆ์ อนูปวาโท อนูปฆาโต ไปนึกดูให้ดี
ทีนี้เราจะเคารพความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ทุกคนเป็นมนุษย์เพราะฉะนั้นก็ต้องเคารพความเป็นมนุษย์ของกันและกัน อย่าดูถูกดูหมิ่นซึ่งกันและกันเลย ไม่มีเหตุผล ไม่มีความเหมาะสมที่ใครจะดูหมิ่นดูถูกใครเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ด้วยกัน และยิ่งกว่านั้นเรายังเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน อย่าลืมเสีย เรายังต้องเคารพว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันและกัน ถ้าเราไม่นึกข้อนี้ เราทำร้ายวิวาทกัน มันจะกลายเป็นสัตว์ จะไม่เป็นมนุษย์ มันจะเสียหายมากถึงขนาดนั้น
จึงควรจะเป็นที่หวังได้ว่าจะไม่มีการทะเลาะวิวาทในหมู่ภิกษุใหม่และสามเณร ทำไมไม่พูดถึงภิกษุเก่า ก็เพราะว่าได้พูดกันมามากแล้ว และก็เกือบจะเข้ารูปเข้ารอยดีแล้วไม่ต้องพูด แต่ภิกษุใหม่ที่เพิ่งบวชและสามเณรนี้ยังไม่เคยฟัง ฉะนั้น ขอให้ฟังว่าอย่าได้มีจิตคิดประทุษร้าย แม้แต่เพียงคิดไม่ต้องถึงกับลงไม้ลงมือ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้ามีความโกรธแล้วก็ไม่ใช่คนของเรา คือไม่ใช่สาวกของพระองค์ ถึงกับตรัสเปรียบไว้เลยว่า ถ้าว่าคนเป็นศัตรูเป็นโจรเข้ามาจับเรามัดแล้วเอาเลื่อยเลื่อย เขาเลื่อยเนื้อขาดเลื่อยหนังขาดเลื่อยเนื้อขาดจนกระทั่งจรดกระดูก แล้วเราโกรธคนที่เลื่อย อย่างนี้เสร็จหมดจบ ไม่เป็นคนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว เพราะว่าไปโกรธเสียแล้ว
ขอให้จำความข้อนี้ไว้ด้วย เพราะได้มีพระบาลียืนยันไว้ชัดอย่างนี้ ถ้าไม่มีความโกรธก็ทะเลาะวิวาทกันไม่ได้ และก็อยู่กันอย่างสนิทสนม รักใคร่กลมเกลียวกัน เข้ากันเหมือนกับน้ำกับน้ำนม มองดูกันด้วยสายตาแห่งความรัก ข้อความเหล่านี้เป็นพระบาลีทั้งนั้นน่ะไม่ใช่ผมว่าเอาเอง
และทีนี้ข้อที่สอง สัพพัง อะปะราธัง นี้ต้องขอโทษ การขอโทษจำเป็นต้องมีในหมู่มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ย่อมยากที่จะไม่ทำอะไรในการกระทบกระทั่งผู้อื่นด้วยความคิด ด้วยวาจา หรือด้วยทางกาย บางทีเพียงแต่คิดก็ขอให้ถือว่าเป็นโทษแล้ว ต้องรีบขอโทษ ถ้าได้พูดไปถึงวาจาถึงทางกายยิ่งต้องขอโทษ ถ้าไม่ขอโทษโทษจะสุมอยู่บนบุคคลนั้น ไม่เท่าไรบุคคลนั้นก็จะเต็มไปด้วยโทษ เขาเรียกว่ามันมีสิ่งเศร้าหมองมากเกินไป
ฉะนั้น ขอให้ล้างโทษ ชำระชะล้างโทษเสียทุกคราวที่มันเกิดขึ้น ขอร้องให้พวกลูกเณรทั้งหลายเคยชินในการขอโทษ มีจิตใจพร้อมที่จะขอโทษ ไม่ดื้อ ไม่กระด้าง ไม่หัวแข็ง ถ้าล่วงละเมิดผู้ใดโดยทางกายวาจาใจก็รีบขอโทษ ถ้าไม่ขอโทษ ไอ้โทษมันจะสุมอยู่ในจิตใจของเธอ ถ้าพูดอย่างสามัญที่สุดก็ต้องพูดว่าสุมอยู่บนกบาล ไอ้โทษมันจะสุมอยู่บนกบาล นี่มันน่าเกลียดน่ากลัวสักเท่าไร ฉะนั้น ถ้าได้ประพฤติประทุษร้ายล่วงเกินผู้ใด แม้แต้เพียงคิดก็รีบขอโทษ
ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่ง ไอ้ฝ่ายที่ถูกขอโทษก็ต้องรีบปลดโทษ อย่าผูกโกรธไว้ อย่าเกี่ยงงอน ผู้ที่มีปัญญาเขาถือว่ามันเป็นกรรมของวัฏฏะ หมายความว่าถ้าเกิดมาในวัฏฏสงสารแล้วมันหลีกอาการอย่างนี้ไม่พ้น แล้วก็ยินดีที่ว่าจะขอโทษไม่ให้มีกรรมมีบาปนี้เหลืออยู่อันเป็นโทษในวัฏฏะ จงทำอย่างรวดเร็วในการขอโทษ ในการให้อภัยโทษ ให้เป็นนิสัยที่มีหลักละเอียดลึกซึ้งก็ว่าอย่าไปมัวซักไซ้ว่าใครผิดใครถูก เสียเวลาเปล่าๆ มันมีกิเลสทั้งสองคนแหละมันจึงล่วงเกินกันได้ หรือมันมีเหตุปัจจัยทั้งสองฝ่ายที่มันล่วงเกินกันได้ นี่เรียกว่าเป็นกรรมในวัฏฏะ
ขอโทษดีกว่า อดโทษดีกว่า โดยไม่ต้องชำระสะสางว่าใครเป็นผิด ใครเป็นฝ่ายไม่ผิด อันนั้นมันเป็นเรื่องแก้ตัวของกิเลส จึงหวังว่าเณรน้อยๆและยุวชนทั้งหลายจะได้รับถือหลักธรรมะข้อนี้เอาไว้เป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไอ้คนด่าตอบนั้นเลวกว่าคนด่าทีแรก หรือคนทำร้ายทีแรกก็ยังเลวน้อยกว่าคนทำร้ายตอบ ถ้าทำร้ายตอบมันเลวกว่าคนทำร้ายทีแรก อันนี้เป็นหลักในพุทธศาสนา พวกชาวบ้านเขาอาจจะไม่ถืออย่างงั้นก็ได้ แต่นั้นเป็นเรื่องของชาวบ้านที่มีกิเลส ถ้าเป็นคนไม่มีกิเลสก็จะถือว่าคนด่าตอบเลวกว่าคนที่ด่าทีแรก คนตีตอบนั้นเลวกว่าคนตีทีแรก
ช่วยจำไว้ให้ดีดี สามเณรน้อยๆทั้งหลาย เธออุตส่าห์มาที่นี่เราก็ขอบใจ และเราก็หวังอย่างยิ่งว่าจะต้องได้รับประโยชน์ที่คุ้มกันจึงบอกข้อนี้เป็นธรรมะที่วิเศษที่สุดสำหรับพวกเธอทั้งหลายที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาในโลก ไม่ใช่ว่าฉันจะดูหมิ่น ดูถูกเธอว่าเพิ่งลืมตาขึ้นมาในโลก มันก็จริงอย่างนั้น เพราะคนแก่ๆ ได้สังเกตุได้ศึกษาผ่านมามากแล้ว มีสิ่งจะพูดให้ฟัง ก็พูดให้ฟังอย่างนี้ ฉะนั้น จึงขอพูดกับเธอทั้งหลายที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ในวันนี้
ข้อสุดท้ายที่ว่าแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน มะยา กะตัง ปุญญัง ว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน แล้วก็ต้องแลกเปลี่ยนเหตุปัจจัยสำหรับจะอยู่ผาสุกด้วยกันนั้นเรียกว่าบุญหรือความดี ถ้ามิฉะนั้นแล้วเราจะอิจฉาริษยากัน พระพุทธเจ้าหรือบัณฑิตทั้งหลาย ท่านถือท่านวางไว้เป็นหลักว่า ความริษยาเป็นสิ่งที่ทำโลกให้วินาศ อิสสา โลกนา สิตา (นาทีที่ 21.19) เดี๋ยวนี้โลกกำลังวินาศๆอยู่บางส่วน หรือกำลังจะวินาศก็เพราะความริษยา แล้วต้องรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สุด
เมื่อเกิดความริษยาแล้วก็จะขัดขวางไปเสียทุกอย่าง ความเจริญของส่วนรวมก็ไม่มี ถ้าต้องการให้เกิดความเจริญของส่วนรวมแล้ว ต้องไม่มีบุคคลคนใดคนหนึ่งอิจฉาริษยากัน ฉะนั้นเราจึงแลกเปลี่ยนส่วนบุญความดีความงาม คือสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ใครมีอะไรก็เจียดออกไปเพื่อจะสงเคราะห์ผู้อื่น จะเป็นเรื่องวัตถุสิ่งของก็ดี ความดีก็ดี บุญกุศลก็ดี แม้แต่วิชาความรู้ก็จงช่วยแบ่งปันกันให้ทุกคนสามารถปฏิบัติตนเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นผู้ดับทุกข์พร้อมๆกันในหมู่พวกเราที่เป็นมนุษย์ และโดยเฉพาะผู้ที่เป็นพุทธบริษัทนี้เรียกว่าเป็นความหมายที่ดีของการทำวัตรแบบที่บูรพาจารย์ของเราได้กระทำสืบๆกันมา และได้มอบหมายไว้ ถ้าเรายังรักษาหลักเกณฑ์อันนี้อยู่เพียงไร ความมั่นคงภายในก็จะยังคงมีอยู่ในหมู่พุทธบริษัท จึงขอวิงวอนว่าจงได้ช่วยกันรักษาสิ่งที่พิสูจน์ความมีประโยชน์มาแล้วแต่หนหลัง นี่ก็เรียกว่าประโยชน์ซึ่งได้...ที่จะเกิดขึ้นในการที่มาเยี่ยมสวนโมกข์เป็นประจำปี
ทีนี้ผมขอโอกาสพูดกับเพื่อนสหธรรมมิกผู้สูงในพรรษาอายุบ้าง ว่าการที่มาพบกันประจำปีอย่างนี้ ขอให้ได้เป็นโอกาสสำหรับปรึกษาหารือในกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกเราซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่โลก พระพุทธเจ้าท่านตรัสคล้ายๆกับฝากโลกไว้กับพวกเรา จงรักษาธรรมะวินัยไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและโลกมนุษย์ นี่ท่านตรัสไว้อย่างนี้ จงกระทำจนกว่าชาวโลกทั้งหลายเขาจะมีความรู้ธรรมะวินัยจนถึงกับสั่งสอนได้ด้วยเพื่อนกันเอง ด้วยตนเอง ด้วยตัวของตัวเอง
ท่านฝากไว้กับพวกเรา ฉะนั้นเราก็พร้อมสนองพระพุทธประสงค์ จะต้องปรับปรุงการศึกษา การปฏิบัติ การสั่งสอน ให้มีผลตรงตามพระพุทธประสงค์ ถ้ามีอะไร ไม่ต้องเกรงใจ เสนอขึ้นมาปรึกษาหารือกัน และเรายังจะต้องประพฤติเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ด้วย โดยเฉพาะถ้ามันมีหน้าที่อะไรบางอย่างมากกว่าสำหรับมนุษย์ในโลกทั่วไป
และทีนี้อยากจะพูดอีกอย่างหนึ่งเรื่องคล้ายกับพูดเป็นกิเลส พูดเป็นวัตถุ เป็นชาตินิยม ว่าเราจะต้องพิทักษ์เกียรติยศความดีความงามของบ้านเกิดเมืองนอน เช่น เราเป็นคนไทยอยู่ในประเทศไทย ต้องพิทักษ์รักษาเกียรติยศของความเป็นคนไทย ให้ประเทศไทยมีอะไรดีที่คนต่างประเทศเขาจะเคารพนับถือ ข้อนี้นึกไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระธรรมหรือพระพุทธศาสนา ชาวโลกเขาก็พูดกัน เราก็ได้ยินว่าเขาพูดกันว่า เมืองไทยจะเป็นแหล่งที่สำคัญที่ควรจะมาศึกษาพุทธศาสนา ชาวต่างประเทศเขาคิดอย่างนี้ เขาพูดอย่างนี้ ถ้าเขามาจริงๆอย่าให้เขาผิดหวัง
ฉะนั้นพวกเราทุกคนจะต้องทำอย่าให้เขาต้องผิดหวัง นี้จะต้องศึกษาวิชาความรู้เพิ่มเติมให้ก้าวหน้า ให้เพียงพอที่จะรับหน้าชาวต่างประเทศที่บากหน้าเข้ามาเพื่อจะขอศึกษาธรรมะ หรือพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่เขากำลังยกให้ว่าเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าที่สุด โดยปรากฏการณ์คือโดยภาพที่มองเห็นก็ดี โดยการปฏิบัติอยู่ในใจก็ดี ขอให้เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติ มีคุณค่าอันสมควรที่เขาจะเคารพนับถือ นี้เรียกว่าช่วยกันรักษาเกียรติยศของประเทศชาติของตน
พูดอย่างนี้คล้ายกับว่าเป็นกิเลสเป็นชาตินิยม แต่ผมยังจะพูดให้มากกว่านั้นอีกว่าทุกท่านต้องรับผิดชอบความเสื่อม ความเจริญ แห่งบ้านเกิดเมืองนอนของตนๆ ที่เรานั่งกันอยู่นี้มาจากหลายจังหวัด มาจากเหนือทางเชียงใหม่ก็มี มาจากใต้ทางสงขลาก็มี เรียกว่ามาจากหลายจังหวัดก็แล้วกัน ใครอยู่ในจังหวัดไหน ขอให้ช่วยรักษาเกียรติยศในทางธรรมะทางศาสนาของจังหวัดนั้น หรือใครอยู่ในอำเภอไหน ขอให้ช่วยกันรักษาเกียรติยศในทางธรรมะทางศาสนาของอำเภอนั้น กระทั่งลงมาถึงตำบลนั้น หมู่บ้านนั้น กระทั่งวัดนั้น กระทั่งตัวเองมีฐานะเป็นพุทธบริษัทคนหนึ่งๆจะต้องมีอะไรสมกันกับความป็นพุทธบริษัทของตน
ถ้าว่าทำในส่วนตนได้แล้วไม่ต้องกลัว ไอ้ส่วนบ้านเมืองก็ได้ ส่วนประเทศก็ได้ เพราะมันอยู่ที่แต่ละคนๆ ประกอบกันเข้ามันก็เป็นบ้านเมืองเป็นประเทศ ถ้าจะให้เก่งกว่านั้นก็ในใจของตนจิตใจของตน ตนจะต้องควบคุมได้ จะต้องอยู่ในความถูกต้อง เมื่อจิตใจของแต่ละคนอยู่ในความถูกต้องแล้ว ทั้งหมดมันถูกต้อง นี่ขอให้ประพฤติธรรมะสูงสุดจนแต่ละคนมีจิตใจสมแก่ความเป็นมนุษย์ของตน สมแก่ความเป็นพุทธบริษัทของตน สมแก่ความเป็นบรรพชิตของตน สมแก่ความเป็นสมณะของตน นี่ผมอุทิศทั้งหมดเลย ให้เกิดผลสำเร็จตามนี้ ฉะนั้นเพื่อนสหธรรมมิกคนใดจะใช้ผมในเรื่องเหล่านี้แล้วก็ขอปวารณา ขอให้การมาประชุมกันในวันนี้เป็นประโยชน์กว้างขวางถึงปานนี้
ที่มีพิเศษอีกหน่อยหนึ่งก็คือว่า ไอ้ระเบียบปฏิบัติที่อุปัชฌาอาจารย์แต่ก่อนๆเคยปฏิบัติกันมานั้น อย่าได้ดูถูกดูหมิ่นว่าครึคระพ้นสมัย ถ้าหากการปฏิบัติอย่างจริงอย่างบริสุทธิ์ อย่างซื่อสัตย์สุจริต ที่เคยปฏิบัติกันมาแต่ก่อนๆของครูบาอาจารย์แต่ก่อนๆกลับมา ความมั่นคงแห่งจิตใจในทางธรรมะหรือศาสนาจะมีมากกว่านี้
ฉะนั้นจึงขอพูดซ้ำกับที่เคยพูดมาแล้วจากปีกลายว่าวัตรปฏิบัติใดใดที่อาจารย์ก่อนๆได้เคยทำมาซึ่งเราเลิกละกันเสียมากแล้วนั้น จงกลับมา แล้วก็จะได้ช่วยให้มันเป็นพระที่มากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น มั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้น ข้อความเหล่านี้ผมก็ได้เคยให้พิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือเล่มแจกในงานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์ของผม คือ พระครูชยาภิวัฒน์ ที่พุมเรียง และก็ปรากฏว่าได้รับแจกกันไปทุกองค์แล้ว ขอให้ไปเปิดดูอีกที
ทีนี้ขอโอกาสทน ทนเมื่อยต่อกันอีกหน่อยว่าญาติโยมทั้งหลายที่เรียกกันว่าฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น ก็จงได้รับประโยชน์ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท ให้ญาติโยมทั้งหลายซึ่งมีอายุมากแล้วโดยเฉพาะรู้จักธรรมะเพียงพอที่จะป้องกันตัวจากความทุกข์ด้วยหลักของพระพุทธศาสนา ข้อนี้เหมือนกันทั้งพระทั้งฆราวาสแต่ว่าเป็นห่วงญาติโยมมากกว่า เพราะว่าไม่ค่อยจะได้ศึกษาเล่าเรียน จงรู้ธรรมะชนิดที่จะทำให้จิตใจไม่ทนทุกข์
หัวใจของพุทธศาสนาสรุปแล้วจะเหลือนิดเดียวว่าอย่ามีตัวตน อย่ายึดถือเป็นตัวตน เป็นของตน ให้มันเป็นเพียงนามรูปคือร่างกายกับจิตใจ เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ให้จิตใจฉลาดควบคุมร่างกายให้ดี ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมะ โดยเฉพาะที่เรียกว่าอิทัปปัจยตาซึ่งแสดงว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร เราปฏิบัติให้ถูกต้องในลักษณะที่ความทุกข์มันเกิดไม่ได้ ใจความว่าถ้ามันไม่หลงเกิดความคิดว่าตัวตนขึ้นมาแล้ว มันไม่มีความทุกข์หรอก ไอ้ความทุกข์นี่เพราะจิตมันไปคิดว่ามีตัวตน แล้วก็เป็นเจ้าของความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของธรรมชาติ ถ้าร่างกายมันให้เป็นของธรรมชาติ ถ้าจิตใจมันให้เป็นของธรรมชาติ มันก็ไม่เป็นความทุกข์แก่จิตใจ ถ้าจิตใจมันคิดว่ามีตัวตน เป็นของตน ตัวกูเกิด ตัวกูแก่ ตัวกูเจ็บ ตัวกูตาย อย่างนี้ก็เป็นทุกข์แน่ๆ
ฉะนั้น อย่าเอาเข้ามาเป็นของตน เราไปเอาเข้ามาเป็นของตน เพราะเราไม่ได้รู้ ไม่ได้รับการสั่งสอนในเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่ามันเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันจะเป็นทุกข์ นี่ช่วยฟังให้ดี เดี๋ยวจะทะเลาะกันเพราะเหตุนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์นั้น หมายถึงของคนปุถุชนซึ่งเขายึดถือว่าเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของตนทั้งนั้นแหละ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของผู้ที่ไม่ได้ยึดถือนั้นไม่เป็นความทุกข์
ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของผู้ที่ไม่ได้ยึดถือนั้นไม่เป็นความทุกข์ เช่น พระอรหันต์ ท่านก็แก่ เจ็บ ตายโดยร่างกาย แต่ท่านไม่เป็นทุกข์ เพราะพระอรหันต์มีจิตใจที่หลุดจากความยึดถือ ท่านจึงไม่ยึดถือว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของท่าน มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตายไปสิ มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่เพราะไม่เอามาเป็นของตน นี่เราก็เหมือนกันแหละ ทำตามรอยพระอรหันต์กันดีกว่า อย่าไปเอาสิ่งที่ไม่เป็นของตนมาเป็นของตน พอเอามาเป็นของตนก็คือยึดถือ พอยึดถือก็เป็นทุกข์ ที่ว่าความทุกข์เกิดมาจากตัณหา ก็เพราะตัณหาทำให้เกิดความยึดถือ คืออุปทาน
พระบาลีที่เราสวดทำวัตรเช้า ที่มีว่า “สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา” นั้นน่ะเป็นหลักสำคัญที่สุดว่า เบญจขันธ์ ที่ประกอบอยู่ในความยึดถือคืออุปาทานนั้นน่ะคือตัวทุกข์ ถ้าเบญจขันธ์นั้นไม่มีความยึดถือด้วยอุปาทาน เบญจขันธ์นั้นไม่เป็นทุกข์ เป็นเบญจขันธ์บริสุทธิ์ อย่างเบญจขันธ์ของพระอรหันต์ ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงรู้จักตัวเองให้ดี รู้จักร่างกายให้ดี รู้จักจิตใจให้ดี ว่ามันเป็นของธรรมชาติ จิตใจนั้นอย่าได้โง่ ไปยึดถืออะไรเป็นตัวตนขึ้นมา เป็นตัวตน ตัวกูขึ้นมา แล้วมันก็เป็นทุกข์
นี่เป็นคำกล่าวที่สั้นที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาสำหรับคนทุกคน โดยเฉพาะคนแก่คนเฒ่า ได้ล่วงกาลผ่านวัยมาพอสมควรแล้ว พูดกับเด็กๆคงไม่รู้เรื่อง นี้ก็ไม่ใช่ดูถูกเด็กๆหรอกเพราะมันยังไม่รู้เรื่องอะไร พูดอย่างนี้มันฟังไม่รู้เรื่อง แต่เดี๋ยวนี้เรามันอายุมาก 40 ปี 50 ปี ก็มี 60 - 70 - 80 ปีก็มี มันควรจะรู้เรื่อง
ฉะนั้นอาตมาจึงเอามาพูดว่าจงรู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนาให้เพียงพอแก่เวลา อายุที่มันล่วงเข้ามาว่าอย่าได้เขลาไปยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตน มันเป็นอวิชชา มันเป็นความโง่ ขออภัยพูดคำหยาบๆส่งๆว่าเป็นความโง่ ไปยึดถือเป็นตัวตนขึ้นมา ความโง่อันนี้มันจะเกิดเมื่อมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ ถ้าไม่มีสติปัญญาพอ มันโง่ตรงนั้นแหละ และมันก็เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวตนขึ้นมา เป็นเจ้าของเวทนา เป็นเจ้าของสัญญา เป็นเจ้าของสังขาร เป็นเจ้าของวิญญาณ เป็นเจ้าของรูปกายนี้ มันก็เป็นทุกข์
ขอให้เป็นของธรรมชาติ กายของธรรมชาติ จิตของธรรมชาติ จิตใจนั้นน่ะมันรู้พอตามธรรมชาติที่มันจะหลบหลีกความทุกข์ ก็ดูสัตว์เดรัจฉานสิมันรู้จักหากิน มันรู้จักต่อสู้เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ โดยลำพังธรรมชาติ จิตใจตามธรรมชาติ คนเราก็ต้องเก่งกว่านั้น ต้องมีจิตใจพอที่จะรู้ จริงๆก็รู้เพราะมันเกิดขึ้นแล้วมันเจ็บปวด มันก็เข็ดหลาบ มันก็รู้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ได้รับคำสั่งสอนเพิ่มเติมมากมายนัก เพราะว่าการศึกษาพระพุทธศาสนามันเจริญ มันเกินรู้ ขออย่าให้ความรู้นั้นเป็นหมัน เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มีสติปัญญาสัมปชัญญะควบคุมจิตใจ ใครควบคุมจิตใจ มันก็ใจน่ะ เพราะมันไม่มีตัวตนอะไรที่ไหน ใจนั่นแหละจะต้องควบคุมจิตใจ
อันนี้คือความหมายสูงสุดของคำว่าตนเองพึ่งตนเอง ตัวเองพึ่งตัวเอง คือตัวใจนั้นแหละต้องเป็นที่พึ่งแก่ใจ ฝึกฝนใจด้วยความเข็ดหลาบ ไม่ทำผิดซ้ำๆอีก ทำให้ตัวใจเองน่ะรู้อะไรมากขึ้นจนป้องกันความทุกข์ได้ ตนเป็นที่พึ่งแก่ตนน่ะหมายถึงตรงนี้เป็นส่วนลึกที่สุด ไอ้ส่วนข้างนอกน่ะไม่สำคัญ ทำมาหากินเองก็เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง
แต่นี้ใจมันมีดวงเดียว จิตมีดวงเดียว ทำผิดก็ดวงนั้น ทำถูกก็ดวงนั้น มันก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ฉะนั้นจิตที่ได้ผิดพลาดมาแล้วต้องฉลาดขึ้น จะได้ไม่ต้องทำผิดอีก จิตพลาดมาทีนึงก็เพิ่มความรู้ขึ้นมาทีหนึ่ง ต่อไปมันก็จะไม่ผิดอีก นี่ขอให้สามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนให้ยิ่งๆขึ้นไป กว่าที่แล้วมาด้วยกันจงทุกๆคน
นี่สำหรับญาติโยมทั้งหลายที่เป็นฆราวาส ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เป็นการสืบพระศาสนายิ่งขึ้นแม้เป็นฆราวาส หน้าที่สืบอายุพระพุทธศาสนาไม่ได้มีแต่แก่พระภิกษุสงฆ์หรือบรรพชิต แม้เป็นฆราวาสถ้าประพฤติปฏิบัติถูกต้องอยู่ดับทุกข์ได้อยู่มันก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นรับช่วงต่อไป นั่นแหละเรียกว่าสืบอายุพระศาสนา เหมือนเขาทำตามๆกันมากี่หมื่นกี่พันปีแล้วน่ะ คนมนุษย์มันมีมาหลายหมื่นหลายแสนปีแล้ว มันสอนอะไรที่มีประโยชน์แล้วก็รักษาไว้สืบๆสืบๆกันมาจนบัตินี้
ทีนี้เราก็เหมือนกันเมื่ออายุมันมากเข้า มันก็สอนด้วยชีวิต ชีวิตเป็นการศึกษา ปฏิบัติให้ถูกต้องอยู่เป็นตัวอย่างอยู่ คนข้างหลังก็จะสืบไอ้ความถูกต้องอันนี้เอาไปเป็นประโยชน์ตลอดกาลนาน ขอให้ญาติโยมทั้งหลายมีความสามารถ มีความกล้าหาญ กระทำตนให้พ้นจากความทุกข์ขึ้นมาเรื่อยๆ อย่าให้หยุดชะงัก หรืออย่าถอยหลัง ให้ปีนี้ดีกว่าปีกลาย และตั้งเป้าหมายให้ปีหน้าโน้นดีกว่าปีนี้น่ะ คือให้เจริญงอกงามในทางของธรรมะยิ่งๆขึ้นไป ในครรลองของพระพุทธศาสนา นี่เรียกว่าจะเป็นพุทธบริษัทแท้จริง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแท้จริง หน้าที่ของฆราวาสสืบอายุพระศาสนาได้เหมือนกัน
ทีนี้พูดอีกข้อนึงเถิดว่า ทั้งบรรพชิตและทั้งฆราวาสมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือจะต้องสัมพันธ์กัน จะต้องเกี่ยวข้องกัน ฆราวาสจะไม่เกี่ยวข้องกับบรรพชิตคงจะไปไม่รอด บรรพชิตจะไม่เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ก็คงจะไปไม่รอด เพราะมันสามารถต่างกัน ฉะนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามหน้าที่ของตนๆ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุ มันก็เป็นเรื่องของฆราวาสมากกว่า ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจ มันก็เป็นเรื่องทางบรรพชิตมากกว่า แต่แล้วมันยังจะต้องเกี่ยวข้องกัน จะต้องเฉลี่ยแก่กัน เพราะว่าความถูกต้องมันจะต้องเกี่ยวข้องกัน อย่างว่าเราจะมีศาสนานี่มันต้องมีทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายนามธรรม ใครสามารถทางไหนก็ทำทางนั้น ขอแต่ให้มันถูกต้อง อย่าให้มันผิดพลาด หรือมากเกินไป หรือน้อยเกินไป หรือไม่ได้ผลในการที่จะกำจัดกิเลส นี่เราช่วยร่วมมือกันให้ดีดี ให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์แก่กันและกัน มันไม่ใช่หันหลังให้แก่กันก็จริง แต่ว่ามันกำลังทำอะไรผิดๆ หรือว่าร่วมมือกันทำผิดๆ หรือว่าชักจูงกันไม่ได้อย่างนี้ก็มี ขอให้สิ่งเหล่านี้กลับกลายไปในทางที่ถูกต้อง และก็คงจะสมบูรณ์ บริบูรณ์ เต็มเปี่ยมในหน้าที่ของเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท
เอาละ... นี่ล่ะสิ่งที่ตั้งใจจะพูด ถ้ามันมากไปหน่อยต้องทนฟังแล้วก็ขอโอกาส ขออภัยๆ มันเป็นเรื่องจำเป็นไม่ใช่ว่าจะแกล้งทรมานให้นั่งทนฟังจนเมื่อย แต่มันจำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้ มิฉะนั้นมันจะไม่ได้ประโยชน์คุ้มกันกับการมา ที่เหลือจากนี้ก็ว่าอะไรที่จะปรึกษาหารือกันก็ขอให้ทำ ที่ยังไม่รีบกลับเกินไปคืนนี้จะปรึกษาอะไรกันจนสว่างก็ยังได้
ท่านพยอม นี่ขอโอกาสพูดว่าท่านพยอมมีโชคดี เรามีโชคดีที่ท่านพยอมมาร่วมกันประชุม ท่านพยอมไปทำหน้าที่สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง คือทำให้คนตั้งค่อนบ้านค่อนเมืองสนใจในธรรมะได้แม้แต่ลูกเด็กๆ วัยรุ่นที่อันธพาลเกเร มันกลายเป็นสนใจฟังธรรมะ กระทั่งว่าคนที่ไม่เคยสนใจฟังธรรมะน่ะ เดี๋ยวนี้มีเครื่องบันทึกเสียงแขวนอยู่สะเอว ที่หูฟังมีประกบหูฟังตลอดเวลา มันเป็นภาพที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน มีเครื่องบันทึกเสียงเล็กๆแขวนอยู่ที่สะเอว และมีหูมาประกบหูฟังฟังอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรก็ได้ไม่ต้องเสียการงานแต่ฟังอยู่ตลอดเวลา ไอ้อย่างนี้มันไม่เคยมี มันเพิ่งมีเมื่อเขาฟังเทปของท่านพยอม
เดี๋ยวนี้ท่านพยอมก็มาอยู่ที่นี่ ถ้าภิกษุสงฆ์ สามเณรองค์ไหนสนใจจะถ่ายทอดความรู้การเผยแผ่ธรรมะจากท่านพยอม ผมปวารณาแทนได้ว่าท่านพยอมยินดีที่จะให้ความรู้ในการเผยแผ่ธรรมะ กล้าพูดได้เลยว่าถ้าจะขอร้องให้ท่านพยอมแสดงปาฐกถาอีกสามชั่วโมง ว่าควรเผยแผ่ธรรมะด้วยวิธีอย่างไหนก็คงทำได้ถ้าต้องการ ฉะนั้นขอให้ใช้โอกาสนี้มากเท่าที่จะมากได้ด้วยกันทุกคนเถิด เราจะถือเป็นโอกาสปรึกษาหารือในการปฏิบัติหน้าที่ทางพระศาสนากันให้มากที่สุดตลอดเวลาวันนี้คืนนี้
เรื่องที่จะต้องพูดมันก็มีอย่างนี้ ในที่สุดต้องขอย้ำว่า ขอแสดงความยินดีปรีดาอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลาย โดยส่วนตัวที่มาด้วยความรักใคร่ผมก็ขอบพระคุณ ขออนุโมทนาในส่วนที่ประพฤติกระทำไปตามทางธรรม ด้วยการกระทำอย่างนี้เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า มันถูก มันตรงแล้วตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่ต้องมีใครมาให้พร กฏเกณฑ์ของอิทัปปัจยตา คือหัวใจของพระพุทธศาสนานั่นแหละจะดลบันดาลให้เป็นไปตามทางที่จะมีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนา เป็นที่ภาคภูมิใจได้ว่าเราได้ประพฤติหน้าที่ของตนสมบูรณ์แล้ว จะได้มีปีติปราโมทย์ มีความพอใจในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน เป็นสวรรค์เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นนรกเมื่อเกลียดชังตัวเอง เราจงทำแต่ในลักษณะที่ยกมือไหว้ตัวเอง นี้เรียกว่าประสบผลอย่างแท้จริงจากพระธรรมหรือพระศาสนา มีความผาสุกอยู่ทุกทีพาราตรีกาลเทอญ สาธุ