แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขออนุโมทนาแก่ญาติโยมทั้งหลาย ที่ได้มา โดยเฉพาะที่ตั้งใจมาทอดผ้าป่า ขอให้ทำในใจให้ถูกต้อง เพื่อสำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดในการที่ได้ทำ การทำสิ่งใดจะให้มีผลถึงที่สุดเราต้องเข้าใจเรื่องนั้นสิ่งนั้นโดยถูกต้องแล้วทำโดยถูกต้อง แล้วก็จะได้ผลถึงที่สุดหรือสูงสุด ถ้ามิฉะนั้นอาจจะครึ่งๆกลางๆ การทอดผ้าป่านี้ไม่ได้หมายความแต่เพียงว่าเอาจีวรมาให้ ให้พระใช้ ให้เล็งไกลไปถึงว่ามันเพื่อบำรุงพระศาสนา ให้มีพระยังอยู่ได้ในพุทธศาสนา ให้มีการศึกษาเล่าเรียน เพราะมีพระอยู่มีการศึกษาเล่าเรียน มีการปฏิบัติ มีการสั่งสอนต่อๆไป การช่วยด้วยเรื่องอาหาร ด้วยเรื่องจีวร ด้วยเรื่องเสนาสนะ ด้วยเรื่องเภสัช เพื่อให้พระอยู่ได้ แล้วก็ศาสนาก็จะมีอยู่ได้ เพราะมีการเรียนการสอนสืบๆกันไป
อย่าเพียงคิดแต่ว่าเอาจีวรมาถวายหรือว่าทอดผ้าป่าเป็นการให้ทาน แล้วก็หวังประโยชน์คนเดียวว่าเราจะมีความสุขในโลกหน้า เท่านี้มันก็ได้ ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันยังน้อยนัก ขอให้ไกลขยายไปถึงว่า การกระทำนี้เป็นการช่วยให้ถึงที่สุดในการที่จะมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งปวง แก่สัตว์โลกทั้งปวง พุทธบริษัททั้งสี่ มีหน้าที่ช่วยให้พระธรรมวินัยอยู่เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง ตามพระพุทธดำรัสว่า ทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั้งคนที่สบาย และทั้งคนที่ลำบาก เรียกเทวดาและมนุษย์ คนสบายคือเทวดา คนลำบากคือมนุษย์ให้ได้รับประโยชน์ ดับทุกข์ถึงที่สุด เทวดาก็มีความทุกข์ตามแบบเทวดา มนุษย์ก็มีความทุกข์ตามแบบมนุษย์ รวมความแล้วก็ยังมีความทุกข์ ทีนี้ช่วยกันให้ดับทุกข์ให้ได้ทั้งเทวดาและมนุษย์นั้นเป็นพระพุทธประสงค์
โดยพระองค์ได้ตรัสว่า การเกิดขึ้นแห่งตถาคตก็ดี การมีอยู่แห่งธรรมวินัยของตถาคตก็ดี การช่วยกันรักษาธรรมวินัยของตถาคตไว้ก็ดี ทั้งหมดนี้ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งเทวดาและมนุษย์ เราสนองพระพุทธประสงค์อันนี้ ช่วยให้ธรรมวินัยยังมีอยู่ เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าทุกคนตั้งใจตามแนวนี้ ประโยชน์มันก็สูงสุด อานิสงส์มันสูงสุด มันได้บุญถึงที่สูงสุด เพื่อประโยชน์ตั้งแต่เทวดาและมนุษย์ ดีกว่าไปเป็น มีความสุขอยู่คนเดียว มันแคบไป แล้วทำบุญอะไรก็ขอให้คิดให้ไกลให้กว้างไปถึงว่าเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลก ให้ธรรมวินัยมีเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลก ในวันนี้ก็ขอให้คิดแบบนั้นแหล่ะ ไอ้ข้าวของจะมากจะน้อยอะไรไม่มีปัญหา อย่าไปคิดเลย คิดแต่ว่าไอ้ข้าวของนี้จงไปเป็นประโยชน์เพื่อบำรุงให้พุทธศาสนายังคงมีอยู่ในโลกเพื่อเพื่อนมนุษย์ เพราะพระสงฆ์ก็อยู่ได้ด้วยปัจจัยสี่แหล่ะ คืออาหาร คือเครื่องนุ่งห่ม คือเสนาสนะ คือเภสัช แล้วตั้งใจว่าเราเสียสละนี้ก็เสียสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งโลก ทุกๆ ทั่วไปหมดเลย แบบนี้แล้วก็จะทำให้จิตใจนี้เบาบางจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันจะลดลง กิเลสจะลดลง อะไรมันที่เป็นความทุกข์มันจะลดลง จะดีจะมีความสุขขึ้น
ความเห็นแก่ตัวนั้นแหล่ะ เป็นต้นเหตุแห่งกิเลส พอเห็นแก่ตัวมันจึงโลภ พอเห็นแก่ตัวมันจึงโกรธ พอเห็นแก่ตัวมันจึงโง่เขลาสะเพร่าอะไร บรรเทาความเห็นแก่ตัวได้เท่าไหร่ก็จะเป็นบุญเป็นกุศลมากเท่านั้น เวลานี้เรามีความเห็นแก่ตัวมีกิเลสเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์นั่น เรายังต้องกินยานอนหลับ ยังกินยาปวดหัวนั่น ไม่ใช่แกล้งว่าใครนะว่าถ้าใครยังกินยานอนหลับ ต้องกินยานอนหลับหรือต้องกินยาแก้ปวดหัว ต้องกินยาโรคประสาทนี่แหล่ะ
ให้อายแมว อายแมว แมวไม่เคยปวดหัว แมวไม่เคยนอนไม่หลับ แมวไม่เคยเป็นโรคประสาท แมวไม่เคยเป็นโรคจิต แมวไม่เคยหลอกลวง คอรัปชั่น เบียดเบียน แมวบ้านใครปวดหัวหรือนอนไม่หลับบ้าง ช่วยเอามาให้ดูสักตัวสิ ไม่เคยเห็นนิ ถ้างั้นเรามนุษย์เสียอีกกลับนอนไม่หลับ กลับปวดหัว กลับเป็นโรคประสาท หมอว่าตั้งเจ็ดแสนคนในประเทศไทยเป็นโรคประสาท สองหมื่นคนเป็นโรคจิต แมวไม่เป็นสักตัว นี่ไม่อายแมวเหรอ
ช่วยทำลายความเห็นแก่ตัวให้ลดลงลดลง แล้วเราก็จะนอนหลับ แล้วเราก็จะไม่ปวดหัว เราจะไม่เป็นโรคประสาท เราจะไม่เป็นโรคจิต และอื่นๆ ที่เป็นอันธพาลเบียดเบียนกันทางสังคมมันก็มาแต่ความเห็นแก่ตัว ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์มาแต่ความเห็นแก่ตัวทำให้นอนไม่หลับทำให้ปวดหัว
คำนวณแล้วว่าทั้งโลกนี้เวลานี้จะกินยาปวดหัวกินยานอนไม่หลับกันวันๆ เป็นตันๆ ถ้าทั้งโลก แต่แมวไม่เคย สัตว์เดรัจฉานไม่เคยกินสักเม็ดเดียว มันไม่มีนี่ มันปวดหัวไม่เป็นนี่ มันนอนหลับไม่เป็น เพราะว่ามันมีจิตใจที่คิดเห็นแก่ตัวไม่เป็น มันเห็นแก่ตัวไม่เป็น มันสมองของมันต่ำ มันเห็นแก่ตัวที่ทำให้ปวดหัวให้นอนไม่หลับให้เป็นประสาท มันทำไม่เป็น ทีนี้เรามันทำเป็นเกินแบบนี้ มันก็น่าอายแมว
เอาหล่ะทำบุญที่ไหนแล้วขอให้อธิษฐานที่ว่า ให้บรรเทาอาสวะ บรรเทากิเลส พูดกันตรงๆ ก็คือความเห็นแก่ตัวนั่นแหล่ะ แก่ตัวกูของกู ยึดมั่นถือมั่นนี่ ให้มันบรรเทาเถอะ ให้มัน จิตใจมันเกลี้ยง เกลี้ยง เกลี้ยงนี่แหล่ะ แล้วมันก็นอนหลับหล่ะ ไม่ปวดหัวหรอก
เรามันคิดเกินไปจนปวดหัว แมวมันไม่มีมันสมองสำหรับไปคิดให้ปวดหัวแล้วมันก็น่าอายแมว แมวมันคิดไม่เป็น เลยมันไม่ปวดหัว ถ้ามนุษย์มาปวดหัวเมื่อมีความทุกข์แล้วมันก็ไม่ไหวแหล่ะ ไอ้ความได้เป็นมนุษย์มันไม่เป็นบุญแหล่ะ
เมื่อเราถือกันว่าการได้เป็นมนุษย์เป็นบุญ เป็นสัตว์เดรัจฉานยังไม่ได้บุญ แต่เหตุไรเรามาปวดหัวอะไรให้อายแมวเล่า ก็เริ่มมีธรรมะให้สูงให้สมกับมันสมองของมนุษย์ คิดให้เป็นคิดให้ถูก แล้วไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต โดยทางสังคมก็ไม่ต้องฉ้อโกงเบียดเบียน ไม่มีสงคราม เมื่อนั้นแล้วมนุษย์จึงจะดีกว่าสัตว์ คือไม่ต้องปวดหัวเป็นทุกข์แล้วก็ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านประโยชน์ผู้อื่นได้สูงสุด
มนุษย์ก็เลยประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานเหลือประมาณ แต่ถ้าว่ามนุษย์ไม่ทำประโยชน์อะไร ทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน แล้วมานอนปวดหัวแล้วอยู่แบบนี้เลวกว่าแมวแหล่ะ มันก็ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานแหล่ะ เพราะว่ามันไม่ปวดหัว และมันไม่นี่ ไอ้เรามันยังมาปวดหัวให้อายแมวอยู่อีก
ขอให้ตั้งใจแน่วแน่ที่ว่าจะกำจัดไอ้ต้นเหตุที่ทำให้เป็นทุกข์ทางกายทางใจนี่แหล่ะ ไอ้โรคทางกายมาแต่โรคทางใจ ความบกพร่องผิดพลาดทางจิตใจทำให้เกิดโรคทางกายทุกๆโรคหล่ะ อย่ามีความทุกข์ทางกายและทางใจ ถ้าว่าเจ็บปวดตามธรรมดาเป็นฝีเป็นแผลนี้ก็ โอ้ย มัน มันเจ็บตรงนั้นเท่านั้นแหล่ะ เส้นประสาทตรงนั้นมันเจ็บ มันรู้สึกเจ็บตามธรรมชาติ อย่าให้เจ็บเป็นเรื่องว่าทุกข์ร้อนกลัวตาย ให้มันเป็นทุกข์มากมาย ให้มันเป็นแค่เพียงเจ็บที่ระบบประสาทตามธรรมชาติ ใส่ยามันก็หายแหล่ะ นี่เราจะได้ไม่เป็นทุกข์ จะไม่เสียเปรียบสัตว์เดรัจฉานซึ่งมีมันสมองต่ำ ทุกข์ไม่เป็น แมวไม่ได้เป็นทุกข์ว่า ตอนเย็นนี้จะกินข้าวซักเท่าไหร่ พรุ่งนี้จะกินข้าวกับอะไร จะเอาเงินมาให้ลูกเรียนอย่างไร อะไรนี้ แมวมันไม่เป็นทุกข์ คนมันเป็นทุกข์
ไปคิดเสียใหม่ให้ดีอย่าต้องเป็นทุกข์ อย่าเอาอดีตมาเป็นทุกข์ อย่าเอาอนาคตมาเป็นทุกข์ แก้ปัญหาปัจจุบันเฉพาะหน้าเรื่อยๆไป แล้วก็จะไม่มีความทุกข์ เราก็จะไม่แพ้สัตว์เดรัจฉานในเรื่องที่ว่าความทุกข์ สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีอดีต มันไม่คำนึงถึงอดีต แล้วไม่คำนึงถึงอนาคต มันก็ไปตรงกับหลักของพระพุทธเจ้าที่ว่า อย่าคำนึงถึงอดีต อย่าคำนึงถึงอนาคต จัดการแต่ปัจจุบัน สัตว์เดรัจฉานมันเป็นเอง มันไม่เก่ง ไอ้เรานี่ต้องทำ เรามันมีเรื่องที่ให้ ให้คำนึงถึงอดีตถึงอนาคตมาก เราต้องแก้ไขเราต้องบังคับให้ได้ เราก็เลยเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉานแหล่ะ ถ้าคำนึงถึงอดีตอนาคตเรื่อยแล้วปวดหัวแหล่ะ นอนไม่หลับแหล่ะ อะไรๆ เกิดขึ้นให้ยึดถือเรื่องที่ว่ามันเป็นตามเรื่องของมันแหล่ะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง อย่าลืมนะ
เช่นนั้นเองนั้นมันสรุปคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไว้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ดี อริยสัจก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี มันแสดงความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่ต้องรัก ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องเกลียด ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องโศกเศร้า มันเช่นนั้นเอง เป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้วมันคือเช่นนั้นเอง
ฉันจะพูดให้จำง่ายๆ ว่าเวลานี้ฉันนะ เขาถามว่าเป็นโรคอะไร ไม่ค่อยสบายเป็นโรคอะไร บอกว่าเป็นโรคเช่นนั้นเอง อายุเจ็ดสิบห้าปียังเป็นโรคเช่นนั้นเอง กินยาอะไรล่ะอยู่ทุกวัน กินยาเช่นนั้นเอง ของพระพุทธเจ้า ถึงได้ผลแบบไหน ก็ได้ผลเช่นนั้นเองนั่นแหล่ะ หายก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง ครึ่งหายครึ่งนี้ก็เช่นนั้น แล้วต่อไปอีกล่ะ จะเป็นยังไง ต่อไปก็เช่นนั้นเองนั่นแหล่ะจนกว่าจะเข้าโลงแหล่ะ มันมีแต่เช่นนั้นเอง มันเลยไม่มีความทุกข์ ที่มันไม่ทุกข์อยู่ได้เวลานี้ก็เพราะมันถือเช่นนั้นเองเป็นสรณะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า สิ่งทั้งหลายมีเหตุปัจจัย เป็นไปตามเหตุปัจจัย เช่นนั้นเองนี้ ไม่ใช่มีตัวกูของกูที่จะมาเป็นผู้ได้ ผู้เสีย ผู้สุข ผู้ทุกข์ อะไรมันไม่มี ทุกคนลองเอาไปทำเอาไปใช้ดู มันเช่นนั้นเองแล้วก็ไม่ร้องไห้หรอก ก็ไม่หัวเราะ ไม่บ้าหรอก จะไม่ถึงกับว่าปวดหัวหรือว่านอนไม่หลับ มันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง อะไรมันจะเกิดขึ้นก็ตามใจ มันเช่นนั้นเองเท่านั้นแหล่ะ นี่วันนี้ฝากเรื่องเช่นนั้นเองกลับไปทุกคน ทุกคนล่ะ เอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ แล้วจะไม่ต้องปวดหัว จะไม่ต้องนอนไม่หลับ จะไม่ต้องอายแมว บอกเรื่องที่ไม่ต้องอายแมวเอากลับไป
มาวัดนี้ได้นั่งกลางดินแหล่ะ เอามือลูบดินดูเถอะ ดินน่ะเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นที่นั่งที่อยู่ที่อาศัยของพระพุทธเจ้า กุฏิพื้นดิน โรงฉันท์พื้นดิน ห้องประชุมพื้นดิน ที่อินเดียยังอยู่บนพื้นดิน แล้วในที่สุดพระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน ไม่ใช่ว่าได้นิพพานบนกุฏิหรอก นิพพานกลางดิน เพราะฉะนั้นมาที่นี้วัดนี้มัน ให้นั่งกลางดิน นี่ควรจะพอใจเป็นพุทธานุสติ คือระลึกถึงพระพุทธเจ้าเอามือลูบดิน เอาดินใส่หัวก็ยังดี นี่แหล่ะที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ตลอดเวลาเกี่ยวข้องอยู่กับแผ่นดิน อีกอย่างแผ่นดินนี่มันเป็นชื่อ มีความหมายของพระธรรม
พระธรรมเหมือนแผ่นดิน เป็นที่ตั้งที่อาศัยของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทางจิตใจ ทางร่างกายเราต้องอาศัยบนแผ่นดิน แผ่นดินจริงๆ ร่างกายของเราอยู่บนแผ่นดิน ทีนี้จิตใจของเราอยู่บนแผ่นดิน คือ พระธรรม พระธรรมเป็นชื่อของแผ่นดิน แผ่นดินเป็นชื่อของพระธรรมในทางจิตในทางวิญญาน เราก็เลยชอบดินกันมั่งเถอะอย่าชอบอยู่บนวิมานกันนักเลย ถ้าไปอยู่เสียบนวิมานแล้วจะทำยังไงหล่ะที่จะได้พบพระพุทธเจ้าที่ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดินล่ะ พอใจในการที่จะสัมผัสกับดินอยู่กับดินกันบ้าง มันจะไม่โลภมาก มันจะไม่เป็นเหตุให้โกรธมาก หรือว่าอะไรมาก ไม่มีเรื่องมาก นี่แหล่ะคือเรื่องที่ว่าพูดอย่างที่ว่าเรารับผิดชอบร่วมกัน ฉันด้วย ทุกคนทั้งหมดด้วย ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ให้พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายังอยู่เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ และอย่าให้มันเป็นที่ละอายน้อยหน้าแก่ศาสนาทั้งหลาย ศาสนาอื่นๆ
นี่เราไม่ใช่จะ จะแข่งดี จะดูหมิ่นคนอื่น จะยกตัวอะไรไม่ใช่ พูดแต่เพียงว่าให้รับผิดชอบในหน้าที่ของตน ของตน ของตน ของตน เรามีหน้าที่รักษาพุทธศาสนา แสวงหาทางรอดด้วยปัญญา ก็ให้ได้รอดกันตามแบบ (นาที 20.57 ใครตกใจก็ไม่เห็นเช่นนั้นเอง ใครเห็นเช่นนั้นเองก็ไม่ตกใจ เอ้าช่วยดูสายไฟให้ปลอดภัย แล้วทำงานต่อ ทำงานต่อ นั่งๆๆ เถอะ ดูสายไฟพอให้ปลอดภัยก็แล้วกัน นั่ง เทวดาสอบไล่ นั่งๆๆๆๆ เทวดาสอบไล่ ใครมันตกใจก็ไม่เห็นเช่นนั้นเอง เอ๊านิมนต์นั่ง นิมนต์นั่ง เอ๊าหล่ะทีนี้จะอนุโมทนาเป็นภาษาบาลี จะอนุโมทนาเป็นภาษาบาลี แล้วก็จะไปถ่ายรูปกันสักรูปเป็นรูปพิเศษ อย่าว่ารบกวนนะ เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปกันสักรูป ระวังสายไฟจะช๊อตแล้วอันตราย ทั้งพระทั้งฆราวาสแหล่ะ เอ๊า คอยรับนะ) ยะถา.......
(จะไปถ่ายกันก่อน หรือว่าทำพิธีเสร็จแล้วจึงค่อยไปถ่าย ถ่ายก่อนดี แสงมันพอ เดี๋ยวถ้าแสงเกิดไม่พอ ผมคิดว่าจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักรูป อย่าเห็นว่าเป็นการรบกวน ก็ไปด้วยกันทั้งหมดแหล่ะ ไปถ่ายที่ตรงสนามหญ้า ที่หน้าตึกนั้นแหล่ะ นั่งเป็นวงล้อม ล้อมรอบกันมันแปลกดี สวยดี แล้วก็ ไปถึงก็นั่งเป็นวง เป็นวง กันทันที อย่าให้รอนาน มันแดดจัด มันร้อน มันจะเหงื่อแตก เหงื่อไหล เดี๋ยวก่อน พูดให้เข้าใจๆ จะได้ไม่ไปออกันอยู่นาน แดดร้อนจัดเหงื่อไหล คือฉันจะว่านั่งตรงกลาง แล้วก็นอกนั้นนั่งล้อมๆๆๆๆกันให้เต็มไปทั้งสนามหญ้าเลย ถ้าเหมาะสมที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทุกคน แล้วมันก็เห็นหน้ากันทุกคน แต่ว่าอาจจะหันหน้าไปทางอื่นทีนึงก่อนก็ได้เพื่อความสะดวก เราก็เดิน เดินไป ฆราวาสด้วย ฆราวาสด้วย อุตส่าห์มา คือว่าไม่สามารถไปจัดอยู่ได้ ไปถึงก็นั่งๆๆๆๆกันเท่านั้น มันร้อน ไปนั่งจัดอยู่มันร้อน เดี๋ยวเหงื่อแตก เอาแหล่ะ ทุกองค์แหล่ะ ทั้งพระทั้งเณรแหล่ะ แล้วชาวบ้านด้วย ชาวบ้านนั่งรอบนอก พระนั่งรอบใน ไปถึงนั่งเลย....)
อุกาสะ วันทามิ ภันเต....(นาทีที่ 29.00)
พระเถรานุเถระและเพื่อนสหพรมจารีย์ ตลอดถึงสามเณรทั้งหลายด้วย ผมขอแสดงความยินดีเคารพในการกระทำของท่านทั้งหลายในการที่ได้มาจนถึงที่นี้ในวันนี้จากที่ต่างๆกัน โดยส่วนตัวกระผมมันไม่ค่อยมีความหมายสำคัญ แต่ผมก็ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งและก็ยินดีที่สุดในการที่ได้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่เรียกกันว่า อริยวังสปฏิปทา แสดงความเคารพตามโอกาสที่ควรแสดงความเคารพ มันก็ยังไม่สำคัญเท่ากับได้ถือโอกาสมาประชุมพบกันร่วมกันในการที่จะทำกิจซึ่งเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาให้สมตามพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง เราถือโอกาสแสดงความเคารพที่เรียกว่าทำวัตรนี้ด้วย แต่ไม่เพียงแต่ว่าทำวัตรอย่างเดียว ให้เป็นโอกาสปรึกษาหารือกัน สนองพระพุทธประสงค์ในการสืบอายุพระพุทธศาสนา
ผมจึงขอถือโอกาสแสดงความรู้สึกว่า อย่าถือว่าเป็นการรบกวนมากไปอย่างใดเลย ถ้าจะมีการพูดจาปราศรัยบ้างตามธรรมเนียม ซึ่งมีธรรมเนียมว่ามีการให้โอวาทในเมื่อการแสดงความเคารพ นี่ก็เป็นการให้โอวาทแต่ไม่ใช่โอวาทธรรมดาตามธรรมเนียม โอวาทเพื่อว่าเราจะช่วยกันสืบอายุพระศาสนาได้อย่างไร นี่ล่ะสำคัญ สิ่งที่ควรสืบไว้รักษาไว้มีกี่อย่าง เราจะต้องช่วยกันสืบรักษาไว้ แม้ที่สุดแต่ระเบียบที่เรียกว่าทำวัตรแบบโบราณนะ อุกาสะวันทานี่แหล่ะ อุปัชฌาย์อาจารย์สืบๆกันมาหลายชั่วคนทีเดียว ทำให้เชื่อได้ว่าไม่น้อยกว่าตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา คือแลกเปลี่ยนแบบวิธีการต่างๆกับฝ่ายลังกา เพราะฉะนั้นจึงมีอะไรเหมือนกันมากในประเทศไทยกับประเทศลังกา แบบเก่าๆยังเหลืออยู่ในลังกามากกว่าในประเทศไทย เพราะว่าในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไปเรื่อยๆ แม้ที่สุดแต่แบบทำวัตรนี้ก็เป็นต้น มันมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในลังกาได้ยินว่ายังไม่เปลี่ยนแปลง ยังเหมือนกับที่ทำกันมาตั้งร้อยๆปีแล้ว ในประเทศเราก็เช่นแบบอุกาสะนี้ยังเหลืออยู่
ผมมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่ว่าอะไรที่จะรักษาไว้ได้แล้วก็ เราจะช่วยกันรักษาไว้ เพราะฉะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์อุปัชฌาย์ทั้งหลายนี้ช่วยกันรักษาไว้ ผมยังยินดีว่าผมบวชแบบอุกาสะนะ นี่ถ้าใครยังไม่รู้ ทุกองค์ที่ยังไม่รู้ให้รู้ว่าผมบวชแบบอุกาสะวันทามิภันเต แบบเก่าทุกอย่างเลย ยังพอใจ ที่ถือโอกาสบวชเณรเล่นบางองค์ก็บวชแบบอุกาสะ อุกาสะ วันทามิ ภันเต นี้เป็นการทำวัตร มีความหมายกว้างมากถึงสามประการ ขอบอกกล่าวให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ เพิ่งบวชใหม่ปีนี้ยังไม่ทราบ ได้ทราบว่าที่เราได้ว่าไปหรือทำวัตรไปนี้มันความหมายอย่างไร อุกาสะ วันทามิ ภันเต นี้แสดงความเคารพ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต นี้ขอให้อดโทษซึ่งกันและกัน มะยา กะตัง ปุญญัง นี้แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน มันถึงสามความหมายแสดงความเคารพ ขอให้อดโทษและแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน
ขอให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยๆ อาจจะไม่เคยฟัง ให้ฟัง เข้าใจ แล้วจำได้ แล้วช่วยเอาไปปฏิบัติ ขอให้พวกเธอจงแสดงความเคารพแก่บุคคลที่ควรแสดงทุกโอกาสที่ควรแสดง ให้เป็นคนหัวอ่อน หัวอ่อน แล้วสวัสดีมงคลเกิดแหล่ะ ถ้าหัวแข็งแล้วไม่มีหรอก สวัสดีมงคลจะไม่มีแก่คนที่แข็งกระด้าง เพราะฉะนั้นจงเป็นคนหัวอ่อน อ่อนโยน แล้วจะมีสวัสดีมงคลเอง
อุกาสะ วันทามิ ภันเต แสดงความเคารพเพื่อให้เกิดนิสัยแห่งความอ่อนโยน
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต นี้ขอให้อดโทษซึ่งกันและกัน มนุษย์อยู่ด้วยกันมันช่วยไม่ได้แหล่ะ มันต้องมีการเผลอพลั้งล่วงเกินกันบ้างเป็นธรรมดา รีบขอโทษเสีย ถ้ารู้สึกว่ามันเป็นการล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ แม้แต่น้อย ให้รีบขอโทษเสีย และเมื่อเขาขอโทษแล้วขอให้อดโทษ อย่าคุมแค้น อย่าถือไว้ ไม่ยอม ไม่ยอม มันผิดนะ ถ้ามีการขอโทษแล้วก็อดโทษเถอะ จะได้เกิดบุญกุศลขึ้นทุกฝ่าย ขึ้นทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่ขอโทษเป็นคนกระด้าง ไม่เท่าไหร่นิสัยเสียแล้วก็จะทำลายตัวเอง จะเชือดคอตัวเองไม่ทันรู้ คนที่ไม่รู้จักขอโทษ เมื่อเขาขอโทษแล้วก็ให้อดโทษ แล้วจะได้หมด จะได้เกลี้ยงจากเวรจากภัย เป็นพระสาวกของพระศาสดาร่วมกันโดยไม่มีเวรภัยในกันและกัน
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง เป็นต้นนี้ ว่าแลกเปลี่ยนส่วนบุญคือความดีในระหว่างกันและกัน เหมือนกับว่าเข้าหุ้นกันนั่นแหล่ะ บุญกุศลนี้เราทำร่วมกัน ถึงแม้คนหนึ่งไม่ได้ทำก็เอามาแลกเปลี่ยนกันมาให้กัน คือให้มันมีบุญเสมอกันไปหมด เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่จะสมาคมซึ่งกันและกันในความหมายที่ว่ายินดีปรีดามุทิตา พอใจในส่วนบุญส่วนกุศลของกันและกัน ถ้าเราทำอยู่เป็นประจำ จะเกิดความรักใคร่สามัคคีถึงที่สุดตามพระพุทธประสงค์ที่ว่าให้ภิกษุนี้อยู่กันด้วยความที่ว่าสามัคคีกัน ให้ว่ากล่าวซึ่งกันและกันได้เพราะความรักใคร่ปรองดองกัน
มีบทปาฏิโมกข์ที่ว่า เอวัง สังวัฑฒา หิ ตัสสะ ภะคะวะโต ปะริสา ยะทิทัง อัญญะมัญญะวะจะเนนะ เป็นต้นนะ มันมีความหมายว่าเราจะต้องยอมซึ่งกันและกัน รักใคร่ซึ่งกันและกัน แล้วก็รับผิดชอบร่วมกันนะนี่ นี่ถ้าว่าพระศาสนาเสื่อมนี่เราทุกคนรับผิดชอบ ถ้าพระศาสนาเจริญเราทุกคนมีส่วนแห่งความภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายรับรู้อยู่ในใจว่าอันนี้เป็นการสนองพระพุทธประสงค์
พระพุทธเจ้าโดยพระวรกายล่วงลับไปแล้วก็จริง แต่โดยทางธรรมทางวินัยพระองค์ตรัสไว้นี้อยู่เป็นศาสดาแห่งพวกเธอ ศาสดาที่เป็นองค์พระธรรมยังอยู่สำหรับเราทุกคน สมตามที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเรื่องอริยสัจโดยพิศดาร อริยสัจย่อนั้นคือ อริยสัจสี่ อริยสัจพิศดารนั้นคือ เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นการเกิดแห่งทุกข์และการดับลงแห่งทุกข์ นี่คือธรรมที่สำคัญ ถ้าเห็นแล้วเห็นพระองค์ จึงเป็นอันว่าพระธรรมยังอยู่ พระองค์ยังอยู่
เรายังมีหน้าที่ที่จะสนองพระพุทธประสงค์กันต่อไปจนชีวิตจะหาไม่ ตรัสว่า พระตถาคตเกิดขึ้นก็ดี ธรรมวินัยของตถาคตเกิดขึ้นก็ดี การดำรงอยู่แห่งธรรมวินัยของตถาคตก็ดี นี้ท่านตรัสทีละอย่างละอย่างนะ ว่าให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแห่งสัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ เวลานี้เรายอมรับว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ แล้วก็ยอมอุทิศสนองพระพุทธประสงค์ที่ทรงหวังว่าธรรมวินัยจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ หน้าที่ต่างๆที่เรากระทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นครูบาอาจารย์สอนนักธรรมก็ดี เป็นเจ้าคณะเจ้าอาวาสผู้ปกครองอะไรก็ดี ขวนขวายทุกอย่างทุกประการให้มีการศึกษาเล่าเรียนให้มีการประพฤติปฏิบัติ ให้มีการสอนต่อๆกันไป สืบอายุพระศาสนา นั้นเรียกว่าเรากระทำอยู่เป็นหลัก ทีนี้มีแต่จะทำให้ชัดเจนให้เต็มที่ให้สมบูรณ์อะไรยิ่งๆขึ้นไปทั้งนั้น
ฉะนั้น ขอให้นึกกันใหม่เพิ่มขึ้นๆให้เกิดความเจริญในกิจการแห่งพระศาสนา ผมเรียกสั้นๆว่าให้ศีลธรรมกลับมา นี่เวลานี้จะเทศน์ก็ดี จะแสดงอะไรก็ดี มันเป็นในหัวข้อว่าศีลธรรมกลับมาทั้งนั้น เพราะเหตุว่าเรื่องอื่นมันไม่จำเป็นแล้ว ทั้งโลกนี้ ทั้งประเทศ ทั้งโลกนี้เรื่องอื่นไม่จำเป็นแล้วจำเป็นเรื่องเดียวแต่ว่าเรื่องศีลธรรมกลับมา
คนรู้หนังสือเขาก็ยังไม่มีศีลธรรมยังอันตราย คนรวยแล้วก็ยังไม่มีศีลธรรมยังเป็นอันตราย คนสบายดีไม่เจ็บไม่ไข้ก็ไม่มีศีลธรรมยังเป็นอันตราย เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจอะไรกันนัก เรื่องรู้หนังสือ เรื่องไม่เจ็บไม่ไข้ เรื่องมีกินมีใช้ อะไร มันมีอยู่แล้วมันยังเป็นอันธพาล มันยังขาดอย่างเดียวแต่ว่าศีลธรรม พอมีศีลธรรมแล้วจะไม่มีใครเป็นอันธพาล ให้จนยังกินข้าวกับเกลือมันก็ไม่เป็นอันธพาล
แต่โบราณสังเกตุเห็นว่าคนจนกินข้าวกับเกลือเขาก็ไม่เป็นอันธพาล เวลานี้ร่ำรวยขี่รถยนต์แล้วมันก็ยังเป็นอันธพาลยังจี้ยังปล้นไปใช้รถยนต์นั้นแหล่ะเป็นเครื่องมือ เพราะมันขาดศีลธรรมอย่างเดียวแหล่ะ มนุษย์มันจะวินาศ แล้วความรับผิดชอบมันจะอยู่กับพระศาสนา เราจึงช่วยกันให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองคุ้มครองมนุษย์ทั้งหลาย นี้มันมีเท่านี้แหล่ะ มันยังเหลือว่าศีลธรรมกลับ ช่วยกันให้โลกนี้มีความสงบสุข
อันนี้เป็นหน้าที่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์หวังว่าเราจะทำ ถ้าเราไม่สนองพระพุทธประสงค์เราจะบวชอยู่ทำไมให้เสียเวลา ถ้าเรายังจะบวชอยู่ขอให้สนองพระพุทธประสงค์ ทุกๆองค์ที่ว่าเป็นเพื่อนสหธรรมจารีย์ คือประพฤติพรมจรรย์ร่วมกันในพระพุทธศาสนา ขอให้สนองพระพุทธประสงค์ซึ่งมีอยู่ชัดเจนที่สุดว่า ให้มีธรรมวินัยไว้สำหรับเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ เทวดานั้นคือคนที่ไม่มีปัญหาสบายสนุกสนาน มนุษย์คือคนที่ลำบากยังต้องยุ่งยากในการหากิน มันมีเท่านี้แหล่ะ ถึงจะเป็นเทวดาในสวรรค์นู้นมันก็เหมือนกัน มันเรื่องคนหมดปัญหาสนุกสนานสบายอยู่ในสวรรค์ แล้วถ้าคนมันอยู่ในโลกนี้ถ้ามันสบายมันไม่มีปัญหาแม้แต่บางเวลามันไม่มีปัญหา มันก็เป็นเทวดาบางเวลา แต่ก็ยังเป็นอันธพาล มันไม่ไหวแหล่ะ เพราะฉะนั้นเทวดาก็ต้องไม่เป็นอันธพาล มนุษย์ก็ต้องไม่เป็นอันธพาล แล้วโลกนี้ก็จะมีความสงบสุข
ยิ่งรวยยิ่งเป็นอันธพาลยิ่งมีอำนาจยิ่งเป็นอันธพาลแล้วมันก็วินาศกันทั้งโลกแหล่ะ ก็เห็นๆอยู่ว่าสงครามมีทั่วทุกหัวระแหง เพราะขาดศีลธรรม ผมจึงขอโอกาสถวายความรู้สึกคิดนึกเท่าที่จะคิดนึกได้ตั้งแต่หลายๆ ปีหลายสิบปีนี้แหล่ะ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปีทุกๆ ปีด้วยเรื่องนี้ นี่ก็ถือโอกาสถวายหนังสือบางเล่มไปบ้างเพื่อไปประกอบการพิจารณา ขอให้สำเร็จประโยชน์มุ่งหมายกันในการที่เราจะช่วยสืบอายุพระศาสนา นี่ก็มีการกระทำชนิดนี้ มีความมุ่งหมายชนิดนี้จึงมีความยินดี ปรีดา ที่ได้พบได้ปะได้ประชุมกัน ขอให้รับเอาไปช่วยคิดช่วยนึกในฐานะที่เป็นหน้าที่ของแต่ละคนนะ ไม่ใช่ผมเกณฑ์หรือขอร้องเพื่อผมนะ ให้ถือเป็นหน้าที่ของทุกองค์จนกระทั่งสามเณร เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้วขอให้ช่วยให้สำเร็จตามพระพุทธประสงค์
ขอให้สามเณรนั้นเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงแล้วสามารถแล้วก็สอนไปได้จริงๆ สามเณรก็สอนได้ คนบางคนมันพูดเขลาๆ ว่าเป็นพระอรหันต์เสียก่อนจึงจะค่อยสอนมันไม่ถูกหรอก มันตายเสียก่อนไม่ได้สอนหรอก แต่ว่าเรารู้เท่าไรให้เราสอนเท่านั้นเถอะนั้นแหล่ะดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าแบบนั้น เรารู้เท่าไหร่ เราทำได้เท่าไหร่ เราสอนผู้อื่นได้ทันที เราไม่ต้องรอจนเป็นพระอรหันต์ เรารู้จริงเท่าไหร่ ปฏิบัติจริงเท่าไหร่ ได้รับผลมาแล้วเท่าไหร่ เราสอนได้ทันที เราจงสอนเขาโดยหลักว่า เท่าที่ผมได้เล่าเรียนมานะ สามเณรจะไปสอนผู้อื่นสอนผู้ใหญ่ว่า เท่าที่ผมได้เล่าเรียนมา เท่าที่ผมได้ลองปฏิบัติดูแล้วผมสอน เท่าที่ผมเคยได้รับประโยชน์มาบ้างแล้ว เอ๊าสอน เรามีโอกาสจะสอนในสิ่งที่เราได้เล่าเรียนมา ในสิ่งที่เราได้ลองปฏิบัติดูแล้ว ในสิ่งที่เราเคยได้ประสบผลดีมาแล้ว นี้ก็สอนได้ นี่ขอให้สามเณรยินดีที่จะปฏิบัติหน้าที่สืบอายุพระศาสนา แต่ว่าตัวเล็กๆ คงสอนไม่ได้มากมาย ปฏิบัติมันก็ยังไม่ได้มากมาย เราก็อย่าเพิ่งอวดดีแหล่ะ เราเจียมตัวให้มากๆ มีความสงบเสงี่ยมให้มากๆ แล้วก็สอนเท่าที่จะสอนได้ อย่าตัดบทเสียว่าเณรเพิ่งบวชสองสามวันสอนไม่ได้ ถ้าเณรไหนบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริง เณรนั้นมีสิทธิที่จะสอนได้ ตามที่ได้เรียนได้ปฏิบัติได้ประสบผลของการปฏิบัติมาแล้ว
ถ้าเมื่อเณรสอนได้ไม่ต้องพูดถึงพระ พระต้องสามารถทำได้กว่านั้น แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ะ ต้องทำได้มากกว่านั้นยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ นี่แหล่ะพระพุทธประสงค์ซึ่งเราหลบไม่ได้ ถ้าเราหลบเสียแล้วก็หมด หมด หมดความเป็นสาวกของพระพุทธองค์แหล่ะ ทีนี้อีกเรื่องหนึ่งก็คือรัฐบาลน่ะ รัฐบาลต้องการ รัฐบาลกำลังหนักอกหนักใจในความไม่มีศีลธรรมของคนอันธพาล เราก็ร่วมมือกับรัฐบาลเถอะช่วยกันแก้ไขป้องกันอันธพาลนี้ให้มันลดลงลดลง ถ้าเราเอากันจริงมันคงจะลดลง นี่เราควรจะปรึกษาหารือกันแหล่ะ เพราะฉะนั้นเราประชุมกันที่ไหนแล้วขอให้ได้พูดกันแหล่ะ ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ให้หมั่นประชุมพร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมแล้วก็พร้อมเพรียงกันปฏิบัติตามข้อตกลงในที่ประชุมนั้นแหล่ะ สำคัญที่สุดนะ ไปดูในพระบาลีเองจะเห็นสำคัญที่สุด ตรัสพร้อมคู่ไปกับเรื่องของลิจฉวี ก็เลย เราจะพร้อมเพรียงกันประชุม แล้วก็พร้อมเพรียงกันปรึกษาหารือมีหลักปฏิบัติ แล้วพร้อมเพรียงกันปฏิบัติ แล้วก็สนองพระพุทธประสงค์ด้วย แล้วก็สนองความต้องการของรัฐบาลด้วย
สำหรับรัฐบาลเราอย่าถือว่าเป็นคนอื่นเลย คือคนที่เป็นผู้จัดการของประเทศ ในฐานะเป็นผู้แทนประเทศ ผู้แทนประชาชนทุกคนมอบหมายให้รัฐบาลจัดการประเทศ เขาก็คือผู้จัดการประเทศสำหรับเราทุกคน การร่วมมือกับรัฐบาลน่ะเป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง มีเหตุผลอย่างยิ่งแหล่ะ เป็นไปตามกฏธรรมชาติอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นเราก็จะชวนกันวินาศหมด รัฐบาลนั้นเขาก็เลือกเอาคนที่มีสติปัญญามีฝีมือมีอะไรมา ช่วยกันไปจัดการให้ประเทศมีความสงบสุข มีความมั่นคง มีความปลอดภัย มีความเจริญ ขอให้ช่วยกันเป็นภาระแหล่ะ อย่า อย่า อย่าหลีกเลี่ยง อย่าบ่ายเบี่ยง เรียกว่าทำให้สนุกไปเลย ในการที่จะช่วยให้ศีลธรรมกลับมาเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ
นี่หล่ะผมขอวิงวอนขออ้อนวอนขอร้องขอทุกอย่างแหล่ะว่าช่วยเอาไปคิดไปนึก ให้ยิ่งจริง ยิ่งขึ้นทุกๆปี ทุกๆปี ทุกๆปี มันจึงจะทันกับเหตุการณ์อย่าหยุดชะงักอย่าถอยหลัง ให้ยิ่งขึ้นไปทุกปี ยิ่งขึ้นไปทุกปี เพราะฉะนั้นในเวลาที่มาพบกันคราวหนึ่งนี้เราก็เลยถือโอกาสประชุมปรึกษาหารืออภิปราย นี่มันเหนื่อยแล้วมันก็หยุดพัก ตอนหัวค่ำตอนค่ำนู้นก็มีเรื่องอภิปรายเรื่องที่จะทำกันต่อไป ถ้าอยู่ร่วมกันได้ ก็ดี ถ้ามีธุระจำเป็นก็กลับ อภิปรายสิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเราโดยตรง หน้าที่ของเราโดยตรง หัวข้อที่เราจะอภิปรายกันในคืนนี้วันนี้ก็มีจนถึงเรื่องว่า ประชาชนยังไม่กลัวกิเลส ทำอย่างไรให้ประชาชนกลัวกิเลส ปัญหาใหญ่คือประชาชนไม่กลัวกิเลส ไม่กลัวบาป ไม่กลัวทุกข์ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ประชาชนจึงยังไม่รักชาติ ไม่รักศาสนา ไม่รักพระมหากษัตริย์ ช่วยกันเตรียมคิดนึกอภิปรายกันสักที
รัฐบาลในโลกทุกๆ รัฐบาลไม่เห็นว่าปัญหาศีลธรรมสำคัญ เห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจสำคัญ ไปยุ่งกันแต่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ยุ่งเรื่องศีลธรรม ไอ้เศรษฐกิจนี้พอมันเจริญแล้วมันก็ทำให้คนเห็นแก่ตัวมาก เศรษฐกิจยิ่งเจริญเท่าไหร่คนจะยิ่งเห็นแก่ตัวมากจนศีลธรรมต้องเข้ามาควบคุม ถึงเวลานี้เขาไม่สนใจศีลธรรม มันสนใจแต่เศรษฐกิจคนมันก็เห็นแก่ตัวมาก
รัฐบาลต่างๆ ในโลกยังส่งเสริมอบายมุขอยู่มาก รัฐบาลยังต้องการให้คนได้ดื่มน้ำเมา ได้เที่ยวกลางคืน ได้ดูการเล่น ได้เล่นการพนัน โดยสะดวก นี่รัฐบาลส่งเสริมอบายมุข ที่ทรงอำนาจผู้ที่ทรงอำนาจเช่นรัฐบาลก็ดี แม้องค์การสหประชาชาติ ที่อำนาจสูงสุดในโลกเวลานี้ก็ดี ไม่สนใจในเรื่องศีลธรรม เราก็ต้องขวนขวายต่อสู้กันเองแหล่ะ จนกว่าประชาชนทุกคนมันต้องการ ถ้าประชาชนทุกคนต้องการจะมีศีลธรรม รัฐบาลก็ทนอยู่ไม่ได้ ถ้าประเทศทุกประเทศต้องการความมีศีลธรรม แล้วองค์การสหประชาชาติก็จะทนอยู่ไม่ได้ จะต้องหันมาปัญหาเรื่องศีลธรรม แต่เวลานี้ไม่ ไม่มีศีลธรรม ไม่ปรึกษาเรื่องศีลธรรมในองค์การสหประชาชาติ ก็เป็นหน้าที่ของเราต่อสู้กันไปพลางหลังฉากนี้แหล่ะ ให้ประชาชนทุกคนแหล่ะ เห็นประโยชน์ของศีลธรรม เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรม ให้ญาติโยมทุกคนนี้เห็นความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรม แล้วไปเรียกร้องจากรัฐบาล ทีหลังรัฐบาลก็ต้องอำนวยแหล่ะ จะเฉยจะนิ่งอยู่เหมือนเวลานี้ไม่ได้
เวลานี้ประชาชนของเรานะ ติดบุคคลมากเกินไป ติดครูบาอาจารย์มากเกินไป ติดสำนักนั้นสำนักนี้มากเกินไป ติดแบบนั้นแบบนี้มากเกินไป กระทั่งติดตัวหนังสืออย่างงมงายไม่รู้ความหมายเกินไป ติดขนบธรรมเนียมปรำปรามากเกินไป เราจึงทำอะไรไม่ค่อยจะสำเร็จน่าอ่อนใจนะ เพราะว่าประชาชนมันไปติดไอ้แบบนี้เกินไปแกะไม่ออก เอ้า ก็อย่ายอมแพ้ ทำให้ประชาชนลืมหูลืมตา อย่าติดคน อย่าติดอาจารย์ อย่าติดแบบ อย่าติดสำนัก อย่าติดตัวหนังสือ อย่าติดปรำปรา แล้วจะดีขึ้น จะตรงตามพุทธศาสนามากขึ้น จะตรงตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมากขึ้น
ทีนี้อีกข้อหนึ่งว่า นี่มันพ้นสมัยแล้ว พ้นสมัยแล้วที่จะมาขัดแย้งกันระหว่างศาสนา เมื่อสักหลายร้อยปีมาแล้วการขัดแย้งศาสนาเขาเห็นเป็นของจำเป็น เป็นของที่ต้องต่อสู้ต้องมี แต่เวลานี้แหล่ะ ขอให้ถือว่าจำเป็นแล้วอย่าไปนึกถึงเรื่องที่จะขัดแย้งกันระหว่างศาสนา
ขอให้พยายามทำให้ทุกศาสนาทำงานร่วมกันได้ในการช่วยมนุษย์ให้มีศีลธรรม ทุกศาสนาสามารถช่วยให้มนุษย์มีศีลธรรมแต่โดยวิธีต่างๆกัน แล้วก็มารวมหัวกันช่วยให้มนุษย์มีศีลธรรม เราก็ให้มองเห็นว่าความจริงสิ่งเดียวในโลกเป็นอันเดียวกันหมดแหล่ะ ของจริงในโลกเป็นอันเดียวกันหมด จะไปอยู่ในศาสนาไหนก็ได้ เขาเรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่าพระธรรม นักวิทยาศาสตร์เรียกว่ากฏของธรรมชาติ มันสิ่งเดียวกันแหล่ะ และมันทำงานร่วมกันได้ไม่ต้องขัดแย้ง นี่แหล่ะสรุปความว่ามันมีเรื่องมากแหล่ะที่จะทำให้ศีลธรรมกลับมา
อีกอย่างผมอยากจะฝากไว้ จะเอาไม่เอา จะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้ แต่ว่าอยากจะขอให้พวกเราทุกๆคนนี้ อธิบายเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ชัดให้จริงยิ่งขึ้นกว่าเดิมยิ่งกว่าแต่ก่อนๆมา แต่ก่อนๆเราก็สอนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันมากมายเต็มที่ แต่ผมอยากขอร้องว่าเขยิบอีก เขยิบอีกให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่าให้จนประชาชนยอมรับนะ ให้เห็นแจ้งเห็นจริงแล้วยอมรับว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ ถ้าได้ถึงขนาดนี้จะรอดตัว
เราเกิดมาจากพระธรรมไม่ใช่ผีปั้นมา พระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระธรรม ทำให้คนเกิดมา ทำให้สอนคนให้รู้ธรรม แล้วคนก็เกิดมาโดยธรรม มีความรู้ธรรม นี้เรียกว่า เกิด เกิดที่มีความหมายไม่ใช่ว่าเกิดจากท้องแม่ เกิดทางจิตทางวิญญานนี้ก็พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่เพราะว่าเกิดก่อน
พระสงฆ์ทั้งหลายจะระดับไหนก็ตามใจตั้งแต่พระอรหันต์ลงมาให้ถือว่าเป็นพี่เพราะว่าเกิดก่อน ช่วยชี้แจงให้ประชาชนทั้งหลายมองเห็นว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ แล้วเราก็คือผู้ที่คลานตาม นี่ขอให้จริงกันจนถึงขนาดนี้ แล้วปัญหามันก็อาจจะหมดไปโดยเร็ว และอย่างน้อยแต่ละคนละคนจะมีความสุข ถึงแม้ว่าคนอื่นเขาไม่เอาก็ช่างเขาแหล่ะ เราเอาแล้วกัน เราทำให้ได้ก็แล้วกัน
เรายังจะต้องปรับปรุงอะไรกันอีกมากแหล่ะ เช่นว่าให้เกิดความคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ นี่มันต้องเป็นความคิดที่ต้องปรับปรุง ของเดิมมันไม่กล้าคิด มันไม่กล้าพูด แล้วมันไม่เข้าใจ แต่นี้คือความจริงอย่างยิ่ง ถ้าพูดกันทางจิตใจทางดวงวิญญานกันแล้วก็ต้องพูดได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ จริงเหมือนกัน ช่วยเอาไปทำให้สำเร็จให้เป็นสวัสดีมงคลแก่ประชาชนทุกๆคนนะ
อย่าให้มนุษย์ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานนะ มนุษย์ยังปวดหัวยังนอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ สัตว์มันไม่ต้องกิน สัตว์ไม่เป็นโรคประสาท สัตว์ไม่เป็นโรคจิตเหมือนที่พูดมาแล้วเมื่อตะกี้นี้
ต้องรู้ธรรมะให้สมบูรณ์ทั้งโดยภาษาธรรมและโดยภาษาคน เขาไปล้อ คนที่ไม่รู้เรื่องเอาไปล้อ ภาษาธรรมภาษาธรรมอะไรกันมันก็มีอย่างที่พูด นี่เราบอกว่าไปดูให้ดีภาษาธรรมนั้นมันลึกกว่า ถ้าเราพูดโดยภาษาคนพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว เผาแล้วเหลือแต่กระดูกนั่นแหล่ะ นี่พูดภาษาคนนะ ถ้าพูดภาษาธรรม พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระพุทธเจ้ายังอยู่กับเราเหมือนที่พระองค์ตรัสไว้เองว่าเห็นธรรมะเห็นเรา มีธรรมะมีเรา ธรรมวินัยก็บัญญัติไว้เป็นตัวเราอยู่กับเธอนะ นี่เขาพูดภาษาธรรม มันต้องมีกันทั้งภาษาธรรม มีกันทั้งภาษาคน แล้วแต่เหตุการณ์มันบังคับให้ทำอย่างไร
แล้วพระธรรมนั้นต้องเป็นสันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก นี่หล่ะขออ้อนวอนทุกองค์ช่วยไปอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจนะ เราว่ากันว่า สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก มันต้องให้ขอแบบนั้นจริงๆ ให้มันมีอยู่ข้างในจริงๆแหล่ะ จนมีการปฏิบัติแล้วก็เห็นแก่เนื้อแก่ตัวแหล่ะ แล้วผลของการปฏิบัติมันก็มีในเนื้อในตัวแหล่ะ เอหิปัสสิโก เรียกเพื่อนมาดู มันต้องมีให้ดูแหล่ะ ถ้าไม่มีอะไรให้ดูมันก็หลอกกันแหล่ะ เอหิปัสสิโกหลอกกันแหล่ะ มาดู มาดู ไม่มีอะไรให้ดู เราต้องมีความดับทุกข์หรือว่าไม่มีทุกข์ให้ดูแหล่ะ นี่เรียกว่า สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก เรียกให้มาดูมีให้ดูจริงๆ มันต้องเป็นเรื่องที่นี้และเดี๋ยวนี้
นิพพานมันต้องที่นี้เดี๋ยวนี้ เมื่อใดว่างกิเลสเมื่อนั้นเป็นนิพพาน ว่างสักนิดนึงก็เป็นนิพพานนิดนึง ว่างมากก็เป็นนิพพานมาก ว่างชั่วระยะสั้นก็เป็นนิพพานชั่วระยะสั้น ว่างระยะยาวก็เป็นนิพพานระยะยาว เมื่อใดไม่มีกิเลสเมื่อนั้นเป็นนิพพาน
นิพพานต้องที่นี้และเดี๋ยวนี้นะ ไม่ใช่ว่าเมื่อตายแล้วนะ มันทุกข์ ความทุกข์มันอยู่ที่นี้เดี๋ยวนี้แล้วถ้าไปดับทุกข์เมื่อตายแล้วมันจะพบกันได้อย่างไร คิดดูทำนาชาตินี้แล้วไปเกี่ยวข้าวชาติหน้าเมื่อตายแล้วใครเอามั่งล่ะ เพราะฉะนั้นขอให้คิดดูเถอะว่า สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก มันต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราอธิบายบทพระธรรมคุณ พระธรรมคุณให้ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปกว่าที่แล้วมา คำว่า สันทิฏฐิโก เรารู้สึกอยู่ในใจนะ อกาลิโก มีผลทันควันนะ เอหิปัสสิโก มีอยู่จริงๆแก่เนื้อแก่ตัวเรียกเพื่อนมาดูได้นะ ปัจจัตตังเวทิพตัพโพ ถ้าไม่โง่เกินไปเป็นวิญญูชน แล้วก็จะเห็นแจ้งในพระธรรมได้ นี้คำอธิบายคุณบทของพระธรรมเรายังอธิบายกันน้อยไป ยังหล่ะหลวมไปอธิบายเสียใหม่ให้มันเห็นชัดว่าที่นี้และเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติที่นี้แล้วเอาผลเมื่อตายแล้วมันก็ ไม่มีใครทนได้ มันต้องเอากันทันทีเป็นอกาลิโก ทันทีแหล่ะ แล้วก็มีสำหรับเรียกมาดู มาดู มาดู ปฏิบัติอย่างนี้ได้ผลอย่างนี้ เรียกมาดูได้นะ นี่พระธรรมจะต้องช่วยกันให้เป็นประโยชน์จริงตามหลักธรรม ตามพระพุทธประสงค์
ไอ้เรื่องสรุปความให้เป็นคำสั้นๆ จำง่ายสำหรับประชาชนนี้ผมพยายามมาตั้งหลายสิบปีแล้ว เดี๋ยวพบประโยคนั้นประโยคนี้ เวลานี้ก็พบ สำคัญที่สุดในพระบาลีเอง ก็คือคำว่า ตถาตา อวิตถตา อนัญญถตา ที่แปลว่า เช่นนั้นเอง ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น ไม่มีโดยประการอื่นจากความเป็นเช่นนั้น รวมความเรียกว่าเช่นนั้นเอง
ถ้าเช่นนั้นเองก็ไม่ยินดียินร้าย อารมณ์มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้อนรับด้วยเช่นนั้นเอง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ใจปกติแล้วไม่เป็นทุกข์
ช่วยอธิบายคำว่าเช่นนั้นเองให้ประชาชนเข้าใจ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นแหล่ะคือเช่นนั้นเอง อริยสัจสี่ ก็คือหลักที่เช่นนั้นเอง ปฏิจจสมุปบาท คือหลักที่เช่นนั้นเอง นี่พระพุทธเจ้ายืนยันเอง ท่านเรียกปฏิจจสมุปบาทว่า ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา ธัมมัฆฐิตัตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา นั่นแหล่ะ ขอวิงวอนว่าช่วยกันเคลื่อนไหวอย่าหยุดนิ่ง อย่าหยุดนิ่ง แก้ไขปรับปรุงเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวนิดๆหน่อยๆเรื่อยไปอย่าหยุดเสีย แล้วพยายามหาคำเพื่อสรุปคำ สรุปความขึ้นเป็นคำที่ให้เขาจำง่ายๆ ไม่ต้องกลัวว่าใครว่าเราหลอกคนหรือว่า ว่าเอาเอง เรามีเหตุผลที่จะสรุปคำขึ้นมาให้ประชาชนศึกษาธรรมะได้โดยง่าย
ผมบรรยายไปส่งวิทยุกระจายเสียง วันอาทิตย์ที่สาม สรุปคำขึ้นมาเอง ว่าธรรมะต้องการความคงเส้นคงวา ความถูกฝาถูกตัว ความมีหัวมีหาง ความระวังคางระวังคอ เมื่อเช้านี้พูดเรื่องถอนตอแล้วลงหลัก คราวหน้าจะพูดว่ากรงจักรหรือดอกบัวให้รู้จัก ไอ้คำเหล่านี้มันสั้นๆ ไม่กี่พยางค์ แต่แล้วมันมีประโยชน์ช่วยความจำ นึกได้ง่ายปฏิบัติตามได้ง่าย แล้วมันก็เป็นวิธีลัดที่สุดเลย ไม่ต้องท่องพระไตรปิฎกก็สามารถจะปฏิบัติให้ตรงกับความหมายของพระไตรปิฎกได้ ถ้าเคยฟังมาคงเคยได้ยินที่ผมอธิบายเรื่องคงเส้นคงว่า ถูกฝาถูกตัว มีหัวมีหาง ระวังคางระวังคอ ถอนตอแล้วลงหลัก รู้ว่ากงจักรหรือว่าดอกบัว
ในที่สุดนี้ขอขอบพระคุณ ขอบพระคุณโดยส่วนตัวอุตส่าห์มา แก่พระเถรานุเถระ เพื่อนสหพรมจารีย์ทั้งหลาย ตลอดถึงสามเณร แล้วก็ขอแสดงความหวังว่าร่วมมือกันสนองพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ เพื่อให้ศีลธรรมกลับมา เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของโลก สาวกของพระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้ทำประโยชน์สูงสุดสมกับเป็นสมณะศากยบุตรพุทธชิโนรสทุกประการ ขอให้เราทุกคนมีความกล้าหาญมีกำลังจิตอดทนเข้มแข็งประพฤติปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี ทุกๆองค์ ทุกๆท่าน ทุกๆประการเทอญ