แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นิมนต์นั่งตามสบาย กระผมขอโอกาสกล่าวอะไรสักเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าจะตามธรรมเนียม แต่ว่าเพื่อเป็นประโยชน์ให้พอคุ้ม ๆ กันกับในการที่ได้มา คือเรื่องที่จะกล่าวนั้น สำหรับภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ขอให้ถือว่าเป็นโอวาท แต่ว่าสำหรับพระเถระทั้งหลาย ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ขอให้เป็นคำปรึกษาหารือ โปรดให้เข้าใจด้วย จะขอปรารภกับภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ก่อน ขอได้โปรดฟัง และขอให้พระเถระครูบาอาจารย์ช่วยเอาไปพิจารณา เอาไปช่วยอบรมสั่งสอนด้วยถ้าเห็นตามนั้น ผมกำลังพูดกับภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ที่อยู่ข้างหลัง ได้โปรดฟัง
เมื่อมาทำวัตร ในส่วนที่เป็นการทำวัตรนั้น เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย เป็นพระพุทธโอวาทที่สงเคราะห์ในธรรมมะวินัยด้วย ในการที่แสดงสามีจิกรรม (05.44)ตามที่ควรแสดง ตามโอกาสทุกอย่างทุกประการ โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสที่เรียกว่า ทำวัตร ซึ่งแปลว่าสิ่งที่พึงปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่หลายอย่าง นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งในหลาย ๆ อย่าง เราทำวัตรแบบเมื่อตะกี้นี้ คือทำวัตรแบบที่ได้มีมา หลายร้อยปี จะถึงพันปีหรือไหมไม่ยืนยัน แต่ยังเชื่อว่าจะถึงพันปี แต่อย่างน้อยต้องหลายร้อยปี อุบาสะวันทาวิพันเต (06.33) ที่แสดงความเคารพ สัพพังอะปะราทัง กัมมันตะเมพันเต (06.36)ขอโทษขอขมาโทษ มะยังกะตังบุญญัง (06.43) ในตอนต้นนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ขอให้ทุก ๆ ท่านทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ ให้เป็นการแสดงความเคารพ และให้เป็นการขอขมาโทษและอดโทษ และเป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ วันทามิพันเต (07.05) นี่แสดงความเคารพตามที่ควรจะเคารพ นั่นย่อมหมายความว่า จะพึงกระทำต่อกันและกัน ไม่ใช่ว่าทำทีเดียว แห่งเดียว ที่ใดที่หนึ่ง แต่ต้องเป็นระเบียบกระทำอยู่ทั่ว ๆ ไป ในทุก ๆ โอกาสที่ควรจะทำ เพราะว่าผู้ที่อยู่โดยไม่มีที่เคารพนั้นจะลำบาก จะเป็นทุกข์ หรือว่า จะไม่ถูกตามธรรมตามวินัย ขอให้ภิกษุสามเณรจงมีความเคร่งครัด ในการที่จะแสดงความเคารพ ด้วยจิตใจที่เคารพ ต่อบุคคลที่ควรเคารพ นับตั้งแต่เพื่อนบรรชิต เพื่อนสาธรรมมิก (08.01) ขึ้นไปจนถึงครูบาอาจารย์ จนถึงวัตถุสูงสุดคือพระพุทธเจ้า จะทำให้จิตใจอ่อนโยนไม่กระด้าง กิเลสมันเกิดไม่ได้แก่บุคคลที่มีจิตใจอ่อนโยน กิเลสประเภทกระด้างโดยมานะย่อมไม่มี ย่อมไม่อาจจะเกิดได้
สัพพัง อัปปะราทัง กัมมะตะเม พันเต (08.35) นี่เป็นการขอโทษ เพราะว่ามันยากที่จะอยู่กันในโลกนี้โดยไม่มีการล่วงเกิน เพราะว่าการล่วงเกินนั้นมีได้ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิต นั่นจึงอาจจะมีล่วงเกินได้ง่ายที่สุด ผมจึงรู้สึกว่ายากที่จะอยู่กันโดยไม่มีการล่วงเกินในโลกนี้ ยิ่งมีความสัมพันธ์กันมาก ยิ่งมีโอกาสที่จะล่วงเกินมาก ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางจิตใจก็ดี ถ้ามีอารมณ์กระทบมากมันก็เป็นได้มาก เราพยายามสอบสวนตัวเองอยู่เสมอว่าได้ล่วงเกินโดยทางใดบ้างแก่ใครบ้าง และก็พยายามหาโอกาสที่จะขอโทษ เมื่อมีการขอโทษแล้วต้องมีการอดโทษ อันนี้เป็นธรรมวินัย เป็นสัปปุริสะบัญญัติ (09.39) ขอให้ภิกษุใหม่ สามเณรประพฤติให้เคร่งครัดในการที่จะขอโทษ และอดโทษ แม้แต่ภิกษุที่อายุน้อยกว่าเราหรือแม้แต่สามเณร ภิกษุก็ต้องขอโทษเหมือนกันถ้าล่วงเกิน การขอโทษนั้นมีเป็นระเบียบอยู่แล้ว เป็นชั้นเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว ขอให้ทำไปตามนั้น แต่ว่าไม่ใช่ทำเพียงกิริยาท่าทาง ต้องทำด้วยจิตใจที่ขอโทษและอดโทษ เพราะการล่วงเกินกันนั้นมันเป็นการเพิ่มกิเลส โดยเฉพาะเพิ่มกิเลสประเภทโทสะ ถ้ามีบ่อยเข้า ๆ ก็เรียกว่าเพิ่มอนุสัย ประเภทปฏิฆะอนุสัย พอถึงขั้นอนุสัยแล้วทีนี้จะลำบากมาก ด้วยความเคยชินจะละยาก มันจะทำลายตัวเอง เราจะไม่เป็นผู้ที่ไปทำลายตัวเองเมื่อละสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปคิดว่าเราไม่อยากจะขอโทษ ความคิดนั้นมันเป็นกิเลส มันไม่ถูกต้อง แล้วมันจะทำลายตัวเอง ถ้าเราขอโทษก็ไม่เสียหายอะไร จะได้รับประโยชน์คือมีกิเลสประเภทนี้เบาบาง เขาเรียกว่า อะหังการ มะมังการ มานานุสัย (11.27) อนุสัยที่เป็นการถือมานะทิฐิว่าตัวกู ว่าของกู อะหังการะแปลว่าตัวกู มะมังการะแปลว่าของกู มานานุสัยคือความเคยชินถือในความกระด้างว่าตัวกู ว่าของกู อันนี้ถ้ามีแล้วก็จะทำความลำบากตลอดชีวิต ถ้าจะบรรเทาก็ต้องบรรเทากันเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดสิ้น ด้วยการขอโทษจะบรรเทาได้ดีวิธีหนึ่ง และเมื่อขอโทษแล้ว ก็ต้องอดโทษ ถ้ายังถือมานะทิฐิไม่ยอมอดโทษ ฝ่ายนั้นจะเป็นฝ่ายแพ้เสียหาย ก็จะเพิ่มกิเลส เพิ่มอนุสัย เพิ่มความเคยชิน ก็จะกระด้างด้วยทิฐิยิ่งขึ้นไปอีก และก็ทำลายตัวเอง ไม่ต้องสงสัย จะขอให้ภิกษุสามเณรได้จำไว้ให้ดี ๆ ให้เข้าใจให้ดี ๆ ถ้าเราได้ทะเลาะวิวาทกัน ถึงขนาดทุบตีกันก็มีนะ เพราะว่ากิเลสประเภทนี้ พยายามบรรเทากันไว้เรื่อย ๆ ด้วยการที่เขาได้บัญญัติไว้แล้ว สอนไว้แล้ว เช่นแม้แต่การทำวัตรนี้เป็นต้น ก็เป็นเครื่องบรรเทากิเลสอนุสัยโดยตรง
ข้อที่สามที่ว่า มะยากะตัง คุนยัง (13.11) เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ความมุ่งหมายโดยตรงเพื่อจะแก้กิเลสประเภทอิจฉาริษยา ความริษยานั้นท่านถือกันว่าเป็นสิ่งทำลายโลกให้วินาศมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว คำกล่าวนี้ บัดนี้ก็มีผู้กล่าว ว่าความอิจฉาริษยาเป็นสิ่งที่ทำโลกให้วินาศ เรามาสังเกตเห็นได้ในเวลานี้ ปัจจุบันนี้ โลกที่ไม่สงบสุข สันติภาพไม่ได้เพราะอิจฉาริษยากันเหมือนกัน จะเป็นพวกไหนเป็นพวกไหนในเวลานี้แบ่งเป็นพวก ๆ แล้วก็ไม่ยอมกัน ก็อิจฉากันไม่ให้คนอื่นดีขึ้นมาได้ และทับถมคนอื่น เลยได้รบกันยืดเยื้อ เป็นสงครามใต้ดิน บนดิน ตลอดเวลา กระทั่งบัดนี้ เวลานี้ มูลเหตุอันแท้จริงคือไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ไม่อยากให้คนอื่นเก่งกว่าเรา ก็เลยหาทางที่จะทำลาย ก็เลยได้รบกันเรื่อย โลกนี้ก็เลยไม่มีความสงบสุข ขอให้มองกันดี ๆ ตอนนี้ทั้งโลกกำลังไม่มีความสงบสุข ถ้าเกิดรบกันครั้งใหญ่ก็คือวินาศของโลก ในส่วนเล็ก ๆ ลงมา ในภายในประเทศหนึ่งก็ดี ในจังหวัดหนึ่ง หมู่บ้านหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งก็ดี ความอิจฉาก็เป็นเรื่องทำให้วินาศเหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงย้ำมากที่สุดเรื่องความสามัคคี ตอนท้ายของปาติโมกข์กับพระสัพเพเหวะ (15.04) นั้น ย้ำมากเรื่องสามัคคี ที่ว่าเป็นเหตุให้อยู่ได้แห่งสงฆ์ ถ้ายังมีสามัคคี สงฆ์ก็จะอยู่ได้และจะมีความเจริญ ถ้ามีการแตกสามัคคี อิจฉาริษยากัน สงฆ์นี่ก็จะต้องวินาศเหมือนกัน ไม่ต้องมีใครแช่ง ไม่ต้องมีใครว่า มันเป็นไปเอง นี่จึงต้องการความสมัครสมานสามัคคี กำจัดความอิจฉาริษยาเสีย
การแลกเปลี่ยนส่วนบุญ มะยากัตตัง ปุญญังสามินา อะโนโวทิตะพัง (15.41) ที่ผมได้ทำ ที่ข้าพเจ้าได้ทำ ขอให้ท่านได้มีส่วนกระทำ ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วน ถ้าทำกันชนิดนี้จริง ความอิจฉาริษยามันก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีที่จะอยู่ในจิตใจของคุณได้ ขอให้ผู้บวชใหม่ ที่จะเข้ามาในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้ ได้ทราบข้อนี้ไว้เป็นพิเศษด้วย จะได้สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียวกันดีในระหว่างพุทธบริษัททั้งสี่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ก็ดูจะพอแล้วแค่เพียงเท่านี้ เรียกว่าด้วยส่วนตัวก็มีความเจริญ มีความสงบสุข โดยหมู่คณะก็มีความเจริญ มีความสงบสุข หรือว่าหมู่คณะทั้งหมด คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็จะมีความเจริญ มีความสงบสุข ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่เรียกว่า ทำวัตร คือแสดงความเคารพ คืออดโทษซึ่งกันและกัน และแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน ผมขอให้ผู้บวชใหม่ทั้งหลายถือว่าเป็นโอวาท และขอร้องพระเถระ เพื่อนสาธุมิตรทั้งหลาย ว่าช่วยพิจารณา และช่วยอบรมภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ให้เข้าใจ และให้ประพฤติปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้สำเร็จประโยชน์
ทีนี้เรื่องที่จะพูดต่อไป ก็คือเรื่อง ที่ได้เกิดมีความนิยมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีมาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปีเช่นที่กำลังทำอยู่นี้ ผมจะไม่พูดโดยส่วนตัว ว่าขอบพระคุณโดยส่วนตัว ขออนุโมทนาโดยส่วนรวม แต่ขอพูดไปในลักษณะที่สูงกว่านั้น คือขอให้ทุกคนทั้งสองฝ่ายทุกฝ่าย มีความเข้าใจถูกต้องว่า เราจงมาเพื่อปรึกษาหารือ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความตั้งอยู่ได้ในความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนานั้นเอง การประชุมใด ๆ ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่า ประชุมเพื่อความตั้งอยู่ได้ เจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา จะเป็นการประชุมที่นี่หรือที่ไหนทุกแห่ง ถ้าเป็นการประชุมของภิกษุสามเณร ของภิกษุสงฆ์ ต้องยกเอาเรื่องปรึกษาหารือ เพื่อความตั้งอยู่ได้กับเพื่อความเจริญงอกงามของพระศาสนา จึงถือเป็นโอกาสที่จะพูดเรื่องนี้ ยังมีเจตนาตั้งไว้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่จะปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ ตลอดไปจนถึงเวลาคืนนี้ จะปรึกษาหารือข้อนี้กันเรื่อย ๆ ไปปีละครั้งอย่างน้อยสำหรับที่นี่ ขอได้มองว่า โลกมันเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะกระทบกระทั่งต่อพุทธศาสนา ถ้าโลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะสนับสนุนส่งเสริมศาสนามันก็ดี มันก็ไม่มีปัญหา มันก็อยู่กันได้สบาย ถึงเวลานี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นอันตรายกับพระศาสนา ทุกศาสนาเลย พูดให้ชัดก็คือว่าความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นในทางที่ทำให้คนเกลียดศาสนา ไปหลงไหลบูชาในเรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงามทางวัตถุ หรือทางเนื้อหนัง หรือพูดให้ชัดก็คือทางกามารมณ์ โลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางนี้ ก็เป็นอันตรายกับพระพุทธศาสนา ทำให้คนไม่สนใจพระพุทธศาสนา ศาสนาอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป จะเกิดความยากลำบากในการสั่งสอน คนไม่สนใจในพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนไม่ชอบบวช และไม่ชอบศึกษาธรรมมะ แล้วจะเอาอะไรมาปฏิบัติธรรมมะ การประพฤติปฏิบัติธรรมมะก็หมดไป ๆ ที่เคยมีกันอย่างลึกซึ้งในขนบธรรมเนียมประเพณี ในสายเลือดของบรรพบุรุษกำลังหายไปหมด มันกำลังจางหายไปหมด ยกตัวอย่างเช่นว่า หนังสือพิมพ์ลงเรื่อง ผู้ชายสามสิบคนข่มเหงผู้หญิงคนหนึ่ง ข่มขืนแล้วพาไปให้รถไฟทับ ในจำนวนผู้ชายเหล่านั้นมีคนอายุถึงสี่สิบปี สี่สิบกว่าปี และในเมืองที่ว่าเคยเจริญรุ่งเรืองในพุทธศาสนาอย่างเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นี่มันขายหน้า เมืองไทยเป็นพุทธบริษัท ประเทศอื่นหัวเราะเยาะ ว่าประเทศไทยที่เป็นพุทธบริษัทจะมีความเสื่อมลงถึงขนาดนี้ ลองมานึกดูว่าสมัยก่อนเค้าทำไม่ได้นะแบบนี้ คนอายุสี่สิบปีจะมารวมหัวกับเด็ก ๆ ทำแบบนี้ทำไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำได้ เพราะละทิ้งศาสนามากขึ้น นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่งเท่านั้นที่จะได้เอาไปคิด เทียบ ๆ ดูถึงเรื่องราวอีกมากมาย แสดงให้เห็นความเสื่อมแห่งจิตใจ ในการที่จะมีธรรมมะ มีศาสนาในจิตใจมันเสื่อมลง ๆ จะเป็นอย่างไรก็คิดดู โดยส่วนรวมก็หาความสงบสุขไม่ได้ ศาสนาไม่อยู่ในจิตใจของคน แล้วคนก็เลยทำอะไรซึ่งไม่ควรจะทำไม่น่าจะทำ เรามีหน้าที่อย่างไ ร ถ้าเราเป็นภิกษุ เป็นบรรชิตควรจะถือเป็นหน้าที่จะได้ช่วยเหลือแก้ไขไปตามสมควร จะถือว่าไม่ใช่ธุระคงจะไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงหวังอย่างยิ่ง ว่าพุทธบริษัททั้งสี่จะช่วยกันทำหน้าที่ของตน เพื่อให้พระศาสนาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ เรามาพิจารณาดู จะได้เห็นว่ามีสิ่งมีหนทางใดบ้างจะช่วยกันแก้ไขได้ ก็จะได้แก้ไขได้ช่วยกัน
นี่เป็นตัวอย่าง เป็นเครื่องวัดความเสื่อม ตลอดถึงว่าบิดามารดาแท้ ๆ ข่มขืนบุตรสาวของตัวเองเป็นภรรยา ผมอ่านพบด้วยตัวเองในหนังสือพิมพ์ปีนี้มีด้วยกันสองครั้งแล้ว สองรายแล้ว ที่ไม่ได้อ่านก็คงจะมีอีก ที่ไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์ก็คงจะมีอีก ก็เป็นเครื่องวัดว่าในจิตใจของคนเสื่อมเท่าไหร่ สิ่งเลวทรามชนิดนี้ควรจะไม่มีในโลก แต่ว่าในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา ประเทศที่ถือว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จะว่าเป็นไปตามบุญตามกรรมของใครมันก็ไม่ถูก เพราะว่าถ้าเราช่วยกันได้เราก็ควรจะช่วย จะได้ป้องกันว่าอย่ามามีในบ้านในเมืองเราได้แหละดี ถ้าทุกคนเอาแต่นั่งอยู่อย่างนี้ หลายสิบองค์ หรือตั้งร้อยสองร้อยองค์นี้ ช่วยกันระวัง ผมคิดว่าคงจะรักษาบ้านเราไว้รอด ทั้งพระผู้ใหญ่และภิกษุ สามเณรน้อย สำนึกในเรื่องนี้ และคอยดูคอยแล คอยพูดจา คอยทักท้วง คอยต้านทานเพื่อนฝูงของเราไม่ให้ทำสิ่งนี้ บอกกล่าวให้ทราบเสมอว่าเป็นสิ่งที่เสียหายมาก ให้ช่วยกันต้านทานไว้ ก็จะป้องกันบ้าง แก้ไขบ้าง ไม่มีสิ่งที่เลวทรามถึงขนาดนั้น นี่เป็นเรื่องที่น่านึกน่าคิด ที่ว่าบรรพชิตนี้จะทำหน้าที่อย่างไรให้คุ้มกันกับการที่เป็นบรรพชิตในพุทธศาสนา อย่าถือว่าไม่ใช่ธุระไม่ใช่หน้าที่ ตัวใครตัวมัน ใครทำบุญก็ได้บุญ ใครทำบาปก็ได้บาป นี่มันไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสไว้แบบนั้น ตรัสว่าให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ช่วยกันทำให้ธรรมวินัยนี้ยังอยู่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งเทวดาทั้งมนุษย์ ขอได้พิจารณาให้ดี และให้เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของเราโดยตรง ตั้งจิตแน่วแน่ ตั้งปณิธานว่าจะช่วยกันแก้ไขป้องกันเรื่องนี้อย่างเหน็ดเหนื่อย มันต้องใช้คำว่าเหน็ดเหนื่อย อย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อจะดูแลหาโอกาสพูดจาอบรมสั่งสอนชี้แจงกันไปตามเรื่อง ก็เรียกว่าช่วยป้องกันมนุษย์ไม่ให้ตกลงไปในอบาย และช่วยป้องกันให้พระศาสนานี้ยังคงมีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ มันจะกำลังหายไป จางไปจากจิตใจของมนุษย์ เราช่วยป้องกันได้สักคนหนึ่งเท่านั้น ก็วิเศษจนว่าตีราคาไม่หวาดไม่ไหว ถ้าเราสร้างวัดสักสิบวัดยี่สิบวัดแต่ไม่ได้ทำอะไร อย่างนี้น่ากลัว แต่ถ้าว่าได้ป้องกันคนสักสองสามคนให้รอดจากอบายได้ คิดว่าน่าชื่นใจ จึงคิดถึงว่าจะต้องช่วยกันจริง ๆ ต้องปฏิบัติกันไปจริง ๆ ให้เกิดผลตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาจริง ๆ ให้สร้างวัดนี่สร้างเพื่อให้ได้สืบศาสนาได้สะดวก หรือมั่นคงแข็งแรงในการที่จะมีพระศาสนา มีพระศาสนาก็ป้องกันไม่ให้คนตกอบาย มุ่งไปยังว่าป้องกันไม่ให้คนตกอบายโดยตรงเลย แล้วทำได้สักคนก็มีค่ามหาศาลแล้ว และทำได้ไม่ยาก เพราะว่าเรากระจายกันอยู่ทั่วไป เช่นว่า หลายร้อยองค์นี้กระจายอยู่ทุกๆตำบล ทุกหมู่บ้าน ก็จะพอมองเห็นและจะรู้ว่าใครกำลังควรจะได้รับคำแนะนำตักเตือนชี้แจงบ้าง เราไม่ได้ทำให้เขาโกรธหรือว่าขัดประโยชน์ แต่เราทำให้เป็นคนดีแก่เขานั้นเอง เวลานี้สภาพของคนในบ้านในเมืองอยู่ในลักษณะแบบนี้ และกำลังจะเป็นมากขึ้น เราอย่าให้เป็นมากขึ้น ให้มันหยุด ให้มันถอยหลังกลับ ให้ได้นอนตาหลับเหมือนสมัยโบราณ สมัยโบราณคนนอนตาหลับมาก สมัยนี้นอนตาหลับยาก ไม่ปลอดภัย แม้แต่อยู่ในเรือนในห้องนอนของตัวเองก็ยังไม่ปลอดภัยสมัยนี้ เพราะว่าศีลธรรมในจิตใจของคนมันเสื่อมมันไม่มี ผมขอปรึกษาหารือในที่ชุมนุม ที่เรากำลังมาชุมนุมกันที่นี้ ก็เรียกกันว่ามาเยี่ยมสวนโมกข์ประจำปี ขอถือโอกาสทำความเข้าใจในข้อสำคัญข้อหนึ่ง เรียกว่าการกลับมาของศีลธรรม ผูกขึ้นเป็นคำสั้น ๆ จำง่าย ๆ ว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม ศีลธรรมที่หายไป ๆ นั้นขอให้กลับมา จะกลับมาได้ด้วยความพร้อมเพรียงของพวกเรา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง ไม่ใช่ใครมาแต่งตั้งเรา แต่ธรรมวินัยแต่งตั้งเรา เพราะว่าเราไปบวชในพระพุทธศาสนา อุทิศต่อพระศาสดาซึ่งทรงประสงค์จะให้ช่วยโลก พระองค์เองก็ช่วยโลก สาวกก็ช่วยโลก ก็เรียกว่าเราก็เป็นเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้นึกถึงหน้าที่ เราจะไม่ประชุมกันไปอย่างนั้น หรือไม่ประชุมกันพอสักว่าเป็นธรรมเนียมประเพณี แต่ว่าเราประชุมกันเพื่อทำอะไรที่ควรจะทำ หรือว่าแม้แต่ปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรในสิ่งที่ทำยากลำบาก ขอให้ศีลธรรมกลับมา ประชาชนทั่วไปจะมีความสงบสุข และคนก็จะนิยมบวช นิยมเล่าเรียนศึกษาปฏิบัติในพระพุทธศาสนามากขึ้น นี่เรียกว่าศีลธรรมกลับมา ศาสนากลับมา ถ้าไม่อย่างนั้นศีลธรรมก็จะหายไป ๆ ยิ่งกว่านี้ ก็จะหายจนหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ และวัดก็จะร้างหมดเพราะไม่มีใครบวช เรียกว่าพระศาสนาจะสูญไปทั้งโดยวัตถุคือรูปธรรม แล้วก็จะสูญไปทั้งโดยนามธรรมคือตัวพระธรรมที่มีในจิตใจ นี่เป็นเรื่องสูญเสียมาก ไม่มีอะไรจะสูญเสียยิ่งกว่านี้ ขอได้โปรดนำคำว่าศีลธรรมกลับมา ติดอยู่ในใจไปด้วยทุก ๆ ท่านภิกษุสามเณร สามเณรถ้าประพฤติดีก็ทำให้ศีลธรรมกลับมาได้ แม้จะเป็นเณรตัวเล็ก ๆ ช่วยตัวเองก่อน แล้วไม่เท่าไหร่ก็ช่วยผู้อื่นได้ อย่าได้ถือว่าทำให้ศีลธรรมกลับมานี้ เป็นเรื่องถอยหลังเข้าคลอง ที่เขาพูดว่าถอยหลังเข้าคลองนั้นมีสองความหมาย เขาดูถูกว่าถอยหลังเข้าคลองไม่ก้าวหน้านั้นมันอีกความหมายหนึ่ง แต่ถ้าอีกความหมายหนึ่งว่าถ้าขืนเดินไปทางนี้ ดันทุรังไปทางนี้แล้วจะวินาศ เช่นว่าออกไปนอกปากน้ำแล้วพายุมา เรือลำนั้นจะต้องทำอะไร เรือลำนั้นจะต้องถอยหลังเข้าคลอง เวลานี้มันเหมือนกับว่าออกไปหาอันตราย ศีลธรรมมันหมดในจิตใจของคน ขืนปล่อยให้คนไปตามแนวนี้ก็วินาศ คนเหล่านี้จะต้องทำในลักษณะถอยหลังมาหาคลองของศีลธรรม ตั้งอยู่ในศีลธรรมกันใหม่แล้วก็ปล่อยไปตามคลอง การที่เป็นธรรมกถึกแสดงธรรมสั่งสอนอยู่เสมอก็ได้โปรดอธิบายให้เขาเข้าใจถูกว่าในยุคนี้อย่าได้เกลียดคำว่าถอยหลังเข้าคลอง จะตกเหวตายหรือจะถูกพายุจมตายอย่างนี้จะต้องถอยหลังเท่านั้น อย่าดันไปข้างหน้า ให้มันถูกต้อง แล้วเราก็จะรอดปลอดภัย นี่ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยกัน พวกเราอีกไม่กี่ปีก็ตายกันทุกคน ผมนี่ก็รู้สึกว่าจะตายเร็ว เพราะอ่อนเพลียอ่อนแอลงทุกปีๆ ทุก ๆ คนจะต้องตายกันทุกคน ให้รีบใช้ชีวิตที่ยังเหลืออายุให้เป็นประโยชน์โดยเร็ว ช่วยตัวเองก็ช่วย แต่ว่าช่วยคนอื่นช่วยคนทั้งโลกได้ประโยชน์มาก ช่วยคนทั้งบ้านทั้งเมืองนี่มีประโยชน์มาก ขอให้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำเพื่อสนองพระพุทธประสงค์ สนองพระคุณของพระองค์เป็นต้น ถ้าว่าพวกโจรเขาประชุมกัน เขาก็คงพิจารณากันไปตามแบบของโจร แต่การประชุมกันของพระสงฆ์ก็ต้องพิจารณากันแต่ในเรื่องของพระสงฆ์ เราก็ไม่ให้บกพร่อง เพราะว่าการประชุมกันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องรวมกันทำ ถ้าไม่เข้าใจกันพูดกันไม่รู้เรื่องกัน ก็ไม่สามัคคีกัน ไม่สามัคคีกันเพื่อจะทำหน้าที่ ถ้าผิดจากนั้นจะเกิดปัดแข้งปัดขาอิจฉาริษยา นี่ล้มละลายหมด ทุกอย่างมันจะล้มละลายหมด เพราะฉะนั้นต้องประชุมกันเพื่อซักซ้อมความเข้าใจพูดกันรู้เรื่อง ในการทำหน้าที่ของตนของตน ให้สมกับที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ให้หมั่นประชุมกันเนืองนิจ ให้เอาอย่างสรรพบุรุษ ประชุมกันเนืองนิจ ประชุมกันปรึกษาหารือ ทำสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งเห็นกันอยู่แล้วทุกองค์ไม่ต้องเอามาพูด พูดแต่ว่าการประชุมกันเนืองนิจเป็นพระพุทธประสงค์ เพื่อจะทำหน้าที่ตามพระพุทธประสงค์
สรุปความว่าผมขอร้องว่าให้ช่วยพิจารณา หรือมองดูวิกฤตการณ์สิ่งเลวร้ายที่กำลังมีในโลกในบ้านในเมือง ในบ้านเกิดเมืองนอนของเราก่อนก็ได้ เราต้องรับผิดชอบก่อน บ้านเกิดเมืองนอนของเราจะให้ใครมารับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบก่อน เพื่อว่าจะได้แก้ไขให้กว้างขวางออกไปจนเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มประเทศ เต็มโลก ในเมื่อทุกคน ๆ เขากระทำในบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ไม่ว่าพวกไหนชาติไหนภาษาไหนทำแบบนี้ทั้งนั้น กระผมขอปวารณาไว้ด้วยว่าถ้าใครสนใจจะมาปรึกษาหารือเรื่องนี้มาพบผมได้ทุกเมื่อนะ ถ้าท่านองค์ใดองค์หนึ่งมีความสนใจในเรื่องนี้มาพบผมได้ทุกเมื่อ ผมไม่ถือว่ารบกวน มาพบผมเพื่อปรึกษาหารือว่าทำอย่างไรศีลธรรมจะกลับมา เรียกว่าเราจะแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่พระศาสนา ถ้าขืนปล่อยไว้ไม่เท่าไหร่วัดร้างหมด ตอนพวกคุณแก่ ๆ ตายหมด คนรุ่นหลัง ๆ ก็ไม่เอากันแล้ว นั่นแหละคือความสิ้นสุดของพระพุทธศาสนา งั้นมาปรึกษาหารือกันว่าทำอย่างไร จะทำกันสุดเหวี่ยงเลยทีเดียว ในข้อนี้จะเอาอย่างปลาหมอ ที่ว่าคนโบราณเขาว่าชาติปลาหมอมันแถกจนเกล็ดแห้ง ตายก็ตาย มันจะต้องบากบั่นเข้าไปหาสิ่งที่ควรจะทำให้ได้ แต่เรามีปัญญาอยู่บ้าง ไม่ต้องถึงกับตาย แต่เราทำให้สำเร็จประโยชน์ได้ในการที่จะทำ การทำในลักษณะชีวิตนี้มีประโยชน์มาก ให้ได้ให้ทำก่อนที่เราจะตาย ร่างกายจะตาย แต่ตัวธรรมมะไม่ตาย ความดีความงามก็ไม่ตาย แต่ร่างกายมันตาย พอร่างกายตายก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนที่ร่างกายจะตายเราจะทำอย่างน้อยพอสมควร ให้มากได้ที่สุดยิ่งดี แต่อย่างน้อยพอสมควร ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์เสียก่อนที่จะต้องตาย จะต้องตายแน่ ๆ ในส่วนร่างกาย ถ้าอย่างนั้นมันจะตายเปล่าถ้าไม่ได้ทำ แต่ถ้าได้ทำก็จะมีตัวเราอีกชนิดหนึ่งเหลืออยู่คือความดีความงามธรรมะอะไรก็แล้วแต่ ทำให้มีขึ้นแล้วจะเหลืออยู่และไม่รู้จักตาย แต่ถ้าไม่รีบทำเสียก่อนที่ร่างกายจะแตกดับ ก็จะไม่ได้ทำ ก็จะไม่มีอะไรเหลือเหมือนกัน เวลานี้เรื่องทางวัตถุเราก็สร้างกันมากแล้ว ทุกวัดทุกวาทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศหรือทั่วโลกด้วยซ้ำไป ยังเหลือแต่ธรรม ทำให้เกิดประโยชน์ทางจิตทางใจ ทำด้วยจิตด้วยใจ ที่บางคนเขาพูดว่า สร้างทางวัตถุนั้นพอแล้ว ทีนี้มาสร้างคนกันที มาสร้างจิตใจกันที นี่แหละถึงเวลาแล้ว อย่าให้มีแต่วัตถุสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด แล้วไม่มีอะไรที่ดีวิเศษในทางจิตใจ นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ขอถือโอกาสเสนอหรือแล้วแต่จะเรียกต่อที่ประชุมแห่งเพื่อนสหธรรมมิตร สหธรรมจารี(41.09) แม้กระทั่งว่าสามเณร ขอเสนอความคิดความเห็นอันนี้ ให้ไปพิจารณาดูตามฐานะแห่งตนแห่งตน มาช่วยกันทำให้พระศาสนายังอยู่ สำหรับคนข้างหลังจะได้บวชได้เรียนกันต่อไป เราได้บวชได้เรียนก็เพราะว่าคนเมื่อก่อนแต่หนหลังเขาสืบอายุศาสนาไว้ให้ วัดไม่ร้าง เราอยู่มาจนได้บวช คนข้างหน้าใครจะรับผิดชอบ นั่นก็คือพวกเรานั่นแหละ พวกเรารุ่นนี้แหละ ที่จะสร้างอะไรให้ยังคงมีอยู่ จนคนที่เกิดมาทีหลังได้บวช ได้เรียน ได้สืบอายุพระศาสนาต่อไป ต่อไป ต่อไป ไม่มีสิ้นสุด ถ้าเราไม่ช่วยกัน ปล่อยให้พระศาสนาสูญหายไป วัดร้างไม่เหลือใครสักคนอย่างนี้มันก็สิ้นสุด หรือว่าเหลืออยู่น้อยคนเกินไปก็ทำลำบาก ลำบากที่จะจัดการศึกษาเล่าเรียนประพฤติปฏิบัติ ผมขอปรารภในการประชุมกันวันนี้หรือในปีนี้ ในบรรดาท่านทั้งหลายที่มีจิตใจมาเยี่ยมสวนโมกข์ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกคนหรือทุกฝ่าย จากที่ใกล้และที่ไกล ขอยุติการพูดนี้ ในคราวนี้ไว้อย่างนี้
แต่ขอโอกาสพูดเรื่องความสะดวก ว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่มาจากที่ไกล ถ้าการต้อนรับของวัดนี้ไม่สมบูรณ์ จะต้องลำบากบ้างก็ขออภัยด้วย จะถือว่าเป็นเรื่องมาฝึกฝนอบรมความเสียสละได้ก็ยิ่งดี เรื่องการต้อนรับในทางวัตถุนี้ ผมจะสารภาพไม่อายเลย สารภาพว่าวัดนี้ด้อยสมรรถภาพในการต้อนรับทางวัตถุ มาจากที่ไกล ๆ มาจากชุมพร มาจากไหนต่อไหนก็ประสบความลำบากทุกปี ก็ขอให้เข้าใจถูกกันด้วยตรงกันด้วย และขอให้ใช้ความลำบากแลกเอาประโยชน์ของพระศาสนา ที่ได้มาประชุมกันเพื่อทำให้กิจการในพระศาสนาคงอยู่ก้าวหน้ารุ่งเรือง เอาล่ะเป็นอันว่าขอปิดการพูดครั้งนี้ว่า ขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่มาด้วยส่วนตัว ขออนุโมทนาในการกระทำ ที่ตั้งเป็นธรรมเนียมประเพณีหรือรักษาเป็นธรรมเนียมประเพณีโบร่ำโบราณเอาไว้ ขออนุโมทนา และขออธิษฐานจิตร โดยอาศัยพระคุณของพระธรรมที่ได้ประพฤติปฏิบัตินี้ ขอให้ทุก ๆ รูปมีความเจริญงอกงามในหน้าที่การงานของตน มีหน้าที่การงานอย่างไรในการเล่าเรียนก็ดี ปฏิบัติก็ดี ปกครองหมู่คณะก็ดี ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน เป็นอยู่ในความพอใจในการงานและมีความสุขอันเกิดจากความพอใจซึ่งทำได้แน่นอนทุกรูปทุกท่านเทอญ
นาที 45.15-51.54 เสียงพระผู้ใหญ่ท่านอื่นอนุโมทนา
นาที 51.55-57.50 บทสวดและเสียงโฆษก
นาที 57.51 เสียงท่านพุทธทาส (บทพูดไม่ต่อเนื่อง เหมือนมีการพูดมาก่อนหน้านี้แต่อัดไม่ทัน)
......ตั้งใจฟังให้ดีก็จะสำเร็จประโยชน์ ฟังดีเข้าใจ ปิติ ปราโมทย์ สำเร็จประโยชน์ ขออนุโมทนาเป็นพิเศษ เมื่อกี้รับศีลพิเศษไปที คราวนี้ขออนุโมทนาพิเศษ อิทังวัจจะเมทานัง อาสะวะกะยาวะหังโหตุ (57.16) นี่พิเศษนะ ก็ถวายทานกันแต่เพื่อว่าไปสวรรค์ ไปวิมาน ไปไหนต่อไหนกันที่ว่าตั้งใจกันแบบนั้น นี่เราว่า อัสสะวา กายาวะหังโหตุ (58.32) ให้ทานนี้จงเป็นทาน นำมาซึ่งความสิ้นอาสวะ พิเศษไม่ใช่ไปสวรรค์ไปวิมาร พิเศษที่ไปนิพพาน อัสสะวา กายาวะหัง (58.52) มาจากนิพพาน การถวายทานนี้ขอให้เป็นทานที่นำมาซึ่งความสิ้นอาสวะ สูงสุดไม่มีอะไรสูงกว่านั้นแล้ว เรียกว่าถวายทานพิเศษให้เข้าใจกันด้วย จำไว้ด้วย จึงขออนุโมทนา เป็นพิเศษอย่างยิ่ง จีวรทาน (59.20) มีปัจจัยเกื้อกูลภัตตาหารอะไรต่ออะไรเป็นบริวารด้วย ถวายสงฆ์เพื่อให้เป็นทานนำมาซึ่งความสิ้นอาสวะ ให้สิ้นอาสวะก็อย่าเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวมันไม่สิ้นอาสวะ ให้ทานก็ให้ออกไป ให้ออกไป ให้ออกไป อย่าเอากลับเข้ามา อย่าเอากลับเข้ามามันเป็นการเห็นแก่ตัว ถ้าให้ทานแลกเอาสวรรค์แลกเอาวิมานนั้นมันไม่อาสะวากายะวะหัง (01.00.02) เมื่อตะกี๊นี้ว่า อัสสะวา กายาวะหังโหตุ (01.00.05) แบบนั้นคือจะไม่เป็นการให้ทานถ้าแลกเอาสวรรค์วิมาน ถ้าให้ทานต้องแลกเอาความสิ้นอาสวะ สูงกว่าวิมานร้อยเท่าพันเท่า สวรรค์วิมานนั้นยังเวียนว่ายอยู่ในกามสุข อาสะวากายะวะหัง (01.00.26) นี้สิ้นอาสวะ สิ้นกิเลส โยมหัวหน้าเขาว่าให้ทานเป็นไปโดยการสิ้นอาสวะ เป็นพยานให้ทุกคนนะ ที่ว่าให้สิ้นอาสวะนั้น อาสวะอะไรรู้ไหม ที่ว่าให้สิ้นอาสวะนั้นอาสวะอะไรรู้รึเปล่า อาสวะนั้นแปลว่าหมักดอง ความโลก ความโกรธ ความหลง สามประการที่เราเคยชินทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่า ทำไว้มากก็หมักดองบูดเปรี้ยวแล้วจะล้นไหลออกมาเป็นหนอง อันนั้นแหละเค้าเรียกว่าอาสวะ อาสวะถ้าเป็นภาษาชาวบ้านภาษาธรรมดาแปลว่าหนอง หนองที่ไหล แต่ว่าเป็นภาษาธรรมมะหมายถึงกิเลส เมื่อเราโลภทีนึง มันก็เพิ่มความโลภทีนึง เรียกว่าอนุสัย กำหนัดทีนึงก็จะเพิ่มความกำหนัดเรียกว่าราคานุสัย โกรธทีหนึ่งจะเพิ่มปฏิฆะนุสัย โง่ทีนึงก็เพิ่มอวิชชานุสัยไปทีนึง ทั้งสามอนุสัยนี้แปลว่ามันเพิ่มๆๆๆ สะสมไว้ ถ้ากิริยานี้มันสะสมหมักบูดมากขึ้น จนไหลออกมาก็จะเรียกอาสวะ พอไหลออกมาแล้วก็จะเป็นโลภเป็นโกรธเป็นหลงอีก ไหลออกมาทีไรก็เป็นโลภบ้าง เป็นโกรธบ้าง เป็นหลงบ้าง มันก็จะไหลออกมา ถ้าอาสวะที่หมักหมมหมักดองมันสิ้นไป ก็จะไม่มีอะไรไหลออกมาเป็นโกรธเป็นโลภเป็นหลงอีกต่อไป สูงสุดที่นี้ เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าอาสวะให้ดี ๆ เพราะว่าเรามาถวายทานเพื่อสิ้นอาสวะ แต่ถามว่าอาสวะคืออะไรกลับตอบไม่ถูก หัวเราะกันใหญ่ ต้องเข้าใจกัน ย้ำว่าอาสวะคือความชินกับความโลภโกรธหลง หมักไว้ๆๆๆ จนบูดเปรี้ยวแล้วไหลออกมาข้างนอก เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มากขึ้นทุกที อาสวะหมักดองนี้ขอให้สิ้นไป การให้ทานนี้คือการทำลายให้อาสวะสิ้นไป ก็ต้องบริจาคความยึดถือว่าตัวกู ว่าของกู บริจาคอะไรออกไปก็ขอให้มันออกไป ของกูตัวกูที่ยึดถือออกไปๆๆๆ ถ้าแบบนี้จะสิ้นอาสวะ ถ้าให้ทานทีไรแลกเอาสวรรค์วิมาน หวังจะเอาวิมานสักกี่หลัง ๆ ก็ไม่สิ้นอาสวะ ได้บุญไปตามอย่างนั้นแหละ ได้สวรรค์วิมานแต่ไม่สิ้นอาสวะ จะสิ้นอาสวะได้จริงต้องให้ทานออกไปเรื่อย ออกไปเรื่อย ออกไปเรื่อย เขาเรียกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ทุกที ๆ ก็ให้ทานไม่เท่าไหร่ก็สิ้นอาสวะ นี่ตั้งใจเจตนาสูงเป็นพิเศษให้สิ้นอาสวะ ฉันอนุโมทนาเป็นพิเศษ ขออนุโมทนาด้วยเป็นชั้นพิเศษ อย่าเลิกเสียนะ ในคำที่ว่า อิทังวัจจะเมทานัง อาสะวะกะยาวะหังโหตุ(01.04.10) อย่าเลิกเสีย เดี๋ยวคนรุ่นใหม่จะเลิกเสีย จะหวังแต่ประโยชน์เพิ่มพูน เอาสวรรค์วิมานไปเรื่อย ให้คนแก่ ๆ ช่วยกันรักษาไว้ อิทังวัจจะเมทานัง อาสะวะกะยาวะหังโหตุ(01.04.28) อย่าเลิกเป็นอันขาด ถ้าเลิกก็เหมือนศาสนาหมด ไปหาเอาสวรรค์วิมานกันหมดก็ไม่มีพระพุทธศาสนา ให้เอา อาสะวากายะวะหัง (01.04.42) ไว้เรื่อยไป ให้มีพุทธศาสนา ขอให้สืบศาสนาที่แท้จริงไว้ด้วย ถ้าให้ทานแล้วขอให้สิ้นอาสวะ ถ้าเก่งจริงก็เหมือนพระเวสสันดร ให้ทานเพื่อเอาพระโพธิญาณไม่ได้เอาวิมาน ทีนี้ประโยชน์ส่วนตัวก็จะได้ถ้าสิ้นอาสวะ แต่ประโยชน์ผู้อื่นยังไม่ได้นึก ยังไม่ได้นึกสักทีก็นึกกันเสียบ้าง ว่าเราให้ทานบริจาคปัจจัยสี่ อาหาร จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ(01.05.28) เภสัช นี้เพื่อช่วยภิกษุสงฆ์ให้อยู่ได้ เมื่ออยู่ได้ก็จะได้เล่าเรียน จะได้ปฏิบัติ จะได้รับผลของการปฏิบัติ มีศาสนาจริง ๆ เหลืออยู่ จะได้สอนต่อๆๆๆกันไป คนที่เกิดมาทีหลังจะได้รับประโยชน์ เพราะมีศาสนาเหลืออยู่ เราเรียกว่าให้ทานเพื่อสืบอายุพระศาสนา ไว้ให้คนชั้นหลังทุก ๆ คน นี่คือเพื่อผู้อื่น เดี๋ยวนี้เวลานี้ก็เพื่อประโยชน์ผู้อื่นที่เราบำรุงศาสนาเอาไว้ แล้วคนทั้งหลายได้รับประโยชน์จากศาสนานั้น ทุกคนในโลกจะรู้หรือไม่รู้ก็จะพลอยได้ไป เพราะโลกไม่ล่มจมก็จะพลอยเป็นสุขกันไปทั้งนั้น ศาสนามีอยู่ในโลกแล้วโลกนี้ไม่ล่มจมแน่ ถ้าไม่มีศาสนาอยู่ในโลกโลกนี้ก็ล่มจม หลาย ๆ ศาสนาช่วยกันไว้ไม่ให้โลกล่มจม เรานับถือศาสนาพุทธ เราก็มีแบบของเรา เรายังมองเห็นว่าสูงสุดด้วย ไม่ให้ล่มจมอย่างสูงสุดด้วย ช่วยกันบริจาค บริจาคเพื่อว่าให้ศาสนามีอยู่ในโลก ไม่ใช่เลี้ยงพระให้เป็นหมู ให้เป็นม้า ให้เป็นนกเขา เป็นอะไร เคยอ่านไหมหนังสือเล่มนั้น ที่ว่าเลี้ยงพระให้เป็นหมู ให้กินสบาย นอนสบาย ให้เป็นนกเขา พูดเทศน์จ้อ ไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร หลายอย่างนะเคยอ่านแล้ว นี่เราบำรุงศาสนาไว้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทุกคนทั้งบัดนี้และเบื้องหน้า ก็เลยได้ประโยชน์แก่ผู้อื่น ประโยชน์นั้นมีประโยชน์ต่อเราและประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือบางทีก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่ทั้งสองฝ่ายก็มี ประโยชน์ของเราก็ได้คือความสิ้นอาสวะ ประโยชน์ของผู้อื่นก็ได้รับศาสนาต่อๆกันไปโดยไม่รู้จักสิ้นสูญ ตั้งใจแบบนี้แล้วจะได้อาสวะ ได้ความสิ้นอาสวะ ก็ถือว่าได้สิ่งสูงสุด ให้ทานได้นิพพาน แล้วทำให้โลกทั้งหมดมีที่พึ่งด้วย มันดีอย่างนี้ ดีมากอย่างนี้ ให้เข้าใจ ให้พอใจในการกระทำ และมีปิติมีปราโมทย์ มีความสุขอยู่ในใจ ว่าเราได้ทำดีแล้วมีความสุข ไม่ต้องไปเล่นไพ่ จะต้องไปเล่นไพ่แล้วมีความสุข หรือไปดื่มน้ำเมาแล้วมีความสุข มันไม่ไหว เที่ยวกลางคืนแล้วจะมีความสุขนี่ไม่ไหว ดูการเล่นสรวญเสเฮฮาหนังละครจึงจะมีความสุขนี่ไม่ไหว เล่นการพนันก็ไม่ไหว คบคนชั่วเป็นมิตรก็ไม่ไหว เกลียดการทำการงานก็ไม่ไหว นั่นอบายมุขนะไม่ใช่ความสุข ความสุขอยู่ที่ได้ทำถูกต้องแล้วปิติปราโมทย์และพอใจ เป็นความสุขสูงสุดยิ่งกว่าความสุขทางกามารมณ์ สูงสุดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือสิ้นสุดอาสวะ นี่คือสูงสุดที่สุด สูงกว่าอรุภาวะจร(01.09.17) เรื่องฌาณ เรื่องสมาบัติก็ยังสู้ไม่ได้ ขอให้เป็นอย่างนั้น อุตส่าห์มาไกล ลำบาก ก็จะต้องได้ผลให้คุ้มกันกับที่มาไกลและลำบาก มาวัดนี้ลำบากใช่ไหม ที่นอนก็ไม่มี ข้าวก็ไม่มีให้กิน ต้องหากินเอง ไม่อายแล้ว พูดตรง ๆ เลย เป็นวัดที่ผิดจากที่อื่น อยู่อย่างวัดป่า ป่าเถื่อน ไม่มีข้าวให้ชาวบ้านที่มาทอดผ้าป่ากิน แต่ถ้าว่าอดทนได้ ลำบากได้นี่ยังได้ผลบุญกุศลอีกส่วนหนึ่ง คือเสียสละทางจิตใจมากขึ้น ขอให้ทำให้ดี ๆ ให้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง ประโยชน์แท้จริงไม่ใช่ประโยชน์หลอกๆ ให้ยิ่งขึ้น ๆ ให้ใกล้ความสิ้นอาสวะยิ่ง ๆ ไปทุกที ปีหนึ่งมาย้อมมาซ้ำมาย้ำหัวตะปูทีนึง คงจะแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นเรื่องสิ้นอาสวะกันจริง ๆ ก็ไม่เสียทีที่ว่าเราเป็นพุทธบริษัทสี่ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ฝากฝังไว้ ว่าให้ช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ที่เราทำแบบนี้ก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาสมตามพระพุทธประสงค์ สัตว์ทั้งหลายก็ได้มีความสุข ขออนุโมทนา ทีนี้ขอให้ตั้งจิตตั้งใจให้ดี ยะถาวะรีวะหัง.......(บทกรวดน้ำ)