แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อนุโมทนา ขอให้ทุกๆคนทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ ขออนุโมทนาในการกระทำ การทำทานให้ทานนี้มีหลายชนิด แตกต่างกันตามความมุ่งหมาย ถ้าตั้งใจถูกต้องก็ย่อมจะมีอานิสงค์มาก ตั้งใจไม่ถูกต้องก็มีอานิสงค์ไม่มาก ที่ว่ามีหลายชนิดนั้น เช่นทำทานเพื่อการค้ากำไรเกินควร ทำบุญบาทหนึ่งเอาวิมานหลังหนึ่งก็เป็นการค้ากำไรเกินควรก็ได้ผลไปทางหนึ่ง บางคนทำทานแล้วให้เกิดดี เกิดสวย เกิดรวย ก็ได้ผลไปอย่างหนึ่ง บางคนทำทานโดยไม่หวังผลเอาเอง บางคนว่าจะเป็นเครื่องบูชาคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สนองพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มี จิตใจมันพุ่งไปทางนั้น บางคนทำทานคิดไกลไปกว่านั้น คือว่าเพื่อประโยชน์และความสุข แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไม่ยกเว้น ไม้ยกเว้นแม้แต่สัตว์ใด ไอ้ทานที่เราทำไปนี้ขอให้เป็นประโยชน์ความสุขเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ยกเว้นสัตว์เหล่าใดเลย นี่ทำโดยผ่านมาทางศาสนาด้วยเห็นว่าถ้าศาสนายังมีอยู่ในโลกสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกย่อมมีความสงบสุขเพราะฉะนั้นเราจะทำให้ศาสนามีอยู่ในโลก เพื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์เดรัจฉาน สัตว์อะไรก็ตามใจ ให้มีความสุขจะได้พลอยมีความสุขเพราะศาสนามีอยู่ในโลก และขอให้เปรียบเทียบกันดูบางคนทำเพื่อเอาตัวเองไม่ได้นึกถึงผู้อื่น บางคนนั้นนึกถึงผู้อื่นตัวเองไม่ได้นึก บางคนอาจจะนึกทั้งตัวเองและผู้อื่น แต่ว่าถ้ามันใหญ่โตถ้ามันสูงสุดนะมันคือการนึกถึงผู้อื่น ถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์ เราอย่าเห็นแก่ตัวเราเลย เห็นแก่ผู้อื่นเห็นแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ศาสนาสอนให้เห็นแก่ผู้อื่นเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตัวนี้เราทำเป็นมาตั้งแต่เล็กตั้งแต่เด็กจนชินเป็นนิสัย จนเป็นอนุสัย จนเป็น อาสวะ ดองในสันดานคือความเห็นแก่ตัว เพราะทำเป็นมาตั้งแต่เล็กจนบัดนี้มันจึงถอนยาก เราจึงเห็นว่าเราจะแก้กันให้ได้ โดยทำอะไรก็ได้เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว มันก็เลยไม่คิดถึงตัว คิดถึงผู้อื่นขอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น คนที่คิดชนิดนี้นะครับได้ๆผลมาก คือมันได้หมดได้ทั้งโลกได้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งโลกผู้อื่นทั้งหมดมันได้หมดแล้วมันกลับไปได้แก่ตัวโดยแท้จริง คือต้องให้ตัวเองหมดความเห็นแก่ตัวหมดกิเลสหมดอะไรนี่ มันเลยได้มาก แต่ถ้าหากว่าคิดจะเอาเรา เอาเรา เอาเรา เสียทีแรกมันจะได้น้อยมันจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว จะเพิ่มกิเลสให้ตัวโดยไม่ทันรู้ ยิ่งเห็นแก่ตัวมากยิ่งมีความโลภความโกรธความหลงมาก ขอให้ทุกคนมองสังเกตเอาเองไม่ต้องเชื่อผู้อื่น มองเองให้เห็นว่าเห็นแก่ตัวนั่นแหละก็โลภ เห็นแก่ตัวก็ขัดใจเห็นโกรธนั่นแหละ เห็นแก่ตัวนี่มันหลง ถ้าหมดความเห็นแก่ตัวในความโกรธความหลงก็บรรเทาไป คนเรามันทำลายโลภะ โทสะ โมหะ ด้วยการทำลายการเห็นแก่ตัว นี่เราได้ประโยชน์สูงสุดยิ่งกว่าเกิดสวยเกิดรวย ถ้าเราทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ทำลายโลภะ โทสะ โมหะได้ อานิสงค์นี้สูงยิ่งไปกว่าที่เราจะได้เกิดดี เกิดสวยเกิดรวย ไอ้เรื่องรวย เรื่องสวย เรื่องอะไรระวังให้มาก มันเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ คิดดูซิคนยิ่งรวยยิ่งเห็นแก่ตัว เมื่อคนยิ่งรวยยิ่งขี้ขลาดยิ่งกลัวยิ่งเป็นห่วงยิ่งวิตกกังวล อย่าไปชอบนักไอ้แค่รวยๆนะ ไม่ทันไรมันจะลืมตัว มันจะเต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ มันจะวิตกกังวลมากไปด้วยความกลัว ไม่ทันไรก็เป็นโรคเส้นประสาทบ้าง เป็นโรคเบาหวานบ้าง เป็นโรคหัวใจบ้างเพราะความเห็นแก่ตัวมันครอบงำ หนักเข้า หนักเข้า สิ่งใดที่บรรเทาความเห็นแก่ตัวได้ละก็ จะทำให้เบา ให้สบาย ให้นอนหลับสนิท ให้มีจิตใจแจ่มใสสดชื่น ก็เลยสบายดีทั้งทางกายทั้งทางใจ จิตใจร่ำรวยด้วยก็จะสบายด้วย จะมีกิเลสเบาบางด้วย ขอให้รู้จักเปรียบเทียบการทำบุญ ทำทานหรือทำกุศลอย่างอื่นก็เหมือนกัน การจะได้บุญมากสิ่งนั้นต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าพูดให้ชัดอีกครั้งก็ว่าให้ต้องเป็นไปเพื่อแสงสว่างแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บุญที่เราทำลงไปนี้ขอให้เป็นแสงสว่างแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ก็นั่นแหละจึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง หมายความว่าแสงสว่างแห่งพระธรรมจะทำให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเอาตัวรอดได้ ถ้าไม่มีแสงสว่างแห่งพระธรรมก็มีความมืด ความกิเลส ความอวิชชา มันก็เอาตัวรอดไม่ได้ มันจะเบียดเบียนกันหนักขึ้น จนไม่อยู่กันเป็นผาสุกทั้งโลกเลย นี่แหละความเจริญสมัยใหม่นี่มันมืดไปด้วยความมืดของกิเลสของอวิชชามันไม่มีแสงของพระธรรม โลกสมัยนี้ยิ่งเป็นชนิดนี้มากขึ้น คนอายุซักหกสิบปีย่อมจะมองเห็นข้อนี้ได้ดี คนอายุซักหกสิบปีเวลานี้มองย้อนหลังจะเห็นว่าคนเมื่อหกสิบปีก่อนโน้นเห็นแก่ตัวน้อย คนเวลานี้เห็นแก่ตัวมาก รวมทั้งตัวเองด้วยก็ได้ เพราะเวลานี้มันมีสิ่งที่ยั่วยวนให้รัก ให้ยึดถือมากมันจึงเห็นแก่ตัวมาก ถ้ามันละโมบโลภลาภต้องการจะเอาของผู้อื่นจะทำลายผู้อื่น จนไม่เห็นแก่ความจริง ความถูกต้อง สมัยก่อนเมื่อคนนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนหลับจนตลอดสว่างได้สบายเลย และก็ไม่มีอันตรายอะไร เฝ้าวัวเฝ้าควายก็ยังได้ สมัยนี้ถ้านอนบนแคร่ใต้ถุนจนสว่างมีคนมายิงตายไม่กล้านอน เปรียบเทียบเท่านี้ก็พอแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงมีอย่างไร ผลสุดท้ายมันก็อยู่ที่ว่าคนสมัยนี้มันมืดไปด้วยความมืดของอวิชชา เห็นแก่ตัวที่สุดเพราะอำนาจอวิชชา และเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงมาก มันจึงทำอันตรายเบียดเบียนซึ่งกันและกันและก็จองเวรผูกเวร อาฆาตมาดร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งกันและกัน ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกทีจนไม่มีใครกล้านอนบนแคร่ตลอดรุ่งตลอดคืนได้ เปรียบเทียบโลกเวลานี้กับโลกสมัยก่อนนั้น มันต่างกันอย่างนี้ ความเจริญแบบใหม่นี้ทำให้เห็นแก่ตัวมากเพราะมีของยั่วกิเลสมาก คนก็เห็นแก่ตัวมาก นี่หมายความว่าศาสนามันเสื่อมไปจากจิตใจของคน ในใจของคนไม่มีศาสนามากเหมือนเดิม ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ธรรมะมันก็ลดลงความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ถ้าช่วยกันแก้ไขในข้อนี้ได้มันก็ได้บุญมาก เราจึงช่วยกันทำให้ศาสนากลับมาให้แสงสว่างกลับมา ที่นี้ก็ขอให้นึกถึงปู่ย่าตายายทำอะไรก็ทำเพื่อแสงสว่างแต่ลูกหลานกลับไม่รู้ กลับไม่สนับสนุนหรือส่งเสริมให้สำเร็จประโยชน์ เช่นสร้างวัดอย่างนี้เขาสร้างเพื่อให้เกิดแสงสว่างไม่ใช่มีวัด ไว้เลี้ยง ไว้กิน ไว้เล่น ไว้หัวเราะ ไว้อะไรกัน สร้างวัดนี้สร้างเพื่อให้เป็นแสงสว่างหมายถึงแสงสว่างในใจ แสงสว่างทางพระธรรมคือว่าให้มีการบวชจริงๆมีเรียนจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ สอนกันไปจริงๆ ก็เกิดแสงสว่างขึ้นแก่มหาชน วัดไหนก็ตามสร้างด้วยจุดมุ่งหมายชนิดนี้ทั้งนั้น สร้างโบสถ์ก็สร้างเพื่อให้มันเป็นแสงสว่างแก่ประชาชน สร้างโรงธรรม สร้างอะไร แม้แต่สร้างโรงฉันท์ ไม่ใช่เพื่อฉันท์ข้าวเฉยๆ สร้างโรงฉันท์ก็เพื่อให้พระอยู่ได้ ให้พระได้ทำหน้าที่เป็นแสงสว่างแก่ประชาชน ตามใจจะสร้างอะไรเราจะทำบุญทำทานทอดผ้าป่าทอดกฐิน ทอดอะไรแบบนี้ก็มุ่งหมายเพื่อจะช่วยกันร่วมมือกันช่วยกันสร้างแสงสว่างให้แก่มหาชน ไม่ใช่ทอดกฐิน เล่นไพ่หรือว่าเพื่อจะสนุกสนานเห็นแก่กิเลส ลุกหลานรุ่นหลังๆทำผิดๆไปเอง ของเค้าทำไว้ดีวางไว้ดี เพราะทำอะไรสักนิดก็ทำไปเพื่อแสงสว่างแก่ประชาชนแก่มหาชน แก่สัตว์โลกทั้งปวง ขอให้ช่วยกันคิดกันนึกในข้อนี้ ตามใจจะสร้างวัด สร้างกุฏิ วิหาร สร้างโบสถ์ สร้างอะไรขึ้นมาในศาสนานี้ ต้องสร้างเพื่อให้เป็นแสงสว่างแก่สัตว์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับสร้างพระไตรปิฎก อันนี้ก็สร้างเพื่อเป็นแสงสว่าง แต่เวลานี้สร้างพระไตรปิฎกเอาไว้เก็บเฉยๆให้เป็นรังหนู เราไม่อ่านหรือบางทีก็อ่านสำหรับมาเถียงกัน ไม่ใช่อ่านสำหรับปฏิบัติให้เป็นแสงสว่าง สร้างพระไตรปิฎกชนิดนี้ก็ไม่เป็นแสงสว่าง ความจริงก็ต้องการจะให้มันเป็นแสงสว่าง ให้มีการเรียนพระไตรปิฎก ให้มีการปฏิบัติตามพระไตรปิฎก ได้รับผลแล้วสอนกันไปเรื่อยๆเป็นแสงสว่าง นั่นแหละคือตัวศาสนา ถ้าจะบำรุงศาสนาขอให้นึกถึงตัวศาสนา คือตัวที่มีการเรียนพระศาสนา ปฏิบัติพระศาสนา ได้ผลจากการปฏิบัติพระศาสนาแล้วก็สอนสืบสืบกันไปจริงๆ ถ้าจะบำรุงศาสนาก็บำรุงตรงไปอย่างนั้น ตรงไปยังการเรียนการปฏิบัติ การได้ผลการปฏิบัติ เราจะทอดผ้าป่าถ้าจะให้เป็นบำรุงศาสนาก็ต้องตั้งจิตตั้งใจว่าจะบำรุงให้เกิดการเรียน การปฏิบัติ การได้ผลของการปฏิบัติ ให้ตั้งอยู่เป็นแสงสว่างแก่โลกเป็นแสงสว่างแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้รับประโยชน์ได้รับความสุข ถ้าเราตั้งจิตแบบนี้มันก็ได้บุญมากนะ คิดดู ถ้าเราคิดเอาคนเดียว รวยคนเดียว สวยคนเดียว มันก็ได้คนเดียว ได้เท่าที่คนเดียวมันจะได้ แต่ถ้ามีความเห็นแก่ตัวมากก็พอใจได้คนเดียวพอใจ เราคิดให้ได้กันทั้งโลก ได้กันทั้งจักรวาลเลย ขอให้ศาสนามีอยู่เป็นแสงสว่างทั่วจักรวาล มันก็ได้มากได้ทั่วจักรวาลได้นับไม่ไหว ไม่รู้ว่ากี่ล้านๆคน ยังอยู่ต่อไปในอนาคตอีก ไม่ใช่ว่าจะสิ้นสูญลงไป หมดสิ้นกันเพียงเท่านี้ ฉะนั้นทำบุญอะไรกันสักนิด ขอให้อุทิศว่าให้จงเป็นไปเพื่อแสงสว่างเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง โดยบำรุงศาสนาไว้ให้มีอยู่เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวง จะถวายอาหารบิณฑบาต จะถวายจีวร ถวายเสนาสนะ ถวาย....เภสัช ( นาทีที่ ๐:๑๘:๐๖ ) ตามใจ ในหัวใจยังนึกว่าช่วยบำรุงไว้ให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในอนาคต ตลอดกาลนานทีเดียว บำรุงแสงสว่างคือบำรุงศาสนา อย่าให้แสงสว่างนี้ดับลงไปได้ อย่าให้ศาสนาซึ่งเป็นแสงสว่างนี้ดับลงไปได้ ก็ช่วยกันทำให้มันสำเร็จประโยชน์ตามนี้ ต้องรับผิดชอบด้วย และก็ได้บุญมาก ไอ้บุญมากบุญน้อยนี้ไม่ใช่ว่าจะเอาเป็นเกณฑ์เป็นของมากหรือของน้อย เงินมากหรือเงินน้อย มันเอาเป็นเกณฑ์กันว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นนะมันมากหรือน้อย ถ้าเอาคนเดียวก็ได้น้อย ถ้าได้ทุกคนก็ได้มาก ถ้าได้แต่เพียงว่าสบายใจกันชั่วคราว มันก็ได้บุญต่ำๆ ถ้าได้ไปกันถึงขนาดที่ทุกคนมีการเห็นแก่ตัวเบาบาง เบาบาง จนหมดความเห็นแก่ตัว นี่ได้สูงสุดได้ประเสริฐที่สุดผลที่ได้มันก็ได้สูงสุดที่สุด มันก็จะทำให้มีความสงบอยู่กันอย่างสงบต่อไป มันก็แล้วมาแต่หลัง คือจะย้อนกลับไปหาสมัยที่ว่าเรานอนเล่นบนแคร่หลับไปตลอดคืนจนสว่างก็ไม่มีใครมายิงตาย ขอให้มันกลับไปสู่ยุคนั้นอีก ตั้งใจว่าบำรุงศาสนาเพื่อทำให้เกิดความสงบสันติสุขกันทุกคนและก็ได้บุญมาก นั่นแหละจึงขอชักชวนซ้ำแล้วซ้ำอีกขอให้ตั้งใจดี ทำในใจให้ดีให้สำเร็จประโยชน์ ให้ได้ทำบุญมากในการที่กระทำบุญในวันนี้ และขอให้เป็นไปเพื่อการทำลายความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะบรรเทาไปในตัวจะหมดสิ้นไปได้ในที่สุด มุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัว เกลียดความเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด ทำบุญทำทานเพื่อให้ฆ่าความเห็นแก่ตัว ทำบุญแล้วก็อุทิศว่า อาสวะ ขยา วะหัง โหตุ (นาทีที่ ๒๐.๕๐)นั่นแหละ ท่านให้ฆ่าความเห็นแก่ตัว จงเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ อาสวะคือความเห็นแก่ตัว ก็ดองอยู่ในสันดาน ทำบุญทำทานนี่ขอให้เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ อาสวะ ขยา วะหัง ให้นำมาถึงความสิ้นอาสวะ และก็ได้บุญสูงสุดด้วย ได้บุญมากมายด้วย ขอให้ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้กันทุกๆคน สวด๒๑.๓๖........................................................................................................................................๒๒.๑๗ ยังกิญจิ กรวดน้ำ ยังกิญจิ
ช่วยนึกกันไว้ด้วย พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ส่วนมากอยู่กลางดินนะพระพุทธเจ้า ประสูติที่ลุมพินีประสูติกลางดิน ไม่ใช่บนเรือน บนอะไร ตรัสรู้โคนโพธิ์ นะกลางดิน เวลานิพพานก็กลางดิน ไม่ใช่บนหลา(นาทีที่ ๐.๒๓.๑๓)หรือไม่ใช่บนอะไร พูดภาษาบ้านเราก็เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน ส่วนมากอยู่กลางดิน เมื่อเราได้นั่งบนดินที่ไหนจะได้นึกพระพุทธเจ้าทันที มันไม่ลืมตัวนะ นี่มันลืมตัว พอนั่งบนดินท่านนึกถึงทันทีนะไม่ลืมตัว ( เอามาจากไชยา อยู่กรุงเทพ นี่ของจำลองมานะ) สวด....๒๕.๓๕—๒๘.๔๗........................................................................................
ผมขอปราศรัยขอโอกาสปราศรัยแสดงความขอบคุณ ขอบพระคุณของเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ที่ได้มาถึงนี่ โดยส่วนตัวนั้นขอบพระคุณ ขอบคุณ ขอบใจ ถ้าโดยส่วนพระธรรมวินัยนั้นขออนุโมทนา อนุโมทนาในที่นี้หมายถึงว่าเราได้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของบูรพาจารย์ไว้ได้หลายอย่าง นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ขออนุโมทนาเป็นข้อแรก รักษา อริยะวังสะปฏิปทา คือการที่พระอริยะเจ้าได้วางระเบียบไว้ว่าให้มีการทำสามีจิกรรมตามควรแก่การกระทำตามโอกาสแห่งการกระทำ ครั้งนี้เราก็ได้กระทำมันจึงเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาจึงขออนุโมทนา สรุปความว่าโดยส่วนตัวขอขอบพระคุณ โดยส่วนธรรมะวินัยขออนุโมทา มานั่งตามสบาย ถือโอกาสพูดจา นั่งตามสบาย ผมถือโอกาสทำปติสัณฐานซึ่งมีอยู่สองประการ อามิสสะ ปติสัณฐานนี่ยอมแพ้ คือไม่ค่อยมีอะไรจะต้อนรับ ส่วนธรรมะ ปติสัณฐานนะมีพอจะทำได้ขอได้โปรดถือว่าความมุ่งหมายแท้จริงจะทำการ ปติสัณฐานโดยธรรม การ ปติสัณฐานโดยธรรมนั้นไม่ใช่เทศน์สอนเป็นพิธีรีตองอะไร หมายความแต่เพียงว่าทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผู้มาได้รับความพอใจ สบายใจ สุขใจ มีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจด้วยการที่พูดจาสนทนานั่นเอง ด้วยการปราศรัยพูดจาสนทนานั่นเองก็ทำให้ผู้มานั้นได้รับความสุขใจพอใจอิ่มเอิบใจไม่น้อยไปกว่าการต้อนรับด้วยอามิส มีของกินของเคี้ยวเป็นต้น ผมขอต้อนรับเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายด้วยธรรมะปติสัณฐาน นับตั้งแต่เรานั่งกลางดินให้เป็นที่ระลึก ในใจจะได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ปรินิพพานกลางดิน ส่วนมากทรงประทับอยู่ตามพื้นดิน พระพุทธโอวาททั้งหลายในพระไตรปิฎกมีอยู่มากไม่น้อยก็จะตั้งเกือบครึ่งด้วยซ้ำไป ตรัสในเมื่อประทับนั่งกลางดินด้วยภิกษุทั้งหลาย กลางทางเดินก็มี ชีวิตของพระพุทธองค์เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติเหลือเกินคือกลางดิน ผมหาทางที่จะให้เตือนตัวเองและเตือนเพื่อนกันถึงเรื่องนี้เสมอ ชวนให้นั่งกลางดิน ต้อนรับแขกกลางดิน ที่ตรงนี้นานมาแล้ว ผมจำวัดข้างฝา ข้างฝา พอเอื้อมมือถึงโถยาที่ผมจำวัดนั่นแหละที่กุฏิ เอื้อมมือมาทางหน้าต่างโถยา รู้สึกว่าได้จำวัดกับพระพุทธเจ้า ได้จำวัดใกล้ป่าหญ้า เพื่อกันลืมตัวกันไม่ให้จิตมันโอหังหรือไปในทางที่ลืมตัว วิธีนี้รู้สึกว่าได้ประโยชน์แก่ตัวก็เลยทำถือเป็นหลักเรื่อยๆมา เราเรียกกันสั้นๆว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ คำนี้คงจะจำง่ายว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด ตามใจอะไรก็เรียกว่าธรรมชาติ ก้อนดิน ก้อนหิน กรวดทราย ต้นไม้ ลม แดด พยายามเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่จึงต้อนรับกลางดินโดยเจตนา ขออย่าได้โปรดเข้าใจเป็นอย่างอื่น อย่าเข้าใจว่าไม่ได้ต้อนรับหรือไม้ได้ให้เกียรติ ไม่สมแก่เกียรตินี่ละข้อแรก ขอแถลงความรู้สึกในใจ ทีนี้เรื่องทำวัตรสำหรับพระเณรที่เพิ่งบวชนี่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำวัตรแบบนี้เป็นของเก่าของไทย เชื่อได้ว่ามีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยถึงสมัย อยุธยา กระทั่งถึงสมัยกรุงเทพ ทำวัดแบบเราที่ทำไปแล้วเมื่อครู่นี้ พระอุบาลีนำคณะสงฆ์ไทยไปลังกาไปสอนวิธีบวชวิธีทำวัตร วิธีต่างอะไรแบบประเทศไทยสมัยอยุธยายังมีเหลืออยู่ในลังกาจนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังใช้แบบนี้ ส่วนในประเทศไทยเรานี้เปลี่ยนแปลงบ้าง แบบใหม่ที่สั้นๆก็มี แบบที่เต็มยศก็มี สำหรับผมใช้ทั้งสองแบบ แล้วแต่โอกาส ในเมื่อทำในแบบของ บูรพจารย์แต่กาลก่อนวางไว้ได้ก็ทำกันแบบนั้นเพราะเวลาพอจะมี เพราะว่าแบบนี้ได้รักษากันมาไว้เรื่อยๆ อย่างน้อยเป็นเวลาเจ็ดแปดร้อยปี ที่แน่นอนต้องเจ็ดแปดร้อยปี ก่อนจากนั้นมันต้องคาดคะเน แต่ว่าเจ็ดแปดร้อยปีจะทำกันมาแบบนี้ มันศักดิ์สิทธ์ดี แต่ว่าความศักดิ์สิทธ์นี้มันอยู่ตรงที่ว่ามันบริบูรณ์ ในการทำวัตรแบบนี้มีความหมายสามความหมาย คือแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง ขอให้อภัยโทษอย่างหนึ่ง แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกันอย่างหนึ่ง ต่างเพียงว่า อุกาสะ วันทามิ ภันเต นี่แสดงความเคารพ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต นี่ขอให้อภัยโทษซึ่งกันและกัน มะยากะตัง ปุนยัง สามินา อนุโมติพัง นี่แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน มันสามเรื่อง ขอให้ทุกๆองค์ทำความเข้าใจสามเรื่องนี้ไว้ให้ดีๆจะมีประโยชน์ไปจนตาย จะสึกหรือจะอยู่ก็ตามใจ มันจะมีประโยชน์ไปจนตาย คนเราเมื่ออยู่กันเป็นสังคม อยู่ด้วยกันมากๆ วิธีการสามอย่างนี้ดีที่สุดจะทำความปลอดภัยให้ที่สุด คือเราเคารพซึ่งกันและกันตามสมควรแก่ฐานะ มันสมัครสมานสามัคคี ถ้าเราขอโทษซึ่งกันและกัน มันทำให้จิตใจเกลี้ยงเกลา ไม่มีแง่ไม่มีกินแหนงไม่มีอะไรในกันและกัน มันรักกันมันรักใคร่กันใคร่กัน และก็แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกันนี่มันทำให้เกิดความรักและความผูกพันสนิทสนมยิ่งขึ้นไปอีก ฆราวาสทั้งหลายที่นั่งกันอยู่ทางโน้นก็เหมือนกันนะ ขอให้เข้าใจความหมายของการทำวัตรของพระว่ามีผลเหมือนกัน พวกฆราวาสทั้งหลายจงอยู่ในสังคมของฆราวาสโดยการที่รู้จักเคารพซึ่งกันและกัน และการอภัยโทษ ขอโทษ ซึ่งกันและกันโดยการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ควรแลกเปลี่ยนคือความดีหรือบุญกุศลหรือแม้แต่วัตถุสิ่งของ พยายามแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แบบเดียวกับความหมายของพระที่ทำวัตรวันนี้ อย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องของพระ มันเป็นเรื่องที่ใช้กับฆราวาสได้ด้วย เมื่อฆราวาสได้มาเห็นการทำวัตรชนิดนี้แล้ว ก็ขอให้ได้รับประโยชน์ คือถือเอาไปเป็นหลักปฏิบัติ คนถ้าไม่เคารพซึ่งกันและกันเค้าเรียกว่าอยู่เสมอกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าการอยู่เสมอกันนำมาซึ่งความทุกข์ มันต้องอยู่ในลักษณะที่ว่ามีสูงมีต่ำมีอะไรเคารพซึ่งกันและกันได้ มันจึงจะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นมา เพราะมันเกิดทำตัวเสมอกันในแบบกิเลสนี้แล้วละก็มันก็ต้องมีการเบียดเบียนกัน เป็นกฎทั่วไปแม้แต่ในหมู่สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ถ้าอยู่เสมอกันแล้วก็ต้องทำอันตรายกันแหละ พอมันแพ้ไปตัวหนึ่งรู้จักเคารพยอมกันมันก็อยู่กันสบาย ในหมู่มนุษย์นี่ก็เช่นเดียวกันขอให้การเคารพเป็นลำดับๆ สามีภรรยารู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ไอ้บุตร หลาน เหลน รู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชารู้จักเคารพซึ่งกันและกันจะราบรื่น ที่มันเกิดทะเลาะวิวาทกันก็เพราะไม่รู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ขอให้ไปปรับปรุงกันเสียใหม่ ให้อยู่ด้วยมีที่เคารพเป็นลำดับ ลำดับ ลำดับ ลำดับ บางทีเขาแก่กว่าเรา เขาไม่มีอะไรดีกว่าเรา เขาจนกว่าเรา แต่เขาแก่กว่าเราเราก็เคารพได้ เขาอ่อนกว่าเรา แต่เขามีอะไรดีกว่าเราก็เคารพได้ มีกำเนิดตระกูลสูงกว่าเราเราก็เคารพได้นี่เรียกว่าเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ สมัครที่จะเคารพจะปลอดภัยไม่ขาดทุน ไอ้คิดหันเหไปในทางจะไม่เคารพนี่จะลืมตัวและจะเกิดเรื่องในไม่ช้า ที่นี้เรื่องอภัยโทษ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต นี่เป็นธรรมดาถ้าอยู่กันมากๆมันต้องมีล่วงเกินโดยเจตนาโดยไม่เจตนา โดยพลั้งเผลอ ทางกายก็มี ทางวาจาก็มี ทางใจก็มี ก็เกิดการล่วงเกินแล้วนั่นคือบาปอยู่ในใจของผู้ล่วงเกินทันทีใครจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตามมันมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้นในจิตใจทันที ถ้ายังไม่ได้ไปขอโทษ อย่างไรมันไม่ล้างไอ้สิ่งสกปรกนี้ได้ คราวนี้หนักเข้ามากเข้า มากเข้า มันเคยชินเป็นนิสัยมันเป็นความสกปรกที่มากเกินไป ก็เลยต้องดันทุรังทำเป็นคนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ถืออะไรไปเลย เขาจึงให้มีระเบียบ ธรรมเนียม วินัย ให้ขอโทษ และอภัยโทษ ต้องสองอย่างนะ ต้องขอโทษและอภัยโทษ ตอนนี้ไม่คำนึงกันว่าใครแก่ใครอ่อนใครแบบไหนแล้ว ถ้าเราเป็นผู้ล่วงเกินเราจะต้องเป็นผู้ขอโทษตามสมควรตามวิถีที่สมควร ผู้ใหญ่ขอโทษผู้น้อยก็ได้ผู้น้อยขอโทษผู้ใหญ่ก็ได้แต่ต้องตามวิธีที่สมควร เมื่อมีการขอโทษแล้วไม่อภัยโทษแบบนี้ ก็เกิดสิ่งเศร้าหมองขึ้นในใจของผู้ที่ไม่ยอมอภัยโทษ จะเกิดกิเลสชนิดหนึ่งขึ้นในใจของผู้ไม่ยอมอภัยโทษคือสะสมไว้มากไม่ยอมอภัยโทษให้ผู้ที่เขามาขอโทษ มันจะเกิดบาปอีกชนิดขึ้นมาอีกทำให้เป็นคนที่มีจิตใจใช้ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องให้อภัยโทษเมื่อมีผู้ขอโทษ อย่าเล่นแง่ อย่าเกี่ยงงอน อย่าแกล้ง แบบโน้น แบบนี้ ต้องรีบอภัยโทษ มันต้องมีการขอโทษและการอภัยโทษ เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่เกียรติ ขอโทษและอภัยโทษนี่เป็นสิ่งที่มีเกียรติในอริยะวินัย คนพาล คนปุถุชน คนโง่เท่านั้นที่เห็นว่ามันเสียเกียรติถ้าขอโทษ ถ้าในอริยะวินัยของพระพุทธเจ้าการขอโทษนี้เป็นเกียรติ มีเกียรติแก่ผู้ขอ เหมือนกับผู้ให้โทษนั้นด้วย เราจึงเห็นมีระเบียบวินัยมีสิกขา มีอะไรเกี่ยวกับการขอโทษและการอภัยโทษ ไม่เป็นการเสียเกียรติเป็นการได้เกียรติและเป็นการได้บุญ ชนชาติที่เจริญชาติหนึ่งคือชาติญี่ปุ่น มีการขอโทษและอภัยโทษดีเลิศกว่าชนชาติใดในโลก ทุกๆชาติในโลกยอมรับว่าชนชาติญี่ปุ่นประเสริฐสุดในข้อนี้ พอกระทบกระทั่งอะไรกันนิดไม่ได้เจตนาขอโทษทันที ขอโทษนี้ดีกว่ากระผมพูดอีก คือพอมีอะไรกระทบกัน ทันทีไม่ถือว่าใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูกถือว่าผิดทั้งสองฝ่ายเลย ฝ่ายหนึ่งก็ขอโทษ ฝ่ายหนึ่งก็ขอโทษ ทั้งสองฝ่ายขอโทษ เช่นเราเดินไปชนเขา ทั้งสองฝ่ายจะขอโทษ คนที่ถูกชนก็ขอโทษ คนที่ไปชนเขาก็ขอโทษ ธรรมเนียมนี้วิเศษเลย เราไปทำอะไรล่วงเกินเขาหรือเขามาทำอะไรล่วงเกินเรา ไม่นึกอะไรว่าใครผิดใครถูก ลุกขึ้นมาขอโทษ ขอโทษแล้วขอตั้งยี่สิบครั้ง สามสิบครั้งไม่ใช่ขอสามครั้ง แล้วพอเดินจากกันไปหันหลังให้ เดินออกจากกันไปเล็กน้อยแล้วยังหันกลับมาทั้งสองฝ่าย ยังขอโทษ ขอโทษอีกสองสามครั้งแล้วจึงไป นี่แหละธรรมเนียมดึกดำบรรพ์ของชนชาติญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ ส่วนคนมีกิเลสก็ต้องบอกว่า มึงผิด มันมึงผิด มาทันที เช่นรถชนกันมึงผิดมาทันที ถ้าถือตามธรรมเนียมเขาไม่มีใครผิด ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ แล้วพยายามจะไม่เอาโทษ มึงผิดหรือกูถูก ค่าเสียหายอะไรก็จะไม่เอานะ คงจะถือหลักว่า เช่นว่าเดินไปชนเขาอย่างนี้ ไอ้คนไปชนมันก็ไม่เห็นหรือมันเห็นก็ตามใจ ไอ้คนที่ถูกชนมันก็คงจะคิดว่า เราไปขวางทางเขาเราผิดนะ เราไปยืนขวางทางเขา เราเกะกะเขา เขาชนเราเราผิดเหมือนกันก็เลย ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ หลับหูหลับตาเลยไม่พยามยามสะสางว่าใครผิดใครถูกตรงไหน ถ้าพอมีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างสองคนแล้วก็ต้อง ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษจนหัวใจรู้สึกว่าหมดโทษ มันจึงเป็นชนชาติที่มีวัฒนธรรม บางอย่างดีมากและมีความเจริญ ทิ้งประเทศไทยไปไกล ประเทศญี่ปุ่นตั้งต้นทำความเจริญแก่ประเทศพร้อมๆกับประเทศไทย และก็ทิ้งไปไกล เพราะมีวัฒนธรรมอะไรดีมากหลายอย่างรวมทั้งการขอโทษนี้ด้วย นี่ไมใช่ว่าเราจะมาตั้งหน้าตั้งตาสรรเสริญคนญี่ปุ่น ที่ไม่ดีก็มีเหมือนกันนะ แต่ว่าส่วนที่ดีก็เอามาพูดคือเรื่องขอโทษ เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องมีเรื่องขอโทษและอภัยโทษและควรทำตามหลักเดียวกับที่พวกญี่ปุ่นทำคืออย่ามีใครเป็นผิดเป็นถูก ไอ้เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เราใช้ระเบียบ ทินะ วัตถา ระกะ วินัย(นาทีที่ ๐.๔๖.๕๐) ไม่สะสางว่าใครผิดใครถูก ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ จนให้หัวใจมันหมดความรู้สึกว่าหม่นหมองหรืออะไรนี่ พระพุทธเจ้าท่านทรงพระประสงค์ให้ใช้หลักอันนี้ ที่เรื่องพระภิกษุสงฆ์แตกกันที่เมืองโกสัมภี พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ดีกันซะอย่ามาเอาใครผิดใครถูกเรื่องมันเล็กน้อย เรื่องน้ำชำระในส้วมเท่านั้น อย่าเป็นว่าใครผิดใครถูกให้ขอโทษกันเสียให้ดีกันเสีย พระก็ยังไม่ยอม ดื้อพระพุทธเจ้าก็เกิดเรื่อง ทั้งกับ........(นาทีที่ ๐.๔๗.๓๐)อะไรๆจนเดือดร้อนอับอายขายหน้ากันเป็นการใหญ่ ถ้าถือหลักอันแท้จริงของพระพุทธศาสนาขอโทษโดยที่ไม่ต้องรู้ว่าใครผิดใครถูก ถ้ามีเรื่องก็ต้องมีผิดทั้งสองฝ่าย ขอโทษ ขอโทษล้างดีกันไปหมด ขอให้ภิกษุหนุ่ม สามเณร โดยเฉพาะภิกษุหนุ่ม สามเณรช่วยจำความข้อนี้ไว้ให้ดีๆ ถือหลักที่ว่าเราพอมีอะไรก็ต้องขอโทษทันที เราก็ต้องผิดเหมือนกัน ถ้าหากว่านึกความผิดไม่ออก คราวนี้ก็นึกความผิดก่อนก็เคยมีเหมือนกัน ขอโทษเสมอไปให้ถือว่าอภัยโทษแก่กันและกันทั้งสองฝ่าย นี่แหละเป็นอริยะวินัย เป็นการประพฤติกระทำในอริยะวินัย นี่เราก็ว่า สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต ยากะตัง ปุนยัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต นี่มันหมายความว่าขอโทษและก็มีการให้อภัยโทษ ขมามิ อมิตะภัง ( นาทีที่ ๐.๔๘.๔๒ ) นี่คือการให้อภัยโทษ ถ้าภิกษุหนุ่มและสามเณรเข้าใจในเรื่องนี้และถือหลักอันนี้ไว้อย่างเคร่งครัดแล้วเรื่องที่เหมือนกับเคยเกิดๆนั้นไม่มีแน่ รับประกันได้ว่าไม่มีแน่ ธรรมะวินัยจะเป็นผู้ควบคุมไว้ไม่ให้เกิดเรื่องชนิดนั้นแน่ เพราะเรายินดีจะเป็นฝ่ายขอโทษเสมอ ทั้งที่เขามาชนเราเขามาโดนเราก็ขอโทษ คิดไกลไปถึงว่าเราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราอยู่ในวัฏฏะสงสารถูก พระยามารเบียดเบียนด้วยกันจะมาโกรธกันทำไม มันต้องเป็นเพื่อนกันเสมอ เมื่อล่วงเกินกันขึ้นแล้วก็ต้องเป็นเพื่อนทุกข์กันต่อไปนะ ต้องขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ นี่เรื่อง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต ชาวบ้านก็ช่วยถือหลักเดียวกันนั่นแหละ แล้วมันก็อยู่กันได้ด้วยความรักใคร่สนิทสนม ไม่เหมือนกับที่อยู่กันโดยมาก รั้วบ้านติดกันแต่ตานะไม่มองกัน ส่วนเรื่อง มะยากะตัง ปุณยัง สามินา อะโนจิตติภัง(นาทีที่ ๐.๕๐.๑๕) นี่แลกเปลี่ยนส่วนบุญนี่มากลายเป็นความดีไม่ใช่โทษ นี่มันกลายเป็นคุณ สิ่งที่เป็นคุณนั้นจงพยายามให้เพื่อนมีมากที่สุดที่จะมีได้เหมือนคล้ายๆกับที่เรามี ต่างฝ่ายต่างทำให้อีกฝ่ายหนึ่งมีคุณ มีบุญ มีกุศล มีความดีมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วทุกคนมันก็รวยไปด้วยบุญ ด้วยกุศลความดี ไอ้บุญกุศลนี้เขากล่าวไว้น่าอัศจรรย์ว่ายิ่งให้ออกไปยิ่งมีมากขึ้น มันผิดกับของอื่นถ้าให้ไปอะไรมันน้อยลง แต่บุญกุศลยิ่งให้ออกไปมันยิ่งมากขึ้น เช่นเราให้เขาไปของเราก็ไม่ได้ลดลง แต่ของเขามีขึ้นและเพิ่มขึ้น ยิ่งให้กุศลแก่กันและกันบุญกุศลจะกลับมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่เหมือนของบางอย่างใช้ไปให้ไปแล้วมันหมดลงมันน้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดไปในทางที่ว่ากลัวเพื่อนจะดีกว่าเราหรือกลัวเพื่อนจะดีเท่าเรา กลัวเพื่อนจะไล่ทันเรา แล้วกดเพื่อนไว้ ในการศึกษาเล่าเรียนก็ดี ในการงานก็ดี ถ้าทำแบบนั้นก็จะเกิดกิเลส ซึ่งเป็นความเสียหายร้ายกาจยิ่งไปกว่าที่เรากดเพื่อนได้นิดหนึ่งแต่เราเลวไปกว่าเดิมมากมาย มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะฉะนั้นอย่ามีความคิดเห็นเพียงว่าจะอิจฉาริษยา มีความเห็นไปในทาง มุทิตา และก็มีการเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเพื่อช่วยให้เพื่อนกันมีบุญมีความดีมีอะไรมากๆๆๆ ใจนักเลงก็ยินดีให้เพื่อนรวยกว่าเรา ทีนี้ชาวบ้านดูจะไม่คิดแบบนั้น ชาวบ้านจะไม่คิดให้เพื่อนรวยกว่าเรา ต้องให้เรารวยกว่าเพื่อน เมื่อเรารวยกว่าเพื่อนไม่ได้ตัดทอนเพื่อนลง มันเป็นกันเสียอย่างนั้นมันจึงมีการเบียดเบียน แต่พระอริยะเจ้าไม่ได้สอนแบบนนั้น สอนว่าให้เราให้เป็นผู้ให้ ให้ความดี ให้บุญ ให้กุศล ให้ทุกอย่างที่เรามีให้ได้ มันทำให้ใจของเราเปลี่ยนเป็นจิตใจที่ดี ที่เกิดกิเลสยาก ทำให้ทุกคนรักใคร่ซึ่งกันและกัน มันก็อยู่กันเป็นผาสุก ฉะนั้นจงพยายามประพฤติให้เป็นไปตามแนวนี้ ให้สมกับที่ได้มาทำวัตรในวันนี้ตามแบบนี้ก็ขอให้ประพฤติ ให้ตรงตามความหมายของการทำวัตรในแบบนี้ คือมีที่เคารพ ขอโทษและอภัยโทษ และก็แลกเปลี่ยนส่วนบุญ ให้ซึ่งกันและกันให้ทั้งสองฝ่าย มันมากขึ้น มากขึ้นๆแล้วก็จะได้ดีมีความสุขด้วยกัน แต่ละคนๆมีความสุขส่วนรวมส่วนพระศาสนาทั้งปวงก็มีความเจริญ นี่ละการทำวัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้าทำให้ถูกตามความหมายของการทำวัตรนี่แล้วจะทำให้ทุกคนมีความสุขและพระศาสนาเจริญจึงขอร้องให้ทุกๆองค์ทั้งภิกษุและสามเณรนี่เอาไปคิดแล้วพยายามปฏิบัติให้ตรงตามแต่ระเบียบซึ่งอาจารย์ของอาจารย์ อาจารย์ของอาจารย์ อาจารย์ของอาจารย์ ได้ทำตามกันมา ตามกันมาไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ปีแล้ว เราจึงหวังความเจริญในอนาคต จะเอาทันทีนั้นมันหาใคร่ได้ เพราะมันผิดมามากแล้วมันก็ต้องแก้กันนานบ้างเหมือนกันนะ ก็เลยถือโอกาสพูดเสียเลยว่าเราเป็นบรรพชิตทุกคนมีหน้าที่ๆจะต้องช่วยๆเพื่อนมนุษย์ พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเรามีพุทธประสงค์จะให้เราช่วยเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่ความประสงค์ของใคร การช่วยเพื่อนมนุษย์เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ที่เราบวชอุทิศมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้ารวมทั้ง พระธรรม รวมทั้งพระสงฆ์ ก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะด้วย เราจะต้องรับเอาไว้ พระพุทธประสงค์นี่มาเป็นเรื่องสำหรับยึดถือปฏิบัติ ขอให้เข้าใจให้ดีว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆมีสาวกเพียง ๖๐ องค์ แล้วส่งไปประกาศพระศาสนานั้นไปอ่านข้อความตรงนั้นให้ดี นี่ก็เรียนนักธรรมสี่ นักธรรมโทกันมาแล้ว ไปอ่านตรงนั้นให้ดี ถ้าจะให้ดีไปเปิดอ่านฉบับที่มันเต็มบริบูรณ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อส่งพระภิกษุไปประกาศพระพุทธศาสนานั่นแหละ เราบัดนี้เราพ้นแล้วจากบ่วงที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ ท่านทั้งหลายที่พ้นแล้วจากบ่วงที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ว่าเสร็จแล้วเรื่องของเรา ที่นี้ไปขอให้ไปเพื่อประโยชน์แก่สุขเกื้อกูลแก่มหาชนแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ อย่าไปทางเดียวกันสององค์ถึงแม้เราก็จะไปยังตำบุรุเวลา(นาทีที่ ๐.๕๕.๕๐) ไม่ใช่เรื่องน้อยอ่านจำๆเฉยๆไปไปอ่านให้พบพระพุทธประสงค์ความหวังความประสงค์ของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจดีแล้วเราจะสนองพระพุทธประสงค์นั้น นี่แหละถึงว่าทุกองค์นะช่วยกันตามมีตามได้ที่จะทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขด้วยการมีแสงสว่าง ด้วยการมีอะไร ก็จะเกิดได้จากกระทำนี่จากธรรมะที่เราเรียนเราปฏิบัติ นี่จะเป็นการตอบแทนพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า ทางอื่นไม่มี เชื่อเถอะว่าทางอื่นไม่มี หรือมีก็ไม่ดีเท่า ในการจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าคือช่วยกันทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสงบสุข เราก็เห็นอยู่แล้วมันมีความทุกข์อย่างไรบ้าง เราก็ช่วยทำให้หมดไปให้มีความสงบสุข อย่าท้อถอย อย่ายอมแพ้ สมัยก่อน เณรๆคงมองไม่เห็นอายุยังน้อย แต่ถ้าคนอายุ ห้าหกสิบปีจะมองเห็น ว่าสมัยก่อนเจ้าของบ้านนอนบนแคร่ใต้ถุนบ้านโล่งไม่มีฝาไม่มีอะไร หลับลืมไปจนสว่างอยู่กับวัวกับควายใต้ถุนบ้านก็ได้ จนสว่างนอนบนแคร่บนอะไรนี่ สมัยนี้ถ้าใครนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนจนสว่างถูกยิงตาย มันผิดกันแบบนี้มันผิดกันถึงขนาดนี้มันมีความทุกข์ยากลำบาก มีความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ ผิดไปมากแล้ว ที่นี้ช่วยกันทำใหม่ช่วยกันแก้ไขใหม่ช่วยกันต่อสู้ให้มนุษย์เรามีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจค่อยเปลี่ยนไปๆ ๆ ใช้เวลากี่ปีก็ตามใจ ห้าหกสิบปีอีกก็เอา ถ้ามันจะกลับไปหาสมัยที่ว่านอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนสว่างก็ไม่มีใครมายิงตาย นี่แหละเป็นหน้าที่ของเราบรรดาพุทธบุตรพุทธชิโนรสหรือว่าพุทธสาวกอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ซึ่งได้แก่ภิกษุสามเณรนี่ เราอุตส่าห์ได้ยิน อุตส่าห์ปฏิบัติ อุตส่าห์ทำตัวอย่างให้ดู แสดงผลการปฏิบัติให้ดู สอนกันไปตามเรื่อง ใช้เวลาอีกห้าหกสิบปีให้มันกลับไปสู่สมัยที่ยังไม่เจริญ มานอนใต้ถุนเรือนก็ได้จนสว่างไม่มีใครมายิงตาย เตรียมไว้แบบนี้นะอายุน้อยๆที่ไม่ทันตายอาจจะได้เห็นเหตุการณ์ที่กลับมาน่าชื่นใจชนิดนี้ เพราะว่าไม่มีทางอื่นที่จะสนองพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ดีกว่านี้ และเราบวชเพื่อเรื่องนี้ วัดวาอารามก็สร้างขึ้นมาโบสถ์วิหารการเปรียญอะไรก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์อันนี้คือเพื่อประโยชน์ให้เป็นแสงสว่าง เป็นที่ส่องแสงสว่าง แก่จิตใจของมนุษย์นี้ ที่เรามีวัดขึ้นมามีคณะสงฆ์ขึ้นมานี่เพื่อให้เป็นแสงสว่างแก่จิตใจของมนุษย์ ฉะนั้นเราต้องตั้งอกตั้งใจ อธิษฐานจิตว่าเราจะพยายามทำตนให้เป็นแสงสว่างของเพื่อนมนุษย์ ตามมีตามได้ดวงใหญ่ดวงเล็กก็ตามใจแต่ขอให้เป็นตะเกียงที่มีแสงสว่างส่องสว่างให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายทั้งใกล้และไกล แสงสว่างได้รับแสงสว่างและโลกนี้ก็จะหมุนไปในทางดี ทางดี ทางดี โดยถือหลักว่าความชั่วต้องแพ้แก่ความดี หากเรายึดหลักความดีแล้วทำให้แรงขึ้นให้มั่นคงขึ้น อาจจะชนะไปทั้งโลกก็ได้ ไอ้โลกที่กำลังเลวกันทั้งโลกจะค่อยๆดีกลับ ดีกลับ ดีได้เพราะว่าธรรมะหรือพระธรรมหรือความดีมันมีกำลังมันมีอำนาจ นี่เราไม่เอาจริงนะธรรมะไม่ปรากฏในโลก ถ้าเราเอาจริงธรรมะปรากฏขึ้นมานี่แหละ แล้วทำให้โลกนี้สงบราบคาบไปได้ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ในการที่เรามีชีวิตอยู่ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ยิ่งเป็นบรรพชิตเป็นพระเป็นเณรด้วยไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ถึงจะสึกออกไปก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้คือไม่มีอะไรดีไปกว่ากระทำเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มีแสงสว่างและก็จะอยู่กันเป็นผาสุก ฉะนั้นจงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้เกิดแสงสว่างในจิตในใจของเพื่อนมนุษย์ ตามความสามารถที่มีสติปัญญาหรือกำลัง เพื่อสนองคุณพระพุทธเจ้า ข้อที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าถัดไปอีกผมจะขอโอกาสขอให้คุณฟังอีกสักนิด ว่าขอให้ทุกๆองค์โดยเฉพาะผู้เพิ่งบวชนั้น อธิษฐานจิตในการที่จะถือหลักว่าเราจะไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าฟังดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่แล้วมันกลับเป็นว่ามี มีอยู่ทั่ว ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าโดยไม่รู้สึกตัวโดยไม่เจตนาหรือว่าครึ่งเจตนา คือสิ่งอะไรถ้าเราไม่เอาใจใส่ไม่รู้ไม่ชี้ ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วไอ้สิ่งนั้นจะผิดหมดและนั่นแหละเป็นการดูหมิ่นในสิ่งนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะไปดูหมิ่นซึ่งหน้านี่เราเคารพของเรานี่แต่ว่าเรามันปล่อยไปตามอารมณ์ไม่ค่อยจะรู้ไม่ค่อยจะชี้ ถ้ามันทำอะไรผิดความประสงค์ ทันทีเป็นการดูหมิ่นผู้นั้น เช่นว่าเป็นลูกไม่ค่อยเอาใจใส่ความหวังของพ่อแม่ทำชุ่ยๆ ไป เหมือนเด็กโดยมากๆที่สุดเลย เด็กคนนั้นมันดูหมิ่นพ่อแม่นั่น แต่มันไม่รู้ในทัศนะคติไม่เจตนาโดยตรง มันเป็นเจตนาโดยอ้อมแต่ว่าไม่เจตนาเสียก็ไม่ได้คือมันเจตนาจะทำไม่รู้ไม่ชี้ มันเอาแต่ใจของมัน แล้วมันก็หมิ่นพ่อแม่ นี่มันบาป บาปอย่างไม่รู้ไม่ชี้อีกเหมือนกัน ไอ้บาปนี่ถึงจะบาปชนิดไหนก็ตามใจมันทำอันตราย ผู้มีบาปก็จะต้องได้รับความทุกข์นะ นี่มันดูหมิ่นบิดามารดาอยู่ทุกวัน ดูหมิ่นอุปัชฌาย์อาจารย์ทุกวันและก็ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าทุกวันโดยไม่รู้สึกตัว ตราบใดไม่เอื้อเฟื้อในความประสงค์ของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่มันดูหมิ่นพระพุทธเจ้าคือเป็นผู้ไม่สำรวมอย่างเต็มที่ปล่อยชุ่ยๆๆไปเสียเรื่อยๆเป็นผู้ประมาท พอประมาทเมื่อใดดูหมิ่นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นมีบาปในข้อนี้ทันที อย่าทำอะไรชุ่ยๆกับเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรแล้วเราก็จะต้องทำให้ตรงตามพระพุทธะประสงค์ พอเราทำผิดคำสั่งสอนผิดพระพุทธะประสงค์เราชื่อว่าดูหมิ่นพระพุทธเจ้า การที่เราโกรธบ้าเป็นฟืนเป็นไฟนี่มันเป็นการดูหมิ่นพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวโดยไม่เจตนาส่วนหนึ่งด้วย เพราะว่าถ้าพระพุทธเจ้ามาห้ามเราคงจะเชื่อฟัง ที่เราทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะท่านไม่ได้มายืนดูอยู่ เราก็ปล่อยตามใจของเรา ฉะนั้นขอให้ถือหลักยืดออกไปอีกคำหนึ่งว่าจะทำอะไรให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน นี่ภิกษุหนุ่มและสามเณรที่เพิ่งบวชฟังให้ดีๆว่าเราจะทำอะไรจะตัดสินใจอะไรลงไปให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน ถ้าเธอมีปัญหาไม่รู้จะไปถามที่ไหนเพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วแบบนี้ นั่นแสดงว่าเธอยังไม่เข้าใจ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ใครๆก็เรียนธรรมะแล้วและรู้เรื่องแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างไร เช่นเรียนนักธรรมตรีพรรษาหนึ่ง พอจะรู้จักจิตใจของพระพุทธเจ้านะ ว่าพระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างไรในเรื่องอะไรต้องการอย่างไรเพราะเราเรียนพุทธะประวัติจบสองเล่มแล้ว รู้จักความประสงค์ของพระพุทธเจ้านิสัยใจคอของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างไร ทีนี้พอเราจะทำอะไรลงไปเราทำเหมือนกับว่าเราไปถามพระพุทธเจ้า ธรรมะนี่เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมวินัยอันใดก็แล้วแต่ แสดงแล้วบัญญัติแล้วจะอยู่เป็นศาสดาแห่งพวกเธอในการเป็นที่ล่วงลับไปแห่งเราโดยทางร่างกาย แต่โดยทางจิตใจโดยทางคุณธรรมนี่ยังอยู่ เราก็ถามพระพุทธเจ้านี้ พอเพื่อนทำอะไรเธอโกรธแบบนี้และเธอคิดจะแก้แค้นมันนี่และก่อนที่เธอจะทำการแก้แค้นเธอจะต้องถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าถูกหรือไม่ถูก หมายความว่ายับยั้งก่อนอย่าเพิ่งไปทำอย่าเพิ่งไปโมโหโทโสบันดาลโทสะไปทำเขา ยับยั้งใจก่อนแล้วคิดดู ว่าเราไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าสิ่งนี้ควรจะทำอย่างไร เพื่อนมันดูถูกมันข่มเหง แบบนี้แบบนี้ๆ ถามพระพุทธเจ้าว่าทำไงดี พระพุทธเจ้าตอบทันที ตอบทันที ตอบในหูของเธอ คือเหมือนกับเธอได้เรียนมาแล้วในหนังสือหนังหาตำหรับตาที่ครูบาอาจารย์สอน ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนอย่างไร ท่านเคยห้ามใครไม่ให้ทะเลาะวิวาทกัน ให้ยอมเสียชีวิตดีกว่าจะทำผิดทำชั่ว มันจะดังเป็นเสียงขึ้นมาในหูทันทีว่าอย่าทำมันไม่ได้ประโยชน์อะไรมันบ้า ใครจะไปแก้แค้นไปทำอะไรนี่มัน มันต้องให้เลวลงไปอีกชั้นหนึ่งอีก เป็นสองชั้นสามชั้น หรือแม้ที่สุดแต่ว่าเรื่องที่จะเล่าเรียนให้ดีกลัวสอบไล่จะตกอะไรแบบนี้ก็ต้องไปถามพระพุทธเจ้าก่อนดีกว่า ท่านจะแนะให้ได้ทันที แนะให้ชัดเจนในหูของเราทันทีว่าควรทำแบบนั้น นี่แหละให้จำเป็นหลัก พอเกิดเรื่องอะไรยุ่งขึ้นมาในใจก็ชะงักไปก่อน อย่าไปตัดสินใจ อย่าไปทำ สงบจิตสักนิดสักครู่แล้วทำเหมือนไปถามพระพุทธเจ้า ท่านว่าอย่างไรแล้วเราเชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า เราไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าเราเคารพนะว่าเรื่องแบบนี้แล้วเราถามพระพุทธเจ้า เราไม่แก้แค้นเราไม่ด่าตอบ ไม่ทำอะไรในเรื่องเป็นโทสะ ทีนี้เรื่องโลภะ ราคะก็เหมือนกันถ้าเกิดเป็นสิ่งนี้ขึ้นเป็นราคะครอบจิตใจเรา ถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าทำไงดี ทำไงดี อย่าเพิ่งทำตามนั้น อย่าเพิ่งทำไปตามความหมายของเรา ชาวบ้านก็เหมือนกันนะพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เมื่อชวนอุบาสกอุบาสิกาพุทธบริษัทมีเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อน ว่าจะทำอย่างไรดี ผัวเมียทะเลาะวิวาทโกรธกันจะหย่ากันอยู่พรุ่งนี้แล้ว ก็ควรจะคิดแล้วไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี ทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเรา ถ้าหากเป็นเรื่องเป็นราวแล้วทำเหมือนว่าต้องไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนทุกที ถ้าหากจะไปซื้อวิทยุสักเครื่อง ทำเหมือนว่าจะไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าควรจะซื้อ ไม่ควรจะซื้อ จะตัดสินใจได้ถูก กว่าอยู่เฉยๆจะไปซื้อ มันจะดีกว่า เพราะว่าทุกเรื่องทุกราวถ้ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตจิตใจนี่ให้ทำเหมือนจะไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนเสมอไป มันจะมีความสุขความเจริญเหลือประมาณบอกไม่ถูก เทวดาก็ช่วยไม่ได้ ใครๆก็ช่วยไม่ได้ ทำแบบนี้จะช่วยได้พระพุทธเจ้าจะช่วยได้ ขอให้มีความเคารพหนักแน่นในพระพุทธเจ้าถึงขนาดนี้คือไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ทำอะไรต้องถามพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ เจ็บไข้น่าจะตายอยู่แล้วนี่ก็ยังจะถามพระพุทธเจ้าว่าทำไงดี จะรักษาหรือจะไม่รักษา ให้ถามพระพุทธเจ้าดูก่อน ควรรักษาต่อไปหรือไม่ควรรักษาต่อไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อน มันจะเป็นคนสบายใจตลอดเวลา นี่เรื่องว่าเรามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่งจริงต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำแบบนี้พูดแต่ปากเป็นคนดีที่พูดแต่ปาก ถ้าจริงต้องทำเหมือนว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ มีความหมาย ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าต่อไปอีกจะพูดว่าเราจงอยู่ให้คล้ายๆพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราจะเป็นอยู่กินอยู่หลับนอนในชีวิตของเราให้มีความหมายคล้ายๆพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพชิต คือภิกษุ สามเณร คือทำให้คล้ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นทำไม่ได้ คล้ายๆให้มากที่สุดนี่ต้องทำได้ ถึงฆราวาสก็ยังทำได้ ฆราวาสไม่ใช่บรรพชิต มันมีหลักว่าไปอ่านโคตมีสูตร พระศีลธรรมวินัยแปดประการนั่นแหละ เป็นอยู่แบบนั้นแล้วมันจะเป็นอยู่คล้ายพระพุทธเจ้า ไอ้ข้อง่ายๆ ตั้งต้นต่ำๆ ว่าสันโดษ อย่าทะเยอทะยานนอนไม่หลับจะเป็นโรคเส้นประสาทจะบ้าตาย ไอ้คนสันโดษ มันต้องเป็นอยู่ชนิดที่ว่าไม่ให้กิเลสได้เปรียบนะ ให้เรามันตั้งตัวได้เสมอ พระพุทธเจ้านั้นถ้าสรุปความว่าท่านเป็นอยู่ต่ำที่สุด แต่ว่าการกระทำนั้นสูงที่สุด การเป็นอยู่กินอยู่ส่วนชีวิตส่วนร่างกายนั้นต่ำที่สุดเลยนะ ฉันท์ข้าวจานแมว อาบน้ำในคูไอ้หลักนี้เราถอดมาแต่การเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้า ถือว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส ร่างกายนี่มันให้สูงมาได้ แต่ส่วนจิตใจให้สูงลิบเลย ให้สูงลิบ ในขนาดว่าคิดจะช่วยโลกเลย อวดดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ความคิดนี้มันไปถึงขนาดว่าจะช่วยโลกทั้งโลก กินข้าวจานแมวแต่หัวใจมันคิดจะช่วยโลกทั้งโลก การเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าเป็นแบบนั้น เรื่องกินเรื่องอยู่ปัจจัยสี่ต่ำแสนจะต่ำ แต่พระกรุณาคุณประสิทธิคุณพระคุณอะไรๆนี่สูงๆจนวัดไม่ไหว เราถือหลักนี้นะเราจะได้มีการเป็นอยู่คล้ายพระพุทธเจ้าที่สุด ขอให้เป็นอยู่ให้ต่ำ สิ่งอะไรมันฝืนความรู้สึกอย่าไปทำดีกว่า อย่าไปมัวสูบบุหรี่ อย่าไปมัวอะไรแบบนั้น มันไม่เหตุผลที่จะทำ สลัดทิ้งไปให้หมด เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม มีมากอย่างที่ไม่รู้จะทำไปทำไม ต้องเสียเวลาเปล่าๆเปลืองเปล่าๆ มันผิดหลักของพระพุทธเจ้า มันเปลืองเปล่าๆ มันเป็นทุกข์เปล่าๆ มันไม่ถูกต้อง คราวนี้เอาเรี่ยวเอาแรง เอาเงินเอาทองเอาเวลาอะไร มาทำอะไรที่ว่าจะทำให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด เราขอมีส่วนในกิจการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคล้ายๆว่าท่านตั้งการงาน ตั้งบริษัทหรือว่าตั้งอะไรเพื่อจะช่วยโลก เราขอมีส่วนขอมีหุ้น ไอ้การที่จะร่วมมือกับพระพุทธเจ้าช่วยโลกตามความสามารถของเรานี่ ถ้าทุกๆองค์ทั้งภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนาตั้งใจทำกันแบบนี้ โลกจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน โลกจะดีกว่านี้แน่นอน เราอย่ามัวเห็นแก่ตัวเราอยู่เลย เห็นแก่โลกตามแบบของพระพุทธเจ้าแล้วหันหน้าไปคิดช่วยโลกกันดีกว่า อย่าเห็นแก่ตัวอย่าสะสมเพื่อตัวอย่าอะไรเพื่อตัว คิดช่วยโลกกันดีกว่าจะได้ชื่อว่ามีหุ้นส่วนในพระพุทธเจ้าในบริษัทของพระพุทธเจ้าทำตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้าไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้อุทิศชีวิตเลือดเนื้อทั้งหมดนี้แก่พระพุทธเจ้า เราสวดกันทุกวัน พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง ทำวัตรเย็นว่าทุกวัน มอบกายชีวิตนี้แก่พระพุทธเจ้า แก่พระธรรม แก่พระสงฆ์ ขอให้มอบจริงๆ อย่ามีเหลือไว้เป็นของเรา ให้พระพุทธเจ้าให้หมดเลย พระพุทธเจ้าต้องการอย่างไรทำอย่างนั้นไม่ต้องเหลือไว้เป็นของเราและเราก็พลอยได้ดีทั้งที่เราให้พระพุทธเจ้าหมดแล้ว ไอ้ตัวเราร่างกายจิตใจนามรูปนี้จะเป็นไปในทางดี มีความสุขเองแล้วประโยชน์จะเกิดแก่เพื่อนมนุษย์มหาศาลเลย นี่ผมมีเรื่องจะพูดวันนี้ก็มีความหมายมุ่งหมายชนิดนี้นะว่า เราเป็นเพื่อนสหธรรมมิก พูดอย่างดีกว่านั้นก็พูดว่า เป็นลูกของพระพุทธเจ้าร่วมกันนั้นทั้งภิกษุ ทั้งสามเณร ถือว่าเป็นลูก เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าร่วมกัน ถ้าประพฤติดีประพฤติชอบ เขาเรียกว่า สมณะศากยะบุตริยะ สมณะศากยะบุตริยะ บุตริยะแปลว่าเป็นผู้ฝักใฝ่แห่งบุตร ศากยะคือพระศากยะ สมณะคือสมณะ สมณะศากยะบุตรหมายความว่าเป็นผู้ที่นับเนื่องอยู่ในสมณะศากยะบุตร พระพุทธเจ้านั้นเป็นสมณะศากยะบุตรคือเป็นลูกของศากยะแต่เขาใช้คำบุตริยะแปลว่านับเนื่องเข้าไปในนั้น นับเนื่องเข้าในบุตรของศากยะผู้เป็นสมณะ บางทีก็พุทธชิโนรส ธะ พระพุทธเจ้า ชินะผู้ชนะ โอรสก็คือลูก พุทธชิโนรสก็คือลูกของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์นี่แหละสาวกนี่แหละสามเณรนี่กำลังเตรียมจะเข้า สำรองไว้เป็นพุทธชิโนรสเป็นสมณะศากยะบุตร ภิกษุหนุ่มภิกษุรุ่นไหนก็ตามใจ มันมีระเบียบมีธรรมเนียมมีการอุปโลกน์ให้เป็นสมณะศากยะบุตริยะ เมื่อเราบวชครั้นเราบวชก็บอก...........(นาทีที่ ๑.๑๕.๑๗ )สมณะศากยะบุตริโย ศากยะจะเป็นสมณะศักดิ์บุตริยะ แล้วก็เป็นพุทธะชิโนรสให้ได้นะ ไม่งั้นก็หลอกกันนะ ครานี้ผมว่าไม่มีทางไหนดี ไม่มีทางไหนดีคือว่าทำได้นอกจากทางที่พูดมาแล้ว พูดมาแล้วแต่ต้น อย่าดูหมิ่นพระพุทธเจ้าเป็นอันขาด เกิดเรื่องอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนว่าท่านจะแนะนำอย่างไรในเรื่องนี้และพยายามทำให้ดีให้ตรงตามแต่ว่าพระพุธเจ้าแนะนำ เมื่อขอให้เป็นอยู่ให้คล้ายการเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าที่สุด อย่าให้ลืมตัวนะ นั่งกลางทรายนี่ดีทำให้นึกพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ไม่ลืมตัว ให้มีหุ้นส่วนในกิจการของพระพุทธเจ้า ช่วยกันทำโลกให้กลับดีขึ้นๆเพื่อให้ชาวบ้านนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนจนสว่างก็ไม่มีใครมายิงนะ ขอให้รับผิดชอบในหน้าที่ๆพระพุทธเจ้าท่านมอบหมายไว้ นี่โดยส่วนตัวผมขอขอบพระคุณ ขอขอบคุณ ขอขอบใจเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายที่ได้มาจนถึงนี่ โดยส่วนธรรมวินัยขออนุโมทนาที่ได้ช่วยกันรักษาอริยะวังสะปฏิปทา ของอาจารย์ในครั้งก่อนจนถึงพระอริยะเจ้าเลย ได้วางไว้อย่างนี้ ทีนี้ผมขอสนองพระคุณเพื่อนธรรมิกทั้งหลายว่าอะไรที่กระผมจะช่วยได้จะให้ความสะดวกได้ให้ประโยชน์ได้ที่วัดนี้แล้วก็ให้บอกแล้วก็ยินดีที่จะช่วยร่วมมือ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่มาเฉพาะวันนี้ อยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้เมื่อจะถือเอาประโยชน์จากสิ่งต่างๆจัดไว้เพื่อให้เป็นการศึกษาให้เป็นเกลอธรรมชาติได้โดยง่ายชนิดนี้จะมีความก้าวหน้าในทางธรรมทางวินัย นี่หละไม่ต้องเกรงใจ ขอให้เรามีการเคารพตามฐานะควรเคารพ มีการอภัยโทษซึ่งกันและกันเหมือนที่ได้อภัยโทษแล้วในวันนี้ มีการแลกเปลี่ยนส่วนบุญแก่กันและกันเหมือนที่ได้แลกเปลี่ยนแล้วในวันนี้ ทำตามอริยะวังสะปฏิปทาแล้ว มีความเจริญงอกงามในพระศาสนาของสมเด็จพระศาสดา สมตามความมุ่งหมายทุกทิวาราตรีกาลเทอญ
สวด....................................................... นี่หละสวดพอเป็นตัวอย่างใครที่ไม่เคยได้รับพึ่งได้รับวันนี้ให้สวดให้ฟังเพราะมาจากชุมพรก็มีไม่เคยได้เห็นได้ฟังก็สวดให้ฟัง เอาไปสวดเป็นแบบได้ แจกไปทุกองค์ถ้าองค์ไหนยังไม่ได้ทวง เอาประเคนน้ำตาล ขอบใจทายิกาแล้วให้พร