แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอโน้มถวาย ซึ่งผ้าบังสกุลจีวร กับเครื่องบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับ ซึ่งผ้าบังสกุลจีวร กับเครื่องบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งกาลนานเทอญ
ญาติโยมทั้งหลายที่ได้มาถวายผ้าบังสกุล ขอให้ตั้งอกตั้งใจรับอนุโมทนา และขอให้ทำในใจให้ถูกต้อง ให้แยบคายให้ได้ประโยชน์มากที่สุด มีความพอใจมาก มีปิติมากย่อมได้กุศลมาก การที่จะมีปิติมากต้องรู้จักพิจารณาว่ามันจะได้ประโยชน์อย่างไร ขอให้ถือว่า การถวายผ้าบังสกุลพร้อมด้วยบริวารนี้ เป็นไปเพื่อบำรุงพระศาสนาให้ยังคงมีอยู่ เป็นที่พึ่งแก่โลกทั้งปวง สัตว์โลกทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าคิดแบบนี้ได้บุญ ได้กุศลกว้างกว่าที่เราจะคิดว่าเราจะได้สวรรค์วิมานคนเดียว ถ้าจะคิดว่าจะได้สวรรค์วิมานคนเดียวก็ไม่ผิดแปลกอะไร แต่มันแคบไป ขอให้คิดว่าได้บำรุงศาสนาเอาไว้ให้คนทั้งโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะศาสนาถ้ายังอยู่ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ศาสนาจะอยู่ก็ด้วยปัจจัยบางอย่างบางประการ ถึงจะช่วยให้เกิด การเป็นอยู่ได้แห่งพระภิกษุสงฆ์ผู้มีหน้าที่สืบอายุพระศาสนาโดยตรง ให้ได้เล่าเรียน สำเร็จประโยชน์ และได้ปฏิบัติสำเร็จประโยชน์ และได้รับผลของการปฏิบัติสำเร็จประโยชน์ และให้ได้เผยแผ่ธรรมะกว้างขวางไม่มีขอบเขต นี่เพราะศาสนามี จึงได้รับประโยชน์ความกว้างไม่มีขอบเขต เมื่อเราตั้งใจทำนองนี้ ย่อมมีขอบเขตกว้างขวาง ไม่มีที่สิ้นสุด กลายเป็นเรื่องสำหรับทุกคนในโลกทั้งเทวดาและมนุษย์ และแถมสัตว์เดรัจฉานด้วย พลอยมีความสุข ถ้ามนุษย์มันอยู่กันดี แถมต้นไม้ต้นไร่ในป่าในดงด้วย ถ้ามนุษย์มันอยู่กันดี มันไม่มีการเบียดเบียนต้นไม้ นี่เรียกว่าประโยชน์สุขเกื้อกูลทุกอย่างทุกประการ ขอให้ตั้งใจ มีปิติมีความพอใจมากจะได้กุศลมาก ซึ่งอาตมาก็จะขออนุโมทนา
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา
มะณิ โชติระโส ยะถา ฯ
สัพพีติโย วิวัชชันตุ อะภิวาทะนะสีลิสสะ
สัพพะโรโค วินัสสะตุ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
มา เต ภะวัตวันตะราโย จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ฯ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ |
กรวดน้ำสิๆ (นาทีที่ 10:25) เดี๋ยวหางด้วนแหละ ไม่กรวดน้ำ
อ้าวแล้วก็กราบพร้อมๆ กันก่อน สามครั้ง
และต่อจากนี้ ผมจะนำเพื่อความพร้อมเพียง มหาเตเรปมา เจนะ (นาทีที่ 11:20) ….
มหังกะมามิ (นาทีที่ 10:38)…. อมาภันเต
กายกรรม วจีกรรม นโนกรรม มีโทษหน้าที่เพียงใด ถ้ามีอยู่ในระหว่างเราสองฝ่าย ก็ให้เป็นอโหสิกรรม (นาทีที่ 11:53) ปปป ทำปปป ในวันนี้เป็นต้นไป ตราบเข้าสู่นิพพานเทอญ สาธุ
ขอโอกาสพูดอะไรกันบ้างเล็กน้อย ตามธรรมเนียมหรือตามที่เคย ในชั้นแรกที่สุด ขอให้ทำในใจเป็นพิเศษสักอย่างหนึ่ง ที่การที่เราได้มานั่งกันที่นี้ ในสภาพเช่นนี้ คือนั่งกลางดิน ขอได้โปรดทำในใจให้ดีเถิด ก็จะได้ผลพิเศษเพิ่มมากมาย คือให้ทำอนุสติระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ประสูติกลางดิน ก็รู้กันแล้วทุกคน เคยเรียน ที่ประสูติที่สวนลุมพินี ตรัสรู้กลางดิน ที่ต้นโพธิ์ที่ริมตลิ่งแม่น้ำเนรัญชรา นิพพานก็กลางดิน ที่ป่าไม้สาละ สอนพระไตรปิฎกที่ตรัสรู้ได้ทั้งหมดก็กลางดิน ท่านก็อยู่พื้นดินเพราะกุฏิของท่านอยู่พื้นดิน ผมก็เคยไปดู อะไรก็ดินไปเสียหมด ดังนั้นการนั่งกลางดินในวันนี้ก็ขอทำให้ใจเราเป็นเครื่องบูชาพระคุณ ไม่ใช่ผมจะแก้ตัว ปัดความผิดของตัวเองว่า ไม่มีอาสนะให้นั่ง แต่ผมมีความเห็นว่า ขอให้พยายามถือโอกาส นึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน เทศน์สอนตลอดเวลากลางดิน กุฏิก็พื้นดิน เป็นเวลาที่เราได้นั่งบนอาสนะดิน เป็นที่ระลึกอุทิศบูชาพระคุณ นี่คือข้อแรก ญาติโยมทั้งหลายก็เหมือนกันขอให้จำไว้ด้วย จึงอย่าคิดให้มันไปคนละทาง พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ก็จำไว้ด้วย ถ้าเรามันอยากอยู่บนวิมานแล้วก็ไม่มีทางจะพบกัน นี่ข้อแรก
นี่ข้อถัดไปก็ ขอแสดงความอนุโมทนา แสดงความรู้สึกอนุโมทนา ในการที่ได้มาในวันนี้ เป็นสานิจิกรรม การะทั่งเป็นอริวังสังปฏิปทา แสดงความเคารพหรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรกระทำ ตามโอกาสที่ควรกระทำ ส่วนนี้ผมขออนุโมทนา ส่วนตัวก็ขอขอบพระคุณที่ได้มา เรื่องส่วนตัวนี้ขอให้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเถอะ แต่ก็ยังต้องขอแสดงออกมาเป็นความรู้สึกว่าขอบพระคุณ ในฐานะที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ ที่นี้ก็อยากจะพูดต่อไปก็เรื่องสวนโมกข์ พอรู้เข้า โมกข์แปลว่าเกลี้ยง ถ้าภาษาชาวบ้านแปลว่าเกลี้ยง ภาษาธรรมะ หลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์ เกลี้ยงคือจิตใจเกลี้ยง คือไม่มีอะไรติด ก็เรียกว่าหลุดพ้นนั่นเอง ขอให้รู้จักสภาพที่จิตใจเกลี้ยง อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ด้วยอำนาจของธรรมชาติ ต้นไม้ ก้อนหิน ก้อนดิน อะไร แวดล้อมไปในทางให้จิตหยุด จากความรู้สึกประเภทกิเลส นั่นแหละเกลี้ยง จากกิเลสนะ นั่นแหละคือความหมายของคำว่าสวนโมกข์ ขอให้ทุกคนอย่างน้อยมีความรู้สึกว่า จิตใจมันเกลี้ยง และขอให้ช่วยพาสวนโมกข์กลับไปบ้านด้วย นั่นก็คือความที่มีจิตใจเกลี้ยง และเมื่อไปถึงบ้านแล้วก็ขอให้มีจิตใจเกลี้ยง เหมือนกับที่นั่งอยู่ตรงนี้ จะทำอะไรก็ได้ จะพูดอะไรก็ได้ จะคิดอะไรมันก็มีความสุขทั้งหมด เพราะจิตใจมันเกลี้ยง นี่คือความหมายของคำว่า สวนโมกข์
อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่อง มโหรสพทางวิญญาณ สิ่งทั้งหลายที่จัดทำขึ้นในสวนโมกข์นี้เพื่อให้ เป็นการศึกษาธรรมะที่ลึกซึ้ง แต่ด้วยวิธีที่สนุกสนาน จึงได้เรียกว่ามโหรสพทางวิญญาณ ท่านผู้ใดมาแล้วก็ขอให้ถือโอกาสดูมโหรสพทางวิญญาณ ที่รูปเขียนในตึก นั่นก็ดี รูปปั้นก็ดี สานาลิเกก็ดี ล้วนเป็นอุปกรณ์สำหรับศึกษาธรรมะในชั้นลึก โดยวิธีที่สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ การศึกษาธรรมชาติแท้ๆ ก็เป็นมโหรสพทางวิญญาณ ศึกษาสิ่งที่มนุษย์ได้ทำโดยสมบูรณ์ก็เป็นมโหรสพทางวิญญาณ ศึกษาสิ่งเป็นครึ่งๆกลางๆ ดัดแปลงธรรมชาติ นี่ก็เป็นมโหรสพทางวิญญาณ ขอให้สำเร็จประโยชน์กันทุกๆคน
ที่นี้ก็อยากจะพูดเฉพาะพระเณรเรา ช่วงเวลาเล็กน้อยที่มี ขอได้โปรดนึกถึง สิ่งซึ่งจะต้องนึกตลอดกาล คือข้อที่ทุกคนหวัง และพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า ธรรมวินัย พรมจรรย์ พระศาสนานี้จะเจริญ จะเสื่อมลงก็เพราะ พุทธบริษัทสี่ คือพุทธบริษัททั้งหลาย เราจงนึกถึงข้อนี้ไว้ตลอดเวลา จงมุ่งมั่นที่จะทำให้เจริญรุ่งเรือง ขอให้เสียสละ สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา ไม่ต้องจำแนกในรายละเอียดว่าอะไรบ้าง เพราะรู้กันอยู่ดี เพียงแต่ว่า ตั้งจิต บังคับจิตให้ทำแต่สิ่งที่จะทำให้เป็นไปแต่ความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา ทั้งฝ่ายบรรพชิต และฝ่ายคฤหัสถ์ ซึ่งพอจะเรียกได้ว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รู้สึกว่าภาระนั้นอาจจะหนักบ้าง ในโลกนี้ ในสมัยนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ มีปัญหามาก มีสิ่งที่จะทำให้ล่วงละเมิดศีลธรรมมาก เกิดความเสื่อม ขึ้นในจิตใจของประชาชนในโลก และก็จะลามปามมาถึงพวกเราในวัด เราต้องพยายามป้องกันให้ดีๆ อย่าให้ความเสื่อมหรืออะไรหลายอย่างในทางโลกกลับเข้ามาในวัด เพราะว่าวัดนี้ต้องเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ขอให้ตั้งมั่นเหมือนกับตั้งค่ายผู้ออกรบอย่างมั่น ที่ต่อสู้ข้าศึกคือกิเลสแห่งวัตถุนิยม ในความเจริญทางวัตถุแห่งสมัยปัจจุบัน ขออย่าได้ครอบงำจิตใจพวกเราให้รวนเร แปรปรวนและผ่ายแพ้ในที่สุด ผ่ายแพ้นี่มันคงจะมีบ้างแต่ขอให้เป็นส่วนน้อยที่สุด ส่วนใหญ่ที่สุดขอให้ ภิกษุ สามเณรของเราสู้ได้ ต่อสู้ได้ อยู่รอดมั่นคง เพื่อว่าจะได้เป็นหลักที่ปักมั่นอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง โลกจะเปลี่ยนอย่างไรก็ตามใจโลก เราพยายามสั่งสอน เราพยายามทำแสงสว่างให้แก่ชาวโลกสุดความสามารถที่เราจะทำได้ ถ้าเขาจะไม่เอาหรืออะไร ก็เรื่องของเขา แต่เราจะต้องคงที่ ตามสภาพเดิม เช่นเดียวกับที่เป็นมาครั้งพุทธกาลมา จนบัดนี้ แล้วพระศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ สำหรับเป็นที่พึ่งแก่ สัตว์โลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ ตลอดกาลนาน
คำว่า เทวดาและมนุษย์นั้น ตีความได้มาก แต่ผมนั้นจะพูดว่าทั้งคนรวยและคนจน คนรวยอยู่อย่างเทวดา คนจนอยู่อย่างมนุษย์ ขอให้ศาสนาเป็นที่พึ่งแก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเทวดาและฝ่ายมนุษย์ ตลอดทั้งที่ไม่ถึงมนุษย์ คือว่ามันยังมีอบายที่ว่าอบายภูมิอะไรนั้นด้วยแหละ แต่เวลานี้พูดกันแค่เรื่องเทวดาและมนุษย์นี้ก็เพราะว่า พอจะพูดกันรู้เรื่อง ขอให้ตั้งความปรารถนาด้วยอำนาจของเมตตาก็ดี ด้วยความซื่อสัตย์กตัญญูต่อสมเด็จพระบรมศาสดาก็ดี จะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่จะต่อต้านสิ่งซึ่งเป็นข้าศึกของมนุษย์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงฝากหน้าที่อันนี้ไว้ ให้ช่วยกันเผยแพร่พรมจรรย์ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ มีข้อความตอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เราได้ประกาศพรมจรรย์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ถึงที่สุด ชนิดที่ภิกษุ หรือว่าพุทธบริษัทจะเผยแพร่ตามอย่างได้ นี้หน้าที่ของพระพุทธองค์เสร็จไปแล้ว ที่ประกาศพรมจรรย์ไว้ในลักษณะที่ คนข้างหลังจะเผยแพร่ตามได้ ที่นี้เราแหละคือคนชั้นหลังก็ต้องรับภาระหน้าที่อันนี้ มีหลายแห่งที่ทรงตรัสเป็นอ้อนวอนก็มี ขอร้องก็มี หรือว่าบังคับกลายๆก็มี ว่าให้ช่วยกันประกาศพรมจรรย์ให้เป็นประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ งั้นผมจึงขอเตือน ไม่ใช่จะทำอะไรให้มากกว่าขอเตือน ก็เพราะว่ารู้ ทราบกันอยู่โดยมากแล้ว แต่อาจจะลืมบ้าง ขอเตือนให้ช่วยกันทำตามพุทธประสงค์ เนี่ยสำหรับเพื่อนธรรมสมิกทั่วไป
ที่นี่ชั่วเวลาเล็กน้อยนี้ก็อยากพูดถึงผู้บวชใหม่โดยเฉพาะ ขอให้ผู้บวชใหม่โดยเฉพาะ จงเป็นผู้อ่อนโยน อย่าได้มีความกระด้าง เพราะว่าเพิ่งเข้ามาสู่ธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เป็นส่วนใหญ่ ต้องเป็นผู้อ่อนน้อม คือไม่กระด้าง เชื่อฟังและทำตาม ขอให้ถือว่าการจะมาทำวัดนี้ ในความหมายถึงที่ว่า แสดงความเคารพด้วย ขอโทษซึ่งกันและกันด้วย แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกันด้วย จะเป็นผู้ที่อ่อนน้อม ในฐานะที่ควรจะอ่อนน้อม ในบุคคลที่ควรจะอ่อนน้อม เนี่ยจะเป็นประโยชน์ให้เราไม่ปิดประตูแห่งจิตใจ สำหรับคุณงามความดีอะไรที่จะเข้าไป และก็ให้ขอโทษ เพราะว่ามันเป็นธรรมดา อาจจะคิดไปในทางหลบลู่ดูหมิ่น เป็นโทษ บางดีก็พูดจามาเลย บางทีก็แสดงกิริยาด้วย ขอให้ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้หมด ให้เกลี้ยง ให้สะอาด จึงต้องมีการทำวัด ในความหมายการขอโทษ คู่กันกับความหมายแสดงความเคารพ มันไปด้วยกัน ขอให้แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน ความดีอะไรที่ผมได้ทำ ขอให้ท่านทั้งหลาย ทุกๆท่านได้รับ ส่วนกุศลอันนั้นเต็มที่เลย และความดีส่วนบุญกุศลอะไรที่ท่านทั้งหลายที่ได้ทำ ผมก็ขออนุโมทนาอย่างยิ่ง ขอให้ภิกษุบวชใหม่หรือภิกษุนวกะ ก่อนจะเป็นมัชณิมภูมิ สังวรณ์ในเรื่องนี้ไว้ให้มาก อย่าประมาทในข้อนี้ ถ้าขืนประมาทไปตั้งแต่ต้นมือแล้วก็จะเกิดเรื่องแน่ แล้วจิตใจจะค่อยกระด้างขึ้นๆ โดยไม่รู้สึกตัว พอครบห้าพรรษากลายเป็นคนหัวแข็งหัวดื้อไปเลย และขอให้สะกดกลั้นไว้ตั้งแต่พรรษาที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ให้อ่อนน้อมถ่อมตัว ให้เชื่อฟัง ให้ซื่อสัตย์ กตัญญู ไปตามความหมายของการถือนิสัยในอุปชายะและอาจารย์ ให้เต็มตามความหมายนั้นด้วย และในที่สุดก็จะค่อยๆ กลายเป็นพระเถระ มั่นคงในพระศาสนาต่อไป เป็นอันว่าความหวังของสมเด็จพระบรมศาสดาคงจะไม่เป็นหมันเปล่า ถ้าเราทำให้เป็นหมันเปล่าโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามนี้ ก็จะถือว่า เป็นความผิดอันใหญ่หลวงเหลือประมาณ เหลือที่จะพูด ขอให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต เรื่องสำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น คืออย่าให้พระพุทธประสงค์เป็นหมัน แล้วก็จะเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์อย่างที่ว่า และรวมทั้งตัวเราเองด้วย แล้วพระศาสนาก็จะมั่นคง ยืนยาว ถาวร ไม่มีขอบเขตจำกัดแหละ อย่าไปเชื่อว่าห้าพันปี สี่พันปี ไม่ต้องไปเชื่อ ให้เชื่อว่าตามหลักแห่ง ความจริง เป็นปฏิจสมุทบาท อิติทัปปัจจตานี้ มันทำอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องมีอยู่อย่างนี้ หรือที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระภิกษุเหล่านี้จะพึงอยู่ในโดยชอบได้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ นี่ท่านไม่ได้ตรัสจำกัดว่ากี่พันปี ขอให้ยึดถือหลักอันนี้ โดยเห็นแก่ทุกฝ่าย เห็นแก่เราเอง มันควรจะเล็กน้อย ถึงจะเห็นสุดเหวี่ยงอย่างไร มันก็คงจะเล็กน้อย เห็นแก่ผู้อื่นทั้งหมดนั่นแหละดี เห็นแก่พระพุทธเจ้าในที่สุด เป็นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า และก็เป็นที่แน่นอน ไม่ต้องมีใครมาทำอะไรอีก มันจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ในธรรมวินัย ในศาสนา ในพรมจรรย์นี้ แล้วก็จะเจริญเผยแพร่ไปทั่วโลก ทั่วสากลจักรวาลทั่วทุกหมื่นโลกธาตุก็แล้วกัน ขอให้ที่พูดนี้ ช่วยนำไปคิด เอาไปนึกให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ให้สมกับที่อุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยมากันถึงที่นี้ ในที่สุดนี้ ขออำนวยพรให้ เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ภิกษุ สามเณร ตลอดถึง อุบาสก อุบาสิกาด้วย จงได้บากบั่นในหน้าที่ของตนๆ ที่ควรแก่ฐานะของตน ด้วยอำนาจที่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสตั้งมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว มีความเจริญ มีความสุข สำเร็จประโยชน์ ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุๆๆ
(นาทีที่ 32:10) ช่วยจัดเรียงของที่เขาเอามาเลี้ยง
(เริ่มใหม่นาทีที่ 32:22) ที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนต่อสู้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนามาตลอดเวลา แต่ว่ามันต้องนึกถึงน้องท่านปั้นและท่านเจ้าคุณปัญญาอีกองค์ด้วย ความคิดมันเหมือนกันและมันฝังอยู่ในความรู้สึกว่าจะช่วยกันต่อสู้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระศาสนามาตั้งสี่สิบกว่าปี สี่สิบกว่าปีแล้วไม่ใช่เราเพิ่งคิด และวันนี้ท่านได้มาที่นี้ คงจะเป็นที่โชคดีของผู้ที่ไม่เคยเห็น ว่าเป็นผู้ที่ได้เคยร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมงาน ร่วมคิด ร่วมนึก อะไรกันมา เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา และตลอดถึงโอกาสต่อไปข้างหน้า ท่านได้ไปถึงประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่ควรจะรู้จะเข้าใจที่ว่ามันเป็นอย่างไร เราจะได้หาหนทาง แก้ไข ปรับปรุง เพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนานี้เอง แล้วเวลานี้อยู่ที่หลังสวน จังหวัดชุมพร (พระเณรวัดนี้อย่านั่งฉัน ช่วยเลี้ยงเพื่อนด้วย ช่วยเลี้ยงเพื่อนด้วย อย่าให้บกพร่อง) ที่นี้ผมที่ขออาราธนาไว้สักครู่ จะให้ท่านเจ้าคุณนี่พูด ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเราโดยเฉพาะ พวกที่เพิ่งบวช ขอให้ฟังให้ดีที่สุด แล้วก็ให้เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ ถ้านับถือผมเท่าไหร ก็ขอให้นับถือน้องท่านเท่านั้น เป็นอุปัชายมัท เป็นอาจารยมัช ซึ่งจะต้องฟังและเชื่อฟัง ถ้าเชื่อฟังผมเท่าไหร ก็ขอให้เชื่อฟังน้องท่านเท่านั้น ขอให้มันเป็นการขยาย ขยายสมรรถภาพในการที่จะประพฤติ ปฏิบัติ และขยายขอบเขตของการที่จะได้ยินได้ฟัง ให้กว้างออกไป
ถ้าว่าโดยกันที่แท้แล้ว เราไม่มีแบ่งแยก อำเภอนั้น อำเภอนี้ จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ประเทศนั้น ประเทศนี้ ในฐานะที่เป็นเขาเป็นเรา ทั้งโลกเรา ไม่แบ่งแยก แต่ถ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เราจะต้องแบ่งแยกโดยความรับผิดชอบ ผู้ที่อยู่ที่ไหน ก็ต้องรับผิดชอบของความเสื่อม ของความเจริญที่นั้น ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งเป็นบ้าน เป็นตำบล เป็นจังหวัด เป็นอำเภอ เป็นประเทศ เป็นอะไรไป เพื่อที่จะรับผิดชอบในการสร้างความเจริญ แต่ถึงเราจะแบ่งแยกเป็นอำเภอ เป็นจังหวัด เป็นอะไรก็ตาม เราก็ยังต้องร่วมมือประสานกลมเกลียวเป็นอันเดียวกันเสมอ เช่นน้องท่านเจ้าคุณก็ทำที่จังหวัดชุมพร เราก็ทำที่ไชยา นี่มันก็เป็นการทำได้มาก ทำได้อย่างขยันขันแข็งและก็ร่วมมือ ผมมองเห็นความเจริญที่จะได้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษจากการร่วมมือ คือได้ข่าวว่าคณะชุมพรมีเจตนาที่จะสร้างบ้านพักในนามจังหวัดชุมพรขึ้นที่นี้สักหลัง นี้ยังเป็นการร่วมมือ ก็คงจะได้รับความร่วมมือไปมาๆ ต่อกันนี้เรื่อยๆไป และความสะดวกในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนก็คงจะขยายตัวมากขึ้น ขอให้รู้จักกันไว้ ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันไว้
(ท่านอาวาสถ้าพร้อมก็มัดหนังสือเลย เฉพาะที่ไชยานี้ ที่ชุมพรยังไม่ไป ไปที่หลัง ต้องให้คนที่นี้แจกถึงจะรู้ ต้องขอแรงพระที่นี่แจกถึงจะแจกถูก ที่เฉพาะไชยาก่อน ทีนี้ที่ชุมพร เอาไว้วันหลังก็ได้ ท่านนึกก็จะรู้ ใช่ไหมท่านนึก)
ที่นี้น้องท่านพูดที เอา ก่อนฝนมา
เพื่อนสหธรรมิกและญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ผมได้รับการขอร้องจากพี่ท่าน พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณเทศน์ วิสุทธิเมธี ได้ให้พูดเรื่องเบ็ดเตล็ด อะไรๆ ก็ได้ ให้ที่ประชุมนี้ได้ทราบบ้าง ซึ่งถ้าจะพูดไปแล้วก็ คล้ายๆว่าเป็นธรรมปฏิสันถาร ที่ว่าต้อนรับกัน พูดกันด้วยเรื่องธรรมะ ตามธรรมดาของพระที่จะต้อนรับปฏิสันถาร ของอื่นๆ นั้นไม่ค่อยมีมาก แต่ที่สำคัญอยู่ก็คือการปฏิสันถารด้วยธรรมะ คือพูดธรรมกันให้ฟังนี่แหละ เนี่ยเป็นเรื่องที่ว่าสำคัญ ที่พวกเราและก็ญาติโยมทั้งหลายที่ได้มาร่วมทำบุญกัน ได้ประกอบพิธีขึ้นตั้งแต่เริ่มต้น ก็ถ้าจะพูดไปแล้วก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ เรื่องบุญเรื่องกุศลกันแบบนั้น เช่นว่าการบูชาพระ การสมาทานศีล การถวายผ้าบังสุกุล อะไรเป็นต้นเหล่านี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ แล้วที่พระเดชพระคุณหลวงพี่ท่านได้กล่าวเรื่องราวอะไรต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งทั้งพระ และทั้งฆราวาสก็ได้ร่วมฟังกันอยู่นี่เป็นเรื่องที่ธรรมะ นี้เรียกว่า เป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่พระพุทธเจ้าของเราก็ ในการอนุโมทนาต่างๆ ก็ดี ได้พูดกันมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนกลางวัน ก็กระผมสอนเรื่องธรรมะ ก็ให้เห็น ให้สมาทาน (นาทีที่ 41:55) ให้xxx ให้ร่าเริงอะไรอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นในตอนนี้ พระเดชพระคุณพี่ท่านได้ขอให้อาตมานี้ ให้ผมนี้พูดอะไร เบ็ดเตล็ด เล็กๆน้อยๆ ก็ไม่อยากจะขัด ที่จริงผมหรือว่าอาตมาเองนั้นก็เคยอยู่ร่วมกันกับพี่ท่านมาตั้งแต่ที่สวนโมกขพลารามเก่า ที่พุมเรียง ก็ได้อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาพรรษาหนึ่ง ก็ได้เห็นปฏิปทาต่างๆ ในการปฏิบัติศาสนาเพื่อคุณประโยชน์ ในการเผยแพร่ศาสนานี้มาก ที่นี้มาวันนี้ท่านขอร้องนิดเดียว เพียงจะให้พูด จะไม่พูดก็ไม่ดี ทั้งที่เวลาน้อยก็ขอถือโอกาสพูดกันให้ฟังสักนิด และโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพิธีกรรมอย่างนี้ ที่เราทั้งหลายได้มากัน ไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับการทำบุญกุศลนั้นก็ เราก็ทำกันมาแล้ว โดยมากก็ทราบกันถึงคุณถึงประโยชน์ กันอยู่โดยมากแล้ว ที่จะขอพูดเกี่ยวกับพิธีกรรม ที่เรียกว่า พิธีขอขมาโทษ ขออภัยโทษในระหว่างกันและกัน อย่างที่พระท่านได้ทำ ต่อพระเดชพระคุณหลวงพี่เมื่อกี้นี้ ซึ่งเราถือเรื่องพิธีกรรมเรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมีมานานแล้ว ตั้งแต่ในสมัยโบราณกาล เป็นพิธีกรรมที่ถ้าพูดไปแล้วก็เป็นการทำความบริสุทธิ์กันทั้งสองฝ่าย สำหรับเราผู้ที่อยู่ร่วมกัน เพื่อให้อยู่กันด้วยความสุข ความสบายใจ ความบริสุทธิ์ใจกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ เราก็ประกอบพิธีกรรมกันอย่างนี้ ขอขมาโทษ หากว่ามีโทษกันในไตรทวาร คือทางกาย ทางวาจาหรือว่าทางใจก็ตาม ก็ขอเรียกว่าอย่าให้มีโทษ เป็นการแสดงความเคารพนับถือด้วยและขออภัยโทษด้วย ซึ่งถ้าจัดไปในทางบุญกุศลก็เรียกว่า เป็น อปัจยาอนามัย ก็ได้ เป็นการแสดงความเคารพนับถือต่อผู้หลักผู้ใหญ่ พุทธศาสนาของเราที่ยั่งยืนมาได้ทุกวันนี้ อยู่กันได้ เคารพนับถือกันฉันท์พี่ฉันท์น้อง เพราะเหตุว่าเราให้อภัยในระหว่างกันและกัน ที่เราให้อภัยก็เพราะเหตุว่ามันให้มีเรื่องควรให้ เราที่อยู่ด้วยกันตามธรรมดามันอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เรียกว่าในไตรทวาร มันไม่ทางกาย ก็วาจา หรือในที่สุดทางใจมันอาจจะกระทบกระทั่งกันบ้าง ที่นี้พระเรานั้นมันไม่อยากให้มีโทษ แม้ที่สุดทางใจที่ไม่มีใครเห็น เช่นเราเห็นหน้าคน คนใดคนหนึ่งนั้น หรือเพื่อนฝูงอะไรก็ตาม แม้แต่รู้สึกว่าเราไม่ชอบ เราเกลียด เราโกรธ จะโดยเหตุผลใดๆก็ตาม ทั้งที่เขาไม่รู้ แต่เราไม่ชอบแล้ว เพราะเรามันรู้ เพราะเรามันคิด เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามันจะมีโทษ ที่สุดในทางใจอย่างนี้ เราไม่ต้องการให้มี จึงมีการชำระโทษกัน ด้วยการประกอบพิธีขมาโทษ ก็เริ่มต้นเช่นว่าผู้น้อย ขออภัยโทษจากมหาเถร ซึ่งมีใจความว่า ถ้าหากว่าโทษในไตรทวาร ทางกาย วาจาหรือว่าใจมีอยู่ในพระมหาเถร จะด้วยเหตุประการหนึ่งประการใดก็ตาม ขอให้พระมหาเถรให้อภัยโทษหรือยกโทษให้ แล้วพระมหาเถรท่านก็ตอบรับ บอกว่า ท่านก็ยกโทษให้ และในเวลาเดียวกันขอให้ท่านทั้งหลายยกโทษให้ด้วย แล้วพระก็รับว่ายกโทษให้เหมือนกัน นี่ก็เป็นเรื่องแสดงว่าทางฝ่ายผู้น้อย ทางฝ่ายผู้ใหญ่ซึ่งอาจจะมีโทษในระหว่างกันและกัน แต่ก็ขอกันทั้งสองฝ่าย แต่เป็นสามีจิกรรม ที่ว่าผู้น้อยจะต้องขอผู้ใหญ่ก่อน หากมีโทษขอให้ผู้ใหญ่ยกโทษ แล้วผู้ใหญ่ก็เหมือนกันก็ยกโทษให้ และก็ขอโทษผู้น้อยหากว่าผู้ใหญ่มีโทษต่อผู้น้อย แล้วผู้น้อยก็ยอมยกโทษ นี้การที่ว่าพยายามชำระไม่ให้มีโทษกันนี้ที่จะทำให้เราอยู่กันได้ฉันท์พี่ฉันท์น้อง เรามาคิดดูทั้งที่เป็นพระหรือเป็นฆราวาสก็ตาม ที่เราอยู่กัน อาจจะต่างกัน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างสถานที่ ต่างอะไร แต่ว่าหากเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ก็แปลว่าเรานับถือเหมือนพี่เหมือนน้อง นี่ก็เพราะเหตุว่าเราปรารถนาดีต่อกัน เพราะฉะนั้นที่เรามากันวันนี้ ขอให้ท่านถือประโยชน์ด้วยที่ได้เห็นว่าพระประกอบพิธีขมาโทษ ขอโทษต่อพระผู้หลักผู้ใหญ่ ว่าพระเรานั้นยังจะต้องมีการเคารพนับถือกัน หากว่ามีโทษกันก็ให้อภัยโทษในระหว่างกันและกัน เพื่อพระจะอยู่กันสะดวกสบาย แล้วพระนี่ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าพระอยู่ด้วยกันด้วยความสุขความสงบมีความรักสามัคคีระหว่างกันและกัน และมันก็ต่อไปถึงฆราวาสเองแหละ แต่ถ้าพระมันโกรธกัน เกลียดกัน ไม่ชอบกันก็รวนไปถึงฆราวาสเหมือนกันแหละ เนี่ยเพราะฉะนั้นพิธีขอขมาถือว่ามีคุณมีประโยชน์ตลอดไปจนถึงฆราวาสด้วย เนี่ยเรื่องพิธีกรรมอย่างนี้ก็ขอพูดในเวลาอันจำกัดเพียงเท่านี้ และส่วนเรื่องอื่นๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพี่เจ้าคุณเทศน์ วิสุทธิเมธีท่านได้ฝากไว้ ก็คือเกี่ยวกับในการเผยแพร่พุทธศาสนา ซึ่งเรื่องนี้เราชาวพุทธควรถือว่าเป็นหน้าที่อย่างเราชาวพุทธนั้นมีหน้าที่ถ้าจะพูดแล้วก็มีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน ประพฤติ ปฏิบัติ ธรรมวินัยด้วยตนเองด้วย และก็แนะนำสั่งสอนบุคคลผู้อื่นให้ประพฤติปฏิบัติตามด้วย นี่ถ้าหากเราช่วยกันศึกษา เล่าเรียน ประพฤติ ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วก็แนะนำสั่งสอนบุคคลผู้อื่นบ้าง อย่างนี้ก็จะทำให้มีผู้รู้มีผู้ประพฤติปฏิบัติพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งจะเป็นทางที่ให้เกิดสันติสุขยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโลกปัจจุบันนี้ด้วยนะ พี่น้องทั้งหลายก็เห็นอยู่ด้วยว่า มันมีการแตกแยกอะไรกันมากมาย แม้ที่สุดในระหว่างพ่อแม่และลูก ก็ไม่ค่อยนับถือกันแล้ว แตกกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพี่ถึงน้องถึงเพื่อนถึงฝูง แต่พ่อแม่กับลูกคุมกันไม่ค่อยได้แล้ว ยังโกรธ ยังเกลียด ยังอาฆาตพยาบาทกัน แม้แต่ฆ่ากันก็ยังมีปรากฏในข่าว เนี่ยขอให้ถือว่าเพราะเหตุว่า ไม่มีธรรมะในหัวใจ ไม่มีศาสนาในหัวใจ เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธนี้แหละต้องถือว่าเป็นหน้าที่ นอกจากจะช่วยตัวเองโดยศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วต้องช่วยผู้อื่นด้วย สนับสนุนแนะนำคนอื่นให้เขาได้ศึกษาเล่าเรียนและประพฤติปฏิบัติตาม อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพี่ท่านได้ดำเนินการในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วย อุทิศชีวิตของตนไม่เห็นแก่เหนื่อยยากลำบาก อย่างที่พวกเราเห็นอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเรา มาแล้วก็พยายามตาดู หูฟัง พิจารณาไปให้ได้สิ่งที่ดีคือธรรมวินัย จะได้ประพฤติปฏิบัติตัวเราด้วย และแนะนำสั่งสอนบุคคลผู้อื่นด้วย เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนา อันเป็นการเผยแพร่สันติสุข คือเผยแพร่ความสงบความสุขให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่านี่แหละมันเป็นบุญเป็นกุศล โลกนี้ถ้าหากว่ามีศีลมีธรรมคุ้มครองอยู่บ้าง มันก็มีร่มมีเงาแห่งสันติสุขให้เราได้รับความสะดวกสบาย แต่ถ้าในโลกนี้เรายังไม่ความสุขความสบาย เพราะไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม มีการแตกแยกกัน มีการทะเลาะวิวาทฆ่าฟันกันแล้ว ไม่ต้องไปโลกไหน โลกนี้แหละก็กลายเป็นนรก เรารู้แล้ว นี่เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธซึ่งหวังความสุขความสวัสดีทั้งตัวเราและผู้อื่น เมื่อเรามาแล้วก็ขอให้พยายามสำนึกถึงเรื่องนี้ เรื่องธรรมวินัยแล้วนึกถึงหน้าที่ของเราที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อโลก เพื่อสันติสุขของโลกสืบต่อไป นี่แหละ ผมหรืออาตมานี้เรียกว่า จำเป็นต้องเดินทางกลับ เวลาก็ไม่พอ ที่จริงอยากจะพูดอยู่ที่นี่สักคืน นานๆ แต่ว่าต้องรีบกลับ งั้นขอพูดแต่เพียงสั้นๆ แค่นี้ และในที่สุดนี้ขอให้ทุกๆท่านได้ประสบความสุขความสวัสดี สมหวังในสิ่งที่ชีวิตจะพึงปรารถนาจงทุกๆ ประการเทอญ สาธุ
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปริปูเรนติ สาคะรัง
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา
จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิโชติระโส ยะถา