แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ใครว่าเราเฉพาะคนๆ ขอเพื่อตัวเอง แต่ละคนๆ ทำในใจให้ตรงกับคำขอ คำขอที่ใช้นี้เป็นอย่างคนเดียว เธอต้องทำให้(นาทีที่ 04:49) ให้ต่างคนต่างขอ ไม่ผูกพันธ์กันเป็นๆหมู่ ไม่ต้องรับผิดชอบแทนกันได้
ทุกคนช่วยตั้งใจฟังให้ดีๆ ให้เป็นการกระทำด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยสติปัญญา ไม่งมงาย หรือเข้าใจในการกระทำที่กำลังกระทำ เจ้านาคอันจะบวช ญาติทั้งหลายมาร่วมกันอนุโมทนา ขอให้สำเร็จประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้ง ๒ ฝ่าย ให้สำเร็จประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย การอนุโมทนาก็ขอให้สำเร็จประโยชน์ เจ้านาคทำในใจให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน ให้สมบูรณ์ เราจะบวช บวชอย่างไร บวชทำไม สำเร็จประโยชน์ได้โดยวิธีใด ให้เข้าใจตั้งแต่แรก ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ญาติทั้งหลายก็ให้ความสนับสนุนส่งเสริมให้ถูกเรื่องถูกราว บางคนทำไม่ถูกเรื่อง เจ้านาคนี่จะต้องรู้ว่าบวชคืออะไร แล้วก็จะได้ประโยชน์อะไร สำเร็จประโยชน์ได้โดยวิธีใด
การบวชของเราสมัยนี้ มันก็เหมือนในครั้งพุทธการที่บวชก็บวชกันเลย นี่เราจะบวชชั่วคราวก็ได้เหมือนกันไม่เสียหายอะไร แต่ว่าควรจะรู้ว่าควรจะได้อะไร ก็จะรู้ว่าได้อะไรเมื่อมาบวชอย่างไรเหมือนแต่ก่อน เราจะมาฝึกชีวิตชนิดพิเศษ ต้องใช้คำว่าพิเศษ เช่นว่าจะฝึกควบคุมตัวเอง บังคับจิตใจตัวเอง ให้อยู่ในสิกขาบท ให้มีวินัยคือความถูกต้อง ไม่อ่อนแอเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมันปล่อยตามสบาย บางทีก็ฝืนความรู้สึก เดี๋ยวนี้ไม่ จะเป็นผู้ฝึกการบังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอย ให้เป็นคนใหม่ทีเดียว ไม่ๆเป็นคนปล่อยตามใจกิเลส ได้เล่าได้เรียนสิขาบทอะไรก็แล้วแต่ต้องทำ ฉะนั้นมันจึงต่างกันมากจากเป็นฆราวาส แปลว่าไม่มีเหลือแล้วความเป็นฆราวาส ไม่มีเหลือ ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ไม่นุ่ง ไม่ห่ม ไม่แสดงอาการอะไรอย่างฆราวาสกันอีกต่อไป บังคับตัวให้อยู่ในวินัยดีที่สุด นี่เป็นใจความสำคัญของการบวชโดยทางวินัย
และอีกอย่างหนึ่งก็ว่าเราจะมาฝึกการทำลายความเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด เมื่อก่อนทำอะไรๆก็ทำเพื่อตัว ได้ เป็นของตัว มีอะไรเป็นตัว มีอะไรเป็นของตัวมากๆนัก บัดนี้จะมาฝึกชีวิตชนิดที่ไม่มีอะไรเป็นของตัว ถือว่าในระหว่างจะบวชนี้ได้สละทุกอย่างจริงๆ แม้แต่บิดา มารดา ญาติทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย อะไรทั้งหลาย ต้องสละกันไปเสียที ถือว่าไม่มีๆ ถือว่าตัวเปล่า ถือว่าสละนั้น เท่านั้นจึงจะสมกับคำว่าปัพพัชชัง เว้นหมดๆ (นาทีที่14:15) แล้วก็ถือโอกาสฝึกฝนการทำทุกอย่างแหละไม่ใช่เพื่อตัว ฉะนั้นจึงเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยอย่างเดิม แต่ว่าเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นๆ ขอให้จำไว้ข้อนี้ เราจะฝึกการงาน การกระทำให้ทุกอย่างจะมีประโยชน์ โดยไม่ต้องมีใครให้อะไรตอบแทน ไม่ต้องมีใครขอบใจ ไม่ต้องมีใครให้อะไร เราทำให้ผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น หรือไม่ก็ให้ทำเพื่อมนุษย์ ทำเพื่อโลก เมื่อก่อนเราทำอะไรๆเป็นของตัวเองทั้งเพ ทุกสตางค์เลย บัดนี้มันจะต้องทำเพื่อผู้อื่น ขอให้ตั้งใจไว้ด้วย นี่จะเรียกว่าสละ แล้วก็สละสิ่งที่ควรสละทุกอย่าง ทุกประการ ถึงค่อยเรียน ค่อยรู้ อย่ามาเป็นภิกษุลูกขโมย สูบบุหรี่ เป็นต้น ยังมีพระขโมยสูบบุหรี่เรารู้ ขบถไม่ยาก ตั้งใจเด็ดขาดเลย เป็นคนซื่อตรง ตรงไปตรงมาด้วยการตัวเองบังคับตัวเอง ไม่ต้องมีใครบังคับ นี่เรียกว่าสละหมด ก็ต้องควรสละ สละญาติ สละทรัพย์ สละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตนอย่างฆราวาส นี่เรียกว่าบรรพชา แปลว่าไปหมด เว้นหมด สละหมด ฝึกกันถึงที่สุด ที่พูดถึงประโยชน์ของบรรพชา ซึ่งควรจะทราบเหมือนกัน จะได้ตั้งใจทำ เพราะมันได้ประโยชน์ ประโยชน์ของบรรพชา
บรรยายกันไม่ไหวโดยรายละเอียด บรรยายโดยคร่าว โดยเป็นงวด เป็นพวก ๓ งวด ๓ พวก ๓ ประเภท ประโยชน์ที่จะได้แก่ตัวเอง ประโยชน์ที่จะได้แก่ญาติทั้งหลาย มีบิดา มารดา เป็นต้น ประโยชน์ที่จะได้แก่เพื่อมนุษย์ทั้งโลก ฟังดูน่าๆๆปรารถนาอย่างยิ่ง คุ้มค่า ควรเสียสละทำให้ได้ ตัวเองได้ฝึกฝน เหมือนกับเกิดใหม่ มีจิตใจชนิดที่เกิดใหม่ สละไอ้สิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม ทุกอย่าง ทุกประการเสียให้หมด กลายเป็นคนใหม่ ถ้ามีความรู้ก็จะสามารถดำรงจิตใจไม่ให้มีความทุกข์ ถ้าได้บวชจริง รู้จักทำจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป ค่อยเรียน ค่อยศึกษากัน
ประโยชน์ที่จะได้แก่บิดา มารดา เป็นต้นนั้น คือว่าเราเมื่อบวชจริงทำจริงนี่ก็ได้ทำให้บิดา มารดาได้รับอานิสงส์ อย่างน้อยที่สุดก็ว่ามีความเชื่อ มีความเลื่อมใส มีความจริงใจ ในพระศาสนามากขึ้น แต่โบราณเขาเรียกว่าเป็นญาติในพระศาสนามากขึ้นๆๆ เพราะความพอใจ เลื่อมใส มั่นคง เสริมขึ้นๆในศาสนาเนื่องในการที่ลูกได้บวช บิดา มารดาก็ได้รับสิ่งที่มีค่าสูงสุด เป็นการตอบแทนคุณบิดามารดาด้วยสิ่งสูงสุดยิ่งกว่าด้วยเงิน ด้วยทอง ด้วยเรี่ยว ด้วยแรง ให้มารดา บิดา เป็นสัมมาทิฐิยิ่งๆขึ้นไปนี่ ข้อที่ ๓ ว่าจะได้แก่เพื่อมนุษย์ทั้งโลก เราบวชจริง เรียนจริง ก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ยังมีอยู่ในโลก คนทั้งโลกก็ได้รับประโยชน์สุขเพราะมีศาสนาคุ้มครอง เธอจึงบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เป็นการทำให้ศาสนามีชีวิตชีวาอยู่ในโลกดีจริง ไปถึงคนทั่วไปทั้งโลกเอง ประโยชน์นี้มหาศาล คือช่วยกันทั้งโลกให้มีสันติภาพ นี่คือประโยชน์ ๓ ประการที่ควรจะจำไว้ในใจๆ มันจะมีกำลังใจที่จะอดกลั้น จะอดทน จะปฏิบัติให้ดี เพื่อหวังจะได้ประโยชน์ทั้ง ๓ นี้ ความหวังนี้จะช่วยทำให้เรามีความเข้มแข็งในการปฏิบัติ
ทีนี้มาพูดถึงรากฐานที่ตั้งมั่นคงของบรรพชาก็คือ ความที่มีพระพุทธ พระสงฆ์ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้ง เมื่อตะกี้เธอก็ได้กล่าวคำว่าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ขอบรรพชาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การบรรพชามันมีการอุทิศเจาะจงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้ง ที่อาศัย ไม่ใช่โดยวัตถุ ไม่ใช่โดยบุคคล พระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์ปรากฏ พระธรรมก็ไม่ได้มีพระองค์ปรากฏ เพียงแต่พระพุทธรูป เพียงแต่พระไตรปิฎก หรือว่าตัวบุคคลนี้ยังไม่พอ ต้องเอาหัวใจของพระพุทธเจ้า หัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ภาวะแห่งจิตที่ สะอาด สว่าง สงบ เป็นหัวใจพระพุทธเจ้า พระธรรมก็มีความสะอาด สว่าง สงบ เป็นหัวใจ เรียนก็เพื่อสิ่งนี้ ปฏิบัติก็เพื่อสิ่งนี้ ได้รับผลก็เป็นสิ่งนี้ พระสงฆ์ทั้งหลายก็มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ถึงจะเป็นพระสงฆ์ หรือเหมือนกัน และง่ายดี ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ
ถ้าเราได้ทำให้จิตใจของเรามีความสะอาด สว่าง สงบ มันก็เท่ากับมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจของเรา บรรพชาก็มีตั้งอาศัยอยู่บนธรรมะนั้น มีจิตใจความสะอาด สว่าง สงบ ก็ปฏิบัติได้ดี ได้รับผลดี จงตั้งใจมุ่งหมายอันนี้ รักษาความสะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตใจไว้เป็นพื้นฐาน และก็ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติไป นี่เรียกว่าจริงถึงที่สุด ถึงภายใน ขอให้เธอทุกคนมีความแน่ใจ ไม่ๆๆลังเล หรือไม่สงสัยอะไรอีกแล้วในการจะปฏิบัติตามระเบียบ ปฏิบัติสุดความสามารถ ให้มีความสะอาด สว่าง สงบ ในจิตใจแห่งตน ก็จะได้เป็นรากฐานของบรรพชา การบรรพชาของเธอก็จะงอกงามเจริญยิ่งๆขึ้นไป เหมือนกับต้นไม้ได้ดินดี อาหารดี อากาศดี ต้นไม้เจริญงอกงาม เธอได้อาศัยความสะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงบรรพชา บรรพชาก็จะเจริญงอกงามฉันใดก็ฉันนั้น
ฉะนั้นจงอย่าเห็นแก่สนุกสนาน เอร็ดอร่อย หรือหิวกระหายอะไรต่างๆ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติรักษาจิตใจ มีภาวะ สะอาด สว่าง สงบ บรรพชาก็จะเจริญเองๆๆไปตามลำดับถึงที่สุดได้ นี่เข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่าบรรพชาคือไปหมด เว้นหมดจากความเป็นฆราวาส หรือจากๆทุกข์ จากสังขารแห่งความทุกข์ การปรุงแต่งแห่งความทุกข์ เราบวชเพื่อจะได้ฝึกให้ได้อันนี้ จงจำไว้ตลอดชีวิต แล้วก็เอาไปใช้ได้ เป็นคนที่ดีได้ถึงแม้จะเป็นฆราวาส แต่ในระหว่างบวชต้องทำดีที่สุด และก็ให้มันได้ประโยชน์ ๓ ประการ แล้วก็อาศัยการประคับประคองใจให้ถูกต้อง ให้สะอาด สว่าง สงบ อยู่เสมอ ญาติโยมทั้งหลายก็ช่วยกันสนับสนุนให้ได้สำเร็จประสงค์ อย่ารบกวน อย่าทำนั่นทำนี่ให้มันมากเรื่อง เป็นการรบกวน กลัวจะอด จะอยาก จะนั่นยุ่งยาก ทำยุ่งทำยากกัน ลำบากเรื่องต่างๆนานา เคยเห็นต้องมนต์ไปฉันน้ำร้อน น้ำตาล กลับบ้านกลางค่ำกลางคืน ได้เห็นก็ๆน่าสงสาร น่าสงสารทั้ง ๒ ฝ่าย
เมื่อเธอได้รู้การบวช ความมุ่งหมายของการบวช อานิสงส์การบวช ที่ตั้ง ที่อาศัย มั่นคงการบวชพอสมควรแล้ว เราก็จะได้เริ่มการบวชต่อไป คือการทำในใจให้เหมาะสมโดยเฉพาะในเวลานี้ คือการเรียนนุ่งห่มผ้ากาสายะ การที่เปลี่ยนจากเครื่องนุ่งห่มอย่างฆราวาสมาเป็นเครื่องนุ่งห่มอย่างบรรพชิต คือผ้ากาสายะเหล่านี้ จึงถือกันว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ มันไม่ใช่เล็กน้อยนะ จะต้องเตรียมความพร้อม ให้มีกาย วาจา ใจ ให้เหมาะสมก่อนจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ นั่นก็คือละในไอ้ความโง่เขลา งมงาย ความไม่เหมาะสมต่างๆนานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งหมายเอาความหลงใหลในความสวยงาม คือเรื่องกามารมณ์ เรื่องกามธาตุ อย่าได้มีอยู่ในจิตใจในเวลานี้เลย
จงพิจารณาเห็นความโง่ ความหลงของเรา ที่เคยลุ่มหลงในความสวย ความงาม เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์นั้นแหละ จะไม่มีเหลืออยู่ในใจอีกต่อไป ทุกอย่างๆที่เราเคยหลง เลิกกันที พอกันที มันมีมากเรื่องที่ต้องละความยึดมั่นถือมั่น หลงใหล แต่เอากันมา ๕ เรื่อง เรียกว่าตจปัญจกกรรมฐาน ฟังให้ดีๆ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เราเคยหลงใหลว่าผมงาม ตกแต่งผมให้งามเพื่อประกวดอวดกันบ้าง เพื่อคอยดูกันบ้าง นี่เป็นความโง่ให้เห็นว่าตามธรรมชาติ ธรรมดา เป็นของปฏิกูล เส้นผมนี่รูปร่างก็หน้าเกลียด สีสัน วรรณะก็น่าเกลียด ที่เกิด ที่งอกบนผิวหนังนี่ก็น่าเกลียด หน้าที่การงานอยู่บนศีรษะสำหรับรับฝุ่นละอองนี่ก็น่าเกลียด ล้วนแต่น่าเกลียด จะหาความงามอย่างไรนอกจากมันโง่เท่านั้นเอง เอาอะไรมาฉาบ ทา ปกปิด หลอกลวงกันให้เห็นเป็นงามๆ นี่ก็หลงความงาม จิตใจเช่นนี้ยังต่ำนัก ต้องเอาออกถึงจะเหมาะแก่การนุ่งห่มผ้ากาสายะ เธอจงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
คนก็เหมือนกันผม มีความไม่งามอย่างเดียวกัน รูปร่างก็ไม่งาม สีสัน วรรณะก็ไม่งาม ที่เกิด ที่งอกก็ไม่งาม ก็อย่างผิวหนังก็หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำเหลืองนี่ หน้าที่การงานก็เหมือนกับผม ฝุ่นละออง ไม่เห็นว่างาม ไม่เห็นเป็นที่พรางตาว่างาม งามไปทั้งเนื้อ ทั้งตัว แต่มีขนปกคุม เล็บเป็นของไม่งามตามธรรมชาติ รูปร่างก็ไม่งาม สีสัน วรรณะก็ไม่งาม ที่เกิด ที่งอกก็ไม่งาม หน้าที่การงานสำหรับควัก สำหรับเกา สำหรับนี่ก็ไม่งาม ให้เลิกเห็นว่าจะต้องตกแต่งเล็บให้งาม ไม่ใช่คอยดูเล็บงามของผู้อื่น พอกันที ฟันในปากถ้าไม่มีผิว หนังปากหุ้มไว้คงจะวิ่งหนี ฟันโดยรูปร่างก็ไม่งาม โดยสีสันวรรณะก็ไม่งาม ที่เกิด ที่งอกในเหงือกก็ไม่งาม หน้าที่การงานเคี้ยวบดนี้ก็ไม่งาม เลิกหลงใหลว่างาม ตกแต่งให้งาม อย่าถูฟัน อย่าถูฟันทั้งเช้าทั้งเย็นเลย รักษาความสะอาดพอสมควรก็แล้วกัน
ข้อสุดท้ายคือผิวหนังหุ้มไปทั้งตัว เป็นที่ตั้งแห่งประดับประดา ตกแต่งให้ละเอียดลออ ละมุนละไม สวยงาม นั่นมันโง่ไป ผิวหนังรูปร่างของมันก็ไม่งาม สีสัน วรรณะโดยแท้จริงก็ไม่งาม ที่เกิด ที่งอกคลุมๆทั่วไปทั้งตัวนี่ก็ไม่งาม เป็นที่รับฝุ่นละออง เป็นที่ถ่ายเข้าถ่ายออกแห่งความร้อน เหงื่อไคล มันไม่งาม นอกจากไม่งามแล้วยังมีอาการคือร้ายกาจอีกอย่างหนึ่งต่างออกไป ก็คือว่าเป็นที่รับสัมผัส จึงเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสยิ่งกว่าผม ขน เล็บ ฟัน ข้อนี้ยังจะรู้กันดีว่าการสัมผัสทางผิวหนังร้ายแรงเท่าไหร่ ทำคนให้หลงใหล ให้วินาศ ให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปก็มากมาย เพราะความหลงใหลสัมผัสทางผิวหนัง ซึ่งกำลังหลงใหลกันทั้งโลก เวลาแต่แล้วมา แต่หนหลัง เป็นมาเป็นอย่างไรก็เลิกกันที ไม่ต้องคิดก็ได้ แต่ว่ายอมเลิกกันที โง่ไปแล้วเลิกกันที ต่อไปนี้จะไม่มีความหลงชนิดนั้น เวลานี้ก็ไม่มีความหลงชนิดนั้น ตั้งความเข้าใจที่ถูกต้องอันนี้ไว้ในใจตลอดกาล ทำการบรรพชา นุ่งห่มผ้ากาสายะ ให้สำเร็จประโยชน์ แล้วก็จะได้ปฏิบัติสิกขา เล่าเรียนส่วนธรรมะอีกต่อไปตามลำดับ เธอทำให้ใจ ทำถึงความจริงข้อนี้ไว้ให้ดีในขณะนี้ จิตก็ยังจะเหมาะสม ทางกายก็จะเหมาะสม ขึ้นมาก็จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ เราก็จะได้ทำการบรรพชากันต่อไป เข้ามาทีละคน
จงตั้งใจรับตจปัญจกกรรมฐานโดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ นี่เรียกว่าตามลำดับ ทวนลำดับ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ถ้าจำได้ลองว่าดู
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : เพื่อความแน่นอนว่าอีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : เพื่อให้แน่นอนว่าจำได้อย่างนี้ เพื่อแน่นอนว่ามีสติสัมปชัญญะ มีใจคอปกติๆ ขอให้ถือเอาความหมายแห่งตจปัญจกกรรมฐาน ทั้ง ๕ นี้ ดังที่กล่าวมาแล้วนี่กระทำไว้ในใจ เพื่อบรรพชา และประพฤติบรรพชาสืบต่อไป จงเป็นผู้เจริญงอกงามในพระศาสนาสมตามความมุ่งหายของบรรพชาทุกๆประการ
จงตั้งใจรับตจปัญจกกรรมฐาน โดยว่า โดยภาษาบาลี โดยว่าตามตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ นี่เรียกว่าตามลำดับ ทวนลำดับคือ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา จำได้ลองว่าดู
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : เพื่อความแน่นอนอีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พิสูจน์ว่าจำได้ และมีสติสัมปชัญญะปกติที่ไม่ฟุ้งซ่าน เหมาะสมแก่การบรรพชา ยินดีทำการบรรพชา ให้ถือเอาความหมายของตจะปัญจกกรรมฐาน ๕ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วโดยภาษาไทยนี้ สำหรับเป็นหลักปฏิบัติตามหลักบาลี ๕ ข้อนี้สืบต่อไป มีความเหมาะสมที่จะบรรพชา จึงยินดีทำการบรรพชาให้แก่เธอ ให้เธอมีความเจริญงอกงามในศาสนานี้สมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกๆประการเถิด นี่อันไหน นี่ของอันไหน นี่ๆของอันนี้หรือ ไม่ๆๆๆ กาสาไม่มี
ตั้งใจให้รับตจปัญจกกรรมฐาน โดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ นี่อันนี้ตามลำดับ ทวนลำดับคือ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา จำได้ลองว่าเลย
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกเที่ยว
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : เพื่อความแน่นอนอีกเที่ยว
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
แสดงว่าสติสัมปชัญญะดี และก็จำได้ดี ไม่งกๆเงิ่นๆ มีจิตใจเหมาะสมแล้วก็ทำการบรรพชา และมีความยินดีทำการบรรพชาให้เธอ ให้เธอมีความเจริญงอกงามในศาสนาสมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกๆประการ
ตั้งใจรับตจปัญจกกรรมฐาน โดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ นี่ทวน นี่ตามลำดับๆ ทวนลำดับคือ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา จำได้ลองว่าดู
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
ทดสอบดูสติสัมปชัญญะว่ามีปกติพอสมควร และก็จำได้ดี คำอธิบายของคำเหล่านี้ได้พูดให้ฟังแล้ว ขอให้เธอถือเอาเป็นการปฏิบัติ มีความเหมาะสมสำหรับการบรรพชาแล้ว เราทำบรรพชาให้เธอด้วยความยินดี ขอให้มีความเจริญในพระพุทธศาสนาสมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกๆ ประการ
เธอจงรับตจปัญจกกรรมฐาน โดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ นี่ตามลำดับ ทวนลำดับคือ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ลองว่าเลย
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
ดี คือจำได้ดี คือใจคอปกติดี ยังจะเข้าใจความหมายก็ได้อธิบายมาแล้วได้ดีด้ว เข้ามา มีความยินดีทำการบรรพชาให้เธอ ให้เธอมีความเจริญงอกงามในพระศาสนาสมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกๆประการ
จงตั้งใจรับตจปัญจกกรรมฐาน โดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ทวนลำดับคือ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ลองว่าดู
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : อีกที
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
พุทธทาส : เพื่อความแน่นอนอีกเที่ยว
พระบวชใหม่ : เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
แสดงว่าจำได้ดี มีสติสัมปชัญญะดี ไม่งกๆเงิ่นๆ ไม่ฟุ้งซ่าน เหมาะแก่การบรรพชา เราเห็นความเหมาะสม เห็นความสมควรนี้ แล้วก็ยินดีทำการบรรพชาให้แก่เธอ ขอให้เธอมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาสมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกๆประการเทอญ ทีละคน ไม่ต้องเป็นหมู่
ตั้งไว้ตรงหน้ามันจะไม่ มันไม่ๆโจะ(นาทีที่ 44:15) เอาโจะๆ (นาทีที่ 44:16)ดีกว่า ตั้งๆๆชิดๆกันเป็นแถวตรงโน้น มันไม่(นาทีที่ 44:23) ตั้งตรงหน้า ตั้งไว้ตรงหน้า เอาตั้งไว้ตรงหน้า มีใครให้มา ไม่ใช่ ถ้าว่าอยู่ข้างล่าง บอกให้ไปสิ บอกให้ไป เอา(นาทีที่ 44:34-46:15) ให้ว่าอะหัง ภันเต ว่าพร้อมกัน อุปัชฌาย์ว่าที่ละคน ทีนี้ว่าทีละคน
การถือนิสัยเป็นอันว่ากระทำแล้ว บัดนี้เธอแต่ละคนมีอุปัชฌายะแล้ว มีการถืออุปัชฌายะแล้ว พระสงฆ์ยอมให้อุปสมบทแก่อุปสัมปทาเปกข์ที่ไม่มีอุปัชฌายะ บัดนี้เธอมีอุปัชฌายะแล้ว สมควรแก่การเข้าอุปสมบท ส่วนข้อปฏิบัติอันจะพึ่งปฏิบัติระหว่างอุปัชฌายะกับสัทธิวิหาริกนั้น ให้ศึกษาต่อไป โดยใจความก็คือให้เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ช่วยเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ขอให้ดูแลดี ขอให้สนองรับการปฏิบัติให้ดีๆ เชื่อฟังให้ดีๆ ตลอดถึงความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย ทีนี้ก็การสวดกรรมวาจาต้องมีชื่อโดยภาษาบาลี จะต้องมีชื่อกันโดยภาษาบาลี สามเณรมณเฑียร มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า มัณฑิโร สามเณรโพธินันธ์ โพธิพันธ์ มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า โพธิพันโธ สามเณรเทพพงษ์ มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า เทววังโส สามเณรวิชิต มีชื่อในภาษาบาลีว่า วิสิทโธ สามเณรกุลศักดิ์ มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า กุลศักโข สามเณรสาระ มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า ธรรมะสาโร ช่วยกันจำให้แม่นยำ จะได้รู้ไว้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อเรา และก็สวดกรรมวาจาออกชื่อนี้จะได้รู้ว่าชื่อเรา ส่วนอุปัชฌายะนั้นมีชื่อว่า อินทปัญโญ เมื่อเขาถามว่าอุปัชฌายะชื่ออะไร ก็ตอบให้ถูกว่าชื่ออินทปัญโญ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องจำ และจะต้องโต้ตอบ ที่นี้ก็จะดำเนินการอุปสม ทำการบรรพชาต่อไปทีละ ๓
ตั้งให้ดี ตั้งให้เป็น ๓ ให้ดี ให้มาอยู่ข้าง ให้ดี ให้มันแน่น ให้มาอยู่ข้างๆแหละดี เดี๋ยวอยู่ข้างหลัง ให้บาตรอยู่ข้างๆ(นาทีที่ 53:10)
กระผมขอเผดียงพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้ใช้สิทธิของสงฆ์ในการที่จะรับอุปสัมปทาเปกข์เหล่านี้หรือไม่
กระผมขอเผดียงพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้ใช้สิทธิของสงฆ์ในการที่จะยอมรับอุปสัมปทาเปกข์เหล่านี้หรือไม่
อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในเดรัชฉานพึงมีภิกษุใดเสพเมถุนธรรมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ภิกษุก็เหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นพึงทำตลอดชีวิต
อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงถือเอาของเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย โดยที่สุดหมายถึงเส้นหญ้า ภิกษุใดถือเอาของเขาไม่ให้เป็นส่วนขโมย บาทหนึ่งก็ดี ควรแก่บาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เปรียบเหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้วไม่อาจเป็นของเขียวสด ภิกษุก็เหมือนกัน ถือเอาของเขาไม่ได้ให้เป็นส่วนขโมย บาทหนึ่งก็ดี ควรแก่บาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต
อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต โดยที่สุดหมายถึงมดดำ มดแดง ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตโดยที่สุดหมายถึงยังครรภ์ให้ตก ไม่เป็นสมณะไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เปรียบเหมือนศิลาหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเป็นของกับต่อกันไม่ได้ ภิกษุก็เหมือนกัน แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ไม่เป็นสมณะไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต
อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่ควรพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม โดยที่สุดว่าเรายินดีในเรือนร้าง ภิกษุใดมีความอยากอันลามก อันความอยากอันลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มี อยู่ อันไม่เป็นจริง คือฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี สมาธิก็ดี สมาบัติก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ไม่เป็นสมณะไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เปรียบเหมือนต้นตาลมียอดด้วนแล้วไม่อาจจะงอกอีก ภิกษุก็เหมือนกัน มีความอยากอันลามก อันความอยากอันลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเองพระองค์นั้น ตรัสศีลไว้โดยชอบแล้ว ตรัสสมาธิโดยชอบแล้ว ตรัสปัญญาโดยชอบแล้ว โดยหลายขบวน เพียงเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานนั้น อันเป็นทางย่ำยีความเมาเสีย เป็นทางนำความอยากเสีย เป็นทางถอนอาลัยขึ้นเสีย เป็นทางเข้าไปตัดวนเสีย ในศีล สมาธิ ปัญญานั้น สมาธิอันศีลอบรมแล้วมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้วย่อมพ้นจากอาสวะโดยชอบคือ จากอาสวะคือความอยากได้ จากอาสวะคือความอยากเป็น จากอาสวะคือความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นแลเธอพึงศึกษาสิกขา คือสิ่งยิ่งอย่างเคารพ พึงศึกษาสิกขาคือสิ่งยิ่งอย่างเคารพ พึงศึกษาสิกขาคือปัญญายิ่งอย่างเคารพ ในพระธรรมวินัยอันพระตถาคตประกาศฉะนี้ พึงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในนั้นเทอญ
ขออนุโมทนาในการกระทำของผู้บรรพชา อุปสมบท และการกระทำของญาติโยมทั้งหลาย ขั้นแรกนี้ขอให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์ไม่จำกัด ตั้งแต่ญาติใกล้ชิดกับเรา ตั้งแต่ญาติใกล้ชิดห่างออกไปๆ จนมิใช่ญาติ จนเป็นข้าศึกศัตรู กระทั่งทั่วทั้งสากลจักรวาล อย่าเป็นผู้มีเวร มีภัย จงได้รับส่วนกุศลในวันนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เตรียมกรวดน้ำ
ต่อไปนี้ให้พร ผู้บวชเอง
ต่อไปนี้ให้พร ทายก ทายิกา
ไปนั่งกัน เอาเร็วๆๆๆ นั่งเป็นแถวๆ นี่ทางนี้ๆๆ ไม่ได้ตรงนั้นต้นไม้ ไปทางซ้ายมืออีกๆๆ