แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ 19 กรกฎาคม 2518 อยากจะทราบว่ามีธุระอะไร ต้องการอะไร อยากจะรู้อะไร สงสัยอะไร มีไหม ถ้ามีก็จะได้พูดให้ฟัง ถ้าใครมีเรื่องสงสัยหรืออยากจะทราบหรือว่า อะไรก็บอกได้พูดมาได้ แล้วคนอื่นล่ะ คนอื่นอีกล่ะ ทีนี้คนอื่นล่ะ จะได้ตอบคราวเดียวกัน อ้าว, ทำไมไม่มีพูด คนอื่นล่ะสงสัยยังไง อ้าว, คนอื่นอีกล่ะ มีคำถามอะไร อยากจะทราบอะไรสงสัยอะไร แล้วมาทำไม เสียเวลาเปล่าๆ จะได้อะไร ได้ที่มันจะคุ้มกัน คุ้มค่า อย่าเสียเวลามากนักสิ อยากจะทราบอะไรจะได้อธิบายให้มันเสร็จๆ ไป คนอื่นล่ะ ใครอีกล่ะ อยากทราบเรื่อง ศรัทธา๕ พละ๕ อินทรีย์๕ โพธิปักขิยธรรม นี่มันยืดยาวๆ มันเลยเวลาอย่างนี้ อันเดียวหรือคนละอัน ไม่ใช่อันเดียวกันแล้ว พละกับอินทรีย์ ไม่ใช่อันเดียวกัน แล้วไม่ใช่ชื่อเหมือนกันเรื่องมันยืดยาว จะต้องพูดไปกันเป็นชั่วโมงๆ ที่นี่ไม่ได้มีเรื่องจุฬามุณี และคุณไปเอามาจากไหนพูดล่ะ จุฬามุณี ไปเอามาจากไหนพูดล่ะ คำนี้ เขาสวดมนต์กันว่าอย่างไร มันต้องมีเรื่องราวก่อนสิ มันเป็นเรื่องไปอ่านเอาได้ “เรื่องพุทธประวัติ” ชนิดที่เป็นปาฏิหาริย์ ได้ยินว่าเพชรหรือแก้วมณีที่ไว้สำหรับเสียบผมของพระสิทธัตถะเวลาวันบวชนั้นเทวดาเขาไปไว้ในเมืองเทวดา ไปเก็บอยู่เมืองเทวดา คนนั้นมันที่จริงคนนั้นมันอยากไปสวรรค์ และมันก็แก้ตัว หลอกว่าฉันจะไปไหว้พระจุฬามุณี ก็เอาสิ ใครอยากจะไหว้พระจุฬามุณีก็ไปที่สวรรค์ ชั้นดาวดึงค์ปากมันว่าจะไปไหว้พระจุฬามณี จริงมันอยากจะไปสนุกในสวรรค์ ทีนี้ก็มีโบสถ์วิหาร ก็มีโบสถ์อยู่บนโน้น บนยอดภูเขา แต่ว่าไม่มีตัวโบสถ์ ยังไม่ได้สร้าง ยังไม่จำเป็น ยังไม่รีบด่วน ทีนี้เรื่องสวนโมกข์นี้สำคัญ กลัวว่าจะมาไม่ถึงสวนโมกข์ คือว่ามันมีจิตใจชนิดที่ไม่ตรงกับความหมายของคำว่า “โมกข์” ก็คือไม่ถึงสวนโมกข์ ต้องมีจิตใจเกลี้ยงจากสิ่งรบกวนใจ ก็เลยมาถึงสวนโมกข์ อยากจะแนะว่า เอาสวนโมกข์ไว้เป็นที่พักผ่อนทางวิญญาณก็แล้วกัน ถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ มันจะมีพักผ่อนบ้างก็ทางร่างกายทางจิตใจตื้นๆ ผิวๆ เผินๆ ไม่ถึงทางวิญญาณอันลึกซึ้ง จะเห็นได้ง่ายๆ ว่า ถ้าคุณมานั่งอยู่ตรงนี้ จิตใจมันโล่งไป ว่างไปจากสิ่งที่รบกวนทั้งหลายอย่าง ที่กรุงเทพฯ ที่กรุงเทพฯมันมีเต็มไปด้วยสิ่งอย่างที่มีในกรุงเทพฯ เพราะมันก็แวดล้อมภายในใจจิตใจของเราเป็นไปรูปนั้น พอมานั่งตรงนี้ไม่มีอะไรอย่างที่กรุงเทพฯ มันก็เลยแวดล้อมจิตใจไปในทางอื่น มานั่งอยู่ที่นี่จะมีความคิดเหมือนกับที่นั่งอยู่กรุงเทพฯนั้นไม่ได้ โดยแน่นอน ทุกคนจะรู้เพราะว่าต้นไม้ ก้อนหินพื้นดินต่างๆ กระทั่งบรรยากาศทั้งหลายมันไม่เหมือนกัน นั้นจิตใจของเรามันจึงแปลกไป เปลี่ยนไป ทีนี้สังเกตเอาเองว่า มันเปลี่ยนมารูปนี้ มันว่างหรือมันวุ่น อย่างแบบกรุงเทพฯ วุ่น ที่นี่ต้องว่าง ถ้าอย่างที่นี่วุ่น ที่กรุงเทพฯ ต้องว่าง แล้วคุณจะรู้สึกเอาเองว่า ที่ไหนมันวุ่น ที่ไหนมันว่าง ทีนี้พูดกันตามธรรมชาติ ธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติล้วนๆ อย่างนี้ มันก็แวดล้อมจิตใจของเราให้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันว่าง หรือมันเป็นการพักผ่อนในทางวิญญาณที่หาไม่ได้ที่กรุงเทพฯ ที่กรุงเทพฯ มีการพักผ่อนทางกายบ้าง ทางจิตกันถึงเรื่องแฝดอยู่กับกายบ้าง มันก็ได้ ๒ อย่างแล้ว แต่อย่างที่๓ นั้นมันคงไม่ได้ เพราะมันยาก มันต้องเกี่ยวกับทำจิตใจมาก ถ้ามาที่นี่มันง่ายหน่อย ไม่ต้องทำอะไร ธรรมชาติมันก็ช่วย ถ้าเราจะไปที่อื่น ที่ภูเขา ที่ทะเล ที่ไหนก็ได้เหมือนกัน มันก็ช่วยให้ว่างแบบธรรมชาติได้ แต่ที่นี่เรามีความสะดวกให้หลายอย่างที่จะให้จิตใจว่างตามธรรมชาติ ก็สังเกตดูเอาเอง ว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ จิตใจว่างแบบนี้ ไปที่ทะเลจิตใจว่างอย่างนั้น ไปที่ภูเขาจิตใจอย่างโน้น หลายๆ แห่ง หลายๆ อย่าง แล้วบางทีมันก็สับสนปนเปกันยุ่งไปหมด สังเกตเอาเองก็แล้วกันว่า จะไปที่ไหนมันมีจิตใจว่างจริง ลึกซึ้งกว่า ก็จะเข้าใจว่าสถานที่นั้นมันเป็นที่ ที่มีความหมายของคำว่า “โมกขะ” ดั่งตรงนี้เราก็มุ่งหมายจะจัดอย่างนั้น ทุกอย่างทุกประการที่เราอยากให้มันมีผลลึกลงไปในทางว่าง ถ้าใครชอบความว่าง มันก็คือ ชอบพระนิพพาน คือว่างจากที่กิเลสที่รบกวน ถ้าใครชอบความวุ่นวายก็ชอบวัฏสงสาร แล้วแต่จะเลือกไม่มีใครว่า วัฏสงสาร เป็นมหรสพของกิเลส พระนิพพานเป็นมหรสพของพระนิพพาน สนุกสนานไปคนละแบบ มหรสพทางวิญญาณ นี่เป็นรสชาติของพระนิพพาน คือ สงบ เย็น สะอาด สว่าง ว่าง ทีนี้มหรสพของกิเลส ที่เขามีกันย่านตลาด ที่ไหนๆ นั้น มันวุ่น ปั่นป่วน วุ่น หลอกให้หลง หลอกให้โง่ หลอกให้จิตใจนี่มืดมน เรียกว่ามหรสพทางเนื้อหนัง ซึ่งเข้าใจว่า ผ่านกันมาแล้ว นั้นไม่ต้องพูด ทีนี้ก็มาเหลือมหรสพทางวิญญาณ ทำให้จิตใจมันว่างได้ รู้สึกสบาย รู้สึกพอใจ รู้สึกบอกไม่ถูก ไอ้รสอันนี้ต้องรู้สึกเอาเอง ถ้ามาสวนโมกข์แล้วก็ได้รู้สึกอันนี้ก็คือถึงสวนโมกข์ ไม่อย่างนั้นยังไม่ถึงสวนโมกข์ นอกนั้นก็เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเป็นเรื่องการศึกษาเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องดูนั่นดูนี่ แต่ว่าก็ล้วนแต่มุ่งหมายจะเป็นไปในทางว่าง เป็นอุปกรณ์ส่งเสริมให้เข้าใจความว่าง ช่วงเวลา ๑ วัน ๑ คืน นี้พยายามที่จะห้รู้จักสิ่งนี้แล้ว ก็จะไม่เสียทีที่ได้มาถึงสวนโมกข์ ไม่เสียเวลาเปล่า ไม่เสียเงินเปล่า หรือไม่เหนื่อยเปล่า นั้นอย่าไปคิดให้มันฟุ้งซ่าน พยายามสังเกตแต่ว่ามาถึงที่นี่แล้ว จิตใจมันพักผ่อนอย่างไร ไม่ใช่ต้องอยู่นิ่งๆ เดินไปมา ไปที่ไหนก็ได้ แต่ว่าจิตใจมันเปลี่ยน มันไม่มีอะไรรบกวนอย่างที่ ก็อยู่ในเมืองที่มันมีเรื่อโลก มันมีธรรมชาติฝ่ายวุ่น ที่นี้มันมีธรรมชาติฝ่ายว่าง คุณก็เปรียบเทียบกันดูดีๆ เมื่อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็คลุกเคล้ากันอยู่แต่เรื่องธรรมชาติฝ่ายวุ่น เดี๋ยวนี้มาพบธรรมชาติฝ่ายว่าง ที่โน่นก็เรียก “มหรสพทางเนื้อหนัง” ที่นี่เรียก “มหรสพทางวิญญาณ” มันต่างกันอย่างนั้น ทางเนื้อหนังก็วุ่น เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ไปตามแบบของเนื้อหนัง ฝ่ายวิญญาณนั้นก็หยุด เย็น สงบ ไปตามแบบของวิญญาณ นั้นขอให้พยายามให้ได้ในสิ่งเหล่านี้ให้สมกับที่อุตส่าห์มาเป็นห่วงทางนี้จึงได้หาโอกาสพูดบ้างสัก ๒-๓ คำ วันนี้ไม่ค่อยแข็งแรงอ่อนเพลีย แต่ก็ยังอุตส่าห์มาพูดด้วยความเป็นห่วงว่า ที่อุตส่าห์ลงทุนมาจากกรุงเทพฯนั้นจะไม่ได้อะไรคุ้มกัน จะเป็นทัศนาจรธรรมดาสามัญ เหมือนกับจะไปที่ไหนก็ได้ และไปที่ใกล้ๆมันก็ไม่เปลือง นี้เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้ที่มาสวนโมกข์ ขอให้ได้ถึงสวนโมกข์สักแวบหนึ่งก็ยังดี งั้นถ้ามาที่นี่แล้ว จิตยังไม่ว่างเอาเสียเลย ยังวุ่นวายเหมือนที่กรุงเทพฯ แล้วก็เชิญไปโรงพยาบาลโรคจิต เพราะมันเหลือวิสัยที่ใครจะช่วยได้ นั้นถ้าว่ามันสงบบ้างก็จำเอาไปเป็นตัวอย่างชิมลองของพระนิพพาน และพระนิพพานมันมีรสชาติชิมลองอย่างนี้ แล้วเราไปทำให้มากขึ้นๆ ให้สะอาดมากขึ้น ให้สว่างมากขึ้น ให้สงบมากขึ้น ก็จะไม่เสียทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มาพบพระพุทธศาสนา คือเกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่งยังไม่พบกับตัวจริงของพุทธศาสนาคือความว่าง ตัวจริงของพระพุทธศาสนาคือ การรู้สึกที่ว่างจากสิ่งรบกวน ความทุกข์ ความร้อน หลายๆ ชนิดที่มารบกวน มันไม่ว่าง มันเป็นวัฏสงสาร วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ หยุด หยุดเสีย มันเป็นนิพพาน มันว่าง นั้นเรามีเวลาว่างกันเสียบ้าง หยุดกันเสียบ้าง สมัยปู่ย่าตายายเขาชอบว่างนี่มาก เขาใช้เวลาไปในทางที่ว่างนี่มาก วุ่นๆ มันน้อย คนเดี๋ยวนี้มันชอบวุ่นมาก วุ่น วุ่น วุ่นตั้งแต่วันหนึ่งจนไม่มีว่าง มันตรงกันข้าม พยายามรู้จักความว่างเสียบ้างจะได้ไม่แพ้ปู่ย่าตายายที่ว่า เกิดมาทั้งทีไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาคือความว่าง คือไม่ทุกข์ ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ที่นี่เราพูดว่าต้นไม้พูดได้ ก้อนหินพูดได้ คุณลองฟังดูเหลือบไปดูที่ก้อนหินดูจริงๆ แล้วมันเกิดความรู้สึกอย่างไรข้างในใจของเรา นี่เรียกว่าก้อนหินมันพูดได้ เหลือบไปดูที่ต้นไม้ดูมันจริงๆ ให้มันถึงธรรมชาติของต้นไม้ มันเกิดความคิด รู้สึกอะไรขึ้นมาในใจของเราอย่างไร นี่เราเรียกว่าต้นไม้มันพูดได้ เรียกว่ามันบอกเราด้วยความคิด ถ้ามันเป็นเรื่องต้นไม้บอก ก้อนหินบอก ธรรมชาติบอก แล้วมันเป็นไปในทางหยุดทางเย็น ทางสงบ ทางที่จะไม่ยกหูชูหาง ดูสิก้อนหินมันกระดุกกระดิกได้เมื่อไร ต้นไม้มันก็ไม่ได้วิ่งไปไหน นั้นเป็นเรื่องของความหยุด ความเย็น ความว่าง กระทั่งความยอม นี่เรามีกิเลสตัณหา มานะทิฐิ ไม่รู้จักยอม ผิดก็ไม่ยอมผิด ก็เลยยิ่งไกลออกไป ไกลออกไปจากความสงบ พูดเท่านี้ก็เห็นจะพอแล้ว เป็นเครื่องรับประกันว่าอย่าให้ท่านทั้งหลายที่มาอุตส่าห์มานั้น ไม่ได้อะไรเสียเลย พรุ่งนี้ก็ไปเที่ยวดูอุปกรณ์ ของมหรสพทางวิญญาณ รูปภาพบ้าง ธรรมชาติอื่นๆ บ้าง ก็แล้วกัน ถ้ามันเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาข้างในใจ ก็ขอให้ถือว่าไอ้สิ่งเหล่านั้นมันแสดงให้ดู มันพูดให้ได้ยิน ให้มันสอนให้เราได้รู้เรื่อง ถ้าเข้าถึงธรรมะขนาดนี้ได้ ก็เรียกว่าได้ชิมรสพระนิพพาน เป็นกุศลอันลึกซึ้งยิ่งกว่าการทำบุญให้ทานตามธรรมดา ซึ่งทำกันมาหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้งแล้วก็ยังอยู่อย่างเดิม ไม่ว่าง นี่มาทำกันเสียในรูปที่ทำให้ว่าง คงจะทันแก่เวลา ขออภัยที่พูดว่า “ไม่ทันตาย จะได้พบกับคำว่างบ้าง” ขอให้ทุกคนสำเร็จประโยชน์ในการมาที่นี่ นี่เขาถามปัญหาเรื่องฆราวาสจะปฏิบัติอย่างไร ให้ดีที่สุดสำหรับฆราวาส นี่ก็ยาวเหมือนกันไม่ใช่เวลาสำหรับจะพูดที่นี่ในโอกาสอย่างนี้ มันยาวมากไปหาซื้อหนังสือ “ฆราวาสธรรม” อ่านดู จะบอกสักหน่อยหนึ่งว่า ฆราวาสนั้นมันมีความหมายไปในทางที่ยุ่งยาก ลำบาก โกลาหล วุ่นวาย ไปตามแบบของฆราวาส ก็รีบเป็นฆราวาสที่ดีเสียก่อน แล้วมันจะค่อยๆ ผ่านไปจนพ้น เรื่องของฆราวาสเราไม่พูด ที่นี่เราไม่พูด มีฆราวาสหรือมีบรรพชิตที่มันต่างกัน จะพูดว่ามันมีแต่สัตว์ มนุษย์ที่มีความรู้สึกทางจิตใจ แล้วก็มีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อย่างเดียวกัน ก็พยายามรีบทำให้หมดทุกข์โดยการดับกิเลสเสีย อยู่เป็นเพศฆราวาสนั้นลำบากหน่อย แต่เมื่อยังสลัดไม่ได้ก็ทนไป มันลำบากหน่อย มันหนักหน่อย มันจะดับทุกข์ได้ยากหน่อย แต่ถ้าว่าทำให้ดี มันก็ดับทุกข์ได้ดีกว่า เพราะมันทำงานที่ยากกว่า เมื่อจะออกไปเป็นบรรพชิต มันก็คงจะเร็ว ขอให้ฆราวาสตั้งใจเป็นฆราวาสที่ดี ให้เต็มความหมายของความเป็นฆราวาส ก็พอจะออกไปเป็นบรรพชิตมันก็คงเร็วกว่ามากทีเดียว แต่ถ้าเป็นฆราวาสไม่จริง ฆราวาสที่ขี้เกียจ ทำความเป็นฆราวาสให้สมบูรณ์แล้วมันก็กลายงุ่มง่ามอยู่ที่นั่น เรื่องของฆราวาสมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ต้องขอโอกาสเปลี่ยนเรื่องจะพูดกับเจ้านาค จะทำขวัญนาค คุณอยากจะกลับ ก็กลับได้ ถ้าไม่อยากกลับ อยากฟังก็ได้ ก็จะมีการทำขัวญนาค เจ้านาคคนที่ ๑ รายงานตัวเองว่า ทำไมจึงอยากบวช ถึงมาบวช แล้วก็ไล่ไปตามลำดับจนสุดแถว ให้เจ้านาคทุกคนรายงานตัวเองก่อนทีละคนๆ ทำไมข้าพเจ้าจึงเกิดอยากจะบวชขึ้นมา หวังอะไร แล้วก็สัญญาว่าจะทำให้ดี่สุดว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดมากเกินไป พูดพอได้ความ กี่นาทีครับอาจารย์ ๑๐ นาที ๕ นาที อย่าให้เกิน ๑๐ นาที
“สวัสดีครับ ท่านผู้สนใจธรรมทุกท่าน กระผมก็น่าจะสงสัยเหมือนกันว่าบวชทำอะไร เพราะอายุ ๔๖ เข้าไปแล้ว อาจารย์ยังถามว่าบวชทำอะไร ผมก็ได้แต่เรียนให้ท่านทราบว่า ผมอยู่ทางฝั่งของมนุษย์นี่ ฝั่งเขาทำๆ กันอยู่ ผมไปหมดแล้ว สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร ไปหมด อยากอยู่ฝั่งของอาจารย์ แต่ยังไปไม่ค่อยถึงไหน ก็อยากจะลองไปดู แล้วที่ความเป็นมาทำไมผมถึงคิดอย่างนี้ ก็เมื่อสมัยผมสำเร็จใหม่ๆ คุณพ่อจะให้บวช ผมกลายเป็นไม่บวชเสียนี่ มาแต่งงานเสีย มาตอนนี้อายุ ๔๖ ก็น่าสงสัยทำไมจึงหันมาบวช อันนี้ล่ะครับ ผมใคร่จะเรียนมาให้ท่านทั้งหลายทราบทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเมื่อตอนอายุสำเร็จใหม่ๆ ไม่เคยรู้เรื่องเลยครับ ไม่เคยรู้เรื่องว่าความทุกข์มันเป็นอย่างไร ชีวิตเรานี้มันกำลังลำบากอย่างไรกันบ้าง ไม่เคยรู้เรื่อง จมอยู่ในกองทุกข์ ไม่รู้เรื่อง และทางพระทางเจ้าก็ไม่ได้สนใจ ก็ไม่รู้จะบวชทำอะไร แต่งงานมีครอบครัวเสียดีกว่า คุณพ่อก็ตามใจอีก เสร็จเลย แต่พอมาตอนนี้สิครับ ตอนอายุ ๔๖ สิครับ มันทำไมจึงได้มาบวช อันนี้ครับผมก็อยากจะเรียนท่านผู้ฟังทุกท่านว่า เพราะว่าผมไปมองเห็นขึ้นมาว่า ไอ้ชีวิตที่อยู่นั้นมันมีความทุกข์ เมื่อก่อนโน้นมองไม่ออกเลยครับว่าชีวิตที่เราเป็นอยู่ทุกวันนั้นมันมีความทุกข์ จมอยู่ในกองทุกข์ก็ไม่รู้ว่าทุกข์ เลขสำเร็จใหม่ๆ มันปนอยู่ไปในกับพวกสุรา นารี มันก็ปนอยู่ในนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเราทุกข์ นี่แหละเป็นปัญหาที่เราจึงไม่คิดอยากบวช แต่พอตอนหลังมันจึงรู้ แล้วทำไมล่ะครับ จึงได้รู้ขึ้นมาได้ จึงรู้ว่าเราเป็นทุกข์ แล้วจึงได้หันมาบวช ทั้งนั้นและทั้งนี้ ก็ปีที่สำคัญที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของผมก็คือ ปี ๒๕๑๔ นี้เองครับ ที่ผมต้องย้ายไปรับราชการที่กระบี่ ผมไปอยู่คนเดียว ไปอยู่คนเดียวนะครับ แต่ว่ามันมีสิ่งดีเด่นที่ทำให้ผมนี่รู้ว่าชีวิตเป็นทุกข์ขึ้นมาได้ เพราะว่าผมได้แสงสว่าง ได้บรมธรรมไป ถ้าพูดง่ายๆว่า ก็ผมมากราบลาท่านอาจารย์ ว่าผมจะไปอยู่ที่กระบี่ ผมไปคนเดียว ท่านอาจารย์บอกไม่ต้องลาหรอก ท่านอาจารย์จะไปอยู่เป็นเพื่อน ผมก็สะดุ้งโหยงเหมือนกันนะครับ ว่าท่านอาจารย์อยู่เป็นเพื่อนผม ที่ไหนได้ ท่านมอบตำราไว้ให้ บรมธรรมเล่มใหญ่ ก็ทำให้ผมยิ่งมองเห็นมากขึ้น ถึงว่าบรมธรรมความสุขทางธรรมมันมีแบบไหนบ้าง เลยจึงทำให้ผมได้ จากความผมอยู่คนเดียวที่กระบี่นะครับ จากความที่อยู่คนเดียวที่กระบี่นะครับ มันทำให้ได้มองเห็นรสของพระธรรม ว่าความอยู่คนเดียวนั้นมันสงบเยือกเย็นอย่างไร ประกอบกับบรมธรรมที่อาจารย์ให้ไปเป็นเพื่อนนั้น มันทำให้มองเห็นว่าชีวิตนี้ที่กูผ่านๆ มามันทุกข์ทั้งนั้น เดินเหยียบก้อนขี้มาตลอดเวลา มันอย่างนั้นครับ มันจึงทำให้ผมเลื่อมใสมาทางนี้ แล้วจนกระทั่งผมคิดว่า ถ้าเราจะเดินวกเสียใหม่ เดินทางเสียใหม่ให้ถูกต้องก็คงจะดีกว่านี้ แล้วก็พยายามเดินที่จะเดินทางตามเจริญรอยที่ทางธรรมนะครับ ที่เขาปฏิบัติกัน ก็รู้ว่าสบายใจขึ้นแยะ ของที่มันเคยเลวๆ ก็ตัดลงมาเสียบ้าง แล้วก็สบายขึ้น พอสบายขึ้น ผมนึกขึ้นมา เอ๊ะ, ถ้าอย่างนั้น พระก็คงจะสบายกว่าเราแยะสิ เพราะขนาดเราเป็นฆราวาสอย่างนี้ มันมีภาระแยะแล้ว เราตัดโน่นตัดนี่แล้ว สบายแยะเลย ผมคิดว่าโอกาสที่ทางราชการให้เราลาบวชได้ เราลองดู มาบวชเข้าดีกว่า มันจะได้ย่นระยะทางเดินให้มันเร็วเข้าหน่อย ถ้าไม่อย่างนั้นเราเป็นฆราวาส มันต้องเดินต้วมเตี้ยมๆ ตลอดเวลา ทั้งลูกบ้าง อะไรสร้าง อะไรต่างๆ มันเหมือนกับเรือลำใหญ่มันปล่อยช้า เลยนึกว่า โอกาสที่ทางราชการให้ลาได้นี้ นึกว่าอย่างน้อยก็พอจะไปได้เร็วขึ้นล่ะครับ ย่นระยะทางเข้าบ้าง เลยผมก็ตัดสินใจ ก็มาเรียนท่านอาจารย์ว่า จะขอบวชนี่ล่ะครับ ขอผมก็เอาสั้นๆ ย่อๆ อย่างนี้ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังครับ ขอผมจบแค่นี้ครับ” ส่งต่อไป อย่างน้อย ๕ นาที อย่างมาก ๑๐ นาที
“ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ได้กรุณาคอยอยู่จนจะฟังพวกกระผมรายงานตัวกัน กระผมก็เป็นคนที่มีตำแหน่งทางราชการเป็นตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้นเอง แล้วก็คงจะไม่มีอะไรได้เรียนให้ท่านทั้งหลายได้มากนัก การที่กระผมได้ตัดสินใจมาบวชในคราวนี้ มันก็เนื่องจากว่า กระผมก็ได้มีอายุมาก็หลายปี น้องๆ พี่หมอสักประมานสัก ๓-๔ ปีครับ แล้วก็ในชีวิตรับราชการ กระผมมาก็ประมาณสัก ๒๐ ปี ก็รู้สึกว่ามันลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ค่อยราบรื่นอะไรเหมือนที่ใจเราเคยนึกหวังเอาไว้ บางสิ่งคิดว่าน่าจะได้ มันก็ไม่เห็นจะได้อย่างที่คิดไว้ แต่บางสิ่งที่ไม่คิดมันก็กลับได้มาโดยไม่ทันรู้ตั ก็เคยมี แล้วพร้อมกันนั้น ก็เคยได้รับความยกย่องชมเชยบ้างจากผู้บังคับบัญชา แล้วก็บางโอกาสก็ถูกลงโทษบ้างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นโทษทางคดีอาญาอะไร คือเนื่องจากทางวินัย ทีนี้ก็มีครั้งหนึ่งที่ที่ทำให้กระผมนึกว่าอยากจะบวชก็คือ เมื่อปี ๒๕๑๗ นี้เองครับ ผมได้ไปทำงานอยู่ที่นครศรีธรรมราช บางวันซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ทางผู้บังคับบัญชา ก็จัดพาหนะให้ไปได้เที่ยวเตร่กันบ้าง แล้วก็ได้ไปเที่ยวเตร่กันมา ก็เห็นพวกเพื่อนฝูงไปกันในทางที่ซึ่งไม่ค่อยจะดีจะงามสักเท่าไรนัก ก็ไปกันแบบที่ว่าเป็นชายโสด หรือว่าไม่โสดอย่างไรถ้ามันออกพ้นบ้านไป มันก็ทำตัวเหมือนชายโสด กระผมก็เกิดนึกเบื่อๆ ขึ้นมา ก็เลยได้ชวนกันกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งว่าเขาไปเที่ยวกัน ที่น้ำตกบ้าง ไปเที่ยวกันตามอำภอต่างๆ ของจังหวัดนครศรีธรรมราชบ้าง กระผมก็เลยว่าเราไอ้อย่างนั้น เราก็เคยไปกันมาก็หลายแห่งแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก ก็คิดว่าอยากจะเปลี่ยนชีวิตดูบ้าง คือก็เลยชวนกันว่าไปเที่ยววัดเถอะเรา ซึ่งเขาไปเที่ยวกันที่อื่น แต่ว่าเราไปเที่ยววัดกัน ก็เลยเข้าไปในวัดพระธาตุที่นครศรีฯ แล้วหลังจากนั้นก็ได้เข้าไปชมกิจการในวัด ก็รู้สึกเลื่อมใสไปตามประสาคนที่ว่ามันอยากจะเข้าวัดบ้างแหละครับ แล้วหลังจากนั้นออกมา ก็เลยไปในร้านขายหนังสือที่ตลาด ก็ได้ซื้อหนังสือธรรมะซึ่งท่านพระเดชพระคุณอาจารย์นี้เป็นผู้ได้บรรยายเอาไว้ในนั้น คือ เรื่อง “คู่มือมนุษย์” ก็ได้เอามาอ่านกัน รู้สึกว่ามีคำที่ชักชวนจิตใจให้เข้ามาสนใจในทางเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนานี้ กระผมก็รู้สึกว่ามันเยือกเย็นดี เมื่อได้อ่านจบแล้ว แล้วก็ได้อ่านอีก อีกจบหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นกระผมก็ได้ติดตามหนังสือที่ท่านอาจารย์นี้ได้บรรยายไว้มาอีกหลายเล่ม ก็เลยได้ตัดสินใจหลังจากนั้นเองว่า กระผมจะต้องลอง คือว่าลองมาบวชดู คือเรียกว่าลอง ที่ว่าลองนี้ก็คือว่า ยังไม่เคยบวชเลยครับ แล้วก็เลยจะลอง แต่ว่าความจริงก็ตั้งใจจริงนั่นคือว่าจะบวชในพรรษานี้ เมื่อหลังจากนั้น เมื่อทำงานปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดนครศรีฯ เสร็จแล้ว ก็กลับมาบ้านก็ได้มาดำริ กับพวกญาติว่า กระผมจะขอบวชในพรรษานี้ ก็เลยได้มาหาท่านอาจารย์นี้ ขอให้ท่านได้บวชให้ ก็เท่านั้นครับ กระผมขอจบเพียงแค่นี้ครับ ขอขอบพระคุณ” อ้าว, ส่งต่อไป
“ผมก็ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างมากครับที่ว่า ผมได้มีโอกาสขึ้นมากล่าวหรือว่าได้บอก บอกกับพี่น้องที่นั่งอยู่ตรงนี้ครับ ทีนี้ว่าการกล่าวนี้ ผมเองก็ไม่สัดทันใน ในเรื่องทางที่จะกล่าวนี้ครับ ผมจะกล่าวสั้นๆ ว่า ที่ผมอยากจะมาบวชที่นี้ ผมก็ได้รับราชการมาก็ ๒๐ ปีเหมือนกัน ๒ คนกับเพื่อนที่นั่งนี้ ตั้งแต่ระหว่างรับราชการนี้ ก็เหมือนกับจะเป็นชีวิตราชการหรือว่า ชีวิตที่ว่าไม่ได้รับราชการ ผมมาพิจารณาดูแล้วก็ ก็เป็นการทำงานเหมือนกันครับ ทำงานอีกอย่างหนึ่ง แต่ทีนี้ชีวิตของราชการนี้ก็ไปทำอีกอย่างหนึ่ง ความหมายของงานนั้น มันก็เป็นคนละรูป แต่งานนั้นบางครั้งก็รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่เชิดชูหรือว่าสบายใจที่ได้ทำไปได้ตามอยากหรือสมอยาก บางครั้งถ้าสมอยากก็รู้สึกว่า ก็อยากจะทำอีก บางครั้งไม่สมอยากก็เกิดการเบื่อหน่ายหรือว่าไม่อยากทำนั่นแหละครับ แล้วต่อมาก็ผมก็มาคิดดูในชีวิต มาพิจารณาดูว่าได้ผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง ก็ส่วนมากก็เป็นไปทางต่ำครับ ทางต่ำจนเกิดการเบื่อหน่ายครับ มาคิดดูว่าชีวิตของคนเรานี้ คล้ายๆ กับว่า เมื่อมันไปสุดเหวี่ยงถึงที่สุดนะครับ ก็จะนึกถึงว่า ไอ้สิ่งที่ว่าเคยประพฤติปฏิบัติในทางที่ไม่เป็นทางที่ไม่เป็นมงคลหรือว่า มันก็จะเกิดการที่ว่าโต้กลับมาครับ โต้กลับมาให้เราเห็นว่าไอ้สิ่งที่นี้เจ็บปวดรวดร้าวนี้ เป็นการลงโทษตัวเองมาจนถึงกระทั่งที่ว่าเมื่อปี ๒๕๑๗ นี้ ที่ผมไปทำงานสร้างสนามบินนครราชสีมา เอ้ย นครศรีธรรมราช ก็เลยชวนกับเพื่อนว่า ไอ้ชีวิตของเรานี้ มันรู้สึกว่าระยะรับราชการมาหรือว่าตั้งแต่เกิดมานี้ เรียกว่าฝ่าฟันอุปสรรคอย่างมามากมายเหลือเกิน เราเป็นชาวพุทธได้แต่กล่าวคำว่า ชาวพุทธๆ แต่ว่ายังไม่รู้ว่า คำว่า “พุทธ” นี้คืออะไร ก็ยังไม่ทราบ ผมก็เลยชวนเพื่อนไปที่วัดมหาธาตุ ก็จะไปหาซื้อหนังสือหนังหา หรือว่าจะเข้าหาพระนะครับ เมื่อคนเราได้รับความทุกข์ก็ ก็คงจะ ส่วนมากก็จะเข้าหาวัดนะครับ คือทุกคนอาจจะเข้าใจว่า ก่อนนั้นผมก็เข้าใจว่า ถ้าเข้าวัดนี้ คงจะได้บุญ คิดว่าไอ้ที่ว่า ส่วนเป็นบุญนั้นอยู่ที่วัด ก็เลยไปที่วัดมหาธาตุไปถามหาหนังสือหนังหา ก็ไม่มีครับ ผมก็เลย หลังจากนั้นก็เข้ามาที่ตลาด ก็ได้มาซื้อหาหนังสือ พบหนังสือ “คำสอนผู้บวชพรรษาเดียว” ผมก็ซื้อหามาอ่าน ตั้งแต่อ่านหนังสือของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็ ตั้งแต่นั้นมาผม เรื่องที่ว่าทางที่เคยเดินทางชีวิตีที่ทางผิดไปในทางต่ำนะครับ ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่ สุรา นี่ก็เคยเป็นประจำ แล้ว ดื่มมาอายุตั้งแต่ ๑๗ ปีครับ ตั้งแต่วันนั้นผมขาดทันทีครับ พอได้อ่านหนังสือของพระเดชพระคุณของท่านอาจารย์ แล้วหลังจากนั้น ผมก็ศึกษามาเรื่อยๆ แล้ว ก็รวมการศึกษานี้ก็ได้ประมาณปีเศษๆ นี้แหละครับ แล้วก็ผมก็ได้ตัดสินใจว่าชวนกับเพื่อนว่า เราควรจะไปหาแนวทางหรือว่าการปฏิบัติถูกต้องให้ดีกว่านี้ เพราะว่าการปฏิบัติถูกต้องผมคิดว่า บางคนจะคิดว่านะครับ การปฏิบัติถูกต้องนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ อันนั้นผมก็ยังคิดว่า อาจจะเป็นทางที่ผิดนะครับ เพราะว่าการปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนอาจจะยังไม่ทราบว่า อันไหนถูกหรืออันไหนผิด อาจจะคิดเอาเองก็ได้ว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด ผมจะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งครับว่า เหมือนเราจะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง เราต้องคำนึงถึงปัจจัยที่ว่า เกี่ยวกับดินหรือแหล่งน้ำอะไรที่อำนวยอวยผลให้ที่เราจะทำการเพาะปลูก ที่จะการปลูกต้นไม้เราต้องหวังผล หวังผลของผลของลูกไม้ จะต้องหวังกินผลของมัน ถ้าไปปลูกในสิ่งที่เราไม่รู้ทำการที่เพาะปลูก หรือว่าไม่มีคนแนะแนวทางในการปลูก เพาะปลูก เราก็อาจจะปลูกหรือว่าทำการปลูกไม่ได้ผล อันสิ่งนี้ผมก็มาย้อนเข้ามาถึงว่า ที่ผมจะมาบวช ถ้าการบวชยังไม่มีผู้แนะนำหรือว่าที่ถูกต้องหรือมีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง เราก็ไม่ถึงขั้นจุดหมายปลายทางของการบวชที่ถูกต้องครับ ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ ขอขอบพระคุณครับ” ส่งต่อไป
“ขอขอบคุณท่านสาธุชน ที่อุตส่าห์มานั่งฟังยังกลับกันไม่หมด ผมเองก็ทำงานก็มาหลายปีแล้ว อายุเดี๋ยวนี้ก็ ๓๘ ก็ไม่เคยบวชมาในพระพุทธศาสนาเลย การที่จะคิดมาบวชคราวนี้ อันแรกก็ เป็นความประสงค์ของบิดามารดา ที่จะใคร่ให้บวชก็เคยมาเอ่ยปากกับกระผมหลายครั้ง บอกว่าปีไหน ถ้าว่างๆ นี้ก็มาบวชให้ทีเถอะ ผมเองนี้ก็ถัดมาก็หลายปีแล้วครับ ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะบวชให้ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ พอทำงานเข้าก็ งานก็ยุ่งครับ ทางการงานก็ยุ่งอย่างว่าครับ ก็ไม่มีเวลาก็ผลัดมาเรื่อย ผลัดมาเรื่อย ปีหนึ่งก็แล้ว ปีสองก็แล้ว ปีสามก็แล้ว ก็เลยไม่ได้บวชสักครั้งหนึ่ง พอมาช่วงหลังๆ นี้ เห็นว่าก็ผลัดเขามาก็หลายครั้งแล้ว เห็นท่าทางจะไม่ได้บวช เลยเอาจริงๆ เลยทีนี้ ก็เลยตัดอกตัดใจดูนะครับ ก็เลยมีโอกาสจะมาว่างเอาปีนี้ครับ ขออยู่หลายครั้งทางฝ่ายทางผู้บังคับบัญชา ทีนี้ทางการงานก็ยุ่งอย่างว่าครับ มันมีมาเรื่อยครับ มันวุ่นวายอยู่เรื่อย ก็อย่างที่พระเดชพระคุณอาจารย์ท่านว่า เรื่องโลกมันวุ่นนะครับ เลยก็อยากจะมาเข้ามาศึกษาดูว่าทางสงบนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง ก็ไม่เคยเข้ามาดูว่า มันมีการสงบได้ยังไง ผมก็เลยอยากจะมาบวชก็อย่างที่ว่านั้นครับ ผมขอจบเท่านี้” ส่งต่อไป
“สำหรับเหตุผลที่ทำไมกระผมจึงต้องมาบวชนั้น สำหรับเหตุผลของข้าพเจ้านั้น ก็มีอยู่ ๓ประการ ด้วยกัน ประการที่ ๑ ก็เพื่อที่จะต้องการสนองคุณของบิดามารดาและผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายของกระผม สำหรับประการที่ ๒ นั้น เพื่อต้องการที่จะลิ้มรสพระธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และประการที่ ๓ เพื่อต้องการที่จะถวายตนเป็นสาวกของพระพุทธศาสดาเพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งขึ้นและไม่ให้สูญไปจากโลกนี้ ท่านทั้งหลายคงสงสัยว่าเมื่อความประสงค์ต้องการที่จะบวชของข้าพเจ้านั้นมีอยู่ ๓ ประการ ทำไมจะต้องมาบวชที่นี่ ที่อื่นก็มีทำไมถึงไม่บวช เหตุผลที่ข้าพเจ้าต้องการมาบวชที่นี้ ก็เพราะว่าต้องการที่จะศึกษาพระธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ตามแนวทางของท่านอาจารย์ โดยศึกษาตามธรรมชาติ ศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ดูใบไม้หล่น ดูใบไม้เน่า ดูใบไม้เปื่อย ดูความเปลี่ยนแปลงของคน ก้อนหิน โดยข้าพเจ้านั้นหาได้มีความนึกถึงในร่างกายในสรีระของท่านอาจารย์ไม่ สำหรับเหตุที่ข้าพเจ้าจะบวช ทำไมถึงต้องบวชที่นี่ ก็มีแต่เพียงเท่านี้” ส่งต่อไป
“สวัสดีครับ ตัวกระผมนี้ก็อายุน้อย ก็เกือบรองบ่อน ผมทำงานมาได้ปีกว่า ก็ยังวัยรุ่นอยู่ เที่ยวเงินเดือนไม่เคยเหลือ ทีนี้อาและย่า ก็มาขอร้องอยากจะให้ผมบวช ย่าเองก็อายุมาก แก่แล้วอยากจะเห็นผ้าเหลืองผม อยากจะเห็นผมนุ่งผ้าเหลือง ผมเองก็คิดว่าย่าอายุมากแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทนแทนบุญคุณอะไรแก่ย่า ก็อยากจะทำให้ท่านสมหวังเสียที อยากจะบวช อยากจะบวชให้ท่านด้วย และอีกอย่างหนึ่ง ผมก็เคยเที่ยวเมามายเสียคนมาก่อน เลยก็อยากให้ธรรมะนี้ขัดเกลาจิตใจผมบ้างเสียทีครับ เท่านี้ครับ” ส่งต่อไป
“สวัสดีครับ การบวช บวชทำไม บวชเพื่อวัตถุประสงค์อะไร การบวชเป็นประเพณี ที่เป็นประเพณีของชาวพุทธที่ถือกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ บวชทำไม บวชเพื่อ การบวชถึงแม้นไม่บรรลุซึ่งถึงอรหันต์ แต่การบวชเป็นของดีเพื่อที่จะรับศึกษาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไปประพฤติ ปฏิบัติ เหตุใดข้าพเจ้าจึงบวชที่นี่ เหตุที่ข้าพเจ้ามาบวชที่นี่ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยมาที่นี่ ข้าพเจ้าเห็นว่าที่นี่พอที่จะศึกษา และทราบอะไรหลายอย่างที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้พบ ไม่ได้เห็น ข้าพเจ้าเห็นว่าที่นี่เป็นแหล่งที่ข้าพเจ้าพอที่จะศึกษาสิ่งนั้นๆ เพื่อที่จะเอาไปประพฤติ ปฏิบัติในทางที่ดีได้ เท่านี้ครับ”
เมื่อได้ฟังข้อความที่พูดกันมาทุกคนพอจะสรุปได้ว่า ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ ถ้าสมมติว่าพระสงฆ์นี้เป็นเจ้าของศาสนา ฆราวาสจะเข้ามาบวช ก็ต้องมีการตั้งข้อสังเกตว่ามันมีอะไรที่น่ารังเกียจ แต่เรื่องมันมีมากกว่านั้น ว่าแม้จะน่ารังเกียจมันก็ยังคิดว่าคงจะแก้ไขให้กลายเป็นผู้ที่ไม่น่ารังเกียจได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกากเดนของอะไรมา มันก็ยังแก้ไขให้ดีได้หรือจะบวชล้างบาป บวชล้างซวย มันก็ถ้าบวชจริงมันก็ล้างได้ ถ้ามันไม่มีความตกต่ำมากถึงขนาดนั้น มันก็เป็นที่น่ายินดี ถึงมันอาจจะสรุปความได้ว่า เราต้องการจะทำสิ่งที่เรายังไม่เคยทำ ว่าเราจะทำได้มากไปกว่าที่เราไม่บวช แม้ว่าจะบวชและกลับสึกออกไป มันก็ต้องได้อะไรมาก สำเร็จไปเป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์ นี้ก็ไม่ต้องรังเกียจ ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ เพราะฉะนั้นมันต้องยืนยันรับรอง ถ้อยคำที่ได้พูดออกไปแล้วว่า บวชทำไม กระทั่งว่าทำไมจึงต้องมาบวชที่นี่ ขอให้คนที่ได้กล่าวไปแล้วทุกคนนี้ รักษาคำพูดให้มันตรงตามที่พูด ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นละคร ปากอย่างใจอย่างอะไรอย่าง ตั้งใจไว้อย่างไรก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น ต้องมีการบังคับตัวเองมากสักหน่อย จึงจะรักษาไอ้ปณิธานอันนี้เอาไว้ได้ แม้ว่าทีแรกตั้งใจดี แต่ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ ไม่มีกำลังใจต่อ มันก็เหลวไหลในเวลาต่อมา บางทีไม่ทันจะไม่พ้นอะไร มันก็กลับเหลวไหลเสียก็มี นั้นขอให้มีกำลังใจเพียงพอ แล้วก็รักษาเอาไว้ให้เพียงพอตลอดไป แล้วรักษาวาจาสัตย์ กล่าวออกมาอย่างไร ปฏิญญาออกมาอย่างไร นั่นแหละช่วยได้ให้สำเร็จประโยชน์ด้วยการที่อยากจะบวช เขาเรียกกันว่า “ทำขวัญนาค” ตามประเพณีโบราณ เอามาพิจารณาดูแล้ว ล้วนแต่เป็้็็็็นเรื่องที่ให้เกิดกำลังใจให้เกิดความเข้มแข็งที่จะรักษาสัตย์ปฏิญญา หรือไม่ได้ตั้งใจสนองคุณขอผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา เป็นต้น คุยกันมาพูดกันมากมาย เผื่อว่าไอ้คนหนุ่มนั้นมันจะนึกไม่ได้หรือลืมเสีย เอามาให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าท่านมีพระคุณสูงสุดอย่างไร เกิดกำลังใจที่จะบวชในวันรุ่งขึ้น เพราะว่าเขามักจะทำขวัญนาคในคืน ที่รุ่งขึ้นแล้วก็เป็นวันบวชนั้นเอง มันก็เป็นการบำรุงขวัญ บำรุงน้ำใจ บำรุงกำลังใจ ให้เตือนสติให้กันเต็มที่ ก็นับว่าเป็นวิธีการที่ดี วันนี้เราก็พูดว่าทำขวัญนาคกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ต้องมีบายศรี ใบตอง ไม่ต้องมีไข่ เสียบบายศรี อย่างนั้นมันเน่าง่าย เอาก้อนหินนี้เป็นบายศรี มันไม่รู้จักเน่า เดี๋ยวนี้เราก็พูดมันต่อหน้าก้อนหินนี่ ถ้าก้อนหินมันยังเป็นก้อนหินอยู่แล้วก็ขอให้ทุกคนไม่กลับคำพูด หรือไม่กลับไอ้สัจจะอะไรต่างๆ จะมีความรู้สึกที่มั่นคง อุปมาได้เหมือนกับก้อนหินนี้เหล่านี้ ดูเอาก็แล้วกันมีกำลังใจมั่นคงเหมือนกับก้อนหิน มีความเที่ยงแท้แน่นอนเต็มที่ เหมือนกับก้อนหิน ก็คงจะสำเร็จประโยชน์เป็นเจ้านาคที่ดี คือเป็นพญานาค ไม่ใช่เป็นปลาไหล ไม่ใช่เป็นงูดิน บวชเข้าแล้วต้องซ่อนเร้นทำอะไรหลายๆ อย่าง ยังต้องซ่อนตัวสูบบุหรี่นี้ จากนาคกลายเป็นงูดิน เลื้อยเป็นปลาไหล บางแห่งบางภาค มันกินข้าวเย็น กินกลางคืนทั้งพระทั้งเณร มันก็เป็นเจ้านาคที่เป็นปลาไหล มันไม่มีความหมายการเป็นเจ้านาค ยังมีทำอะไรอีกหลายๆ อย่างไม่อยากเอามาพูด เพราะว่ามันไม่มีกำลังใจพอไม่ได้รับการชี้แจงหรือชี้ชวนหรือปลุกหรืออะไรให้มันมองเห็น สิ่งเหล่านี้ตามที่เป็นจริง จึงไม่เกิดกำลังใจพอที่จะอดกลั้น อดทนในการประพฤติพรหมจรรย์ในการเสียสละ แม้น้ำตาไหลก็ไม่เปลี่ยนแปลง คือยังรักษาไว้ได้ให้มั่นคง เขาเรียกว่าทำขวัญนาค นี้มันถูกแล้ว มันเป็นการทำขวัญด้วยการบำรุงขวัญ คือการบำรุงกำลังใจ บำรุงสติปัญญา บำรุงอะไรทุกอย่าง ให้เป็นผู้ที่เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่าง ที่จะเข้าไปบวชเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนานี้ เดี๋ยวนี้เราก็มีพิธีกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่รีตอง ไม่ใช่รีตอง เป็นพิธีคือมีวิธีที่ดีให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง เพราะเวลามันก็ใกล้เข้ามาแล้ว ควรจะมีความเข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าจะถูกต้องเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเวลาบวช บวชแล้ว หรือว่าจะสึก ก็ยังถูกต้อง ไม่ใช่สึกอย่างโง่เขลางมงาย มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างถูกต้อง จนกระทั่งสังขารนี้มันแตกดับ เหตุผลที่น่าฟังที่ควรจะถือเป็นบรรทัดฐานก็คือว่า บวชเพื่อให้รู้อะไรที่ดีกว่าที่ไม่ได้บวช เพราะบางอย่างมันนึกเอาไม่ได้ หรืออ่านเอาจากหนังสือก็ไม่ได้มันต้องไปทำกันจริงๆ อย่างการบวชนี้จะมัวแต่อ่านหนังสือหรือฟังคนอื่นพูดหรือเห็นคนอื่นพูดหรือเห็นคนอื่นบวชมันไม่ได้ มันต้องไปบวชกันจริงๆ แล้วครั้นบวชแล้วต้องบวชจริงด้วย บวชจริงเรียนจริง ปฏิบัติจริง มันจริงถึงจะเป็นบวช ก็เลยได้ชิมได้รู้สึกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าไม่เหลวไหลเป็นผู้บวชจริงแล้วมันมีการฝึกมากเหลือเกิน ให้มีความเข้มแข็งทางกายทางใจ ทางอะไรต่ออะไร ให้มันเข้มแข็ง ให้มีความอดทน มีอดทนมากเหลือเกิน ให้มันมีความสว่างไสวแล้วก็มีมาก รวมๆ แล้วมันหลายๆที่มันจะได้รับ ถ้าว่าเราบวชจริง ก็เลยได้ความก้าวหน้าในทางความรู้ ทางการปฏิบัติ ทางอะไรหลายๆ อย่างก็เลื่อนชั้นตัวเองขึ้นเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม ยังบวชอยู่ก็เป็นมนุษย์ที่ดีกว่าทีแรก สึกออกไปก็ยังเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าทีแรก ก็เลยเรียกว่าเลื่อนชั้นได้จริง ขอให้มีเป้าหมายอย่างนี้ เกิดกำลังใจ มีขวัญดีในการที่จะต่อสู้เพื่อการบวช เพราะการบวชนี้มันต้องทน ต้องต่อสู้ ต้องทน ถ้าไม่มีการทนนั้นแล้วก็ไม่เป็นการบวช พูดได้อย่างนั้นเลย เพราะมันเปลี่ยนแปลงหมด การกิน การอยู่ การนั่ง การนอน ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงหมด ไปในทางที่ต้องทน อย่างว่าหิวขึ้นมาถ้าไม่สมควรที่จะกิน ไม่ใช่เวลาจะกิน มันกินไม่ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านมันกินได้ทันทีเลย มันไม่ต้องทน ถ้าบวชแล้วมันต้องทน อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ มันก็ต้องทน มันมีระเบียบวินัยหลายอย่าง หลายสิบอย่าง นับเป็นจริงแล้วมันก็หลายร้อยอย่างที่ต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติไปได้ก็หมายความว่ามันเก่ง มันทนได้ หรือว่ามันเฉลียวฉลาด มันเข็มแข็ง มันขยัน มันไม่ขี้เกียจ แม้ที่สุดแต่ว่ามันไม่นอนสายได้ ถ้าเป็นพระที่ดีมันนอนสายไม่ได้ มันมีอะไรให้ทำชนิดที่มันนอนสายไม่ได้ หรือมันจะขี้เกียจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เป็นคนเปิดเผย เป็นคนซื่อตรง เป็นคนธรรม เพื่อข่มขี่กิเลสทุกชนิด ถ้าบวชจริง เรียนจริง แล้วมันจะขูดเกลากิเลสไปซะทุกชนิด ขูดเกลามันเจ็บปวดแล้วมันต้องทน เมื่อเราจะเป็นคนดีนี้ เราต้องขูดเกลาไอ้ความชั่วมันก็เจ็บ เจ็บก็ต้องทนกว่าความชั่วจะหมดไปเสียก่อน มันจึงจะไม่รู้สึกเจ็บในการขูดเกลา เพราะมันไม่มี ไม่มีแล้ว ไม่มีไอ้เรื่องที่ต้องขูดเกลาแล้วนั้นผู้ที่ปฏิญญาว่าอยากบวชให้ได้ผลจริง ก็จะต้องมองเห็นในข้อนี้แล้วก็หมายมั่นปั้นมือ ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ที่จะผ่านให้ลุล่วงไปให้สำเร็จประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ฝ่ายผู้บวช ฝ่ายญาติโยมทั้งหลาย หรือว่าฝ่ายพระสงฆ์ ซึ่งสืบดำรงเป็นดำรงตนเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาและแม้แต่พระพุทธเจ้าที่ปรินิพานไปแล้ว ยังอยู่โดยพระคุณพระศาสนาของท่านนั้น ก็จะต้องให้เป็นเหมือนกับว่า ท่านต้องพอพระทัยในการบวชของเรา ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปถึงญาติโยมทั้งหลายที่ว่าอยากให้ลูกหลานบวชนั้น ก็อย่าได้หลับตาอยาก ให้เป็นลืมตาอยาก อยากให้ลูกหลานบวชมันต้องมีเหตุผล มันต้องมองเห็น แล้วก็ต้องช่วยกันสนับสนุนให้มันเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ เดี๋ยวนี้มันหลับตาอยากตามธรรมเนียมประเพณีให้ลูกหลานบวช กลายเป็นผู้ทำให้เหลวเสียอีก พะเน้าพะนอ ประคบประหงม ยิ่งกว่าเมื่อยังไม่ได้บวชเสียอีก อย่างนี้มันก็ล้มเหลวแล้ว ถ้ามันบวชไปแล้วก็ให้มันบวชจริงๆ อย่าไปเป็นห่วง พะเน้าพะนออะไรกันอีก แล้วก็อย่าดึงไปให้เกี่ยวข้องกันกับไอ้ที่มันไม่ใช่เรื่องของการบวช นี้คือจะต้องทำความเข้าใจแก่บิดามารดาญาติทั้งหลายของเจ้านาคด้วยเหมือนกัน ที่อุตส่าห์มาจากที่ไกล มาร่วมอนุโมทนาสาธุการนี้ขอให้ตั้งใจทำให้มันถูก ช่วยกันให้เกิดการบวชที่ดี เพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งโลก แก่พระศาสนาทั้งหมด อย่างนี้ถึงจะได้ผลเต็มที่ สังเกตดูบางคนก็มาร่วมในการบวชนี้ตามประเพณีที่เขาก็มาๆ ตามประเพณี บางทีมันก็มาโดยการที่มันติดหนี้ เพราะมันคอยช่วยกันผูกพันกันไปมา คราวเขาบวชเราก็ต้องไป คราวเขาบวชเราก็ต้องมานี่ มันเป็นการใช้หนี้อย่างนี้ก็มี มันก็ได้ผลดีในแง่ของวัฒนธรรม อะไรไปเท่านั้นเอง ไม่ลึกซึ้งถึงไอ้เรื่องของพระธรรมอันสูงสุดเราควรจะมองเห็นว่าไอ้การบวชจริงนี้มันเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ซึ่งควรจะได้รับการร่วมมือร่วมแรงอนุโมทนาสาธุการ ก็ช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้ผู้ที่บวชนั้นจงได้บวชจริง ให้ญาติโยมทั้งหลาย ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้มันอย่าได้เหลวไหลเลย ขอให้มันได้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ถ้าทุกคนอธิษฐานอยู่อย่างนี้มันก็จะเป็นแรงภายในด้านลึก ช่วยกำลังใจแก่ผู้บวชในที่สุดก็จะได้รับประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย อย่างนี้อาตมาเรียกว่า “ทำขวัญนาค” เจ้านาคก็เปิดเผยสิ่งที่ควรเปิดเผย อธิษฐานสิ่งที่ควรจะอธิษฐาน ผู้ที่จะทำขวัญก็ต้องให้กำลังขวัญ แล้วผู้มาร่วมงานนี้ก็ต้องให้กำลังใจ ร่วมแรงใจกำลังใจอธิษฐานใจ ให้มันเป็นอย่างั้นเถิด ก็จะเป็นการกระทำที่มีผลตรง ตามความมุ่งหมาย ที่เห็นบางทีเขาเวียนเทียน เวียนเทียนเป่าควัน คล้ายๆกับพิเศษสูงสุด ก็คงจะมุ่งหมายอย่างนี้ มุ่งหมายให้กำลังใจ ให้อะไรมันผูกพัน ผูกมัดจิตใจของผู้บวชให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป นี้เราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าไม่ต้องเสียเทียน คือเรามีกำลังใจ ทุกคนมีกำลังใจช่วยกันผูกพันให้คนบวชนี้ มันอย่าเหลวไหล อย่าให้มันเป็นปลาไหล ให้มันเป็นพญานาคที่จะไปต่อสู้กับกิเลส คำว่า “นาคะ นาโค” มันแปลว่า ประเสริฐ มันจะหมายถึงพญานาคก็ประเสริฐ จะหมายช้าง พญาช้างนี้ก็ประเสริฐ หรือว่านาคที่ไหนที่จะมาบวชนี้ก็ประเสริฐ มันไม่ใช่นากกินปลา แต่นี่มันเป็น นาโค นาคะ พญานาคบ้าง พญาช้างบ้าง ก็สมแล้วที่ว่าจะมาเป็นผู้บวช สมัครเข้ามาเป็นผู้บวช เจ้านาคทุกคนควรจะรู้จักคำว่าเจ้านาค ในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็อย่าได้เหลวไหล ถ้าเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็เป็นพญานาค ถ้าเป็นสัตว์ ๔ ขาก็เป็น พญาช้าง ยังไม่มีอะไรที่จะดีกว่า ประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น ทีนี้ก็จะมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในชั้น “อริยมนุษย์” อย่าน้อยก็เป็นการชิมลองจริงๆ บวชแล้วอย่าได้เหลวไหลแม้แต่นิดเดียว ถ้าเหลวไหลแล้วมันก็ไม่จริง เพราะมันตั้งใจมาดีแล้วมันถ้าเหลวไหล มันก็เสียเวลามาบวชถึงที่นี่ ทำให้คนอื่นพลอยลำบากไม่มีประโยชน์ บวชแล้วก็ต้องไม่เหลวไหล เอาล่ะนี่ พอจะเข้าใจได้ที่ว่าทำขวัญนาคนั้นคือทำอย่างไร เดี๋ยวเราก็ได้ทำแล้ว เวลามันมีว่างอยู่บ้าง ก็ทำเพื่อว่าเตรียมจิตใจที่ถูกที่ดี ไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้มันก็จะได้ดีตลอดไป การทำขวัญนาคมันก็มีความหมายแล้ว พอสมควรแก่เวลาแล้ว ยุติกันที