แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตั้งใจฟังให้ดีแล้วจะได้ประโยชน์ จะได้ประโยชน์เพราะว่าเข้าใจในสิ่งที่จะทำ จะมีจิตใจตรงตามความมุ่งหมาย ตามคำพูด วันนี้เราจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และเบื้องต้นก็ขอบรรพชาก่อน ความหมายบรรพชาเป็นคำกว้างๆ รวมเรียกบรรพชาและอุปสมบท นอกจากเรื่องการนักบวชเรียกบรรพชา ถึงขนาดเป็นภิกษุก็เรียกอุปสมบทก็รวมเป็นบรรพชาเหมือนกัน ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องกระทำจริง ด้วยจิตใจจริง และกล่าวคำขอบรรพชา ปรารถนาที่จะอุปสมบทต่อไปในทางสงฆ์ พระสงฆ์นี้ประชุมกันทำงานในนามของสงฆ์ทั้งหมดทั้งปวงในพระพุทธศาสนา ในนามของพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำก็ทำในเขตของสีมา อุทิศให้เป็นเขตของศาสนา และทำในท่ามกลางสงฆ์ กลางศาสนา ด้วยภาษาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้มองเห็นในความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ ตั้งใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นเรื่องหยุมๆ หยิมๆ เล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวเปลี่ยนไปนิดๆ หน่อยๆ ก็เหมือนเดิม ต้องเปลี่ยนกันหมดขนาดหนักโดยทางจิตใจโดยเฉพาะ เมื่ออธิษฐานใจก็จะเปลี่ยน มันจึงต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนบ้างตามสมควรแก่เวลา ขอบรรพชาแล้วควรจะรู้ว่าบรรพชานั้นคืออะไรโดยสมบูรณ์ บางคนก็ไม่รู้ บางคนก็รู้บ้าง พูดโดยใจความให้รู้ว่าข้อระเบียบสำหรับไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้หมดไปจากความเป็นฆราวาส ไม่มีความเป็นฆราวาสเหลือ โดยประการทั้งปวง ให้ไปหมดๆ ในสิ่งที่ต้องห้าม ขอให้นึกว่าคำว่าไปหมดๆ มันกินความหมดเลยถึงความเป็นฆราวาสอย่างไรก็คือต้องทั้งหมด ไม่แต่งตัวนุ่งห่มอย่างฆราวาส ไม่กินอยู่อย่างฆราวาส ไม่เล่นหัวอย่างฆราวาส ไม่คิดนึกอย่างฆราวาส ทุกอย่างทุกประการ ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งเฉียบขาด เราจะประพฤติพรหมจรรย์ บวชแล้วยังขโมยสูบบุหรี่ ยังขโมยกินเหล้า นี่มันเลวที่สุด มันไม่เป็นเรื่องของบรรพชาอุปสมบทอะไรเลย แต่ว่านั่นแค่ระดับธรรมดา ระดับที่เลวที่สุดก็ยังมี เราเสียใจ ขอแสดงความเสียใจ ที่แล้วมาไม่เคยมี ขอร้องว่าจะไม่มี เรื่องฆราวาสต้องเว้นทั้งหมด แม้แต่กินอยู่ เล่นหัว นุ่งห่ม แม้แต่พูดจา แม้แต่คิดนึก แม้แต่คิดนึกด้วยจิตก็อย่าคิดอย่างฆราวาส ที่เค้าเรียกว่าใฝ่ฝัน นอนหลับฝันไปก็ขออย่าได้ฝันอย่างฆราวาส มันเป็นเท็จจริง ควรจะต้องอธิษฐานจิตแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนกันอย่างสิ้นเชิง นี่เขาเรียกบรรพชา เว้นจากความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง ปะแปลว่างด วัชชะแปลว่าเว้น บรรพชาแปลว่าเว้นหมด โดยสิ้นเชิงจากความเป็นฆราวาส ด้วยการกระทำ ด้วยการพูดจา ด้วยการคิดนึก การเป็นอยู่ทุกอย่างทุกประการ และต้องเว้นจากข้อที่ต้องเว้น ต้องศึกษาต่อไปอีกมาก นั่นแหละเขาเรียกว่าบรรพชา ทีนี้มันต้องเจ็บปวด เมื่อมันไม่ได้ทำอย่างกิเลสต้องการมันรู้สึกเจ็บปวด แม้จะไม่ได้สูบบุหรี่มันก็เจ็บปวด ไม่ได้ไปดูหนังมันก็เจ็บปวด เรื่องของเว้นอีกมากกว่านั้นมันก็ต้องมีความเจ็บปวด จึงต้องทน เพราะฉะนั้นจึงให้รู้ไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าพรหมจรรย์นี้เป็นการขูดเกลา เหมือนกับเอามีดมาขูดเนื้อเสียๆ ให้มันออกไป ให้เนื้อมันเกลี้ยงสะอาดใส่ยาให้มันหาย มันเจ็บถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะบวชต้องรู้ล่วงหน้า ต้องปรับใจยินดีที่จะกระทำอย่างนั้น มันจึงจะเป็นบวชจริงๆ มันจะละสิ่งที่ควรละได้ หลายคนละบุหรี่ได้ ละเหล้าได้ ละอะไรได้ สึกออกไปแล้วก็ไม่กินอีกไม่เสพอีก มันก็ยังมีประโยชน์อยู่มาก ถ้าประพฤติอะไรให้มันดียิ่งไปกว่านั้นได้มันก็ยิ่งดี บรรพชาคืออะไร บรรพชาคือระเบียบปฏิบัติที่ต้องขูดเกลาต้องทนเจ็บปวด ถ้าต้องน้ำตาไหลก็ ต้องทน นี่เรียกประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา หมายความว่าเอาจริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ที่นี้ควรจะรู้ต่อไปถึงข้อที่ว่าบรรพชามีประโยชน์มีอานิสงส์อย่างไร บรรพชาจะมีอานิสงส์มากมายเหลือเกินสำหรับผู้ที่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง จะได้อานิสงส์มากมายเหลือเกิน ถ้าเราพูดว่าไม่จริงมันได้แต่ความลวงโลก เป็นคนลวงโลก แล้วก็ไปคิดเอาเถอะว่าจะมีอานิสงส์อย่างไร ได้แต่ความเป็นคนลวงโลก ถ้าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันได้อานิสงส์จนกล่าวไม่ไหว ใช้คำว่ากล่าวกันไม่ไหว บรรยายกันไม่ไหว โดยรายละเอียด แต่ว่าอาจจะสรุปเป็นใจความสั้นๆ ได้สัก ๓ ประเภทด้วยกัน คืออานิสงส์แก่ผู้บวชเองจะได้พวกหนึ่ง อานิสงส์แก่ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้นที่พึงได้พวกนี้ อานิสงส์แก่โลกทั้งปวงและศาสนาโดยส่วนรวมจะพึ่งได้อีกอย่างรวม ๓ อย่าง ถ้าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันก็ได้แก่ตัวเองก่อน ทีนี้การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นในบุคคลนั้น จากเป็นคนที่ไม่สะอาดกลายเป็นคนสะอาด จากคนที่โง่เขลามืดมนกลายเป็นคนสว่างไสว จากทุกข์ร้อนกลายเป็นคนเยือกเย็นสงบ ได้ความสว่าง สะอาด สงบ ทางจิตทางวิญญาณ ได้สูงสุดสำหรับผู้บวชคือการเปลี่ยนแปลง แม้จะสึกไปแล้วมันก็ยังได้ดี ได้ไปดีกว่าเดิม ขอให้มันได้ อานิสงส์ชั้นที่สองได้แก่ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น นี่บวชแทนคุณ สนองคุณผู้มีพระคุณ คือบิดามารดาโดยตรง และผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นบิดามารดาและญาติทั้งหลายทั้งปวง ก็เนื่องกันเป็นญาติ นี่ถ้าบิดามารดามีทิฏฐิปราโมทย์ มีสัมมาทิฏฐิ มีศรัทธามากกว่าเดิม ใช้คำรวมๆ ว่ามีบิดามารดาเป็นญาติในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นไปกว่าเดิม นี่ก็คือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง บิดามารดาญาติทั้งหลายก็จะได้เป็นญาติในพระพุทธศาสนายิ่งไปกว่าเดิม การสนองบุญคุณของบิดามารดา ไม่มีการกระทำชนิดอื่นจะดีไปกว่าการสนองคุณผู้มีพระคุณด้วยการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ทีนี้อานิสงส์ประเภทที่สามได้แก่สัตว์โลกทั้งปวง ศาสนาโดยส่วนรวม ข้อนี้เราบวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา อย่าบวชเพื่อทำลายพระศาสนาเลย มันมีเหมือนกันบางรายบางคนก็บวชเพื่อทำลายศาสนา แต่ว่าเรานั้นไม่ยอมทำ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมแตะต้องทำลายพระศาสนา บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ไม่มีการทำลายพระศาสนา มีแต่สืบอายุพระศาสนา ศาสนาอยู่ได้เพราะมีคนบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ศาสนาอยู่ได้ เราก็สืบไปตามสติปัญญาสามารถของเรา บวชสามเดือนก็สืบสามเดือน บวชหนึ่งปีก็สืบหนึ่งปี บวชตลอดชีวิตก็สืบศาสนาตลอดชีวิต มันจะได้มีอยู่ห้าหกคนข้างหน้าต่อไป และศาสนามีอยู่ในโลก โลกก็พลอยได้รับประโยชน์ทั้งโลก เป็นโลกที่มีศาสนามันก็ร่มเย็น และนี้โลกยิ่งไม่มีศาสนาขึ้นทุกที ร้อนยิ่งขึ้นทุกที การที่เราบวชให้โลกมีศาสนานี้จะมีประโยชน์มากทีเดียว ขอให้สนใจเสียสละในข้อนี้ บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา บวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ก็ได้ประโยชน์ต่อตัวผู้บวชเอง บวชสนองคุณบิดามารดาก็ได้แก่ญาติทั้งหลายอันมีบิดามารดาเป็นต้น และบวชเพื่อสืบอายุพระศาสนาก็ได้แก่สัตว์โลกทั้งโลกโดยส่วนรวม ถ้าเกิดไม่หลับหูหลับตาเกินไปมองเห็นประโยชน์ข้อนี้ และมันจะเกิดกำลังใจขึ้นมาทีเดียว มันจะประพฤติดี จะละเว้นสิ่งที่ควรละเว้นได้เด็ดขาดอย่างยิ่งถ้ามันมองเห็นอานิสงส์ข้อนี้ เพราะฉะนั้นขอให้มองเห็นอานิสงส์ในข้อนี้อยู่เสมอ จะละในสิ่งที่ควรละ ละจากความเป็นฆราวาส ละทุกอย่างได้ดีได้จริง ถ้าเห็นอานิสงส์เหล่านี้ เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กน้อยหมด นี่เรียกว่าอานิสงส์ที่จะได้จากการบรรพชา ทำในใจให้ดี เดี๋ยวนี้ มีเรื่องที่สอนก็คือเรื่องที่ควรจะทราบว่าบรรพชามีวัตถุที่ตั้งที่อาศัยถึงจะเจริญงอกงามเหมือนกับต้นไม้ที่เจริญงอกงามอยู่นี้ต้องอาศัยแผ่นดินเป็นต้น จึงจะเจริญงอกงาม บรรพชาอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง อย่างที่เราได้พูดตั้งแต่คำแรกในการขอบรรพชา อะหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ บวชอุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ตั้งที่อาศัยบรรพชา เพราะฉะนั้นจงทำให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ คุณธรรมอันใดที่เรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องมีอยู่ในใจ หัวใจของพระพุทธเจ้าคือความสะอาด สว่าง สงบ หัวใจของพระธรรมคือความสะอาด สว่าง สงบ หัวใจของพระสงฆ์คือความสะอาด สว่าง สงบ ที่แท้จริง ต้องหมายมั่นอธิษฐานในการที่จะมีจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ และมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจตลอดเวลา บรรพชาก็จะเจริญงอกงาม นี่เขาเรียกว่าที่ตั้งที่อาศัยของบรรพชา เรื่องสามเรื่องนี้เห็นว่าจำเป็นควรจะรู้ก่อน บรรพชาคืออะไร อานิสงส์ของบรรพชาคืออะไร วัตถุที่ตั้งที่อาศัยของบรรพชาคืออะไร ส่วนเรื่องสุดท้ายคือ ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน เพื่อให้มีความรู้เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง มันจะช่วยหมดเลย จะช่วยให้จริง ช่วยให้มีจิตสะอาด สว่าง สงบ เหมาะสมแก่การครองผ้ากาสายะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปทีเดียว ต้องฟังให้ดีครั้งหนึ่ง จิตใจของเรามันเป็นฆราวาสมาหยกๆ กินอยู่เล่นหัวได้อย่างฆราวาสกันหยกๆ มาโกนหัว จะมาห่มผ้าเหลืองกันโดยทันที มันต้องเปลี่ยนจิตใจให้ทัน จิตใจเคยเป็นฆราวาสมาหยกๆ แล้วต้องเปลี่ยนให้ทันก่อนเวลาที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ จะพูดจะเล่นจะหัวมันเป็นฆราวาส เป็นเรื่องฆราวาส เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวมันเป็นเรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องเมามาย เรื่องสรวลเสเฮฮา ให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง แต่ว่าสำหรับคนหนุ่มก็ต้องยกเอาเรื่อง ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน มาให้เป็นอารมณ์ ความคลายกำหนัดจากเรื่องกิเลสของคนหนุ่มโดยตรง กิเลสของคนหนุ่มโดยตรงคือเรื่องสวยเรื่องงาม ให้รู้จักเรื่องแท้จริงว่าเรื่องจริงมันไม่ได้สวยไม่ได้งาม ยกเอาเรื่องร่างกายทั้งหมดมา ทั้งหมดก็ไม่ไหว เอามาห้าอย่างก็พอคือขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ถ้าเข้าใจดีเรื่องขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ก็ยังเข้าใจเรื่องอื่นได้ ขน ผม เล็บ ฟัน หนังนี่มันเป็นที่ตั้งแห่งการประดับประดาตกแต่งมากทีเดียว เราแต่งผมให้สวย ที่ตัวก็ทำให้สวย ผิวหนังก็ทำให้สวย เล็บก็แต่ง ฟันก็แต่ง นี่ก็เป็นตัวอย่างการลุ่มหลงความสวยความงาม พิจารณาว่าโดยแท้จริงแล้วมันไม่ควรจะไปหลงว่าสวยว่างาม โดยธรรมชาติแท้ๆ เป็นของปฏิกูล ยกตัวอย่าง “เส้นผม” เรียกด้วยภาษาบาลีว่า “เกศา” รูปร่างก็น่าเกลียด เป็นยาวๆ สีสันวรรณะก็น่าเกลียด จะเป็นสีดำ สีหงอก สีเทา โดยกลิ่นมันก็น่าเกลียด โดยที่เกิดที่งอก ที่อาศัยมันก็น่าเกลียด งอกจากผิวหนังก็มีน้ำเหลืองมีเลือดหล่อเลี้ยง โดยหน้าที่การงานก็น่าเกลียดอยู่บนศีรษะสำหรับรับฝุ่นละออง เต็มไปด้วยความน่าเกลียด ได้แต่หลอกทั้งนั้นว่ามันสวย มันหอม มันงาม เลิกหลอกตัวเอง เลิกหลอกผู้อื่นเรื่องนี้ มันก็ดีที่โกนไปหมดแล้ว แต่เอามาคิดไว้เสมอว่าที่เราว่าสวยว่างามนั้นโง่ มันโง่อย่างฆราวาส ฆราวาสโง่เรื่องสวยเรื่องาม ตกแต่งสิ่งเหล่านี้ เลิกโง่กันที เรื่องที่สอง “ขน” เรียกว่า “โลมา” อธิบายอย่างเดียวกันกับผม พิจารณาอย่างเดียวกับผม หยุดหลงใหลในความสวยงาม เรื่องที่สาม “เล็บ” เรียกด้วยบาลีว่า “นะขา” เครื่องประดับประดาตกแต่ง จะให้รู้เสียว่า มันบ้าไปมันโง่ไปมันทำตามๆ กันไป แล้วเล็บโดยรูปร่างก็น่าเกลียด โดยสีสันวรรณะก็น่าเกลียด โดยกลิ่นก็น่าเกลียด โดยที่เกิดที่งอกก็น่าเกลียด โดยหน้าที่การงานสำหรับแกะเกาควักก็น่าเกลียด โง่มาเท่าไหร่ก็หมดกันที เลิกสนใจเรื่องเล็บซะ เรื่องที่สี่ “ฟัน” เรียกบาลีว่า “ทันตา” จริงๆ เห็นง่ายว่ารูปร่างของฟันแต่ละซี่ก็น่าเกลียด สีสันวรรณะเหมือนกระดูกมันก็น่าเกลียด กลิ่นของฟันตามธรรมชาติก็ น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกในเหงือกก็น่าเกลียด หน้าที่การงานที่เคี้ยวบดก็น่าเกลียด ทำความสะอาดก็พอ ไม่ต้องสวยไม่ต้องหอมไม่ต้องขัดเงา มันเรื่องของคนบ้าคนโง่ ไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเลย ทำให้สะอาดก็พอแล้ว ไม่ต้องประดับประดาตกแต่งอีกต่อไป พระไม่ควรจะใช้ยาถูฟันต้องให้งามให้หอมให้สวย มันเป็นเรื่องโง่ ไม่ยอมสละ พระพุทธเจ้ามาเห็นคงสั่นหัว สั่นพระเศียรกับเรื่องโง่ๆ ของคนสมัยนี้ เรื่องเดิมก็เพียงแต่ใช้ทำความสะอาดตามธรรมชาติ เคี้ยวกิ่งไม้เล็กๆ เพื่อให้ฟันสะอาดก็พอ เรื่องสุดท้ายคือ “หนัง” ผิวหนังก็เป็นที่ตั้งของการประดับประดาปรุงแต่งรับสัมผัส นอกจากจะไม่งามตามธรรมชาติที่เป็นเครื่องตั้งแห่งกิเลส ผิวหนังรูปร่างก็น่าเกลียด ดูเอาเอง สีสันวรรณะก็น่าเกลียด กลิ่นโดยธรรมชาติก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกขึ้นทั่งร่างกายก็น่าเกลียด หน้าที่การงานเป็นที่ถ่ายเข้าถ่ายออกของความร้อนความเย็นเย็นฝุ่นละอองเหงื่อไคลก็น่าเกลียด พูดอย่างนี้ก็พอเข้าใจได้ว่าอย่าไปหลงใหลเรื่องผิวหนัง ระวังว่าเป็นที่ตั้งของความรู้สึก ความกำหนัดระหว่างเพศตรงข้าม ถ้าจิตใจมองเห็นสิ่งปฏิกูลทั้งห้าอย่างนี้แล้ว เธอคงจะมีความเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจบ้าง มีจิตใจสมควรแก่การนุ่งห่มผ้ากาสายะนี้ แล้วจะทำการบรรพชากันต่อไป อธิบายด้วยภาษาบาลี ด้วยภาษาไทย รับด้วยภาษาบาลี ว่าตามทีละคน ตั้งใจรับตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐานด้วยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นี่เรียกว่าตามลำดับ ทวนลำดับ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา ลองว่าตาม เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา อีกที เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา อีกทีให้มันแน่นอน เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา ก็ดี ปกติดี ใจคอปกติดี ให้ทำก็ทำได้ดีพอสมควรแก่การบรรพชาต่อไป เรายินดีทำการบรรพชาเธอ ขอให้มีความเจริญงอกงามในศาสนาสมตามความประสงค์ของการบรรพชาทุกประการ ............. (บทสวด)...............
ฟังอีกสองสามคำก่อน นี่เป็นการขอนิสัยที่ทำให้เกิดมีอุปัชฌายะขึ้นมา ทำให้เกิดมีสัทธิวิหาริกขึ้นมา ต้องมีอุปัชฌายะจึงจะขออุปสมบทได้ ที่เธอว่ามานั้นคือการที่เธอขอให้เราเป็นอุปัชฌายะและเราก็ยินดีที่จะรับเป็นอุปัชฌายะ ให้เธอเป็นผู้มีอุปัชฌายะ มีการเป็นอุปัชฌายะก็เกิดความผูกพันอย่างอื่นต่อไปอีก คือว่าต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต่อกันและกัน อุปัชฌายะมีหน้าที่ดูแลสั่งสอน คุ้มครอง อย่าให้ทำผิด สัทธิวิหาริกมีหน้าที่คอยระมัดระวัง เชื่อฟัง ปฏิบัติตามไม่ให้เกิดการเสียหายขึ้นมา นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องเอาใจใส่ดูแลในการอยู่ ความสุขของกันและกัน นั่นแหละคือความหมาย ว่าเป็นภาษาบาลีพร้อมๆ กัน .......(บทสวด)........ทีนี้ก็เป็นเรื่องมีชื่อฉายาโดยภาษาบาลี สามเณรสุราษฎร์ สุรัถโก สามเณร เจนกิจ ปคุนะกิจโจ สามเณรแสนพัน สหัสพขุโร จำชื่อนี้ให้ดี ต้องตอบคำถาม ในการสวดเขาจะออกชื่อเราอยู่บ่อยๆ ออกชื่ออุปัชฌาบ่อยๆ อุปัชาฌายะมีชื่ออยู่แล้วว่าอินทปัญโญ ต้องจำไว้เหมือนกันสำหรับตอบคำถาม ต่อไปก็ยังจะบอกไม่รู้จักบริขารเป็นภาษาบาลีอีก บาตรเรียกอะไร จีวรเรียกอะไร สบงเรียกอะไร สังฆาฏิเรียกอะไร เป็นต้น มันค่อยๆ จำไปแล้วค่อยว่ากันทีหลัง มีกิจก็ต้องปฏิบัติอยู่กับสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าจำชื่อไม่ได้ ทีนี้ก็พนมมือ กิจสุดท้ายของการอุปสมบทคือการบอกอนุศาสน์ เธอตั้งใจฟังให้ดีก็จะได้ประโยชน์ ........(บทสวด).........พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุญาตว่าเมื่อทำการอุปสมบทแล้วให้บอกนิสัยสี่หรือกรณียกิจสี่ นิสัยสี่นั้น ข้อที่หนึ่งคือผู้อุปสมบทแล้วต้องอาศัยอาหารจากบิณฑบาตร การบิณฑบาตรนั้นเลี้ยงชีวิต ไม่ขวนขวายในอาหารไปตลอดชีวิตของการบรรพชา แต่ถ้าว่ามีอดิเรกลาภเกิดขึ้น สังฆทานเป็นต้นก็รับได้เหมือนกันในฐานะเป็นเพียงอดิเรกลาภ .......(บทสวด)..........สำหรับเครื่องนุ่งห่ม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้อนุญาตว่าผู้อุปสมบทแล้วพึงอาศัยบังสุกุลจีวร จีวรเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นที่อยู่ตามที่ตามทางเอามาเย็บย้อมใช้เป็นจีวรได้ ไม่ขวนขวายในเครื่องนุ่งห่มจนตลอดชีวิตบรรพชา ถ้าหากว่ามีอดิเรกลาภเกิดขึ้นสมควรแก่สมณะบริโภค เช่นผ้าที่ทำด้วยฝ้ายเป็นต้น ก็รับได้เหมือนกันในฐานะเป็นอดิเรกลาภเท่านั้น ........(บทสวด)...... สำหรับที่อยู่อาศัย อนุญาตไว้ว่าผู้อุปสมบทแล้วควรอาศัยโคนไม้ ไม่ขวนขวายเสนาสนะจนตลอดชีวิตการบรรพชา และถ้าหากว่ามีอดิเรกลาภเกิดขึ้น เช่น วิหาร ควรแก่สมณบริโภคก็รับได้ในฐานะเป็นอดิเรกลาภ ...........(บทสวด)........สำหรับยารักษาโรค อนุญาตด้วยว่าผู้ที่อุปสมบทแล้ว ให้เภสัชที่ปรุงขึ้นด้วยน้ำมูตร ไม่ขวนขวายในเภสัชจนตลอดชีวิตการบรรพชา ถ้าหากว่ามีอดิเรกลาภเกิดขึ้น มีน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น ก็รับได้เหมือนกันในฐานะเป็นอดิเรกลาภ ............(บทสวด)............ ผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงประกอบเมถุนธรรม แม้ที่สุดในสัตว์เดรัจฉาน ภิกษุประกอบด้วยเมถุนธรรม จะไม่มีความเป็นภิกษุอีกต่อไป เหมือนบุคคลศีรษะขาดแล้วยังไม่มีชีวิตขึ้นได้ด้วยร่างกายอันนั้น ดังนั้นเธอจึงไม่ควรกระทำจนตลอดชีวิต..........(บทสวด)...........ผู้ใดอุปสมบทแล้วไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เป็นเจตนาแห่งขโมย ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี เทียบเท่ากับบาทหนึ่งก็ดี เกินจากบาทหนึ่งก็ดี ไม่มีความเป็นสมณะในศาสนาพุทธอีกต่อไป เปรียบเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งเมื่อหักออกสองท่อนแล้วไม่อาจกลับเป็นก้อนหินก้อนเดิมอันเดียวได้ฉันใดก็ฉันนั้น ..........(บทสวด)...........ผู้ใดอุปสมบทแล้วไม่ควรอวดอุตริมนุสธรรม เป็นคุณบัติพิเศษเสียยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาจะพึงมี แม้ที่สุดจะอวดว่าเราเป็นผู้มีจิตใจน้อมไปเพื่อเสนาสนะอันสงัดเสียแล้วก็ยังไม่ควรจะอวด มีเจตนาอาศัยลาภจากการอวดอุตริมนุสธรรม ได้การเปรียญ ได้สมาธิก็ดี ได้สมาบัติ ก็ดี ได้วิมุติก็ดี ได้มรรคก็ดี ได้ผลก็ดี แล้วหมดความเป็นสมณศักดิ์ก็อย่าอวด อย่าเป็นภิกษุอีกต่อไป เปรียบเหมือนต้นตาลถูกทำลายที่ขั้วแห้งยอดแล้วไม่อาจจะงอกงามได้อีกฉันใดก็ฉันนั้น ....(บทสวด)..... พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ผู้เห็นได้ตรัสไว้โดยปริยายเป็นอันมาก เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ทั้งนั้นทั้งนี้ก็เพื่อว่าจะทำพระนิพพานให้แจ้ง นับตั้งแต่ว่าเพื่อจะบรรเทาเสียซึ่งความเมา หักเสียซึ่งวัฏฏะ กำจัดเสียซึ่งตัณหา เรื่อยมาจนถึงนิพพานให้แจ้ง รวมความหมายคำเดียวว่าทำนิพพานให้แจ้ง ในสามอย่างนั้น ถ้าอบรมศีลดีแล้ว สมาธิย่อมมีผลใหญ่อานิสงส์ใหญ่ สมาธิอบรมดีแล้ว ปัญหาย่อมมีผลใหญ่อานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอบรมดีแล้ว จิตย่อมหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ รายละเอียดไปศึกษาต่อข้างหน้า งั้นเธอบวชแล้วยังมีความเคารพในอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิกขาทั้งหลายตามนี้ ตลอดเวลา ข้อความทั้งหลายก็ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น นับตั้งแต่การเริ่มบรรพชา แสดงให้เห็นว่าบรรพชาคืออะไร อานิสงส์บรรพชาคืออะไร ที่ตั้งบรรพชาคืออะไร เป็นเรื่องสำคัญ เธอได้บรรพชา ถ้าจะให้การบรรพชาอุปสมบทเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่ออานิสงส์ก็ต้องสนใจอย่างยิ่งใส่ใจไว้เสมอ ตัวผู้บรรพชาให้ได้อานิสงส์ของบรรพชา สรุปความเรียกว่าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ถ้าสามารถก็สอนผู้อื่นสืบทอดต่อไปได้จริงๆ ไม่เสียที ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐานยังคงใช้ต่อไปตลอดเวลาเมื่อความรู้สึกเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสเกิดขึ้นก็ย้อนกลับมาพิจารณาในกัมมัฏฐานเหล่านี้เป็นต้น เพื่อจะให้เกิดความรู้สึกที่แท้จริง ถึงการเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสว่ายิ่งสวยยิ่งงามน่ากำหนัดยิ่งดี แต่เรามันโง่ไปเอง กัมมัฏฐานนี้ต้องใช้ตลอดเวลา เรียกว่ามูลกัมมัฏฐาน เป็นกัมมัฏฐานที่เป็นพื้นฐานตลอดเวลาจนกว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ให้เธอเป็นผู้ไม่ประมาท ทุกอย่างทุกประการที่ได้กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง จึงเป็นผู้เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา สมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุกประการ ......(บทกรวดน้ำ).........