แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการกล่าวครั้งนี้ เป็นการกล่าวกับบรรดาผู้ที่จะต้องลาสิกขา ใจความสำคัญก็คือว่า พวกที่ลาสิกขานี้ จะพาอะไร จะรับอะไร จะได้อะไรติดตัวไปในเมื่อลาสิกขาแล้ว ขอให้เป็นเหมือนกับว่า คนที่ออกไปแสวงหาอะไรในป่า ในภูเขา ในทะเล ในที่กันดาร ลำบาก เหน็ดเหนื่อยก็ตามเถอะ ควรจะได้อะไรกลับมา เพื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การมาบวชชั่วคราวก็มีลักษณะคล้ายอย่างนั้น เราถือกันเป็นหลักว่าผู้บวชจะต้องได้รับประโยชน์อย่างน้อยสามสถาน คือประโยชน์ที่จะได้แก่ตนเอง ประโยชน์ที่จะได้แก่ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น และประโยชน์ที่จะได้แก่ส่วนรวม คือสัตว์โลก เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย หรือได้แก่พระศาสนานั่นเอง สองอย่างนี้มันเนื่องกัน ถ้าศาสนามีอยู่ก็เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายจะได้รับประโยชน์อะไรก็เพราะว่ามันมีศาสนา
ประโยชน์ทีแรกที่ว่าจะได้แก่ตนเอง นี่แหละเป็นความมุ่งหมายข้อแรก ที่เราจะต้องได้อะไรคุ้มๆ คุ้มกัน หรือเกินค่าในการที่ออกมาบวช ในบางรายก็ไม่ได้อะไรคุ้มกันก็มี ที่ถูกนั้นมันควรจะได้อะไรเกินค่าของการที่ออกมาบวช ผมใช้คำสรุปความสั้น ๆ สำหรับเรื่องนี้ว่า คือได้ คือได้การเปลี่ยนแปลงที่มีค่าหามากที่สุด คือว่าการเข้ามาบวชนี้ต้องเป็นเรื่องของการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง จึงจะได้ผลจริง คือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแก่บุคคลนั้นจนกลายเป็นบุคคลชนิดที่มีค่าสูงสุด เช่น บรรลุมรรคผลไปก็มี แม้จะไม่มีการบรรลุมรรคผล มันก็ต้องได้แสงสว่างอันสูงสุด คือได้ชิมลองผลของการบรรลุธรรม หรือการมีธรรมะว่ามันเป็นความสุขอย่างไร แล้วจะเป็นแสงสว่างต่อไปในอนาคตได้อย่างไร
ก่อนนี้ถือว่ามืดมนสำหรับเรื่องของชีวิตจิตใจในส่วนวิญญาณ เดี๋ยวนี้เราควรจะมีแสงสว่างในด้านนี้ คือด้านลึกของชีวิต ที่เรียกกันว่าเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ข้อนี้มองกันได้ง่ายๆ ตรงที่ว่าการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้มันเหมือนกับหมาหางด้วน คือมันเรียนกันแต่เรื่องหนังสือ กับอาชีพ ไม่ได้เรียนเรื่องที่ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ คุณก็เห็นกันอยู่แล้วว่ามันเรียนกันแต่เรื่องหนังสือ แล้วก็เรียนอาชีพ ทำกันอย่างดีมาก รวดเร็วมาก หรูหรามาก แต่ผลมันก็จบลงเพียงแค่ว่าเขามีอาชีพ หน้าที่การงานที่มันเป็นไปแต่ประโยชน์ในทางฝ่ายวัตถุ ทั้งแก่ตนเอง หรือแก่ประเทศชาติ หรือแก่โลกก็ได้ แต่ว่าทั้งหมดนั้นมันยังเป็นแต่เพียงเรื่องทางวัตถุ เราจะต้องนึกถึงข้อที่ว่ามันยังมีความสุขอันแท้จริงไม่ได้ ทั้งส่วนเราเอง และส่วนรวม
อาชีพมันทำให้ได้ผลเป็นวัตถุ แล้วก็มักจะหลงในผลทางวัตถุ เห็นแก่ตัว เพราะผลเป็นวัตถุนี้มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ในโลกจึงเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว มันจะสวยงาม หรูหรา กล้าหาญ เก่งกาจยังไง มันก็มีแต่คนเห็นแก่ตัว จึงได้เบียดเบียนกันในทุกเรื่อง แข่งขันกันจนทำลายล้างกัน เหมือนที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เรื่องส่วนตัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องส่วนโลก คือสงครามอันไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าเราเอาแผนที่โลกมาเปิดดูเดี๋ยวนี้ ก็ยังเห็นว่าทำสงครามกันอยู่หลายจุด บ้างก็เป็นสงครามร้อน คือฆ่าฟันกันจริง ๆ บ้างก็เป็นสงครามเย็น คือใช้อุบายทำลายล้างกันอย่างเงียบ ๆ อย่างลึกซึ้ง แล้วมันจะอยู่เป็นสุขกันอย่างไร นั่นน่ะคือการศึกษาที่ยังเป็นเหมือนกับหมาหางด้วน ไม่มีอะไรที่งดงามน่าดู น่าอยู่ในโลกนี้ โลกนี้มันกลายเป็นไม่น่าอยู่มากขึ้น ไม่ใช่ว่ามีการเรียนอย่างนี้แล้วไอ้โลกนี้มันจะน่าอยู่มากขึ้น เต็มไปด้วยอันตราย เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยุ่งยากลำบากอยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้นเราจึงมาหาการศึกษาเพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดอยู่ คือว่าจะเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องอย่างไร จึงมาบวช มาศึกษาเรื่องชีวิตจิตใจ ไอ้เรื่องของความเป็นคน ว่าคนนี้จะสลัดไอ้ความสกปรกแห่งกิเลส และความทุกข์ออกไปได้อย่างไร และจะช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นโลกที่น่าอยู่ มีความงดงามของมนุษยธรรม ที่มีธรรมะสำหรับมนุษย์ เป็นที่น่าพอใจทั่ว ๆ ไปหมด นี่คือการศึกษาในส่วนที่มันยังขาดอยู่ ซึ่งเรามาทำกันด้วยการบวช
เมื่อถามว่าพวกคุณที่จะลาสิกขานี่ จะขนอะไรกลับออกไปบ้าง ผมก็ว่าไอ้ส่วนนี้แหล่ะ คือส่วนที่จะเป็นความรู้ เป็นแสงสว่าง เป็นอะไรก็ตามที่จะทำตนให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมกับคำว่ามนุษย์ มีความสะอาด สว่าง สงบ หรือว่ามีความรู้ที่จะทำให้มันเกิดความสะอาด สว่าง สงบแก่มนุษย์นั่นเอง ถ้าบวชจริงมันก็ต้องได้ผ่านอะไรมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการศึกษาจากภายใน ได้รู้เรื่องของกิเลส รู้เรื่องของความทุกข์ รู้เรื่องของการสกัดกั้น ป้องกัน และทำลายกิเลส แล้วก็ไม่มีความทุกข์ นี่เอาไปสำหรับเป็นเครื่องมือ และเครื่องราง
สองคำนี้มันเนื่องกันอยู่ เครื่องมือ คือเครื่องทำให้สำเร็จประโยชน์ในสิ่งที่จะต้องทำ หรือควรกระทำ ส่วนเครื่องรางนี่มันเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้อันตรายเกิดขึ้นในเมื่อเราจะต้องทำหน้าที่ของเรา ทว่าโดยแท้จริงแล้ว ไอ้ธรรมะนี้เป็นเครื่องรางมากกว่า คือว่าเครื่องมือ หรือเรื่องที่จะต้องทำอย่างไรนั้นเราก็เล่าเรียนกันมาพอแล้ว จากการศึกษาอย่างโลก ๆ ที่เมื่อลงมือปฏิบัติหน้าที่การงานอย่างนั้นมันก็มีปัญหาเกิดขึ้นทางจิตใจ นี่ธรรมะจะเป็นเหมือนเครื่องรางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น หรือขจัดไอ้ที่มันเกิดขึ้น
แต่ว่าเครื่องมือสำหรับทำการงานนั้น ไม่ควรจะมองกันแต่เรื่องโลกๆ เรื่องอาชีพ เรื่องอะไรอย่างเดียว ควรจะมองถึงข้อที่ว่า ไอ้โลกนี้มันจะสงบกันได้อย่างไร จะอยู่กันอย่างสงบได้อย่างไร ถ้าเราทำได้ในส่วนนี้ ก็เรียกว่าต้องใช้เครื่องมือด้วยเหมือนกัน เช่นจะต้องใช้ธรรมะสำหรับเป็นอยู่อย่างมีธรรมะ โดยเฉพาะก็คือ ความรักผู้อื่น ถ้าไม่มีการกระทำชนิดที่รักผู้อื่น มันก็จะมีการกระทำชนิดที่ตรงกันข้าม คือแข่งขันกัน ทำลายล้างกัน เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ๆ ทุกทีที่ประสบผลสำเร็จทางวัตถุ จึงมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำให้อยู่กันอย่างผาสุกนี้ด้วย แต่ว่ามันเป็นเรื่องทางจิตใจ ไอ้ความรักกัน ความเมตตากันมันเป็นเรื่องทางจิตใจ ไม่ได้รวมอยู่ในคำสอนเรื่องอาชีพ เมื่อเราแต่ละคนก็ต้องมีเรื่องทางจิตใจ ก็คือรู้จักดำรงตนให้มีลมหายใจที่สงบเย็น
โดยหลักของพุทธศาสนา ก็คือสอนให้มีชีวิตอยู่อย่างลืมหูลืมตา ตรงตามคำว่า”พุทธะ” ไอ้พุทธะนี่ ศัพท์ธรรมดาสามัญแท้ๆ มันแปลว่าการตื่นนอน นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมานี่คือกิริยาที่เรียกว่าพุทธะ แล้วเขาก็เอามาใช้ในทางศาสนา ก็กลายเป็นการตื่นจากความหลับแห่งกิเลส
ผมเคยบอกให้สังเกตกันไว้ แล้วก็บอกอยู่เรื่อย ๆ ว่าไอ้ศัพท์ธรรมะ ศัพท์ศาสนานี่เอามาจากศัพท์ชาวบ้านทั้งนั้นเลย ถ้าเรารู้จักความหมายอย่างภาษาชาวบ้าน ของคำศาสนา ศัพท์ศาสนานั้นแล้วก็จะเข้าใจได้ดี เช่นคำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น อะไรเย็นก็เรียกว่ามันนิพพาน เมื่อมันเย็นลงแห่งความร้อนแล้วก็ เรียกว่ามันเป็นนิพพาน เรารู้จักทำให้ชีวิตนี้มันเย็น อย่าให้มันร้อนโดยไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็เป็นนิพพาน เพียงแต่มันยังไม่เด็ดขาด มันยังไม่ถึงที่สุด มันยังไม่ยืดยาว ตายตัว นั้นก็ทำต่อไปให้มันถึงที่สุด และตายตัว นี่เราจะตื่นจากหลับ คือความโง่ แล้วก็จะได้รับผลเป็นความเย็น คือนิพพาน
ต้องพูดว่าเมื่อก่อนนี้คุณยังโง่ เพราะความหลับ คือกิเลส โดยที่ไม่รู้เสียเลยว่าเกิดมาทำไม เกิดมาทำไม นั่นคือความหลับแห่งกิเลส มันก็ทำไปตามกิเลส เดี๋ยวนี้มารู้เรื่องของโพธิ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามจากกิเลส มันก็ทำไปตามอำนาจของโพธิ คือความรู้ที่ถูกต้อง มันก็กลายเป็นตื่นขึ้นมา หรือว่าอยู่ในสภาพอันใหม่ เปลี่ยน ๆ เหมือนกับเปลี่ยนโลก แทนที่จะอยู่ในโลกมืด ก็มาอยู่ในโลกที่สว่าง
ถ้าเธอออกไปแล้ว มันมีความสว่างแห่งชีวิต ดำรงชีวิตกันถูกต้อง นั่นก็เรียกว่าได้รับผลแห่งการออกมาแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็ได้สิ่งนี้ออกไปเป็นเครื่องมือสำหรับดำรงชีวิต และด้านจิต ด้านวิญญาณ ที่ผมใช้คำว่าจิต และวิญญาณนี้ก็เพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี แต่เข้าใจว่าคงจะมองเห็นกันได้ทุกคนว่าด้านจิต ด้านวิญญาณนั้นมันก็ไม่ใช่ด้านร่างกาย ด้านวัตถุก็แล้วกัน ภาษาฝรั่งเขาก็มีคำว่า spiritual แปลว่าฝ่ายจิต หรือฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน คำว่า spirit นั้นก็แปลว่าวิญญาณก็ได้ คำธรรมดาแปลว่าเหล้า ที่กินแล้วเมา อย่างนี้ก็ได้
เมื่อมีความรู้เรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ก็จะมีการประพฤติกระทำที่ถูกต้องในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ เป็นคู่กันกับฝ่ายร่างกาย หรือฝ่ายวัตถุ ก็เป็นอันว่าถูกต้อง และสมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย อุปมาให้จำง่ายสำหรับเรื่องนี้ว่าชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควายสองตัว หรือวัวสองตัว ม้าสองตัวอะไรก็แล้วแต่ที่เราเห็นกันอยู่แต่ก่อนนี้ ก็จะไถนาก็ควายสองตัว วัวสองตัว ลากรถก็ม้าสองตัว มันเต็มที่ นี่เราออกไปนี่มันก็ออกไปแสดงบทบาทของความเป็นมนุษย์ มีชีวิตชนิดที่ว่าจะเดินทางก้าวหน้าไปให้ถึงที่สุด จึงขอให้เหมือนกับว่ามันเทียมด้วยควาย หรือวัว หรือม้า สองตัวลากยานพาหนะอันนี้ไป คือทั้งทางฝ่ายวัตถุ และทั้งทางฝ่ายจิตใจ ขอให้มันสำเร็จประโยชน์จริง ๆ ตามนี้ เรียกว่ามีเครื่องมือที่ดี แล้วก็เป็นเครื่องรางอยู่ในตัวมันเอง ชีวิตนั้นจะได้รับการคุ้มครองด้วยธรรมะ เหมือนกับเครื่องรางที่ดีที่สุด สำเร็จประโยชน์ในการมีชีวิต หรือในหน้าที่การงานของชีวิต ทั้งอย่างเรื่องโลก ๆ ในเรื่องธรรมะด้วย มันทำให้ไม่มีความผิดพลาดทั้งในเรื่องโลก ๆ ในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ นี่คือเป็นเรื่องคุ้มครองที่สุด
ถ้าเรามีความผิดพลาดในเรื่องโลก ๆ เช่นประกอบอาชีพไม่สำเร็จ เพราะความเหลวไหลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่ามีความเร้าร้อน เพราะการประกอบอาชีพนั้น อย่างที่สกัดกั้นออกไปไม่ได้ มันก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น คุณจำไว้ด้วย เอาไปคิดดู เอาไปสังเกตดู มีอบายมุข เป็นต้น แล้วก็ประกอบอาชีพโลก ๆ นั้นก็ไม่สำเร็จ มันก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น แล้วก็ไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบเย็น ให้เป็นที่พอใจอยู่ทุก ๆ วัน มันมีแต่ความหิวกระหายอยู่เสมอ มันก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น นี่ว่าเรื่องโลก ๆ ฝ่ายเรื่องทางโลก เราก็ทำให้มันเย็นไม่ได้ ธรรมดามันก็ไม่เย็นอยู่ด้วยก็ต้องทำมัน มันจึงจะเย็น ดังนั้นอยู่อย่างมีความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาแล้ว มีธรรมะเพียงพอสำหรับดำเนินงานเหล่านั้น มีสัจจะ ธรรมะ ขันตี จาคะ อย่างนี้เป็นต้น ก็สำเร็จในการงาน ทีนี้การงานมันก็ให้ผลเป็นเรื่องทางวัตถุ มันก็หมดปัญหาทางวัตถุ เหลือแต่ปัญหาทางจิตใจ เช่นเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เรื่องที่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ นี่ก็ใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ไข ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ก็แก้ไขด้วยธรรมะที่ว่ามันเป็นอย่างนั้น หัวใจของพุทธศาสนาบอกว่าสังขารทั้งปวงมันต้องเป็นอย่างนั้น ที่เรียก ตถา หรือ ตถตา เรื่องอริยสัจ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องไตรลักษณ์นี่ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา มันล้วนแต่บอกว่ามันเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้น ๆ มันเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ หรือแม้แต่ความตาย มันก็เป็นเรื่องที่เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นก็ให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็แก้ไขไปโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ รักษาเยียวยาไปโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ อย่าไปโง่เป็นทุกข์ให้มันเสียเวลา มันไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันก็เป็นทุกข์สำหรับเรา
ทีนี้เรื่องได้มา ประสบความสำเร็จในการงานบางอย่าง บางครั้งก็อย่าไปโง่ อย่าไปหลงใหล อย่าไปดีใจ ก็มองเห็นอยู่ว่ามันก็สำเร็จมาตามกฎของความเป็นอย่างนั้น คือมันก็เป็นอย่างนั้น ตามกฎของความเป็นอย่างนั้น นี่ ตถา ความเป็นอย่างนั้น หรือ ตถตา ก็ความเป็นอย่างนั้น มันช่วยให้คนเราปกติ ที่จะมาให้กลัว ให้โกรธ ให้เกลียด ให้ร้อนนี้มันก็ไม่ มันก็ไม่ ไม่ต้องไปโกรธ ไปเกลียด ไปกลัว ไปทำให้ร้อน ที่มันจะมาทำให้รัก ให้ยึดถือ ให้หวงแหน ให้หึง อะไรก็ไม่ต้อง มันก็เลยปกติ เรียกว่าให้ชีวิตนี้มันไม่ต้องระหกระเหิน ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น เหมือนที่เขากำลังเป็นกันอยู่ในโลก ที่มีการศึกษาเหมือนกับหมาหางด้วน
ผมพูดคำนี้บ่อย ๆ เพื่อให้คุณลืมไม่ได้ ลืมยาก คุณก็เป็นนักศึกษา ผมก็บอกว่าการศึกษาในโลกมันกำลังเป็นเหมือนกับหมาหางด้วนตัวโต ๆ มันไม่น่าดู เพราะมันยังขาดไอ้ส่วนที่ทำให้น่าดู เราไปทำให้มันเต็ม ฉะนั้นอย่าประมาท อย่าอวดดี อย่ามองข้ามไอ้ข้อปฏิบัติที่ทำให้เกิดความปกติ คือไม่ยินดียินร้าย
ถ้าเห็นตถา ถึงตถา ก็เป็นพระอรหันต์แหล่ะ ผู้ที่ถึงตถา เห็นตถาโดยสมบูรณ์ ก็คือตถาคต คือพระอรหันต์ นี่เราก็ทำอะไรให้เก่งกว่านั้นไม่ได้ มันก็ทำตามแนวนั้น มีการเห็นความเป็นอย่างนั้นของสังขารทั้งปวงในการเป็นอยู่ในโลกนี้ อย่าไปดีใจเมื่อมันมาหลอกให้ดีใจ อย่าไปเสียใจเมื่อมันมาหลอกให้เสียใจ มันเป็นเรื่องของสังขาร ฉะนั้นอย่าไปโง่ดีใจนั่น ดีใจนี่ แล้วก็ไปเสียใจนั่น เสียใจนี่ ทำใจปกติ แล้วก็ทำไปในส่วนที่มันควรจะทำ แล้วก็แก้ไขไปในส่วนที่มันผิดพลาด คุณมีหน้าที่ ๆ จะต้องทำให้สำเร็จ ทำให้ถูกต้อง และแก้ไขเมื่อมันผิดพลาด ให้มันถูกต้อง มันก็มีอาการที่เรียกว่า ก้าวหน้าไปตามทางธรรม ไปสู่ไอ้จุดหมายปลายทางที่มีธรรมโดยสมบูรณ์ นี่ก็คือในชีวิตที่มันถูกต้องและสมบูรณ์ เพราะธรรม เพราะพระธรรม ซึ่งเรายังไม่รู้ มาแสวงหา มาศึกษาให้รู้ ให้เกิดความสว่างในส่วนนี้
จึงขอยืนยันว่าคุณจะต้องเอาติดตัวไป เมื่อกลับออกไปสู่เพศฆราวาส มันก็เหมือนกับมาเข้าโรงเรียนอะไรชนิดหนึ่ง สำหรับเอาความรู้นี้ออกไป ใส่ให้ชีวิตมีความรู้ที่ครบถ้วน และสมบูรณ์ หนังสือก็รู้ อาชีพก็รู้ ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องก็รู้ ก็เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ ไม่เป็นการศึกษาเหมือนกับหมาหางด้วน แล้วคน ๆ นั้นมันก็ไม่ต้องเป็นหมาหางด้วน มันไม่มีความงามแห่งความเป็นมนุษย์ ก็ต้องเรียกว่ามันเป็นคนที่เหมือนกับหมาหางด้วน มันไม่น่าดู มันจะอ้วนพี สมบูรณ์อย่างไรมันก็ไม่น่าดูไปได้หรอก เพราะมันหางด้วน มันไม่มีอะไรที่แสดงความสมบูรณ์
นี่รวมกันแล้วก็เรียกว่าไอ้สิ่งที่ผู้บวชเองจะพึงได้ ในฐานะที่เป็นสัตว์กตัญญูก็ต้องนึกถึงสิ่งที่บิดามารดาจะพึงได้ ดังนั้นคุณกลับออกไปนี้ต้องเป็นที่พอใจอิ่มอกอิ่มใจของบิดามารดา ก่อนหน้านี้เราเคยทำให้บิดามารดาเจ็บปวด ร้อนเหมือนกับถูกจับใส่ในนรก เมื่อเราบวชแล้วจะทำอย่างนั้นอีกไม่ได้ จะเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้ ขอให้มันมีแต่ความเย็นอกเย็นใจแก่บิดามารดา คือทำบิดามารดาให้เย็นอกเย็นใจ เพราะมีลูกคนนี้ ซึ่งมันรู้อะไรพอตัวแล้ว และยังเป็นผู้ชักจูงบิดามารดาได้ด้วย หรือถ้าไม่ชักจูงอะไร ก็อย่าไปทำให้ร้อนใจเหมือนกับจับบิดามารดาใส่ลงไปในนรก ให้ได้รับความพอใจเต็มที่ เพราะความมีลูกคนนี้ ที่ได้ศึกษาครบถ้วนกระบวนความแล้วทั้งสามความหมาย คือ หนังสือก็รู้ อาชีพก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ถูกต้อง พ่อแม่ก็ได้รับความสบายใจ เป็นการสนองพระคุณผู้มีพระคุณสูงสุดไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาในข้อนี้ และในบางกรณีอาจจะชักจูง แนะนำบิดามารดาให้ก้าวหน้าตามธรรมะมากกว่าแต่ก่อน เรากลับออกไปนี้บิดามารดาจะได้รับความเย็นอกเย็นใจนั้นส่วนหนึ่ง แล้วมารดาจะยังได้รับความสว่าง แสงสว่างแห่งชีวิต ที่เราจะพูด จะจา จะทำให้ดู จะเป็นอยู่ให้ดูอะไรได้อีก ก็เรียกว่าญาติทั้งหลายมีบิดามารดา เป็นต้น ก็พลอยได้รับประโยชน์ อานิสงค์จากการบวชของเรา
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่ว่าส่วนรวมจะได้รับนี้ก็คือ เป็นการสืบอายุพระศาสนา เมื่อเราบวชอยู่ก็เป็นสืบอายุพระศาสนา บวชสามวันก็สืบสามวัน บวชสามเดือนก็บวชสืบสามเดือน บวชสามปีก็สืบสามปี ทีนี้ถ้าไม่เหลวไหล สึกกลับไปมันติดตัวไปมันก็ไปสืบอายุพระศาสนาตามแบบของฆราวาส คือเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดีมันก็เป็นสืบอายุพระศาสนาด้วยเหมือนกัน ในส่วนหัวใจของพระศาสนานั้นมันยังอยู่ มีศาสนาอยู่ในคนก็คือมีศาสนาอยู่ในโลก ในโลกนี้มันก็มีศาสนาเป็นเครื่องคุ้มครอง ทุกศาสนามันคุ้มครองโลกทั้งนั้นแหล่ะ คุณอย่าไปเข้าใจผิด โดยส่วนสังคมแล้วมันเป็นเรื่องคุ้มครองทุกศาสนา เพราะทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น มันก็อยู่กันด้วยความปลอดภัย นี่สอนให้คนมีจิตใจสูงขึ้นไปจนถึงบรรลุขั้นสูงสุดนั้นก็ยิ่งเป็นหลักฐานเป็นรากฐานที่มั่นคง คือมีคนที่มั่นคงด้วยธรรมะ ด้วยศาสนาอยู่ในโลก นี่เราเรียกว่าคนทั้งโลกได้รับประโยชน์ เพราะการมีศาสนาที่เราช่วยกันสืบไว้ให้ เราพูดว่าเป็นประโยชน์แก่ศาสนานี่มันเป็นคำสำนวน อุปมาเหมือนกับว่าศาสนาเป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ เราก็พูดได้ ถ้าศาสนามันหมดไปก็คือมันตาย ศาสนามันยังอยู่ ก็เหมือนกับมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นช่วยกันทำให้ศาสนามีชีวิตอยู่สำหรับคุ้มครองโลก แล้วการบวชของเรามันก็จะมีผลมหาศาล คือเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งโลก ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวควรจะคิดอย่างนี้ คิดถึงประโยชน์ของโลกทั้งโลก ถ้าเราจะเสียสละได้ เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลกได้มันก็ยิ่งดี
ดังนั้นบางคนจึงก็ไม่ลาสิกขา โดยที่เห็นว่าโอกาสที่จะทำประโยชน์แก่โลกนี้ ทำอย่างเป็นภิกษุได้ดีกว่า มากกว่า ไกลกว่า กว้างกว่า อะไรก็ตาม ก็ไม่ลาสิกขา สมัครที่จะอยู่ในสภาพที่ทำประโยชน์แก่โลกอย่างสูงสุดอย่างนี้ก็มี แต่แม้ว่าเราจะต้องลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาส เราก็ยังทำได้ไม่น้อยเหมือนกัน ขอให้ไปอยู่อย่างเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วสืบศาสนาในระดับนั้น มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องอยู่ในโลกนี้ เพราะการกระทำของเรา ก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาในระดับหนึ่ง จึงขอให้นึกไว้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็แคบ คือทำประโยชน์ได้น้อย แล้วมันก็จะโง่อยู่ในตัวมันเอง คือว่าประโยชน์อันใหญ่หลวงที่ควรจะทำได้ แล้วมันไม่ทำ มันควรจะทำได้ หรือมันทำได้แล้วมันไม่ได้ มันก็เสียไป ฉะนั้นอย่าให้มีอะไรรั่วไหล หรือเสียไปในเมื่อเราจะทำได้
ฉะนั้นออกไปนี้ก็ต้องนึกถึงโลกเป็นส่วนรวมด้วย จะทำการณรงค์ หรือแนวร่วมอะไรก็ตามก็ทำให้มันถูก อย่าไปทำโง่ ๆ ให้มันเกิดความโกลาหลปั่นป่วน วุ่นวายไม่มีประโยชน์ จะทำการณรงค์ ทำแนวร่วมที่จะเกิดสันติสุขอันแท้จริงขึ้นในโลก ในศาสนา ซึ่งเรียกสั้น ๆ ว่าทำคนให้มีศีลธรรม ไอ้เรื่องซ้าย เรื่องขวานั้นมันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหล่ะ ไอ้ความมีศีลธรรมน่ะมันอยู่ตรงกลาง เป็นความถูกต้อง เป็นหนทางรอดของมนุษย์ ในทางรอดของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องซ้ายเรื่องขวา เป็นเรื่องอยู่ตรงกลาง คือมีความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ นี่เราต้องช่วยกันระดมในข้อนี้ คือทำให้คนในโลกมันมีศีลธรรม มีพระธรรมอยู่ในจิตใจ อยู่กันอย่างเป็นผาสุก หนทางอื่นมันไม่มีที่จะทำให้โลกนี้สงบเย็นเป็นสันติภาพ ดังนั้นคุณควรจะต้องรับเอาไปด้วย หลักการที่จะทำให้มนุษย์มีศีลธรรมอยู่กันเป็นผาสุก
สรุปความว่าตัวเราเองก็ได้เต็มที่ ประโยชน์ หรืออานิสงค์แห่งการบวชนี้ ตัวเราเองก็ได้เต็มที่ ญาติทั้งหลายมีบิดามารดา เป็นต้น ก็ได้เต็มที่ เรา โลกทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงก็พลอยได้ด้วย ก็เรียกว่ามันได้ผลเกินค่า ขอให้สนใจ อย่า ๆ ให้มันลืมเลือนไปเสีย ทีนี้เรื่องที่แคบเข้ามาเป็นเรื่องส่วนตัว ก็อยากจะแนะนำว่าเมื่อสึกออกไปแล้วก็ ก็มันยังเป็นพุทธบริษัทอยู่ คุณลาสิกขานี้ก็ลาแต่ความเป็นภิกษุ ไม่สมาทานวัตรปฏิบัติอย่างภิกษุ แล้วก็ไปเป็นคฤหัสถ์ ฆราวาสที่ดี มีธรรมะ มีศาสนาตามแบบของอุบาสก อุบาสิกา นั่นเราไม่ได้สลัดธรรมะ ไม่ได้สลัดพุทธศาสนา ฉะนั้นจงไปทำตัวให้เป็นพุทธบริษัท ในรูปแบบของคฤหัสถ์ แล้วทำทุกอย่างที่เป็นเรื่องที่ควรจะทำ เช่นการศึกษาก็ยังคงศึกษาต่อไป การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ยังทำต่อไป มีคน มีจิตใจใกล้ชิดธรรมะ หรือศาสนาอยู่ตามเดิม ไม่ต้องทิ้ง ไม่ต้องทิ้งวัด ไม่ต้องทิ้งศาสนา เดี๋ยวมันไปลาสิกขาเรียกว่าลากันหมด ไม่มีอะไรเหลือเหมือนกับแก้ผ้า มันก็บ้าเลย มันเพียงแต่เปลี่ยนจากสิกขาอย่างภิกษุ ไปเป็นอย่างอุบาสก อุบาสิกา ก็ขอให้ติดต่อกับวัดวา กับครูบาอาจารย์ กับศาสนา มีอะไรเป็นเครื่องสะกิดใจ เพื่อไม่ให้ลืมศาสนา
ผมเคยแนะนำว่าไอ้ผ้าเหลือง หรือบาตรนี่ดีที่สุด รักษาให้สะอาด ให้สวยงาม เอาไปไว้ในที่ ๆ ควรไว้ ที่บ้าน ที่เรือน ที่ห้องหนังสือ ส่วนตัวอะไรก็ได้ที่มันเหมาะสม เพราะว่าถ้าพุทธบริษัทแท้จริง มันก็ควรจะมีที่ ๆ เรียกว่าห้องบูชาพระ บาตร จีวรอันเหลืองอร่ามสวยงามนี้มันจะช่วยเตือนไม่ให้ลืมธรรมะ ไม่ให้ลืมศาสนา คือมันจะเหมือนกับคอยชี้หน้าว่าไอ้สัญชาติเลว มันลืมศาสนา มันลืมการบวช มันลืมอะไรเสียแล้ว คนที่ฉลาดหลายคนแล้วที่เห็นมา เขาเอาบาตร กับจีวรนี้ไปไว้กับพระพุทธรูปในห้องที่เรามีพระพุทธรูป แม้ที่สุดแต่บนหลังตู้หนังสือก็ยังมี มันเตือนใจได้มากกว่าอย่างอื่น ไอ้รูปถ่าย ถ่ายไว้เมื่อเป็นพระ มันก็ยังไม่เตือนใจมากเท่ากับว่าเอาไอ้บาตรจีวรนี้ไปไว้ให้เป็นเครื่องเตือนใจ มันมีความศักดิสิทธิ์อะไรมากกว่ารูปถ่าย แล้วมันเป็นเรื่องที่เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ โดยผ่านมาทางอุปัชฌายะ นี่เป็นตัวอย่าง
ฉะนั้นอะไร ๆ คุณก็ไปคิดเอาเอง ไปนึกเอาเองว่าที่มันจะช่วยเตือนไม่ให้ลืมศาสนาแล้วก็จงพากันกระทำ และขอให้ประสบความสำเร็จในความมุ่งหมายของความเป็นมนุษย์อย่างฆราวาส มีทรัพย์สมบัติพอตัว อย่าทำอบายมุข มันก็จะมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว เพราะมันรักที่จะมีเกียรติยศชื่อเสียง และก็มีคนที่เป็นคนดี รักใคร่ กรุณา เมตตา เอ็นดูอย่างพอตัว คือมีคนดี ๆ แวดล้อมเรา รักใคร่เรา เอ็นดูเรา ส่งเสริมเราอย่างพอตัว ไอ้คนเลวไม่มีใครรัก ไม่มีใครส่งเสริม เราก็ต้องเป็นคนดี จึงจะมีคนดีรักใคร่ ส่งเสริม เอ็นดู เมตตา กรุณา เป็นเพื่อนที่ดี ใครประสบความสำเร็จสามข้อนี้ ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในการเป็นพุทธบริษัทอย่างฆราวาส
ทีนี้เราก็มีอีกส่วนหนึ่งด้านจิต ด้านวิญญาณ มีความรู้ทางธรรมะ สำหรับจะมีจิตใจที่เยือกเย็นเป็นนิพพานในระดับใดระดับหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จแห่งความเป็นมนุษย์ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายวัตถุ และฝ่ายจิตใจ ฉะนั้นก็กล่าวได้ว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ อย่างพวกเรานี้มันต้องพูดว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้รับ ได้พบพระพุทธศาสนา ในฐานะ เป็นของดีประเสริฐสุดสำหรับความเป็นมนุษย์ เอาละเป็นอันว่า คุณบวชแล้วจะกลับออกไป แล้วจะขนอะไรกลับติดตัวออกไปในคราวนี้ ก็คือในเรื่องที่ได้ว่ามาแล้วนี้ ฉะนั้นขอให้ขนกลับเอาไปด้วยอย่างเต็มที่ โดยใส่ไว้ในหีบ ในกระเป๋าแห่งวิญญาณ ไม่ใช้กระเป๋ารุงรังอย่างที่หอบหิ้วกันมา มันเป็นหีบเป็นกระเป๋าแห่งวิญญาณ อยู่ในดวงวิญญาณ ใส่ออกไป กลับออกไปนั่นแหล่ะ ทุกอย่างก็จะมีผลเกินค่าทั้งแก่ตัวเรา แก่บิดามารดาของเรา แก่เพื่อนร่วมโลกของเรา เอาหล่ะ, เวลาก็สมควรแล้ว มันหมดแล้ว ขอยุติการพูดในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้