แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทลาสิกขาบทแด่พระภิกษุ ๕ รูป ที่หินโค้ง เมื่อตอนเช้าของวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
เริ่มด้วยการทำวัตร เดี๋ยวๆๆ (0:00:37) เสียงไม่ชัด
(0:00:52-0:03:44) สวดมนต์
(0:03:47) เสียงไม่ชัด
ถึงคราวที่จะต้องทำในใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับการลาสิกขา เกี่ยวกับการทำใจให้ถูกต้อง เราลาสิกขาเฉพาะของภิกษุ ไม่ได้ลาสิกขาทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เราไม่ได้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ไม่ได้บอกคืน ศีล สมาธิ ปัญญาที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัตินี้ก็ไม่ได้บอกคืน บอกคืนแต่สิกขาสำหรับภิกษุ จะไม่เป็นภิกษุ จะเลิกจากความเป็นภิกษุ เราทำในใจให้ถูกต้อง อย่างนี้ ตามวินัยก็ถือว่าจิตใจมันต้องการ อยู่ในใจสลัดออกไป เข้าใจว่าคงไม่มีปัญหากระทบพวกเธอซึ่งมีความตั้งใจไว้แล้ว แน่ใจแล้ว มีปัญหาสำหรับคนที่ไม่อยากจะสึกแต่ถูกบังคับให้สึกนั้นมีปัญหา สำหรับเราไม่มีปัญหาแล้ว ก็เป็นอันว่ามีจิตใจลาสิกขาก็กล่าววาจาลาสิกขาแล้วก็แสดงกิริยาอาการทางกายเป็นการลาสิกขานั้นก็น่าใช้ได้แล้ว ไม่ต้องทำเป็นสังฆกรรม ไม่ต้องไปสีมา ไปประชุมสงฆ์ เป็นเรื่องส่วนตัว ก็ทำกับอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่เป็นภิกษุก็ยังได้ (0:06:29) จะมีการลาสิกขา เมื่อปากว่าคำบาลีจิตใจมันต้องรู้ สิกขัง ปัจจักขามิ ข้าพเจ้ากล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุ คิหิติ มัง ธาเรถะ ถือว่าข้าพเจ้าเป็นฆราวาสคฤหัสน์ ตามธรรมเนียมต้องทำด้วยสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะอย่างปกติ ใจคอปกติ เขาจึงมีการสำรวมจิตใจเสียก่อนอย่างมากก็ด้วยการตั้งนะโมระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้มันใจคอปกติเข้ารูปเข้ารอย ว่านะโมพร้อมๆ กันนะว่าลาสิกขาที่จะพูด
(0:07:49-0:08:08) นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ว่ามาตามลำดับคนที่แก่ ใครแก่กว่าเพื่อนว่าก่อน (0:08:17-0:08:43)“สิกขัง ปัจจักขามิ คิหิติ มัง ธาเรถะ สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเรถะ สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเรถะ” กราบ (0:08:50) เสียงไม่ชัด เราได้กล่าวคำบอกคืนสิกขาแล้วจึงไม่มีการนุ่งห่มผ้ากาสายะอย่างภิกษุอีกต่อไป (0:09:05) เสียงไม่ชัด (0:09:12-0:09:28)“สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเรถะ สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเ ถะ สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเรถะ” กราบ ได้กล่าวคืนสิกขาแล้วจึงไม่มีการนุ่งห่มผ้ากาสายะอย่างภิกษุอีกต่อไป ไปเปลี่ยน เธอว่า (0:09:56-0:10:00)“สิกขัง ปัจจัก”
ทีนี้ก็รับศีล รับศีลแปดหรือรับศีลห้า ถ้านับอย่างนับเลขเขาถอยไปตามลำดับ เค้ารับศีลแปดแล้วค่อยไปรับศีลห้าทีหลัง คือทำอย่างถอยหลังสูตรเดียวมีศีลห้า (0:10:18-0:10:25) อาราธนาศีล (0:10:30-0:15:53) สวดมนต์
ตั้งใจฟังให้ดีนะ เวลาตั้งใจฟังพนมมือ ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ เราบอกคืนสิกขาจากภิกษุแล้วมาเป็นคฤหัสน์แล้ว วันนี้ก็รับศีลอย่างคฤหัสน์ในอันดับสูงคือศีลแปดซึ่งตามปรกติเขาถือศีลห้ากันอยู่เป็นพื้นฐาน ศีลแปดนี้ถือในโอกาสที่ควรถือหรือถ้าถือได้ตลอดไปก็ได้เหมือนกัน มีบางคนเขาถือได้ซึ่งเป็นฆราวาสคือเป็นคนโสดเป็นคนที่ไม่มีอะไรผูกพัน มันก็ไม่มากมายเกินไป ก็ยังไม่มีภรรยาก็ยังคงถือสังฆกรรมอยู่ได้ บางคราวอาหารมื้อเย็นก็ลำบากก็ไม่ต้องถือ บางคนก็ถืออยู่ได้บ่อยๆ บางคนยังถืออยู่ขนาดสึกก็สบายดี แต่ก่อนรำขับร้องไปทั่วดีดสีตีเป่าห้องทางประดับประดาตกแต่งถือได้ แต่ว่าถือได้ไม่ต้องเอาสวยเอางามเอาหอมเอาตามปรกติก็ถืออยู่ได้ ก็ดี มันไม่เกิน ประหยัด (0:17:52) เสียงไม่ชัด ที่นั่ง ที่นอนสูงใหญ่ไม่ต้อง เอาตามปรกติ ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆเอาตามปรกติ เราจะถือศีลมากกว่าศีลห้าก็ยังได้ถ้าเรารักจะถือ แต่อย่างน้อยต้องถือศีลห้ามันจะได้เป็นพุทธบริษัทตามธรรมสถานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้วางไว้ อย่างน้อยก็ต้องถือศีลห้า
อย่าประทุษร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่นฆ่าให้ตายก็ไม่ได้ ทำให้เจ็บปวดก็ไม่ดี ทำแต่ความเมตตากรุณา แล้วก็ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเขา ไม่ลักไม่เอาไม่ทำเสียหาย ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่สร้างเวรสร้างภัยก็สบายแท้ กาเมไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ถ้าเป็นของรัก หวง ไปทำเขา เพื่อนก็โกรธแค้นก็สร้างเวรสร้างภัย มันโง่มากนะข้อนี้ ถ้าใครมาทำของตัวเองก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทีตัวเองไปทำของเพื่อนได้ มันโง่มาก มันเห็นแก่ตัวมาก แล้วก็ไม่ประทุษร้ายของรักของใครของหวง ผู้อื่นรักใครหวงแหนก็ไม่ประทุษร้าย ไม่พูดเท็จยังประทุษร้ายความยุติธรรมของผู้อื่น ไม่ทำโดยประการทั้งปวง แต่ข้อห้าสุราประทุษร้ายสติปัญญาสมปฤดีของตนเอง อยู่ดีๆ ทำให้บ้า เขาเรียกประทุษร้ายสมปฤดีของตัวเอง ประทุษร้ายสติปัญญาของตัวเองก็ฉิบหายหมด ต้องถือศีลห้าให้มันเป็นพื้นฐานที่แน่นแฟ้นที่สุด เต็มที่ที่สุด ระลึกถึงทุกวันๆ จะได้ชำระให้มันสะอาด เลิกไปเล็กๆน้อยๆ ทีหลังมันจะได้เลิก จนถือได้ดี ไม่ประทุษร้ายร่างกายชีวิตผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมของผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายสติปัญญาสมปฤดีของตัวเอง
ถ้างั้นศีลห้าเป็นรากฐานที่ดีที่สุด มั่นคงที่สุด ประเสริฐที่สุดที่จะช่วยให้อยู่ในความปลอดภัยในความสุขความเจริญ คนมันโง่ มันไม่ทำ ไม่เท่าไรมันก็เกิดเรื่องยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์ ก็ยังฉิบหายตายเลยก็มี (0:21:29) นี่มันไม่แสดงให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้ใครๆ เขาเห็น ถือให้มันชัดเจนแน่นแฟ้นมั่นคงให้ใครๆเขาเห็นก็นับถือก็บูชา แล้วมันก็ถูกต้องด้วยมีประโยชน์มาก
อย่าอวดดี อย่าก๊องแก๊งๆ อวดดี (0:21:52) ความฉลาดเขาไม่ได้มีไว้สำหรับป้องกันความชั่ว เขามีไว้สร้างความดีอยู่ ไม่ใช่ทำความชั่วแล้วฉลาด มาป้องกันความชั่วไม่ให้เกิด (0:22:14) โง่บรมโง่ อย่าใช้ความฉลาดเพื่อจะทำความผิด หลบหลีกความผิด ใช้ความฉลาดเพื่อจะทำความดี
อย่าอวดดี อวดดีมันจะลำบากและไม่เคยได้ลดโทษ คนโง่จะอวดดี อวดดีแล้วก็ไม่รู้ตัว มันก็อวดดีอยู่เรื่อย เขาเกลียดน้ำหน้าทั้งบ้านทั้งเมือง (0:22:38)เป็นคนสำรวมไม่ประมาทดีกว่า ที่ก๊องแก๊งๆ ไม่ต้องมี ไม่ใช่ไก่แจ้ ถ้าเป็นคนไก่แจ้ต้องก๊องแก๊งๆ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรแก๊ง ไม่มีอะไรก็น่ากลัว แต่คนมันไม่รู้มันก็มักจะเป็นกัน มันจะเป็นเหมือนแด็กๆ ๆๆ (0:23:18) อยู่เรื่อยไป (0:23:23) ถ้ามันเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีคุณค่ามีประโยชน์ครอบครองใครควบคุมใครได้ ไม่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ดีได้เพราะมันโง่นี่
ที่เรามาบวชก็เพื่อให้มันหายโง่ให้มันรู้อะไรต่ออะไรไปเป็นฆราวาสที่ดี สำหรับคนที่จะสึกออกไปจะไปเป็นฆราวาสที่ดี ให้สำเร็จประโยชน์ในความเป็นฆราวาสที่ดีจนตลอดชีวิต ถ้ามันคิดจะบวชลาก็ไม่เป็นไรหรือถ้ามันไม่บวชก็ขอให้เป็นฆราวาสที่ดีไปจนตลอดชีวิต (0:24:21) เมื่อไปเจอคนที่ทำให้ได้รับประโยชน์อันนี้ ทุกๆ คนแหละให้สมกับได้บวชแล้ว นี่ก็คือศีล เราลาสิกขาแล้วเราก็รับศีล ให้พรก็คือบอกให้ทำความดี พรแปลว่าดี ดีนั้นต้องทำ ต้องทำจึงจะดี เราให้พรนั้นเราขอให้ไปทำดี ใครมีดีอยู่ก็มีพร
จำไว้นะ พรแปลว่าดี ดีนั้นต้องทำ ทำดีดีกว่าขอพร ดีกว่ามัวแต่ขอพรกันอยู่แล้วให้พร ไม่ทำดี มันน่าเวทนา ขอพรให้พรตามธรรมเนียมแล้วก็ไม่มีการทำดีแล้วก็ไม่มีพรที่จะเกิดขึ้นมาได้
ต่อไปนี้เราก็จะต้องหมายมั่นปั้นมือทำความดีให้สุดความสามารถอยู่ตลอดเวลา พอสิ้นวันค่ำลงให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำความดีตลอดวัน ถ้าทำความไม่ดีจะต้องเสียใจอย่างมากต้องเลิกต้องกลับความคิดทิ้งเสีย ให้มองเห็นว่าทำความดีให้นับถือตัวเอง ไหว้ตัวเองได้เพราะมันมีความดีที่ได้ทำ ถ้ามันไม่มีความดีมันก็ไม่เคารพตัวเอง ไม่นับถือตัวเอง ถ้ามีแต่ความชั่วก็ยิ่งกินแหนงตัวเองเกลียดชังตัวเองแล้วก็วินาศสันตะโร ก็ต้องทำความดี สอนใจตัวเองอยู่เสมอ
ทำความดีที่นี้คือทำหน้าที่ของมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์เรียกว่าทำความดี ชาวนาก็ทำนา เป็นชาวสวนก็ทำสวน พ่อค้าก็ค้าขาย เป็นข้าราชการก็ทำข้าราชการตามหน้าที่ เลือกเอาเป็นอาชีพจะต้องทำ ถ้าทำดีแล้วเป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ ในโลกนี้มันช่วยกันทำ แม้แต่คนค้าขายมันทำเพื่อให้โลกมันสะดวกสบายและเรียบร้อย ไม่ใช่ว่ามันจะเอาประโยชน์เอากำไรของมันไปเสียท่าเดียว ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นพ่อค้าหรือคนค้าขายที่เลว ถ้ามันคิดจะทำเพื่อให้ทุกคนได้รับความสะดวกให้โลกได้รับความสะดวก (0:27:32) ค้าขายแลกเปลี่ยนต่างฝ่ายต่างทำโลกนี้ก็มีความสงบสุขมันจึงเรียกว่าได้บุญ
คนที่ทำหน้าที่ของตัวแท้ๆ อาชีพของตัวแท้ๆทำให้ดีที่สุดมันก็ได้บุญ ถ้ามันดีก็ต้องเป็นพรหนึ่ง ถ้าทำนาก็เป็นชาวนาที่ดี ชาวสวนก็ทำสวนที่ดี ข้าราชการก็เป็นข้าราชการที่ดี แล้วแต่เราจะเลือกอาชีพอะไรให้เหมาะสมกับเรา เราทำเพื่อคิดว่าทำให้โลกมันดี เงินนั้นมันต้องได้ (0:28:11) ทำแล้วมันต้องได้ แต่อย่าไปหวังจากตรงนั้น อย่าไปบูชากันตรงนั้น ให้เงินเป็นของพลอยได้ เราเอาแต่บุญแต่ดีแล้วมันจะมีความสุข เราจะไม่เป็นโรค (0:28:29) มันไม่ต้องทุกข์ใจ มันไม่ต้องเสียใจ มันไม่ต้องฆ่าตัวตายเหมือนอย่างคนโง่ๆ มันยุ่งหมดจนทำอะไรไม่ถูกจะต้องฆ่าตัวตาย
เมื่อเราทำให้เห็นดี พอใจอยู่เสมอ ใจคอปรกติ นอนหลับสบาย ร่างกายดี ธรรมะเรียนมาแล้วก็ไม่ต้องพูด มันมีอยู่แล้วในตำรับตำราเรียนก็เรียน ก็ไปประพฤติปฏิบัติโดยเฉพาะฆราวาสธรรม มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในการทำงาน เป็นชาวนาก็มีสัจจะติดใจทำงาน (0:29:28) ทมะบังคับให้ทำให้ดีที่สุด ขันติต้องอดทนเป็นระยะตามสมควร แล้วก็มีจาคะสละสิ่งเลวๆ ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตัวเราออกไป นี้เขาเรียกว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ฆราวาสธรรม เข้าใจผิดก็อวดดีอยู่อย่างนั้น ถ้าเรียนมันจะรู้อะไรต่ออะไรพอสมควร แม้แต่เรื่องนี้ก็อยู่ในนักธรรม สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นเครื่องมือสำเร็จประโยชน์ เป็นการทำหน้าที่ของตน ถึงแม้ไปนิพพานมันก็ใช้สี่ข้อนี้เหมือนกัน สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ จะเป็นเทวดาได้ก็ต้องสี่ข้อนี้ จะไปอยู่ในโลกเป็นมนุษย์ก็ต้องสี่ข้อนี้
จริงๆ ใจต้องบังคับให้ทำให้อดทนตลอดเวลากว่าจะสำเร็จจากความเลวความชั่วต้องสละออกเลยๆ แม้แต่สูบบุหรี่เป็นความโง่เขาว่าก็คือว่าไอ้โง่ สละออกเสีย มันเป็นธรรมใช้ได้ครอบจักรวาล สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ท่องไว้เลย ทบทวนกันทุกวัน มันดี เรื่องที่แคบๆ อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั้นก็ดีแล้วมันแรงแต่มันอยู่ในวงแคบเรียกว่ามันเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรามันทั่วไป สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เพื่อเป็นชาวนาที่ดี ชาวสวนที่ดี พ่อค้าที่ดี ข้าราชการที่ดี ทหารที่ดี เป็นนักเศรษฐกิจที่ดี เป็นนักการธนาคารที่ดี แล้วแต่หน้าที่
อย่าไปบูชาความสนุกสนานแล้วก็ทะเลาะกัน อวดรวยอวดสวยเหมือนกับไก่แจ้ ไม่มีอะไรมันก็อวดได้ (0:31:58) เสียงไม่ชัด อยู่ที่ว่าเราจะต้องมีทรัพย์สมบัติพอตัวเป็นรากฐาน เราต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงความดีพอตัว เราต้องมีสังคมดีคือมีมิตรสหายดีมีคนที่แวดล้อมเรานั้นดี เท่านั้นก็พอ ฆราวาสนั้นอยู่กันได้มีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศพอตัว สังคมมีไมตรีพอตัวคือมีคนรักมีคนนับถือพอตัว มีทรัพย์สมบัติพอตัวให้มันสะดวกในการเป็นอยู่ มีชื่อเสียงพอสมควรแก่การเป็นอยู่ แล้วก็มีคนที่เขานับถือเราพอ พอตัวคือจำนวนหนึ่งที่ดี มีเงินแล้วเขาไม่นับถือก็มี มีเกียรติยศแล้วเขาไม่นับถือก็มี มันต้องทำให้เขานับถือ ให้เขาเห็นสงสาร ให้ผู้ใหญ่สงสาร ให้เพื่อนเสมอกัน (0:33:13) เสียงไม่ชัด ให้คนที่ต่ำกว่ายินดีส่งเสริม
อย่าโง่ไปนับนะ คนที่เขารักเราอยู่เหนือเราจะดึงเราขึ้นไป คนที่เสมอกันเขาก็รักเราเขาก็แวดล้อมเราให้ปลอดภัย คนชั้นต่ำกว่าเราเขารักเราเขาก็ส่งเราดันขึ้นมาให้มันสูงขึ้นมา อยู่ข้างใต้มันดัน อยู่ข้างบนมันดึง อยู่ตรงกลางมันก็ช่วยมาแวดล้อม นี้เขามีมาแต่โบราณแล้วมีในพระคัมภีร์มีในพระบาลี คนที่เขาดีกว่าเราเราต้องนับถือ อย่าอวดดีอย่าจองหองมันจะโง่ คนที่เสมอกันก็คบค้าสมาคมให้ถูกต้อง คนที่เลวกว่าเรา เราต้องสงสารเขาแล้วเขาก็จะตอบแทนด้วยการกระทำ
คนดีกว่าเราก็ดึงเราขึ้นไป คนเสมอก็แวดล้อม คนที่ต่ำกว่าเราก็ดีกว่าเราก็ช่วยดันเราขึ้นมาแล้วเราก็ดี ถ้ามัวแต่อวดดีเป็นไก่แจ้ใครๆก็เกลียดน้ำหน้า แต่มักจะเผลอไม่ค่อยรู้สึกตัว ถ้าโง่ฉายความอวดดีทำลายตัวเองหมด ทำลายประโยชน์ของตัวเองหมด ทำให้เขาเกลียดน้ำหน้า อ่อนน้อมถ่อมตัวไว้ดี ยกหูชูหางไม่มีทางดี
ถ้าเธอมีธรรมะในสี่ประการนี้มันก็เป็นของล้นเหลือล้นฟ้า สัจจะ-ความจริงใจในการที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ทมะ-บังคับให้ได้ ขันติ-ต้องอดทน แน่นอนมันต้องระยะยาวต้องอดทน บางทีเจ็บปวดมากก็ต้องอดทน อดทนเหน็ดเหนื่อยอดทน อดทนเขาว่าอดทน อดทนกิเลสใส่หัวไม่ทำชั่วก็ต้องอดทน อย่าให้กิเลสใส่หัวไปทำความชั่ว ต้องอดทนเหมือนกัน แล้วก็สละออกเลย อะไรไม่ดีคอยสละออกจากตัวเลย มันจะไม่มีทางจะผิดจะพลาดมันมีแต่ถูกต้องเลยแล้วก็เป็นพรเจริญขึ้นมาๆ ทำดีดีกว่าขอพร ก็อย่างนี้
เราต้องดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับบวชแล้ว ให้คนนับถือได้ว่าเราบวชแล้ว อะไรที่เราได้ผ่านมาแล้วเราต้องเตือนผู้อื่นในสิ่งต่างๆ เราเป็นผู้นำหมู่น้อยๆได้ เขาจะทำบุญทำทาน เขาจะรับศีล เขาจะทำอะไร เราก็ช่วยแนะช่วยนำได้ เราอย่าแสดงอาการว่าอาราธนาศีลก็ไม่ถูก ที่สึกไปแล้วเมื่อวานอาราธนาศีลก็ว่าผิดๆโทโส ถวายพระก็ว่าผิดๆโทโส มันไม่จริง สิ่งที่มีประโยชน์ต้องเก็บไว้ (0:36:56) เสียงไม่ชัด ทำวัตรได้ คนลังกาฆราวาสเขาก็ทำวัตร ทำวัตรแบบนี้เราไม่ได้ทำนเดียว ก็ดี ดีกว่าเราทำไม่ได้ บางทีมันอาย มันอายในสิ่งที่ไม่ควรอายคือมันโง่ มันก็เลยไม่ได้ทำที่ควรจะทำ ความดีมันก็ลดลงมีน้อยลง นี้ก็เรียกว่าพร ไม่มีพรที่หลอกลวงมีแต่พรจริงๆ คือความดีถ้าเราไปทำก็จะมีพร รับศีลรับพร เป็นสิ่งที่เป็นของจริงไม่ใช่พิธีรีตอง
บางแห่งก็ให้พรให้ชะยันโตหรือให้อย่างอื่น (0:38:24) แต่โดยมากเราก้ให้ชะยันโตไป ชะยันโตพระพุทธเจ้าชนะมารชนะกิเลส อันนี้เราพ่ายแพ้ติ่กิเลสหรืออะไรก็ตามเราต้องสึกเป็นฆราวาส เราอย่าชะยันโตเลย ขอให้เอาธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ไปประพฤติปฏิบัติให้ชนะให้ได้ ชนะความยากจนให้ได้ ชนะความน้อยหน้าตำตา (0:39:02)ให้ได้ ชนะผู้คนสังคมให้ได้ ให้เขาเคารพนับถือเราให้ได้ จะเป็นความชนะในอนาคตของเธอ ชนะเรื่องกิเลสไม่ได้ก็ไปชนะเรื่องโลกๆ ให้ได้ ชนะความขี้เกียจให้ได้ ชนะความอดกลั้นอดทนให้ได้ บังคับตัวให้ได้ อย่าไปทำของเกิน อย่ากินเกิน แต่งตัวเกิน เล่นหัวเกิน บ้าเกิน ที่แล้วก็แล้วไป มันบ้ามันโง่นั้นก็แล้วกันไปยกเลิกไป ต่อไปนี้ทำใหม่ เราทำด้ามเทียนกันใหม่ (0:39:49) ให้มีแต่เรื่องบวกๆๆๆ คะแนนลบไม่ต้องมี มีแต่คะแนนบวกเลย ก็พยายามติดต่อกับวัดวาอาราม กับพระเจ้าพระสงฆ์ กับศาสนา กันลืมไว้เฉยๆ อย่าสึกแล้วก็แล้วกันเลิกทันที ไม่อยู่กับวัดกับวากับศาสนาไม่ทันไรมันก็จมมิดลงไปกับฝ่ายตรงข้าม ถ้ายังติดต่ออยู่กับธรรมะธัมโมในหัวใจ ไปวัดไปวา ติดต่อกับศาสนากันลืมอยู่มันก็จะปลอดภัย
ในที่สุดนี้เราก็สรุปให้พรว่าให้เธอทำดีอย่างว่านี้ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ให้แน่นแฟ้น เข้มแข็ง เป็นทั้งเครื่องราง เป็นทั้งเครื่องส่งเสริม มันเป็นการป้องกัน เป็นการปรับปรุงส่งเสริมให้มันดี ก็ขอให้เจริญจริง ให้สำเร็จประโยชน์ การลาสิกขาของเราก็เป็นไปถึงที่สุดแล้วในการลาสิกขา ในการรับศีล ในการให้พร ก็จบการลาสิกขาเท่านี้ ที่เอาไว้เป็นที่ระลึกคือทำบุญต่อไป (0:42:00) ปิดๆๆๆ