แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เรียกมาทำความเข้าใจให้ถูกต้องในการลาสิกขา ที่ว่าเราลาเฉพาะสิกขาสำหรับความเป็นภิกษุ อันอื่นๆ ไม่ได้ลา ไม่ได้ลาพระรัตนตรัย ไม่ได้ลาศาสนา ในใจจะต้องเข้าใจถูกต้องว่าลาเฉพาะความเป็นภิกษุ ก็ในเมื่อปากว่า ก็ต้องเข้าใจคำเสียว่า สิกขัง ปัจจักขามิ คือว่ากล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุ ไม่ใช่คืนศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่คืนธรรมะ แบบนั้น คืนเฉพาะสิกขาบทสำหรับความเป็นภิกษุน่ะ ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวศาสนา ไม่มีคืน ถือเป็นหลักสำหรับดับทุกข์ตลอดไป ไม่ได้บอกคืน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คงมีตลอดไป ไม่บอกคืน ความเป็นพุทธบริษัทยังคงมีตลอดไปไม่ได้บอกคืน สิกขัง ปัจจักขามิ นี้คือคืนสิกขา แล้วก็ความเป็นภิกษุ คิหีติ มัง ธาเรถะ ที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นฆราวาส ข้อนี้ก็ต้องทำด้วยจิตใจ ที่มีจิตใจรู้สึกนั้นจริงๆ ตามวินัยต้องทำด้วยจิตใจ ทำด้วยท่าทางไม่สำเร็จประโยชน์ เว้นแต่เราไม่อยากสึก ถึงจะบอกคืนสิกขาก็ไม่สำเร็จประโยชน์ แต่บัดนี้คงหมดปัญหา เพราะว่าเรานั้นมีโครงการ แผนการกันแน่นอนว่าลาสิกขาแน่ ไม่ได้มีความยึดถือหรืออาลัยในความเป็นภิกษุ นี่จิตใจต้องเกลี้ยงเกลาชนิดนี้ จึงจะเป็นการบอกคืน ลาสิกขา ฉะนั้นจึงทำด้วยจิตใจด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเราไม่ต้องทำสังฆกรรม การลาสิกขาไม่มีสังฆกรรม ไม่ต้องทำในโบสถ์เหมือนกับเมื่อบวช แสดงวาจาพจน์กล่าวคืนให้เป็นกิจจะลักษณะ ก็ย่อมเป็นอันว่ากล่าวคืนสิกขา มันก็ตั้งอกตั้งใจมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แล้วก็กล่าวคืนสิกขา คุกเข่าตั้งนะโมสามหน ตั้งนะโมว่าพร้อมๆ กัน สิกขา กล่าวคืนสิกขาว่าทีละคน (นะโมฯ 3 หน) ว่าทีละคน (สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ 3 หน) เป็นอันว่ากล่าวคืนสิกขาแล้ว ไม่มีความชอบธรรมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะอีกต่อไป เอ้า เธอไปเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม ว่า (สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ 3 หน) ไป ไปเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม (สวดรับศีล) ให้ศีลแล้ว เรียกว่าให้พรตามธรรมเนียม ก็มีให้ศีลและให้พร ซึ่งเป็นการให้โอวาทไปในตัว
ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ ที่เราได้อุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธศาสนา เพื่อศึกษาหลักพระพุทธศาสนา เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในกาลข้างหน้า จนมีขนบธรรมเนียมประเพณีเรียกคนชนิดนี้ว่าเป็นบัณฑิต หรือที่เรียกว่า ฑิต หรือที่เรียกว่า ทิด ให้เป็นผู้ที่รู้จักการดำเนินชีวิตให้สำเร็จประโยชน์ด้วยปัญญา แล้วจะถือเป็นหลักใหญ่ๆ ว่ารู้จักทิศทั้งหก คือทิศเบื้องหน้า บิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตร ภรรยา ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องบนคือพระเจ้า พระสงฆ์ ทิศเบื้องต่ำคือลูกจ้าง คนใช้ กรรมกร ข้าทาสบริวาร นี้เป็นสิ่งจะต้องมีและจะมีต่อไปก็สุดแท้ เรียกว่าเป็นทิศทั้งหก ที่จะต้องรู้จัก ทำให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้องได้ดีด้วยการที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว สำเร็จประโยชน์อยู่แก่มีสติสัมปชัญญะ ทั้งในระหว่างบวชแล้วก็ฝึกฝนสติสัมปชัญญะ สุดความสามารถ และจะได้ใช้สติปัญญานี้แหละปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ในการเกิดมา ฉะนั้นถ้าเธอตั้งใจอย่างนี้ ย่อมจะสำเร็จประโยชน์ในการบวช ถ้ามิเช่นนั้นก็เป็นเรื่องละเมอละเมอ บวชกันพอเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ได้สำเร็จประโยชน์เต็มตามความมุ่งหมายของการบวช เพราะฉะนั้นอะไรที่ได้ศึกษาเล่าเรียนต้องจดต้องจำให้แม่นยำ ไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ตลอดเวลาที่บวช แต่แล้วมาแต่หลังเรายังไม่เคยบวชอาจจะทำผิดไปบ้าง ก็ไม่ต้องเอามาร้อนใจ ไม่ต้องเอามาเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ เป็นอันว่าเลิกกันเลย ลบกระดานเหลือเป็นกระดานว่าง ตั้งต้นไปใหม่ ทีนี้อย่าให้มีเรื่องผิด ให้มีแต่เรื่องถูก คือให้มีแต่เรื่องบวกอย่างเดียว อย่าให้มีเรื่องลบ ฉะนั้นจงคอยนับคะแนนให้มีความถูกต้องเรื่อยไปเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไม่ให้มีเรื่องผิด คือเรื่องลบ ไม่มีคะแนนลบ ให้มีแต่คะแนนบวก ในที่สุดเราก็จะมีแต่คะแนนบวกกันมากมาย ท่วมทับคะแนนลบซึ่งไม่มีหรือมีก็น้อยเหลือเกินจนไม่มีความหมายอะไร นี่แหละมีหลักในการดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าอย่างนี้ และต่อไปแต่นี้จะมีแต่ความถูกต้องในการเป็นมนุษย์ การจะมีความถูกต้องได้ถึงขนาดนี้มันต้องทำจริงน่ะ ไม่ใช่ว่าทำปล่อยไปตามสบายเล่นๆ ต้องตั้งใจทำจริง ต้องอธิษฐานใจจริง แล้วเราจะมีความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ต้องมีธรรมะสำหรับระวังรักษา เป็นเบื้องหน้าก็คือสติสัมปชัญญะ มีข้อธรรมได้จำแนกไว้ เป็นฆราวาสโดยตรงก็สี่ข้อด้วยกัน ต้องจำขึ้นใจ ขึ้นปาก ขึ้นทุกอย่างล่ะที่ว่า สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ก็ต้องมีสัจจะคือมีจริงใจ ข้อที่หนึ่งเรียกว่าสัจจะต้องจริง จริงต่อแท้ก็ต้องจริงน่ะ แค่เขาพูดนั่นเขาก็พูดกันผิวๆ ก็จริงต่อบุคคล เพื่อนฝูง จริงต่อเวลา จริงต่อหน้าที่การงาน จริงต่อสิ่งต่างๆ แต่เราจะพูดอีกคำหนึ่งว่า ให้มันจริงต่อความเป็นมนุษย์ของเรา เราเป็นมนุษย์แล้วก็ขอให้เป็นจริง เมื่อบวชก็มีถามกันทีหนึ่งแล้วว่า มนุษย์โสสิ เป็นมนุษย์หรือ ก็บอกว่าเป็นมนุษย์จริง ทีนี้ต้องจริงต่อความเป็นมนุษย์ของเรา ความเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นให้ได้ มนุษย์มีหน้าที่อย่างไร ต้องทำให้สมบูรณ์ ให้มันมีความเป็นมนุษย์แท้จริงขึ้นมา
นี่สัจจะตัวใหญ่ที่สุดคือจริงต่อความเป็นมนุษย์ ถ้าได้ตั้งใจจริงต่อความเป็นมนุษย์แล้วมันก็จริงต่อสิ่งทุกสิ่งเอง จริงต่อบุคคล จริงต่อหน้าที่การงาน จริงต่อเวลา จริงต่อ... 0.12.31-0.12.32 มันก็จริงได้หมดแหละ ขอให้จริงต่อความเป็นมนุษย์ ไปคิดให้เข้าใจและก็ตั้งใจจริง อธิษฐานใจจริง แล้วทีนี้ก็มีข้อที่สองคือ ทมะ เรียกว่าบังคับจิตไว้ให้เป็นไปตามความจริง ถ้าไม่บังคับไว้ด้วยทมะ กิเลสมันก็มาขี่คอไปตามความประสงค์ของกิเลส ถ้ากิเลสมันจะขี่คอไป เราก็บังคับไว้โดยทมะ ให้ยังคงจริงอยู่ในหลักเกณฑ์ หรือในธรรมะ ที่ได้ตั้งใจไว้ดี นี่ขอให้มีทมะ ให้รู้ว่ากิเลสนี่บังคับยาก ก็เปรียบได้เหมือนกับช้างที่ตกมัน ต้องฉลาดพอถึงจะบังคับช้างที่ตกมัน ถ้าไม่ฉลาดพอมันก็มีแต่ช้างแหละจะฆ่าคนนั้นตาย ...13.34 เรื่องของกิเลส นี่เราจะต้องมีความฉลาดพอในการบังคับ จึงจะบังคับได้ แต่มันก็เนื่องมาแต่ความจริง ถ้ามันมีความจริงแล้วมันก็จะบังคับได้ แล้วมันก็ต้องช่วยกันแหละ ช่วยบังคับให้มันรักษาความจริง ความจริงก็บังคับไว้ ช่วยให้บังคับได้ นี่มันต้องมีการบังคับตัวเอง ก็เรียกว่า ทมะ ข้อที่สามเรียกว่า ขันตี คือความอดกลั้นอดทน ไอ้การบังคับจิตมันก็ต่อสู้ มันย่อมจะมีความเจ็บปวด ทีนี้เราต้องอดทน ถ้าไม่อดทนมันก็เลิกเลิก ไม่บังคับมันก็ล้มละลายหมด ถ้าเจ็บปวดอะไรขึ้นมาก็ต้องอดทน ทีนี้ถ้าอะไรมาบีบคั้นให้ออกไปนอกทางของความจริงก็ต้องอดทน เรียกว่าอดทนทุกอย่าง อดทนต่อหน้าร้อน อดทนต่อบุคคลที่มายั่วเย้าให้ออกนอกลู่นอกทาง กระทั่งอดทนต่อการบีบบังคับของกิเลสน่ะ อดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส นี่มันอยู่แค่ข้อนี้ ศูนย์กลางสำคัญของแต่ละคนมันอยู่ที่การบังคับความบีบคั้นของกิเลส กิเลสจะบีบคั้นให้เราไปทำตามอำนาจของกิเลส เรื่องอะไร ทุกอย่าง ทุกประการ จะไปกินเหล้า จะเที่ยวผู้หญิง จะไปอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นความบีบคั้นของกิเลส ถ้าอดทนได้มันก็ไม่ไป ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็ไปทำอบายมุขที่เลวร้าย มันต้องประณามว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายน่าขยะแขยง พวกอบายมุขทั้งหลาย ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน อะไรนี่ไปศึกษาดูเองเถอะ โดยรายละเอียด ให้เกลียดชัง ในฐานะเป็นศัตรูทำความฉิบหาย ไม่สมเกียรติของผู้แก่ใดเป็นพุทธบริษัท และทำลายความเป็นพุทธบริษัท ขอให้คิดดูให้ดีๆ ถ้ามีความอดทนมันก็รักษาไว้ได้ นี่ข้อสุดท้าย ข้อที่สี่เรียกว่า จาคะ ขันติกับไอ้จาคะ นี่คอยประพฤติตนปฏิบัติตนให้เป็นการระบายออกอยู่เสมอ ซึ่งก็จะต้องระบายออกจากจิตใจก็คือกิเลส ฉะนั้นทำให้อยู่เป็นประจำแหละ ให้เป็นการระบายออกของกิเลสอยู่เสมอ ทำพิธีทางศาสนา สวดมนต์ ภาวนา ร่วมกิจกรรมทางการที่ว่ามันว่าจะต้องทำกัน มันก็เป็นการระบายออกของกิเลสอยู่เสมอ ฉะนั้นความบีบคั้นทางกิเลสมันก็ไม่มาก มีพอเป็นไปได้ พอทนได้ พอบังคับกันได้ รักษาสัจจะไว้ได้ ในที่สุดเราก็มีครบถ้วนทั้งสี่ประการ คือสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ อย่างที่ว่ามาแล้ว เป็นธรรมะประเสริฐสูงสุด ต้องการจะทำอะไรก็ทำได้สำเร็จ เพราะคุณธรรมเหล่านี้
ฉะนั้นก็ให้เป็นหลักสำคัญ เป็นคู่มือ อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับเรามีอาวุธเป็นคู่มือนี้ เราก็มีสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ นี่เป็นอาวุธ แล้วเราก็มีสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องใช้อาวุธ เป็นผู้ใช้อาวุธ การใช้อาวุธให้สำเร็จประโยชน์ สติสัมปชัญญะ ก็ได้ฝึกไว้อย่างไรก็เอามาใช้ในการที่จะรักษาไอ้ธรรมะสี่ประการนี้ไว้ให้ได้ คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ มันก็มีหน้าที่ที่มันคิดว่าจะตั้งตัวให้เจริญ ให้เจริญด้วยอะไร มันก็มีหลักมีเกณฑ์อยู่แล้ว ฆราวาสต้องเจริญด้วยทรัพย์สมบัติพอตัว ฆราวาสต้องเจริญด้วยเกียรติยศเกียรติคุณ ชื่อเสียงพอตัว ฆราวาสนี้ต้องเจริญด้วยมิตรสหายที่ดีพอตัว มีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีมิตรสหายที่ดีพอตัว เราต้องมีทรัพย์สมบัติน่ะเป็นของธรรมดารู้กันอยู่แล้ว มันเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกหรือความเป็นอยู่ของมนุษย์ เพื่ออยู่เป็นมนุษย์และก็ทำดีอย่างมนุษย์ให้ถึงที่สุดได้ อย่าใช้เพื่ออย่างอื่น ทีนี้เกียรติยศ ชื่อเสียงน่ะมันแสดงว่าเป็นคนดี มีแต่เงินถ้าไม่ดีมันก็ไม่มีใครนับถือ ผีมันคอยแช่งอยู่เรื่อย ถึงจะมีเงินทรัพย์สมบัติมากแต่ถ้ามันไม่มีความดี ผีมันก็คอยแช่งอยู่เรื่อย ไอ้คนรู้ก็คนแช่ง ผีรู้ก็ผีแช่ง ไอ้ผีรู้ตลอดเวลา ความรู้สึกสำนึกของเราก็รู้เราก็แช่งตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันเจริญไม่ได้ ต้องมีความดีประพฤติธรรม จนเขาเคารพนับถือไว้วางใจ นี่เป็นเกียรติยศ แล้วทีนี้ก็มี มีไมตรี มีคนที่ดีรักใคร่เขา เรามีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่เลว เฉยเสีย ไม่ต้องไปปราบปรามเขา แต่ว่าเราไม่เข้าขาด้วยเท่านั้น เข้าขากันแต่คนที่ดีแต่เพื่อนที่ดี ดีกว่าเรา เขาก็ช่วยดึงเราขึ้นมา เสมอกันก็ผูกพันกันเป็นมิตร กลมเกลียวกันไปในการทำการงาน ถ้าเพื่อนที่ดียังเลวกว่า ยังต่ำกว่าเรา ยังจนกว่าเรา เราก็ช่วยเขา ให้เขาดี ช่วยน่ะมันมีประโยชน์ ถึงแม้ว่าเขาจะยังเล็กกว่าเรา จนกว่าเรา ด้อยกว่าเรา ก็ช่วยเขาก็จะมีประโยชน์ นี่การมีเพื่อนก็มีรักกันแบบนี้ ถ้าดีกว่าก็ต้องเคารพนับถือ เสมอกันก็ต้องผูกพันกันเป็นเพื่อนด้วยกันทำงานด้วยกัน เสมอกัน ถ้าเลวกว่าก็ต้องคิดช่วยเหลือเขา ในที่สุด เราก็เจริญด้วยทรัพย์สมบัติ เจริญด้วยเกียรติยศ ด้วยไมตรี มิตรสหายก็ดี ตามสมควรน่ะ ถ้ามีครบสามอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นฆราวาสที่ใช้ได้น่ะ เป็นฆราวาสไปตามความหมายของความเป็นฆราวาสอย่างทางภาษาโลกๆน่ะ เสร็จแล้วก็มีการประพฤติธรรมะ ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกกว่านี้ นี้มันส่วนธรรมะ ส่วนโลกุตตระ ส่วนโลกียะน่ะมันต้องแล้วแต่อยู่กับทรัพย์สมบัติ เกียรติยศและไมตรี เป็นเรื่องโลกียะ แล้วก็มีธรรมะเถอะ มีความรู้เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่าให้จิตมีความทุกข์ได้ ทีนี้มันเปลี่ยนแปลงมันไปในทางขาดทุน เสียใจ อย่าทุกข์ ไม่ต้องทุกข์ รู้แต่ว่ามันเป็นอย่างไรแก้ไขกันต่อไป ไม่ต้องทุกข์ นี่คือธรรมะส่วนโลกุตตระที่ฆราวาสจะต้องมี โดยรายละเอียดก็เหมือนกับคำอธิบายเมื่อวานที่พูดถึงเรื่องสุญญตา นี่ก็เป็นฆราวาสโดยสมบูรณ์น่ะ ธรรมะโลกียะก็สมบูรณ์ ธรรมะโลกุตตระก็เต็มที่ตามที่ฆราวาสจะต้องมี แล้วเธอก็เป็นผู้ก้าวหน้าตามทางของศาสนา ตามแบบของฆราวาส ถึงที่สุดของความเป็นฆราวาสได้ แล้วไม่เสียทีที่ได้บวช ก็รู้กันกว้างๆ พูดกันกว้างๆ ว่าไม่เสียที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา คือได้บวช ได้รู้ทุกสิ่งที่ควรจะประพฤติกระทำ และก็ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ มันก็ได้เต็ม ได้หมดตามที่มนุษย์ควรจะได้
การเกิดมาของเรามีผลดี การได้บวชของเรามีผลดี ความเป็นมนุษย์จนตลอดชีวิตของเราเต็มไปด้วยความดี แล้วมันก็พอ หมด จบกัน พูดเดี๋ยวเดียวก็จบ แต่ว่าการปฏิบัตินั้นไม่มีสิ้นสุด คือต้องปฏิบัติกันจนตลอดชีวิตเลย นี่เรื่องพูดนี่เดี๋ยวเดียวก็จบ สองสามคำก็จบ แต่การปฏิบัตินั้นน่ะ มันจบก็เป็นพระอรหันต์กัน เรื่องนี้ก็ต้องตั้งใจที่จะปฏิบัติกันตลอดเวลา นี่เรียกว่าเป็นการให้พร ที่เขารดน้ำมนต์เทียนโตโหกันเป็นการใหญ่ เราก็เห็นว่าไม่ต้องทำก็ได้ ถ้ามันไม่รู้เรื่อง แค่พูดนี่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ถ้ารู้เรื่องจะพูดนี่มันดีกว่ารดน้ำเทียนโตหลาย สมเป็นพรจริงเป็นมนต์กันจริง เป็นน้ำมนต์กันแท้จริงที่รดถึงหัวใจของเธอ เป็นพรก็ดีจริง ก็ช่วยเธอได้ จึงไม่ต้องมนต์พระมาเทียนโต รดน้ำมนต์คนสึก เหมือนที่เขาทำกันโดยมาก ตอนต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเบ็ดเตล็ด ว่าเธอสึกแล้วก็พยายามติดต่อพระศาสนาวัดวาอะไรอยู่เสมอ มันจะช่วยเตือนสติ แม้ว่าสึกแล้วก็ว่าไม่ไกลศาสนา แล้วอีกอย่างถ้าเขาขอร้องให้เป็นหัวหน้าหัวตาทำพิธีทางศาสนาอะไรบ้าง ก็พยายามทำให้ดีที่สุด อย่าปฏิเสธ อย่ากระดากอย่าเคอะเขิน ทำให้ดีที่สุด มันจะช่วยอีกแรง ช่วยกันอีกมาก ช่วยในทางโลก จะได้เกิดประโยชน์ เป็นผู้กว้างขวางในสมาคม ช่วยในทางธรรม ก็หมายความว่ามันเตือนให้เรารักษาเกียรติ รักษาเครดิต ในทางธรรมของเราให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป แล้วมันก็เจริญในทางโลกและทางธรรมโดยสมบูรณ์ นี่เรียกว่าอย่าละทิ้งศาสนา เรื่องเบ็ดเตล็ดที่เราเคยเตือนกันว่า เช่นจีวรนี้ซักให้สะอาดทำให้ดีที่สุด เก็บไว้เตือนตัวเอง เก็บไว้ในห้อง ให้ถือว่าสมควร ในตู้หนังสือในอะไร ถ้าเห็นสมควรน่ะ ถ้ามีห้องสมุดเก็บไว้ในห้องสมุด มีห้องพระเก็บไว้ในห้องพระ เหลือบเห็นบาตรเหลือบเห็นจีวรตอนได้บวชนี้แล้วก็จะเตือนตัวเอง ยิ่งกว่ารูปถ่ายซะอีก รูปถ่ายมันยังชินชา ไอ้บาตรจีวรที่ได้ใช้ได้บวชนี้มันเตือนกว่านั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ให้กันในนามของศาสนา ในนามของพระศาสดา มันจึงมีความศักสิทธิ์มาก ถ้าสมมติว่าเรามีลูกมีหลานต่อไปข้างหน้า มันเห็นอันนี้แล้วมันจะรู้สึกอยากบวชอยากอะไรบ้าง ดี เป็นที่กราบไหว้ของลูกของหลาน รวมๆ กันไปกับวัตถุสำหรับบูชาอย่างอื่น ไอ้นี้มันเตือนทั้งเรา และมันเตือนทุกคนที่ได้เห็นได้สังเกต แล้วจะมีความมั่นคงเกิดขึ้นในทางจิตใจในครอบครัวนั้น จะเป็นครอบครัวที่มีธรรมะมีศาสนาแน่นแฟ้น นี่ขอเตือนเบ็ดเตล็ดตามนี้ ถ้ามีเรื่องอะไร ธุระอะไรที่ช่วยได้ก็ยังมาติดต่อได้ เมื่อช่วยได้ ก็ต้องบอกให้รู้ล่วงหน้าไว้อย่าง เราจำไม่ค่อยได้ เราจำใครไม่ค่อยได้ ที่เคยบวชในวัดนี้ยังจำไม่ได้ สึกไปแล้วยิ่งจะมันก็ลืม นอกจากพบอยู่บ่อยๆ มันก็จะไม่ลืม ไอ้พบครั้งเดียวนี่มันก็ลืม ไปพบกันที่ไหนอีกก็นึกไม่ทักไม่ทาย บางคนก็เรานี้ถือตัวบ้าง จองหองบ้าง แต่ที่จริงแล้วมันลืม ฉะนั้นถ้าจะให้ไม่ลืมก็ต้องพบกันบ่อยๆ ตามหน้าที่ ก็จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ นี้ยังคงช่วยเหลือกันไปได้อีกตลอดชีวิต นี่ขอให้ปฏิบัติให้มันสำเร็จประโยชน์ ในทุกอย่าง ทุกทาง ทุกประการ และในที่สุดนี้ขอให้เธอจำถ้อยคำข้อความเหล่านี้ไว้ให้ดีๆ อย่างกับเหมือนกับอาจารย์ไปอยู่ด้วยตลอดเวลา ทำอะไรผิดไม่ได้ การปฏิบัตินั้นแหละคือความสุขอยู่ในตัวการปฏิบัติ ความเจริญแต่ทางภายนอกมันก็ตามมาเอง เรามีความสุขอยู่ในตัวการปฏิบัติอย่างยิ่งแล้ว ความเจริญในทางทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง ไมตรี อะไรก็ตามมาเอง นี้เรื่องมันก็ถูกต้องโดยประการทั้งปวง ขอให้เธอเป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย มีการปฏิบัติตามที่แนะนำนี้อยู่เป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ให้มีความสุขความเจริญ ก้าวหน้า อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ