แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อ่า, นั่ง ๆ นั่งลงก่อนสักนิด แล้วทำความเข้าใจกันก่อน เพื่อความถูกต้อง ให้มีความเข้าใจ ถูกต้อง ในความหมายของคำว่า ลาสิกขา ใช้คำว่า ลาสิกขา ไอ้ลาสึกนะมัน มัน มันใช้ไม่ได้ ถ้าศึก ศ.คอ มันลาข้าศึก ถ้าสึก ส.ลอ มันก็สึกหรอ มันใช้ไม่ได้ ให้ใช้คำว่า ลาสิกขา เวลานี้เราต้องทำในใจ ว่าเราลาสิกขาอย่างภิกษุ อย่าได้เข้าใจว่าเราลา อะไรหมด ไม่ใช่ลา ไม่ใช่ลาศาสนา ไม่ใช่ลาพรหมจรรย์ ไม่ใช่ลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นอย่างนั้น
ถ้าว่าจะลาจากพรหมจรรย์ ก็พรหมจรรย์อย่างภิกษุ จะไปมีพรหมจรรย์ที่เหลืออยู่อย่าง ฆราวาส โดยเฉพาะเมื่อกล่าวคำลาสิกขาในใจต้องทำให้ถูกต้อง เมื่อเราลาสิกขาส่วนที่เป็นอย่างของภิกษุเท่านั้น นอกนั้นมิได้ลา มิได้บกพร่อง มิได้ลดลงไป ความเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้นับถือพระรัตนตรัย ไม่ได้บกพร่อง ลงไปแต่ประการใด
นี่ก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำเสียให้ถูกต้อง ในขณะที่จะกล่าวคืนสิกขา ก็ระบุชัดอยู่แล้วใน คำกล่าว คืนสิกขานั้นว่า สิกขัง ปัจจักขามิ ข้าพเจ้าบอกคืนสิกขา ก็หมายถึงสิกขาอย่างภิกษุ มิได้บอกคืน ไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเรียกว่า ไตรสิกขานั้น มิได้บอกคืน คงบอกคืนเฉพาะสิกขาสำหรับภิกษุ เพื่อพ้นจากความเป็นภิกษุ ไปสู่ความเป็นฆราวาส
ทีนี้ไม่ต้องสงสัย อะไรบางอย่าง เช่นว่าเดี๋ยวนี้ทำไมไม่ไปทำในสีมา ในเป็นสังฆกรรม การลาสิกขา ไม่ต้องทำอย่างสังฆกรรมก็ได้ เพราะว่าเป็นการแสดงอยู่ในตัว แล้วเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับสงฆ์ เราไม่ต้องเข้าไปในโบสถ์ ทำในสีมาเพื่อทำเป็นสังฆกรรม แล้วเป็นอันว่า ลาสิกขาโดยสมบูรณ์ นี่ถ้าใครมี ความสงสัยอย่างนี้อยู่ ก็จะได้หมดความสงสัยเสีย ก็กล่าวคืนสิกขา โดยภาษาบาลี โดยที่ในใจก็รู้อยู่ว่าเราว่า อะไร เราว่า สิกขัง ปัจจักขามิ ข้าพเจ้าขอบอกคืนสิกขาอย่างภิกษุ คิหีติ มังธาเรถะ จงถือว่าข้าพเจ้าเป็น คฤหัสถ์ ธรรมดาเขาว่ากัน ๓ ครั้ง หรือว่ากันจนกว่าจะพอใจและแน่ใจ แล้วก็จะกราบลงไป ก็แสดงว่า ได้กล่าวคืนสิกขาด้วยจิตใจ โดยแท้จริง และครบถ้วน
เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเราได้มีความตั้งใจ ที่จะลาสิกขาด้วยความรู้สึกอยู่ จะมีปัญหา บ้าง ก็เฉพาะแต่ผู้ที่ เขาไม่ต้องการจะลาสิกขา ฝืนใจลาสิกขา มันก็ผู้ใดมีความรู้สึกฝืนใจลาสิกขา ก็รีบ ทำให้มัน เสร็จเสร็จไปเสียโดยเร็ว เพื่อเป็นการสมัครใจ ลาสิกขาโดยสมบูรณ์ นี่เชื่อว่าคงไม่มี ถ้ามีก็ ก็ทำใจ เสียให้ถูกต้อง เพื่อจะลาสิกขา ผู้ที่ถูกบังคับให้สึก โดยไม่มีความผิดอะไรทำนองนั้นนะ มันจะมีปัญหาใน เรื่องนี้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นอันว่า มีการลาสิกขา กล่าวคืนสิกขาด้วยจิตใจ ซึ่งเป็นส่วน สำคัญจึงจะถูกต้องตามวินัย ท่านถือว่าแม้ปากจะบอกคืนสิกขาด้วยวาจา กิริยาก็แสดงการคืนสิกขา แต่ถ้าใจไม่คืนสิกขา ก็เป็นอันว่าใช้ไม่ได้ คืนไม่ถูกต้อง ไม่สำเร็จประโยชน์ ในส่วนวินัย นี้ขอให้ทำใจ ให้มันถูกต้อง ให้มันเป็น ไปตามรูปเรื่องของการลาสิกขา
ทีนี้ก็เป็นทีเข้าใจกันดีแล้ว สำหรับการที่จะลาสิกขา ตามระเบียบวินัย นี่ก็มาทีละคน ตามลำดับ อาวุโส มาตามลำดับอาวุโส ควรจะนั่งให้เป็นลำดับอาวุโส เป็นธรรมเนียมของพุทธบรัษัท ทำอะไรต้อง นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นั้นถึงว่านะโม ๓ ครั้ง
คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 12:12) เดี๋ยวนี้ได้กล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ หรือความถูกต้อง อะไรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาว อีกต่อไป นี้ขอให้ไปเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม ภาษาใต้(นาทีที่ 13.07)
คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 13:36)นี่ว่าจนจุใจ ๓ เที่ยวก็ได้ ๔ เที่ยวก็ได้ จุใจแล้วจึงจะกราบลงไป เดี๋ยวนี้ได้กล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุแล้ว จะจึงไม่มีสิทธิที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาว ฉะนั้นเราก็จะต้องมีการเปลี่ยน ออกไปเปล่ียนผ้าที่ตรงไหนดี
คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 15:06)ไม่ต้องรีบร้อน สติสัมปชัญญะ กล่าวคืนสิกขา ไม่ต้องรีบร้อน แน่ใจแล้วกราบ เข้ามานี่เดี๋ยวนี้ ได้กล่าวคืน สิกขาอย่างภิกษุแล้ว ไม่มีความถูกต้อง ที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาว อีกต่อไป ไปกราบพระ
คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 16:36) นี่เข้ามาหน่อย เดี๋ยวนี้ได้กล่าวคืนสิกขาแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะ นุ่งห่มผ้ากาสาวอีกต่อไป
เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ใจคอปกติ กล่าวคืนสิกขาไม่ต้องรีบลุกลน คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 18:09) เดี๋ยวนี้ได้เป็นผู้กล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะ นุ่งห่มผ้ากาสาวอีกต่อไป ไปไปเปลี่ยน
มีใจคอปกติ มีสติสัมปชัญญะ กล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุ คำลาสิกขาภาษาบาลี (นาทีที่ 19:36)
เดี๋ยวนี้ได้กล่าวคืนสิกขา ของภิกษุแล้ว ไม่มีความชอบธรรมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาว ไปเปลี่ยนเสีย
ผู้รับศีล จะรับศีล ๕ หรือรับศีล ๘ แล้วแต่ความสมัคร ถอยหลังกรูดเดียว ก็รับศีล ๕ ถอยหลัง ครึ่งทาง ก็รับศีล ๘ ผู้ที่เป็นหัวหน้า ก็อาราธนาศีล หรืออาราธนาพร้อมกันก็ได้ ถ้าจะรับศีลเหมือน ๆ กัน เอาละบูชาพระ เป็นอันว่าบูชาไปเสร็จแล้ว ทีนี้ก็อาราธนาศีลเลย
มยัง____(นาทีที่ 21:10) กราบแล้วนั่งลง
เอ้า, นั่ง นั่งฟังอย่างดี พนมมือด้วย แล้วก็ฟังด้วยจิตใจทั้งหมดด้วย บัดนี้เป็นเวลาที่เรียกกันว่า ให้ศีล ให้พร สำหรับผู้ลาสิกขา การลาสิกขาอย่างที่เราทำนี้ มีความหมายเฉพาะ สำหรับ ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่จัดขึ้น เพื่อให้คนหนุ่มได้ เข้ามาบวช ศึกษาแล้วกลับออกไป ดังนั้นการลาสิกขาจึงเป็นการทำ พิธีชนิดที่เรียกว่า ให้ได้รับอะไร กลับออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าเป็นการลาสิกขาอย่างพุทธกาล นั้นคือ ความเหลวไหล เขาก็ไม่มีธรรมเนียมที่จะลาสิกขาอย่างอย่างนี้ เป็นเรื่องความล้มละลาย ของบุคคล ผู้นั้นเอง เพราะฉะนั้นไอ้การลาสิกขาสมัยพุทธกาลนั้น คือ ความเสียหาย
เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่ เป็นไปในลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงขอให้ถือว่า เราลาสิกขาให้ดีที่สุด เพื่อมีอะไรติดตัวไปให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีการให้ศีล ให้พร ทุกคราวที่รับสรณคมน์อย่างที่ได้รับ ไปเมื่อก่อนหน้านี้อีกนั้น ให้เข้าใจถูกต้อง ว่าเราไม่ได้เลิกสรณคมน์แล้วรับใหม่ เป็นเพียงการย้ำ ย้ำแล้ว ย้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ทุกคราวที่รับสรณคมน์ ส่วนศีลนั้นเราก็จะต้องรับ ตามกรณีที่เราจะต้องรับศีลอะไร ดังนั้นขอให้รับอย่างถูกต้องตามความหมาย แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ได้รับศีล ๘ ซึ่งอยู่ในพวกศีลพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นจะต้องรักษา ความหมายของคำว่า พรหมจรรย์ ไว้ตลอดเวลาที่รับศีล ๘ พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติที่ประเสริฐกว่าความเป็นฆราวาส ที่จริงเว้นการกระทำ การพูดจา แม้แต่การคิดนึก อย่างฆราวาส โดยประการทั้งปวง
ทีนี้ที่เรียกว่า ให้ศีลให้พร นั้นจะสำเร็จประโยชน์ ก็โดยที่ผู้รับ จะต้องรับเอาไปอย่าง เป็นศีล เป็นพร ศีล ก็คือ ไอ้ข้อปฏิบัติ สำหรับไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ฉะนั้นเมื่อประพฤติปฏิบัติแล้ว ย่อมเกิดความดี อยู่ในตัวการปฏิบัตินั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นพร อยู่แล้วในตัว เพราะคำว่า พร นั้นแปลว่า ดี ดังนั้นท่าน จึงกล่าวกันว่า ทำดีนั้นดีกว่าขอพร เพราะว่าคนขอพรนั้นขอไปทั้งที่ไม่รู้ว่าพรคืออะไร ถ้ารู้ว่า ไอ้พรนี้ คือ ความดี พอทำความดีแล้วพรก็มีทันที แล้วเมื่อดีอยู่ในตัวก็มีพรอยู่แล้วในตัว ฉะนั้นขอให้เรา เพ่งเล็งกันถึง พรในลักษณะอย่างนี้ คือ ไม่ให้ศีลให้พรกันแต่ปากว่า เป็นการให้ศีลให้พร ที่มีความหมาย คือ รู้เรื่องของความดีปฏิบัติความดีอยู่ ก็เป็นพรอยู่ในตัว
ทำไมจะมาให้ศีลให้พรกันในเวลานี้เล่า ก็เพราะว่าเป็นการเตือน ให้มีสติสัมปชัญญะ ที่จะปฏิบัติ ในเรื่องศีล เรื่องพร กันอีก ครั้งหนึ่ง ให้มันเต็มที่ ให้มันบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเสีย ว่าได้ศึกษามาแล้ว อย่างไร สำหรับปฏิบัติเพื่อความดีงามทั้งหลายนั้น จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อไป
ทีนี้ก็เรื่องรดน้ำมนต์ ก็รดน้ำมนต์ก็ได้ แต่เราคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยรดน้ำมนต์ อย่างพรม ด้วยน้ำ ท่านรดน้ำมนต์ตามแบบของท่าน คำว่า มนต์ แปลว่า ความคิด หรือการฉลาด หรือสติปัญญา มัตถะ นาทีที่ 31:23) แปลว่า ความคิด คือ ความฉลาด หรือสติปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าให้ความคิด ความรู้ หรือสติปัญญา ไปได้นั้นก็คือ ให้มนต์ ให้น้ำมนต์ เพราะฉะนั้นถ้า เข้าใจในคำพูดเหล่านี้ มันก็เกิดสติปัญญา ขึ้นมา ความพอใจเกิดขึ้นมา สำหรับอาบรดจิตใจของบุคคลนั้น ๆ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการรดน้ำมนต์ ตามแบบของพระพุทธเจ้า แล้วก็ถือการรดน้ำมนต์อย่างนี้ เป็นหลักปฏิบัติเรื่อย ๆ มา ฉะนั้นขอให้ฟังให้ดี ให้ความรู้ความคิด นั้นมันอาบรดอยู่ในจิตใจ ของท่านทั้งหลายทุกคน ในบัดนี้
ทีนี้ สิ่งที่อยากจะกล่าวเป็นสิ่งแรก ในเรื่องนี้ก็คือว่า เมื่อก่อนหน้านี้ ได้กล่าวคำทำวัตร อุกาสะ วันทามิ ภันเต (นาทีที่ 32:25) นี้ข้อหนึ่ง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต (นาทีที่ 32:32) นี้ ข้อหนึ่ง มะยา กะตัง ปุณญัง (นาทีที่ 32:35) เป็นต้นนี้ อีกข้อหนึ่งรวมเป็น ๓ ข้อด้วยกัน ขออย่าให้มันเลิกร้างกันไป เพียงว่า ทำไปแล้วก็แล้วกัน ขอให้เอาติดตัวไปด้วย แม้แต่บททำวัตร ที่เป็นภาษาบาลีนี้ก็ไพเราะมาก อุตส่าห์จำไว้ให้ได้ อย่าให้ลืมเสีย พอเสร็จพิธีนี้แล้วก็เลิกกันแล้วก็ลืมเสีย ถ้าอย่างไรก็ลอง กล่าวคำทำวัตร แบบนี้บ่อย ๆ ที่บ้านก็ได้ ถ้าทำกับพระพุทธรูปที่เรามีอยู่ กล่าวทำวัตรอย่างนี้ เป็นการทำอย่างมีความหมาย
ขอให้รู้ว่า อุกาสะ วันทามิ ภันเต (นาทีที่ 33:25)นั้น คือ ขอแสดงความเคารพ คือ ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ ด้วยการมีที่เคารพ ข้าพเจ้าไมได้อยู่ ด้วยความมีเสรีภาพ สมภาพอย่างบ้า ๆ บอ ๆ การอยู่เสมอกันโดยไม่สูง ต่ำกว่ากันนั้น เป็นความเลว เป็นความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ทุขโข สะมานะ สังวาโส (นาทีที่33:53) การอยู่เสมอกันเป็นความทุกข์ มันไม่มีความลดหลั่น กันตามลำดับที่จะบังคับบัญชากันได้ มีพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด แล้วก็ลดหลั่นลงมา บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา อะไรก็ตาม จะต้องอยู่ด้วยความ เคารพในสิ่งที่ควรเคารพ บุคคลที่ควรเคารพ
ดังนั้นก็เอาไปใช้ว่า อุกาสะ วันทามิ ภันเต (นาทีที่ 34:25) นั้น ข้าพเจ้าอยู่อย่างมีที่เคารพ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต (นาทีที่ 34:29) นี้ข้าพเจ้าขอโทษขออภัยโทษ ความล่วงเกินอันใดที่ได้ทำไป ขอโทษ หลักการนี้มันมีอยู่ว่า ถ้าเราไปทำผิดพลาดในบุคคลใดก็ตาม หรือในวัตถุใดก็ตาม ที่เรียกว่า ทำผิดพลาด ดูหมิ่น ดูถูกแล้ว ท่านถือว่า การดูหมิ่นดูถูกพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพราะว่า เราไม่เชื่อฟังพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไปจึงประพฤติอย่างนั้น ฉะนั้นการที่จะไปด่าใคร ตีใครเข้า สักคนหนึ่ง ก็เป็นโทษผิด ในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น แล้วยังมีโทษผิดในส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คือ ลบหลู่พระพุทธเจ้า ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไปตีไปด่าใครเข้า เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ก็ต้องขอโทษ ต่อพระพุทธเจ้า หรือต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์
ดังนั้นพิธีขอขมาโทษก็จึงขอต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นส่วนใหญ่ก่อน แล้วจึงจะไป ขอกับบุคคลนั้น ๆ ที่มีการล่วงเกินซึ่งกันและกัน ฉะนั้นถ้าเราทำผิดอะไร เราก็เข้าไปในห้องพระ แล้วขอโทษ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้ไปทำเลวเข้าแล้ว นี่ก็เราทำวัตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในที่ที่เราจัดไว้ ถ้าเราทำผิดต้องรีบขอโทษทันที ถ้าเราทำผิดเอง เราต้องรีบขอโทษทันที เมื่อมีผู้ขอโทษแล้ว เราจะต้องอดโทษทันที อย่าให้มีโทษอะไรเหลือค้างคาผูกพันกันอยู่ แม้ในระหว่าง บุคคลภายในครอบครัว ไม่ต้องพูดถึงคนนอก ในผู้ที่อาฆาตมาดร้ายจองเวรกันอย่างนี้ ต้องพยายามทำให้ มันหายไปด้วยการขอโทษ
ทีนี้ข้อที่ ๓ ที่ว่า มะยา กะตัง ปุณญัง (นาทีที่ 36:27) นี้ เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ซึ่งกันและกัน ในระหว่างบุคคลที่จะพึงแลกเปลี่ยนกันได้ ข้อนี้ก็จะป้องกันการอิจฉาริษยา อยู่ด้วยกัน ในที่แห่งเดียวกัน ทำงานด้วยกัน มันยังอิจฉาริษยากัน ไอ้คนมันเลวถึงขนาดนี้ ฉะนั้นเราจะต้อง มีการแลกเปลี่ยน ส่วนบุญ คือ ความดีระหว่างกันและกันอยู่เรื่อยไป จะได้เกิดความรัก ความสามัคคีอันแท้จริง เดี๋ยวนี้มันมีแต่ ความรัก สามัคคีหลอก ๆ กันทั้งนั้น มันไม่มีสามัคคีจริง มันไม่มีรักจริง ฉะนั้นขอให้ถือหลักปฏิบัติข้อนี้ มะยา กะตัง ปุณญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง (นาทีที่ 37:16) นี้ กับใครก็ได้ แลกเปลี่ยนไอ้ความดี ระหว่างกัน และกันเสมอ
เพราะฉะนั้นขอให้รับเอา วิธีปฏิบัติในความหมายของการทำวัตร ที่ว่าไปแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ติดตัวไปด้วย และใช้อยู่ตลอดเวลา คือ มีที่เคารพนี้อย่างหนึ่ง ขอโทษและอดโทษกันอยู่ เป็นประจำ นี้อย่างหนึ่ง แลกเปลี่ยนความดี หรือส่วนบุญแก่กันและกันอยู่ โดยไม่มีการอิจฉาริษยากันนี้อย่างหนึ่ง แล้วก็รับรองได้ว่าจะมีความเจริญเป็นแน่นอน เพียงเท่านี้คุณจะมีความเจริญ รุ่งเรืองก้าวหน้าเป็นแน่นอน ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็มีความรู้ ที่เป็นความคิด ที่เป็นพร สำหรับเป็นน้ำมนต์ เป็นน้ำมนต์น้ำพร รดออกไป
ทีนี้มันก็ยังมีเรื่องอื่นอีก ที่ว่าจะเป็นมนต์ เป็นน้ำมนต์ เป็นศีล เป็นพร ก็คือ ความประพฤติกระทำ ที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนเรามี หนังสือหนังหา ตำรับตำราสำหรับเล่าเรียน เหลือเฟืออยู่แล้ว ล้วนแต่เป็น ความคิด ความรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ฉะนั้นไปศึกษาเพิ่มเติม หรือว่าที่ศึกษาอยู่แล้ว ก็มีมากแล้ว จะยกตัวอย่าง เช่นว่า ฆราวาสธรรม ๔ ประการ สำหรับฆราวาสโดยเฉพาะ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ นี้ ให้มันคล่องปาก คล่องใจ คล่องความคิดนึกสิ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นผู้มีความจริง ที่จะทำอะไรใน อุดมคติ แล้วก็บังคับ ทมะนะบังคับทำอย่างนั้น แล้วขันตินี่มันอดทน ต่อความยากลำบาก ในการทำ อย่างนั้น แล้วก็จาคะนี้ ไอ้ความชั่ว ความไม่ควรจะอยู่ในจิตใจ ก็ระบายออกอยู่เสมอ ก็ทำสำเร็จได้ ในการที่จะ ประสบผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตัวต้องการ
แม้ไอ้เรื่องหาเงินหาทอง เรื่องประโยชน์อย่างฆราวาสนะ ก็ได้นะจะหาทรัพย์ก็ได้ทรัพย์ จะหาเกียรติยศก็ได้เกียรติยศ จะหามิตรสหายไมตรีก็หาได้นี่ ธรรมะสำหรับฆราวาสดีอย่างนี้ และหลักเกณฑ์อันนี้ เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ใช้ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพานก็ได้ มีสัจจะ มีทมะ มีขันตี จาคะ แล้วก็จะบรรลุนิพพานก็ได้ เดี๋ยวนี้เราจะเป็นฆราวาส ก็ใช้สำหรับอย่างเป็นฆราวาส ให้สมตามที่มีคำตรัสไว้ว่า ไม่เชื่อก็ให้ไปถาม สมณพราหมณ์ ครูบาอาจารย์เหล่าอื่นดูเถิดว่า มันยังมี ธรรมะไหนอีกบ้างที่ดีไปกว่าธรรมะ ๔ ประการนี้สำหรับฆราวาสท่านท้าไว้อย่างนี้ เราอย่าทำเล่น กับธรรมะ ๔ ประการนี้ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นพระเครื่องรางแขวนคออยู่เสมอ ไปหารายละเอียด ศึกษาเอาเอง จากคำบรรยายทั้งหลายก็มีอยู่
ทีนี้ไอ้เรื่องปิดกั้นไอ้ความชั่ว หนังสือนวโกวาทก็มีกันทุกคน แต่กลัวว่าจะถือเอาความหมาย ไม่ถูกต้อง หรือถือเอาความหมายได้น้อยเกินไป มีตัวหนังสือ ยกตัวอย่าง เรื่องอบายมุข ไม่ใช่เป็นเรื่อง เล็กน้อยนะ คุณอย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันมีอยู่ในหนังสือเขียน ๆ ท่อง ๆ กันไป นี่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้สำหรับฆราวาส โดยตรง ฆราวาสจะต้องไม่มีอบายมุข อบายมุข แปลว่า ช่อง หรือรูที่จะพลัดตก ลงไปในอบาย เขาเรียกอบายมุข มีอยู่ ๖ อย่างนะ คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ๖ อ่า, ๖ อย่างนี้ จะต้องคล่องปากคล่องใจ อยู่เสมอเหมือนกัน อย่าให้มีขึ้นมาได้
แล้วอบาย มันมีอยู่ ๔ คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เมื่อใดใจร้อน เดือดร้อนเป็นทุกข์ ก็เป็น นรก เมื่อใดโง่ โง่เหลือประมาณ โง่ไม่น่าโง่ นี่มันเป็นเดรัจฉาน เมื่อใดหิว หิวอย่างโง่เขลา หิวอย่างพวก สร้างวิมานในอากาศ นั้นมันเป็นพวกเปรต คือ หิวกระหายจนเหมือนกับว่า ปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา เมื่อนั้นมันเป็นเปรต แล้วอสุรกาย นี่คือ ขี้ขลาด ขี้ขลาดไปทุกอย่าง นับตั้งแต่ขี้ขลาด ไม่กล้ารับผิดชอบ กระทั่งขี้ขลาดกลัวตาย กลัวอะไรไปทุกอย่าง มันเป็นความขี้ขลาด อย่างโง่เขลา ถ้า ๆๆ มีอาการอย่างนี้ขึ้น ก็เรียกว่า อบาย มีอยู่ ๔ ชนิด อาจจะตกกันวันละหลายหน
ก็ปิดอุดเสีย อย่าให้มันตกลงไปได้ ด้วยเว้นจากอบายมุข ปิดรู ปิดช่องของอบาย ถือเอาความหมาย ให้ถูกต้อง ว่าดื่มน้ำเมานั้นนะ หมายถึง เมาทุกชนิด แม้แต่เมาเหล้า เมาหญิง เมาอะไรนั้น กระทั่งถึงไอ้เมา สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความเมา เมายักษ์ เมายศ เมาศักดิ์ เมาอะไร ก็เรียกว่า เมาทั้งนั้นแหละ อย่าเมาเลย นี่คือ อย่าดื่มน้ำเมาเลย เที่ยวกลางคืนนั้นนะ มันเป็นคนที่ ใช้เวลาผิด ใช้เวลาไม่ถูกต้อง ไอ้กลางคืนไม่ใช่สำหรับ เที่ยว แล้วมันจะทำผิดไปทุกอย่างหมด จะใช้ของผิด จะใช้อะไรผิด ใช้ผิด ๆ ไปเสียทั้งนั้น ลองเลิกเที่ยว กลางคืนเสียอย่างเดียว คนก็จะดีขึ้นแยะ
ทีนี้ดูการเล่น นี่คือ สิ่งประเล้าประโลมใจ ที่เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลส เว้นเสียให้หมด เดี๋ยวนี้มันมี มาก มันประดังประดาเข้ามาทางสื่อมวลชนนี้ ก็ได้ ไม่ต้องไปดูที่วิก ที่โรง มันก็ยังมีประดังเข้ามาได้ถึงใน ห้องนอน ฉะนั้นกำจัดสิ่งเสนียดจัญไร ไม่ เลวร้ายเหล่านี้ออกไปเสีย มันก็จะไม่มีการดูการเล่น ที่เป็นข้าศึก แก่กุศล การเล่นที่เป็นประโยชน์แก่กุศล นั้นก็ดูได้ คือ การศึกษา ทีนี้เล่นการพนันทุกชนิด ไม่ใช่ว่าพนัน ถั่วโปอย่างเดียว พนันอะไรที่มันทำให้จิตใจเหมือนกับผีสิง ก็เว้นทุกชนิด ก็รู้เอาเองก็แล้วกัน มันมีพนัน อะไรบ้าง เดี๋ยวนี้อ้ายโลกนี้ มันก็เต็มไปด้วยการพนัน
คบคนชั่ว เป็นมิตร มีความโง่กันอยู่มาก ว่าถ้าไม่สูบบุหรี่ก็หาเพื่อนไม่ได้ ถ้าไม่กินเหล้าก็หาเพื่อน ไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่านั้นนะ คือ เพื่อนชั่ว มันสมัครที่จะคบเพื่อนชั่ว ไอ้คนฉลาดก็มีความสามารถ ที่จะหลีกเลี่ยงได้ โดยมีข้อแก้ตัวอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเราทำไม่ได้ แม้เพื่อนชวน การกล่าวอย่างนี้ ไม่เป็นคำเท็จ ไม่เป็นมุสาวาท แม้ว่าจะพูดไม่ตรงตามความจริง เพราะเราไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงใคร จะเอาประโยชน์ของใคร เรามีเจตนาที่ว่า จะทำสิ่งที่ดีที่งาม ให้สำเร็จ เช่น บอกว่าหมอห้ามไม่ให้กินเหล้า ทั้งที่หมอไมได้ห้ามนะ ก็ไม่โกหก ไม่มุสาวาท เพราะว่ายังมีหมอคนหนึ่ง ห้ามอยู่ตลอดเวลา คือ พระพุทธเจ้า อย่าโง่อย่าเขลาให้มาก เลยว่า ไอ้หมอสูงสุด คือ พระพุทธเจ้า
อย่างพระบาลีว่า สัพพะ โลกะ ติกิจฉโก (นาทีที่ 46.04) พระศาสดาของข้าพเจ้า เป็นนายแพทย์ ผู้เยียวยาโรค ของสัตว์โลกทั้งปวง บางทีมีคำว่า อิธิสัตโต สันระกะโต (นาทีที่ 46:15) พระศาสดาเป็น นายแพทย์ผู้ผ่าตัด อย่างนี้ก็มี ถ้าไม่มีหมอคนไหนห้าม ก็ขอให้ถือว่าหมอ คือ พระพุทธเจ้าห้าม แล้วก็บอก เขาว่า หมอห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ หมอห้ามไม่ให้กินเหล้า เพื่อนเขาก็คงจะเชื่อ เราก็ไม่ต้องกินก็ได้ เขากินก็ กินไป สูบไป ทำไป อย่างนี้เรียกว่า เราจะไม่มีเพื่อนชั่ว แม้เพื่อนชั่วจะมานั่งอยู่ใกล้ ๆ เรา เราก็ไม่รับเอาouj แล้วก็มีแต่เพื่อนดีเสมอไป เพื่อนดีที่สุด คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าที่อยู่ในรูปของธรรมะ ก็คือ อัฏฐังคิกมรรค ๘ ประการนั้น เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด แล้วก็มีเพื่อนดีเสียเรื่อยไป
ทีนี้ข้อสุดท้าย ที่ว่าเกียจคร้านทำการงานนั้นแหละ มันจะได้แก่พวกคุณนี้กระมัง คือ มันขี้เกียจ ทำการงานหนัก ๆ มันอยากจะไปเรียนอะไรมา ที่ต้องทำงานเบา อะไรทำงานเบา ๆ แล้วได้เงินเดือนมาก ๆ เรื่องนี้ก็อยากจะประณาม ให้คนขี้เกียจทำการงาน มันต้องหนักเอาเบาสู้ และยินดีที่จะเสียสละเหงื่อไคล เต็มที่ ไม่เห็นแก่เหน็ด แก่เหนื่อย นั่นนะจะเป็นผู้ที่ว่า ไม่เกียจคร้านทำการงาน เดี๋ยวนี้คนทั้งทั้งโลก หรือทั้งหมด นี่มันคิดในแง่นี้ มันเกียจคร้านทำการงาน มันหาวิธีลัด ไปเรียนสิ่งที่เหนื่อยน้อย แล้วได้เงินมาก นี่โลกจะฉิบหายเพราะข้อนี้ คือ มันจะเอาเปรียบกัน โดยไม่รู้สึกตัว อยู่ในตัวการกระทำนั้น แล้วโลกนี้ก็เต็มไปด้วยความไม่ถูกต้อง ไม่ซื่อตรง ไม่ยุติธรรม
ฉะนั้นขอให้ตั้งใจแต่ว่า เราจะเสียสละเหงื่อ เราควรจะใช้ร่างกายนี้ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ชีวิตนี้ ร่างกายนี้ จะใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด แล้วไอ้ก่อนแต่ที่มันจะแตกด้วย ถ้าร่างกายเปรียบ เหมือนหม้อ ก่อนที่มันจะแตก ก็ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด คือเอาอะไรดี ๆๆๆ ออกมาจากร่างกายนี้ ให้มากที่สุด ฉะนั้นอย่าทำ แต่ว่าไอ้ความจำเป็นในหน้าที่บังคับให้ทำ นั้นมันคนขี้เกียจ มันต้องทำ ตลอดเวลา ทำทั่วไป ทำให้สุดความสามารถ ตามที่มันควรจะทำเวลาไหน อย่างไร ที่สุดจะทำโดยไม่ต้อง เหน็ดเหนื่อย ก็เรียกว่า ทำ ทำโดยเหน็ดเหนื่อยก็ทำ ก็จะเป็นผู้ที่เว้นจากอบายมุข ๖ ประการ ได้โดยความหมายที่แท้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน
๖ อย่างนี้ มันเป็นแม่บท ของไอ้ความเลวทรามทั้งหลาย ปิดอุดเสีย แล้วก็ไม่ต้องตกอบาย เมื่อก่อนหน้านี้ ก็ได้พูดว่า ให้ถือเอาความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ ให้ถูกต้อง ให้ลึกซึ้ง ให้เพียงพอ อย่าเป็นแต่เพียงตัวหนังสือลุ่น ๆ ว่าดื่มน้ำเมา แล้วก็ไม่กินเหล้าอย่างเดียว เมาเมาอย่างอื่นที่ร้ายกว่าเหล้า นั่นมันก็ไม่รับผิดชอบใช้ไม่ได้ ให้ถือเอาความหมาย ให้เต็มที่ ทั้งอบายมุขแล้วก็เว้นเสีย แล้วก็ไม่ต้องตก อบาย ส่วนความเสื่อมก็ไม่มี ส่วนความเจริญก็ใช้ฆราวาสธรรม สร้างสรรค์ เป็นฆราวาสต้องสอบไล่ให้ได้ คือว่ามีทรัพย์สมบัติเต็ม ตามที่ควรจะมี มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เต็มตามที่ควรจะมี มีมิตรสหายไมตรีเต็ม ตามที่ควรจะมีสำหรับเรา ไม่ใช่ว่ามันจะต้องเท่ากันทุกคน สำหรับเราควรจะทำได้ อย่างไร ก็ทำให้สุด ความสามารถ
นี่เป็นฆราวาสที่ดีต้องเป็นอย่างนี้ ปิดกั้นความชั่วได้ทุกทุกอย่าง สร้างสรรค์ความดีขึ้นมาได้ ทุกอย่าง ตามที่จะเป็น ก็เรียกว่า เป็นมนุษย์ได้ คือ เลยจากความเป็นคนขึ้นไป เป็นมนุษย์มีจิตใจสูง มีการกระทำสูง มีอะไร ๆ สูง มีผลที่ได้รับก็สูง ก็เรียกว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธ ศาสนา เราได้แก้ปัญหาว่าเรา เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่ออะไรนี้ ลุล่วงไปโดยดี ถ้าได้ความรู้ความคิด ของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ไป ก็ได้ศีล ได้พรจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ได้รับการรดน้ำมนต์จากพระพุทธเจ้า โดยตรง
ทีนี้ก็อยากจะพูดอีกสักหน่อยหนึ่ง ถึงไอ้สิ่งแวดล้อม ที่มันจะช่วยให้เป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นก็ สรุปความอยู่ใน คำว่า ไม่ประมาท อย่าอวดดี หรือว่าเราเก่ง เราจะทำอะไรถูกหมด เราจะทำอะไรได้อย่าง หวัด ๆ หวัด ๆ ก็สำเร็จ อย่างนี้เป็นคนประมาท ไม่มีอะไรที่จะทำด้วยหวัด ๆ ต้องทำด้วยสติสัมปชัญญะ ทำอย่างดีที่สุด ด้วยปัญญา ทีนี้ก็หาสิ่งแวดล้อม มาให้มันมีอยู่อย่างนี้
ไอ้ข้อที่ว่าไม่ไป ไม่ไปคบเพื่อนชั่วนั่นแหละ มันจะป้องกันได้มากอยู่แล้ว นั้นมันก็คงคบแต่เพื่อนดี มันก็จะดึงกันไป แล้วก็อย่าละทิ้ง วัดวาอาราม การศึกษา ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ดีก็ยินดีที่จะ ช่วยเหลือกันตลอดไป เพราะฉะนั้นจะต้องนึกถึงครูบาอาจารย์บ้าง แล้วต้องติดต่อ ในเมื่อมันเกิดปัญหา อะไรขึ้น ในทางจิตใจ แล้วเราก็ทำตัวเป็นผู้ที่ว่าได้บวชแล้ว ถ้าถือตามคำโบราณเขาเรียกว่า เป็นบัณฑิต ไปศึกษาอบรมในสำนักที่เป็นบัณฑิต เสร็จแล้วได้เป็นบัณฑิตกลับมาต่อสู้กับโลก วิธีการนี้ก็มาใช้ได้ กับผู้บวช ในพุทธศาสนา กลับสึกออกไปก็เรียกว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยปัณฑา (นาทีที่ 53:01) คือ ปัญญาสำหรับเอาตัวรอด
ฉะนั้นกลับออกไปนี้ ขอให้ทุกคนเป็นบัณฑิต เป็นปริญญาอีกอันหนึ่งจากพระพุทธเจ้า มีปัญญา คุ้มครองตัวเอง คุ้มครองจิตจิตใจ โดยเฉพาะก็ทั้งหมดนี้ ทั้งกาย วาจา ใจ ได้รับการคุ้มครองโดยถูกต้อง เขาเรียกว่า เป็นบัณฑิต ถ้าทำผิดหมด เขาเรียกกันว่าไอ้ทิด ไอ้ทิดนะ ไม่ไม่ใช่บัณฑิต มันโง่ถึงมันบวชแล้ว มันก็ยังโง่ มันเป็นไอ้ทิด แต่ถ้าถูกต้องมันต้องเป็นบัณฑิต ออกเสียงอย่างภาษาไทย เขาเรียก บันทิด มันไป พ้องกับคำว่าไอ้ทิด ไอ้ทิดมันก็ออกมาจากบัณฑิตที่ที่ที่ไม่แท้ บัณฑิตที่ไม่จริงก็ไปเป็นไอ้ทิด ออกไปจาก บันทิด ไปเป็นไอ้ทิด ช่วยรักษาเกียรติที่ได้บวชแล้วนี้ขอให้เป็นบัณฑิต แล้วจะไม่เสียชื่อของพระศาสนา ไม่เสียชื่อของพุทธศาสนา
ถ้าพวกคุณสึกไปแล้วทำอะไรผิดพลาด เสียหายส่วนตัวนั้นยังไม่มาก เท่ากับเสียหายแก่ส่วนรวม คือ พระพุทธศาสนา ทำให้เขาตำหนิติเตียน ว่าพุทธศาสนานี้ใช้ไม่ได้ ไม่ช่วยอะไรใครได้ ก็เสียชื่อของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งที่ท่านไม่มีอะไรจะเสียนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผิดไมได้ ไม่มีอะไรจะเสีย พุทธศาสนาก็ผิดไม่ได้ ไม่มีอะไรจะเสีย แต่คนที่บวชแล้วไปทำเหลวไหล นั้นมันทำให้เกิด ความเข้าใจผิด อย่างนั้นขึ้นมา ว่าพระพุทธศาสนาเป็นของที่ไม่มีสาระอะไรคนบวชแล้วมันยังทำผิด นี่ขอให้นึกถึงข้อนี้ ยิ่งกว่าที่จะนึกถึงตัวเองเพียงคนเดียว เราเสียหายคนเดียวมันไม่มาก หากแต่ถ้าทำให้ เสียหายแก่ พระพุทธศาสนา แล้วมันมาก
เพระาฉะนั้นยอมเสียสละอะไรทุกอย่าง เพื่อรักษาเกียรติ์ หรือคุณค่าของพระศาสนา ของพระรัตนตรัยไว้ ถ้าทำได้อย่างนี้ แล้วไม่เสียทีที่ได้มาบวช จะได้ผลจากการบวช มันจะช่วยกันสืบอายุ พระศาสนาไว้ให้คนชั้นหลัง เขาได้รับประโยชน์ด้วย สึกออกไปนี้ก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องบวชอยู่ จึงจะสืบอายุพระศาสนาได้ บวชออกไปแล้วก็สืบอายุพระศาสนาได้ คือ ไปทำให้ดี ที่สุดอย่างฆราวาส เป็นพุทธบริษัทที่ดี ก็คือ สืบพระศาสนาไว้ ให้คนชั้นหลังเขาได้รับเอาไป เป็นแบบแผน ต่อ ๆ กันไปนี้เขาเรียกว่า สืบอายุพระศาสนา
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ศาสนาจะอันตรธาน ก็เพราะพุทธบริษัทนี้เอง ศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ก็เพราะพุทธบริษัทนี้เอง ศาสนาจะอัน อันตรธานสูญไป ก็พุทธบริษัทนั้นแหละทำผิดต่อศาสนา ทำลายศาสนาเสียเอง คนนอกศาสนา หรือข้าศึกศัตรู หรือคอมมูนิสต์ก็ได้ กล้าพูดเลย ว่าไม่มาทำลาย ศาสนาได้ นอกจากไอ้คนคน ที่เป็นพุทธบริษัทมันทำลายเสียเอง เพียงแต่สอนผิดคำเดียวเท่านั้นแหละ พุทธศาสนาก็หมดไป ไม่ต้องมีใครมาทำให้ เพียงแต่ปฏิบัติผิด เป็นแบบอย่างกันขึ้นมาเท่านั้นแหละ พุทธศาสนาก็หมดไป
ฉะนั้นระวังข้อนี้ให้มาก อย่าเป็นผู้ทำลายพระศาสนาเสียเลย อุตส่าห์เสียสละทุกอย่าง รักษาเอา พุทธศาสนาไว้เป็นที่พึ่ง แก่คนทุกคนรวมทั้งตัวเราด้วย ถึงจะต้องเสียสละอดทนแม้ชีวิต ในบางครั้งก็ อาจจะเสียได้ เพื่อให้พระศาสนายังคงอยู่เป็นที่พึ่งแก่แก่โลกต่อไป นี้ก็เรียกว่า เราได้มีความรู้ความเข้าใจ ที่จะทำอะไรอย่างยิ่งอย่างสูงสุด เกี่ยวกับเราและเกี่ยวกับโลก และเกี่ยวกับพุทธศาสนา และสิ่งที่เรียกว่า โอวาท หรือให้ศีลให้พร หรือไอ้รดน้ำมนต์นี้ มันก็พอแล้ว สำหรับโอกาสลาสิกขา
ข้อที่อยากจะแนะนำข้อสุดท้ายก็คือว่า ผ้ากาสาวเหล่านี้ ผ้าเหลืองนี้ ถ้ามีการบวชอย่างถูกต้อง เขาก็ถือว่า อุปัชฌายะให้ ในนามของพระพุทธเจ้า ในนามของพระอรหันต์ นั่นถือว่าผ้ากาสาวนี้เป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด จงเก็บไว้จงรักษาไว้ให้ดี สำหรับเป็นเครื่องประคับประคองจิตใจของเรา หรือว่าคอย ขู่เราไว้ก็ได้ ว่าบวชแล้วนะอย่าทำเลวนะ มันจะดีกว่ารูปถ่ายเสียอีก มันมีความศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่ในตัว ผ้ากาสาวพัสตร์และบาตร ได้เคยไปเห็นในบ้านเรือน ของบุคคลที่มีสติปัญญาสูงสุด ไม่ต้องออกนามก็ได้ มีบาตร มีผ้าไตรทำไว้สวยงาม สะอาด ทำไว้ในห้องพระ ในตู้พระ ถามว่ามีทำไม เขาว่ามีสำหรับ ให้ลูกหลาน มันไหว้ ที่จริงก็ไว้ขู่ตัวเองนะ ว่าอย่าทำผิดนะ หรือบางทีจะบวชอีกก็ยังจะได้ใช้ หรือว่า ลูกหลาน มันเห็นเข้าแล้วมันก็คงจะอยากบวชบ้าง เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งของมีค่าให้เรี่ยราดกระจุยกระจาย เอาไปทำให้สะอาด เก็บไว้เป็นเพื่อนคู่ชีวิต คอยตักเตือนว่าอย่าทำเลวนะ อย่าทำเลวนะ
ให้ถือว่าผ้ากาสาวนี้ อุปัชฌายะให้ในนามพระอรหันต์ หรือของพระรัตนตรัย ฉะนั้นก็จะ คืนให้ไป หรือมอบให้ไปในฐานะเป็นวัตถุพยาน ไว้ข่มขู่ตัวเอง ดีกว่ารูปถ่ายเสียอีก รูปถ่ายก็มีประโยชน์ จะได้รู้ว่า มันบวชแล้ว แต่มันคงไม่มีอิทธิพลทางจิตใจ มากเหมือนกับผ้ากาสาว และบาตรนี้เป็นแน่นอน ฉะนั้นใครมีห้องพระไปใส่ไว้ในห้องพระ ไม่มีห้องพระก็ใส่ไว้ในห้องหนังสือ ตู้สมุดไปก่อนก็ได้ ห่อเก็บไว้ก็ยังได้
เอาละเป็นอันว่า ได้มีการลาสิกขา อย่างประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ อย่างถูกต้องแล้ว บัดนี้เราก็ เป็นฆราวาส โดยสมบูรณ์แล้ว ก็ได้รับศีล รับพร คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปฏิบัติแล้ว ทีนี้ก็ขอให้พรครั้งสุดท้าย ว่าขอให้เธอทั้งหลายนี้ จงเป็นผู้มั่นคงอยู่ในโอวาท หรือธรรมะดังที่ได้กล่าวแล้วนี้ ถือเอาเป็นสิ่งสูงสุด เพราะว่าธรรมะนั้น รวมทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในตัว นี้เป็นเครื่องคุ้มครอง เป็นเครื่อง ส่งเสริมให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางของพระพุทธศาสนา อยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ
เอา กราบ เอ้า, เข้ามาทีละคนอีกตามลำดับเมื่อก่อนหน้านี่ นี่ของคุณ เอ้า, มาตามลำดับ เมื่อก่อนหน้านี้ อือ, เข้ามา เอ้า, มาตามลำดับเมื่อก่อนหน้านี้ เอ้า, ขอให้มีความสุขความเจริญ งอกงามตามทางของพระพุทธศาสนา อยู่ทุกทิวาราตรีกาล
เอ้า, ของใคร ของใครนี่ นี่มันจะถูกตามเดิมนะ ที่ตั้งลำดับไว้นี้ ผ้าของใครคนนั้นจะได้รับไป ขอให้มีความสุขความเจริญ งอกงามใน พระพุทธศาสนาสมตามความมุ่งหมายทุกประการเถิด ใครอีก ขอให้มีความก้าวหน้า เจริญงอกงาม ในพระพุทธศาสนา สมตามความประสงค์ ที่มุ่งหมายทุกประการ ถ้าไม่ถูกก็เปลี่ยนกันเสียนะ นี่คิดว่าถูกแน่ คืนเจ้าของเดิม ขอให้มีความสุข ความเจริญ งอกงาม ในพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา ตามความมุ่งหมาย ทุกประการ เอ้า, กลับกันได้ กราบที เอ้า, ไปถ่ายรูปกับต้นสาละนั่น ทั้ง ๖ คนนะไป ให้คุณวีระช่วยถ่ายรูป ต้นสาละนะ ที่ประสูติของ พระพุทธเจ้า ที่ปรินิพพาน