แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อ่า, คุณตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ การลาสิกขานี้ เราไม่ได้ทำ อย่างเป็นสังฆกรรม ก็ได้ ดังนั้นจึง ไม่ทำในสีมา หรือในที่ประชุมสงฆ์ อย่าเข้าใจผิด หรือสงสัยว่ามันจะไม่ถูก หรือไม่สำเร็จประโยชน์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก็ยังต้องทำด้วย จิตใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคน ผู้จะลาสิกขาก็ต้องมีใจคอปกติ รู้การที่เรา จะต้อง ลาสิกขา และมีสติสัมปชัญญะ ในการลาสิกขา เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราจะลาสิกขา จึงไม่มีปัญหา เหลืออยู่แต่ว่ามีใจคอปกติ ดังนั้นเมื่อสำรวมจิตใจ มีใจคอปกติ ก็กล่าวคืนสิกขา จะรู้ว่าการ ลาสิกขานี้ บอกคืนแต่สิกขา อย่างของภิกษุ ไม่ได้บอกคืนทั้งหมด ไม่ได้บอกคืนสรณาคมน์ ไม่ได้บอกคืน พระศาสนา ไม่ได้บอกคืนความเป็นพุทธบริษัท
เดี๋ยวก็จะละเมอ ๆ ใจเลื่อนลอยไม่รู้ว่าจะคิดว่ามันมันเลิกกันหมดก็ไม่ถูก และก็เป็นการเสียหาย ด้วย นี่จงรู้ว่าเราจะบอกคืนเฉพาะสิกขา ของภิกษุ เพราะไม่สามารถจะ อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุ ได้ต่อไป ที่มีการกล่าวเป็นภาษาบาลีว่า สิกขัง ปัจจักขามิ นะบอกคืนสิกขา สิกขานั้น คือ สิกขาอย่างภิกษุ แล้วให้ถือว่าเป็น คฤหัสถ์ต่อไป นี่คือสิ่งที่ต้องรู้ แล้วก็ทำสติสัมปชัญญะ ให้มันถูกต้อง นี่เมื่อพร้อมแล้วก็ ว่านโม ๓ จบ แล้วก็กล่าวคืน สิกขา อย่างน้อยก็ ๓ ครั้ง พอแน่ใจ แล้วก็กราบ
เอ้า, เข้ามาหน่อย คือว่าเดี๋ยวนี้ เราได้กล่าวคำ บอกคืนสิกขาแล้ว จึงไม่มีสิทธิอะไร ที่จะนุ่งห่ม ผ้ากาสาวต่อไป เราจึงต้องไปเปลี่ยน เอ้า, ไปที่ตรงไหนที ตรงลงเสีย
ทีนี้ก็นั่งฟัง พยายามทำความเข้าใจให้ดีที่สุด หลังจากให้ศีล แล้วก็ให้พร นี้เป็นการให้โอวาท ขอให้ตั้งใจทำให้สำเร็จประโยชน์ ต่อไปอีกสักครั้งหนึ่ง ขอให้ทบทวนถึงการบวช ว่าเรา บวชกันเพื่อ ประโยชน์อะไร แล้วก็ได้ประโยชน์ตามนั้นหรือเปล่า บางทีเมื่อบวชก็ไม่ได้ทำความเข้าใจอะไรกันกี่มาก น้อย แต่ก็ควรทำความเข้าใจ ต่อไปได้อีก แม้ว่าเราจะมีเหตุผลอย่าง ลัด ๆ สั้น ๆ มันก็ควรจะให้ได้รับ ประโยชน์เต็ม จึงถือโอกาสพูดในส่วนนี้ด้วย
โดยความมุ่งหมายแท้จริงนั้น การบวชนี่เขาบวชกันอยู่เป็น ๒ วิธี คือ บวชเมื่อหมดเรื่อง หมดราว ในบั้นปลายแห่งอายุ เพื่อหาความสงบสุข ให้ได้ถึงที่สุด ที่ชีวิตมันควรจะได้ เพื่อให้มันสมบูรณ์ นั่นก็แบบ หนึ่ง คือ เป็นแบบโบรมโบราณก่อนพุทธกาล ทีนี้เดี๋ยวนี้ เรามีอะไรบางอย่าง ที่เป็นเหตุให้ต้องปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง คือ บวช เพื่อเตรียมตัว สำหรับไปเป็นฆราวาสที่ดี ในระหว่างบวช จึงฝึกอะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้เป็นฆราวาสที่ดี สมควรแล้วจึงออกไปเป็น ฆราวาสที่มีการตั้งต้น สำหรับทำหน้าที่ของ เพศฆราวาสนั้น ให้ดีที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องยุ่งยาก ลำบาก มากขึ้นทุกที ในการมีครอบครัว
ทีนี้เราไม่เคยบวช ในแบบนั้น แล้วมาบวช เมื่อมีครอบครัวแล้ว มีบุตร มีอะไรแล้ว แล้วก็มีปัญหา บางอย่าง เกี่ยวกับครอบครัว อย่างที่ปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้ถือเอาเป็นโอกาส ที่จะรู้ ที่จะเข้าใจ จะมองเห็นประโยชน์ อานิสงส์ของการบวช ว่าถ้าเราได้บวชจริง เรียนจริง บ้างสักระยะหนึ่ง มาเสียตั้งแต่ แรกก่อนจะมีครอบครัว เรื่องอย่างนี้ คงจะไม่เกิดขึ้น หรือจะไม่เกิดขึ้นมาก ถึงขนาดนี้
นี้ควรจะจำไว้ แต่ไม่ใช่สำหรับ จะเสียใจอะไรให้มากมาย จำไว้เผื่อจะได้สอนลูกสอนหลาน เพื่อจัดการให้ลูกให้หลาน เขาจะได้มีการบวช ที่ถูกต้อง เหมาะสมแก่เวลา รู้อะไรดีพอสำหรับว่าจะ ได้ออกไปครองเรือน ที่มันเรียบร้อย กว่านี้ นี่โดยสรุปแล้วการบวชนี้มันก็ มีโอกาสที่จะเรียนอะไรได้ มากเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดนั้น มันอยู่ที่ว่า จะบังคับตัวเองอย่างไร สามารถบังคับตัวเองได้มาก เรื่องเกี่ยวกับการทำผิด เพราะการไม่บังคับตัวเองนั้นมันก็ไม่มี แล้วมันยังคิดนึกอะไรได้มาก ว่าเราจะต้อง ทำอะไร ในฐานะที่เป็นมนุษย์ กี่อย่าง กี่อย่าง มันก็มีการตระเตรียม ที่ทำให้มันถูกต้องมากกว่า
ไม่ใช่รื้อเอามาติเตียน แต่ว่ารื้อเอามา สำหรับ ทำไอ้ส่วนที่เหลือต่อไปข้างหน้า ใช้ชีวิตต่อไป ข้างหน้า ให้มันเรียบร้อย ให้มันราบรื่นกว่านี้ มันก็จะดีมาก แต่นี้มันดีไม่มาก นี่มันจะควบคุมให้ลูกหลาน ให้มันเป็นไปในทางที่ถูกต้อง เพราะต่อไปเราก็จะต้องเป็นคนแก่ ในบั้นปลายแห่งชีวิต จะได้เป็นแสงสว่าง แก่ลูกหลานที่ดี มันจะได้รับประโยชน์มากกว่าที่เราได้รับก็ได้ ฉะนั้นขอให้ มองเห็น และรวบรัดเข้าไปไว้ ในเรื่องที่เราควรจะได้รับ ที่ยังไม่ได้รับ ก็ปรับปรุงมันเสียใหม่ ให้มันได้รับ ไอ้ส่วนที่มันเลยไปแล้ว มันเรียก กลับคืนมาไม่ได้มันก็เลยไป แต่มันก็ยังมีส่วนที่จะปรับปรุงใหม่ หรือเรียกร้องกลับมาให้ได้ นี้มันก็มีอยู่
เพราะฉะนั้นขอให้ พยายาม ให้ดีที่สุด คือ อย่าให้มันเลิ่กลั่ก ๆ หรือว่าให้มันลอกแลก ๆ เหมือนเมื่อเป็นเด็ก หรือว่ามันหนุ่มนี่ หนุ่มฟ้อ หนุ่มจัด แต่เดี๋ยวนี้มันเลยมาแล้ว เราพบว่าไอ้ความเยือกเย็น และมีสติสัมปชัญญะนี้ มันจำเป็นมาก ซึ่งเราอาจจะเปรียบเทียบได้ดี ว่าเราได้ทำอะไร ผลุนผลันไปอย่างไร ไอ้ความผลุนผลันนั้นมันก็เป็นธรรมดา สำหรับผู้ที่มิได้รับการศึกษา ตามแบบของพระศาสนา ก็แปลว่า เรามัน ให้ความสำคัญแก่พระศาสนาน้อยไป ดังนั้นจึงต้องเสวยผล ในลักษณะอย่างนี้ นี้มันก็ดีอยู่ที่มันไม่ เสียหาย ร้ายกาจอะไรมาก มากมายนัก แต่มันก็อยู่ในพวกที่ ไม่เรียบร้อยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นควรติดต่อ สัมพันธ์กันกับพระศาสนานี้ให้เพียงพอมาเสียตั้งแต่แรก เลิกความคิดที่ว่า ศาสนาไม่จำเป็น ไม่มีประโยชน์อะไรกันเสียบ้าง หรือเมื่อมีพิธีแต่งงาน ถ้าทำได้ดี ทุกขั้นตอนตามลำดับ เหมือนที่พวกคริสเตียนเขาทำกัน ก็จะดีกว่านี้มาก ประเพณีไทยยังไม่ค่อยมีการปรับปรุง อบรม สั่งสอน ไอ้คู่บ่าวสาวมาก เหมือนกับพวกคริสเตียน เราก็จะถือว่า ด้อยกว่าเขา แต่เราก็มี ไอ้การบวช การอะไร เพื่อเรียนรู้เรื่องนี้ ก่อนล่วงหน้าเป็นอันมาก มันก็พอจะช่วยเหลือได้ เดี๋ยวนี้เมื่อเราไม่ได้ทำทั้ง ๒ อย่าง มันก็ทำให้เกิดความ มืดมน หรือว่าผลุนผลัน หรือว่าอะไร อย่างที่เราก็รู้อยู่ว่า เราไม่ได้รับความพอใจ เย็นใจ สบายใจ ให้มากกว่านี้
นี่ขอให้เข้าใจไอ้ความจำเป็น ของธรรมะ หรือศาสนา ที่ต้องเข้ามามีเกี่ยว การเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทีเดียว นี้ก็อย่าได้เข้าใจว่า ต่อไปจากนี้ มันก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะเกี่ยวข้อง กับธรรมะ เพราะว่าโดยที่แท้แล้ว มันยิ่งเกี่ยวข้องกับธรรมะมากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่เชื่อขอให้คอยดู มันมีปัญหา ในหน้าที่การงาน หรืออาชีพเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนหนึ่ง ทีนี้มันก็มีเรื่องบุตร เรื่องภรรยา เรื่องอะไรที่จะเพิ่มขึ้น อีก อีกหลาย ๆ แง่หลาย ๆ มุม ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ เราก็จัดให้ดีไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราจะผลุนผลัน ก็ช่างหัวมัน ปล่อยมันไป เราก็เป็นคนเลว ใช้ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ฉะนั้นอย่าไปตัดทิ้งในลักษณะอย่างนั้น ต้องคอยเอาใจใส่ ให้มากที่สุด ที่จะให้มันมีผลดีที่สุด ไอ้การที่โกรธขึ้นมาแล้วปัดทิ้งไปนี้ ใช้ไม่ได้อย่างยิ่ง แล้วการที่ไม่เอาใจใส่ แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่ได้ทำ นี้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นมันต้องชดเชยความผิดพลาด ประมาท แต่หนหลัง ในการที่มา เอาใจใส่เรื่องนี้ ให้มากที่สุด เพื่อชดเชยกับไอ้ไอ้ไอ้ความที่มันผิดพลาดมาแต่หนหลัง มันก็จะกลับเข้ารูป ทันแก่เวลา ได้เหมือนกัน
การที่จะถือว่า เรามีหน้าที่ทำการงาน เป็นพ่อบ้านหาเงินมาให้เขาใช้ แล้วมันก็พอแล้ว นอกนั้น เขาไปทำกันเอง อย่างนี้มันไม่ใช่ลักษณะของพ่อบ้านที่ดี พ่อบ้านที่ดี มันเป็นผู้นำในทางวิญญาณด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ช่วยเหลือเขาในทางวัตถุ เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้ารอดชีวิตอยู่แต่มันเดินผิดทาง มันก็ยิ่ง ยุ่งกันใหญ่ ดังนั้นควรจะรู้ข้อเท็จจริงอันนี้ แล้วก็รับผิดชอบ ทำให้สำเร็จประโยชน์
มีคนเป็นอันมาก โดยเฉพาะที่มีการงาน การศึกษาอย่างสมัยใหม่นี่ มักจะคิด ไปในรูปนั้นโดยมาก ตรงกันข้ามกับไอ้ระบบโบราณ ที่เขาจะรู้สึกรับผิดชอบมากกว่านั้นมาก แล้วยังจะเห็นว่า ไอ้ความถูกต้อง ทางจิตใจ ทางวิญญาณ นี่สำคัญกว่า ที่จะมีอาหารกิน หรือมีเงินใช้เสียอีก คนสมัยนี้จะคิดแต่ว่า มันมีเงิน ให้ใช้ มีอาหารให้กิน อะไรแล้วมันก็หมดหน้าที่ ดังนั้นเรื่องมันจึงเกิดขึ้น อย่างที่เกิดอยู่ทั่วไปในโลกนี้ คือ เด็ก ๆ เขาไม่รู้ทิศทาง ที่จะเดินไปอย่างถูกต้อง ยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้นไม่กี่ชั่วอายุคนนี่ จะเลอะเทอะหมดจน ไม่รู้ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร หรือเป็นกันทำไม
ดังนั้นก็เลยมีไอ้ไอ้วิกฤตการณ์ทั้งหลาย คือ สิ่งอันไม่พึงปรารถนา เกิดขึ้นเต็มบ้าน เต็มเมือง ไปหมด แม้กระทั่งทั่วโลก ซึ่งเราก็ควรจะมองดูว่า เราจะทำได้สักเท่าไร นอกจากจะทำงานไปตามหน้าที่ ไม่ไม่บกพร่องแล้ว ก็ต้องเสียสละไอ้เรื่องอื่น ๆ มาเอาใจใส่กับ เรื่องทางจิต ทางวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของลูก ซึ่งต่อไปมันก็จะถึงของหลาน วัฒนธรรมโง่ ๆ ของฝรั่ง ก็มีอยู่มาก มีลูกแล้ว เลี้ยงพอสมควรแล้ว ก็ตัดหางปล่อยไป ยิ่งหลานด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องนึกถึง อย่างนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมของคนไทย ธรรมเนียมของ คนไทย มันจะต้องอยู่ ดูแลอุ้มชูกันไป จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป เป็นลำดับ ๆ ทีเดียว ไม่ใช่ว่าพอสมควร แล้วก็ตัดหางปล่อยไป แล้วก็ไม่ต้อง เหมือนกับว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ก็เป็นเสียอย่างนี้น่ะเดี๋ยวนี้
เราควรจะเป็นอย่างคนไทย ไปดีกว่า มันจะได้ประโยชน์มากกว่า ไม่ใช่ว่าเป็นทำไม ให้เสียเวลา ให้เหน็ดเหนื่อย แต่มันจะถูกต้องกว่า ได้รับประโยชน์มากกว่า ดังนั้นสิ่งที่จะต้องตัดออกไป อย่างเด็ดขาด ก็คือ เรื่องสนุกสนาน เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรก็ตาม ก็ต้องตัดออกไป เพื่อเอากำลังใจเอาสติปัญญา เวลานั้นมาจัดการกับลูก ๆ เพื่อความปลอดภัย ทางจิตใจ ทางวิญญาณ และเพื่อความเจริญก้าวหน้า แล้วก็เพื่อ ไม่ทำอะไรผิดพลาด เหมือนกับที่เขาทำกันโดยมาก หรือเหมือนกับที่เราก็มีส่วนทำผิดพลาด กับเขาด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นก็เลิกระบบ ที่ว่าหาเงินให้ใช้ เพียงพอแล้วก็พอแล้วนั้นนะ ต้องเลิก แต่ว่าต้องควบคุม ดูแล ป้องกัน รักษา ความปลอดภัยทางจิตทางวิญญาณต่อไปด้วย มิฉะนั้นลูกหลานของเราจะทำผิดหมด แล้วจะไม่เป็นผลดีแก่วงษ์สกุลหรือแก่อะไรเลย นี่เด็ก ๆ เขากำลังไม่รู้ทิศทาง เช่นเดียวกับที่ว่า เราก็ไม่รู้ ทิศทางตอนแรก ไม่รู้จะบังคับตัวเองอย่างไร ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อ ทิศทั้งหลายอย่างถูกต้อง ทิศทั้งหลายนี้ก็ สำคัญมาก ไปศึกษาเพิ่มเติม ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรภรรยา ทิศเบื้องซ้าย คือ เพื่อน ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องบน คือ ศาสนาจารย์ หรือศาสนา ทิศเบื้องต่ำ คือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา มันเป็น ๖ ทิศ แล้วก็มีความละเอียดสุขุมมาก
ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ๖ ทิศจริง ๆ มันก็จะประเสริฐที่สุด ขอให้ได้คิดดูใหม่เถอะ อย่าได้มีความ ผิดพลาด บกพร่อง ต่อทิศแต่ละทิศนั่นแหละ ทิศเบื้องหน้าบิดามารดา เราก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรภรรยานี้กำลังจะเป็นอย่างไร ทิศเบื้องซ้าย คือ เพื่อนฝูง เขากำลังจะพาเราไปอย่างไร ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ นี่เราได้รับประโยชน์จากการมีครูบาอาจารย์กี่มากน้อย ขอให้ไปคิดดู ทิศเบื้องบน คือ ศาสนา สมณะทั้งหลายนี้ เราได้เกี่ยวข้องกับอะไร ได้รับประโยชน์อย่างไร แม้ที่สุดแต่ ทิศเบื้องต่ำ คือ ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา โดยเฉพาะในเวลาข้างหน้า ซึ่งถ้าเรามีตำแหน่งสูงขึ้นไป มันก็มีปัญหา หรือหน้าที่มากเหมือนกัน ที่จะบังคับบัญชา ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อย่าง ลูกจ้าง กรรมกร อะไรต่าง ๆ เดี๋ยวนี้มันทำผิดเรื่องนี้ มันจึงเกิดปัญหาไม่สิ้นสุด
ทีนี้เรา ที่แล้วมาก็ดูว่าจะไม่เคยรู้สักทิศหนึ่ง คือ ไม่ได้รับรู้ หรือสนใจ หรืออะไร ว่ามันมีกี่ทิศ ไม่ได้รับรู้สักเท่าไร ก็ไม่ได้สนใจ เรื่องนี้ก็ไม่ได้โทษอะไรนะ เพียงแต่ว่ามันเป็นมาแล้วอย่างนี้ มันเป็นเรื่อง ของกรรม ถือว่ามันเป็นมาตามกรรม แต่เราก็มีทางที่จะแก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ ปรับปรุงได้ ดังนั้นขอให้ ลงมือ ตั้งต้นปรับปรุง แก้ไข หรือเหมือนกับว่า สึกออกไปนี้ ตั้งต้นใหม่เถอะ ตั้งเลขศูนย์ใหม่ก็ได้ ที่แล้วมา มันมีบวก ๆ ลบ ๆ มันก็มันจะลบมากกว่าบวก อะไรก็ตาม มันยุ่งไปหมด ก็เป็นอันว่าลบทิ้งไปหมด ตั้งศูนย์ แล้วก็ต่อไปนี้ให้มันมีแต่บวก คือ อย่าให้มีความผิดพลาด มันยังจะทันอยู่ ยังมีเวลาพอจะทันอยู่
ให้มันถือคล้าย ๆ กับว่าเอาละเรามันเพิ่งเพิ่งเป็นหนุ่ม แล้วก็เพิ่งบวช แล้วก็เพิ่งสึกออกไปตั้งต้น แม้ว่าจะได้มีบุตร มีภรรยาแล้วก็ตาม ขอให้ถือว่าไปตั้งต้นใหม่ ที่ถูกต้อง ถือว่าเป็นโชค แล้วนั่นจะได้รับมา เปล่า ๆ แล้วก็มาตั้งต้นทดลองฝีมือของเรา นี้ก็ทำทันแน่ ถ้าหากว่าเอาใจใส่ และเสียสละพอ ในการที่จะ ปฏิบัติ ต่อทิศทั้งหลาย ๖ ทิศ อย่างที่ว่ามาแล้ว ในความรู้นี้ ก็พอจะเริ่มมีแล้ว อย่างนี้ว่าทิศนั้นเป็นอย่างไร ไปหาอ่านศึกษาเพิ่มเติม เอาจากหนังสือหนังหา ตำรับตำราเรื่องนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ เรื่อง ฆราวาสธรรม ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดมาก นี่ขอให้ไปศึกษาเอาเอง
ทีนี้มันก็มีปัญหาอยู่ อย่างยิ่งข้อหนึ่งว่า จะมีความอดทนพอหรือไม่ ถ้าเราเป็นคนฉุนเฉียว ผลุนผลัน ก็คงไม่สำเร็จแน่ แล้วมันก็ชักจะพิสูจน์อยู่แล้วว่า เรานี้เป็นคนผลุนผลัน มันก็ต้องเลิกข้อนี้ คือ ต้องเสียสละความผลุนผลัน แล้วต้องมีความอดทนอย่างยิ่งเป็นธรรมดา เพื่อว่าต่อไปนี้จะไม่ทำอะไร อย่างผลุนผลันนั่นเอง ขอให้มองดูเหตุการณ์ที่แล้วมาแต่หลัง จะพบว่า มันมีความผลุนผลัน ผลุนผลัน เพราะไม่รู้ก็ได้ ผลุนผลันเพราะรู้ หรือเจตนาก็ได้ เอาละ เป็นอันว่าเราผลุนผลันไป เพราะเราไม่รู้ เพราะเรา ไม่ได้ อบรมศึกษาเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำพิธีแต่งงานอย่างพวกคริสเตียน ที่เขาอบรมในเรื่องนี้ กันมาก ในพิธีการแต่งงาน หรือก่อนแต่งงาน ต้องรับศีลหลายขั้นตอน ฉะนั้นจึงผลุนผลันยาก
เพราะฉะนั้นเราก็เคยผลุนผลัน ก็ดีเหมือนกันที่ มันได้สอนให้เรารู้ว่า ความผลุนผลันนั้นเป็น อย่างไร ก็เข้าในรูปแบบที่ว่า ไอ้ความผิดนั้นมันเป็นครู คนโง่ ๆ ไม่เคยคิดว่า ความผิดนั้นเป็นครู ก็เป็นครู ยิ่งกว่าความถูก การที่มีเงินใช้ มีอะไรสะดวกสบายไปหมด เรียกว่าเป็นความถูกนี่ มันทำให้ เตลิดเปิดเปิง ประมาทไม่รู้ตัว คนเขาก็ชอบ ก็ควรจะชอบ ตามความรู้สึกธรรมดาสามัญ แต่ที่จริงแล้ว ไอ้ความผิด มันเป็นครูมากกว่า นี่ถ้ามันมีอะไรผิด เสียหายร้ายกาจขึ้นมา ซึ่งทำให้เราต้องมา เสียใจทีหลัง นี่เรียกว่า ความผิด และมันก็เป็นครูที่ดีที่สุด มันเป็นครูลึกซึ้งลงไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ก็จะเป็นเหตุ ให้รู้จักแก้ไข กันเสียใหม่
ฉะนั้นต้องเอาเป็นครูจึงลืมไม่ได้ อย่าลืมความผิดพลาดทั้งหลายแต่หนหลัง แต่ไม่ใช่เอามาเสียใจ เอามาสำหรับ เป็นครู เพื่อป้องกันแก้ไขไอ้สิ่งต่าง ๆ ต่อไปข้างหน้าให้มันถูกต้อง แล้วถือเสียว่าเหมือนกับ ใช้กรรม หรือใช้หนี้ของกรรม ทำอะไรผิดไปแล้วต้องไถ่ถอนด้วยการให้ถูก การทดแทนกัน ถ้าว่าเราทำ ผิดพลาด ในส่วนบิดามารดาของเรา จนไม่มีโอกาสจะแก้ไขตอนแทนท่าน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาส ที่ตอบแทน คือ การทำให้ถูกต้อง ทำแต่ความดี อุทิศแก่ท่าน ในการสืบสกุลที่ดี แล้วก็ไปใช้แทน ใช้หนี้ แทน ด้วยการทำให้ถูกต้อง แก่ลูกแก่หลานต่อไป ให้มันสิ้นสุดลงเสียแค่เรานี้ การทำผิดพลาดต่อบิดา มารดา ให้มันสิ้นสุดลงเสียแค่เรา ให้ไปมีความถูกต้องแก่ลูกแก่หลาน ที่เขาจะทำให้ถูกต้อง ต่อบิดามารดา ของเขาต่อไป อันนี้ก็เป็นการทดแทนได้
การตอบสนองคุณบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เราไม่มีโอกาสจะ ตอบแทนสนองคุณโดยตรงได้ นี่ก็เหมือนกับที่พูดมาแล้วว่า ต้องอาศัยความเสียสละอย่างยิ่ง ในการที่จะมาเอาใจใส่ดูแลไอ้ลูก ไอ้หลาน ไอ้เหลน นี้ให้มัน เป็นไปถูกทาง ให้มันไปสนองคุณบิดามารดา ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เราไม่ได้สนองคุณท่าน หรือถึงกับทำผิดพลาด อย่างน่าตำหนิไปก็มี นี่ไอ้ความรู้ธรรมะ มันจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้ศึกษา เพิ่มเติม ให้มากยิ่งขึ้น ต่อ ๆ ไป มันก็จะเปลี่ยนไอ้ที่ผิดให้เป็นถูก แล้วก็จะมีแต่ดีต่อไปได้ ไอ้ความดีนี้ถ้ามันทำมาก มากขึ้น ๆ มันก็กลบไอ้ไม่ดีนั้นให้หมดฤทธิ์ หมดอำนาจ หมดอะไรไป
นี้เป็นหลักในทางธรรมะ ในทางศาสนา คือ ทำดี ทำกุศล เพื่อจะไถ่ถอนเสียซึ่งบาป หรืออกุศล ที่เคยทำมาแล้ว ด้วยความไม่รู้ นี่ปัญหาของเราในเวลานี้ดูจะเป็นอย่างนี้ มากกว่าอย่างอื่น จึงได้พูดอย่างนี้ ตามธรรมดา ก็จะพูดเรื่อง การตั้งตัวของฆราวาส สำหรับผู้ที่่จะลาสิกขาออกไป ในกรณีที่ยังเป็นคนหนุ่ม บวชตามประเพณี เดี๋ยวนี้ไอ้คำแนะนำอย่างนั้น มันก็เกือบจะไม่จำเป็นแล้วสำหรับเรา เพราะว่าเราได้ ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ โดยไม่มีความบกพร่อง ในส่วนที่เป็นการงาน การอาชีพ การสังคม หรืออะไรต่าง ๆ ประพฤติตัวดี เหลืออยู่แต่หน้าที่ที่จะเป็นพ่อที่ดี เป็นปู่เป็นตาที่ดีอะไรต่อไปข้างหน้าโน่น เพราะฉะนั้น จะเรียกว่า โดยส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น
นี้โดยเฉพาะตัว ก็มีเรื่องที่ว่า ทำผิดแล้วเสียใจ ก็ไม่มีอะไร มันก็ต้องทำให้ดี ทำให้ถูก ให้มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียใจ ลืมเสียก็ได้ส่วนนั้น เพียงแต่เอามาเตือนสติไว้เพื่อไม่ให้ทำผิดต่อไป ฉะนั้นไปรีบศึกษา เพิ่มเติมในส่วนที่จะทำให้ เข้มแข็ง หรือดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง ต่อหน้าที่ที่ต่อไปนี้มันจะสูงขึ้นไป ทางอาชีพเราก็จะเป็นผู้บังคับบัญชาคนอื่นมากขึ้น ทางครอบครัวเราก็ต้องเป็นบิดาที่ดีของลูก และยังมี ส่วนอื่น ๆ อีก ตามเรื่องของทิศทั้ง ๖ นั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่รอง ๆ ลงไปตามลำดับ แต่เอาเรื่องทั้งหมดนี้ มาบวกมารวมกันเข้าแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญ เท่ากับความอดกลั้นอดทน
คำว่า อดกลั้น อดทนนี้ มันกินความกว้าง ไม่ใช่ว่าเราเจ็บปวดอยู่จะต้องอดทน แม้แต่การที่จะ ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้มีชัยชนะมากขึ้นนะ ก็ยังต้องอดกลั้นอดทน เราทำดีได้แล้ว ชนะแล้ว พอสมควร แล้ว แต่ทำดีให้มากออกไป ชนะให้มากออกไป กว่าจะสมบูรณ์ มันก็ยิ่งต้องการความอดกลั้น อดทน ซึ่งหมายถึง อดทนศึกษาให้รู้ อดทนปฏิบัติให้ได้ตามนั้น นี้ก็เป็นความอดกลั้นอดทนอย่างยิ่ง คนในโลก ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะไม่อดกลั้นอดทนในส่วนนี้แหละ ดังนั้นจึงไปหลงกามารมณ์ หลงอะไร ต่าง ๆ แล้วเบื่อหน่ายที่จะศึกษาธรรมะ หรือพระศาสนา พอมาศึกษาธรรมะ มันเบื่อหน่าย มันก็ไม่อดทน มันก็หันไปหาไอ้เรื่องสนุกสนาน
ถ้าไม่อดทน อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งก็ไม่จบ คุณไปสังเกตเอง ถึงจะอ่านหนังสือธรรมะ เล่มเล็ก ๆ สักครึ่งเล่มก็ไม่ได้ ๒-๓ ใบก็ไม่ได้ คุณไม่มีความอดกลั้นอดทนถึงขนาดนั้น นี้มันจะต้องอดกลั้น อดทน ศึกษาให้เข้าใจ แล้วก็ยังจะต้องอดกลั้น อดทนบังคับตัวเองให้ปฏิบัติให้ได้ด้วย เดี๋ยวนี้พระศาสนา กำลังเป็นหมัน เพราะคนไม่อดกลั้นอดทน เพื่อจะศึกษา แม้เป็นภิกษุ สามเณ รมันก็ไม่มีความอดกลั้น อดทน คือ ไม่ดีไปกว่าฆราวาสเท่าไร ไปศึกษาเรื่องสนุกสนาน เรื่องที่มันเข้ากับกิเลส ไม่ศึกษาเรื่องที่จะ ฆ่ากิเลส มันก็ไม่ชอบ มันก็ไม่อดทน
อยากจะบอกให้รู้ว่า หนังสือตำรับตำราทางธรรมะ ที่เขาเขียน หรือเขามีกันขึ้นแล้วในประเทศเรา หรือในโลกตามเวลานี้มันมากแล้ว มันมากเกินต้องการด้วยซ้ำไป แต่มันกำลังไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้สัก ๑ % ของประโยชน์ทั้งหมด ที่มันควรจะได้ นี่เอาอาจารย์เองเป็นหลัก เป็นทดสอบ หลักทดสอบความรู้สึก ก็รู้ว่า ไอ้หนังสือที่เราทำออกไปนี่ เขาใช้เป็นประโยชน์ เพียงสัก ๑ % ของที่มันควรจะได้ ก็ยังไม่ได้ ส่วนมากไม่อ่าน หรือไม่เคยอ่าน หรือไม่อ่าน แล้วก็อ่านด้วยความไม่อดทน แล้วมันก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ ก็มี ๆ กันนะ หรือจะซื้อไว้อวด อวดคนกันว่า มีหนังสือมากกว่า อย่างนี้เสียมากกว่า
พระไตรปิฎกก็เหมือนกัน มีค่า จนพรรณาหรือคำนวณไม่ได้ แต่คนได้รับประโยชน์น้อยมาก ไม่ถึง ๑ % ของที่มันควรจะ ควรจะได้ทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจคำพูดนี้ แต่นี้เป็นความจริง ที่มันเป็น อยู่อย่างนี้จริง ๆ ความไม่อดทน ทำให้ไอ้สิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ กลายเป็นไม่มีประโยชน์ สิ่งที่มันจะเป็นที่พึ่ง ได้ มันก็ไม่เป็นที่พึ่งได้ ที่แล้วมามันก็เป็นอย่างนี้ แล้วต่อไป มันก็กำลังจะเป็นอย่างนี้
ดังนั้นขอให้เรา คนหนึ่งนี้ ที่บวชเข้ามาคราวนี้ รู้สึกเห็นจริงในข้อนี้ และทำเสียใหม่ให้ถูกต้อง ก็อาจจะได้รับประโยชน์ แท้จริงจากพระธรรม หรือพระศาสนาอย่างเต็มที่ ดีกว่าพระเณรที่บวชอยู่ด้วย ความอวดดี ตลอดชีวิตมันก็ ไม่มีประโยชน์อะไร ขอยืนยันอย่างนี้ ถ้ามันประมาทอวดดี มันก็ไม่มี ประโยชน์อะไรทั้งนั้น ทีนี้เรา แม้จะเป็นฆราวาส ถ้าไม่อวดดีก็จะ ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ได้มากกว่า ได้ก่อนกว่า ได้สมบูรณ์กว่า นี้ก็เพื่อว่าไม่ต้องเสียใจ ว่าบวชอยู่ไม่ได้ ต้องกลับออกไป ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเอาไปได้ เพราะมันศึกษาได้ เพราะมันปฏิบัติได้ ถ้าทำได้มันจะแก้ แก้ปัญหาทั้งหมดได้ หรือมันจะล้างบาป ความเข้าใจผิดแต่หนหลัง ได้หมดสิ้นนั่นเอง
นี่พูดสำหรับกรณีทีี่ว่าเราเข้ามาตั้งครึ่งตั้งค่อน แล้วยังได้พบความจริงของพระธรรม มันก็แปลก กันบ้าง กับผู้ที่สนใจพระธรรมมาตั้งแต่เล็ก เรื่อย ๆ มา แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราแม้เมื่อมาพบ ตอนนี้ก็ยังทำได้ ขอให้แน่ใจในข้อนี้ แม้เพิ่งมาศึกษาธรรมะเดี๋ยวนี้ ก็ยังมีทางทำให้ได้รับประโยชน์เต็มที่ได้ ขอให้จริง สักหน่อย คือ มีความสละ อดกลั้นอดทน ชดเชย ชดเชยไอ้ความประมาทแต่หนหลัง ต่อไปนี้มันก็จะมี ความถูกต้องมากขึ้น ในทิศทั้งหลาย ทิศ ๖ นั้นนะ
ขอให้ท่องไว้เสมอว่าทิศ ๖ นั้นเป็นอย่างไร ข้างหน้าเป็นบิดามารดา ข้างหลัง คือ บุตรภรรยา ข้างซ้าย คือ เพื่อน ข้างขวา คือ ครูบาอาจารย์ ผู้ที่จะตักเตือนแนะนำ ข้างบน คือ ศาสนา หรือพระเจ้า พระสงฆ์ ข้างล่าง คือ คนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา คนใช้ กรรมกรอะไรก็ตาม สอบ สอบ ทดสอบ สอบอย่าง ทดสอบอยู่ทุกวัน ว่าวันนี้ได้ทำผิดอะไรบ้างในทิศทั้ง ๖ นี้ ทิศไหนบ้าง อย่างไรบ้าง ทดสอบอยู่ทุกวัน หรือบ่อย ๆ เพื่อจะปิดกั้น ไอ้ความผิดพลาดที่จะเข้ามาจากทิศทั้งหลาย นี้พูดตามสำนวนพระบาลี ว่าปิดกั้นทิศทั้งหลาย ไม่ให้เป็นทางเข้ามาแห่งความผิด หรือความทุกข์ ดังนั้นต้องรู้ไว้ว่ามันมีกี่ทิศ เหมือนกับรูที่มันจะรั่วเข้ามา เป็นความทุกข์มีกี่รู ก็อุดปิดอย่าให้มันมี ความผิดพลาดหรือเกิดทุกข์ขึ้นมาได้ คำสอนที่สำคัญที่สุดของ พระพุทธเจ้า สำหรับฆราวาส ท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ เป็นผู้ปิดกั้นทิศทั้งหลาย ไว้ให้มัน ไม่มีอันตราย
ทีนี้ผลที่มุ่งหมายมันก็ยังมี ที่จะเพิ่มเติมเข้ามาอีก ฆราวาสนั้น ถ้าเป็นฆราวาสแท้ ๆ ก็วาด วัตถุประสงค์ ไว้เพียงว่า มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียง นี่ก็มีการแวดล้อมด้วยสังคมที่ดี ไอ้เรื่องทรัพย์ สมบัติ นี้คงไม่มีปัญหาสำหรับเรา ที่รู้จักทำการงานมาถึงขนาดนี้ ไอ้เรื่องชื่อเสียงนี้ก็ยังมีหวังว่า เรามันไม่ บกพร่อง ในการทำหน้าที่การงาน และการสังคม แต่มันมีความหมายไอ้ข้อสุดท้ายที่ว่า มีการแวดล้อม ด้วยสังคมที่ดี เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมาก แม้ในประเทศไทยในหมู่พุทธบริษัทนี่ ยังถือผิด ๆ ในข้อนี้ คือ เอาสังคมทั่วไปเป็นหลัก โดยไม่ต้องดูว่าเป็นสังคมที่ดี หรือที่ไม่ดี ถ้าสังคมยอมรับ ก็กลายเป็นดีไปหมด
เดี๋ยวนี้มันเป็นสังคมเลว เลวกันทั้งโขยง ก็เลยถือเป็นหลักไม่ได้ในทางธรรม เมื่อวานนี้หรือเมื่อ แล้ว ๆ มา ตั้งหลาย ๑๐ หลาย ๑๐๐ ครั้ง แล้ว ก็ยังมีผู้มีปัญหาที่ว่า ไอ้มันทำเลวแล้วทำไมมันรวย นี่แหละสังคมยอมรับ ว่ามันเป็นคนที่ควรแก่สังคม นี้มันเลวที่สุด มันทำชั่วที่สุด มันก็ยังมีอำนาจวาสนา แล้วสังคมก็ยอมรับ นี่เป็นความเข้าใจผิดพลาด กลับกันเสีย ว่าถ้าสังคมยอมรับแล้วเป็นอันว่าใช้ได้ นี้ระวังให้ดี เราต้องสังคมที่ถูกต้อง สังคมของสัตตบุรุษ อริยบุคคล ยอมรับแล้วเป็นใช้ได้ ถ้าเราแวดล้อม อยู่ในสังคมบุคคลชนิดนี้ก็ใช้ได้
แต่นี้แวดล้อมอยู่ในสังคมชนิดอันธพาล หน้าไหว้หลังหลอก นิยมพากันทำชั่ว ได้เงิน ได้อำนาจ ได้อะไร มันก็ได้ มันก็ไปในแบบนั้น เราไม่เอา แล้วเราก็ไม่ไปหาเรื่อง ให้ขัดใจ ปะทะเผชิญกันกับ ไอ้คนแบบนั้น มันก็ต้องปฏิบัติถูกต้องต่อสังคมเลว สังคมอันธพาล แต่มันมีอำนาจวาสนา นี้เรายังต้อง ปฏิบัติ ในส่วนของเราว่าให้มีสังคมของสัตตบุรุษแวดล้อมกันอยู่ เป็นมิตรสหาย เป็นเพื่อนปรึกษาหารือ เป็นคนที่ดีจริง คือ เคารพตัวเองได้ ไอ้คนเหล่านั้นแม้จะมีอะไรมาก มีเงินมีอำนาจมีบริวารมาก มันก็เคารพ ตัวเองไม่ได้ มันยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง มันก็ขยะแขยงกินแหนง ตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ เอาเป็นว่าถือเอา เป็นแบบฉบับไม่ได้ สำหรับคนที่ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้
เมื่อให้พูดมันก็ต้องพูดอย่างนี้ มันพูดอย่างอื่นไม่ได้ พูดอย่างอื่นมันผิดหลักของพระศาสนา แล้วไอ้เราก็ไม่ชอบ ไอ้เราผู้พูดนี้ก็ไม่ชอบ เราจึงพูดได้แต่อย่างนี้ ก็ยึดถือความดี ความงาม ความจริง ความบริสุทธิ์ เป็นหลักอยู่เสมอไป เพราะฉะนั้นถ้าเห็นด้วยมันก็คงจะง่าย จิตมันก็จะน้อมไป เพื่อประพฤติ ปฏิบัติ อย่างแน่นอน แต่ถ้าเราไม่ชอบ มันก็สลัด มันก็ไม่เอา มันก็ไม่ยอมรับ มันก็ทำไม่ได้ ปัญหามันก็จะมี ในทางนี้อยู่ตามเดิม และมันก็จะรุนแรงขึ้น เราก็จะอึดอัดอิดหนาระอาใจ ไม่มีความสุข แม้จะมีเงิน มีอำนาจ วาสนามากกว่านี้ มันก็มีความสุขไม่ได้ เพราะดังนั้นมันก็จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความรุ่มร้อน ในท่ามกลาง ของทรัพย์สมบัติ หรืออำนาจวาสนาเหมือนที่เขาเป็น ๆ กัน นี้ก็เป็นสังคมแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็มีมากขึ้นในโลก ลองไปคิดดูให้ดีว่าเราจะเอาอย่างไร
นี่คำพูดทั้งหมดนี้ ถ้าจะสรุปให้อีกที มันก็เหมือนกับว่า ล้างบาป ชำระชะล้างซักฟอก ไอ้ความ ผิดพลาดแต่หนหลัง ถ้ามันจะมี หรือมันก็มีอยู่บ้าง อย่างที่เราก็เห็นอยู่นะ แต่มันยังไม่ได้มาก จนถึงกับทำ ความวินาศ นี่เราก็ป้องกันไม่ให้มันมาก จนถึงกับทำความวินาศ เราจึงมาค่อยมาชะล้าง ตัดออกไป ๆ ให้มันมันสิ้นซาก สิ้นเชื้อ เพราะฉะนั้นขอให้ยึดหลักธรรมะเป็นที่พึ่ง ขจัดปัดเป่าไปได้ แล้วเป็นที่พึ่ง ตรงที่ว่า ทำอย่างไหนเสียก็จะไม่มีความทุกข์ นี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งนะ ที่คุณจะต้องเผชิญ
ต่อไปนี้เรื่องที่จะทำให้มีความทุกข์มันจะมีมากขึ้น ถ้าเรายังยอมรับภาระเป็นพ่อบ้านนะ มันมีลูกมีหลานมีอะไร มันจะมีมากขึ้น มันต้องเตรียมพร้อมสำหรับจะป้องกัน อย่าให้ความผิดพลาด มันเกิดขึ้น แล้วถ้าแม้มันเกิดขึ้นก็ต้องไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่ว่ายินดีรับเอาบาปนั้นมา มีแต่จะ ขจัดปัดเป่าออกไป แล้วถ้าบาปมันให้ผล ก็ต้อง ก็ต้องไม่เป็นทุกข์ ถึงมันจะรู้สึกเป็นทุกข์ มันก็ต้องขจัด ออกไปให้ได้ ว่าเราจะทำเสียใหม่ให้มันถูกต้อง ฉะนั้นถ้าเกิดอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ขึ้น ก็อย่าเป็นทุกข์ อย่าเดือด อย่าบ้าคลั่ง อย่าอะไร ให้มันเสียหายร้ายแรงมากออกไป ถ้าเป็นทุกข์เดือดร้อน กระวนกระวาย ร้องคราง แล้วมันก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่จะแก้ไขอะไรได้
ดังนั้นต้องควบคุมในข้อนี้ ต้องมีสติสัมปชัญญะ แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เอาแต่ที่จะไม่เป็นทุกข์ ไว้ก่อน ให้สติสัมปชัญญะ หรือว่าใจคอนี้มันปกติ แล้วมันก็จะแก้ไขได้ ค่อย ๆ แก้ไขได้ เหมือนกับว่า แม้ว่าจะถูกแร่เนื้อเถือหนัง ก็ต้องไม่เจ็บปวด ไม่ต้องโกรธ มีสติสัมปชัญญะควบคุม ก็จะแก้ไขนั้นแหละดี ธรรมะเขาสอนอย่างนั้น ศาสนาเขาสอนอย่างนั้น ถ้ามีอะไรนิดหนึ่ง มาโกรธเสียแล้ว มันก็ไม่โทษตัวเอง ไปโทษคนอื่น ว่าเสียหายทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ไม่มีที่โทษใคร มันก็โทษผีสางเทวดาตามประสาของคนโง่ มันไม่โทษตัวเองที่ว่าทำไม ไม่ดูให้ดี ไม่ทำให้ดี มาเสียตั้งแต่แรก หรือว่าธรรมะเขาสอนให้บังคับจิตใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ใจคอปกติ ก็แก้ปัญหาได้เรื่อยไป
เชื่อว่าต่อไปนี้ เราจะต้อง มีวิธีการถึงขนาดนี้ มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะมันไปรับเอามา เป็นทุกข์ และจะมีความผิดพลาดมากขึ้น ที่จะทำให้เป็นทุกข์ ฉะนั้นเสียสละ เพื่อจะไม่เป็นทุกข์ บังคับ จิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ ศึกษาเพื่อจะไม่ให้เป็นทุกข์ แล้วก็ชักชวนไอ้ ๆๆ คนของเรา ที่มันแวดล้อมเราอยู่ ให้มันเข้าใจเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ภรรยา จะต้องมีธรรมะพอ ๆ กัน ในระดับเดียวกัน จึงจะเรียบร้อยที่สุด มีศีลเสมอกัน มีทิฐิเสมอกัน นี่พูดตามภาษาธรรมะ ว่าภรรยากับเรานั้นต้องมีทิฐิ คือ ความคิดเห็น ความเชื่อ ความรอบรู้ ให้เหมือนกัน และมีศีลเสมอกัน คือ ประพฤติ ปฏิบัติ ตั้งตนอยู่ใน ความรับผิดชอบเสมอกัน จากนั้นจะไม่มีปัญหาเลย เป็นหลักทั่วไปทั้งทางธรรมและทางโลก
เราจึงต้องพยายามทำให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มีความเข้าใจตรงกัน มีการประพฤติธรรมที่ตรงกัน นี่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องอดทนทำให้ได้ มันต้องอดทนเหมือนกับว่าเลือดตาไหล ที่จะไปแก้ไขมิจฉาทิฐิ แม้แต่ ของภรรยา ถ้าแก้ไขไม่ได้มันก็ต้องเป็นทุกข์ หรือมันต้องแยกกัน แล้วมันก็ไม่พ้นที่จะเป็นทุกข์ มันต้อง พยายามแก้ไข ยอมเสียไอ้ความสนุกสนาน สะดวกสบายอย่างอื่น มาหยิบเอาสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นปัญหา สำหรับ แก้ไข แล้วให้สนุกสนาน กันไปกับการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ เหมือนที่เราไปสนุกสนานที่อื่น ที่สโมสร ที่ไหน ก็ตาม มันต้องตัดทิ้งหมด ความสนุกสนานอยู่ที่การแก้ไข ภายในครอบครัวให้ถูกต้อง เชื่อว่าคงไม่เหนือ ความสามารถ
เพราะว่ามนุษย์มันอยากดีกันทุกคน แต่มันไม่เข้าใจว่าจะดีได้อย่างไร มันจะไปชี้หนทางกันได้เขาก็ ไอ้ความอยากดี อันเป็นสัญชาติญาณของทุกคน มันจะช่วยให้มันมีการแก้ไขได้ แล้วยังมีลูกอีก ลูกออกมา ในสมัยที่โลกมันเปลี่ยนแปลง นิยมไอ้กามารมณ์ นิยมวัตถุ มันยั่วยวนเขาเหลือประมาณ จนเขาก็จะเอียงไป ไปในทางผิดพลาดเหมือนกัน แล้วก็เป็นภาระเรา ที่ต้องดึงเขาไว้ แก้ไขเขา เพราะความรัก ความเมตตา กรุณา ลูกของเรา มันก็ต้องทำอีกเหมือนกัน มันก็เลยกลายเป็นว่ามาสนุกสนาน อยู่กับการแก้ไข ผู้ที่เรา ต้องรับผิดชอบ คือบุตร ภรรยา ลูก หลาน เหลน ก็ตามเรื่อง จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ต้องรักอย่างลูก อย่างหลาน นี่เรื่องนี้มีอย่างนี้ สำหรับผู้ที่บวชในลักษณะอย่างนี้ ล่วงกาลผ่านวัยมา ถึงขนาดนี้
สรุปความว่า ชดเชยความผิดพลาด ด้วยความขยันขันแข็ง ลบศูนย์ มันก็มีแต่บวกต่อไปนี้ เป็นการตั้งต้นใหม่ ไอ้ที่แล้วมาเป็นครูทั้งนั้น ถูกก็เป็นครูทำให้มันดียิ่งขึ้นไป อย่าไปหลงระเริง กับผลที่ มันได้ ผิดก็ให้มันเป็นครู เอามาแก้ไข หรือไม่มีทางผิด ได้ต่อไปอีก แล้วก็ทั้งหมดนี้ มันต้องทำด้วยความรู้ สติปัญญา ความอดทน และเสียสละ ความอดทนและความเสียสละนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่เสียสละ ก็อดทนไม่ได้ อดทนไม่ได้ก็ไม่มีการเสียสละ พยายามที่จะต้องเสียสละ แม้จะต้องทนจนไอ้น้ำตาไหล ก็ทนได้ แต่ต้องไม่เป็นทุกข์ด้วย ไอ้ความบีบคั้นทางกายก็ดี ทางใจก็ดี มันถึงกับน้ำตาไหล แต่เราไม่ต้องเป็น ทุกข์ก็ได้ แม้น้ำตาไหล ถ้ามันมีสติปัญญาเพียงพอ
เพราะฉะนั้นอย่าโง่เขลา ถ้าน้ำตาไหลแล้วก็เป็นทุกข์เต็มที่ ดังนั้นน้ำตาไหลของผู้ต่อสู้ ผู้อดกลั้น อดทน ไอ้น้ำตานี่มันเอาแน่ไม่ได้ ยินดีมากมันก็น้ำตาไหล เป็นทุกข์มันก็น้ำตาไหล เรียกว่า ต่อสู้ อดกลั้น อดทนตามแบบของพระอริยเจ้า หรือสัตตบุรุษมันก็น้ำตาไหล เขามีคำพูดว่า ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยน้ำตา เราก็ต้องยอมได้ แม้ต้องอดทนถึงขนาดนั้น ถ้าไม่อดทนถึงขนาดนั้น มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ หรือมันจะกลับตัวไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
นี่สรุปความได้อย่างนี้ ถ้าใช้คำธรรมะล้วน ๆ ก็ว่า สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ไปอ่านดูจากหนังสือ ฆราวาสธรรมเถอะ สัจจะจริงนะ ทมะบังคับตัวเองให้จริง ขันตี มันอดทน จาคะมันต้องระบายออก ซึ่งความเลวร้าย หรือความกดดันที่เลวร้าย ให้มันออกไป ๆๆ มันก็สัจจะอยู่ได้ ขันตีอยู่ได้ดำรงตนอยู่ใน ทางของธรรมะได้ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะเป็นคำรวบรวมความหมายของคำเหล่านี้ทั้งหมด
เอ้า, ทีนี้เหลืออยู่นิดหนึ่ง ต่อนี้ไปก็คือว่า จะเป็นผู้หันหน้าเข้าไปหาธรรมะ หันหน้าเข้าไปหา ศาสนา ให้มากกว่าที่แล้วมา ในฐานะที่เป็นที่พึ่ง ที่ต้านทาน ที่ป้องกันในสิ่งทั้งหลาย ดังนั้นจึงเกี่ยวข้อง กับศาสนา แต่ต้องในทางที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่เรื่องรดน้ำมนต์ บนบานศาลกล่าวพิธีรีตองนั้น มันไม่ ไม่ใช่การ เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง แม้กับสิ่งที่เรียกว่าศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่อยู่ที่ความถูกต้อง ในจิตใจ ของคน คือ ธรรมะ ทีนี้เราก็ทำใจเป็นอย่างนั้น แล้วเกี่ยวข้องกับวัดวาอาราม หรือบุคคล ที่เป็นเจ้าหน้าที่ ทางศาสนา ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่มันแต่รดน้ำมนต์กันอยู่ ต้องเลื่อนชั้น ไอ้รดน้ำมนต์ก็คงจะเคยรดมาแล้ว หรือรดเมื่อไรก็ได้ ทีนี้มันไม่พอ ต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปถึงกับว่า ให้ธรรมะมันรดจิตใจ เหมือนกับที่เรียกว่า ให้ศีลให้พรในเวลานี้ ในเวลาสึกนี้ มันก็เป็นการรดน้ำมนต์ ด้วยธรรมะ ดังนั้นเราจึงไม่ได้ตั้งขันน้ำมนต์ หรืออะไรเหมือนกับที่เขาตั้ง ๆ กันอยู่ เพราะมันมีอยู่ทั่วไปแล้ว มันเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นการรดน้ำธรรมะ ลงไปที่จิตใจ
ดังนั้นถ้าคุณฟังถูก เข้าใจ รับเอาไป มันก็เป็นการรดน้ำมนต์อย่างยิ่ง ในนามของพระพุทธเจ้า หรือตามแบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งเหมาะสมกับความเป็นพุทธบริษัท นี่เรียกว่า การประทับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงไปในจิตใจ ด้วยการใกล้ชิดกับพระศาสนา ในรูปแบบที่ถูกต้องอยู่เสมอ นี้วัตถุที่จะ เตือนใจ มันก็มีมาก แต่สิ่งหนึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านั้นที่ดีที่สุด อยากจะแนะว่า ไอ้จีวรและบาตรนี่ ถ้าเอาไป รักษาไว้ เป็นอนุสรณ์จะดีที่สุด มันจะคอยขู่เราไว้อย่าให้ลืม อย่าให้หันไปนิยมไอ้ความผิดพลาด รูปถ่าย ก็ไม่ดี เท่ากับไอ้บาตรและจีวรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะแหละ แต่มันในความหมายอย่างอื่น คล้าย ๆ ก็พระพุทธเจ้า แต่มันจะมีพระพุทธรูปก็ได้ แต่ว่าสู้บาตรจีวรที่เราเคยห่มเมื่อบวช เคยใช้เมื่อบวช เคยมา บวชนี้ มันยังสะกิดใจได้มากกว่า ขู่ได้มากกว่า อาจจะมีคนดีจนถึงกับว่าลูกหลานมันเห็นเข้า มันคงคิดจะ บวชบ้าง บางทีมันคงจะอยากจะบวชเสียในเวลาอันสมควร และมีการตั้งต้นที่ดีตามประเพณี ของพุทธบริษัท และก่อนที่จะไปครองเรือนนั้นนะ ศึกษาในด้านจิตใจเสียให้เพียงพอ
เดี๋ยวนี้เขาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้น้อยนัก มันเป็นคนโง่ ที่ไม่ชอบให้ลูกหลานบวช กันเสีย จริง ๆ ก่อนแต่ที่จะไปครองเรือน ไอ้ลูกหลานมันก็ถูกชักจูงอย่างอื่น มันก็ไม่ชอบจะบวช แล้วมันจึงบวช ๕ วัน ๗ วัน ๒๐ วัน มันไม่ได้อะไร มันดูถูกพระศาสนามากเกินไป มันก็ได้รับผลสมน้ำหน้า ส่วนมากเป็น อย่างนี้ ส่วนที่เขาไม่เป็นอะไรก็มี เพราะว่าไอ้คนชนิดนั้นนะ แม้ไม่บวชมันก็เหมือนกับบวช มันอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ดี ในตระกูลของสัมมาทิฐิ หรือมันเผอิญเป็น มันได้รับการศึกษาอะไรมาดี อย่างถูกต้อง มันก็เหมือนกับบวช ไอ้คนอย่างนี้ เราก็ถือว่าเขาก็บวช แม้ว่าเขาไม่ได้มาบวชที่นี่ แต่โดยมากมัน ไม่ค่อยจะ ได้อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการไปบวชเสียสักระยะหนึ่ง ในสำนักที่ดีที่มันเป็นการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง นั้นมันจะมีประโยชน์แก่ลูกหลานมากทีเดียว พยายามให้ลูกหลานมันได้บวช ที่เป็นการบวชจริง ๆ ถ้ามันรู้ว่าพ่อเคยบวช บางทีมันก็อยากจะบวช เพราะฉะนั้นการที่จะเอาบาตรจีวรไปไว้ เป็นเครื่องบูชา สักการะ ของลูกหลานมันก็ดี และมันจะป้องกันไอ้ความละโมบละมอบในกามารมณ์ อบายมุข อะไรต่าง ๆ ได้ดี มีผู้ทำสำเร็จประโยชน์โดยวิธีอย่างนี้ เคยไปเห็นมาแล้ว ดังนั้นจึงเอามาแนะนำให้ฟัง
เอาละเป็นอันว่า เรามีการพูดกันแล้ว ถึงหลักที่ต้องปฏิบัติอย่างไร ถ้าเรามีความสำนึกในข้อที่ว่า เราจะต้องผูกพันตนเองกับธรรมะ หรือศาสนาอย่างไร ในอนาคตต่อไปนี้ จะมีอะไรเป็นเครื่องแวดล้อม สะกิดใจ คอยระวัง คอยตักเตือนตนเองอย่างไร เมื่อได้ตามนี้แล้ว ต่อไปข้างหน้าจะมีแต่ความถูกต้อง กระดานป้ายของเราจะเพิ่มบวกเรื่อยไปจากเลขศูนย์ แล้วคงจะเต็ม คือเมื่อมีความเข้าใจ พอใจในการปฏิบัติ อย่างนี้ ก็เรียกว่า มีธรรมะ มีพระศาสนา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่กับเนื้อกับตัว ย่อมมีแต่ ความเจริญ โดยส่วนเดียว ในที่สุดนี้ขออวยพรให้เธอมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางของพระศาสนา อยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ