แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตั้งอกตั้งใจฟังกันอีกที ให้สำเร็จประโยชน์ คือว่าการลาสิกขาไม่ต้องทำเป็นแบบสังฆกรรมเหมือนกับการบวช เราจึงทำอย่างนี้ไม่ต้องไปทำในสีมาประชุมสงฆ์ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังต้องทำด้วยจิตใจด้วยเหมือนกัน จึงจะสำเร็จประโยชน์เต็มที่ เพราะฉะนั้นขอให้ทำในใจให้ถูกต้อง อย่างที่จะอธิบายให้ฟัง คือ ต้องมีสติ สัมปชัญญะ ใจคอปกติ ในการที่จะทำการลาสิกขาให้มันเรียบร้อย ต้องทำด้วยใจก็คือว่าเรามีสติสัมปชัญญะนั่นเอง ลาสิกขาตามปกติ รู้อยู่ว่าต้องลาสิกขา ตามที่ได้กำหนดไว้ นั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหา ไม่เหมือนกับการถูกบังคับให้สึก จับสึกนะมันมีปัญหา ที่เขาไม่ได้มีความผิด แต่ถูกบังคับให้สึก ใจเขาไม่สึก มันก็มีปัญหา ไม่เป็นการสึก อย่างนี้เป็นต้น แต่นี่สำหรับเราก็เป็นอันว่าแน่นอน เป็นผู้ที่ลาสิกขา ด้วยความรู้สึกตรงกัน ทีนี้ก็จะต้องมีการทำในใจให้ถูกต้องต่อไปอีก ว่าลาสิกขานี้ ลาสิกขาเฉพาะที่เป็นของภิกษุ ไม่ได้บอกคืนอะไรจนหมดเกลี้ยง เช่นว่า ไม่ได้บอกคืนพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งนั้นอย่าได้ไปแตะต้องหรือกระทบกระเทือน เราไม่ได้บอกคืนศาสนา ไม่ได้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คำลาสิกขานั้นระบุเฉพาะสิกขาอย่างภิกษุ คำว่า สิกขัง คำเดียวนั้นหมายถึงสิกขาอย่างภิกษุ ต่อไปนี้ก็จะมีสิกขาอย่างฆราวาส ที่จะต้องรับสมาทานกันอีกต่อไป ฉะนั้นเราก็ทำในใจให้ถูกต้องก่อน แล้วก็กระทำโดยวาจา ก็คือกล่าวคำบอกคืนสิกขา เป็นภาษาบาลี จนแน่ใจว่าเรามันสมบูรณ์ด้วยจิตใจ แล้วก็จึงแสดงอาการกราบให้เห็น นี้ต่อไปนั้นก็กระทำโดยทางกาย คือ เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น เมื่อเป็นอย่างนี้การกระทำส่วนบุคคลนั้นก็สมบูรณ์ โดยทางใจ โดยทางวาจา โดยทางกาย ออกไปเป็นภิกษุ เอ้ย, เป็นฆราวาสละจากความเป็นภิกษุไปสู่ความเป็นฆราวาส ทั้งหมดนี้ต้องทำด้วยใจคอที่ปกติ แล้วจึงค่อยให้ศีล ให้พร ให้โอวาทไปตามระเบียบ นี่มันไกลนี่ เข้ามากี่คน เช้ามากี่คน(00.09.03-00.09.13) ให้เข้ามาทีละคน มาตามลำดับละกัน เอ้า, เมื่อมีความแน่ใจอย่างที่ว่าแล้ว ก็กล่าวคำบอกคืนสิกขา โดยว่า นะโม ๓ ครั้งก่อน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพุทธบริษัท ทำอะไรก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า เพื่อจิตใจมันปรกติ แล้วก็ทำในสิ่งที่จะต้องทำ (เสียงพระสวด นาทีที่ 00.09.54 - 00.10.13) เอ้า, เดี๋ยวนี้เราก็ได้กล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุ อย่างถูกต้องแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะอย่างภิกษุอีกต่อไป ในชั้นนี้ก็จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม (เสียงสวดมนต์ เบา 00.11.30 - 00.12.03) เอ้า, เดี๋ยวนี้ก็ได้กล่าวคำบอกคืนสิกขาอย่างภิกษุแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะอีกต่อไป เอ้า,ไปเปลี่ยน
อยากจะแนะนำว่า ทำด้วยสติ สัมปชัญญะ ด้วยใจคอที่ปรกติ และก็ควรจะถอยหลังไปตามลำดับ ด้วยความเยือกเย็น อย่างเรียบร้อยหรืออย่างสุขุมมันจึงมีความนิยมที่จะให้สมาทานศีล ๘ แทนที่จะเป็นศีล ๕ มันแสดงความเป็นผู้ที่มีจิตใจ ยังมั่นคง ยังอยู่ในร่องในรอย มันก็เคยมีตัวอย่าง สมาทานศีล ๕ ค่ำลงก็ไปดูหนัง ก็ถูกตีหัวแตกคืนนั้นเอง ก็แสดงว่าจิตใจมันต่ำมาก อันนี้ก็รู้สึกคล้ายๆกับว่า ไอ้นกมันหลุดจากกรง ไม่ๆชอบไอ้ระเบียบ ข้อกฎ บังคับอะไรต่างๆ ถ้าเราเป็นผู้มั่นคง มันก็ควรจะทำตามขนบธรรมเนียม ประเพณี ยังสมาทานศีล ๘ ๑วันบ้าง ๓วัน แล้วแต่ศรัทธา อย่างนั้นต้องอาราธนาศีล ถ้าว่าด้วยกันได้ทั้งหมดก็ว่าพร้อมกัน ถ้าว่ากันไม่ได้ก็ว่าคนเดียวในฐานะเป็นผู้แทน ก็ว่ามะยัง ภันเต ถ้าว่ากันทุกคนก็ว่าอะหัง ภันเต ถ้าว่าศีล ๘ ก็อัฏฐะ สีลานิ ยาจามิ (เสียงสวดมนต์ 00. 15.20 - 00.23.15)
เอ้า,ขอให้ตั้งใจฟัง อย่างดีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากให้ศีล ก็มีการให้พรหรือให้โอวาท คำว่าให้พรก็คือมอบหมายสิ่งที่ดี ให้ไปประพฤติ ปฏิบัติ เพราะว่าคำว่าพร นั้นแปลว่า ดี หรือความดี ให้พร ก็หมายถึงการมอบหมายไอ้สิ่งที่ดีให้ไปประพฤติ ปฏิบัติ ต้องประพฤติ ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ที่ดี ก็จะมีความสุข ความเจริญ มีคนเข้าใจผิด มาขอพรแล้วก็ให้พร แล้วก็ไม่มีความเจริญ มันก็หลับหูหลับตากันตะพึด มันจะต้องรับเอาความดีไปปฏิบัติ มันจึงจะเป็นการได้พร ฉะนั้นขอให้มีสติ สัมปชัญญะ ที่จะฟัง ที่จะรับไปปฏิบัติ ให้บริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป ก็จะเป็นพรที่แท้จริง สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป
ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ให้รับสมาทานศีล ๘ เขาก็ยังจะต้องแต่งตัวที่เรียบร้อยกว่านี้ สำหรับผู้ที่จะลาสิกขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีผ้าสไบเฉียง มีนุ่งผ้าขาวก็มีที่เป็นอย่างเต็มขนาด มันเหมือนกับการผูกพัน หรือกระตุกไว้ ไม่ให้หันหลังกลับ ชนิดที่เรียกว่า เหมือนกับผละไปจากสิ่งที่เราไม่ชอบ สังเกตดูคนลาสิกขาสมัยนี้มีความรู้สึก บางคนรู้สึกเหมือนกับว่าจะรีบหนี รีบผละไปจากสิ่งที่ไม่ชอบ อย่างกับลูกเด็กๆที่มันอยากจะหนีไปจากอะไรที่มันไม่ชอบอย่างนั้น โดยไม่มีความอาลัย อาวรณ์ หรือไม่มีสติ สัมปชัญญะ ในเพศของบรรพชิต จึงมีพิธี เอ้อ, มีระเบียบประเพณีที่สึกกัน ลาสิกขากัน อย่างที่ได้สติ สัมปชัญญะ มีอาลัย อาวรณ์ ถอยหลังออกไปทีละนิด ทีละนิด ถึงแม้ว่าพวกเธอจะทำไม่ได้ ก็อยากจะให้ทราบไว้ว่าเขามีความมุ่งหมายอย่างไร แต่ก่อนนั้นเขามีความมุ่งหมายอย่างที่ว่านี้ ให้มันค่อยถอยหลังออกไปทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด ด้วยสติ สัมปชัญญะ ไปเป็นผู้ที่มีความรู้สึกถูกต้องอยู่ตามเดิมได้ ไม่ใช่กลับหลังหัน ลุกขึ้น สะบัดก้นออกไป ขอให้ช่วยทำความรู้สึกอย่างนี้ไว้ด้วย จะเป็นเสนียดจัญไรแก่บุคคลนั้น ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการบวชด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่พอใจ ไม่เลื่อมใสในการที่จะเป็นบรรพชิตและก็ออกลุกขึ้นสะบัดก้นไปไม่ถูก จึงมีสติ สัมปชัญญะ เหมือนกับว่าเราได้เข้ามาอยู่ในสภาพอย่างหนึ่ง แล้วจะถอยออกไปด้วยสติ สัมปชัญญะ ให้มีสิ่งที่ดี ที่อาจจะติดไปได้ ติดไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจึงมีระเบียบที่ว่าให้มันทำเหมือนกับถอยหลังออกไป นุ่งผ้าขาวมารับศีล ลาสิกขา แล้วก็อยู่ในวัด ๓วันบ้าง ๗วันก็ยังมี รับใช้ ปฏิบัติวัฎฐาก อยู่ด้วยการบังคับตัวเองอย่างยิ่ง คือการบังคับกิเลสอย่างยิ่ง แล้วก็ค่อยออกไป เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไป เป็นว่าสึกเดี๋ยวนี้ สายๆก็ออกไป ด้วยความจำเป็นอย่างใด ก็สุดแท้ แต่อยากจะขอบอกให้ทราบไว้ว่าหลักการของเขามีอย่างนั้น และเขาเคยปฏิบัติกันมาอย่างนั้น แล้วก็ค่อยเปลี่ยนแปลงไป เมื่อทำไม่ได้ถึงขนาดนั้นอย่างว่าจะกลับไปวันนี้ ก็ขอให้ทำในใจอยู่ตลอดเวลาที่กลับออกไป ด้วยสติ สัมปชัญญะ ว่าเราทำอย่างไร เราถอยไปอย่างไร อย่าเหมือนกับลูกเด็กๆมันไม่พอใจสิ่งนี้ ลุกขึ้นสะบัดก้นวิ่งหนีไปเลย มันจะใช้อะไรไม่ได้เลยโดยทางจิตใจ นี่เป็นข้อแรกที่อยากจะให้ทราบกันไว้ แม้ไม่ปฏิบัติเต็มตามนั้น มันก็มีอุบายวิธีที่จะป้องกันจิตใจของบุคคลผู้บวช ผู้ลาสิกขา ผู้ไปครองเรือนอะไรต่างๆ ให้มันอยู่ด้วยความรู้สึก สติ สัมปชัญญะ อยู่ตลอดเวลา หน้าที่การงานจะเปลี่ยนไป เหตุการณ์จะเปลี่ยนไป ก็เปลี่ยนไป แต่ส่วนจิตใจยังคงมีสติ สัมปชัญญะ สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ขอให้จำข้อนี้ไว้ แล้วมันก็เป็นการง่ายที่จะประพฤติความดี ปฏิบัติความดี จึงเรียกว่า พร แล้วก็เป็นศีลเป็นพรอยู่โดยแท้จริง ทีนี้อย่างที่เขามีพิธีรีตองอะไรกันอีก สวด ชยันโต พรมน้ำมนต์ ซัดไปซัดมา อะไรก็ตามนั้นนะมันก็เป็นเรื่องของพิธีที่คิดกันขึ้นในชั้นหลังทำขึ้นมาในชั้นหลัง ในเมื่อคนมันโง่ โง่มากเข้า โง่มากเข้า ขี้ขลาดมากเข้า งมงายมากเข้า ก็มีพิธีเช่นนั้นมากขึ้น ของเดิมมันทำด้วยสติปัญญา ด้วยสติ สัมปชัญญะด้วยความรอบรู้ มันก็จึงไม่มีอะไรที่งมงาย ถ้าว่ารดน้ำมนต์ มันก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าพระธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีการรดพระธรรม ด้วยการทำให้เกิดความเข้าใจ ซึมซาบลงไปในจิตใจซึ่งมีความเย็นเหมือนกับการรดน้ำ แต่ว่ามันยิ่งกว่าการรดน้ำ เพราะฉะนั้นเราควรจะทำให้จิตใจของเราได้รับความรู้สึกอันนี้ ที่มีความเหมาะสมจำเป็นสำหรับโอกาสนี้โอกาสที่จะลาสิกขานี่ อีกครั้งหนึ่ง มันก็มีค่ายิ่งกว่าที่จะรดน้ำธรรมดา อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ น้ำมนต์ธรรมดานั้นก็เป็นเรื่องจิตวิทยามากกว่า ถ้ารดน้ำพระธรรมมันก็เป็นเรื่องที่จริงกว่า เป็นน้ำมนต์จริงยิ่งกว่า ควรจะทราบว่า มนต์ นั้นแปลว่าความคิด ความรู้ ที่เราออกเสียงว่ามนต์ ม-น-ต มันแปลว่าความรู้และความคิด ฉะนั้นต้องมีความรู้และ ความคิดเกิดขึ้นในขณะนั้นมันจึงจะเป็นมนต์หรือเป็นน้ำมนต์ รดน้ำธรรมดาเฉยๆมันก็ไม่แน่ เราก็จึงมีการรดน้ำมนต์ที่เป็นตัวความคิดที่เป็นความรู้ให้ เป็นน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเชื่อว่า ซึ่งเชื่อได้ว่าท่านรดไปอย่างนี้ท่านไม่ได้รดไอ้น้ำมนต์อย่างที่เขาทำให้เปียก เพราะว่าไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้หรือว่าบริสุทธิ์ได้เพราะการรดน้ำชนิดนั้น ถึงกับได้ตรัสไว้ว่า ถ้าไอ้น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมันทำให้หมดบาปมีความสุขได้แล้วก็ไอ้เต่า ปู ปลาทั้งหลายในแม่น้ำคงคา มันก็จะไม่มีบาป หรือไม่รู้จักตาย นี้น้ำมนต์มันก็ต้องเป็นกระแสแห่งความคิด ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องรดลงไป เรื่องชยันโตนั้น จะทำก็ได้แต่ดูแล้วมันไม่เข้ารูปกัน เพราะว่ามันเป็นบทสวดสำหรับผู้ชนะชยันโต พระพุทธเจ้าชนะมาร สวดสำหรับสรรเสริญผู้ชนะ เดี๋ยวนี้เราก็ยังไม่ใช่ผู้ชนะ แล้วมองดูอีกทางหนึ่งกลับจะเป็นผู้แพ้ไม่มากก็น้อย คือ แพ้ต่อการประพฤติพรหมจรรย์คือต้องออกไป เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยสวดบทชยันโต สวดอย่างอื่น เป็นคำสอน เช่น ยเสเต จตุโรธรรมมา (00: 33: 47)เป็นการสอนให้รู้จักธรรมะ ๔ ประการสำหรับฆราวาส ซึ่งก็จะได้พูดให้ฟัง แม้ไม่เป็นภาษาบาลีที่สวดเป็นหมู่ ขอให้ทำในใจอย่างนี้ ขอให้ถอยหลังออกไปอย่างมีระเบียบอย่างคนฉลาด อย่าให้เป็นอย่างคนขี้ขลาดและโง่เขลา เหมือนที่เขาทำกันแต่พอเป็นพิธีรีตอง
นี้ก็จะพูดถึงคำว่าศีลและพรสักหน่อย ศีลนี้เป็นคำมีความหมายไปอย่าง กฎ ระเบียบต่างๆที่ต้องประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยการบังคับให้ต้องทำ ถ้าพรนี่มันเหมือนกับพระธรรมที่ว่าไม่ได้บังคับอย่างนั้น อย่างนี้ ใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย เราก็พยายามที่จะมีทั้งศีล มีทั้งพร ขอให้เป็นผู้ที่มีทั้งศีลและทั้งพร ศีลนะมันก็พื้นฐาน มีรากฐานเหมือนแผ่นดินได้เหยียบ ได้ตั้ง ได้นั่ง ได้นอน ได้อาศัย ส่วนพรนั้นเป็นความเจริญ ความดี ความงาม ที่ยิ่งๆขึ้นไปกว่าพื้นฐาน นั่นก็เรียกว่าให้ศีลให้พร ผู้นั้นก็ควรจะรับเอาไปได้ทั้งศีลและทั้งพร แล้วไปทำให้มันมีอยู่จริง แม้ออกไปเป็นฆราวาสอยู่ในครอบครัวก็มีได้ทั้งศีลและทั้งพร ทีนี้คนมันไม่รู้ มันไม่สนใจ มันเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำอย่างจำใจ กระทำอย่างหวัดๆมันก็ไม่ได้ศีลไม่ได้พร มันก็หาความเจริญ อันมั่นคงไม่ได้ หรือไม่ก็เล่นตลกกับตัวเองพักหนึ่งๆ
เอ้า, ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงความตั้งใจของเราในการที่มาบวช บางคนก็ทราบดีอยู่แล้วบางคนก็ยังไม่ทราบ บางคนก็ลืมไปได้ จึงขอเตือนอีกครั้งหนึ่ง ว่าการที่บวชนี้ขอให้ได้รับประโยชน์อย่างน้อย ๓ ประการ อย่างที่ได้พูดกันแล้วในวันบวช อานิสงส์ ๓ ประการนั้นก็คือ ผู้บวชเองนั้นก็ได้สิ่งที่ดีกว่าที่ยังไม่บวช ได้ชีวิตที่ดีกว่าได้ความรู้ที่ดีกว่า ได้การประพฤติ ปฏิบัติที่จะติดอยู่ในเนื้อในตัวที่ดีกว่าอันนี้ผู้บวชนั้นได้ แล้วญาติทั้งหลาย มีบิดา มารดา เป็นต้นก็พลอยได้ อย่างน้อยก็ คือความเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิมากขึ้น ฉะนั้นเราอย่าทำให้บิดา มารดาเป็นต้น นั้นผิดหวัง ถ้าญาติทั้งหลายมีบิดา มารดาเป็นประธานนั้นไม่ต้องผิดหวัง เพราะการบวชของเรา เราจะกลับออกไปในฐานะที่เป็นคนที่ดีกว่าเดิม อย่าเสมอกับเดิม อย่าเลวกว่าเดิม ออกไปในฐานะที่ว่ามันดีกว่าเดิม ให้หลายๆอย่าง แม้ที่จะไม่มากก็ขอให้มันมีดีกว่าเดิมกลับออกไปด้วย บิดามารดาเป็นต้นก็จะมีความชื่นอกชื่นใจ และก็เป็นประโยชน์แก่บิดา มารดา นั่นเอง ซึ่งเขาสรุปใจความไว้สั้นๆว่า บิดา มารดา เป็นต้น ญาติทั้งหลายก็จะมีความมั่นคง ในพระธรรม ในพระศาสนายิ่งขึ้น สำคัญมันอยู่ที่นี่ มันเป็นเรื่องทางจิตใจซึ่งอธิบายยาก แต่ขอให้มันมีผลว่าเขามีศรัทธามากขึ้น ในพระศาสนา มีความแน่วแน่ในพระธรรม เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เกลียดความชั่วรักความดี รู้จักความหลุดพ้นถึงที่สุดและมากขึ้นกว่าเดิม ขอให้การบวชของเราทำให้บิดา มารดาเป็นต้น คือญาติทั้งหลาย ใช้คำว่าญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น ได้รับประโยชน์อันนี้ ก็จะคุ้มค่าที่เขาให้ชีวิตเรามา เลี้ยงดูเรามา ลงทุนทุกอย่างเพื่อความเจริญของเรา อย่าให้เขาผิดหวัง ใจความสั้นๆนั้นก็มีอยู่อย่างนี้ และอย่างที่๓ ก็คือขอให้มันเป็นการบวชที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย และแก่พระศาสนาเองด้วย คือ เราบวชไม่ทำลายศาสนา สืบอายุพระศาสนาไว้ ให้มันยังคงมีอยู่เป็นทอด เป็นทอด เป็นช่วง เป็นช่วงไป ซึ่งมันก็อยู่มาได้ด้วยลักษณะอย่างนี้เป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว เพราะมีคนบวช เพราะมีคนเรียน เพราะมีคนปฏิบัติ เพราะมีคนสอนทั้งในชั้นสูงสุด เป็นภิกษุ ในชั้นต่ำเป็นฆราวาส มันก็มีการสืบอายุพระศาสนามาอย่างนี้ การที่เราบวชนี้ก็จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีขึ้น แล้วมนุษย์ทั้งโลกก็จะพลอยได้รับประโยชน์จากการที่โลกนี้มันยังมีศาสนา เป็นผลมหาศาลตีค่าไม่ไหว นั้นควรจะพอใจที่ว่าได้เสียสละมาบวชนี้มันเป็นประโยชน์เหลือหลาย อย่าเห็นแก่ตัวอย่างเด็กอมมือ ทำอะไรก็ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวอย่างเดียว มองเห็นแต่เท่านั้น มันก็ไม่สมกับที่ว่าเป็นมนุษย์ เป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ย้ำความที่ว่าเราบวชนี้ต้องได้รับประโยชน์ อย่างน้อย ๓ประการอย่างที่ว่ามาแล้ว ตัวเองก็ได้ ญาติทั้งหลายมีบิดา มารดาเป็นต้นก็ได้ ส่วนรวมทั้งหมดคือศาสนาหรือมนุษย์ทั้งหลายก็พลอยได้ ขอจำไว้ในใจเอาไปรักษาให้มันยังคงมีประโยชน์อย่างนี้อยู่ตลอดไป ก็จะได้ชื่อว่าไม่เสียทีที่ได้บวชเป็นแน่นอน กลับจะมีกำไรมหาศาลเหลือที่จะกล่าวได้ ในฐานะที่บุคคลคนเดียวจะพึงกระทำได้ มีประโยชน์ มีอานิสงส์เหลือที่จะกล่าวได้อย่างนี้ แม้ว่าจะต้องสึกออกไป ส่วนผู้ที่ยังคงอยู่ต่อไปได้นะมันก็ทำประโยชน์ได้มากกว่านั้นอีกมากมายหลายเท่า แต่นี้ในกรณีของผู้ที่ต้องสึกออกไปมันก็ยังทำได้ถึงอย่างนี้ ฉะนั้นอย่าเห็นว่าเป็นทำเล่น ลุกขึ้นสะบัดก้นกลับไปบ้าน เหมือนกับจะมา ทิ้งไว้อย่างนี้มันก็ไม่ถูก แล้วก็จะเป็นผิดมากๆด้วย ขอให้นึกถึงประโยชน์ ๓ ประการนั้นไว้เสมอ เราก็ต้องได้สิ่งที่ดี ญาติทั้งหลายมีบิดา มารดาเป็นต้น ก็ได้สิ่งที่ดีโดยการบวชสนองพระคุณด้วย แล้วส่วนรวมทั้งหมดในโลกนี้ก็จะได้รับประโยชน์จากการบวชของเราไม่มากก็น้อย เพราะว่าการบวชของเราทำให้โลกนี้มันดีขึ้น ทุกคนในโลกนี้ก็พลอยได้รับประโยชน์ การพูดโดยใจความก็พูดได้อย่างนี้ สั้นๆในเวลาอันสั้น แต่ก็มีความหมายมากที่สุดเลย ขอให้จำไว้เป็นพิเศษในการพูดกันเป็นพิเศษในโอกาสอย่างนี้
ทีนี้เรื่องต่อไปก็คือว่า มันจะต้องไม่ให้เสียทีที่ได้บวช ก็คือการมีธรรมะติดตัวไปสำหรับเป็นฆราวาสอย่างดีที่สุดที่จะเป็นกันได้ คือฆราวาสอย่างที่เป็นพุทธบริษัทพูดตรงๆอย่างนี้ เป็นฆราวาสที่ดีที่สุดที่จะเป็นกันได้ มนุษย์ควรจะได้อะไร เราต้องได้อันนั้น ในฐานะที่เป็นฆราวาสจะต้องได้อะไรก็ต้องได้อย่างนั้น บรรพชิตจะได้อย่างไร ก็ต้องได้อย่างนั้น อันนั้นไม่ต้องพูดเพราะเรากำลังจะไปเป็นฆราวาส ว่าดีที่สุดนี้มันก็ต้องดีที่สุดจริงๆ นั้นอย่าได้อวดดีไป ว่าเราจะไปทำอะไรให้มันดีที่สุดได้โดยปราศจากธรรมะ คนหลับตาพูด คนโง่ที่สุดในโลกก็จะพูดได้ ก็ถ้ามันจะคิดว่ามันจะทำอะไรดีที่สุดได้โดยปราศจากธรรมะ มันเป็นคนโง่ที่สุดในโลก เพราะการทำอะไรดีที่สุดได้มันต้องทำด้วยไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง ไปคิดดูเถอะที่มันทำอยู่แล้วมันก็คือธรรมะ แต่ตัวเองมันโง่มันไม่รู้จักว่านั่นคือธรรมะ ที่มันเคยประสบความเจริญอะไรมาก่อนนี้มันก็โดยธรรมะนั่นเอง แต่ตนมันไม่รู้ว่านั่นคือธรรมะ เดี๋ยวนี้มันยังมีธรรมะอย่างอื่นอีกที่จะต้องทำให้เต็มให้สมบูรณ์ขึ้นมา ฉะนั้นเราพูดได้เลยว่าไอ้การทำความดีทุกอย่างมันคือการปฏิบัติธรรมะ แม้ที่สุดแต่การทำหน้าที่การงานให้มันลุล่วงไปด้วยดี นั้นมันก็คือการปฏิบัติธรรมะอย่างยิ่ง ไปมองดูกันเสียใหม่มันจะเข้ารูป และมันจะทำง่าย มันก็จะเร็วยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าเป็นฆราวาสวางมาตรฐานกันไว้ว่ามันจะต้องมีอะไรที่ฆราวาสควรจะต้องมี เช่นมีทรัพย์สมบัติพอตัวตามที่มันควรจะมีได้ แต่มันก็ไม่ได้มีจนเป็นบ้าเป็นหลัง จนเป็นการกระทำความชั่วเพื่อหลงใหลในทรัพย์สมบัตินั้น ได้พอตัวเท่าที่มันควรจะมีได้อย่างถูกต้องอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วกัน มากเท่าไหร่ก็ได้ นี้ก็มีชื่อเสียง เกียรติยศ คือความดี เพื่อเป็นการรับประกันอีกทีหนึ่งว่ามันมีความดีด้วย เพราะมีทรัพย์สมบัติมาก มันเลวก็มี มันเป็นคนเลว คนชั่วก็มี มันก็ไม่มีชื่อเสียง ถ้ามีชื่อเสียงก็ชื่อเสียงชั่ว ชื่อเสียงปลอม เราไม่ต้องการ เราต้องการไอ้ความดีที่มันทำให้คนอื่นเขานับถือได้สนิทสนมลงคอ นี่จึงมีชื่อเสียง แล้วก็ต้องมีกัลยาณมิตรที่แวดล้อม ฉะนั้นขอให้พยายามทำให้สำเร็จประโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ คือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีชื่อเสียงพอตัว มีกัลยาณมิตรคือคนที่ดี เป็นผู้แวดล้อมอย่างพอตัว เพื่อว่าจะมีความสุขด้วย เพื่อว่าจะประกอบการงานได้โดยสะดวกด้วย ไอ้มิตรที่ดีนะมันมีประโยชน์อย่างนี้ช่วยให้การงานในหน้าที่มันลุล่วงไปด้วยดี ช่วยให้เรามีความสุขเพราะอยู่ในท่ามกลางมิตรสหายที่ดี ก็พูดไว้เป็นหลักอย่างนี้ มีทรัพย์สมบัติ มีชื่อเสียงและก็มีกัลยาณมิตรที่ดีแวดล้อมอยู่ สำหรับทรัพย์สมบัตินั้นจะไม่ต้องพูดอะไรกันก็ได้ เพราะดูจะเรียนหรือจะทำกันอยู่กันอยู่ รู้วิธีหาทรัพย์กันดีอยู่ มันก็เหลืออยู่แต่ว่าการบังคับตัวเองไม่ได้ มันก็เรื่อยเฉื่อยแฉะไปบ้าง มันเหลวไหลไปบ้าง มันก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอย่างพอตัว มันไปเป็นทาสของกามารมณ์แสวงหาทรัพย์เพื่อซื้อหากามารมณ์ กามารมณ์มันไม่รู้จักอิ่มจักพอ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่มีทางที่สะสมทรัพย์สมบัติขึ้นมาได้ เพราะอย่างนั้นคนเราจึงต้องรู้จักความพอดี ความถูก กับความเหมาะสม เกี่ยวข้องกับกามารมณ์ในฐานะที่มันจำเป็น หรือมันสมควรเท่านั้น อย่าให้มันเฟ้อ ให้มันเกิน เหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งเขาเรียกว่าฟรีเซ็กส์ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งไม่มีขอบเขตจำกัด มันกลายเป็นคนบ้าไปเลย เป็นภูตผีปีศาจไปในที่สุด อย่างนี้มันไม่สร้างทรัพย์สมบัติ ไม่สร้างชื่อเสียง ไม่สร้างอะไรที่ดี ต้องรู้จักมีธรรมะสำหรับควบคุมเพื่อจะให้มีทรัพย์สมบัติขึ้นมา แล้วจะต้องประพฤติดี แม้จะไม่มีทรัพย์สมบัติก็ยังดี ถ้ามันดีคนเขารัก นับถือ เคารพมีชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ มันก็ต้องทำกันแต่ในหมู่ผู้รักดีเท่านั้นแหละ จึงจะมีชื่อเสียงอยู่ได้ ฉะนั้นจึงต้องมีธรรมะที่จะช่วยให้บังคับตัวเองได้ คือ บทที่เขานำมาสวดเป็นภาษาบาลีในการให้ศีลให้พรคนที่จะลาสิกขา อย่างนี้ ยเสเต จตุโรธรรมมา สัพพัส ครเมษิโณ สัจังธรรโม ฐิติ จาโค สเวเปจ ยโสจัติ (00:48:17) เขาจะสวดอย่างนี้ ซึ่งมีใจความว่าธรรม ๔ ประการ คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เป็นธรรมสำหรับฆราวาส ผู้ครองเรือน จะประสบความสุขความเจริญ แม้ละโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่สุคติ คือว่าจะเปลี่ยนจากไอ้ทุคคติเป็นสุคติไปเรื่อยๆ ก่อนตาย ก่อนจะตาย ตายไปแล้วก็ยังไปสู่สุคตินั้น จึงสำคัญอยู่ที่ธรรมะ ๔ ประการนั้น โดยใจความที่จะพูดให้ฟังนี้ โดยรายละเอียดก็ไปหาอ่านจากหนังสือหนังหาตำรับตำรา เพราะมันกินเวลามาก ฉะนั้นเราจะท่องให้ติดปากไว้ว่า สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เป็นธรรมสำหรับฆราวาส แล้วไม่ใช่ฆราวาสก็ได้ ใครก็ได้บังคับตัวเองแล้วมันมีประโยชน์ทั้งนั้น แม้เป็นพระอยู่มันก็ใช้ได้เพราะมีการบังคับตัวเอง สัจจะนั้นจริง ทมะบังคับตัว ขันตีอดทน จาคะสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีไว้เท่านี้พอ ไปทำความเข้าใจ มันจะมีแต่ความเจริญ เดี๋ยวนี้มันไม่จริงต่อความดีหรือสิ่งที่ควรจะจริง มันไปจริงต่อกิเลส มันไปเป็นทาสของกิเลส ก้มหัวให้แก่กิเลส สวามิภักดิ์ จงรักต่อสิ่งที่เรียกว่ากิเลส อย่างนี้แม้จะทำจริงก็ไม่เรียกว่าจริงมันจริงต่อกิเลส มันใช้ไม่ได้ มันต้องมาจริงต่อความถูกต้องหรือความดี คนสมัยนี้มันจริงต่อกิเลส ตัณหา กามารมณ์เสียเป็นส่วนมากมันจริงขนาดไหน มันก็ไม่ไหว มันก็ไปเป็นทาสของกิเลส กามารมณ์ จริงเหมือนกัน มันจริงอย่างนั้น แต่นี่เราไม่ต้องการอย่างนั้น คำว่าสัจจะนี้จริงต่อความถูกต้อง จริงต่อพระธรรม จริงต่ออุดมคติของความเป็นมนุษย์ ไปรู้อุดมคติของความเป็นมนุษย์ให้ถูกเสียก่อน แล้วก็จริงต่อสิ่งนั้น บางคนเขาก็ถือว่าเกิดมานี้เพื่อกิน เพื่อกาม เพื่อเกียรติก็ได้ แต่มันเกียรติอย่างหลอกๆกันทั้งนั้น ก็มัวเมาในกามไปจริงต่อสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นพวกหนึ่งนะไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธบริษัทก็ถูกต้องพอดี ไอ้เรื่องกามก็มี ตามที่ควรจะมี เหมือนกับว่าเราหิว เราต้องกินข้าว มันก็เป็นอาหารชนิดหนึ่ง เพียงบรรเทาไอ้ความใคร่ให้มันระงับไปแล้วก็ เอาเวลามาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่า อย่าไปลุ่มหลงในเรื่องที่ไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่รู้จักอิ่มจักพอคือกามารมณ์ จะต้องจริงต่ออุดมคติของความเป็นมนุษย์ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรแล้วแต่จะเรียก ให้มันจริงไปอย่างนี้ สรุปแล้วจริงต่อความเป็นมนุษย์นั้นแหละดี ให้จริงต่อเวลา จริงต่อเพื่อนฝูง จริงต่อหน้าที่การงาน จริงอันมีหลายๆจริง มันก็รวมอยู่ที่นี่ รวมอยู่ที่ จริงต่ออุดมคติของมนุษย์ เป็นมนุษย์ให้ได้ นี่เรียกว่าจริง เราจะสร้างเป้าหมาย สร้างไอ้สิ่งที่เป็นเป้าหมายนั้นให้ได้ เช่น มีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศพอตัว มีกัลยาณมิตรที่ดี ก็จริงต่ออุคมคตินี้ ก็ทำไปด้วย การบังคับตัวเอง บังคับให้ทำ ธรรมดามันก็ไม่ค่อยจะทำ ต้องมีการบังคับตัวให้อยู่ในร่องในรอย โดยมากมัน ก็ทำ อยากทำแล้วก็ทำ ชั่วขณะหนึ่งแล้วบังคับไม่ได้ มันก็เฉออกไปๆ เปลี่ยนเป็นตามสบายเลยทีนี้ พอตามสบายหนักเข้ามันก็ตามกิเลศ ตามกิเลสก็ล้มละลายหมด มันบังคับ ให้มันทำได้ ให้มันเป็น ทมะ บังคับตัวได้อยู่ ตลอดเวลา นี่เขาเรียกว่า ทมะ ที่ ๒ บังคับตัวได้ ตามที่ตั้งใจไว้ อย่างไร เพื่อให้ยังคงจริงอยู่ได้
นี้ขันตีต้องอดทน บังคับตัวเองเมื่อไหร่มันมีความเจ็บปวด มีความกระวนกระวายเมื่อนั้น ต้องอดทน ถ้าไม่อดทนมันก็ละทิ้งเสียอีก ละทิ้งอุดมคติ ต้องอดทนได้ รอได้ คอยได้ ด้วยความบากบั่น ด้วยความทรหด อดทน ของลูกผู้ชาย พร้อมกันนั้นก็มีจาคะ อะไรที่มันเป็นไอ้ความเลว ความชั่วเสนียด จัญไร อะไรทั้งหลาย รีบสละออกไป สละออกไป อย่าให้มันมีอยู่ในตัว อะไรที่ว่าไม่ดีต้องถือว่าเป็นเสนียด จัญไร บรรเทาออกไป บรรเทาออกไป ไม่อยากจะพูดตรงๆ ก็อย่างแม้แต่พระสูบบุหรี่กันอะไรอย่างนี้ก็เรียกว่าเสนียด จัญไร พยายามละไปเสียดีกว่าเอาไว้ มันจะง่ายขึ้น มันจะเบาขึ้น ความคิด ความอะไรที่มันเลวๆ สละออกไป สละออกไป ไปศึกษาดูอะไรมัน พิจารณาดูแล้วเห็นว่ามันเลว แล้วก็สละออกไปสละออกไป นี่เขาเรียก จาคะทำอยู่ตลอดเวลา ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการคือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ก็เท่านั้นเองสำเร็จประโยชน์ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ขอให้จดจำ ๔ ประการนี้ไว้อย่างแม่นยำที่สุด แล้วก็รอดตัวแน่ เป็นของขวัญจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันอย่างนี้ ท่านวางไว้ให้ ท่านมอบหมายไว้ให้ เหมือนอย่างที่พูดเมื่อสักครู่นี้ ว่ารดน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าดีกว่ารดน้ำในโอ่ง ก็คืออย่างน้อยก็คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เป็นน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รดให้สืบต่อๆๆกันมา มอบหมายให้มีการรดสืบๆต่อๆกันมา อย่างที่กำลังกระทำอยู่เวลานี้ ให้รับน้ำมนต์อันนี้ไป โดยมีชื่อว่า สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ จะเป็นเครื่องคุ้มครองยิ่งกว่าสิ่งใด จะเอาพระพุทธรูปมาแขวนคอให้คอหัก แต่ถ้าไม่ประพฤติธรรมะเหล่านี้ ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าคุ้มครอง ก็ถ้ามีอย่างนี้แล้วก็มีพระพุทธเจ้าแท้จริงอยู่ในใจ แม้ไม่ต้องแขวนพระพุทธรูปก็มีผลยิ่งกว่าเสียอีก ขอให้ทำให้มันถูกต้อง ถ้าจะเอาพระพุทธรูปมาแขวนคอมันก็มีประโยชน์ที่จะเตือนให้เราไม่ลืมสิ่งนี้ มันขลุกขลิกๆอยู่ที่คอว่าสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เป็นเสียงที่มันขลุกขลิก ๆอยู่ที่คอนะมันมีความหมายถึงสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ อยู่อย่างนี้เรื่อยไป มันก็รอดตัวได้จริง ฉะนั้นมันอยู่ที่วิธีใช้ต่างหาก ใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการที่จะมีเครื่องเตือนสติ เช่นพระพุทธรูปแขวนคอเป็นต้น มันจะได้จะทำให้มีธรรมะ ๔ประการอย่างที่ว่ามาแล้วนั้นเอง ในการที่จะหาทรัพย์ก็ใช้ ๔ ประการนี้ ถ้าจะหาชื่อเสียงก็ใช้ ๔ ประการนี้ ในการจะหากัลยาณมิตรที่ดีมาแวดล้อมตนก็ ๔ ประการนี้ เอาไปแจกเป็นรายละเอียดเฉพาะเรื่องๆเอาเองได้ ทั้ง๔ ประการนี้จะช่วยสำเร็จประโยชน์ แม้แต่การบรรลุนิพพาน แล้วนับประสาอะไรเรื่องชาวบ้าน เรื่องที่จะเอาตัวรอดอย่างชาวบ้าน มันก็ต้องได้อยู่ดีได้ธรรมะ ๔ ประการนี้เป็นเครื่องช่วยเหลือ ขอให้รับเอาไปในฐานะที่มันเป็นพรคู่กันกับศีลที่ประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นปรกติ แล้วก็จะมีความสุขความเจริญ นี้เป็นธรรมะ ๔ ประการในฐานะที่เป็นน้ำมนต์ คือเป็นพรที่จะมอบหมายให้ไป
ทีนี้ก็มีข้อปลีกย่อยที่อย่าประมาทด้วยเหมือนกัน ต้องมีสติ สัมปชัญญะ อีกตามเคย ต้องนึกถึงสิ่งที่มันจะช่วยเกื้อกูล คือ อย่าประมาท อย่าละเลยไอ้สิ่งที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะก็คือพระศาสนา วัดวาอาราม อย่าไปแก้ตัวอย่างโง่เขลาว่าวัดเดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้ พระเดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้ เราก็ไม่ไปวัด เราก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับพระ อย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องถือว่ามันก็มีที่ทำจริงอยู่ ที่ทำถูกต้องอยู่ คืออย่างน้อยเราก็สร้างวัดขึ้นในใจของเราได้ การที่เราระลึกนึกถึงธรรมะ นี่ก็คล้ายกับไปวัดอยู่เหมือนกัน ไปที่วัดข้างนอกไม่ได้ ไปที่วัดข้างในก็ยังได้ แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยังมี แม้ที่วัดข้างนอกนั้นมันไม่ได้เลวไปเสียทั้งหมด พยายามที่จะไปมาหาสู่ ไปติดต่อด้วย ไปเตือนตนไว้เสมอเพราะเป็นโอกาสในทางที่จะสังคมในบุคคลที่ควรสังคม แล้วก็พยายามทำหน้าที่ต่างๆ ในวิธีเหล่านั้นได้ด้วย เช่น อาราธนาศีลได้นี่ดีกว่าไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้อาราธนาศีลไม่ได้ ไม่เรียบร้อย ถ้าอาราธนาศีลได้และได้อย่างเรียบร้อยจะมีประโยชน์กว่า จะเป็นทางให้คนเขาไว้ใจ เคารพนับถือ ไปทำประโยชน์แก่เขาได้ ชักชวนกันให้มีศีลได้ จะเป็นเครื่องติดต่อเป็นสื่อที่ดีในการสังคมอย่างแบบของพุทธบริษัท ควรจะทำได้ทุกอย่าง เรื่องเล็กๆน้อยๆเป็นพิธีรีตองอะไรก็ตามนี่ทำให้มันได้ทุกอย่างแหละมันดี มันดีกว่าทำไม่ได้ มันไม่มีทางเสีย มันก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรมันได้ผลเกินค่าที่ลงทุนไป ทำให้การสังคมมันดีขึ้น นี้ก็รวมความว่าให้เกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าศาสนาอยู่ตลอดเวลา ในรูปของวัตถุ ปูชนียสถานก็ดี พิธีต่างๆก็ดี หรือการกระทำประพฤติปฏิบัติแท้จริง ที่เขาจะมีกันอยู่บ่อยๆก็ดี ศาสนาจะเป็นเครื่องช่วยให้เรา มั่นคงในทางสังคม ทีนี้เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยังมีอีกมาก คิดเอาเองก็ได้ หาอ่านเอาจากที่เขาพิมพ์ๆกันแล้วก็ได้ อยากจะแนะว่า ผ้ากาสายะนี้ ถ้าเอาไว้เป็นเครื่องระลึกในการที่ได้บวช เอาไว้บังคับตัวเอง ไว้ขู่ตัวเองว่าได้บวช ก็จะมีประโยชน์มาก เอาไปให้ลูกหลานถ้ามีในอนาคตให้ได้รู้ ว่าพ่อก็เคยบวชอย่างนี้ก็ยังมีประโยชน์ที่จะดึงเด็กๆเข้ามา มาหาศาสนาได้โดยง่าย ได้สังเกตเห็นไอ้คนที่เขามีปัญญาสูงสุด เขายังทำกันอยู่อย่างนั้นนะ เอาผ้ากาสายะ นี้ไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกในการบวช ซึ่งดีกว่ารูปถ่ายที่โก้ๆ นั้นเป็นเรื่องเพลิดเพลิน เป็นเรื่องผิวๆเผินๆ ผ้ากาสายะนี้ถือว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา เป็นธงชัยของพระอรหันต์ ในฐานะที่เราเคยห่มมาแล้ว ประกาศตัวมาแล้ว มันก็จะช่วยบังคับให้เป็นคนที่ระมัดระวังมากขึ้น มีความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองบุคคลนั้นมากขึ้น แต่มันอาจจะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเกินไปจนไม่ค่อยสนใจ ไม่เข้าใจ ไม่เอาใจใส่กันก็ได้ แต่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ ก็ต้องบอกจะได้เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเตือนให้ไม่ลืมศาสนา ไม่ลืมการบวชของตัวที่เคยนุ่งห่มด้วยธงชัยของพระอรหันต์มาครั้งหนึ่งแล้วด้วยผ้ากาสายะเหล่านี้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพรหรือน้ำพระพุทธมนต์ ที่จะประพรมให้แก่จิตใจทั้งบุคคลผู้ลาสิกขาในโอกาสเช่นนี้ จะได้พูดว่าได้เวลาที่มันสมควรแล้ว ฉะนั้นจึงขอให้พยายามรับเอาไปให้ดีที่สุด ให้ประสบความสำเร็จใน การเป็นมนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุด ตามที่มนุษย์ควรจะได้กันอย่างไร ตามเพศฆราวาส หรือเพศบรรพชิตตลอดเวลานั้นให้มีแต่ความเย็นอกเย็นใจ เป็นผู้ยิ้มย่องผ่องใส อยู่ในทุกกรณีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่าต้องมีการเป็นทุกข์เป็นร้อน ร้องห่ม ร้องไห้ หรือกระทั่งฆ่าตัวตายเหมือนคนโง่โดยมากนั้นเลย ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จเจริญงอกงามในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดทุกทิวา ราตรีกาลเทอญ กราบ