แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่ทำวัตรนี่ เป็นแบบฉบับ แต่โบราณ ซึ่งเราจะต้องรักษาไว้ เพราะมันมีประโยชน์ ตอนแต่จะทำพิธี หรือทำอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นชิ้นเป็นอันในศาสนานี้ อุปัชฌาย์อาจารย์แต่กาลก่อน เขาก็มีเรื่องทำวัตร เขาถือเป็นหลักทั่วไป เอาใจความของเรื่องนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเพ้อ ๆ หรือทำเพ้อ ๆ ไป มันต้องนึกถึง ความมุ่งหมายของเรื่องประโยชน์ อ้า, ทุกครั้งนะ มันจึงจะเกิดประโยชน์ เมื่อมีความเคารพ แล้วก็มีการอดโทษซึ่งกันและกัน ในการแลกเปลื่ยนบุญกุศล หรือความดีของกันและกัน
อย่างเดียวนี้เราก็ต้องมีความรู้สึกอย่างนี้สิ แสดงความเคารพนี่มันเป็นข้อแรก แล้วก็ตั้งนโมก่อนเสมอ และก็ต้องมีความรู้สึก ที่จะอดโทษซึ่งกันและกัน นี่ก็เป็นธรรมเนียมอันหน่ึง ว่าเราจะต้องมีจิตใจที่เกลี้ยงเกลา จากความรู้สึก ที่ทำให้หม่นหมอง ให้หงุดหงิด และก็รู้จักทำความสบายใจ ชื่นอกชื่นใจ อะไรทำนองนั้น ให้แก่กันด้วยการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ด้วยปาก ด้วยใจด้วย และก็ด้วยร่างกาย ภายนอกด้วย ให้จำไว้สำหรับ เป็นเรื่องใช้
ในที่นี้ก็จะเป็นเรื่องที่จะ ลาสิกขา ทุกเรื่องมันก็ต้องทำด้วยความรู้สึก ในความหมาย มันจึงจะสำเร็จ ประโยชน์ ตามเรื่องนั้น ๆ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราจะลาสิกขา จะต้องรู้ความหมายของการลาสิกขา ให้มันเข้ารูปกัน กับไอ้ที่เมื่อเรามาบวช มารับสิกขาอย่างเป็นภิกษุ เดี๋ยวนี้ก็จะลาสิกขาอย่างภิกษุออกไป เป็นฆราวาสอีก ไม่ต้องทำเป็นสังฆกรรม เพราะว่าไม่ได้เนื่องด้วยสงฆ์อะไรอีกแล้ว มันเป็นเรื่องทำระหว่างบุคคล คือกับอุปัชฌายะ มีภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น แม้แต่จะลาเอาเองก็ยังได้ แต่ขนบธรรมเนียมประเพณี เขาไม่ยอมรับอย่างนั้น เป็นเรื่องไม่ดีไป ถึงแม้ทางวินัยจะทำได้ ก็ไม่มีใครทำ จึงมีการลาสิกขา
นี่เราก็ไม่ได้ทำให้มาก เกินกว่าที่จำเป็นจะต้องทำ เพราะมันลำบาก บางคนการลาสิกขา เขาทำพิธีกัน ใหญ่โตมโหฬาร รดน้ำรดท่ากันใหญ่ เดี๋ยวนี้เอาแต่เพียงสำเร็จประโยชน์ตามวินัย ตามธรรมะด้วย ตามสมควร จึงไม่เห็นว่ามีพิธีสังฆกรรมอะไรทั้งน้ัน แต่ความสำคัญมันมีอยู่ว่า ต้องทำด้วยจิตใจ คือ มีจิตใจที่จะลาสิกขา เดี่ยวนี้สำหรับในกรณีของคุณนี่ไม่มีปัญหา เพราะมันมีความตั้งใจไว้ และก็มีความต้องการด้วย ก็เป็นว่าจิตใจ มันก็ไม่มีปัญหา สำหรับการลาสิกขา มันมีปํญหาเฉพาะคนที่เขาไม่ต้องการจะลาสิกขา ไม่อยากจะลาสิกขา มีความจำเป็นบังคับ อย่างนี้มันมีปัญหา เป็นอันว่าเรื่องของเราไม่เป็นปัญหา ก็รู้จักทำจิตใจให้ถูกต้องต่อไปอีก อย่าละเมอละเมอ ว่าลาสิกขา แล้วก็ มันก็เป็นเรื่องละเมอ
ไอ้ลาสิกขาในที่นี้ว่า ลาเฉพาะสิกขา อย่างภิกษุ ไม่ได้ ไม่ได้ลาศาสนา ไม่ได้ลาพระรัตนไตร แม้ว่าเราจะ ไอ้รับศีลใหม่ รับรับสรณคมน์ใหม่ก็ไม่ได้ลาส่วนนั้น ให้รู้ว่าไอ้พระรัตนไตร หรือที่เกี่ยวกับพระรัตนไตรนี้ ไม่เคยลา ไม่ต้องลา ไม่เคยลา ที่รับสรณคมน์เพิ่มเข้าเพิ่มเข้าบ่อย ๆ นั้นก็เป็นเรื่อง เพิ่มเข้า ไม่ใช่ลา สลัดไปแล้ว ก็รับอีก สลัดไปแล้วก็รับอีก บางคนเขาจะเข้าใจอย่างนั้นก็มี
ที่นี้เราไม่ต้องเข้าใจอย่างนั้น เป็นว่าลาเฉพาะสิกขาของภิกษุ คือ สิกขาบทต่าง ๆ ที่มีไว้สำหรับภิกษุ บอกคืน ใช้คำว่า บอกคืน ปัจจักขามิ ข้าพเจ้าบอกคืน สิกขัง ซึ่งสิกขา สิกขาต้องอย่างภิกษุ คิหิติ มังธาเรถะ คำว่า คิหิติ มังธาเรถะ จงถือข้าพเจ้าว่าเป็นคฤหัสถ์ดังนี้ เมื่อเราว่าก็ต้องมีความรู้สึกอย่างนั้น อย่าทำอย่าง นกแก้ว นกขุนทอง ต้องทำด้วยใจที่แน่ แล้วก็ว่า ๓ ครั้ง ตามธรรมเนียมนะว่า ๓ ครั้ง หรือว่าว่ากันจนจิตใจ มันแน่นอนนะ ถึงที่สุดก็ได้ จะว่ากี่ครั้งก็ยังได้ แต่โดยมากเขาว่ากัน ๓ ครั้ง แล้วก็กราบลงแสดงว่าเรามีจิตใจ ที่แน่นอน และก็ทำไปถูกต้องครบถ้วนแล้ว
นี้ตามธรรมดาก็ต้อง ว่านโมด้วย เสมอไป ทุกอย่าง ทุกสิ่งในธรรมเนียมของชาวพุทธนี้ จะต้องเริ่มด้วย นโม หมายความว่า ทำอะไรไม่ลืมพระพุทธเจ้า นั้นมัน คือ สติ สัมปชัญญะ เพราะเราต้องตั้งใจสำรวมว่า นโม มีสติสัมปชัญญะ ว่านโม มันก็มีโอกาสมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เมื่อว่า นโม ต่อไปจึงมีสติสัมปชัญญะ ทำอื่นต่อไป นี้เราก็ต้องทำอย่างนั้น นี้เมื่อทุกอย่างมันเหมาะสมแล้วก็ทำได้ ก็ต้องคุกเข่าขึ้น นั่งคุกเข่า และว่านโม ๓ ครั้งก่อน แล้วก็กล่าวคำบอกคืนสิกขา (นาทีที่ 09:08-09:38)
เอ้า, กราบ ขึ้นต้นด้วยกราบ จบลงท้ายด้วยกราบทุกตอนไป เอ้า, เข้ามาใกล้หน่อย ว่าเดี๋ยวนี้เรา ได้กล่าวคืนสิกขา ด้วยวาจา พร้อมด้วยความรู้สึกในจิตใจ กระทั่งทุกอย่างแม้ทางภายนอก ดังนั้นเราจึง ไม่มีสิทธิ ที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาวนี่อีกต่อไป เพราะฉะนัันเราก็ต้องไป เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม อาราธนาศีล (นาทีที่ 10:28-14:45)
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อาระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นโมตัสสะ ภะคะวะโต อาระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ธรรมมัง สะระนัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติ ยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติ ยัมปิ ธรรมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติ ยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติ ยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติ ยัมปิ ธรรมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติ ยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ติสาระณะ คัมมะนัง นิตถิ ตัง
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะพรัหมะจะริยา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อุจจาสะยะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สมาทิยามิ
สีเลนะ สุคะติง ยันติ
สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
ตัสมา สีลัง วิโสธะเย
เอ้า, สาธุ กราบ ที่นี้ก็นั่งลง ต้องพูดกันนานหน่อย ก็นั่งพนมมือฟัง ตามธรรมเนียมเขา ถ้าฟังเรื่อง ที่เป็นกิจลักษณะก็ต้องนั่งพนมมือฟัง แล้วก็นั่งให้แข้งขามันสะดวก มันไม่ปวด เมื่อนั้นมันก็จะได้ฟังได้ถนัด เดี๋ยวนี้ก็เป็นเรื่องลาสิกขาแล้ว นี้ก็มาถึงตอนที่เขาเรียกกันว่า ให้ศีลให้พร เดี๋ยวนี้เราก็รับศีลแล้ว ยังเหลือแต่ เรื่องให้พร นี้เขามักจะสวด ชะยันโตฯ พรมน้ำมนต์กันเป็นการใหญ่ เดี๋ยวนี้เราก็เป็นการให้พรแบบ รดในใจ รดน้ำในใจ ก็ต้องตั้งใจ ฟังให้ดีมันจึงจะเป็นการรดน้ำในใจ หรือว่าให้พร
ทำไมต้องพูดกัน ในเวลาอย่างนี้ ก็เพราะมันเป็นโอกาสอันหนึ่ง ที่เราจะต้องคิดว่า เป็นการตั้งต้นใหม่ ดีกว่า ได้บวชและก็ลาสิกขา ก็คือ การตั้งต้นใหม่เพื่อความเป็นฆราวาส โดยปกติก็ให้ถือว่า ที่แล้วก็แล้วไป ไม่เอามาคิด ให้ยุ่งหัว แม้จะมีความผิดพลาดอะไรบ้าง ก็ไม่ต้องนึกให้ยุ่งหัว นึกแต่ว่าจะทำใหม่ให้ถูกเรื่อยไป นี้เขาเรียกว่า ตั้งต้นใหม่ ถ้าคิดบัญชีก็คิดว่า ลบหมดเหลือศูนย์ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ให้เป็นบวก ที่นี้อย่าให้เป็น ลบอีก ที่แล้ว ๆ มามันมักจะเป็นลบ เพราะบังคับตัวเองไม่ได้
มันมาทางนี้ควร ยิ่งคนรุ่นหนุ่ม หรือเป็นเด็กมา มันก็ยังไม่ทันจะรู้อะไร แล้วมันก็มักจะมีไปในทางลบ ช่องโอกาสมี มันก็ลบกันมาก ๆ เพราะฉะนั้นถือว่าลบไปเลย บวกเป็นศูนย์ ลบเป็นศูนย์ไปเลย แล้วตั้งต้นใหม่ ดีกว่า ทำคล้ายกับว่า ตั้งต้นใหม่ คิดบัญชีใหม่ นี้เราก็ต้องมีจิตใจใหม่ ด้วยการอธิฐานไว้ให้มันเป็นบวกเรื่อย ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เหมือนกับ มีพร มีอะไร ตลอดกาล ไอ้เรามันก็ชื่อดีอยู่ด้วย กลัวแต่จะไม่ดีสมชื่อ ฉะนั้นมันก็ ง่ายนิดเดียว ถ้าทำให้มันดีสมชื่อก็ใช้ได้ ที่เป็นลบ ลบกันมานี่ก็เพราะว่าบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องมัน ก็เรื่องเดียว คือ บังคับตัวเองให้ได้
ที่นี้ระเบียบสำหรับฆราวาสปฏิบัติ ก็ก็สรุปรวมอยู่ที่บังคับตัวเองให้ได้ ดูได้จากหลักธรรมะ สำหรับ ฆราวาสนั้นเอง บางทีพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า เรียกว่า ฆราวาสธรรม มีอยู่ ๔ อย่าง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เคยอ่านเคยท่องกันแล้ว แต่ก็ทำกันแต่ปาก ก็เลยไม่ได้ปรโยชน์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ต้อง ทำจริง สมาทานเคร่งครัด อย่างที่พระเขาสมาทานสิกขาบทอย่างพระ ฆราวาสก็ต้องสมาทานสิกขาบท อย่างฆราวาส เดี๋ยวนี้ก็มีการสมาทาน หลักธรรมะของฆราวาส ให้เคร่งครัด อย่างที่เมื่อบวชก็เคร่งครัด ในเรื่องของภิกษุ ของบรรพชิต
ที่นี้เรียกว่า ฆราวาสธรรมแล้ว ที่จริงไอ้ธรรมะ ๔ ข้อนี้ มันยิ่งกว่าฆราวาสธรรม มันของใครก็ได้ เพื่อความสำเร็จตามความประสงค์ แต่ด้วยเหตุที่ว่า ฆราวาสนี่มันปัญหา มากกว่าพวกอื่น จึงระบุให้มันมาเป็น สำหรับฆราวาส จะต้องใช้ เป็นการตั้งต้น เป็นจุดตั้งต้น ให้มันเป็นถูกขึ้นมาใหม่ จะได้มีแต่ถูกเรื่อย ๆ ไป เพราะฉะนั้นเธอจะเป็นฆราวาส ตามที่ขอร้อง เมื่อก่อนหน้านี้ว่า จงถือว่าผมเป็นฆราวาส คฤหัสถ์ ครองเรือน ก็ต้องมีธรรมะของฆราวาส สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ นี้เป็นหัวข้อภาษาบาลี จำให้มันขึ้นใจก่อน
ถึงยังไงก็ให้โพล่งออกไปได้ว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ถ้ามันเกิดอะไร เป็นปัญหายุ่งยากขึ้นมา ให้ไอ้คำพูดนี้ มันโพล่งออกมาได้ อย่าไปสบถสาบาน ไปทำอะไรอย่างอื่น มันไม่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องงมงาย บางทีก็เป็นบ้าไปเลย ถ้านึกถึง สัจ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ได้อยู่เรื่อยไป มันก็คุ้มครองได้ นี่ต้องพูดเรื่องนี้ กันอีก ข้อที่ ๑ ว่า สัจจะ คือมีความจริง ข้อ ๒ ทมะ มีการบังคับจิต ข้อ ๓ ว่า ขันติ นี่อดกลั้นอดทน ข้อ ๔ จาคะ สละสิ่งที่ต้องสละ ควรสละ นี้ก็ต้องจำให้ได้ คำแปลของมันจำให้ถูกต้อง
ที่นี้คำอธิบาย ขยายเนื้อความให้เห็นชัด ว่า สัจจะ ความจริง นี่ก็พอจะรู้กันอยู่ แต่ไม่ค่อยจะสนใจ หรือไม่ค่อยเคารพ ไม่ค่อยรักษา ขอให้มันจริงไปทุกอย่าง นับตั้งแต่ว่าเรามันจริง ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่ บิดามารดาเป็นคนแรกไป จนถึงคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องมีความจริง พอไม่จริงมันก็ไม่จริง มันก็ล่มละลาย แล้วมันจะล่มละลายลุกลามไปใหญ่โตถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย จนหมดกันเลย
เพราะฉะนั้นในข้อแรก มันมีจุดตั้งต้นว่าจะต้องจริงต่อ บุคคล และบุคคลแรกที่สุด คือ บิดามารดา เพราะว่าเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้สั่งสอนให้เรื่อย ๆ มา ด้วยประเพณีก็ได้ ไม่ได้สัญญาด้วยปาก คำต่อคำ โดยประเพณีก็ว่า เราจะต้องมีหน้าที่ต่อบิดามารดาอย่างไร แล้วมันก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ๆ ว่ากล่าว สั่งสอน ตักเตือน สอบถาม นี้ถ้ามันมีเรื่องจริงไปหมดมันก็ใช้ได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นเรื่องเท็จ มันก็เริ่ม หันไปในทางเสื่อมเสีย พูดเท็จทำเท็จไปที่หนึ่ง ก็เท่ากับเชือดคอตัวเอง หรือว่าทำตัวเองให้มันกร่อนลงไป มันควรจะมองให้เห็นข้อนี้ และกลัวให้มาก ๆ จะได้มีความจริง ตรงต่อบุคคล นับตั้งแต่บิดามารดา เป็นต้นไป ถึงคนอื่น ๆ ครูบาอาจารย์ กระทั่งเพื่อนฝูง
ที่นี้เราก็จริงกันต่อบุคคล ถ้าตั้งต้นที่บิดามารดาได้แล้วก็ ที่อื่น ๆ มันก็ได้ เพราะว่าไอ้ความต้องการ ของบิดามารดานั้น มันครอบงำหมด คือ ต้องการไม่ให้ทำชั่วทุกประการ ต้องการให้ทำดีทุกประการ นี้มันครอบงำหมดอย่างนี้ ถ้าเรามันจริง ตรง มันก็ทำชั่วไม่ได้ แล้วมันก็ต้องทำดี จุดตั้งต้นมันดีอย่างนี้แล้ว มันก็ใช้ได้ นี่ถ้าไม่มีสัจจะ คือ ไม่จริง แล้วมันก็ล่มละลายใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ เออ, ความ ความเป็นบุตร เป็นบิ เป็นบุตร เป็นบิดามารดาต่อกันมันก็ล่มเหลว พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ นี่ก็ต้องพูดกันอย่างนี้เลย ถ้าเรามันไม่จริง นี้ต้องมีสัจจะต่อบุคคล และก็มีสัจจะต่อตัวเอง
ที่ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาควรจะได้อะไร แล้วก็ต้องจริงต่ออุดมคตินั้น ด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะ อย่าให้กิเลสมันครอบงำ แล้วมันก็ไปหาไอ้อย่างอื่น ที่ไม่ควรจะได้ไม่ควรจะมี เป็นเรื่องผิด เพราะฉะนั้นมันต้อง ถูกไป ตามลำดับของคนเรา เกิดเป็นเด็ก เป็นไอ้วัยรุ่น เป็นอะไร ก็ต้องมีการศึกษา มีการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ไปตามลำดับอย่างเคร่งครัด ที่เขาเรียกว่า ประพฤติพรหมจรรย์ คนที่ยังอยู่ในวัยศึกษาลงมา จะต้องเคร่งครัด ต่อการศึกษา และการประพฤติปฏิบัติ เรื่องอื่นมันยังไม่ไม่มี เขาจึงคนเรียกคนพวกนี้ ว่าเป็นคนประพฤติ พรหมจรรย์ จนกว่าจะแต่งงาน มีเหย้ามีเรือน นี่ก็จริงต่อตัวเอง ให้มันทุกชั้นนะ
อุดมคติของมนุษย์มีว่าอย่างไร มันก็ต้องได้อันนั้น เรียกว่า จริงต่ออุดมคติด้วย แล้วก็จริงต่อตัวเองได้ นี้นอกนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่เบ็ดเตล็ดอีกมาก จริงต่อหน้าที่การงาน จริงต่อเวลา จริงต่ออะไร มันก็เป็นเรื่องรวม อยู่ในที่ว่ามันตรง อ่า, จริงต่ออุดมคติ ตรงต่อความเป็นมนุษย์ มีอุดมคติอย่างไร นี่คำว่า สัจจะ โดยใจความ มันก็มีหัวข้ออย่างนี้ และก็มีคำอธิบายมาก ถ้าทุกคนมีสัจจะกันอย่างนี้ และไอ้โลกนี้มันก็ดีมาก หรือว่าใน ครอบครัวมันก็ดีมาก บุคคลหนึ่ง ๆ ก็ดีมาก เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยสนใจกัน พูดแต่ปาก ก็คือ ไม่จริงนะ พอไม่จริง มันก็ตั้งต้นล้มเหลว
มันต้องนึกถึงข้อนี้ไว้ทุกวัน สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ พอมีสัจจะ มันก็มีการรักษาสัจจะ ต่อไปมันก็ไป ถึงไอ้บทที่เรียกว่า ทมะ เองแหละ เพราะถ้าไม่บังคับจิต มันก็รักษาสัจจะไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรายังมีสัจจะเลยเอาสัจจะ ให้ได้ มันก็ต้องบังคับจิต จิตจึงคอยแต่จะเหลวไหล เพราะยังไม่ได้ฝึกฝนอบรมให้ดี ก็ต้องมีการบังคับจิต เดี๋ยวนี้มันมีแต่คนตามใจตัวเอง คือ ตามใจกิเลส คือ ตามใจจิตที่ประกอบอยู่ด้วยกิเลส ไม่บังคับจิตชนิดนั้น ไม่รักษาจิตที่ถูกต้องไว้ แต่เขาเขาเล็งถึงไอ้สิ่งที่มันมารบกวน มาทำอันตราย คือการ คิดไปตามเรื่องของกิเลส เพราะว่าการศึกษายังไม่พอ อะไรยังไม่พอ ในทางธรรมะมันยังไม่รู้เรื่อง จิตมันก็เถลไปในทางที่จะ ทำบาป
นี่ต้องบังคับไว ้และก็ต้องจริงอีกเหมือนกันนี่ ไอ้จริงนี่มันกลับมา ช่วยรักษาไอ้การบังคับจิตอีกทีหนึ่ง ไอ้การบังคับจิตมันก็ช่วยรักษาความจริง หรือสัจจะไว้อีกทีหนึ่ง มันมีเคล็ดลับสำคัญอยู่ตรงที่ว่า คนมันไม่ อดทน มันต้องมีการอดทนต่อไปอีก คือ ขันติ มันจึงจะบัง บังคับจิตไว้ได้ เดี๋ยวนี้มันเอาแต่ตามใจตัวเอง ให้รู้ไว้ด้วยว่า เรากำลังมีวัฒนธรรมเลวทราม บ้าบอ ที่สุดในโลกนี้ แรงขึ้นแรงขึ้นทั้งโลก คือ การตามใจปาก ท้อง ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้ เขาเรียกว่า ตามใจตัวเอง วัฒนธรรมใหม่เขาเป็นอย่างนั้น เป็นวัฒนธรรมภูต ผี ปีศาจ โดยไม่รู้สึกตัวเลย ก็เลยคิดว่าดี ว่าวิเศษ
ที่นี้ไปดูได้ที่ความเจริญสมัยใหม่ ทำจนเกินไปหมด ในการตามใจตัวเอง ติดนั่น ติดนี่ สร้างนั่น สร้างนี่ ให้มันเกินไว้มากเรื่อย มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะคนมันหลงไหลในการตามใจตัวเอง เด็ก ๆ เกิดมาก็พอดีเลย เข้ารูปกัน มันก็ตะครุบเอา มันก็ตามใจตัวเอง มันก็เกิดเรื่องยุ่งยากลำบากกันไปหมด ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูก ทุก ๆ คน ทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วก็ทั้งโลกในที่สุด เดี๋ยวนี้เห็นได้ เพราะไม่อดทน ถือว่าไอ้ความอดทนนั้นผิด ถือว่าความอดทนนั้นเสียอิสรภาพ ไม่มีเสรีภาพ ดูสิมันบ้ากันมาก ถ้าต้องอดกลั้นอดทนแล้ว ถือว่าเสียเสรีภาพ นี่มันประชาธิปไตยบ้า มันกำลังครองโลกอยู่
เราต้องไปเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องอดทน การจะทำอะไรให้ดีขึ้นมามันต้องเจ็บปวด ต้องอดทน นี่ต้องเสียสละต่อไปอีกนะ อันสุดท้ายมันจึงเรียกว่า จาคะ คือ ต้องเสียสละ ไอ้ส่วนที่ไม่ได้สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ก็ต้องสละ ๆ เอาไว้ให้ได้ในเรื่องของความอดทน สิ่งใดที่มันเป็นข้าศึก ทำอันตราย ทำให้เกิด ความเสื่อมเสีย สิ่งนั้นต้องสละกันอยู่เรื่อยไป และก็อย่าไปคิดว่าขาดทุน อย่าไปคิดว่าไม่ได้ อะไรเลย ไอ้คนที่มันหลงใหล ในความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย มันก็จะคิดว่าไม่ได้อะไรเลย ไม่อดทนนี้ ไม่อยากอดทน ไม่อยากเหนื่อย
พวกฝรั่งสมัยก่อนเมื่อฉันยังเด็ก ๆ เห็นเขามีความอดทนกันมาก พวกฝรั่งสมัยนี้ตามใจตัวเองมาก จนไม่อยากทำอะไรที่เป็นความเหน็ดเหนื่อย อยากจะหาเงินมาก ๆ มาซื้อไอ้ความที่ไม่ต้องทำอะไร ให้เหน็ดเหนื่อย มันก็เลยสำรวยสำอางกันใหญ่ มันก็ละโมบเงิน มันก็ต้องโกงเขา และก็โกงอย่างมหาศาล พวกฝรั่งมันมากวาดเอาประโยชน์ของมุมโลกฝ่ายนี้ไปใส่มุมโลกฝ่ายโน้น เพื่อจะให้ได้สนุกสนาน สะดวกสบายนี่ มันมีมูลมาจากไม่อดทน
พระฝรั่งบางคนมาที่นี่ เห็นพระเขากวาดขยะนั้นนะ นั่นเขาเห็นเป็นการทำงานหนัก เหมือนกับ นักโทษ ดูสิมันบ้า เพียงแต่กวาดขยะอย่างนี้เห็นเป็นงานหนัก มันอบรมกันมาอย่างไร มันมีมูลที่มันไม่อดทน มันตามใจตัวเอง ให้คนใช้ทำ ให้ภารโรงทำ ให้อะไรทำ นี่มันเสียนิสัยมากถึงขนาดนี้ นี่เราไม่อาจจะทำตาม พวกฝรั่งที่เขาว่ามันเจริญ ถ้าตาม ทำตามพวกฝรั่งที่ไม่เจริญดีกว่า สมัยก่อนฝรั่งมันอดทนมาก มันจึงทำความ ทำอะไรสำเร็จ เดี๋ยวนี้มันรวยแล้ว มันก็เป็นคนเจ้าสำราญ ความเป็นฆราวาสนั้นก็ไม่น่าดู แล้วทำความยุ่งยาก ลำบาก กว้างขวางออกไปทั่วโลก นี่เรียกว่า สังคมฆราวาส หรืออาศรมฆราวาส นี่กำลังเป็นปัญหา
เพราะว่าเขาไม่ประพฤติธรรมะของฆราวาส อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เรารู้ไว้ ว่าไอ้เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา แต่ไอ้เรื่องของเรานี่ต้องทำให้ได้ ต้องมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นตัว ชีวิตชีวา พอค่ำลงก็ทดสอบเรื่องทั้ง ๔ นี้เป็นประจำวัน เสียสัจจะ เสียทมะ เสียขันติ เสียจาคะ ไปหรือเปล่า ในวันนี้ แล้วก็เสียใจให้มาก ละอายให้มาก ถ้ามันได้เสียไป ถ้ามันไม่เสียก็ควรจะดีใจ แต่ก็ไม่ควรจะประมาท เพราะมันยังมีที่จะต้องทำให้ดี ยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีกมาก แล้วต้องตั้งตา ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ในวันรุ่งขึ้น และวันต่อไปอย่างนี้ ทดสอบกันแต่เรื่อง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะนะ ก็จะเอาตัวรอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาของเธอ โดยเฉพาะมันอยู่ที่นี่
การให้คำแนะนำสั่งสอนโอวาท ให้ศีล ให้พร มันก็ต้องเลือก ให้ตรงกับเรื่องของบุคคลนั้น ๆ เดี๋ยวนี้ สำหรับเธอ นี่ฉันเห็นว่า มันก็ต้องเป็นเรื่อง สัจจะ ขมะ ขันติ จาคะ ตามแบบของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้จัดไว้ให้ สำหรับฆราวาส แล้วเราก็เอาไปจับให้มันถูกเรื่อง จะสัจจะในเรื่องอะไร มันก็เฉพาะในเรื่องนั้น สำหรับบุคคล นั้น โดยทั่ว ๆ ไปมันก็เหมือน ๆ กันนะ แต่ว่ามันยังมีเป็นพิเศษเฉพาะคน ต้องให้มันจริงเฉพาะคนด้วย เราก็ต้องรู้ว่า เรามันมีปัญหาอย่างไร มีกิเลสอย่างไร มีความบกพร่องอย่างไร จะได้ตั้งจิตอธิษฐาน ทำเพื่อจะ แก้ปัญหานั้น หรือแก้ความบกพร่องอันนั้น นี่เป็นสัจจะเฉพาะเรื่อง เฉพาะบุคคล เฉพาะเหตุการณ์ พอแก้ไขอันนี้ได้แล้ว ก็แก้ไขอันอื่นต่อไปอีก ก็เลยเฉพาะเหตุการณ์ มีสัจจะเฉพาะเหตุการณ์ให้เจาะจงลงไป
ถ้าต้องเรียนก็ต้องเรียนให้มันสำเร็จ ให้มันจริง หรือถ้าต้องทำอย่างอื่น มันก็ต้องทำอย่างอื่นให้มันจริง เดี๋ยวนี้มันเรื่องต้องเรียนเป็นเบื้องหน้า ให้มันจริงในเรื่องเรียน แล้วบังคับไม่ให้มันเฉไปนอกเรื่อง แล้วก็ทน ถ้ามันเกิดจะต้องทน ทนศึกษาเล่าเรียนไม่เกียจคร้านอย่างน ี้มันก็เหนื่อยบ้างมันก็ คล้าย ๆ กับว่า มันเจ็บปวด บ้าง เพราะมันต้องทน อย่าเหลวไหล มันต้องสละไอ้ที่ไปดูหนัง ไปเที่ยว ไปบ้าไปบอที่ไหน มันก็ต้องสละ ออกไปหมด อย่าไปเข้าใจว่าหนังเป็นสิ่งที่ต้องดู เดี๋ยวนี้พูดได้เลยว่าหนังสมัยนี้ ไม่ไม่มีความเหมาะที่จะต้องดู เราอยู่ที่นี้เราก็รู้ ยิ่งไม่ดูจะยิ่งฉลาดกว่า เพราะว่าไปดูแล้วมันทำให้โง่ ไปในทางใดทางหนึ่งเสียเรื่อยไปนี่ หนังที่เป็นการศึกษาไม่ต้องไปดูที่โรง ไปดูที่สถาบันการศึกษา เพราะเป็นหนังการศึกษา อยู่ที่นี่ก็ยังได้
ถ้าพูดถึงหนังที่โรงแล้ว เอาเว้นได้เลยและอื่น ๆ ก็เหมือน ๆ กันอีกแหละเพราะนั้นตัดไปเสียดีกว่า มันจะได้ไม่รบกวน มันจะได้ใช้จิตใจ ใช้เวลา ทำให้สำเร็จประโยชน์ในการศึกษา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเรียนได้ดี ไม่ว่าใคร ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ต้องเรียนได้ดี เพราะฉะนั้นคนที่เหลวไหล เรียนไม่ได้ดีก็ไม่ต้องมาหลอกกันนะ มันเหลวไหลในข้อนี้ มันไม่บังคับตัวเอง นี่มันไม่อดทน มันไม่สละไอ้สิ่งเหล่านี้ นี่ฆราวาสจะต้องมี ฆราวาสธรรมอย่างนี้ การเรียนก็สำเร็จ การดำเนินต่อไปเรื่องอาชีพอะไร มันก็สำเร็จเพราะการเรียนมันสำเร็จ ทำให้มีกำลัง มีความสามารถ ที่จะทำต่อไป จนมีการงานมีอาชีพ หรือว่ามีอะไรต่อไปข้างหน้า ก็แล้วแต่จะ ต้องการ
เดี๋ยวนี้มันไม่ต้องนึกเรื่องอื่น นึกแต่ว่าเรามันต้องเรียน ต้องเรียนให้สำเร็จตามที่มุ่งหมาย ว่าจะต้อง เรียนอะไร ถ้าทำได้อย่างนี้ไอ้เวลานั้นจะพอ คนเรามีอายุที่จะใช้การได้จะอยู่ได้สัก ๘๐ ปี แล้วถ้ามันอยู่ได้ถึง ๑๐๐ ปี อย่าไปเอามันเลย มันก็เป็นเรื่องทรุดโทรม แต่ในระยะ ๘๐ ปี นี้จะต้องมุ่งหมาย ต้องสงวนให้เป็นเวลา ที่ใช้เป็นประโยชน์ที่สุด เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ได้คิดกันในรูปนี้ นี้เราก็จะต้องกะให้พอดี ว่าเดี๋ยวนี้เราจะต้องเรียน สักกี่ปี ต้องประกอบอาชีพหน้าที่การงานสักกี่ปี ประสบความสำเร็จแล้วจะได้มีความเป็นมนุษย์ ที่มีความเป็น มนุษย์ มีความสุขอย่างมนุษย์นี้ แล้วก็ช่วยผู้อื่นต่อไปอีกนี่ สักกี่ปี จนจบลงที่คำว่า แจกของส่องตะเกียง นี่เมื่ออายุ เหมาะสม ที่ควรจะเป็นอย่างนั้นได้ ที่เหลือนั้นไป มันก็เป็นเรื่องของกำไร ที่เกินได้ก็ได้ไม่ได้ก็ได้
ที่นี่เราจะต้องคิดว่า ๗๐ ปีนี้ ๘๐ ปีนี้มันเป็น เวลาที่จะต้องทำให้เสร็จทันในระยะนั้น ได้ความเป็น มนุษย์ที่ดีที่สุด ที่มนุษย์จะต้องได้ อย่าไปหวังว่าชาติหน้าจึงค่อยทำ อย่างนั้นมันจะเกิดความโง่ เกิดความ ประมาท ไม่รีบทำแล้วมันก็ไม่ได้อะไร ทันใน ๗๐-๘๐ ปีนี้ นี่ถือว่าเขา ธรรมชาติมันมีให้พอดีแล้ว ๗๐-๘๐ ปี นี้พอดี เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษา เป็นอะไรไป ประกอบอาชีพการงาน เป็นคฤหัสถ์ ฆราวาสไป จนถึง ที่สุด มันก็เป็นมนุษย์ที่รอบรู้ไปหมด ในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ชี้แจงช่วยเหลือผู้อื่นได้ ถ้าทำกันอย่างนี้ มันก็เป็นมนุษย์ ถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้าขบถต่ออุดมคติอันนี้ มันก็ไม่ใช่มนุษย์ มันอาจจะเป็นสัตว์ หรือว่าเลวกว่าสัตว์ไปก็ได้ นี่เราเรียกกันว่า เป็นมนุษย์ มีจิตใจสูง ไม่เที่ยวโง่ เที่ยวหลง ในนั้นในนี่อยู่ เดี๋ยวนี้กำลังหลง ในสิ่งที่หลง ที่ตั้งแห่งความหลงนี่ มากขึ้น มากขึ้น ในโลกนี้ แล้วก็มันเป็นโลก ที่มีความทุกข์ ไม่มีสันติภาพ เพราะมนุษย์กำลังหลงกันใหญ่
เราก็คิดดูให้ดีนี่เราจะต้องไปหลง ไม่ไปสมทบเข้าไปในพวกที่หลง แยกตัวออกมาเป็นคนที่ถือ หลักธรรมะที่ไม่หลง ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ดีแล้ว ที่เราก็ศึกษากันอยู่แต่แล้วก็ไม่ไม่ปฏิบัติ เครื่องมือที่จะ ให้ปฏิบัติสำเร็จ มันก็คือ ๔ ข้อนี้ อย่างที่ว่านี้ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ใช้ ๔ ข้อนี้ วัยรุ่นก็ต้องใช้ ๔ ข้อนี้ หนุ่มสาวเต็มที่ก็ต้องใช้ ๔ ข้อนี้ พ่อบ้านแม่เรือนก็ต้องใช้ ๔ ข้อนี้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ มันไม่จำเป็นแล้วนะจะหยุดใช้ไปในตัว อ้าว, ที่นี้มันยังจะคิดว่าเราเป็นคนแก่แล้ว อยากจะเหลือผู้อื่น แจกของ ส่องตะเกียงให้เขา มันก็ยังจะต้องใช้ ๔ ข้อนี้อีกนั้นแหละ เพราะว่าการที่จะไปพูดจาให้คนโง่ หรือว่าคน อันธพาลรู้เรื่องนี่ ยิ่งต้องใช้ ๔ ข้อนี้มากขึ้นไปอีก
ครูบาอาจารย์แท้ ๆ ก็ยังต้องใช้ ๔ ข้อนี้ ตั้งใจจะสอนเขา ก็ต้องบังคับ ต้องอดกลั้นอดทน ต้องยอม เหน็ดยอมเหนื่อย เสียสละความสุขแก่ตน เสียสละความสุขของตน มันจึงจะทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ได้นี่คิดดู ก็แปลว่าใช้ไอ้ ๔ ข้อนี้ใช้กันตลอดชีวิต ทำให้แก่ตัวก็ใช้ ๔ ข้อนี้ เมื่อจะทำให้แก่ผู้อื่นก็ใช้ ๔ ข้อนี้ เดี๋ยวนี้กำลังประมาท ใช้ไม่เป็น มันจึงไขว้กันไปหมด ตั้งใจจะทำให้ดีแต่ผลมันไม่ออกมาดี เพราะไม่รู้จักใช้ ๔ ข้อนี้ให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขอให้เธอจำไว้ ว่าฆราวาสธรรมเป็นอย่างนี้ กระทั่งแม้แต่บรรพชิต ที่จะทำอะไรให้ก้าวหน้าไปอีก ก็ยังต้องใช้ ๔ ข้อนี้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เราพูดกันถึงฆราวาส ในฐานะเป็นจุดตั้งต้น
ที่นี้ข้อที่อยากจะพูดอีกหนึ่งทีก็ว่า เมื่อเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ เป็นมนุษย์ที่ดี ถ้าจะจำกัด ขอบเขต แต่เพียงว่าเป็นฆราวาส ก็ต้องเป็นฆราวาสที่ดี พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสข้อนี้ไว้ชัดเจน ว่าให้ทำให้ ถูกต้องในทิศทั้ง ๖ นี่เป็นไปตามกฏธรรมชาติอยู่มาก เรื่องทิศทั้ง ๖ นี่ อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นกฏธรรมชาติ ที่เกี่ยวกับสังคม มองไปข้างหน้าให้นึกถึงบิดามารดาก่อน มองไปข้างหลังให้นึกถึงบุตรภรรยา เดี๋ยวนี้เรายัง ไม่มี ยังไม่ต้องนึก
ที่นี้มองไปข้างซ้าย ก็เป็นเรื่องเพื่อนฝูง มองไปข้างขวาก็เป็นเรื่องครูบาอาจารย์ มองไปบนศีรษะ โน้น, ก็พระเจ้าพระสงฆ์ มองไปใต้ฝ่าเท้า โน้น, ก็เรื่องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา สมัยก่อนเขาเรียกว่า ทาส คนใช้ กรรมกร เดี๋ยวนี้ไม่มีทาส ก็เอาไอ้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา นี่เป็นเรื่องจำง่ายมาก ถ้าสนใจสักหน่อย เดี๋ยวนี้มันเตลิด เปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ ข้างหน้านั้นพ่อแม่ให้นึกถึงก่อน เพราะมันได้ชีวิตมาจากพ่อแม่ แล้วก็ต้องทำหน้าที่ต่อ พ่อแม่ให้ถูกต้อง ให้มันมีความเป็นพ่อแม่ เออ, มีความเป็นบุตร เมื่อเห็นว่าบุตรได้มาจาก อ่า, ได้ชีวิตมาจาก พ่อแม่ มันต้องเสียสละชีวิต เป็นที่สุดนี่ให้แก่พ่อแม่ได้
เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมบ้าบอของโลกสมัยปัจจุบัน ไม่มีพ่อแม่ ไม่เคารพพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลยไม่ทำหน้าที่ พ่อแม่ ไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัว ความสนุกสนานส่วนตัว ปล่อยให้ลูกมันเป็นไปเองนี่ ก็เรียกว่า แทนที่จะเป็นลูก ของพระเจ้า หรือของพระธรรม นี่มันกลายเป็นอะไรไปไม่รู้ ปัญหามันก็เกิดขึ้นเต็มโลก ที่ว่าเด็กรุ่นหลังไม่รู้ว่า ชีวิต เป็นอะไรกันไปหมดไม่รู้ ที่นี้เธอก็เห็นอยู่อย่างฮิปปี้ ฮิปป้า ฮิปอะไรก็ตามใจ มันมีมูลมาจากการตั้งต้น ที่ไม่ถูกต้อง มาตั้งแต่พ่อแม่ การดูแล การอะไรไม่ถูกต้อง ฉะนั้นต้องยึดพ่อแม่เป็นเบื้องหน้า เป็นสรณะอยู่กับ ทิศเบื้องหน้า
นี่เบื้องหลังเรื่องลูกเมีย นี้มันก็อย่างเดียวกันแหละ เพราะว่าไอ้ไอ้คนที่ว่าเป็นพ่อ นั้นมันก็เคยเป็นลูก คนที่เป็นลูกมันก็ต้องเป็นพ่อ มันก็เรียนได้พร้อมกันไปในตัว รวมความว่า ที่เป็นลูกนั้นต้องเป็นลูก ชนิดที่ไม่ ไม่จับพ่อแม่โยนลงไปในนรก เหมือนคนเดี๋ยวนี้ คือ ทำให้พ่อแม่ร้อนใจแล้วก็จับพ่อแม่ใส่ลงไปในนรก พอทน ไม่ไหวก็เลิกกัน ต้องให้ศาลสั่งว่า หมดความเป็นผู้ผูกพัน เป็นลูกเป็นพ่อแม่กันก็มี มันเตลิดไปถึงอย่างนั้น ที่นี้ทิศเบื้องหน้าบิดามารดา ทิศเบื้องหลังบุตรภรรยา
ที่นี้ทิศเบื้องซ้าย ก็คือ เพื่อน เพราะว่าเราอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเพื่อน ในความหมายหลาย ๆ อย่าง ที่นี่ก็ต้อง ดูให้มันถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อน ถ้าเราได้เพื่อนนะ มันต้องหมายความว่า ถูกต้อง ในความหมายของเพื่อน คือ เพื่อนดี ถ้าพาไปทำชั่วแล้วไม่ใช่เพื่อนแล้ว อย่าไปเรียกว่า เพื่อน เรียกว่า เป็นพูดไม่จริงแล้ว เอาคำนี้ไปใช้ ผิด ๆ มันไม่ใช่เพื่อน ถ้าเพื่อนมันต้องช่วยให้ดี ถ้าช่วยให้ไม่ดีมันก็เป็นเพื่อนเลว เขาถึงว่าไม่ใช่เพื่อน มันก็รบ คบกันแต่เพื่อนที่ดี ก็เป็นเพื่อนได้จริงเหมือนกัน สหาย เขาแปลว่า ไปร่วมกัน ทำด้วยกัน ให้สำเร็จประโยชน์ มิตร นี่เขาว่าเป็นผู้รักใคร่ เมตตากรุณา นี่คำว่า สาขา (นาทีที่ 49:30) แปลว่า เพื่อน คือ ผู้ช่วยเป็นแขนง สำหรับ คอยกั้นค้ำจุ้นไว้ ให้รู้เอาเอง ว่าเราต้องมีเพื่อนที่ดี
นี่ข้างขวานี่ครูบาอาจารย์ ผู้ที่จะแนะนำสั่งสอน ก็ต้องเคารพเป็นพิเศษ เชื่อฟังเป็นพิเศษ เป็นศิษย์ที่ดี ของครูบาอาจารย์ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีไป มันก็ต้องมีความเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันเรื่อยไป จนกว่าจะสำเร็จ ประโยชน์ ในเรื่องความเป็นมนุษย์ ต่อไปก็จะเป็นอาจารย์คนอื่นได้ นี่ข้างบนเรื่องพระเจ้าพระสงฆ์ ก็คือ เรื่องศาสนา คือ เรื่องหลักธรรมะชั้นสูงทางจิตทางวิญญาณ อยู่ที่พระเจ้าพระสงฆ์ เขาใช้คำว่า สมณะพราหมณ์ สมัยนี้ก็เรียกว่า พระเจ้าพระสงฆ์ คือ เรื่องศาสนาก็ต้องเคารพ ติดต่อพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นพระเจ้า พระสงฆ์ถูกต้อง แล้วก็เอาใจใส่มีความเคารพหนักแน่น คือ ปฎิบัติศาสนามากกว่า
ที่นี้ข้างล่างลงไป ก็คือ คนอยู่ใต้บังคับบัญชา เดี๋ยวนี้เราอาจจะยังไม่มี แต่ว่าต่อไปมันคงจะมีบ้าง เพราะว่าคนเรามันไม่เท่ากัน มันต้องใช้สติปัญญาของคนอื่น ควบคุมคนอื่น หรือว่าคนที่จะทำอะไรให้ ได้ผลใหญ่โต มันก็ต้องมีคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นลูกจ้าง เป็นกรรมกร เป็นอะไรไป ก็คิดไปไปถึงอย่างนี้ ถ้าประพฤติต่อกันผิด ไอ้ลูกจ้างกรรมกร มันก็จะกลายเป็น อันตรายขึ้นมาได้ ไม่สำเร็จประโยชน์หรอก คนที่อยู่เป็นหัวหน้า มันก็มีคนใต้บังคับบัญชา ถ้าคนใต้บังคับบัญชาสไตรค์กันเท่านั้นแหละ มันก็ล่มละลายแน่ หรือต้องเลิก ก็ต้องประพฤติปฎิบัติ ให้ถูกต้องต่อบุคคลเหล่านี้ด้วย มันจึงมีว่าข้างใต้ก็ยังต้องดูให้ดี ๆ ข้างบนก็ ดูให้ดี ๆ ข้างหน้าข้างหลังข้างซ้ายข้างขวาดูให้ดี ๆ เขาเรียกว่าเป็นฆราวาสที่ดี มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าไว้ ในตอนนี้อย่างไพเราะเพราะพริ้งที่สุด ในสิงคาโลวาทสูตร
ที่นี้ก็จะพูดกันสักนิดถึงเรื่องที่ว่า ลักษณะที่เรียกว่าสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จ ถ้าเป็นฆราวาส ประสบความสำเร็จ เขาวางมาตรฐานไว้ว่ามันมี ทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มันก็มีความรัก ไมตรี ของคนรอบด้านนะ พอตัว คำว่า พอตัว นี่หมายความว่า ไม่มากไม่น้อย คือ ไม่เกินไป มีทรัพย์สมบัติ ตามที่ควรจะมี เพราะทรัพย์สมบัติ มันเป็นเครื่องบันดาล ให้สำเร็จในการเป็นอยู่ หรือการทำงาน การอะไร ต่าง ๆ ก็ต้องมีพอดี พอตัว ไม่จำกัดจำนวนกี่บาท กี่สตางค์ แต่ว่าต้องพอแก่ความเป็นอยู่ ของบุคคลนั้น ๆ ให้มีทรัพย์ สมบัติพอตัว คนมันไม่มีทรัพย์สมบัติพอตัว ยังจนอยู่ยังมีปัญหาอยู่นี้ มันก็ติดอยู่ที่นั้น เราจึงต้องเล่าต้องเรียน ให้ดีเพื่อว่าจะได้มีทรัพย์สมบัติพอตัว อย่าเหลวไหลในการเล่าเรียน
ที่นี้พอมีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว ควรที่จะมีได้เท่าไหรมันก็ควรจะมี เพราะว่าคนที่มีทรัพย์สมบัติมาก แล้วไม่มีใครนับถือก็มี คือ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครนับถือ กลับมีคนเกลียดเสียก็มี ไม่นับถือก็ยังเกลียดก็มี ที่มีทรัพย์แล้ว มีชื่อเสียงแล้ว เขาไม่รักก็มี คนรอบด้านไม่รัก เขาไม่ไว้ใจ เขาไม่รัก มันจะดีวิเศษอย่างไร มันก็ กูก็ไม่รักมันมีอย่างนี้ ไม่นับถือ ไม่ไว้ใจ เพราะเราต้องทำให้มันมีคนรัก นับถือ ไว้ใจพอตัว พอสมควร นั้นแหละ ความเต็มเปี่ยม ของความเป็นฆราวาสอยู่ที่นั้น ใครทำได้ก็ไม่เสียทีที่เกิดมา ได้เป็นฆราวาสที่ดี มันรวมหมดอยู่ ในหลักอื่น ๆ ที่ว่าแสวงหามาได้ แล้วก็ทำให้ตัวเองหรือคนข้างเคียงมีความสุข แล้วก็สงเคราะห์ผู้อื่น ให้มีความสุข กระทั้งทำบุญ ทำกุศล เพื่อบำรุงศาสนาไว้ สำหรับทำโลกนี้ให้มีความสุข นี่ฆราวาสเป็นอย่างนี้
นี่ก็เรียกว่าโดยหลักใหญ่ ๆ มันก็มีเท่านี้ ที่เราจะพูดกันได้ในเวลาจำกัด ก็ถือโอกาส พูดไม่ใช่พูดตาม ธรรมเนียมอย่างเดียว แต่ว่าพูดด้วยความหวัง ว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่เธอ ผู้ที่จะต้องตั้งต้นหนึ่งใหม่ ๆ ในทางบวก ที่อื่นเขาไม่มี ผู้ที่จะทำความเจริญตั้งต้นไปใหม่ หรือว่าผู้ที่ไปได้ตั้งครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้ว มันก็ยังต้อง ใช้วิธีการอันนี้ หลักเกณฑ์อันนี้อย่างเดียวกันอีก จนกว่าจะถึงที่สุดจึงจะเลิกใช้ หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้ ก็ไปใช้ในวิธีช่วยผู้อื่นต่อไป
เอาละเป็นอันว่า ให้มี ฆราวาสธรรม เพื่อให้ปฎิบัติถูกต้อง ในทิศทั้ง ๖ แล้วก็จะได้ประสบผลสำเร็จ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง ด้วยไมตรี มีคนรักรอบด้าน เขาเรียกว่า มันชนะโลกนี้ คือ ตายสบาย ฆราวาสที่ได้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาทำผิด ๆ ถูก ๆ กลับไปกลับมา ไปคิดว่าถูก ในสิ่งที่ผิด มันก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด มันก็เป็นเรื่องน่าสงสาร มันไปไม่รอด มันต้องถูกจริง ๆ และถูกไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเธอก็จำไว้ นี่คือ ให้พรที่แท้จริง รดน้ำมนต์สักกี่องค์กี่องค์ มันก็คุ้มครองไม่ได้ วันนี้สึกกัน ชยันโตฯ กัน รดน้ำมนต์กันเป็นการใหญ่ ค่ำลงไปดูหนังถูกตีหัวกลับมา นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่อง Make Up แล้วก็ในเมืองนี้ด้วย
ไม่ใช่พรอย่างนั้น ถ้าเรื่องพรมันก็ต้องเป็นเรื่องธรรมะ ที่รดลงไปในจิตใจ แล้วมันก็คุ้มครองจิตใจ แล้วมันก็เป็นในทางเสื่อมเสียไม่ได้ เอาละเป็นอันว่า เราหวังว่าเธอจะรับเอาไปทั้งศีลและทั้งพร ซึ่งมันจะช่วย ประคับประครองกันไปเอง ไอ้เรื่องศีล เรื่องพรนี่ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศิริ หรือมิ่งขวัญ นะมันมาทีหลัง ต่อเมื่อ ประพฤติถูกต้องในสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะทั้งหมดนี่มันขึ้นอยู่กับปัญญา ความรู้จริง รู้ถูกต้องจริง ไม่ใช่ความรู้ เฟ้อ แธนั้นขอให้เธอมีศีลมีพร ในลักษณะอย่างนี้ ไอ้เรื่องที่จะพูดกันสำหรับผู้ลาสิกขา มันก็หมดเท่านี้
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องแนะนำเบ็ดเตล็ด ว่าอุตส่าห์รักษาไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่ทำมาได้แล้วนี่ให้สมกับที่บวช แล้ว อย่าให้เขาตำหนิติเตียนได้ ว่าอาราธนาศีลก็ต้องให้ถูก อย่าลืมเสียอย่าทิ้งเสีย อะไรต่าง ๆ ที่เราเคยทำได้เมื่อ ก่อนหน้านี้ก็ต้องเอาไว้ แม้แต่ทำวัตรนี่ก็ว่าเล่น ๆ ก็ยังได้ จะได้เตือนตัวให้นึกถึง ไอ้ความเคารพ ความอดโทษ ซึ่งกันและกัน แจกปันความดีซึ่งกันและกัน ถึงเวลาหนึ่งมันต้องใช้ มันต้องใช้อยู่เรื่อย ๆ ไป ขยันติดต่อกับวัด กับวา กับศาสนาบ้าง อย่าออกไปแล้วมันก็ลืมวัด ไอ้ที่มันจะตักเตือนใจได้ดีที่สุด ก็เครื่องบริขารในการบวชนี่ ควรจะเก็บไปไว้ เตือนใจตัวเองก็จะดี มันจริงกว่าศักดิ์สิทธ์ิกว่าไอ้รูปถ่ายรูปภาพอะไรทำนองนั้น
นี่เป็นข้อเบ็ดเตล็ดที่ว่าจะสรุปความไว้ ว่าอย่าให้มันเสียทีที่ได้บวชแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่พูด นี้แล้ว มันก็มีความเจริญ มีความก้าวหน้า และเราก็เป็นคนจริง ถือหลักนี้จริง ไม่ทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเป็นอันว่าใช้ได้ เพราะทุกอย่างมันรวมอยู่ในคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ได้และก ็เป็นอันว่ารอดตัวแน่ และทั้ง ๓ อย่างนั้น มันรวมอยู่ในคำว่า พระธรรมเพียง คำเดียว พระพุทธ พระสงฆ์ มันรวมอยู่ในพระธรรมเพียงคำเดียว ถ้าเอาธรรมะ พระธรรมไว้ได้มันก็รอดตัว แต่เราอยากจะให้มันมั่นคง ออกมาเป็น ๓ องค์เป็นไม้ ๓ ขาที่มั่นคง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นขอให้เธอมีความ มั่นคงโดยความเชื่อ โดยการปฎิบัติ อะไรก็ตามใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าในทางของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ทุกทิพา ราตรีกาลเทอญ