แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เข้ามาอีกนิด นั่งราบ นั่งฟังให้ตัวตรงๆ นั่งฟัง มันเกี่ยวกับการที่ต้องทำในใจให้ถูกต้อง ในเวลานี้นั้นขอให้ตั้งใจฟังให้ดี การลาสิกขาบทไม่ต้องทำเป็นกิจสงฆ์ เป็นเรื่องส่วนบุคคลคือ ไม่ต้องเกี่ยวกับสงฆ์ นั้นเราจึงไม่ต้องทำเป็นกิจสงฆ์หรือทำสังฆกรรมในโบสถ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องทำให้ถูกวิธี ตามความหมายของการลาสิกขาบท ในลักษณะอย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจถูกต้อง ว่าเรามิได้บอกคืนสิ่งใดๆนอกจากสิกขาอย่างภิกษุอย่างเดียว ไม่ได้บอกคืนศาสนา ไม่ได้บอกคืนธรรมะ หลักปฏิบัติ ไม่ได้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้มีใจที่แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอนอย่างนี้ อย่าละเมอเพ้อเพ้อไปว่าลาสิกขา ลาสิกขา ว่าๆทำๆไป ให้รู้ใจความสำคัญว่าเดี๋ยวนี้มันจะเปลี่ยนสิกขามากกว่า จะเปลี่ยนสิกขาอย่างหนึ่งไปสู่สิกขาอีกอย่างหนึ่ง ที่เขาใช้คำว่าลาสิกขาก็หมายความว่าได้ลาสิกขาที่ต้องการจะเปลี่ยนคือสิกขาอย่างภิกษุนี่ลา นอกนั้นไม่ได้ลา ก็เปลี่ยนสิกขาไปอย่างคฤหัสถ์ ฆราวาส ก็แปลว่าส่วนใหญ่ทั้งหมดนั้นไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้แตะต้อง แตะต้องส่วนน้อยส่วนหนึ่ง คือสิกขาสำหรับการปฏิบัติ มีชีวิตเป็นอยู่นั้นเปลี่ยนจากอย่างภิกษุไปเป็นอย่างอุบาสก เราก็ทำในใจให้ถูกต้องอย่างนั้น อย่าให้มันเคว้งๆคว้างๆ อย่าให้มันทำละเมอเพ้อๆไป เหมือนที่ทำกันโดยมาก และทีนี้เมื่อเราจะกล่าวคืนสิกขานั้นมันต้องทำในใจด้วย ไม่ได้เพียงแต่ท่าทางหรือวาจา แล้วสำคัญนั้นมันอยู่ที่ใจ เมื่อจิตใจมันมีความแน่นอนว่าจะลาสิกขาแล้วก็ไม่มีปัญหา สำหรับเราคงจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเรามันกำหนดไว้แต่ทีแรกแล้วเพราะเดี๋ยวนี้มันเป็นที่แน่นอนในจิตใจ นี้ก็เหลือเรื่องวาจาเปล่งออกมาอันนี้มันก็ไม่ลำบาก กิริยาท่าทางการนุ่งห่มนี้ก็เปลี่ยนไปจึงเป็นการลาสิกขาของภิกษุครบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ ส่วนนอกนั้นไม่ได้เปลี่ยนเลย ขอให้รู้อย่างนี้ มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีความรู้สึกที่ถูกต้องแล้วมันก็ใช้ไม่ได้ เมื่อบวชก็มีสติบวช เมื่อลาสิกขาก็มีสติสัมปชัญะลาสิกขาให้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราก็มีสติสัมปชัญญะไม่ได้ฟุ้งซ่าน ไม่ได้งกๆเงิ่นๆ ไม่ได้มีจิตใจเลื่อนลอย ต้องการอย่างนั้น คุณก็มีสติสัมปชัญญะดีอยู่
ทีนี้เมื่อลาสิกขาเราก็มีการทำในใจที่มีสติสัมปชัญญะ และก็ว่าคำกล่าวคืนสิกขาสักสามหนเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่เรียบร้อย จิตใจไม่เรียบร้อยก็จะว่าหลายเกินกว่าสามหนก็ได้ พอเป็นที่พอใจว่าสามหนหรือสี่หน เป็นที่พอใจก็ต้องแสดงอาการด้วยการกราบ เป็นอันรู้ว่าเธอได้ทำในใจถูกต้องครบถ้วน นี้ก็เป็นธรรมเนียมที่เขามีไว้ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เหมือนที่เคยพูดกันมาหลายๆหน จะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อจะทำอะไรก็จึงตั้งนะโมก่อน แล้วก็ไม่ใช่ตั้งนะโมแต่ปาก ต้องตั้งนะโมด้วยจิตใจคือเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนจะทำอะไรก็ตาม แม้สุดแต่การลาสิกขาก็เป็นอย่างนี้ เราก็จะนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ตั้งนะโมก่อนกล่าวคืนสิกขาให้เรียบร้อย ลุกขึ้นคุกเข่าเข้ามา เข้ามาใกล้ๆ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สามจบ)
สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ (สามจบ)
บัดนี้เธอได้บอกคืนสิกขาอย่างภิกษุโดยถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความสมควรหรือไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะอีกต่อไป ขอให้ไปเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ ไปที่ห้อง เชิญ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ. ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้, ผู้ตื่น, ผู้เบิกบาน สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ธัมมังนะมัสสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว สังฆัง นะมามิ ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
|
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สามจบ)
อะหัง ภันเต ติสะระเณนะสะหะ อัฎฐะสีลานิ ยาจามิ (สามจบ)
(เสียงพระสงฆ์สวด)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (สามจบ)
(ผู้ลาสิกขากล่าวตาม)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (สามจบ)
(พระสงฆ์สวดนำและผู้ลาสิกขาตามเป็นข้อๆไปX
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
(พระสงฆ์กล่าวนำ) ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
(ผู้ลาสิกขากล่าวรับ) อามะ ภันเต
ภิกษุกล่าวแล้วผู้ลาสิกขากล่าวตามเป็นข้อๆไป
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะพรัมมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย
ทีนี้ก็มาถึงเวลาที่จะต้องตั้งใจฟังให้ดีอีกสักครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเรื่องของการให้โอวาทให้ศีล ให้พร ให้ศีลให้พรก็คือโอวาท ให้ศีลให้พรภายนอกนั้นมันก็เป็นพิธีรีตอง ก็ทำกันมากแล้ว ไว้ให้คนอื่นเขาทำบ้าง เราอย่าถือว่าไอ้ศีลไอ้พรนั้นมันอยู่ที่การประพฤติตามโอวาท เพราะฉะนั้นจึงต้องให้โอวาท แล้วจึงต้องไปประพฤติให้ถูกต้องตามโอวาท จึงจะเป็นศีลเป็นพรอันที่แท้จริง เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจฟังให้ดี เรื่องจะมารดน้ำมนต์ จะมาชะยันโตอะไรกันอีกในที่นี้นั้น มันดูจะเป็นเรื่องละเมอเพ้อฝันเสียมากกว่า ถ้าไม่รู้เรื่องโอวาทแล้วไม่ประพฤติตามโอวาท บางทีก็เป็นเรื่องน่าหัวเราะ ก็เป็นเรื่องที่มันขี้ขลาดเกินไป เอาคำไว้สรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้ชนะมารนั้น มาสวดให้แก่คนที่พ่ายแพ้จนต้องลาสิกขาอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องกลับตาลปัตรกันอยู่ มันจึงน่าหัวเราะเพราะมันงมงายเพราะมันขี้ขลาดจนทำอะไรไม่ถูก หรือว่าจะรดน้ำมนต์กันกี่โอ่งกี่ไหมันก็ดีไปไม่ได้ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็ทำกันจนเหลือเฟือแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจงตั้งใจรับศีลรับพรในลักษณะที่เป็นเรื่องจริงกันบ้าง
ที่ว่าศีลหรือพรนั้น ถ้าให้กันตามแบบของพระพุทธเจ้า ถ้าเท่าที่จะนึกเห็นมันก็ต้องประพฤติธรรมะของพระพุทธเจ้า เรื่องให้ศีลให้พรในแบบพิธีรีตองนั้นไม่เคยพบไม่เคยเห็นว่าพระพุทธเจ้าได้เคยกระทำ เว้นแต่บางคนมันตู่ว่าพระพุทธเจ้าเคยกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเคยให้ศีลให้พรแต่เรื่องให้แสงสว่างในทางจิตใจ คือให้โอวาทให้บุคคลนั้นเดินถูกทาง มันก็เป็นศีลเป็นพรที่แท้จริงและก็ยืดยาวตลอดกาลนาน
ในพิธีสึกอย่างสมัยพุทธกาลนั้นมันไม่มีเพราะเขาก็ไม่สึกกัน ถ้าสึกก็มันแหกคอก มันก็ไม่มีใครไปตามให้ศีลให้พรได้ เดี๋ยวนี้เรามีการบวชหรือการสึกชั่วสมัย ด้วยหวังประโยชน์ว่าคนหนุ่มเหล่านั้นจะปลอดภัย เพราะว่าจะมีแสงสว่าง ในระหว่างที่มันเป็นหนุ่มแน่นขึ้นมานั้น เขาใช้คำพูดว่ามันมักจะกลัดมันคือมันบ้า มันมีโอกาสติดตารางได้ง่าย เดี๋ยวไปทำอะไรที่เดือดร้อนตัวเองได้ง่าย ท่านจึงเก็บมาบวชเสีย ตั้งแต่เป็นเณร จนกระทั่งเป็นพระสองสามพรรษา ระยะกลัดมันของเขามันก็ปลอดภัย ไม่มีทางที่จะกลัดมันชนิดที่เป็นอันตราย เพราะว่ามีธรรมะวินัยที่ศึกษาปฏิบัติอยู่นี่มันคุ้มครอง ไม่เหมือนกับคนหนุ่มสมัยนี้มีโอกาสกลัดมันอาละวาดเป็นบ้าเป็นภูตผีปีศาจ แม้ในมหาวิทยาลัยที่เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุด นี่เพราะมันละทิ้งในธรรมเนียมที่ดี ที่บรรพบุรุษตั้งไว้ และในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีหลักการที่จะช่วยคุ้มครองจิตวิญญาณในข้อนี้ ฉะนั้นเด็กๆหนุ่มสาวจึงกลัดมัน จึงทำอะไรไปตามก้นพวกฝรั่งที่กลัดมัน เพราะฉะนั้นการที่เราได้บวชแม้ในระยะอันสั้นนี้ก็ขอให้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน แม้จะบวชในระยะอันสั้นก็ขอให้พยายามกระทำให้เหมือนกับได้บวชในระยะอันยาว คือศึกษาอยู่เรื่อยและก็ไม่ประมาทอยู่เรื่อย ศึกษานี้มันยังไม่แน่ว่าจะประมาทหรือไม่ประมาท เมื่อศึกษาแล้วก็ต้องไม่ประมาท ต้องพยายามปฏิบัติ แล้วก็จะคุ้มครองไปได้จนพ้นระยะของคนหนุ่มที่ผลุนผลัน ที่กลัดมันผลุนผลัน ถ้าเธอไม่ได้บวชก็คงไม่รู้รสของธรรมะ ของศาสนา ที่จะเป็นเครื่องช่วยคุ้มครองพิษหรือโทษอันตรายที่จะเกิดจากความเป็นหนุ่ม ที่มันผลุนผลัน เท่าที่เราสังเกตเห็น ฉันสังเกตเห็นว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่ว่าความฉลาดของเธอไม่แน่นอนว่าจะคุ้มตัวเองได้ เว้นไว้เสียแต่ว่าเธอจะเป็นคนไม่ประมาทอีกทีหนึ่ง คนฉลาดนี่ถ้าลงประมาทมันก็ประมาทไปมากเหมือนกัน คือมันฉลาดจะทำอะไรลึกซึ้งกว่าคนโง่ เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าความฉลาดมันจะพ้นอันตราย มันทำอันตรายได้มากกว่าคนโง่ ฉะนั้นยิ่งฉลาดเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งไม่ประมาทเท่านั้นมันจึงจะคุ้มครองความฉลาดให้เดินถูกทางได้ ไอ้เรื่องไม่ประมาทนี่ มันลำบากมันเป็นสิ่งทำยาก ยากกว่าการศึกษาเล่าเรียน ยิ่งศึกษาเล่าเรียนยิ่งประมาทหนักขึ้นไปอีกก็มีอยู่ทั่วๆไป อย่างในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยนี่ก็จะเห็นได้ว่ายิ่งเรียนมากยิ่งประมาทยิ่งเพ้อเจ้อ เพราะมันไม่แน่ว่าการเรียนมากแล้วมันจะช่วยป้องกันความประมาท ซึ่งเรามาศึกษาการไม่ประมาทกันโดยตรงในระหว่างที่บวชที่เรียนนี่ดีกว่า แล้วมันก็จะปลอดภัยไปหมด การศึกษาและความฉลาดก็จะไม่กลายเป็นภัย เป็นอันตราย ดังนั้นเมื่อเธอฉลาดอยู่โดยธรรมชาติแล้ว ก็สนใจในเรื่องความไม่ประมาทนี้ให้มาก เธอยังทำอะไรผลุนผลันอยู่ ไม่มีแผนการที่เรียบร้อยแน่นอนแล้วจึงทำลงไป แล้วก็ชีวิตนี้เป็นความคิดประจำวันเสียเรื่อย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ก็ต้องรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรเป็นลำดับไปจนตลอดชีวิต แล้วถ้าเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างนี้ มันต้องทำไปในลักษณะที่ให้เรียบร้อยและแสดงความเคารพแก่เขา เช่นว่าเราจะไปไหนมันจะต้องบอกกันให้รู้ล่วงหน้าเป็นเวลานานพอสมควร ไม่ใช่บอกถึงแล้วก็จะไปทันทีนั้นสิ่งต่างๆมันยุ่งยาก แม้แต่ธรรมเนียมจะลาสึกเดี๋ยวนี้ เขาก็ยังบอกอุปัชฌาย์อาจารย์ล่วงหน้าให้รู้กันตั้งสองวันสามวันหรือหลายวัน ไม่ใช่บอกเดี๋ยวนี้จะสึกเดี๋ยวนี้ นั้นมันเป็นเรื่องคนประมาท นั้นเราต้องเลิก รวมความว่าต้องไม่มีอะไรผลุนผลัน นี่เป็นตัวอย่างความผลุนผลัน ความผลุนผลันเอาความฉลาดไปใช้อย่างผลุนผลันก็ฉลาดผิดๆได้
ข้อแรกก็จะเตือนเธอด้วยเรื่องว่า ยังขาดความใคร่ครวญที่ละเอียดลออ ที่ไม่ประมาท ถ้าแก้ไขข้อนี้ได้ความเป็นไปในชีวิตก็จะประเสริฐ ทีนี้นอกจากนั้นก็ได้เรียนหนังสือหนังหา ได้อ่าน ได้เรียนนักธรรมอะไรก็มีอยู่มากแล้ว ทุกข้อนั้นต้องเอาไปผนวกกันเข้าด้วยคือให้มันไปควบคุมความฉลาดของเรา หรือว่าให้ความฉลาดของเรามันเนื่องกันอยู่กับธรรมะเหล่านั้น ซึ่งเรียกว่าความไม่ประมาท มิฉะนั้นก็จะฉลาดสำหรับทำความเสื่อมเสียทำตัวเองให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน แล้วก็เป็นมุทะลุดุดันกันไปในที่สุด ก็วินาศ
ทีนี้เราก็จะพูดเรื่องความเป็นฆราวาส หรือสิกขาของความเป็นฆราวาสต่อไป ให้มันเกี่ยวข้องกัน วันนี้ลาสิกขา หลังจากการบวชมาพอสมควรแล้ว สำหรับคนหนุ่มอย่างนี้ ขอให้ถือว่าเป็นการตั้งต้นใหม่คือลบแล้วตั้งศูนย์กันใหม่ ตอนนี้ขอให้เป็นบวกล้วน หนึ่งสองสามสี่ห้าไปเรื่อย ให้มันเป็นบวกล้วน อย่าให้มันมีลบ ที่แล้วมามันมีทั้งลบทั้งบวกสลับกันไป หักแล้วมันเป็นลบเสียโดยมาก แม้แต่ความคิดอย่างเดียว มันก็เป็นลบเสียโดยมาก การกระทำก็ยังเป็นลบมาก ก็เป็นอันว่าให้อภัยที่แล้วมาแต่หลังจนกระทั่งวันนี้ให้อภัย ฉันเป็นผู้ให้อภัยแทนในนามบิดามารดา นายจ้างหรือเพื่อนฝูงมิตรสหายอะไรทุกอย่าง ว่าที่แล้วมาแต่หลังนั้นเป็นการให้อภัย ลบเป็นศูนย์ ทีนี้ให้ระวังเอาเองให้เป็นบวกเรื่อย อย่ามีลบ ถ้าลบก็ต้องนิดๆหน่อยๆ ซึ่งไม่มีความหมายอะไร ให้มีแต่บวก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นโอกาสที่เธอจะแก้ตัว รู้จักทำการแก้ตัวในความผิดพลาดหรืออะไรก็ตามเท่าที่มันจะมีมาแล้วในหนหลัง เรามีโอกาสลบเป็นศูนย์แล้วตั้งต้นเป็นหนึ่งสองสามเป็นบวกกันใหม่ ขอให้เป็นผู้ไม่ประมาท ระมัดระวังสำรวมให้สมกับที่ได้บวชแล้ว มันก็จะมีแต่บวกมากกว่าลบเรื่อยไป นั่นจุดตั้งต้นใหม่อยู่ที่ตรงนี้ จุดที่จะทำการแก้ตัวล้างบาปหรืออะไรมันอยู่ที่ตรงนี้หลังจากสึกไปแล้วนี้ อย่าให้เสียทีที่ได้บวช มันก็จะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของการได้บวช แล้วก็จะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของพระศาสนาเพราะว่าช่วยอะไรคนไม่ได้ แล้วก็จะทำลายกระทบกระทั่งไปถึงพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ที่จริงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์หรือพระศาสนานั้นจะเป็นของถูกต้องบริสุทธิ์อยู่เสมอไม่มีใครทำลายได้ แต่ถ้าเราไปทำอย่างนี้มันทำให้คนโง่ๆไม่เชื่อเครดิตของศาสนา ของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มันก็จะยิ่งดูถูกศาสนา ดูถูกพระรัตนตรัยนั้น มันเป็นการเสื่อมเสียแก่มนุษย์เป็นส่วนรวม เพราะพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั้นมันศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่ใครจะมาทำอันตรายอะไรได้ แต่แล้วมันทำลายไอ้ความที่จะมีศาสนาอยู่ในโลกนี้เสียหมด เมื่อคนไม่เชื่อเครดิตของศาสนา ก็ไม่สนใจในศาสนา ศาสนาก็ไม่มีอยู่ในโลก โลกก็ไม่มีอะไรคุ้มครอง มันก็ฉิบหายกันหมด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่รู้ใครมันทำลายเครดิตของศาสนากันมาตั้งแต่ครั้งไหนเรื่อยๆมา ศาสนาก็หมดความเป็นของประเสริฐ ก็มีศาสนากันแต่ปาก พวกฝรั่งเดี๋ยวนี้เขาภูมิใจว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา ดูดูความภูมิใจของเขา ส่วนเราคนไทยยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เรายังอยากจะเอาตัวรอด จากมาร จากซาตาน จากกิเลส ดังนั้นเรายังต้องหวังพึ่งศาสนา เธออย่าได้ทำความกระทบกระเทือนให้แก่ศาสนา เธอจะต้องเป็นผู้มั่นคงในศาสนา ยิ่งกว่าที่เคยบวช ยิ่งกว่าที่ก่อนบวช ที่เมื่อไม่เคยบวช นั้นก็ให้อภัยไปแล้ว ทีนี้จะต้องเคร่งครัดในพระธรรมคือศาสนา ยอมลำบากคือยอมตายโดยไม่ทำลายศาสนา โดยไม่ทำให้ศาสนาเสียไป คนมันเห็นแก่ความสนุกสนานยิ่งกว่าเห็นแก่ธรรมะ เพราะฉะนั้นมันจึงไปเที่ยวสำมะเลเทเมาตามประสาคนหนุ่มคนแก่อะไรก็ตาม มันเห็นแก่ความสุขทางเนื้อหนังยิ่งกว่าเห็นแก่ธรรมะ มันก็ทำลายเหยียบย่ำศาสนา ในที่สุดมันทำอะไรมากไปกว่านั้นเพื่อประโยชน์แก่ตัวอย่างเดียว จนเป็นคนไม่มีศาสนากันมากขึ้นในบ้านในเมืองในโลกและโลกนี้มันก็ฉิบหาย บ้านเมืองไหนก็ไม่มีความสงบสุขได้ ถ้าคนส่วนมากมันไม่มีศาสนา และมันกำลังช่วยกันย่ำยีศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว เห็นแก่ปากแก่ท้องยิ่งกว่าเห็นแก่ธรรมะนี่ ลองดูสิว่าครอบครัวไหนเป็นอย่างนั้น มันจะได้เห็นดำเห็นแดงกันในไม่กี่เดือนกี่ปี ทีนี้เราก็จะเป็นผู้ไปตั้งต้น ชีวิตแบบฆราวาสซึ่งมีอยู่มาก มีเรื่องมาก มีกิจมาก มีภาระมาก มีอะไรมาก ต้องเตรียมตัวให้ดีๆ ให้เป็นฆราวาสอย่างในพุทธศาสนาซึ่งเขามี ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถึงขนาดที่เป็นอริยสาวก คำว่าอริยสาวกในพระศาสนานี้เป็นอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น และก็หมายถึงฆราวาส มีมากสูตรมากเรื่องที่หมายถึงฆราวาส กระทั่งว่าฆราวาส อริยสาวกในพระศาสนานี้จักมีความรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงยึดมั่นไม่ได้ ว่าสิ่งใดยึดมั่นเข้าแล้วจะหาทุกข์ จะไม่มีความทุกข์นั้นเป็นไม่มี นี่คำพูดชัดๆอย่างนี้ ว่าสิ่งใดไปยึดมั่นเข้าแล้วจะหาทุกข์ไม่ได้นั้นไม่มีในโลกนี้ ฆราวาส อริยสาวกในศาสนานี้ต้องรู้ข้อนี้ ท่านตรัสไว้ชัดๆอย่างนี้ นั้นจึงเป็นฆราวาสแบบฉบับพิเศษจากฆราวาสผู้อื่น เป็นฆราวาสในพุทธศาสนาส่วนใหญ่ก็คือไม่มีความทุกข์และก็มีความเจริญในทางของธรรมะคือเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ขอให้เราเป็นฆราวาส ตามแบบของพุทธศาสนาที่เรียกง่ายๆว่าอุบาสก เป็นเด็กก็ได้ คนหนุ่มก็ได้ คนแก่ก็ได้ ในการเป็นอุบาสกนี้ เมื่อเป็นได้ดีถึงขณะหนึ่งเขาเรียกว่าอริยสาวกด้วยเหมือนกันทั้งที่ไม่ต้องบวช ดังนั้นเธอจึงมีเป้าหมายอันนี้ไว้ ให้สมกับที่ได้บวชแล้ว
ทีนี้เราก็เริ่มต้นความเป็นฆราวาส เพื่อซักซ้อมความเข้าใจกันใหม่ การเป็นฆราวาสนี้ขอให้ถือว่าเป็นเหมือนกับการสอบไล่คน อย่าคิดอะไรให้มากไปกว่านั้น เดี๋ยวมันจะยึดถือจะเป็นบ้าไปเลย ไม่ว่าบ้าเงินบ้าทอง บ้าของ บ้ากาม บ้าเกียรติ บ้าอะไร ฆราวาสเป็นเรื่องการสอบไล่ของผู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและอยู่ในโลกใบนี้ กระทั่งเป็นพระอริยสาวก กระทั่งนิพพานไปเลย ทีนี้ข้อสอบไล่เบื้องต้นของความเป็นฆราวาส เพื่อจะแสดงความสามารถตามแบบของฆราวาสนั้น เขาวางไว้สามประการด้วยกันคือต้องมีทรัพย์สมบัติพอตัว ต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว และก็ต้องมีเพื่อนที่ดีเป็นกัลยาณมิตรนั้นพอตัว รวมเป็นสามอย่าง
คนที่ไม่มีคุณธรรมมันก็หาทรัพย์ไม่ได้ มันก็ไม่มีทรัพย์ที่พอตัว แต่ว่าทรัพย์ในที่นี้หมายถึงทรัพย์ที่ถูกต้องไม่ใช่ขโมยหรืออะไรเขามา ทีนี้มีทรัพย์แล้วมันไม่มีดีอะไรก็มี มันเป็นคนเลว ไม่มีเกียรติที่ถูกต้อง เราต้องมีทรัพย์และต้องมีเกียรติที่ถูกต้องด้วย คนมีทรัพย์มีเกียรติไม่มีใครรักก็มี ไม่มีใครนับถือรักใคร่ อยากเข้าใกล้ก็มี นั้นเราต้องประพฤติในลักษณะที่มีคนรักมีคนนับถือมีคนอยากเข้าใกล้ด้วย นี่เขาเรียกว่ามีกัลยาณมิตรด้วย ฆราวาสต้องมีทรัพย์สมบัติพอตัว ต้องมีความดีนั้นพอตัว ต้องมีเพื่อนที่ดีนั้นพอตัว ใช้คำว่าดีก็แล้วกันคือถูกต้อง มีทรัพย์ที่ดี มีเกียรติที่ดี มีเพื่อนที่ดี นอกนั้นปลอม ทรัพย์ก็ปลอม เกียรติก็ปลอม เพื่อนก็ปลอม อย่าไปแตะต้อง พยายามแสวงหาทรัพย์ด้วยความถูกต้องด้วยความอดกลั้นอดทนให้สุดความสามารถ ถ้าทำอยู่อย่างนี้นานๆมันก็เป็นความดีเองขึ้นมา เป็นเกียรติขึ้นมาอยู่ในตัว เขาเห็นเข้าๆสังคมทั่วไปเห็นเข้ามันก็ยอมรับว่าคนนี้เป็นคนที่ดีและมีเกียรติ ทีนี้การที่จะมีเพื่อนที่ดีต่อไปมันก็มีง่าย ในเมื่อทุกคนเขาเห็นว่าเราเป็นคนดีแล้วเขาก็เข้ามาหาเอง คนดีย่อมจะมาหาคนดี คนเลวย่อมจะไปหาคนเลว อย่างโบราณเขาว่าวัวมันก็ไปเข้าฝูงวัว ควายมันก็ไปเข้าฝูงควาย ไก่มันก็ไปเข้าฝูงไก่ ทีนี้เราพยายามเป็นคนดีให้ปรากฏแล้วคนดีก็จะเข้ามาเป็นเพื่อนของเราเอง
นี้เกี่ยวกับเพื่อนดีนี้มันก็ต้องมีทั้งที่ดีกว่าเรา เสมอกันกับเราหรือเลวกว่าเรา เป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นคนดีก็แล้วกัน ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไม่ควรจะถือว่าดีกว่ากันหรือเสมอกัน หรือเลวกว่ากัน แต่ถือว่าเหมือนกันเสมอกันไปหมด ไม่ต้องแยก ที่ไปแยกนั้นเอาอย่างอื่นเป็นประมาณเอาทรัพย์เอาเกียรติไปเป็นประมาณ แต่ถ้าเอาความดีเป็นประมาณกันแล้ว มันจะเสมอกันหมด ทั้งที่เขายากจนกว่าเราหรือเขามั่งมีกว่าเราก็เรียกว่าคนดีเสมอกันหมด แต่แล้วในโลกนี้มันมีการสมมติ มีการบัญญัติ เราก็เอาไปตามสมมติ บัญญัติเพื่อปฏิบัติให้มันง่ายเข้า เรามีเพื่อนที่ดีที่แท้จริง ที่สูงกว่าเราโดยอายุ โดยเกียรติยศ โดยชาติ โดยตระกูล หรือโดยวาสนา บารมี อะไรก็ตาม เขาสูงกว่าเราก็มี ก็เป็นเพื่อนกันได้ในลักษณะที่เขาสูงกว่าเรา ที่เสมอกันก็เป็นเพื่อนกันได้ง่าย แต่ที่ต่ำกว่าอย่าไปดูถูกเขา ก็เป็นเพื่อนได้เหมือนกัน เขาจนกว่าเราหรือเขามีอะไรต่ำกว่าเรา ด้อยกว่าเราอย่าไปดูถูกเขา เราจะเลวลงไปเองถ้าเราไปดูถูกคนที่อยู่ในสภาพที่มีอะไรด้อยกว่าเรา เราก็จะกลายเป็นคนเลวไป ถ้าดีกว่าเราก็ต้องยกย่องสรรเสริญเขา ถ้าเสมอกันก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าต่ำกว่าเราก็ต้องเมตตากรุณาต่อเขา ก็เหมือนเราก็อยู่เป็นเพื่อนกันได้ในโลกนี้ ทุกๆประเภทของบุคคล คนที่สูงกว่าเราเขาก็จะช่วย ยกเรา ลากเรา ดึงขั้นไปให้สูงได้ เขาอยู่สูงกว่าเราเขาช่วยเราได้อย่างนี้ ถ้าเขาเสมอกันกับเรามันก็แวดล้อมเราไว้ในที่ที่ปลอดภัยได้ ถ้าเขาอยู่ต่ำกว่าเราเขาก็ช่วยดุนช่วยดันขึ้นมาจากทางล่างให้เราสูงขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกคนที่มีอะไรยังต่ำยังด้อยกว่าเรา ถ้าเขาเป็นเพื่อนที่ดีของเราเขาก็ช่วยได้เต็มที่ เหมือนกับคนที่อยู่สูงกว่าเราเหมือนกันแหละ ข้างบนก็ดึงขึ้นไปข้างล่างก็ดันขึ้นไป มันก็สำเร็จประโยชน์ในการที่จะทำความเจริญในชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นขอให้เป็นผู้ที่มีกัลยาณมิตรคือมิตรที่ดีทั้งที่สูงกว่าเราหรือเสมอกันหรือต่ำกว่าเรา ฉะนั้นเอาไปทบทวนดีๆว่าต้องมีทรัพย์ที่ดีพอตัว ต้องมีความดีเกียรติยศชื่อเสียงที่ดี ที่ถูกต้องนั้นพอตัว แล้วก็มีเพื่อนที่ดีพอตัว อย่างนี้เรียกว่าสอบไล่ได้ในความเป็นฆราวาส ทำได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเก่งเท่านั้น ไม่ต้องรอจนแก่เฒ่าจึงจะได้ ในเวลาสมควรก็ขอให้สอบไล่ได้ในเรื่องนี้ ทีนี้ก็เรียกว่ามันสบาย ก็อยู่ในสภาพที่เรียกว่าสอบไล่ได้ เพราะมันคือสบายจะทำอะไรต่อไป เกิดมาเพื่อเดินทางไปนิพพานก็ทำต่อไปถึงขั้นที่จะว่าได้รับความสุขสูงสุดในด้านจิตใจ คือทางวิญญาณไม่มีความทุกข์เลยมีแต่ความสุข ขอให้มองกันได้อย่างนี้ ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อจมอยู่กับเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติที่นี่ แต่เกิดมาเพื่อผ่านสิ่งเหล่านั้นไปหานิพพาน เมื่อมีความตั้งใจอย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอริยสาวกในพระพุทธศาสนา แล้วจะเป็นอริยสาวกถึงขนาดหรือไม่ยังไม่เป็นปัญหา แต่ว่าต้องตั้งใจที่จะเป็นอย่างนั้น แล้วเมื่อทำตัวอยู่อย่างนั้นจะเป็นอริยสาวกในพระศาสนานี้ขึ้นมาทันที แม้ในชั้นเตรียม ในชั้นตระเตรียม คือจะคิดว่าเราจะเกิดมาเพื่อสอบไล่ผ่านไปเรื่อยๆจนถึงนิพพาน ให้เป็นฆราวาสที่ดีก่อน มีทรัพย์ มีเกียรติ มีเพื่อนที่ดีเสร็จแล้วก็ใช้เวลาที่เหลือนั้นไปนิพพานคือจุดสูงสุดที่มนุษย์จะไปได้ แต่ต้องไม่ใช่ต่อตายแล้ว เรื่องต่อตายแล้วเป็นเรื่องของคนงมงาย พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่พูด ท่านไม่พูดถึงเรื่องต่อตายแล้ว ท่านจะต้องพูดถึงที่นี่และเดี๋ยวนี้เท่านั้น สิ่งใดที่เป็นจุดสูงสุดที่มนุษย์จะพึงได้ต้องได้ทันในชีวิตนี้ก่อนเข้าโลง อย่างเลวที่สุดก็ให้มันเป็นว่า เมื่อเข้าโลงนั้นก็ให้เข้าไปในจิตใจที่เรามุ่งหวังที่จะเป็นนิพพาน จะดับไม่เหลือ ที่นี้ชีวิตมันยังมีอยู่ก็อยู่นิ่งไม่ได้ ก็ทำไป เพื่อให้ได้ทรัพย์ที่ดี เกียรติยศที่ดี เพื่อนที่ดีเรื่อยไป เขาก็มีหลักว่าเมื่อเรื่องของตัวเสร็จแล้วมันยังต้องช่วยผู้อื่น หรือจะช่วยพร้อมๆกันไปก็ได้ในสิ่งที่เราพอจะช่วยได้ แต่เป้าหมายอันใหญ่นั้น เมื่อเสร็จเรื่องของตัวแล้วมันก็ต้องช่วยเรื่องผู้อื่นด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับรองตรงกันหมดในทุกศาสนาหรือว่าในทุกสาขาของปรัชญา ประเพณี วัฒนธรรมอะไรมันจะมีอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่อช่วยตัวเองเสร็จแล้วก็ต้องช่วยผู้อื่น ไม่ใช่มามัวลุ่มหลงอะไรที่ตัวได้สะสมไว้เรื่อย ลูกขี่วัวมาจับวัวอย่างที่แจกกันไปแล้วเธอก็มีแล้วเอาไปดูเรื่อยๆถ้าเกิดมาโง่จนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วมาพบร่องรอยรอยวัว พบร่องรอยของหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ก็ตามไปจนจับวัวได้ แล้วก็เป่าปี่ขี่วัว ตอนนี้สบายใจที่สุด ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสมบัติ โลกียะนี้ ก็ไม่ทันไรก็เบื่อ แหงนขึ้นเบื้องบนลืมตัวตนเห็นแต่ผู้อื่นอย่างเดียว เที่ยวแจกของส่องตะเกียง มันก็จบที่นั่น ถ้ามีใครมีความคิดนึกอย่างนี้คนนั้นเป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า อย่างน้อยก็ชั้นเตรียม อริยสาวกแต่ชั้นเตรียม แต่บัดนี้ แต่เดี๋ยวนี้ แล้วมันก็เดินไปถูกทางเรื่อยไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ ก่อนแต่ที่จะเข้าโลงไป เมื่อประโยชน์ตัวสิ้นสุดลงไปแล้วมันก็ทำประโยชน์ผู้อื่นด้วยการแจกของส่องตะเกียง จนเข้าโลงไปด้วยการกระทำอย่างนั้น มันก็ครบบริบูรณ์ในการเกิดมาครั้งหนึ่ง ไอ้ที่ว่าเสร็จเรื่องของตัวนั้นมันเสร็จถึงขนาดที่ว่าไม่ได้ต้องการอะไรต่อไป มันอิ่มอยู่ตลอดเวลา ถ้ายังมีต้องการอะไรอยู่มันหิวอยู่ แต่นี้มันอิ่มอยู่ตลอดเวลา เมื่อเสร็จเรื่องของตัว ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับที่ตรงนั้น แล้วของมันเหลือ วิชาความรู้มันเหลือ สติปัญญามันเหลือแม้แต่วัตถุก็ยังเหลือ เงินก็ยังเหลือ ก็เที่ยวแจกของส่องตะเกียง แจกของนี้หมายความว่าช่วยกันในทางวัตถุอะไรก็ได้ ส่องตะเกียง นั้นคือช่วยกันในทางสติปัญญา คนอายุมากย่อมเห็นโลกมากเพราะฉะนั้นก็มีเรื่องที่จะพูดให้คนที่เห็นโลกน้อยนั้นได้ฟังมากทีเดียว นี่คือข้อที่บิดามารดามีเรื่องที่จะพูดให้ลูกหลานฟังในฐานะที่เกิดก่อน คุณปู่คุณตาก็มีเรื่องที่จะพูดให้ลูกหลานฟังในฐานะที่เกิดก่อนยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก มันก็เป็นแสงสว่างในครอบครัวลูกให้หลานให้เหลนและก็เป็นแสงสว่างแก่คนทั่วไปที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรา พอคนเขานับถือเราทั้งบ้าน เราก็มีทางที่จะนำแสงสว่างแก่คนทั้งบ้าน ถ้าคนเขานับถือเราทั้งประเทศเราก็มีโอกาสที่จะเป็นแสงสว่างแก่คนทั้งประเทศ นี่เราได้มีโอกาสได้แจกของส่องตะเกียงได้กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตจำกัด นี่ก็ตัวเราไม่มี มีแต่ร่างกายจิตใจที่ยังไม่สิ้นชีวิต ยังดำรงอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็เรียกว่าถึงที่สุด จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงถึงได้ เมื่อมีเป้าหมายอย่างนี้ก็เดินไปอย่างนี้ ดำเนินไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆไปนั่นแหละคืออริยสาวกในพระพุทธศาสนานี้ เพราะฉะนั้นเธออย่าเอาไปพร่าเสียด้วยการเห็นแก่กินแก่เล่น แก่เที่ยว ดูหนังดูละคร มันควรจะเป็นเรื่องที่เห็นว่ามันเป็นเรื่องบ้า เรื่องบ้าๆบอๆ ถึงเขาจะบ้ากันทั้งโลกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปบ้ากับเขา นี่คือคนโง่ ว่าถ้าเพื่อนสูบบุหรี่แล้วเราก็ต้องสูบบุหรี่นี่ก็คือคนที่ทั้งโง่ทั้งบ้า เราไม่จำเป็นต้องไปทำเหมือนเขา เขาจะสูบบุหรี่ เขาจะกินเหล้า เขาจะมีเรื่องผู้หญิงเรื่องอะไรก็ตามใจ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามเขา แม้ว่าคนนั้นจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปทำตามเขา เรายึดหลักของธรรมะว่าจะต้องทำในทางที่ถูกต้องเสมอ ฉะนั้นเราก็เป็นฆราวาสไป ตอนนี้ยังหนุ่มอยู่ แสวงหาทรัพย์ที่ถูกต้อง แสวงหาความดี เกียรติยศที่ถูกต้อง แสวงหาเพื่อนที่ดีที่ถูกต้องเรื่อยๆไป ถ้าไม่ประมาทอยู่อย่างนี้ ไม่เท่าไรมันก็จะถึงจุดที่เรียกว่าสำหรับตัวเรานั้นพอ แล้วก็จะได้ช่วยผู้อื่น ถ้าทุกคนในโลกทำอย่างนี้โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริย์ตามความมุ่งหมาย ทีนี้ทุกคนหันไปทางอบายมุขเสียเป็นส่วนมาก โลกนี้ก็เป็นโลกนรก โลกของสัตว์นรก เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้หนักขึ้นๆ เขาเป็นเราไม่เป็นก็แล้วไปเพราะว่าเรานับถือพระพุทธศาสนา จนกระทั่งบิดามารดาผู้เกี่ยวข้องอนุญาตให้มาบวชให้มาศึกษาโดยหวังว่าเราจะเป็นผู้ที่มีธรรมะ มีศาสนา เป็นเครื่องมือสร้างความเจริญให้แก่ตัวเองและให้แก่ครอบครัว ให้ญาติพี่น้อง เพราะฉะนั้นเธออย่าได้ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง ถ้าเธอทำให้เขาผิดหวังเธอก็เป็นคนอกตัญญู เป็นคนที่เลวที่สุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ก็คือเป็นคนอกตัญญู เราจะต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวที รู้บุญคุณของผู้มีบุญคุณแล้วก็ตอบสนอง มันจะเป็นการได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่าหลงเอาสิ่งเหล่านี้ไปพร่าเสียด้วยความเห็นแก่ความสนุกสนานทางเนื้อ ทางหนัง ทางปาก ทางท้องซึ่งมันเป็นเรื่องของคนโง่และก็จะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เลวถึงอย่างนั้น คือสัตว์เดรัจฉานจะไม่ละโมบในกามารมณ์เหมือนกับมนุษย์สมัยนี้ มนุษย์สมัยนี้มันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นเทวดาก็ไม่ใช่ มันเป็นกามารมณ์ชนิดเมา ชนิดบ้า ชนิดเลว ไม่ใช่กามารมณ์อย่างสะอาดอย่างถูกต้อง เหมือนของพวกเทวดา ทีนี้คนก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งไม่เมามายในกามารมณ์มากถึงอย่างนั้น ก็ได้พูดให้ฟังเป็นใจความสั้นๆแล้ว ว่าไอ้ปัจจัยสี่ปัจจัยสี่นั้นจำเป็นแก่ชีวิต แต่ว่าขอให้มันเป็นเพียงปัจจัยสี่ที่จำเป็นแก่ชีวิต ถ้าเลยนั้นมันเป็นเหยื่อเขาเรียกว่าอามิส ต้องมีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มีเครื่องบำบัดโรค ตามที่จำเป็นแก่ชีวิตแล้วใช้มันอย่างปัจจัยสี่ จำเป็นแก่ชีวิต ถ้าเกินไปจากนั้นมันจะเป็นอามิสคือเป็นเหยื่อ เหยื่อล่อ เช่นว่ากินอาหาร ก็กินเท่าที่จำเป็นหรือถูกต้องแก่การที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างนี้อาหารนั้น เรียกว่าอาหารเรียกว่าปัจจัยหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่ถ้ากินเพื่อเมามายอร่อยลิ้นเมามายกันแล้ว มันก็กลายเป็นเหยื่อ มันไม่ใช่อาหาร มันไม่ใช่ปัจจัย เดี๋ยวนี้คนต้องการกินเหยื่อกินอามิสกันเสียเรื่อยไป ไม่ใช่กินเพียงเป็นอาหารเพราะฉะนั้นมันจึงต้องคอรัปชั่น
เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน ใช้เท่าที่จำเป็นแก่การเป็นเครื่องนุ่งห่มเป็นปัจจัยในชีวิต ก็ไม่มีโทษอะไร จะไปแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยจิตที่มีลักษณะที่เป็นภูตผีปีศาจ ใช้ของแพงและก็ปิดร่างกายแทบจะไม่มิด เหมือนผู้หญิงสมัยนี้มีจิตใจอย่างภูตผีปีศาจ อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องเครื่องแต่งตัว ก็เป็นอามิสอันหนึ่งใช้เป็นเหยื่อล่อผู้อื่น มันเป็นผีปีศาจไปแล้ว ที่เขานุ่งห่มอยู่นั้นไม่ใช่เครื่องนุ่มห่มแต่ว่าเป็นเหยื่อสำหรับเขาจะใช้ล่อผู้อื่น ให้รู้จักระหว่างความแตกต่างระหว่างปัจจัยกับอามิส บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็เหมือนกัน ถ้ามันพอสมควรแก่ฐานะมันก็เป็นที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยเครื่องจำเป็นแก่ชีวิต ถ้ามันทำเกินฐานะตลอดทั้งเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านนั้นมันเกินฐานะ มันก็พ้นจากความเป็นปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต กลายเป็นอามิสสำหรับใช้เป็นเหยื่อล่อตัวเองหรือล่อคนอื่นให้ลุ่มหลง แม้แต่ยาบำบัดโรค ถ้าเป็นยามันก็ควรจะขมจะเหม็นบ้างเดี๋ยวนี้มันจะเป็นยาที่อร่อย เป็นยาที่ส่งเสริมกามารมณ์ เป็นอะไรไปเตลิดเปิดเปิง
ฉะนั้นเราจะมีปัจจัยสี่แต่ในทางที่ถูกต้องอย่าให้กลายเป็นเหยื่อเป็นอามิส เราจึงจะเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เราจะไม่คอรัปชั่น ไม่ต้องคอรัปชั่น ไม่จำเป็นต้องคอรัปชั่นเราก็จะมีเงิน เราไม่ต้องโกงเป็นพ่อค้าอย่างเธอก็ไม่ต้องโกง โกงนั้นเป็นคอรัปชั่นทั้งนั้น ถ้าเธอเป็นอยู่ให้ถูกต้อง การงานก็จะเจริญ ไปตามลำดับตามลำดับถึงเป้าหมายได้ อยู่ด้วยปัจจัยสี่ อย่าอยู่ด้วยเหยื่อคืออามิส นี่ความสำเร็จในส่วนนี้ที่จะสะสมทรัพย์ขึ้นมา อย่าทำให้ผิดในเรื่องปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต เธอต้องมีหลักอย่างที่พูดไว้เสมอว่า กินอยู่แต่พอดี กินอยู่แต่พอดี อย่าไปบูชากินดีอยู่ดีเตลิดเปิดเปิงไม่มีจุดหมาย ระวังไอ้กินดีอยู่ดีนั้นมันเตลิดเปิดเปิงไม่มีจุดหมาย ถ้ากินอยู่แต่พอดีนี่พระพุทธเจ้าท่านสอน มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง มีการบริโภคแต่พอดี พอดีนั้นพอดีแก่ฐานะ มีขอบเขตจำกัดตายตัวเป็นเพียงปัจจัยสี่ เครื่องบำรุงชีวิต อย่าให้เลยเป็นอามิสเหยื่อหลอกลวงตัวเองหลอกลวงผู้อื่น นี่ไม่เท่าไหร่ก็จะสำเร็จในการตั้งตัว ในการเป็นฆราวาส ในการมีทรัพย์ ในการมีชื่อเสียง และก็การมีเพื่อนที่ดีเรียกว่าสอบไล่ได้ในข้อนี้ ไม่เสียทีที่บวชมาเรียนธรรมะ แล้วเอาไปประพฤติปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา นี่มันเป็นศีลเป็นพรอยู่ในตัว ถ้าเธอเข้าใจแล้วปฏิบัติ เป็นศีลเป็นพรตลอดชีวิต โดยไม่ต้องรดน้ำสักหยดเดียว นี่เป็นชีวิตเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์แล้ว สำเร็จทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นอย่างที่ว่ามา ในที่สุดจบลงด้วยการแจกของส่องตะเกียง นั่นแหละคือหมดตัวตน นั่นคือนิพพานอยู่ในความที่ไม่มีตัวตน นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว หมดตัวเราก็หมดความเห็นแก่ตัวเรา ก็หมดโลภโกรธหลง ความไม่มีโลภโกรธหลงนั้นเป็นนิพพาน ถ้ามีชั่วขณะก็เป็นนิพพานชั่วขณะ ถ้ามีตลอดไปก็เป็นนิพพานตลอดไป เพราะฉะนั้นอย่างเลวที่สุดขอให้มีนิพพานชั่วขณะ คือไม่มีความโลภโกรธหลงอยู่บางขณะ พอความโลภโกรธหลงจะเกิดขึ้นก็ป้องกันหรือกำจัดไปเสีย มันก็จะเป็นนิพพานที่ใช้ได้อยู่ตลอดเวลา นี้เรียกว่าเป็นฆราวาสชนิดอริยสาวกในพระพุทธศาสนา อย่างน้อยก็เป็นขั้นตระเตรียมแล้วก็ค่อยๆสูงขึ้นไปตามลำดับตามลำดับ ยังไม่เอ่ยอ้างถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ได้แต่ว่าต้องถือว่าเป็นจุดหมายปลายทาง ในเรื่องที่ต้องพูดกันสำหรับให้ศีลให้พรมันมีอย่างนี้
ทีนี้ก็เรื่องเบ็ดเตล็ด ที่จะช่วยให้มันง่ายขึ้น เธอมีฆราวาสธรรมอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือชัดเจนที่สุด สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ถ้าขาดข้อนี้เสียแล้วล้มละลายหมดทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไร แม้ที่จะอยู่เป็นพระก็เหมือนกันก็ต้องมีข้อสี่ข้อนี้ สัจจะคือความจริงใจในสิ่งที่เราจะทำในอุดมคติของเรา สัจจะนี้ต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงจนตลอดชีวิต เรามีความมุ่งหมายอย่างนี้แล้วต้องไม่เปลี่ยนแปลง มีสัจจะต่อตัวเองอย่างนี้แล้วมันก็สัจจะต่อผู้อื่นต่อการงานต่ออะไรต่อไปหมดเลย จริงต่อทุกอย่างที่ควรจะจริงไปหมด นี้เขาเรียกว่าสัจจะ
ทีนี้ต้องมีทมะบังคับตัวเองอีกทีหนึ่ง ไม่คอยบังคับไว้สัจจะมันก็ล้มละลายไปได้ เขวไปได้ ต้องมี ทมะการบังคับตัวเองให้อยู่ในสัจจะ ข้อที่สองเรียกว่าทมะ
ข้อที่สามเรียกว่าขันติคือต้องทน เมื่อกิเลสมันบีบคั้นมันต้องทน ทนได้ กิเลสมันบีบคั้นอยากจะไปดูหนัง ไปดูละคร อยากสูบบุหรี่อันนี้มันต้องทนได้มีสัจจะแล้วมันบังคับแล้วก็ต้องทนได้ หรือที่มันจะบีบคั้นให้ทำคอรัปชั่นนี้เราก็ต้องทนอยู่ได้ไม่ทำ แต่เพื่อไม่ให้ทนมากนักจนทนไม่ไหวก็ต้องมีจาคะข้อสุดท้ายคือมีรูรั่วระบายความความชั่วออกไปเรื่อยๆ ความชั่วมันก็จะไม่สะสมหมักหมมมากขึ้นเหมือนคนสมัยนี้ มันไม่มีรูรั่วสำหรับระบายความชั่วไว้ มันไม่ไหว้พระสวดมนต์มันไม่ไปวัดไปวามันไม่ฟังเทศน์มันไม่ทำอะไรที่เป็นการระบายความชั่วออกไปทีละน้อย ละน้อย มันก็สะสมไว้มากก็มีความกดดันมาก มันก็สัจจะอยู่ไม่ไหว ขันตีอยู่ไม่ไหว มันก็ล้มละลาย คือกลายเป็นพวกไม่มีธรรมะไป ไปดูกันใหม่ดูกันเรื่อยไปดูกันตลอดชีวิตเรื่อง สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะเครื่องมือให้กำเนิดประโยชน์ตามเป้าหมาย นี่เขาเรียกว่าฆราวาสธรรม ช่วยให้ฆราวาสประสบความสำเร็จในการเป็นฆราวาสที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนานี้ เรียกว่าอริยสาวก ที่เราบวชเพื่อให้รู้ธรรมะนี้ ให้เข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมะนี้ และระหว่างบวชก็หัดไอ้ธรรมะนี้ พระเณรทุกองค์ต้องมีสัจจะจริงใจ มีทมะบังคับตัวเอง มีขันติอดกลั้นอดทน มีจาคะระบายรูรั่วระบายความชั่วอยู่เสมอจึงเป็นพระเป็นเณร ถ้าไม่ปฏิบัติอยู่ในสี่ข้อนี้มันไม่มีความเป็นพระเป็นเณรในบุคคลนั้น ทีนี้เมื่อสึกออกไปก็ไปใช้อย่างฆราวาส สำหรับฆราวาส ยิ่งจำเป็นในสี่ข้อนี้ เพราะฆราวาสมันไปอยู่ในท่ามกลางสิ่งยั่วยวนมากกว่าพระเณร ก็ต้องใช้สี่ข้อนี้ยิ่งขึ้นไปกว่าเมื่อเป็นพระเป็นเณร จำไว้ให้ดี นี่คือธรรมะสำหรับความเป็นฆราวาส ให้สอบไล่ได้ด้วยการมีทรัพย์ที่ดีพอตัว มีเกียรติที่ดีพอตัว มีเพื่อนที่ดีพอตัว สามอย่างนั้นเรียกว่าสอบไล่ได้ แล้วก็เลื่อนขึ้นไปถึงเป็นผู้แจกของส่องตะเกียง คือบริโภคความสุขมีชีวิตมนุษย์นี้จะพึงมีได้แล้วมันยังเหลืออยู่ก็แจกจ่ายแก่บุคคลอื่นเรื่องมันมีเท่านั้น เกิดมาทีหนึ่งมันมีเท่านั้น ความไม่เสียชาติเกิดมันมีเพียงเท่านั้น ฉะนั้นขอให้ได้ และก็เป็นอันว่าโอวาทที่เป็นศีลเป็นพรมันก็หมดกันเท่านี้มันมีเท่านี้ ธรรมะตัวเดียวเท่านั้นแหละ ไอ้ธรรมะตัวเดียวคำเดียวเป็นศีลเป็นพรเป็นอะไรทุกอย่างนั้นเธอมีอยู่แก่เนื้อแก่ตัวทุกลมหายใจเข้าออก
ทีนี้เรื่องเบ็ดเตล็ดเรื่องเล็กๆน้อยๆจะพูดฝากไว้พอเป็นตัวอย่าง นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆรู้บ้างไม่รู้บ้าง ถ้าไม่รู้ก็รู้เสีย ถ้าสึกออกไปแล้วนี่จะต้องมีอะไรที่เขานิยมกันว่าคนที่บวชแล้วต้องมี บวชแล้วตามความหมายเดิมนั้นเสร็จแล้วสึกออกไปนี้เป็นบัณฑิต เขาเรียกว่าบัณฑิต แปลว่ามีปัญญาพอตัวสำหรับเอาตัวรอด เรียกว่าบัณฑิต บัณดา(นาทีที่ 1.03.46) แปลว่าปัญญาเอาตัวรอด ฑิตะ(นาทีที่ 1.03.49) แปลว่ามี บัณฑิตะแปลว่ามีปัญญาเอาตัวรอด ก็จงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันนี้เอาไว้ อย่ากลายเป็นคนโง่ ยิ่งขึ้นไปก็ได้เรียกว่าฑิตหรือทิด เป็นพี่ทิดพี่ทีไปเลย เดี๋ยวนี้พี่ทิดกลายเป็นคำสำหรับล้อ ก็คนนั้นมันบวชแล้วมันไม่เป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้นมันบวชแล้วอย่าไปทำรีๆขวางๆทำให้เป็นทิดทึกทือ ขอให้เป็นบัณทิตตามความหมายที่เขาวางไว้ในประเทศอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณกาล คนหนุ่มเข้าไปศึกษาในอาศรมใดอาศรมหนึ่งเสร็จแล้วออกมาเป็นบัณฑิต สามารถดำเนินชีวิตให้รอดไปได้ เป็นฆราวาส นั้นเธอต้องจำในสิ่งต่างๆที่เคยทำได้แม้เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดไว้ด้วย นี่ไปอยู่ที่บ้านนี่เขาให้อาราธนาศีล ให้นำไหว้พระสวดมนต์ ให้อาราธนาศีล อาราธนาธรรม ต้องทำได้ถ้าเพื่อนจะบวชเราสอนได้เรื่องทำวัตร แม้แต่ทำวัตรลาสิกขานี่ก็ต้องทำได้สอนได้ ต้องถือเป็นหลักประจำใจไว้ด้วย ทำวัตรลาสิกขานี้วิเศษมาก คือต้องมีการขอโทษ ต้องมีการอดโทษ ต้องมีการแบ่งส่วนบุญ
ข้อแรกมีความเคารพก่อน วันทามิภันเต ต้องเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนมีความเคารพ ต่อผู้ที่ควรเคารพอยู่เสมอ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต ข้อสองนี้ต้องเป็นผู้ที่ไม่หัวแข็ง ต้องขอโทษ ในเมื่อรู้สึกว่าควรขอโทษ แล้วก็ต้องอดโทษเมื่อผู้อื่นมาขอโทษ
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง ต้องเป็นผู้แลกเปลี่ยนส่วนบุญคือความดีแก่กันและกันอยู่เสมออย่าอิจฉาริษยา อย่ากลัวว่าเขาจะดีกว่าเราแล้วก็ไม่ยอมให้ความดี ไม่ยอมให้ความรู้ เดี๋ยวนี้ในโลกนี้เขาปกปิดความดีความรู้กันทั้งนั้นเขากลัวว่าผู้อื่นจะดีเสมอตัวแล้วตัวก็จะลำบาก วิชาความรู้ที่จะใช้ฆ่าผู้อื่นให้วินาศนั้นเขาปกปิดเอาเป็นความลับ หรือแม้วิชาจะสร้างให้เจริญจริงๆเขาก็ปกปิดเป็นความลับ มันพูดแต่ปาก แต่ในหลักของการทำวัตรในพุทธศาสนานี้เราจะแลกเปลี่ยนส่วนบุญ จะแผ่ส่วนบุญแลกเปลี่ยนกันและกัน ไม่อิจฉาไม่ริษยาไม่ตระหนี่ เรื่องหนึ่งต้องมีความเคารพอยู่เป็นปกติ สองต้องมีการขอโทษและอดโทษกันอยู่เป็นปกติแม้ในครอบครัว ต้องมีการแลกเปลี่ยนความดีให้แก่กันและกันอยู่ตลอดเวลา นี่จะสร้างทรัพย์สมบัติได้ จะสร้างเกียรติยศชื่อเสียงได้ จะมีเพื่อนที่ดีได้ นี่เป็นหลักของการทำวัตร พระต้องทำวัตรอยู่เสมอ ผู้จะลาสึกก็ต้องทำวัตร เมื่อตะกี้นี้ก็ได้ทำไปแล้ว ก็ขอให้มันติดไปด้วย ในความหมายสามประการนี้จนตลอดชีวิตด้วยกัน ทีนี้เราจะไม่ยกตัวข่มท่าน เราจะมีอะไรที่งดงามน่าเลื่อมใสไปทุกอย่างทุกประการ
นี้คำสุดท้ายที่จะพูดก็คือว่าอย่าได้ลืมตัวว่าได้เป็นผู้ที่บวชแล้ว ได้ลาสึก ได้นั่งกันที่นี่ ได้พูดกันที่นี่ในวันนี้ ในฐานะที่เป็นผู้บวชแล้วจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนั้น เครื่องที่จะป้องกันเพื่อไม่ให้ลืมตัวว่าได้บวชแล้วนั้นก็มีหลายอย่าง บางคนก็ถ่ายรูปไปติดไว้ ว่ากูบวชแล้วหรืออะไรทำนองนี้ก็มี ก็ไปทำเอาเองก็แล้วกัน ว่าอะไรที่จะเป็นเครื่องช่วยกันลืมในเรื่องบวชแล้ว อย่างน้อยก็นึกอยู่ทุกวันว่าได้บวชแล้ว พอค่ำลงก็นึกอยู่ทุกวันว่าบวชแล้ว ต้องทำให้ถูกให้ต้อง คิดบัญชีดูวันนี้ทำอะไรผิด ทำอะไรถูก อย่าให้มันเสียทีที่ว่าได้บวชแล้ว เครื่องเตือนใจที่ว่าได้บวชแล้วนี้เราไปสะดุดใจมากที่ตำหนักที่วังของกรมพระยาดำรง ในห้องพระอันสวยงามของกรมพระยาดำรงนั้นมีผ้าไตรสวยสดวางอยู่บนบาตรที่งดงาม ในห้องนั้นถามท่านหญิงปูนว่านั่นคืออะไรกัน มันจึงมาอยู่ที่นั่น ท่านหญิงปูนว่า ผ้าไตรและบาตรของเสด็จพ่อเมื่อท่านบวช ท่านเอาไว้ให้ลูกไหว้ เราเกิดนึกโพล่งทันทีว่านี้วิเศษวิเศษ เอาไว้ให้ลูกไหว้นี้มันไม่ได้มีความหมายเพียงเท่านั้น คงจะมีความหมายไปถึงว่า ให้ลูกมันพอใจในการที่จะบวชบ้าง มันเห็นวัตถุสวยงามนั่นพอย้อมใจให้อยากจะบวชบ้าง ไอ้ลูกหลานมันคงอยากจะบวชบ้างต่อไป และนึกเดาว่าอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะไม่พูด ไม่บอกเก็บไว้ในใจก็คือว่าท่านคงเอาไว้เตือนสติ ว่าเราบวชแล้วนะ ว่าเราบวชแล้วนะ นี่ขอยืนยันว่าวัตถุอย่างนี้มันศักดิ์สิทธิ์มาก มันเตือนตาเตือนใจว่าเราบวชแล้วนะ ยิ่งกว่ารูปถ่าย ไอ้รูปถ่ายเมื่อบวชไปแขวนฝาไว้ ไม่เท่าไหร่มันก็ชินชาแล้วลืมเลือนไป สู้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้ไม่ได้ ฉะนั้นจึงอยากจะแนะนำว่ายังไงก็ลองดู ผ้าไตรหรือบาตรนี่เอาไว้ในห้อง ในที่ ในตู้ แล้วแต่จะเก็บก็ได้ เป็นเครื่องขู่ตัวเองว่าเคยบวชแล้วนะ ถ้าเกิดไปมีลูกมีหลานมีอะไรต่อๆในครอบครัวมันก็จะได้เห็นว่านี่วิเศษ มันจะจับจิตจับใจอยากจะบวชขึ้นมาบ้าง มันคงจะเป็นครอบครัวที่ดีวงศ์ตระกูลที่ดี ทีนี้บางคนมันไม่รู้อะไรมันโง่มันร้อนเป็นไฟ มันจะสึกบวชแล้วจีวรอยู่ที่ไหนบาตรอยู่ที่ไหนมันก็ยังไม่รู้ แล้วแต่ใครจะเก็บเอาไปมันโง่กันอย่างนี้มันไม่มีของวิเศษนี้เป็นเครื่องตักเตือนจิตใจว่าเราบวชแล้วนะ นี่ข้อสุดท้ายที่จะเตือนเธอ ก็ต้องมีอะไรเตือนใจให้ระลึกนึกถึงอยู่เสมอว่าเราบวชแล้วนะต้องทำอะไรให้สมกับการที่บวชแล้วนะ แล้วก็ต้องไม่ประมาทจนตกนรกทั้งเป็น มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม มีความสุขทั้งทางกาย ทั้งทางใจ แล้วยังช่วยให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการที่เรามีชีวิตเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในโลกนี้ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นศีลเป็นพร จะสำเร็จเป็นศีลเป็นพรที่แท้จริงขึ้นมา ก็เพราะว่าเธอทำตามศีลและพรที่เรามอบให้ไป ฉะนั้นขอให้เธอมีความเชื่อ มีความเลื่อมใสมั่นคงในพระรัตนตรัย มีความเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาทุกทิพาราตรีเทอญ พอกันที