แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การให้โอวาทผู้ลาสิกขาในวันนี้ เพื่อสำเร็จประโยชน์กว้างขวางออกไป เพราะว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็อยากจะพูดด้วยสำเนียงของภาษาทางภาคกลาง การบวชและการลาสิกขา ขอให้ถือว่ามีความสำคัญระยะหนึ่งของคนๆ หนึ่ง หรือเรียกว่าของชีวิต เพราะว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อขั้นหนึ่งตามความมุ่งหมายของประเพณีไทยหรือวัฒนธรรมไทย ที่จริงการบวชแล้วสึกนี้ก็ไม่ได้มีในครั้งพุทธกาล เราไม่มีระเบียบเช่นนั้น แต่บัดนี้ในประเทศไทยเรา ผู้มีปัญญามองเห็นว่าการบวชแม้ชั่วคราวคือบวชแล้วสึกออกไปก็ยังมีประโยชน์ หรืออาจจะทำให้เป็นประโยชน์จึงได้มีธรรมเนียมประเพณีนี้ขึ้น ก็ได้ยินว่าพระเจ้าแผ่นดินบางองค์เป็นผู้ทำตัวอย่างด้วยซ้ำไป จึงเกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี บวชแล้วสึกได้โดยไม่มีข้อที่ควรครหาหรือรังเกียจกินแหนงแต่อย่างใด แล้วก็ถือเอาเป็นหลักเกณฑ์กันเลยไปทีเดียวว่าการบวชแล้วสึกนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระยะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าจะเรียกก็เหมือนกับเรียกกว่าการเกิดใหม่ทุกครั้งไป มาบวชก็เรียกว่าเกิดใหม่ อย่างเกิดเป็นพระอริยะเจ้าหรือเกิดอย่างน้อยก็ตามระเบียบตามแบบฉบับของพระอริยะเจ้า เขาเรียกว่าอริยะชาติในการบวช เมื่อเราจะไม่เป็นพระอริยะเจ้าก็ต้องถือว่าเป็นการพยายามกระทำตามรอยของพระอริยะเจ้า ที่นี้เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้สำหรับสึกมันก็เป็นการเกิดใหม่ครั้งหนึ่ง คือเกิดกลับไปเป็นฆราวาส การเกิดใหม่ในทำนองนี้ก็หมายถึงการเกิดโดยทางจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเกิดทางร่างกายแล้วตายทางร่างกายครั้งเดียวนั้นไม่มีความสำคัญอะไรในเรื่องอย่างนี้ เพราะว่าเราบังคับมันไมได้ แต่การเกิดทางจิตใจอย่างที่ว่านี้บังคับได้ ฉะนั้นจึงมีความสำคัญคือต้องบังคับ เมื่อเกิดเป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ดี เมื่อเกิดไปเป็นฆราวาสก็ไปเป็นฆราวาสที่ดี เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น ก็อยากจะบอกให้ทราบซ้ำถึงเรื่องอาศรม ๔ ชนิด ที่เขาบัญญัติไว้ตั้งแต่โบราณกาล มีปรากฏอยู่ในมนูธรรมศาสตร์ถือว่ามีอายุหลายพันปี
คนเกิดมาตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาว ก่อนแต่งงานนี้เขาเรียกว่า พรหมจารี ต้องศึกษาอย่างเคร่งครัดต้องปฏิบัติศีลธรรมทุกอย่างของคนหนุ่มคนสาวอย่างเคร่งครัด นั้นจึงเรียกว่าพรหมจารี นี้เป็นการเกิดในขั้นนี้ขั้นหนึ่ง ทีนี้ต่อมาก็มีการแต่งงาน นี้เกิดใหม่เป็นคฤหัสถ์ เรียกว่า คฤหัสถ์ ต้องมีภาระเรื่องครอบครัวตั้งเนื้อตั้งตัวมีเงิน มีเกียรติ มีทุกสิ่งที่คฤหัสถ์จะต้องมีก็ต้องทำให้ดี นี้ต่อมาเมื่ออายุมีมากเข้าก็เห็นว่าจะต้องเลื่อนชั้นกันอีกอยู่แค่นั้นไม่ไหว ก็เลื่อนชั้นเป็นวานปรัสถ์ คือพวกเก็บตัวอยู่ในที่สงบสงัด มองชีวิตในด้านใน ประพฤติปฏิบัติทางจิตใจ เพื่อความเป็นอย่างอื่น เขาจึงเรียกว่าโลกอื่น นี้ก็เกิดอีกครั้งหนึ่ง ที่นี้ต่อมาเมื่อทำได้เป็นที่พอใจแล้วก็อุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่นจริงๆ อุทิศชีวิตเพื่อการสั่งสอนผู้อื่นทำตัวเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้อื่น เที่ยวประพฤติประโยชน์ผู้อื่นโดยไม่มีเรื่องของตัวเลย นี้เรียกว่า สันยาสี เป็นขั้นสุดท้ายเป็นขั้นที่ ๔ ตามหลักนี้จะมองเห็นได้ว่าไม่มีพรหมจารีจะบวช แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นพรหมจารีนี่ เราอาจจะสงเคราะห์ไอ้การบวชของเรา ๓ เดือนนี้ ในอาศรมของพรหมจารีรวมกัน คือพรหมจารีของเราสูงขึ้นมาถึงการบวชเป็นพระ นับตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็กที่ดี เป็นหนุ่มสาวที่ดี จนกระทั่งเป็นบวชเป็นบรรพชิตที่ดี เป็นคนโสดสูงสุดนี้ตอนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเป็นคฤหัสถ์ นั้นก็แปลว่าเรากำลังจะเกิดใหม่เป็นคฤหัสถ์ นี้อย่าได้เข้าใจว่าการเป็นคฤหัสถ์นี้เป็นการกลับไปเลว ไปสู่ความเลว เหมือนที่บางคนเข้าใจ การเป็นคฤหัสถ์นั้นหลังจากพรหมจารี ก็หมายความว่าเตรียมพร้อมที่จะเผชิญชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากยิ่งขึ้นไปกว่าพรหมจารี ฉะนั้นจึงต้องถือว่าไม่ใช่ลดชั้นลงต่ำแต่กลายเป็นทำหน้าที่ที่สูงขึ้นไปอีก คือการต่อสู้ด้วยชีวิต ในอันดับที่สูงขึ้นไปอีกเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ธรรมชาติกำหนดให้ว่าคนเราจะดีได้ถึงที่สุดอย่างไร ฉะนั้นให้มองเห็นให้มองให้เห็นชัดว่าในระหว่างที่เราเป็นพรหมจารีกระทั่งบวช ๓ เดือนเป็นระยะสุดท้ายนี้ เพื่อศึกษาวิชาความรู้เกี่ยวกับด้านจิตใจโดยเฉพาะ เพื่อต่อสู้ในขั้นของความเป็นคฤหัสถ์ที่ดีนั่นเอง ฉะนั้นควรจะถือว่าเป็นโชคดีที่เราได้ผ่านชีวิตหรือการอบรมในแบบนี้ ดีกว่าที่จะกระโดดไปเป็นคฤหัสถ์มีเหย้ามีเรือนเสียก่อนบวช การได้บวชเสียก่อนอย่างนี้มันก็เป็นการดี ที่จะได้รู้ รอบรู้ ในการต่อสู้ในชีวิตของคฤหัสถ์ จะได้ตั้งต้นเลข ๑ ที่ไม่ผิดพลาด เป็นเลข ๒ เลข ๓ เลข ๔ เพิ่มขึ้นไปไม่มีการผิดพลาด นี่จึงถือว่าเป็นโชคดีและไม่ใช้ว่าลดชั้นต่ำลงไปเป็นฆราวาส ให้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนที่จะใช้วิชาความรู้ที่ได้ในระหว่างที่บวชนี้ออกไปต่อสู้ให้เป็นฆราวาสที่ถูกต้อง การไปมีครอบครัวไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดพลาด หรือไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอะไร มันเป็นบทเรียนเป็นหน้าที่ในชีวิตที่ผู้ที่จะเป็นคฤหัสถ์ที่จะผ่านไปด้วยดีนั้นต้องมี ถือโอกาสกล่าวเสียในที่นี้อีกว่า ความเป็นคฤหัสถ์นั้นก็เป็นการปฏิบัติธรรมะชั้นหนึ่ง ซึ่งมนุษย์จะต้องผ่านไปให้ดี จะต้องกระทำให้ถูกต้องตามธรรม ตามพระธรรมที่มีอยู่สำหรับคฤหัสถ์ จะต้องประพฤติปฏิบัติให้บริสุทธิ์ผุดผ่องถูกต้องเหมือนว่าเราประพฤติธรรมะอย่างภิกษุ เราต้องประพฤติให้ดีที่สุดอย่างภิกษุฉันใด เมื่อเราออกไปเป็นคฤหัสถ์เราต้องประพฤติให้ดีที่สุดตามแบบของคฤหัสถ์ฉันนั้น ฉะนั้นชีวิตคฤหัสถ์นั้นจึงเป็นการประพฤติธรรมไปตามเดิม ไม่ใช่ชีวิตเหลวไหลสำมะเลเทเมาย้อนกลับหลังลงไปสู่ความต่ำ นั้นเป็นความเข้าใจของคนโง่บางคนซึ่งก็มีอยู่มากเหมือนกัน เราผู้ได้บวชในพระพุทธศาสนาต้องรู้ว่าเราเป็นคฤหัสถ์นั้นคือการปฏิบัติธรรมชนิดหนึ่งตามแบบของคฤหัสถ์ เพื่อชีวิตนี้ผ่านชีวิต คือผ่านตัวชีวิตผ่านความจริงของชีวิตหรือของธรรมชาติให้เรารู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างดี ให้เราเจริญด้วยสติปัญญาสูงขึ้นไปตามที่ธรรมชาติกำหนดให้ควรจะมี เราก็รู้จักตัวเองดี รู้จักชีวิตดี รู้จักธรรมชาติดี รู้จักทุกอย่างที่มนุษย์ควรจะรู้ เพราะการที่เราได้เป็นฆราวาสที่ประพฤติธรรมะที่สมบูรณ์ เราจะรู้ว่าความสุขคืออะไร ความทุกข์คืออะไร เงินทองคืออะไร ทรัพย์สมบัติคืออะไร มีค่าเพียงเท่าไหร่ น่ายึดถือหรือไม่น่ายึดถืออย่างไร ยังงี้จะรู้ในลักษณะที่อยู่เหนือหมด ไม่ใช่หลงอย่างโง่ ๆ แล้วมาอยู่ข้างต่ำ ข้างภายใต้ของสิ่งเหล่านั้น เช่น เป็นทาสเงิน หรือเป็นทาสเกียรติยศชื่อเสียง เป็นต้น ถ้าเราทำถูกเราอยู่เหนือเป็นผู้ที่รู้ดีว่านั่นคืออะไร เราจะต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร เราจะต้องใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างไร เราจะต้องควบคุมสิ่งเหล่านั้นอย่างไร ไม่ใช่ให้สิ่งเหล่านั้นมาควบคุมเรา ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นประโยชน์ที่สุด ที่จะได้ศึกษาธรรมะ ของพระพุทธศาสนา ควรนำไปใช้ให้เป็นคฤหัสถ์ที่ถูกต้อง ทีนี้เรื่องครอบครัวนั้นให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดให้ ที่หลีกไม่ได้ ที่จะต้องมีสำหรับฆราวาสหรือคฤหัสถ์ ที่นี้ก็ไม่ใช่ให้มีสำหรับโง่ ไม่ใช่ให้มีสำหรับหลงใหลมัวเมา ไม่ใช่ให้มีสำหรับเย่อหยิ่งจองหองไว้อวดกันหรืออะไรทำนองนั้น แต่ให้มีเพื่อช่วยกันแบ่งเบาภาระที่มนุษย์จะต้องทำให้มันง่ายลงครึ่งหนึ่ง ให้มันง่ายลง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงจะต้องทำตามลำพังไปคนเดียว การผ่านชีวิตทั้งคฤหัสถ์ พิตูน(นาที่ที่ 12.06) นี้ก็จะยาก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่นี้มีการสมรสเพื่อให้มันง่ายลงครึ่งหนึ่ง คือ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือเป็นผู้ช่วยกันและกันที่ดี ผู้ชายต้องทำหน้าที่ผู้ชาย ผู้หญิงต้องทำหน้าที่ผู้หญิง แล้วความเป็นมนุษย์ก็จะสมบูรณ์ ถ้าไปเกี่ยงแย่งกันทำ ผู้หญิงไปทำอย่างผู้ชาย หรือผู้ชายไปทำอย่างผู้หญิง นี่เป็นความโง่ของสมัยปัจจุบันนี้ ซึ่งทำให้สิ่งต่างๆ ก้าวก่าย ปนเป ระส่ำระส่าย จนดูไม่ออกเป็นเป็นไปในลักษณะที่มีผลร้ายเกิดขึ้น เช่น ไม่มีใครดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะผู้หญิงไปทำเสียอย่างผู้ชายนี้ เด็กที่เกิดมาก็เป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์ในทางจิตใจ ไม่มีความรู้สึกที่สมบูรณ์ในทางจิตใจ เป็นละเมอเพ้อฝัน เป็นความคิดที่เลื่อนลอย ธรรมชาติเขากำหนดให้ผู้หญิงทำหน้าที่ผู้หญิง ให้ผู้ชายทำหน้าที่ผู้ชาย ศาสนาคริสต์เตียนก็เป็นอย่างนี้ ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ ศาสนาไหนก็เป็นอย่างนี้ คนเดี๋ยวนี้ลบหลู่พระศาสนา ย่ำยีพระศาสนา ไม่ถือตามหลักของพระศาสนา เรื่องมันจึงโกลาหลวุ่นวายยิ่งขึ้นทุกทีในโลกนี้ แม้ผู้หญิงจะทำได้อย่างผู้ชายก็ทำให้โลกวุ่นวายมากกว่าที่จะทำให้โลกสงบ ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าความเป็นสามีภรรยานี้ ช่วยกันแบ่งหน้าที่ ตามหน้าที่ ทำให้ถูกต้อง ทำให้สมบูรณ์ ให้หน้าที่ในชีวิตนี้ง่ายเข้ามาครึ่งหนึ่ง เช่นว่าเป็นฆราวาสจะต้องสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ จะต้องสมบูรณ์ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง จะต้องสมบูรณ์ด้วยมิตรสหายไมตรีคือสังคมที่ดีอย่างนี้ ถึงจะเรียกว่าฆราวาสคนนั้นปฏิบัติหน้าที่สมบูรณ์ ทีนี้ทำคนเดียวมันยากไป ผู้หญิงทำคนเดียวก็ยาก ผู้ชายทำคนเดียวก็ยาก แต่เมื่อรวมกันร่วมแรงกันทำแล้วมันง่ายเข้ามาครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นขอให้ถือว่าการมีครอบครัวนั้นเพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อความหลงใหลในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง หรือว่าเรื่องหลงใหลอย่างอื่น นั้นเป็นเรื่องของคนโง่ ไม่ใช่เรื่องของคนที่บวชเล่าเรียนแล้วในพระพุทธศาสนา ขอให้จำไว้อย่างแม่นยำว่าชีวิตฆราวาสต้องเป็นอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเราใช้วิธีที่ถูกต้องความเป็นฆราวาสของเราก็ก้าวหน้าในเวลาอันไม่นาน เช่น อายุเพียง ๖๐ ปี เราสามารถจะหยุดพักผ่อนได้ เกษียณชีวิตคฤหัสถ์เสียที แล้วก็ไปปูชีวิตที่สงบเป็นวานปรัสถ์หรือเป็นสันยาสีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่จะพอใจ ก็เรียกว่าเกิดมาทีหนึ่งได้ครบ ได้รับความดี ได้ปฏิบัติความดีครบถ้วนถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมา เพราะเกิดมาทีหนึ่งได้หมดทุกสิ่งทุกอย่างทุกขั้นทุกระดับที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าไม่ได้รับครบทุกขั้นทุกระดับก็แปลว่ายังเสียทีที่เกิดมา ฉะนั้นขอให้พยายามอย่างยิ่งจะได้เป็นไปในลักษณะที่ว่าเกิดมาทีหนึ่งให้ได้รับทุกชนิด ตั้งแต่ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในการที่เกิดมา นี่เพราะการศึกษาของเรา การได้บวชครั้งหนึ่งทำความแจ่มแจ้งในหนทางที่ชีวิตจะต้องเดินไปนี้ให้บริบูรณ์อย่างนี้ จะได้เรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่หลงทาง ท้ายที่สุดก็จะรู้ว่านิพพานอยู่ในขั้นสุดท้ายปลายทางก็ไม่เสียหายอะไร เดี๋ยวนี้เรายังไม่ถึงก็กำลังเดินไป ดังนั้นก็ควรจะศึกษาไว้ในที่เกี่ยวกับชั้นสูงสุด ชีวิตของพวกวานปรัสถ์หรือสันยาสี แม้กระทั่งการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นต้น รออยู่สำหรับคนๆ ด้วยกันข้างหน้า (16:10) ถ้าเราเกิดมาครบบริบูรณ์หมดนั้นก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว ไม่ฉะนั้นเกิดมาอย่างที่เรียกว่า เป็นคนพาล คนอ่อน คนเขลา คนหลง เกิดมาเห็นแต่เรื่องกินเรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางปากทางท้องทางตาทางหูทางจมูกแล้วก็ตายไปอย่างนี้ มันก็ได้เพียงแค่นี้ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่นัก เพราะสัตว์เดรัจฉานก็มีโอกาสจะได้อย่างนั้นเหมือนกัน ที่นี่มนุษย์เราต้องได้ไปไกลกว่านั้น จึงแนะนำตักเตือนชี้แจงให้สังเกต พยายามประพฤติกระทำให้ได้ให้สมกับที่มนุษย์เป็นมนุษย์เป็นสัตว์สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งหลาย
ทีนี้เรื่องเป็นคฤหัสถ์นี้ มีธรรมมะสำหรับคฤหัสถ์โดยเฉพาะอยู่บทหนึ่ง แม้จะเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วบ้างก็ขอย้ำในที่นี้ ไม่ใช่เพียงตามธรรมเนียม ย้ำเพื่อต้องการจะไม่ให้ลืมจริงๆ ว่าธรรมมะสำหรับคฤหัสถ์นั้นมีอยู่ ๔ ประการ คือ ทมะ เอ่อ, คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ รายละเอียดก็มีอยู่ในคำบรรยายหลายๆ แห่งไปหาอ่านได้เอง แต่โดยใจความนั้นมีความสำคัญมาก สำหรับคฤหัสถ์ สำหรับฆราวาส จะต้องมีสัจจะในการที่จะดำเนินชีวิตของตน ให้ไปให้ถึงที่สุดให้จนได้ ให้ตั้งอธิษฐานจิตว่าเราเกิดมานี้เราจะไปให้ถึงที่สุดที่มนุษย์จะไปให้ถึงได้เท่าไหร่ นี่ตั้งสัจจะลงไปอย่างนี้ แล้วก็ต้องรู้ว่าต้องบังคับตัวเองที่เรียกว่า ทมะ ฉะนั้นสัจจะมันจึงจะอยู่ ถ้าไม่มีการบังคับตัวเองแล้วสัจจะจะเลือนหายไปโดยไม่ทันรู้ตัว ฉะนั้นต้องมี ทมะ คือบังคับตัวเองให้ให้อยู่ในร่องรอยของสัจจะที่ได้ตั้งไว้ ที่นี้การบังคับตัวเองนั้นมันมีความเจ็บปวดเป็นธรรมดา ถ้าใครไม่ทนมันก็ทิ้งการทำ ทิ้งการบังคับตัวเองเสียอีก ดังนั้นท่านจึงสอนมีขันติหรือขันตี คือความอดกลั้นอดทน ทนได้ จนเลือดตาไหลก็ทนได้ไม่ยอมเปลี่ยนอุดมคติ นี่เขาเรียกว่า ขันตี เพื่อจะรักษาธรรมมะเอาไว้ ที่นี้เพื่อไม่ให้ต้องทนมากเกินไปจนทนไม่ไหว พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติข้อสุดท้ายเรียกว่า จาคะ คือการระบายออก สิ่งใดที่เป็นความกดดันแก่จิตใจมากนั้นต้องระบายออกอยู่เสมอเราจึงจะทนได้ ให้มีวิธีที่ฉลาดระบายออกอยู่เสมอ คือการประพฤติศีลธรรมวัฒนธรรมอะไรต่างๆ ที่ถูกต้องที่เป็นการระบายความกดดันของกิเลสออกอยู่เสมอ เราก็ไม่ต้องทนมาก นี่เรียกว่าจาคะ รวมกันเป็นสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ๔ อย่างนี้เรียกว่าฆราวาสธรรม คือธรรมมะสำหรับฆราวาส ถ้าผู้ใดประกอบไปด้วยธรรมะ ๔ ประการนี้ ก็ย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของฆราวาสได้สมบูรณ์ เช่นจะหาเงินก็มีสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ จะหาเกียรติยศชื่อเสียงก็มี สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ จะหาสังคมที่ดีแวดล้อมตัวเองก็มี สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ รายละเอียดนี้ไปคิดดูได้เอง เชื่อว่าคิดดูได้เอง จึงไม่พูดโดยรายละเอียดเวลาไม่พอ และก็ได้อธิบายไว้โดยละเอียดในหนังสือหรือบรรยายบางเล่มอยู่แล้วไปหาอ่านเองได้ แต่ที่จะเตือนอย่างยิ่งก็คือว่า ต้องมีธรรมมะ ๔ ประการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฆราวาสนั้นแม้จะอยู่เป็นภิกษุเป็นบรรพชิตก็ยังใช้ ๔ ประการนี้ได้ตามแบบของบรรพชิตเหมือนกัน ไปเป็นฆราวาสก็ยิ่งต้องใช้ธรรมมะ ๔ ประการนี้ จนก็มีคำที่กล่าวไว้เป็นการท้าทายว่า ให้สมณะหรือผู้มีปัญญาศาสนาพราหมณ์ทั้งหลายในโลกนี้ทั้งหมดนี่ลองคิดดูทีว่า มีธรรมมะข้อไหนบ้างที่ดีกว่า ๔ ข้อนี้สำหรับฆราวาส มีการท้าทายไว้เป็นอย่างนี้ เราจะต้องท่องเหมือนกับมนตร์ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ แล้วเราจะต้องปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเผลอไม่ได้ การที่จะต้องมี สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการหาทรัพย์สมบัติ ในการหาชื่อเสียง ในการหาสังคมที่แวดล้อมเราที่ดี คือมีการมีสังคมที่สนับสนุนเราอย่างยิ่งในทางที่ดี นี้ก็เรียกว่าเรื่องความเป็นคฤหัสถ์ โดยใจความที่สำคัญที่สุดที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็นชีวิตในอันดับที่ ๒ ขึ้นมาจากพรหมจารี ซึ่งเธอทั้งหลายทุกคนก็ได้ผ่านมา แล้วก็ได้สิ้นสุดลงในการลาสิกขาในวันนี้ ทีนี้ต่อนี้ไปก็เริ่มชีวิตของคฤหัสถ์ได้เต็มที่ ตามความมุ่งหมายของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทย หรือว่าตามความประสงค์ของบิดามารดาผู้หวังดีต่อเราทุกคน หวังให้เราตั้งตนชีวิตในขั้นที่ ๒ นี้ดีที่สุด นับตั้งแต่ ศูนย์ ขึ้นศูนย์ใหม่ ขึ้น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด ไปใหม่ให้ดีที่สุดไปอีกระยะหนึ่ง ถ้ามีอะไรผิดพลาดมาแล้วแต่หนหลังไม่ต้องนึกถึงต้องตัดทิ้งเลย ไม่เอามาเป็นเรื่องเสียใจทำความรำคาญให้แก่ตัว แต่ว่าต้องไม่ประมาท ได้ตัวอย่าง ได้อุทาหรณ์ที่ดีเช่นนั้นแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่มีความประมาท ตั้งหน้าทำไปด้วยความเบิกบาน ด้วยความเชื่อตัวเอง ด้วยความเคารพนับถือตัวเองให้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้สำเร็จประโยชน์ได้ในการที่ว่าเราจะต้องทำอย่างไรในความเป็นคฤหัสถ์ ให้สมกับที่ว่าไม่เสียทีที่ได้บวช ได้เรียนรู้หนทางตามแนวของพระพุทธศาสนาว่าเราจะต้องเดินไปอย่างไร แม้ว่าเราจะสึกก็ไม่ได้หมายความว่าย้อนกลับลงไปความสู่ความต่ำ เพราะว่าเราได้ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะบวชเพื่อการศึกษาเพียงเท่านี้ แล้วก็จะได้มีความสว่างไสวในการที่ดำเนินชีวิตไปให้ถึงที่สุดจริงๆ ดังนั้นถ้าเราประสบความสำเร็จในขั้นของฆราวาสแล้ว ในบั้นปลายชีวิตเราจะเป็นวานปรัสถ์ เป็นนักบวชอีกก็ได้ หรือแม้จะไม่เป็นนักบวช ก็จะประพฤติเป็นผู้มองในด้านในอย่างนักบวช มีความเข้าใจในชีวิตยิ่งขึ้น แล้วก็สอนผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นมันก็เป็นบวชอยู่ดี เพราะไม่มีอะไรเป็นของเรา สละสิ่งที่เป็นของเราออกไปหมด ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้รู้แนวทางของชีวิต ซึ่งเป็นสายแต่ต้นจนปลายในลักษณะอย่างนี้ ก็จะได้ชื่อว่าไม่เสียทีที่ได้บวช แม้ในขณะ แม้ในช่วงเวลาอันสั้นแค่ ๓ เดือน ช่วง ๓ เดือนนี้ เราได้ใจความที่สำคัญที่สุด ที่แจ่มแจ้งที่สุด แล้วเราไปหารายละเอียดเพิ่มเติมเอาได้ทีหลังจนตลอดชีวิต ดังนั้นสำคัญอยู่ที่ใจความ สำคัญอยู่ที่แนวอันถูกต้อง สำคัญอยู่ที่ความรู้ที่จะทำให้วางแผนการหรือโครงการอะไรที่ถูกต้องลงไป แผนการหรือโครงการที่ถูกต้องก็ถือว่ามีความสำเร็จแล้วครึ่งตั้งค่อนทีเดียว ถ้าโครงการหรือหลักการมันผิดแล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ไม่มีความสำเร็จอะไรเลย ถ้าโครงการหลักการถูกมันก็มีความสำเร็จเข้าไปตั้งครึ่งตั้งค่อน เพราะฉะนั้นอย่าได้ดูหมิ่นอย่าได้ดูถูกไอ้เรื่องราวที่เกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต ที่จะต้องเป็นไปตามหลักที่ถูกต้องของการเกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าได้ดูถูกพระศาสนาหรือวัฒนธรรมประเพณีอะไรต่างๆ แม้แต่กฎของผู้ที่ไปคิดที่เป็นนักคิดมาแต่โบราณกาล ว่าเป็นของโง่เขลา งมงาย ใช้ไม่ได้สำหรับสมัยนี้ มันยังใช้ได้สำหรับสมัยนี้และสมัยต่อไปข้างหน้า เพราะว่าหลักของพระศาสนา หรือความรู้ หรือวิชาทางจิตใจอย่างนี้เขาไม่ได้เอาของภายนอกเป็นหลัก เอาความจริงของธรรมชาติเป็นหลัก และความจริงของธรรมชาตินี้ ส่วนที่เกี่ยวกับความทุกข์หรือความสุขนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้ว่าภายนอกมันจะมีการเปลี่ยนแปลงของประกอบหรือว่าของที่ก้าวหน้าในทางวัตถุแต่ในส่วนภายใน คือเรื่องกิเลสหรือเรื่องความทุกข์นั้นยังคงเดิม หลายพันปีมาแล้วเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ต่อไปข้างหน้าอีกหลายพันปีก็ยังคงเป็นอย่างนั้น คือกิเลสจะต้องเป็นเหตุเกิดความทุกข์เสมอ ความทุกข์จะต้องเกิดมาจากกิเลส โดยเฉพาะคือความโง่เขลา หลงใหล งมงาย ยึดมั่น ถือมั่นสิ่งต่างๆของธรรมชาติมาว่าเป็นของตนหรือเป็นตัวตน นี้เป็นคนโง่ โกงซึ่งหน้า ปล้นเอามาซึ่งหน้าจากธรรมชาติ เอามาเป็นของตน เพราะฉะนั้นจึงได้มีความทุกข์เหมือนกับว่าถูกธรรมชาติตบหน้าเอา เพราะฉะนั้นเราอย่าทำเล่นกับธรรมชาติในลักษณะอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องไม่ต้องมีความทุกข์เหมือนกับธรรมชาติตบหน้าเอา เราอย่าไปหลงตู่เอาของธรรมชาติมาเป็นของเรา ให้เป็นของธรรมชาติไปตามเดิม แต่ว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องใช้สอย เหมือนกับหยิบยืมใช้อย่างถูกต้อง มีความสุขสบายไป จนกว่าร่างกายนี้จะแตกดับ ถ้าถือหลักหลักอย่างนี้แล้วไม่มีทางที่จะมีความทุกข์ไม่ต้องร้องไห้และไม่ต้องหัวเราะด้วยซ้ำไป คนหัวเราะร่าเริงก็คือคนโง่ คนนั่งร้องไห้ก็คือคนโง่ โง่คนละแบบ โง่คนละอย่าง คนปกติเท่านั้นที่เรียกว่าไม่ใช่คนโง่ ถ้ารู้ธรรมะต่างๆ เหล่านี้ดีแล้วจะทำให้ปกติ ฉะนั้นเราจงมีแต่พอที่ปกติ ประกอบการงานในหน้าที่ของชีวิต ของอาชีพ ของทุกอย่างนั้นด้วยจิตใจที่ปกติ แล้วก็จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องไม่มีผิดพลาด แม้จะมีผิดพลาดบ้างก็เป็นธรรมดาเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะถูกต้อง แล้วประสบความเจริญได้จริง ดังนั้นขอให้ได้รับอานิสงค์ของการบวชนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือรู้ว่าความรู้ทางธรรมะนั้นยังคงมีความจำเป็นอยู่เสมอไป ทั้งในอดีต ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในอนาคต ต้องใช้ธรรมะอย่างเดียวกันนี้ ส่วนเรื่องทางภายนอกเรื่องโลก เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องบ้าน เรื่องเรือน อันนี้มันเป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงได้มากไปตามเรื่องของมัน แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางยั่วคนให้โง่ให้หลงมากขึ้น จนโลกนี้ต้องเป็นทุกข์ ต้องระส่ำระส่าย เพราะการเกี่ยงแย่งกัน แย่งชิงกัน แข่งขันกัน มุ่งมาตรจะทำลายกัน ในที่สุดก็ได้รับความทุกข์ไปด้วยกันทุกฝ่าย นี้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องที่ธรรมชาติตบหน้าเอาแล้วเหมือนกันทีเดียวเกือบทั้งโลก ได้แก่ คนที่หลงใหลไปในทางของวัตถุแล้วเบียดเบียนกัน นี้เราจะต้องคิดดูให้ดี เราจะไม่เราไม่จำเป็นที่ต้องไปรวมอยู่ในหมู่คนที่ถูกธรรมชาติตบหน้าเอาอย่างนั้น ที่มันต้องใช้เวลานานเป็นชั่วอายุคน หรือหลายชั่วอายุคนกว่าจะมนุษย์จะนึกได้ แล้วกลับหันหลังมาหาธรรมะกันอีก ถ้าอย่างนี้มันเสียเวลามากเกินไป เราจะอยู่ด้วยธรรมะหรือว่ารู้จักใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่เราอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นสุดของชีวิตนี้เรียกว่าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ อย่าได้ไปหลงในวิชา หรือความรู้ หรือว่าเกียรติยศ หรืออะไรบางสิ่งบางอย่างที่จะไปในลักษณะที่โง่เขลา ให้แสวงหาวิชาความรู้ ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียงในลักษณะที่ถูกต้อง ในลักษณะที่เป็นธรรมหรือประกอบไปด้วยธรรม อย่าให้ชีวิตนี้ต้องมีอาการเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น คือร้อนระอุระส่ำระสายอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน สิ่งนี้ต้องขจัดออกไปให้ได้ ให้ทำการงานอยู่ด้วยความเยือกเย็นแจ่มใสตลอดชีวิต จึงจะเรียกว่าได้ดีที่สุดที่เกิดมาเป็นมนุษย์และแถมพบพระพุทธศาสนาด้วย และแถมยังได้บวชได้เรียนในอันดับที่เป็นบรรพชิตอีกด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องทนบวช ๓ เดือนพอให้แล้วๆ ไป จะได้แต่งงานสะดวกเหมือนคนบางคนคิด ถ้าเราเป็นคนที่โง่เกินไป เราไม่ควรจะรวมอยู่ในพวกนั้น เราต้องเป็นสัตบุรุษคือมีหู ตาสว่างไสวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รู้เรื่องเกี่ยวกับชีวิต โดยนัยเหมือนทีได้ว่ามาว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ให้รู้ธรรมะในลักษณะที่กว้างขวาง โดยหัวข้อ ๔ อย่าง คือธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ คือหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ แล้วผลที่มนุษย์จะพึงได้รับตามหน้าที่นั้นๆ นี้เรียกว่ารู้ธรรมะอย่างสมบูรณ์ รายละเอียดไปหาเอาเอง แต่หัวข้อสำคัญมีอยู่อย่างนี้จะต้องขอเตือนกันอยู่เสมอ นี่เป็นแสงสว่างสำหรับคฤหัสถ์สำหรับฆราวาสของตัวทุกคน ที่จะตั้งต้นตั้งแต่นาทีนี้ไป เปลี่ยนอันดับของอาศรม เป็นอาศรมที่ ๒ คือ คฤหัสถ์ ก็พยายามให้ดีในบั้นปลายแห่งชีวิต ให้ได้เลื่อนขึ้นไปถึงอาศรมที่ ๓ คือ วานปรัสถ์ และอาศรมที่ ๔ คือ สันยาสีด้วยกันทุกคน อย่าให้เสียทีที่ว่าเราได้เกิดมาแล้วได้มาพบกัน แล้วก็ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะอย่างนี้
ที่นี้ก็ยังมีข้อปลีกย่อยบางอย่างซึ่งอยากจะกล่าวไปเสียในคราวเดียวกัน ว่าคนที่บวชแล้วสึกออกไปบางคนประมาท ไม่ทำนองว่าไอ้เรื่องบวชนี้ครึคระเลิกทีเลิกกันที อย่างนี้ไม่ถูกแน่ เป็นเรื่องความโง่ของคนนั่นเอง เรายังจะต้องเกี่ยวข้องกับศาสนา เกี่ยวข้องกับพุทธบริษัท เราจะต้องทำหน้าที่ที่ควรจะกระทำได้ในฐานะผู้ที่เคยบวชเคยเรียนแล้ว ฉะนั้นขอให้จดกันไปดีๆ ระเบียบพิธีของพุทธบริษัทมีอยู่อย่างไร จะลุก จะเดิน จะนั่ง จะนอนอย่างไร จะไหว้ จะกราบอย่างไร มีกิริยาท่าทางวาจาอย่างไรต้องทำให้ถูกต้อง ตลอดถึงว่าถ้าเขาขอร้องให้เป็นหัวหน้าอาราธนาศีลหรือทำอะไรอย่างนี้ก็ต้องทำได้แล้วอย่ากระดาก ต้องถือว่าเป็นเครื่องทดสอบตัวเองอย่างหนึ่งอยู่เสมอไปว่ามันเลวลงหรือว่าดีขึ้น และต้องให้ถือว่านี้เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไป อย่าไปทำผิดหรือยอมแพ้โดยเข้าใจผิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ถ้าเราทำได้ในที่สุดแปลว่าพิธีรีตองต่างๆ เราเป็นหัวหน้าได้นำได้อย่างนี้ มันก็เป็นการดีในทางสังคม เราจะเป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็ตาม จะมีเงินมีเกียรติอย่างไรก็ตามเรายังต้องการสังคม เมื่อสิ่งใดช่วยให้มีการสังคมได้ดี ให้มีคนรักใคร่นับถือเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งเราก็ต้องทำ ฉะนั้นเราอย่าเห็นเป็นของครึแล้วไปละอายเสีย ที่นี้คำว่าพิธี เกี่ยวกับคำว่าพิธี อยากจะบอกให้ทราบว่า คนหนุ่มๆ สมัยนี้สมัยใหม่นี้รังเกียจพิธี นั้นเป็นความโง่ของคนหนุ่มๆ สมัยใหม่เหล่านั้นเอง สิ่งที่เรียกว่าพิธีนั้นไม่ควรจะรังเกียจ แต่สิ่งที่เรียกว่าพิธีรีตองนั้นดูจะไม่ไหวหรือน่ารังเกียจ เพราะพิธีรีตองนั้นทำไปโดยไม่มีความสำนึกในเหตุผล แต่ถ้าว่าพิธีแล้วเขามีเหตุผล เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะย้ำไอ้สิ่งที่ดีที่ควรกระทำให้แน่นแฟ้นลงไปในตัวเรา ฉะนั้นเราจะคิดจะนึกหรือจะเชื่อหรือจะถืออะไรก็ตามทำครั้งเดียวไม่แน่นแฟ้น เราต้องย้ำอยู่เสมอมันจึงจะแน่นแฟ้น เพราะในขณะที่ทำพิธีนั้นเราต้องทำในความรู้สึกต้องอดทน เพราะในความที่ต้องอดทนมันเป็นการย้ำลงไปในใจอย่างแน่นแฟ้น เราจึงมีการทำพิธีที่มีเหตุผลที่ควรกระทำ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อไม่ให้ลืม แล้วก็ให้แน่นแฟ้นลงไป เพื่อเป็นเครื่องบังคับจิตใจของเราให้แน่นแฟ้นในสิ่งที่ควรกระทำ ฉะนั้นการที่เราจะต้องรับศีลบ่อยๆ หรืออะไรบ่อยๆนี้ ถ้าเราทำด้วยจิตใจมันก็มีประโยชน์ แต่ถ้าเราทำอย่างกระฟัดกระเฟียดไม่อยากจะทำเพราะไม่พอใจทำนี้ มันเป็นโทษนี้แน่นอน เราควรถือเอาประโยชน์เมื่อถึงคราวที่ต้องทำพิธีที่มีเหตุผลเราก็ต้องทำ หรือสังเกตดูว่า เขาไม่อยากจะทำเขาทำอย่างเสียไม่ได้ อย่างมีพิธีศีลก็รับอย่างที่เรียกว่า กระฟัดกระเฟียดนึกดูหมิ่นอยู่ในใจ (36:18) ไปคุยกันอยู่ในขณะที่กำลังให้ศีลนี้ก็มี อย่างนี้เป็นความโง่ของคนเหล่านั้นที่ไม่รู้ว่าพิธีนี้คืออะไร คนเหล่านั้นจึงเป็นคนไม่มีศีลธรรม เป็นคนหันเหออกจากศีลธรรม ไม่มีความละอายแก่บาป ไม่มีความละอายแก่ความชั่ว เมื่อคนเหล่านี้มีอำนาจวาสนา มีอิทธิพลมากก็ทำให้สังคมนี้เลวลงได้ ถ้าคนเหล่านั้นยังหนักแน่นอยู่ในศีลธรรมก็จะรักษาสังคมนี้ให้ยังคงมีความปลอดภัยอยู่ได้ นี่คือความสำคัญหรือไม่สำคัญของสิ่งที่เรียกว่าพิธีนี่ลองคิดดู ส่วนคำว่าพิธีรีตองนั้นมันไม่ เป็นที่แน่นอนว่าไม่ไหว เป็นของที่น่ารังเกียจ แยกออกให้ขาดจากกันเสียอย่างนี้ เราก็มีการมีความยินดีที่จะทำพิธี ที่จะร่วมพิธีที่มีเหตุผล แม้แต่การที่เราจะต้องไหว้พระสวดมนต์ หรือนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เป็นประจำนี้ก็ต้องทำ แม้ว่าเราสึกออกไปแล้ว เราก็ต้องยังต้องนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เป็นประจำทุก ทุกๆ วัน ในรอบ ๒๔ ชั่วโมง จะต้องมีเวลาระลึกนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงอยู่เพื่อป้องกันการลืมตัว จะต้องนึกถึงบิดามารดา ครูบาอาจารย์ หรือความหมายของคำว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์นั้นอย่างน้อยก็แวบหนึ่งทุกวันทุกวันในรอบ ๒๔ ชั่วโมง อันนี้จะเป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องรางที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าเครื่องรางชนิดไหน เมื่อมีพระพุทธรูปแขวนคอก็แขวนเพื่อให้นึกถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แขวนคอเฉยๆ โดยเชื่อศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงายโง่เขลา ถ้าพระแขวนอยู่ที่คอก็หมายความว่าให้ระลึกอยู่บ่อยๆ ว่า พระพุทธเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร พระสงฆ์เป็นอย่างไร ความหมายของบิดามารดาครูบาอาจารย์เป็นอย่างไรอย่างนี้ จึงจะเป็นเครื่องรางที่สมบูรณ์ ดังนั้นเราต้องมีสิ่งที่สะกิดตัวเราให้มีความละอายมีความกลัวต่อบาป ให้มีความกล้าหาญต่อบุญ พยายามทำแต่ในทางที่จะให้ความเป็นมนุษย์ของเรารุ่งเรือง
เอาละทีนี้มาพูดถึงเครื่องราง ก็อยากจะพูดต่อไปอีกหน่อยหนึ่งว่า เราต้องมีอะไรที่เป็นเครื่องสะกิดใจไม่ให้เราลืมการบวช คนก็คิดกันว่ารูปถ่ายเมื่อบวชจะช่วยไม่ให้ลืมการบวช นั้นดูจะยังไม่ดีเท่ากับว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของการบวช โดยเฉพาะเช่น จีวรและบาตร เรื่องนี้ก็ได้ความรู้สึกมา คือสังเกตเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเมื่อไปเยี่ยมวังของกรมพระยาดำรงฯ ท่านยิ้มปูน ท่านพาดูเที่ยว เที่ยวดูทั่ววังกระทั่งเข้าไปในห้องพระที่สวยงาม แล้วเห็นบาตรที่สวยงาม ไตรจีไตรจีวรทับอยู่บนบาตรนั้นในห้องพระ ถามว่านี่อะไรกัน ท่านก็บอกว่าของพ่อเมื่อบวชไว้ให้ลูกๆไหว้ ท่านว่าอย่างนี้ นี่รู้สึกสะกิดใจถึงขนาดที่ว่ามุกหรือสะดุ้งเฮือกว่าอันนี้ดีดีมาก เพราะว่าเป็นเครื่องตักเตือนตนได้ยิ่งกว่ารูปถ่าย และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในทางศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ารูปถ่าย ฉะนั้นคนที่บวชแล้วจะเอาจีวรและเอาบาตรนี้ไปไว้ขู่ตัวเองไม่ให้ลืม ไปใส่ไว้ห้องห้องที่สมควร เช่น ถ้ามีห้องพระ ห้องบูชาก็ไว้ในห้องนั้น หรือห้องรับแขก ห้องเก็บของหรืออะไรก็ได้ ถ้าเรามีความกล้าหาญพอไม่เป็นทาสสังคมเกินไป คือว่ากล้าทำสิ่งที่เราเห็นว่ามีเหตุผลของเราเองนี่ เราก็เอาบาตรจีวรนี้ไปไว้ในที่ๆ จะขู่ตัวเราเองอยู่เสมอไม่ให้ลืม คนเขลาๆ ก็ทิ้งขว้างกระจัดกระจายนับตั้งแต่วันสึก จีวรไปทาง บาตรไปทาง อะไรไปทางนี้ มันเข้าคำตำหนิที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุ อลัชชีชนิดนั้นนะเหมือนกับนกตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้ประมาณตัวเองบินขึ้นไปสูงในระดับที่มีลมอย่างแรง เรียกว่าลมเพลมพาพัดลมนั้นก็พัดให้นกตัวนั้นขาดกระจัดกระจาย ปีกไปทาง หัวไปทาง ขาไปทาง ตัวไปทางนี้ นี่คือภิกษุหรือคนที่โง่เขลาจะต้องฉิบหายจากธรรมะ ต้องสึกชนิดที่เรียกว่าจีวรไปทาง บาตรไปทาง ผ้ากรองน้ำไปทาง อะไรไปทางอย่างนี้ มันเป็นคำด่าที่ไม่ใช่เป็นสวัสดีมงคลนัก เราต้องไม่มีลักษณะอย่างนั้น ฉะนั้นจึงแนะว่าถ้าทำได้จะลองเอาอย่างกรมพระยาดำรงฯ ท่าน เอาจีวรนี้บาตรนี้ไปไว้เป็นเครื่องขู่ตัวเองให้สะดุดตาอยู่เสมอ ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาดไปจากที่ได้เคยบวชเคยเรียน รูปถ่ายดูจะไม่มีอำนาจในทางจิตใจมากเหมือนอย่างนี้สู้บาตรและจีวรนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้คนสึกเอาบาตรกับจีวรไปรักษาไว้ในฐานะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เพื่อขู่ตัวเอง ก็มีคนเชื่อและมีทำตามอยู่หลายคนเหมือนกัน ไม่ต้องออกชื่อ นี้ว่าพูดไปนี้ในฐานะเป็นเครื่องรางที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะคุ้มครองได้ดียิ่งกว่าเครื่องรางบางอย่างที่แขวนตะกรุด แขวนลูกอม แขวนอะไรต่างๆ ตามพราหมณ์ ตามประสาคนขี้ขลาดคนโง่คนเขลาไม่ใช่พุทธบริษัทเลย พุทธบริษัทต้องมีเหตุผล ต้องมีความกล้าหาญ ต้องทำอะไรให้สำเร็จประโยชน์ ถ้ายังมีพระแขวนคอก็ต้องแขวนให้ระลึกนึกในเรื่องอย่างนี้ได้ ถ้ามันรุงรังนักไม่แขวนก็ได้ แต่ให้ระลึกนึกเรื่องอย่างนี้ได้ ทั้งวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่น่าดู เช่น บาตร จีวร เป็นต้นนี้จะช่วยได้ ในฐานะที่ว่า ๒๔ ชั่วโมงจะได้สำนึกตัวครั้งหนึ่ง นี้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเรา ทีนี้เป็นประโยชน์ส่วนลูกหลาน ก็หมายความว่าลูกหลานเกิดขึ้นมามันจะได้มีจิตใจน้อมไปทางพระศาสนา ความคิดที่จะมีพระศาสนา หรือจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระศาสนา หรือเคารพศีลธรรมนั้น จะได้มีมาตั้งแต่เล็กตั้งแต่เด็ก พอเห็นบาตรเห็นจีวรของพ่อที่เคยบวชแล้วตั้งอยู่ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเรือน นี่ลองไปคิดดูถ้าเห็นด้วยก็ทำตาม แต่รวมความแล้วก็ว่า อะไรทุกอย่างที่จะเป็นไปเพื่อช่วยให้มีความมั่นคงอยู่ในธรรมะวินัยในพระศาสนานั้นต้องทำ จึงจะเป็นผู้ที่มีเครื่องรางที่คุ้มครองได้จริง เป็นผู้ได้รับประโยชน์ของสิ่งที่สูงสุด มีอำนาจที่สุดคือพระธรรมได้จริง นอกนั้นเป็นเรื่องเล่นๆ หลอกๆ ทั้งนั้น ไม่มีอะไรจริงเท่าเรื่องนี้ นี่ขอให้ทุกคนคิดเรื่องนี้ให้มาก ก็จะเป็นเครื่องช่วยให้สำเร็จประโยชน์ในการได้บวชอีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยมันก็ได้ช่วยให้เรามีจิตใจที่มั่นคง แน่ใจในการที่จะมีสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ หรือว่าเราจะได้มีสติสำนึกอยู่เสมอจะเลื่อนชั้นตัวเองจากพรหมจารีไปสู่คฤหัสถ์ จากคฤหัสถ์ไปสู่วานปรัสถ์ จากวานปรัสถ์ไปสู่สันยาส ได้เหมือนที่เคยอธิบายให้ฟังโดยไม่ยากเลย มันเลื่อนได้โดยไม่ยากเลย นี่ขอให้มีความแจ่มแจ้งแจ่มกระจ่างในข้อเท็จจริงเหล่านี้ แล้วปฏิบัติให้เกิดประโยชน์
ที่นี้เรื่องสุดท้ายที่จะพูดก็คือเรื่องให้ศีลให้พรแก่คนสึก คนลาสึก ลาสิกขานี้ ได้พูดแล้วว่าลาสิกขานี่ไม่ใช่กลับไปสู่ความเลว คนโง่เข้าใจผิดเพราะว่าลาสึก ไปเข้าใจคำว่าลาสึก ส เสือ สระอึ ก สะกด ลาสึกคือสึกหรอ นั่นมันเข้าใจผิด มันมาจากคำว่าศึกษาหรือสิกขา ลาสิกขาไม่ใช่ลาสึก ไม่ใช่สึกหรอ ฉะนั้นเราต้องไม่ใช่สึกหรอ ทีนี้คนโง่ๆ เหล่านั้นมันกลัวสึกหรอมันก็รดน้ำมนต์กันใหญ่ ทำพิธีรีตอง นี่ไม่ใช่พิธีแต่เป็นรีตอง รดน้ำมนต์กันใหญ่ อะไรกันใหญ่ ทำบายศรีทำอะไรกันก็มี มันโง่ที่ไม่รู้จักให้ศีลให้พรอย่างแท้จริงตามแบบของพระพุทธเจ้า ธรรมะนั่นแหละเป็นศีลเป็นพรเป็นน้ำมนต์ ธรรมะนั้นเป็นน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีการประพฤติปฏิบัติธรรมะ ตามที่ได้ว่ากล่าวแนะนำสั่งสอนตักเตือนชี้แจงกันอยู่เสมอนี่กระทั่งถึงวาระสุดท้ายนี้ก็ยังพูดถึงสิ่งนี้ ฉะนั้นถ้ามีความเชื่อมีความเข้าใจ มีความประพฤติปฏิบัติตามแล้วนั่นจะเป็นน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์รดอาบจิตใจแท้จริงอยู่เสมอตลอดเวลา ที่นี้เราถือว่าไอ้รดน้ำมนต์พรมด้วยใบ ใบมะยม ใบมงคลอะไรต่างๆ นั้นเคยทำกันมามากแล้ว มันจะเหลือเฟือแล้ว ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้พวกเธอคงจะถูกพรมน้ำมนต์นี้นับได้สิบครั้งร้อยครั้งแล้วก็ได้ ฉะนั้นมันจึงให้โอกาสเราในการที่จะรดน้ำมนต์อย่างอื่นบ้าง คือรดน้ำมนต์ตามแบบของพระพุทธเจ้านี้ก็ให้มีสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป ให้มีความกล้าหาญต่อการบำเพ็ญบุญ แล้วให้มีวัตถุ สิ่งของที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น บาตร จีวรนี้ เป็นเครื่องตักเตือนตน คุ้มครองตนไม่ให้ออกไปนอกทางของพระธรรม นี้คือการรดน้ำมนต์ ในขณะนี้ เวลานี้ และตลอดกัลปาวสาน ถ้ายังมีความยึดว่ามีตัวตนอยู่อย่างไรก็ให้มันตลอดเวลานั้น
ในที่สุดหวังว่าทุกคนจะเห็นแก่ธรรมะโดยไม่ต้องพูดถึงอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ได้ แต่ว่าต้องเห็นแก่ธรรมะแล้วมันก็รวมอุปัชฌาย์อาจารย์อยู่ในนั้นเอง เราพยายามเคารพธรรมะให้เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมมะ บทสวดมนต์ (นาทีที่ 48.11) พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ในอดีตก็เคารพธรรมะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกองค์ในอนาคตจัดมาข้างหน้าก็เคารพธรรมะ แม้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ก็เคารพธรรมะ ฉะนั้นเราจึงต้องเคารพธรรมะ ด้วยการศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ มีความเชื่อแน่นแฟ้นแล้วก็ปฏิบัติ มีความเจริญก้าวหน้าในทางของพระศาสนา สมกับการที่ได้บวชได้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจในการนำไปปฏิบัติเพื่อได้ประสบความสำเร็จในการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบและได้พบพระพุทธศาสนา ไม่เสียทีที่เกิดมา จงทุกๆคนเทอญ สาธุ กราบ