แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในโอกาสแห่งการลาสิกขานี้ ควรจะได้ทำความเข้าใจกันบางอย่าง ขอให้ตั้งใจฟังเพื่อความสมบูรณ์ของการกระทำ นับตั้งแต่ข้อที่ว่าเราไม่ต้องทำสังฆกรรม(นาทีที่0.38)ในการลาสิกขา และความหมายการลาสิกขา ไม่ได้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และไม่หลงเข้าใจผิดไปว่ารับศีลใหม่นี้ พอศีลขาดหมด หรือว่ารับสรณาคมน์ใหม่นี้ เพราะสรณาคมน์ขาดหมด เพราะว่าเราไม่ได้บอกคืนสรณาคมน์ ขอให้สรณาคมน์เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยไม่มีขาดตอนจนกระทั่งสิ้นชีวิต สรณาคมน์จะขาดตอนต่อเมื่อกล่าวปฏิเสธพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือประพฤติตนชนิดที่เป็นการย่ำยีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึงที่สุด นั่นจึงจะเรียกว่าขาดสรณาคมน์ ต้องรับสรณาคมน์กันใหม่เป็นพิธีรีตอง ส่วนในเมืองไทยนี้มีพิธีอะไรก็บอกยาก รับศีลรับสรณาคมน์กันเรื่อย นี่เราอย่าไปหลงเข้าใจผิดว่ามันมีขาดเรื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลาสิกขานี้ ไม่ได้บอกปฏิเสธพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้บอกคืน นี่คงถือว่าเราเคยรับสรณาคมน์เป็นครั้งแรกมาตั้งแต่เล็ก หรือว่าด้วยเหตุที่มีเลือดเนื้อมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัท เราก็คงเป็นผู้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะมาตั้งแต่ในเลือดในเนื้อกระทั่งการบอกรับสมาทานด้วยปากตั้งแต่เล็กมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มาจนตลอดชีวิตด้วย ฉะนั้นการลาสิกขาในวันนี้ไม่เกี่ยวกับการบอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีการกระทบกระเทือนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้ถืออยู่เป็นปกติ ตั้งแต่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มา หรือว่าความที่มีอยู่ในเลือดในเนื้อของตัว ก็ไม่ถูกกระทบกระเทือน ต้องเป็นผู้แน่ใจในข้อนี้ด้วย ที่นี้เกี่ยวกับธรรมเนียมสึกนี่ก็เหมือนกัน มันมีหลายความหมาย สำหรับในประเทศที่ไม่มีธรรมเนียมสึก การสึกนั้นถือเป็นเรื่องเสียหายหมดใช้ไม่ได้เลย เป็นที่ตำหนิติเตียนดูหมิ่นดูแคลนของคนทั้งหลายหรือของสังคม โดยเฉพาะในครั้งพุทธกาลเนี่ย การสึกถือว่าเป็นเรื่องที่ดูหมิ่นถูกดูหมิ่น แต่ในประเทศไทยเรามีธรรมเนียมอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้กุลบุตรได้เข้ามาใกล้ชิดพระศาสนายิ่งขึ้นชั่วเวลาระยะหนึ่งเป็นครั้งคราว โดยตั้งใจว่าจะลาสึกเสียแล้ว ดังนั้นจึงผิดกัน คำว่าสึกนั้นฟังดูให้ดี เพื่อให้รู้ว่ามาจากคำว่า “ลาสิกขา” คำว่าสึกนั้นมาจากคำว่า “ศึกษา” ลา ลาศึกษา คำว่าสิกขาเป็นภาษาบาลี ศึกษาเป็นภาษาไทยที่มาจากสันสกฤต เรานิยมออกเสียงเป็น “สึก-สา” ไม่ออกเสียงว่า “สิก-ฉา”(นาทีที่ 5.16) หรือว่า “สิก – ขา ” แต่เราออกเสียงเป็น “สึก-สา” หมายถึง สิกขา ที่นี้ศึกษานั้นเราเรียกสั้นไปเหลือแต่สึก ฉะนั้นลาสึกก็คือลาศึกษา หรือลาสิกขานั่นเอง จึงต้องเขียนเนี่ย “ ศอ-สระอึ-กอ-ษ์ ”(นาทีที่ 5.36) ถูกกว่า เรียกว่าลาสึก ไม่ใช่ลาสึกอย่างศอ-รอ-สระอึ-กอ(นาทีที่ 5.46) ซึ่งเป็นการสึกหรอ ที่คนเข้าใจผิดมันก็ทำให้จิตใจสึกหรอได้เหมือนกัน นี่เราควรจะเข้าใจให้ถูกเสียว่าไม่ได้ลาสึกในรูปนั้น ไม่ใช้คำว่าสึกหรอ แต่ต้องคำว่าศึกษาซึ่งมาจากสิกขา ดังนั้นจึงลาการศึกษา คือการปฏิบัติอย่างภิกษุไปสู่ศึกษาหรือสิกขาอย่างฆราวาส รู้จักคำว่าสึก(นาทีที่ 6.20)สองคำนี้ให้ดีๆ ที่นี้เราไม่ได้มีเหตุที่ต้องสึกเพราะความเสียหาย ต้องสึกเพราะเหตุผลเพราะความตั้งใจหรือเพราะโอกาสอำนวยให้เพียงเท่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้ทราบไว้กว้างๆทั่วๆไปหมด เพราะคำว่าลาสึกนี้มันมีความหมายอย่างไร ที่เป็นไปในทางผิด มีภาษาบาลีเรียกว่า “ วิพพามานะ วิพพามานัง ” (นาทีที่ 7.04) เรียกว่าหมุนไปผิด แปลว่าหมุนไปผิด อย่างนั้นหมุนไปสู่มิจฉาทิฐิ จึงได้สึกจึงไปถือลัทธิอื่นศาสนาอื่น หรือแม้แต่มิจฉาทิฐิว่าการบวชนี้ใช้อะไรไม่ได้ ไร้ความหมายไม่มีประโยชน์ อย่างนี้ก็เรียกว่า “ วิพพามานะ”(นาทีที่ 7.28) คือหมุนไปผิดหมุนไปผิดทาง ที่นี้ไอ้คำที่ว่า “ อินายะ วัตถติ ”(นาทีที่ 7.38) หมุนไปสู่ความต่ำหรือความเลว มันก็หมายถึงว่ามันเป็นคนที่มีความเข้าใจผิดอย่างเดียวกันอีก(นาทีที่7.53) จึงหมุนไปหาความต่ำหรือความเลว สำหรับครั้งพุทธกาลก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่สำหรับเดี๋ยวนี้เรามีสติสัมปชัญญะบวชเข้ามาด้วยความรู้สึกเวลาจำกัด และก็มีสติสัมปชัญญะเปลี่ยนการ ระเบียบ เปลี่ยนระเบียบการปฏิบัติสิกขานี้ออกไป จึงไม่ใช่เรื่องหมุนไปผิดหรือหมุนไปสู่ความเลว นี่เราก็มีการบอกคืนสิกขาเขาเรียกว่า “ ทุกกริยัง อาวิพสรณัง ”(นาทีที่ 8.35) คือบอกความที่ไม่สามารถหรือความถอยกำลัง หรือความไม่สามารถที่จะประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุที่กล่าวเมื่อตะกี้นี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายแต่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เราก็บอกความเป็นผู้ไม่สามารถจะประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุ พอกล่าวคืนสิกขาอย่างภิกษุไปสู่สิกขาอย่างฆราวาสที่เป็นพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเนี่ย ถ้าจะเรียกก็เรียกว่าเปลี่ยนเพศจากเพศบรรพชิตไปสู่เพศคฤหัสถ์ เปลี่ยนจากพุทธบริษัทอย่างบรรพชิตไปสู่พุทธบริษัทอย่างคฤหัสถ์ ไม่ใช่เรื่องเปลื้องผ้าเหลืองทิ้งเพราะไม่ชอบ เหมือนคนบางคนหรือมีมากเหมือนกันในคนหนุ่มๆ ที่มันฝืนบวชเข้ามาด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งผ้าเหลืองร้อนอยู่ตลอดเวลา มันเปลื้องผ้าเหลืองทิ้ง รู้สึกเหมือนกับนกหลุดจากกรงหรือคนหลุดจากคุกตาราง นั่นเป็นอีกพวกหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเราในที่นี้ในโอกาสนี้ นี่เราจะต้องระวังให้จิตใจของเรามีสติสัมปชัญญะที่ถูกต้อง ไม่มีความเศร้าไม่มีความรู้สึกว่าเสียหายอยู่เสมอ ก็จะไม่เป็นไปอย่างนั้นเรารู้ความหมายคำว่าบัณฑิต เพราะธรรมเนียมนี้เขาตั้งกันมาคู่กันมากับการบวชชั่วคราวในเมืองไทยนี้ สึกออกแล้วไปเป็นบัณฑิต เอาธรรมเนียมโบราณในพุทธกาล ในครั้งในประเทศอินเดียมาใช้ ผู้ที่เรียนจบหลักสูตรอะไรของอาจารย์แล้ว อาจารย์พอใจแล้วก็เรียกว่าบัณฑิตให้ไปประกอบหน้าที่นั้นๆได้ นี่มีมาแต่โบรงโบราณในอินเดียเรียกว่าบัณฑิต พวกอินเดียมาเป็นครูบาอาจารย์ก็เอาวิธีนี้มาให้ เรียกคนสึกใหม่พร้อมที่จะออกไปเป็นพ่อบ้านที่ดีว่าบัณฑิต ที่นี้คนมันเลวเองไปทำบกพร่องสึกแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ ลุ่มล่ามบ้างเป็นอย่างน้อย ทุกทีทำเลวกว่านั้น ก็เกิดคำล้อเลียนว่าเป็นทิดหรือเป็นพี่ทิด ที่จริงก็มาจากคำว่าบัณฑิต เพราะเมืองไทยออกเสียง “ดิด ” ว่า “ ทิด ” เป็น “บัน – ทิด” เดี๋ยวนี้เราออกเสียงกันถูกต้องว่า “บัน-ดิด” นะ ธุรกรรมบัณฑิต(นาทีที่ 11.54) เป็นความหมายอย่างหนึ่ง พี่ทิดหรือทิดเป็นความหมายอีกอย่างหนึ่ง เป็นคำเลวร้ายสำหรับใช้ติเตียน แต่คำบัณฑิตเนี่ยยังเป็นคำดีอยู่ ใช้สำหรับอุดมคติอันมีอยู่ว่า เราเรียนบวชเรียนครบถ้วนแล้วเป็นบัณฑิต บัณฑิตแปลว่าผู้มีปัญญาที่จะเอาตัวรอด ปัญดา(นาทีที่12.23)แปลว่าปัญญาเอาตัวรอด ดิด(นาทีที่12.25)แปลว่ามี บัณฑิตแปลว่ามีปัญดาหรือมีปัญญาจึงเอาตัวรอด ใช้ได้ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่นี้สำหรับคฤหัสถ์เอาตัวรอดความหมายก็ลดต่ำลงไปตามส่วน โดยเฉพาะก็มุ่งหมายกันเรื่องของฆราวาสอย่างเดียว โดยสรุปแล้วคือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศพอตัว มีสังคมคือมิตรสหายที่ดีพอตัว นี่เราก็ต้องระลึกไว้เสมอว่ามันจะต้องมีไอ้สิ่งเหล่านี้ให้ได้ หรือมาแต่ต้นจนกระทั่งต่อไป มีทรัพย์สมบัติพอตัวด้วยการมีวิธีหา(นาทีที่ 13.12 )ที่ถูกต้องที่บริสุทธิ์ แม้มีแต่ทรัพย์สมบัติใช้ไม่ได้ ต้องมีความดีมีชื่อเสียงให้เขาเคารพนับถือด้วย ต้องสร้างเกียรติขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ ที่นี้ไอ้สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งคือเพื่อนที่ดีที่เรียกว่าไมตรี ความเป็นมิตรต่อบุคคลที่เป็นมิตร มิตรคือคนที่ดีที่ต้องมี มันคนละเรื่องกับทรัพย์สมบัติและเกียรติยศ คนมีเกียรติยศแต่ไม่มีมิตรที่เป็นกัลยาณมิตรก็มี มิตรเลวๆไม่นับว่าเป็นมิตรในชีวิต นี่ถ้าผู้ใดฆราวาสคนใดสร้างสิ่งทั้งสามนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นแหล่ะคือผลของการเป็นบัณฑิต เพราะการสร้างสิ่งทั้งสามนั้นเป็นการประพฤติธรรมะอยู่ในตัว ก็ต้องหาทรัพย์โดยบริสุทธิ์ หาเกียรติโดยบริสุทธิ์ หามิตรโดยถูกต้อง เป็นการประพฤติธรรมะทุกๆประการอยู่ในตัว จึงได้เรียกว่าเป็นบัณฑิตและมันก็ถูกต้อง ฉะนั้นเราระลึกนึกถึงหัวข้อเหล่านี้ไว้ว่าเป็นบัณฑิตหมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้บวชแล้ว แล้วก็สึกแล้วก็ต้องเป็นบัณฑิตตามแนวนี้ ไม่ใช่เป็นทิดหรือพี่ทิด ที่นี้อยากให้เข้าใจเป็นพิเศษข้อหนึ่งที่ว่า ที่เราสึกออกไปนี้อย่าได้ถือว่าเป็นการตกต่ำ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งถอยหลัง คือให้เป็นว่ามันเดินทางอยู่เรื่อย จะเป็นฆราวาสก็เดินทางอยู่เรื่อย เป็นพระก็เดินทางเป็นฆราวาสก็เดินทาง ถ้าทำถูกวิธีนั้นเป็นพระเดินเร็วกว่า ฆราวาสเดินช้ากว่า แต่ว่าเป็นนักบวชที่เดินผิดทางก็มีทำไม่ถูกวิธีเดินช้ากว่าฆราวาสก็มี นี่หมายถึงจิตใจ จิตใจที่ก้าวหน้าไป พวกที่อยู่ในรูปแบบของฆราวาสบางคนมีจิตใจก้าวหน้าเร็วกว่านักบวชในวัดก็มี นี่ถ้าหากว่าเรายังคงรักษาอุดมคติของความเป็นมนุษย์ที่เกี่ยวกับธรรมะไว้ได้ การเดินทางนั้นก็ยังมีอยู่เรื่อย ไม่ใช่ว่าเป็นฆราวาสแล้วถอยหลัง ฉะนั้นต้องระวังให้ดีดีในเรื่องเป็นฆราวาสให้มีการงานที่บริสุทธิ์แล้วมันเป็นการเดินทางที่ดีอยู่เรื่อย ก้าวหน้ากว่าพระจำนวนมากก็ได้ ข้อนี้ระลึกถึงการที่พระอริยบุคคลมีในหมู่ฆราวาส ความเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ชั้นสกิทาคามี ชั้นอนาคามีมีอยู่ได้ในเพศฆราวาส ฉะนั้นเราก็ต้องถือว่าพระอริยบุคคลแม้เป็นฆราวาสก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าภิกษุ บรรพชิตที่ไม่ได้เป็นที่ไม่เป็นอริยบุคคล ฉะนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเพื่อความเป็นพระอริยบุคคลในเพศฆราวาสต่อไป ไม่ใช่เห่อ ไม่ใช่อวดดี ไม่ใช่เห่ออย่างเกินตัว ก็ต้องเข้าใจไว้ว่ามันเป็นหน้าที่ หน้าที่โดยตรง หน้าที่ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้งพุทธกาลเป็นฆราวาสเป็นพระอริยบุคคลเยอะแยะมากไปกว่าฆราวาสก็ได้ โดยเฉพาะชั้นพระโสดาบันที่มีความก้าวหน้าในทางจิตใจระดับหนึ่งแจ่มแจ้งแจ่มใสอยู่ในเรื่องของพระนิพพานตลอดเวลาแม้จะยังไม่ถึงโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นฆราวาสเหล่านี้เป็นพระโสดาบัน เป็นอริยบุคคลตั้งอยู่ในฐานะที่สูงแม้กว่า กว่าบรรพชิตที่ไม่มีคุณธรรมชนิดนี้ ฉะนั้นเราเพ่งเล็งข้อนี้เป็นหลักแล้วไม่มีการถอยหลัง มีแต่การเดินไปเรื่อย ถ้าทำถูกวิธีมันก็เดินไม่ช้า สิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์นี่ถ้าทำถูกวิธีแล้วไม่ยาก ลองผิดวิธีแล้วก็ยากเหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขา ยากขนาดนั้น แต่ถ้าทำถูกวิธีแล้วทำได้พร้อมๆกันไปกับการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือการทำการงาน ฉะนั้นระวังจัดให้การงานเนี่ยเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว ซึ่งเป็นความจริงอย่างยิ่ง เรื่องการงานคือการปฏิบัติธรรมะนี่ได้เขียนได้อธิบายไว้ในที่อื่นมาก มากพอแล้วและก็ยืดยาว ไม่จำเป็นจะต้องเอามาพูดในที่นี้ซึ่งไม่มีเวลาพอ และก็ไปหาอ่านเอาเองอีกเรื่อยๆบ่อยๆให้เข้าใจคำว่าการงานคือการปฏิบัติธรรมะอยู่เสมอไป ที่นี้ไอ้การทำการงานก้าวหน้า การปฏิบัติธรรมะก็ก้าวหน้า แล้วเป็นฆราวาสที่ก้าวหน้าไปตามทางของพระนิพพาน แต่เราอย่าไปต้องการทดสอบว่าเป็นพระโสดาบันหรือยังทำนองนี้ อย่าทำอย่างนั้นเลย เพราะการทำอย่างนั้นมีทาง ทางร้ายมีทางเสียหายมากกว่า มีแต่ว่าทำให้สุดความสามารถอยู่เรื่อยมันก็เป็นไปเองถึงได้เองโดยไม่ต้องรู้ก็ได้ คืออาจจะรู้ได้เองในทีหลังภายหลัง รู้แต่ว่ามันสูงขึ้น เกิดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้น สงบขึ้นทุกทีแล้วกัน ในตัวการงานหรือในตัวชีวิต เนี่ยจะมีความภาคภูมิใจว่าเราแม้ศึกออกไปแล้วก็ยังเป็นคนของพระพุทธเจ้า เป็นคนของพระพุทธองค์อยู่เสมอและยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย ยิ่งกว่าที่แล้วมา หรือยิ่งกว่าที่เป็นภิกษุด้วยซ้ำไป เราถือว่าเราเป็นคนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ นี่จะเขียนไว้หรือว่าจะมีอะไรสะกิดใจไว้เสมอว่าเราเป็นคนของพระพุทธเจ้า ถ้าจะแขวนพระเครื่องรางก็แขวน อย่าแขวนเป็นเครื่องรางมันเป็นเรื่องโง่ แขวนเป็นเครื่องสะกิดใจว่าฉันเป็นคนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอก็ใช้ได้เหมือนกัน ที่นี้เราก็ต้องทำตนให้เป็นคนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอจริงๆเหมือนที่กล่าวมาแล้ว ก็มีหลักปฏิบัติเกิดขึ้นว่าเราจะทำอะไร เราต้องระลึกก่อนว่าในฐานะที่เราเป็นคนของพระพุทธเจ้าเนี่ย เราจะต้องระลึกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะแนะนำเรื่องนี้อย่างไร เพราะถ้าเราเช่นว่าเราคิดจะทำอะไรใหม่มานี้ เราก็ต้องนึกก่อนว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านทราบเรื่องนี้ท่านจะแนะว่าควรทำหรือไม่ควรทำ ถ้าควรทำก็ควรทำอย่างไร หรือว่าถ้าเกิดความเสียหายร้ายกาจเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นมา ก็ต้องนึกถึงว่าพระพุทธเจ้าท่านจะแนะอย่างไร ท่านจะแนะให้นั่งร้องไห้หรือว่าจะแนะอย่างไร หรือว่าถ้าเกิดปัญหาระหว่างบุคคลเกี่ยวกับคนอื่น เกี่ยวกับสังคมอะไรขึ้นมา เกี่ยวกับบุตรภรรยา เกี่ยวกับคนใช้ เกี่ยวกับคนอื่นก็ตาม มันเป็นปัญหาที่ตัดสินใจยาก ก็ต้องสำรวมนึกก่อนเสมอว่าพระพุทธเจ้าท่านจะแนะอย่างไร เราให้พระพุทธเจ้าอยู่กับเราเสมอไป ตอบปัญหาไว้เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร ถ้าทำได้อย่างนี้ไม่มีทางผิดพลาด ไม่มีทางทุกข์ร้อน ไม่มีโอกาสที่จะโง่ จะหลงไป ทุกข์ไป ร้อนไป ทำผิดทำชั่ว นี่มันเป็นเครื่องรางยิ่งกว่าเครื่องราง ไม่ใช่เครื่องรางตามความหมายที่เขาถือกันโดยมาก เรื่องอยู่ยงคงกระพัน เรื่องทำความชั่วแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องรับโทษ นั่นเป็นความโง่ คำว่าเครื่องรางมันหมายความถึงว่าพระพุทธเจ้าท่านจะคุ้มครองไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้มีความทุกข์ได้ในลักษณะของธรรมะอย่างนี้ นี่เราเป็นผู้ที่มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างนี้เสมอไป ขอให้เข้าใจในความเป็นพุทธบริษัทหรือเป็นอะไรไว้ให้ถูกต้อง จนกระทั่งออกไปเป็นฆราวาสแล้วก็ยิ่งใกล้ชิดพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นทุกที ที่นี้ความหมายของคำต่างๆมันควรจะเปลี่ยนไปตามความรู้สึกของเราที่ได้บวชได้เรียนแล้วมันสูงขึ้น ยกตัวอย่างให้ฟังบางคำ เช่นว่าคำว่าสมรสอย่างนี้ ไอ้เด็กหนุ่มเด็กสาวมันก็คงจะเพ่งเล็งไปเรื่องของความสุขหรือความสนุกสนานเกี่ยวกับเพศ แต่ที่แท้มันก็ไม่ถูกกับคำ ไอ้คำว่าสมรสนี้แปลว่ามีรสเสมอกัน คำว่ารสเนี่ยภาษาบาลีแปลว่ากิจก็ได้ กิจการงาน คำว่ารสมีความหมายเท่ากับคำว่ากิจ คำว่าสมรสก็คือมีรสเสมอกัน มีกิจเสมอกัน มีการงานเสมอกัน มีความพอใจอย่างเดียวกัน มีอุดมคติอย่างเดียวกัน มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน มีการกระทำอย่างเดียวกัน นั่นแหล่ะคือสมรส ฉะนั้นผู้ที่เป็นภรรยาคือผู้ที่มีอะไรเหมือนกัน ฉะนั้นจึงเข้ากันได้ และแบ่งหน้าที่ให้ง่ายลง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือว่าแทนกันได้ ทำหน้าที่แทนกันได้ ดังนั้นคำว่าสมรสอย่างนี้มีความหมายถูกต้องและเต็มที่ ก็เป็นความหมายอย่างพุทธบริษัทแท้ ไม่ใช่สมรสอย่างที่เด็กๆเข้าใจ ทีนี้เมื่อเราบวชเรียนแล้วเราก็ควรจะรู้มันดีขึ้นกว่าเดิม คำว่าภริยามันก็ไม่ใช่ผู้ที่สำหรับจะหาความสนุกสนานเพลิดเพลินเกี่ยวกับเพศ เรียกว่าเป็นผู้ที่ร่วมเดินทาง เดินทางไกลไปด้วยกันเป็นเพื่อน ฉะนั้นจึงมีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เกิดความง่ายแก่การเดินทางนั้น อย่างแรกคือว่าเรื่องทรัพย์ เรื่องยศ เรื่องไมตรี สามอย่างขั้นต้นเป็นการเดินทางเป็นจุดหมายปลายทาง มันก็ต้องช่วยกันทำให้การเดินทางนั้นง่ายเข้าเร็วเข้า คือเป็นอย่างที่เรียกว่าคู่สุข คู่ทุกข์ คู่แบ่งเบาภาระ ให้การเดินทางเบาขึ้นและเร็วขึ้น ที่นี้คำว่าความรักหรืออะไรทำนองนี้มันเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่ความบ้าหลังด้วยอำนาจกิเลส แต่ความที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน รู้สึกผูกพันกันว่าความรักนี้เป็นเครื่องสมัครสมานผูกพันให้เกิดการเดินทางที่แน่นแฟ้น ที่ไม่แยกจากกัน แล้วมีความมุ่งหมายที่จะให้เกิดความอดกลั้นอดทนในความยากลำบากต่างๆได้ กระทั่งให้เป็นสิ่งที่ยืดยาว หรือว่าเป็นเหตุให้เกิดบุตร คำว่าบุตรคือผู้ที่จะทำงานที่เราทำค้างไว้ ที่มนุษย์ทำค้างไว้เกี่ยวกับการเดินทาง ถ้าบิดามารดาเดินไม่ถึง บุตรก็ต้องเดินต่อไปจนกระทั่งมนุษย์ถึงที่สุดของการเดินทาง เราไม่ได้ใช้คำว่าคนว่าเราคนเดียวเราใช้คำว่ามนุษย์ มนุษย์จะต้องวิวัฒนาการไปจนถึงนิพพาน ในระยะพ่อแม่ไปไม่ถึง ระยะลูกหลานเหลนก็ทำดีขึ้นดีขึ้นจนถึง ต้องให้มีความหมายเกี่ยวกับคำว่าบุตรไว้ในลักษณะอย่างนี้ อย่าให้เป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป จะเป็นที่รักที่พอใจของเราคนเดียว เราแก่เฒ่าชรามันจะได้เลี้ยงดูเราอย่างนี้มันแคบมันเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป และบางคนยังไม่ได้ถึงอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับพุทธบริษัทแล้วควรจะมากกว่านั้น คือเป็นผู้สืบตระกูลของการบรรลุมรรคผลนิพพานทีเดียว คือทำงานที่บิดามารดาทำไว้ค้างคานี้ต่อไป ฉะนั้นเราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ ด้วยการทำความเข้าใจกับบุตร ภรรยาเนี่ยให้ถูกต้อง ต้องไม่ท้อถอยในการที่ทำความเข้าใจกับบุตรภรรยาให้ถูกต้อง เพราะว่าถ้าไม่อย่างนั้นมันกลายเป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างยิ่ง หรือว่าถ้ามันมีความมุ่งหมายคนละทางแล้วมันก็ดึงกันมากเกินไป ฉะนั้นเราจะต้องหาโอกาสทำความเข้าใจให้เขารู้เรื่องของการเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่ออะไร มนุษย์จะต้องเดินทางไปที่ไหน ให้ให้ถูกต้องด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นผู้หญิงก็ควรจะบวช บวชชี บวชอะไรก็ได้ เพื่อรู้เรื่องเหล่านี้ดี ในทางสำนักนี่จะให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดี เมื่อทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกมีความเข้าใจของความเป็นมนุษย์ดีว่าเกิดมาทำไม เรื่องในครอบครัวเนี่ยมันจะง่าย เพราะมันจะไม่มีอะไรที่ดึงไปคนละทิศคนละทาง เป็นผู้ที่มีการงาน เป็นการปฏิบัติธรรม มีการปฏิบัติธรรม มีการงานเหมือนกันไปหมด มันก็ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่ง ก็เลยเป็นสุขด้วยก้าวหน้าเจริญในเรื่องนี้ด้วย ฉะนั้นการอบรมบุตรภรรยาให้รู้ความหมายของสิ่งเหล่านี้ให้ดีเหมือนกับเราเนี่ย เป็นเคล็ดอันหนึ่งเป็นความลับอันหนึ่งที่จะต้องใช้ที่จะต้องทำให้ถึงที่สุด ที่นี้คำว่าทรัพย์สมบัติเหมือนกันไม่ใช่เรื่องที่มีไว้สำหรับสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง มันต้องไว้ใช้เพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ของเราเอง หรือมนุษย์ทั้งหมดนี้ให้เป็นมนุษย์ที่งดงามที่ดีขึ้นที่ถึงที่สุด มันเป็นประโยชน์ที่ถูกต้องสำหรับความก้าวหน้าของเราหรือของมนุษย์ทั้งหมดด้วย ของโลกดีกว่า ที่นี้คำว่าอาชีพเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อาชีพมันคือเครื่องมือที่ให้เราดำรงความเป็นมนุษย์อยู่ได้เพื่อก้าวหน้าไปตามทางของมนุษย์ เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ถ้าหาเพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหานิดเดียวก็พอ แต่ที่เราทำกันมากมายนี้ เพื่อดำรงอยู่อย่างมนุษย์ที่มีประโยชน์กว้างขวาง เพื่อผลอันใหญ่หลวงข้างหน้าของมนุษย์ เพื่อความสนุกสนานเอร็ดอร่อยเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องความเจริญทางจิตใจของเราและของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่โต ในทรัพย์สมบัติหรืออาชีพที่เราประกอบกันนี่ เราก็ประกอบกันอยู่เรื่อยๆเพื่อผลอันนี้ ที่นี้มิตรสหายนั้นก็สำคัญมากไม่ใช่เพื่อนกินเหล้าหรือไม่ใช่เพื่อนเล่นหัว เพื่อนที่ แต่เป็นเพื่อนที่ช่วยสนับสนุนคอยประคับประคองคอยป้องกันไม่ให้ตกต่ำ และคอยลากจูงไปในทางสูง ฉะนั้นต้องมีความเป็นมิตรแก่คนทุกคนตามหลักของพระพุทธภาษิตที่ว่า คนที่เลวกว่าต่ำกว่า ไม่ใช่เลวกว่าหรือว่าเลวกว่าก็ตามเราต้องสงสาร คนที่ดีกว่าเราต้องเคารพนับถือเชื่อฟัง คนที่เสมอกันเราคบหาสมาคมอย่างคนเสมอกัน แล้วเราก็มีหน้าที่ที่ต้องเป็นมิตรทั้งแก่คนที่ต่ำกว่าเลวกว่าและแก่คนที่สูงกว่าและแก่คนที่เสมอกัน ที่ต่ำกว่าต้องสงสารที่เสมอกันก็คบหา ที่สูงกว่าก็นับถือ คำว่ามิตรแปลว่า “ ผู้มีใจดี คือ มีเมตตา ” คำว่าสหายแปลว่า “ ผู้ร่วมงาน ” สะ แปลว่า “ ร่วม ” หายแปลว่า อายะแปลว่า “ไป” อายะแปลว่า “ไป” สห(นาทีที่ 33.54 )แปลว่า “ด้วยกัน” สะหายะ(นาทีที่ 33.56 )แปลว่า “ไปด้วยกัน” คือผู้ร่วมงาน แต่คำว่ามิตรเนี่ยมาจากคำว่ามีใจดีมีเมตตากรุณา ต้องเป็นคนที่มีความรัก มีความซื่อตรงมีความหวังดี ถ้าลองมีความหวังดีแล้วแม้คนที่ต่ำกว่าเรามันก็มีประโยชน์ คือมันช่วยดันเราขึ้นมาให้สูง พวกที่อยู่สูงกว่าเราช่วยดึงเราให้สูงขึ้นไปอีก พวกที่อยู่ต่ำกว่าก็ช่วยดันส่งท้ายขึ้นไป พวกที่เสมอกันก็แวดล้อมอยู่เคียงข้างและพาไป ซึ่งมิตรทั้งสามชนิดนี้จึงเป็นมิตรกันหมด อยู่ในฐานะที่ควรคบหาสมาคมทั้งหมด นี่เราเข้าใจคำว่าสมรส ภริยา บุตร ทรัพย์สมบัติ อาชีพ มิตรสหายเหล่านี้เสียใหม่ให้สูงกว่าที่แล้วมา เพราะว่าเราได้บวชได้เรียนแล้ว แม้แต่คำว่าสืบสกุลก็น่าจะมีความหมายสูงไปกว่าที่เคยนึกกันทีแรกว่า สืบสกุลด้วยลูกด้วยหลาน นี่อย่าไปหวังนักถ้าผิดพลาดก็อย่าไปเสียใจ เราทำให้ดีที่สุดมันก็คงไม่ผิดหวัง แต่ถ้าผิดหวังเราก็ไม่เสียใจเพราะมันมีทางสืบสกุลอย่างอื่น ซึ่งดีและยิ่งไปกว่าโดยลูกโดยหลานก็ได้ คือสืบสกุลด้วยความดีที่เรากระทำไว้ในโลก ยกตัวอย่าง อย่างพระพุทธเจ้าท่านสืบสกุลด้วยความเป็นพระพุทธเจ้าของท่าน ไม่ได้สืบสกุลทางพระราหุล(นาทีที่ 35.47) ลูกของท่านหรือหลานเหลนของท่าน เราไม่รู้จักคนเหล่านั้นแต่เรารู้จักพระพุทธเจ้าโดยตรง สดใสโชติช่วงอยู่เสมอเป็นอันไม่ตาย นี่คือสืบสกุลด้วยลำพังตนเอง ในเรื่องทางโลกๆสมัยนี้อย่างคนที่มีชื่อเสียง อย่างเช็คสเปียร์ ยกตัวอย่างเป็นต้น เช็คสเปียร์ ลูกหลานเหลนของเช็คสเปียร์ไม่มีใครรู้จัก แต่ว่าตัวเช็คสเปียร์ยังไม่ตายยังอยู่ในแจ่มใสอยู่ในจิตใจของมนุษย์นั้น เรียกว่าเช็คสเปียร์เขาสืบสกุลวงศ์ของเขาด้วยตัวของเขาเองไม่ได้ผ่านทางลูกหลาน หรือลูกหลานไม่มีความหมาย คนสำคัญอย่าง มหาตมะ คานธี (นาทีที่36.39) อย่างใครก็ตามเราก็เห็นอยู่ว่าไม่มีใครรู้จักลูกหลานเหลนโหลนของเขาแต่รู้จักตัวเขา การสืบสกุลตามวิธีนี้ตามวิธีของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็สำคัญ ก็ต้องนึกถึง ไอ้ลูกหลานนั้นมันก็ทำไปได้แต่มันอาจจะผิดหวัง หรือแม้มันจะทำไปได้มันก็ไม่มากเท่าที่เราสืบสกุลไว้ด้วยตัวเราเอง ดูบุคคลที่เป็นมหาบุรุษในประวัติศาสตร์ สืบสกุลด้วยตัวเองไม่ได้สืบทางลูกหลาน ไม่มีใครรู้จักลูกหลานคนนั้น ฉะนั้นเรื่องสืบสกุลทางลูกหลานเนี่ยเป็นเรื่องทางวัตถุ ทางร่างกาย ล้วนล้วนเพียงไม่สูญพันธุ์ ที่นี้คำว่าสกุลของพระอริยเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเพียงแต่ไม่สูญพันธุ์ หมายถึงความดีที่สุดที่จะพึงกระทำได้ นี่คำว่าสืบสกุลก็มีความหมายอยู่หลายชั้นอย่างนี้ เช่นเดียวกับคำว่าสมรส คำว่าบุตร ภรรยา คำว่าอาชีพ มีความหมายเป็นหลายชั้น ชั้นที่เป็นอุดมคติที่สุดนั้นควรจะระลึกนึกไว้ เราจะได้เดินตามนั้น ที่นี้ก็เป็นว่าเราออกไปเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ก็จริงแต่ไม่ได้เวียนลงไปหาความต่ำความเลว กลับไปตั้งต้นใหม่ด้วยการเกิดอีกชนิดหนึ่ง ไว้ตรงนี้อยากจะพูดเรื่องคำว่าชาติหรือการเกิด ให้เป็นเครื่องสังเกตสักหน่อยว่า คำว่าชาติหรือความเกิดนี่มันสับสนพิลึกนะ อย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องมีสามความหมาย เกิดทางเนื้อหนัง เกิดจากบิดามารดาคนหนึ่ง เกิดทีหนึ่งและก็ตายทีหนึ่ง เนี่ยมันก็เรียกว่าชาติเหมือนกันแล้วก็เป็นอยู่ชาติหนึ่ง ชาติอย่างนี้ไม่มีความหมาย มันไม่เกี่ยวกับดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ มันเป็นกิริยาอาการกลางๆ ที่นี้ไอ้เกิดชนิดที่เกิดทางจิตใจเนี่ย เช่นเกิดเป็นตัวฉันตัวกูของกูขึ้นมาด้วยตัณหาอุปาทานครั้งหนึ่งนี่ ชาติที่เกิดทางบิดามารดารจึงมีความหมายออกมาครั้งหนึ่ง ถ้าเกิดจากตัณหาอุปาทานว่าเป็นตัวกูของกูก็เป็นทุกข์ทันที แต่มีการเกิดที่เป็นพระอริยเจ้า เกิดเป็นพุทธบริษัท เกิดเป็นโจรเกิดอย่างนี้อีกพวกหนึ่ง ประพฤติอย่างโจรเกิดเป็นโจร ประพฤติอย่างบัณฑิตเกิดเป็นบัณฑิต ประพฤติอย่างคฤหัสถ์เป็นคฤหัสถ์ ประพฤติอย่างบรรพชิตเป็นบรรพชิต ประพฤติอย่างพระอริย เจ้ากลายเป็นพระอริยเจ้าอย่างนี้เรียกว่าเกิดมา ซึ่งก็เกิดเป็นพระอริยเจ้าได้ในชาตินี้ คือการบรรลุมรรคผล แม้ไปเป็นทหารไปเป็นลูกเสือแค่นี้ก็เรียกว่าเกิด เกิดตามความหมายนี้ ที่นี้เดี๋ยวนี้เราก็เกิดมาโดยบิดามารดา การเกิดสำหรับร่างกายเรานี้ ที่นี้พอจิตใจมีอุดมคติอย่างไร เราก็เกิดเป็นอย่างนั้นขึ้นมาทันที มาบวชก็เป็น เกิดเป็นบรรพชิตขึ้นมาทันที เพราะมีอุดมคติของบรรพชิต ที่เราเป็นพุทธบริษัทถืออุดมคติของพุทธบริษัทเราก็เป็นพุทธบริษัทขึ้นมาทันที ไม่ใช่เป็นคนที่ธรรมดา ไม่เป็น ไม่เป็นพุทธบริษัท คือไปถือศาสนาอื่นก็เกิดเป็นบริษัทของศาสนานั้นขึ้นมาทันที และนี่เรามาบวชก็เกิดเป็นบรรพชิต ที่นี้เราศึกออกไปก็เกิดเป็นฆราวาส แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นฆราวาสที่เหมือนเดิม เป็นฆราวาสที่มีอะไรอย่างที่เรียกว่าเป็นบัณฑิตอย่างเมื่อตะกี๊ครบออกไป เกิดเป็นฆราวาสที่เป็นบัณฑิต ฉะนั้นเราจะถือว่าเราศึกไปนี้ตั้งต้นการเกิดใหม่อีกชาติหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่ชอบอย่างที่แล้วๆมา หรือว่าเราอยากจะทำให้ดีกว่า เราก็ถือว่าการศึกนี้คือการตั้งต้นการเกิดใหม่อีกแบบหนึ่ง ชาติหนึ่ง ซึ่งจะเป็นโอกาสให้เราแก้ตัวที่แล้วๆมา ไม่ไม่ต้องนึกถึงเกิดใหม่เนี่ยเพื่อจะแก้ตัวตั้งต้นให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปตั้งแต่นาทีนี้ก็ได้ หรือจะรักษาอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปจนกระทั่งตาย อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดใหม่ในชาติที่น่าดูมากทีเดียว ฉะนั้นเราจะไปประกอบการงานไปสู่ครอบครัวไปอะไรอีกเหมือนเดิมโดยลักษณะภายนอก แต่ว่าโดยจิตใจแล้วจะควรจะต่างกันมาก คือมีอุดมคติที่สมาทานไว้อย่างเคร่งครัด และควบคุมอุดมคตินั้นไว้อย่างเคร่งครัด และก็กลายเป็นคนเกิดใหม่ที่สะอาดกว่าเดิม ที่บริสุทธิ์กว่าเดิมอะไรกว่าเดิม ก็ควบคุมไอ้สิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเรา ครอบครัวหรือการงานได้ดีกว่าเดิม เขาก็จะพลอยเป็นคนเกิดใหม่ไปด้วยได้ นี่คำว่าชาติ คือความเกิดเนี่ยอย่างน้อยมีสามความหมาย เกิดจากท้องแม่อย่างหนึ่ง นั่นไม่สำคัญเพราะว่ามันก็เกิดแล้วก็เป็นไปตามธรรมชาติ ที่นี้เกิดด้วยตัณหาอุปาทานเป็นตัวกูของกูเล่าเล่า(นาทีที่43.34)ขึ้นมา อย่างนี้เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที นี่ต้อง ต้องปฏิเสธ ที่นี้ไอ้เกิดอย่างเป็นนั่นเป็นนี่ตามอุดมคตินั้น ตามการประพฤติการกระทำนั้น เราเลือกเอาอุดมคติที่สูงสุด คือเกิดมาเป็นพุทธบริษัทอย่างฆราวาสที่กำลังเดินทางไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ไอ้เกิดอันนี้ใช้ได้ เกิดเป็นคนใหม่สลัดอันเก่าทิ้งไปหมด และมีการประพฤติกระทำ คิด พูด นึก อย่างแบบที่เราต้องการอย่างนี้หมด เนี่ยเรามาเกิดเป็นคนที่มีอุดมคติที่เปลี่ยนแปลงไปหมด คำว่าสมรส คำว่าบุตรภรรยา คำว่าทรัพย์สมบัติ การสืบสกุล เรามีความหมายเป็นอย่างอื่นไปหมด เป็นอุดมคติอันอื่นไปหมด นี่เป็นเรื่องที่เรียกว่าการเกิดใหม่ คือมีจิตใจใหม่มีเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนการกระทำให้อยู่แต่ในร่องในรอยทั้งหมด อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วง การได้บวชก็ตามการได้ศึกก็ตาม เป็นเรื่องที่ก้าวหน้าไปหมด เป็นเรื่องที่เหมาะสมไปหมด ฆราวาสมีภาระมากมีหน้าที่มาก มันเป็นของหนักก็จริง แต่ว่าการเดินทางเป็นการเดินทางมันก็เดินช้าก็จริงแต่มันก็เอาอะไรไปมาก ไอ้ความที่เอาอะไรไปได้มากมันก็เก่งกว่าที่เอาอะไรไปได้น้อย หรือมองกันอีกมุมหนึ่งว่าการที่มันมีภาระมากๆนี้ มันก็ช่วยให้เราเบื่อหน่ายเร็ว คลายกำหนัดต่อโลก โลกนี้เร็ว มันก็ดีเหมือนกัน เพราะมันถูกเข้ามากๆถูกเข้าหนักๆมันเอือมเร็ว ฉะนั้นความเป็นฆราวาสที่ถูกต้องหมายความว่า ฆราวาสที่รับภาระหนักเต็มตัวของความเป็นฆราวาสที่จะทำให้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดต่อโลกได้เร็วกว่าเป็นนักบวชลอยลม นี่เราควรจะนึกให้ถูกต้องในข้อนี้และก็ไม่ท้อแท้ไม่รังเกียจความเป็นฆราวาส เพราะมันเป็นเครื่องสนับสนุนความไปเร็วอยู่อีกชนิดหนึ่ง แม้มันจะช้าในขณะนี้แต่พอถึงบทไปมันไปพรวดเดียวได้ ไปอย่างฉับพลันได้ ฉะนั้นเราทำภาระของฆราวาสให้เป็นสิ่งที่เราประสบความสำเร็จหรือประสบชัยชนะ จึงถือว่าไอ้การบวชแล้วสึกนี่ไม่ใช่ถอยหลังไม่ใช่ตกต่ำ พูดอย่างสมัยใหม่ก็คล้ายๆกับว่าเป็นเรื่องถอยออกไปอย่างมีระเบียบเพื่อชัยชนะ ในอีกมุมหนึ่งอีกท่าหนึ่งอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ว่าต้องถอยออกไปอย่างมีระเบียบจากไอ้แบบนี้แบบบรรพชิตนี้ ซึ่งเราก็ได้ตั้งใจไว้ทีแรกแล้วว่า เข้ามาศึกษาหาวิธีการต่างๆเท่านั้นเอง ที่นี้เรื่องเบ็ดเตล็ดก็ไม่มีอะไร อยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องรดน้ำมนต์ อยากจะให้ถือว่ามีอยู่สองแบบสามแบบ รดน้ำมนต์แบบชาวบ้านก็มี รดน้ำมนต์แบบของพระพุทธเจ้าก็มี พระพุทธเจ้าไม่เคยรดน้ำมนต์แบบชาวบ้านรด เอาน้ำสาดสวดชะยันโต(นาทีที่ 47.50) ไม่เคยทำ รดน้ำมนต์แบบของพระพุทธเจ้าท่านก็มีวิธีพูดให้มันสว่างไสว แจ่มแจ้ง สะอาด สงบเย็นเข้าไปที่จิตใจ นั่นเป็นการรดน้ำมนต์ตามแบบของพระพุทธเจ้า ไปที่ไหนท่านก็รดแบบนั้น คือมันกลายเป็นรดที่จิตใจไม่ไช่รดที่เนื้อหนัง งั้นข้อความทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่ได้ทำให้เกิดความกล้าหาญ ที่ได้ทำให้เกิดความแน่ใจความขยันหมั่นเพียรและความอุ่นใจโดยเฉพาะ ไม่มีระแวงสงสัยอีกต่อไปเป็นที่เย็นใจได้ คือการรดน้ำมนต์ในที่นี้ในวันนี้ เป็นการให้ศีลให้พรในที่นี้ในวันนี้ ตามแบบของพระอริยเจ้าของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ส่วนการรดน้ำมนต์ด้วยน้ำทางร่างกายนั้นก็ไปหาที่ไหนก็ได้ ก็เคยรดมามากแล้วจนไม่รู้จะรดกันยังไงแล้วก็ได้ ไอ้รดด้วยน้ำนั้นมันก็คงจะให้เกิดความสะดุ้ง เยือกเย็นได้พักหนึ่ง ระงับความขี้คลาด ความว้าเหว่อะไรได้พักหนึ่ง แต่แล้วมันก็กลับเป็นอีก ฉะนั้นจึงเป็นการรดน้ำมนต์สำหรับคนขลาด สำหรับคนโง่ คนงมงาย คนหัวเสียคนอะไรชั่วขณะ งั้นต้องระวังให้ดี คือมันยิ่งรดมันก็ยิ่งขี้ขลาด ยิ่งรดก็ยิ่งงมงาย ยิ่งรดมันแล้วยิ่งหัวเสียวุ่นวายอะไรมากขึ้น จนต้องรดทุกเดือนทุกอาทิตย์ทุกวันอย่างนี้มันก็แย่ มันก็ยิ่งรดมันก็ยิ่งขี้ขลาดยิ่งอะไร ที่นี้ถ้ารดน้ำมนต์ตามแบบของพระพุทธเจ้า ก็กำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปหมดทุกทีที่รดหรือทำให้เบาบางไปเบาบางไป ความขี้ขลาด ความงมงาย ความทุกข์ร้อนชนิดที่เกิดมาจากความโง่ความไม่มีเหตุผล มันหมดไปโดยแท้จริงยิ่งขึ้นทุกทีทุกที งั้นเราควรจะรดน้ำมนต์ตามแบบของพระพุทธเจ้าเนี่ยอยู่เสมอ แล้วรดทีคุ้มไปได้เป็นเดือนๆเป็นปีๆ คือถ้ามีความเข้าใจแท้จริงแล้วมันก็ไม่ลืมจนตาย นั่นมันบังคับควบคุมไว้ได้ มีความแน่ใจมีความกล้าหาญ มีความมั่นคงอยู่ได้ตลอดไป นี่เราควรจะให้เพื่อนฝูงของเรา ภรรยา บุตรหลานของเรานี้รู้จักรดน้ำมนต์ประเภทนี้เพิ่มขึ้นจากน้ำมนต์ชนิดโน้นที่รดอยู่ตามปกติ นี่เรียกว่าทำให้ดีขึ้นให้สูงขึ้น รดน้ำมนต์แบบพราหมณ์แบบไสยศาสตร์นั้นน่ากลัว ในข้อที่จะทำให้ขี้ขลาดมากขึ้นงมงายมากขึ้น แม้จะบริสุทธิ์มันก็บริสุทธิ์อย่างชั่วขณะ สบายชั่วขณะเป็นเรื่องวูบวาบ ในเรื่องนี้มันมีคำล้อในพระพุทธศาสนา ถ้าน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำให้หมดบาปได้ ไอ้เต่า ปลา จระเข้ หรือสัตว์น้ำทั้งหลายก็จะ ที่อยู่ในน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม่น้ำคงคา เป็นต้น มันก็ไม่มีบาป หรือว่าเราก็ทำน้ำมนต์น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไปเทลงในแม่น้ำลำคลอง ห้วยหนองอะไรต่างๆ คนก็จะหมดบาป มีเรื่องล้ออย่างนี้ ดังนั้นจึงมีไว้สำหรับคนขลาด เช่น เอาน้ำนี้ไปพรมเข้ามันก็เย็น มันก็สะดุ้ง มันก็เปลี่ยนอารมณ์ได้ มันก็สบายใจไปชั่วขณะหนึ่ง คนงมงายคนขลาดก็หายงมงาย หายกลัวไปพักหนึ่งประเดี๋ยวหนึ่งขณะหนึ่งก็เลยติดใจ หนักเข้ามันก็เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งที่ต้องทำอย่างนั้นเพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกชนิดนั้นชั่วขณะชั่วขณะ กลายเป็นยาเสพติดไป ที่นี้เราจะรดน้ำมนต์ตามแบบของพระพุทธเจ้าที่เป็นเรื่องยืดยาวถาวร ฉะนั้นจึงถือโอกาสพูดจาให้เข้าใจในลักษณะที่เป็นการรดจิตใจอย่างนั้นมากกว่าที่จะเป็นการรดน้ำแบบสวดชะยันโต เหมาะสำหรับขึ้นบ้านใหม่ เหมาะสำหรับแต่งงาน เหมาะสำหรับโกนจุกมากกว่า ที่นี้ไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆเบ็ดเตล็ดต่างๆที่อยากจะพูด คือว่าอย่ากระดากในการที่จะต้องทำพิธีทางศาสนาหรือการติดต่อกับวัดวาครูบาอาจารย์ มันช่วยเตือนไม่ให้ลืม เรียกว่าผูกมัดตัวเองให้ไม่ให้ลืม เช่น อาราธนาศีลนี้เราอย่ากระดาก ที่จะช่วยทำเขาวาน คือคอยหาโอกาสทำดีกว่า จะช่วยให้เรานับถือตัวเอง มีความเคารพตัวเองอยู่ได้อย่างแน่นแฟ้นมั่นคง มันเป็นเครื่องประกอบหรืออุปกรณ์นิดๆหน่อยๆ แต่ถ้ามันหลายอย่างเข้ามันดี พิธีทางศาสนาถือโอกาสทำไปบ้าง เขาให้อาราธนาศีลก็อาราธนาศีล เขาให้ช่วยถวายทานก็ต้องถวายให้ได้ในฐานะที่เคยบวชแล้ว ไม่เช่นนั้นควรจะถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย ซักซ้อมไว้บ้าง เพราะเรามีเวลาพักผ่อน ไปบ้านเพื่อนฝูง ไปนั่นไปนี่ไปวัดไปวา แล้วก็ซ้อมสิ่งเหล่านี้ไปทำกับเขา จะทำให้มีความจำดี มีสติสัมปชัญญะดีไม่ลืมอะไรง่ายๆ ข้อนี้สำคัญมาก มีอยู่ในบทเรียนอะไรที่เกี่ยวกับฝึกความจำไว้ เช่นจำกรวดน้ำ จำถวายทาน อาราธนาศีลไว้ เป็น Exercise (นาทีที่ 55.15) สมองในส่วนคำจำ นี่ Exercise แบบนี้มีอยู่เสมอแล้ว จะทำให้มีสติสัมปชัญญะดี มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่ฟั่นเฟือนเมื่อมีอายุ 90 ปี 100 ปี ถ้าเผื่อมันอยู่ได้ จะไม่เป็นคนที่หลงเลอะเทอะฟั่นเฟือน เพราะว่าเราจัดระเบียบของความจำในหัวสมองไว้เป็นระเบียบอยู่เสมอ ซักซ้อมอะไรอยู่เสมอ เรื่องของวัดวาอาราม เรื่องคำบาลีต่างๆเหล่านี้อย่าปล่อยให้ลืมเลือนไปเสีย มันมีเวลาที่จะซ้อมก็ซ้อมมันอยู่เรื่อยๆ ไปที่ไหนก็ขออาสาอาราธนาศีล อย่างนี้มันก็ไม่ลืมคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม ถวายทาน กรวดน้ำ ประโยชน์นั้นยังได้กว้างขวางมาก ทางสังคมก็ได้ เขายังจะนับถือเรากว่าที่เราทำไว้ก็ได้ ได้มิตรที่ดีได้เพื่อนที่ดี ได้สังคมที่ดี แต่ส่วนลึกเราได้รับ Exercise ชนิดหนึ่งที่เป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้เราฟั่นเฟือนเมื่อมีอายุมาก 90 ปี 100 ปี นี่การติดการรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้มีประโยชน์อย่างนี้ ที่นี้อนุสรณ์อีกอันหนึ่งก็คือเครื่องบริขาร เข้าใจว่าดีกว่าอย่างอื่น จีวร บาตรไปซักไปย้อมให้ดีให้สวยไปขัดให้สวย ไว้ในตู้กระจกเล็กๆพิเศษอันหนึ่ง ในห้องพระถ้ามีห้องพระหรือมีห้องอะไรที่มันควรจะไว้ มันจะเตือนเราถึงข้อที่เราเคยบวชแล้วได้ดี มันมีอิทธิพลบังคับจิตใจเราได้ดีกว่ารูปถ่าย หรือรูปอะไรทำนองนั้นซะอีก ไอ้รูปถ่ายที่เป็นพระไปแขวนไว้ก็ยังไม่มีอิทธิพลมากเท่าบาตร จีวรที่ไปทำไว้อย่างนั้นแก่จิตใจของเรา และแก่บุตรภรรยาของเรา และแก่เด็กๆลูกหลานที่จะเกิดมาข้างหน้า มันจะทำให้เด็กๆเหล่านั้นมีจิตใจชนิดที่น้อมเข้ามาทางนี้ หรืออย่างน้อยมันก็ผูกพันจิตใจเป็นความสงสัยอยู่เสมอ อยากบวชอยากลองอยากเรียนรู้ มันคงจะบวชได้ง่ายกว่าที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องจูง มันบังคับเราให้เป็นคนหนักแน่นมั่นคง ไม่โกรธไม่อะไรต่างๆ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตรภรรยา รูปถ่ายมันบังคับอะไรไม่ค่อยได้ เพราะมันมีอิทธิพลทางจิตใจน้อยกว่าไอ้บาตร จีวรที่แดงหลาอยู่ในห้อง ห้องพระหรือในห้องมีอิทธิพลกว่า ฉะนั้นจึงควรจะใช้ประโยชน์ เคยไปเห็นที่ในห้องพระของกรมพระยาดำรงที่วังวรดิศ (นาทีที่ 58.44) ไปเยี่ยมท่านหญิงพูล (นาทีที่ 58.47) ท่านหญิงพูลพาไปดูทั่วเกี่ยวกับกรมพระยาดำรงฯ หนังสือหนังหาสิ่งเครื่องใช้ไม้สอย แต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือผ้าไตรที่สวยงาม และบาตรที่สวยงามอยู่ในห้องกระจกใหญ่ที่มีพระพุทธรูป เดาว่าคงต้องเป็นของพระยาดำรงฯ แกล้งถามท่านจึงพูดว่าของพ่อ ก็ให้ลูกๆไหว้ การที่เกิดขึ้นมาได้ว่ามีอิทธิพลยิ่งกว่ารูปถ่าย ก็เลยอยากจะแนะนำให้เอาอย่างคนอย่างกรมพระยาดำรงฯ ฉะนั้นควรจะเอาไปทำอย่างนั้นดีกว่าทิ้งๆกว้างๆ หรือถวายพระถวายให้ทานตามธรรมดา มันมีผลน้อย นี่เรียกว่าอนุสรณ์ที่จะเตือนสติเราในฐานะที่เป็นผู้บวชแล้ว มีมากอย่างด้วยกัน นับตั้งแต่อุปัชฌาย์อาจารย์ วัดวาอารามการกระทำต่างๆที่เราได้รักษาเอาไว้ ตลอดถึงบาตรหรือจีวรที่เราเคยใช้ ที่นี้ลองคิดดูว่ามันจะตกต่ำอย่างไรได้ การบวชแล้วศึกออกไปไม่ใช่ความตกต่ำ แต่เป็นการเกิดใหม่แล้วงอกงามออกไปโดยเร็วกว่าแต่ก่อน อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ ฉะนั้นจึงพูดมากขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ และเอาไปคิดไปนึกและเอาไปกระทำให้ประสบความสำเร็จมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา สมตามความมุ่งหมายที่ได้กระทำมาอย่างสุดความสามารถนี้ทุกๆประการเทอญ ดีมากที่ว่ารับศีลแปดมันเป็นการถอยออกไปตามลำดับ ไม่กระโจนพรวดพราด แล้วธรรมเนียมโบราณเขาให้รับใช้พระสงฆ์หรือชั่วขณะหนึ่งกี่วันก็ตามใจด้วยจิตที่ต่ำมากๆ การปัดกวาดการล้างส้วมการอะไรนี้เป็นธรรมเนียมที่คนแก่ๆวางไว้สำหรับคนฝึกใหม่ เพราะว่ากลัวว่ามันจะลืม กลัวมันจะลิงโลดเหมือนกับนกหลุดจากกรงหรือนักโทษหลุดจากคุก เพราะมันเป็นคนหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลย กำลังอยากฝึกกำลังอย่างนั้น มีหลายคนสึกวันนึ้และคืนนี้แล้วมันก็ไปดูหนังที่ในโรงหนังก็ไปเกิดเรื่องเกิดราวก็มี คนแก่ๆเขาทำไว้ดีแล้ว แต่ลูกหลานมันไม่เชื่อ ฉะนั้นการถอยออกไปอย่างนี้ถึงแม้ว่าจะไม่จำเป็นสำหรับคุณ คุณทำ(นาที่ที่ 1.02.26) แต่มันก็ดีสำหรับการรักษาจารีตประเพณีที่ดีที่งามไว้ให้มันยังคงมีอยู่ เพราะมันจำเป็นสำหรับคนหนุ่มอีกมากมาย นี่คือการลาสิกขาของเราเป็นอันว่าถึงที่สุดและสมบูรณ์แล้ว