แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นั่งราบ นั่งราบพนมมือฟัง ตั้งใจฟังให้ดี ๆ ให้สำเร็จประโยชน์ จะได้กล่าวคำขอบรรพชา แสดงความประสงค์จะบรรพชา ขอบรรพชาโดยไม่มี(นาทีที่00.39) ด้วยความสมัครใจของตนเอง ให้รู้ว่าเราได้ทำอย่างนั้น อย่าว่าแต่ปากโดยภาษาบาลี แล้วก็ไม่รู้ว่าทำอะไร ต้องให้รู้ด้วยใจ ให้ยอมรับรองในคำพูด ที่ได้กล่าวไปว่า นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใกล้จะบรรพชา และก็ขอบรรพชา ทีนี้ต่ออีกต้องรู้ชัดเจนว่าบรรพชาที่ขอนั้นมันคืออะไรกัน บรรพชานั้นเป็นระเบียบปฏิบัติ นับว่าระเบียบหนึ่ง ระบอบหนึ่ง ที่ได้ทรงวางไว้ว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น เพื่อการปฏิบัตินั้นเอง และเราก็ได้ขอระบบนั้นเอาไปสำหรับจะปฏิบัติ ขอให้ทำในใจอย่างนั้น คืออย่ามีจิตใจเลื่อนลอยไปทางอื่น ฟังไอ้คำที่พูดนี้ให้เข้าใจให้ดี แล้วจึงจะเป็นบรรพชา บรรพชาตามตัวพยัญชนะนี้ก็ว่า ไปหมด เว้นหมด โดยความหมายคือว่าเราจะเว้นหมด หรือไปหมดจากความเป็นอย่างฆราวาส ดังนั้นเรานี่กำลังขอระเบียบที่เว้นหมดหรือไปหมดจากความเป็นฆราวาส ตรงนี้สำคัญ อย่าไปเผลอตัวมีอะไรอย่างฆราวาสเข้ามาอีกเมื่อบรรพชาแล้ว ก็ต้องตั้งจิตแน่วแน่เสียแต่เดี๋ยวนี้ว่าขอระเบียบที่ไปตรงกันข้ามจากฆราวาส เดี๋ยวนี้เราไม่นุ่งห่มอย่างฆราวาสอีกต่อไป เราไม่กินอยู่อย่างฆราวาสอีกต่อไป เราไม่พูดจาอย่างวิธีของฆราวาสอีกต่อไป จะไม่กระทำอะไรอย่างฆราวาสอีกต่อไป จะคิด จะนึก จะฝันอะไรก็ตามขออย่าให้เป็นอย่างฆราวาส จึงจะเป็นบรรพชาในความหมายทั้งหมด นี้เราเว้นจากการสิกขาบททั้งหลายที่มีอยู่ว่าจะต้องเว้นอย่างไร โดยเฉพาะ สิกขาบทสิบ และสิกขาบทอื่น ๆ ที่จะต้องเว้น เมื่อได้มีการศึกษาต่อไปข้างหน้า
ทีนี้ต้องรู้ว่า บรรพชานั้นเป็นเครื่องขูดเกลาดังนั้นเธออย่าทำเล่นกับบรรพชา มันจะไม่เป็นบรรพชา ขูดเกลาหมายความว่า มันต้องมีการเจ็บปวดบ้าง คือเราจะต้องอดทนนั่นแหละ ความเจ็บปวดขึ้นจากการที่ต้องอดทน มันต้องอดทน เมื่อมันคิด หรือมันอยากจะทำอะไร อย่างฆราวาส หรืออย่างที่มันไม่ใช่สามเณรนั่นมันก็ต้องทน จะเป็นการหิว การกระหาย การอะไรต่าง ๆ ที่มันต้องทนและก็ต้องทน อย่าให้มันเสียไป โดยเฉพาะความคิดในทางสนุกสนานนั้นต้องเสียสละไป ต้องอดทน บรรพชา แปลว่ามันเป็นพรหมจรรย์ เครื่องขูดเกลา เขาเรียกว่า สัลเลขะ มันขูดเกลาเหมือนกับขูดเนื้อร้ายออก มันก็ต้องเจ็บปวดบ้าง นี้คือเราจะต้องทน เพื่อรักษาสิกขาและวินัยให้บริสุทธิ์ บรรพชามันเป็นอย่างนี้เอง มันช่วยไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนี้เอง คือมันต้องอดทนและมันต้องเจ็บปวดกับการอดทน ไม่ใช่ถูกเฆี่ยนถูกตี แต่เราต้องอดทนในการที่จะปฏิบัติให้ครบถ้วน นั้นเขาจึงเรียกว่าเป็นการขูดเกลา ดังนั้นก็ต้องเจ็บปวดอย่างการขูดเกลา เมื่อทนได้มันก็ดี และต่อไปมันก็ไม่ต้องทน ในชั้นแรกนี้ต้องทน นี่คือบรรพชาที่เราขอ ดังนั้นต้องตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์อย่างก ๆ เงิ่น ๆ อย่าใจลอย เพราะเป็นเวลาที่สำคัญที่จะต้องทำการบรรพชา นี่บรรพชานี่มีอานิสงส์ ฉะนั้นเข้าใจไว้ให้ดี มันจะมีกำลังสำหรับอดทน
ถ้าเรารู้เรื่องอานิสงส์ของบรรพชา เราจะอดทนได้ เราจะเต็มใจอดทน อานิสงส์ของบรรพชานี้มาก โดยรายละเอียดพูดกันไม่ไหว ก็พูดแต่ใจความ หรือเท้าความว่า อานิสงส์ที่เกิดจะได้รับเองนี้อย่างหนึ่ง อานิสงส์ที่ญาติทั้งหลาย บิดามารดาเป็นต้น จะพลอยได้รับนี้อย่างหนึ่ง และอานิสงส์ที่ว่าไอ้คนทั้งโลกมันจะพลอยได้รับ หรือเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาเองนี้อย่างหนึ่ง ดังนั้นตรงนี้ต้องฟังให้ดีหน่อยอย่าใจเลื่อนลอย อานิสงส์ที่หนึ่ง เรารับเอง เราต้องเรียนจริง บวชจริง เรียนจริงและปฏิบัติจริง จึงจะได้รับผลจริง ฉะนั้นต้องจำคำว่า บวชจริง นี่บวชจริงนะไม่ใช่บวชเล่นนะ ถึงแม้บวชกี่วันก็ตามเถอะ ต้องบวชจริง แล้วก็เรียนจริง แล้วก็ปฏิบัติจริง แล้วก็ได้ผลจริง เธอจะได้อะไรที่เป็นความดีอีกมาก แต่มันเหลือที่จะกล่าว แต่ขอให้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง อย่างน้อยก็เป็นคนจริงขึ้นมา ต่อไปมันก็ดีแหละ ถ้าเป็นคนจริงขึ้นมา ได้รับอานิสงส์อย่างยิ่งสำหรับเรา ไม่เสียทีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
ทีนี้อานิสงส์ที่สอง ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดาเป็นต้น จะพลอยได้รับ เขาคิดถึง มารดา บิดา ก่อนและญาติทั้งหลายที่ไกลออกไป ไกลออกไป จนกระทั่งญาติห่าง ๆ กระทั่งมิใช่ญาติ กระทั่งศัตรู ก็ขอให้มันได้ด้วย นี่เราเป็นญาติในโลก เพราะเรามันมิได้เกิดเองได้ เรามิได้เกิดจากโพรงไม้ ดังนั้นเราจึงมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด นั้นจึงเป็นสิ่งเดียวที่สูงสุดที่ว่าให้ชีวิตมา ดังนั้นต้องนึกถึงสิ่งนี้ก่อนว่ามีพระคุณสูงสุด ฉะนั้นการที่บวชให้พ่อนี้ก็คือเรื่องนี้ คือตรงกับเรื่องนี้ จะต้องสนองพระคุณให้สุดความสามารถที่จะทำได้ และที่สูงสุด มันทำได้หลายอย่าง สนองพระคุณบิดามารดา ทำได้หลายอย่าง ให้สูงสุดนี้คือทำบิดามารดาให้เป็นญาติในพระพุทธศาสนา ให้ได้บุญได้กุศลโดยเฉพาะ ให้มีความมั่นคงในพระศาสนา และอุทิศส่วนกุศลที่ได้บรรพชานี้ให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วส่วนหนึ่ง ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ ได้มีความเป็นญาติในพระศาสนามากขึ้น หมายความว่ามีความปลอดภัยในทางจิต ในทางวิญญาณมากขึ้น ฉะนั้นเธอจะต้องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ญาติทั้งหลายบิดามารดาเป็นต้น ก็จะพลอยรับประโยชน์นี้อย่างเต็มที่ด้วยเป็นการสนองคุณด้วย
ทีนี้อานิสงส์ประเภทที่สาม ได้แก่พระศาสนาเอง ว่าพระศาสนานี้มันอยู่ไม่ได้เอง ต้องมีคนสืบอายุพระศาสนา ดังนั้นคนที่บวชนั่นแหละคือคนที่สืบอายุพระศาสนา เมื่อมีการบวชอยู่ ก็มีการสืบอายุพระศาสนา ศาสนาก็ยังอยู่ ถ้าเราบวชเจ็ดวันก็สืบอายุพระศาสนาเจ็ดวัน ถ้าเราบวชหนึ่งเดือนก็สืบหนึ่งเดือน หนึ่งปี ก็บวชหนึ่งปี สืบหนึ่งปี บวชตลอดชีวิตก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาตลอดชีวิต ขออย่างเดียวแต่เพียงว่า เมื่อระหว่างที่บวชอยู่นี้อย่าทำอะไรให้ผิดพลาด ขอให้เป็นการบวชที่สืบอายุพระศาสนาเถอะ อดกลั้นอดทนอย่างที่ว่า บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง นี่คือสืบอายุพระศาสนา ดังนั้นถ้าเราบวชอยู่กี่วัน มันก็ต้องจริง ๆ ๆ ๆ อย่างนี้ จะเป็นการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ยื่นต่อ ๆ กันไป เราออกไปยื่นให้คนอื่น คนอื่นก็ยื่นให้คนอื่น จนมันไม่มีขาดตอน พระศาสนาก็ยังอยู่ในโลกนี้ เมื่อพระศาสนามันอยู่ในโลกนี้ คนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย ฉะนั้นเราจึงได้รับอานิสงส์ใหญ่โต กว้างขวางเหลือประมาณ คือเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก ขอให้คิดว่าการบวชนี้สืบอายุพระศาสนาไว้ เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลก บวชกี่วัน กี่เดือน กี่ปี นั้นก็ทำใจ นี่เป็นเหตุให้เราต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติกิจของพระศาสนา ให้เป็นการสืบอายุพระศาสนา ขออย่าให้เป็นการทำลายพระศาสนาเหมือนคนบางคน หรือว่านักบวชบางคน เขาบวชทำลายพระศาสนาก็มี ฉะนั้นเราต้องเว้นอย่างเด็ดขาดแหละ จะไม่ทำอย่างนั้นเป็นอันะขาด คือทำแต่ที่มันถูกต้อง และสืบอายุพระศาสนาเอาไว้ ดังนั้นถ้าเธอฟังข้อนี้เข้าใจ คืออย่ามีใจลอยงก ๆ เงิ่น ๆ สิ ฟังข้อนี้ให้เข้าใจว่าเราต้องได้รับอานิสงส์ ฉะนั้นการบวชเป็นประการที่หนึ่ง ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดาเป็นต้นนั้นจะได้รับเป็นประการที่สอง พระศาสนาและมนุษย์ทั้งโลกจะได้รับอีกเป็นประการที่สาม ถ้าใครมองเห็นอย่างนี้คนนั้นจะอดทน ประพฤติ พรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ได้แม้ว่าเราจะต้องอดทนหลั่งน้ำตา ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา หมายความว่าไม่ยอมให้พรหมจรรย์มันเสียไป ให้มันอยู่ได้แม้ว่าเราจะต้องอดทนจนน้ำตาไหล เราทำได้อย่างนี้ก็เป็นการกระทำถึงที่สุด นี่เรียกว่าอานิสงส์ของบรรพชา เมื่อเราบรรพชาแล้ว เราต้องให้ได้รับอานิสงส์ของบรรพชา
อีกตัวการบรรพชาแท้จริงนั้นมีที่ตั้ง ที่อาศัยอยู่ที่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเนื้อแท้นั้นคือ ภาวะแห่งความสะอาด สว่าง สงบ ที่มีอยู่ในจิตใจของพระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในหัวใจของพระธรรม ที่มีอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์ โดยหัวใจ โดยเนื้อแท้แล้ว ทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ มันรวมอยู่ที่สิ่งเดียวกันคือ ความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งยังมีอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ ไม่ได้นิพพานไปอย่างกับร่างกายของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเราจึงมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ แม้เดี๋ยวนี้ แม้ที่นี่ หรือที่ไหนก็ตาม เราต้องทำในใจเป็นอย่างนี้ ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงอยู่ในใจของเรา แล้วบรรพชาของเราจะได้อาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วบรรพชานั้นก็จะเจริญงอกงาม เหมือนต้นไม้ทั้งหลายที่ได้ดินดี น้ำดี อาหารดี มันเจริญงอกงามไปอย่างนั้นแหละ ขอให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ทีนี้ก็รับปัญจกกรรมฐานตามระเบียบ คุกเข่า พนมมือ เข้ามาใกล้หน่อย เพื่อละความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง เธอจงรับ ตจปัญจกกรรมฐาน ทำความเข้าใจให้ดีว่า เราเคยโง่ เคยหลง เรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องเพศ อะไรโดยเฉพาะ ความโง่อันนั้นต้องไปหมดอย่าเหลืออยู่ เพราะเราจะนุ่งห่มผ้ากาสายะแล้ว ความหลงในสวยในงามนั้นไม่มีอยู่ในจิตใจของผู้นุ่งห่มผ้ากาสายะ ฉะนั้นจงพิจารณาว่าทุกสิ่งที่เราเคยหลงว่าสวยว่างามนั้นเรามันโง่ไป เดี๋ยวนี้เราจะฉลาดแล้ว
ดังนั้นท่านให้ยกตัวอย่างให้ฟังสักห้าอย่าง เช่นว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไอ้ผมนี่เราเคยหลงว่าสวย ว่างาม ทั้งของตนเองและของผู้อื่น โง่แต่ที่จะประกวดกัน เดี๋ยวนี้มาพิจารณาให้เห็นว่าผมนั้น รูปร่างของมันก็น่าเกลียดเป็นเส้นยาว ๆ สีสันวรรณะของมันก็น่าเกลียด หรืออย่างไรก็ตาม กลิ่นของมันก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกในหนังศีรษะนั้นมันก็น่าเกลียด หน้าที่ของมันคือรับฝุ่นละอองบนหัวนั้นมันก็น่าเกลียด มันไม่มีอะไรที่สวยงามหรือน่ารัก ดังนั้นหมดความหลงในเรื่องผมงามกันเสียที ขนทั่ว ๆ ตัวก็เหมือนกับผมแหละ เห็นผมน่าเกลียดอย่างไรก็ควรจะเห็นขนว่าน่าเกลียดอย่างนั้น แล้วมันมีอยู่ทั่วตัว เพราะมันพลอยให้ ทำให้ทั่วทั้งตัวมันน่าเกลียดไปด้วย ทีนี้เล็บเหมือนกัน ดูโดยแท้จริงแล้วไอ้รูปร่างของเล็บนี่ก็น่าเกลียด สีสันวรรณะของเล็บมันก็น่าเกลียด กลิ่นของเล็บมันก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกที่นิ้วมือ ที่มีเลือด มีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยงนี้มันก็น่าเกลียด หน้าที่ของเล็บของเล็บก็น่าเกลียด คือ ควักบ้าง เกาบ้างอะไรนี่มันน่าเกลียดอย่างนี้ อย่าได้คิดว่าเล็บงาม เหมือนที่เขาหลง ๆ กันอยู่เลย ทีนี้ฟันในปาก รูปร่างก็น่าเกลียด สีสันก็น่าเกลียด กลิ่นก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกก็น่าเกลียด หน้าที่การงานสำหรับเคี้ยวนั่นเคี้ยวนี่มันก็น่าเกลียด ดังนั้นอย่าหลงว่าฟันงามเลย ในที่สุดผิวหนังทั่ว ๆ ไปทั้งตัว รูปร่างก็น่าเกลียด สีสันวรรณะของมันก็น่าเกลียด กลิ่นตามธรรมชาติของมันก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอก ที่หุ้มไปด้วยหุ้มของสกปรกทั้งภายในนี้มันก็น่าเกลียด หน้าที่ของผิวหนังก็รับฝุ่นละอองทั่วไปทั้งตัว เป็นที่ถ่ายเข้าถ่ายออกแห่งของสกปรก ความร้อนอะไรนี้มันก็น่าเกลียด เราจึงเห็นว่าไอ้ผิวหนังตามธรรมชาติน่าเกลียด อย่าได้หลงว่าสวยว่างาม
เมื่อเรารู้อย่างนี้ ความหลงรักสวยรักงาม โดยเฉพาะเรื่องเพศมันก็หมดไป ดังนั้นจิตใจของเราก็เหมาะที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ เธอจงทำในใจอย่างนี้ก่อนแต่ที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ แล้วก็เธอตั้งใจรับโดยภาษาบาลี โดยว่าตามเราดังต่อไปนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นี้เรียกว่ากล่าวไปตามลำดับ ทีนี้ทวนลำดับก็คือ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา เอ้า,ถ้าจำได้ให้ลองว่าดู (เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา) อีกที (เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา) เพื่อความแน่นอนว่าอีกที (เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา) ใช้ได้ เรียกว่าพอใจที่ว่าพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีสติสัมปชัญญะ ไม่งก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ฟุ้งซ่าน จำได้ดีว่าได้ดี ห้าคำนี้มีความหมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นเธอจงพิจารณาสิ่งทั้งห้านี้โดยบาลีด้วย โดยความหมาย ธรรมชาตินี้ด้วยอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้มีจิตใจเหมาะสมกับการนุ่งห่มผ้ากาสายะเป็นแน่นอน นี่เราได้เห็นความพยายามของเธอ ความเหมาะสมของเธอว่าเป็นผู้ควรแก่การบรรพชาแล้ว จึงยินดีทำการบรรพชาให้ เอ้า,ก็เข้ามา ขอให้เป็นผู้เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาสมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาทุก ๆ ประการเถิด
อันแดงนี้มันเหลือนะ เดี๋ยวนี้การบรรพชาของเธอก็เป็นไปถึงที่สุดแล้ว เธอมีภาวะเป็นสามเณรแล้ว จงจำไว้ให้แม่นยำ ทำความสำคัญว่าอย่าให้ลืมตัวได้ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นสามเณรแล้ว อย่าไปเผลอไปทำอะไรอย่างที่ไม่ใช่สามเณร เอาน้ำมากรวด มันจะต้อง เอ่อ,จะต้อง เดี๋ยวพอถึงอนุโมทนานะ พนมมือฟังก่อน สำคัญอยู่ที่ว่าอย่าเผลอไปว่าเราเป็นอะไรตามความเคยชิน เดี๋ยวนี้เราแปลกออกไปจากแต่เดิม คือเป็นสามเณรแปลกออกไป ดังนั้นต้องสำนึกไว้เสมอ เดี๋ยวมันจะไปเผลอไปพูดจา ท่าทางอะไรอย่างเมื่อเป็นเด็กห้าว จะพูดกับใคร จะอะไรกับใคร ทำอะไรก็ต้องให้มันถูกต้องตามเรื่องของสามเณร แม้จะนอนหลับสักทีก็ให้รู้ว่ามันเป็นสามเณรอยู่ เดี๋ยวดับไฟแล้วลืมตัวไปว่าเป็นฆราวาส ฉะนั้นเราก็จะต้องทำสติ จะนอนจะอะไรก็เป็นสามเณรแล้ว ถ้ามันมืดไป คลำศีรษะดูก็ได้ ศีรษะมันโล้น มันก็รู้ว่าเป็นสามเณรอย่างนี้เป็นต้น ป้องกันอย่าให้เผลอได้ว่าเรามันลืมตัวไปว่าไม่ใช่สามเณร ให้อุทิศกุศลที่ได้บรรพชานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงพ่อก่อนคนอื่น ให้ตามคำอนุโมทนาว่า ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง นั้น เพราะว่าฝนมันตกลงมาจากที่สูง จากฟ้าลงบนที่สูงแล้วมันไหลมาที่ต่ำ มันต้องไหลตามลำดับสิ ฉะนั้นอันไหนถึงก่อน อันนั้นอันแรก ก็เรียกว่ามันถึงพ่อก่อน ที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วมันถึงล้นเหลือมาถึงญาติทั้งหลายมาตามลำดับ ๆ จนสุด จนญาติห่าง ๆ จนมิใช่ญาติกันอะไรกันเลย ตอนนั้นค่อยรินน้ำ เมื่อพระว่า ยะถา วาริวะหา เรารินน้ำ กรวดน้ำให้ไหลเป็นสายเล็ก ให้เป็นสมาธิ และอุทิศส่วนกุศล พอพระขึ้นว่า สัพพีติโย พร้อม ๆ กันแล้ว ค่อยหยุดกรวดน้ำ เทน้ำหมด พนมมือรับพร (นาทีที่ 21.20)เมื่อให้พร เอ้า,ตั้งใจเตรียมกรวดน้ำ เตรียมกรวดน้ำ (เริ่มสวด ยถาฯ) ตั้งใจให้พรผู้บวช (เริ่มบทสวด) ให้พรทายก ทายิกา ญาติโยม (เริ่มบทสวด)