แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตั้งใจฟังให้ดีให้สำเร็จประโยชน์ เธออยากจะบรรพชาเป็นสามเณร ได้กล่าวถ้อยคำเป็นภาษาบาลีแสดงความประสงค์และขอว่าไม่เรียบร้อย แต่ว่าเรายอมรู้ว่ายอมรับรู้ว่าเธอว่าอย่างไร หมายความว่าอย่างไร มันทำลวกๆ กันนักเรื่องพรรณ์นี้ เลิกกันเสียทีทำอะไรลวกๆ เร็วๆ ต้องมีเวลาเตรียมตัวสัก ๔-๕ วัน แล้วมันจะได้ผลดี นี่มันทำลวกๆ เพียงแต่ว่าวันนี้บวชนะมันไม่ได้ผลดี มันก็ว่าผิดๆ ถูกๆ เป็นวัตทานิ ว่าเป็นวัตทานิ ถือเป็นตรงไปตรงมามันใช้ไม่ได้ แต่นี่เรายอมว่าเธอมันก็จีนพูดไทย เพี้ยนไปบ้างเราก็ฟังถูกเพราะเรารู้บาลีว่าหมายความว่าอะไร แต่ว่าต่อไปอยากจะเตือนทุกคนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายอย่าทำอะไรหลกๆ รีบร้อนพรรค์นี้ มันไม่เรียบร้อย มันไม่ค่อยจะได้ผลดี ดังนั้นถ้าเมื่อบวชกันแล้วขอให้มันได้ผลเต็มที่ ถ้าเธอยังไม่รู้เธอรู้เสียเดี๋ยวนี้ว่า “เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ” เป็นต้นนั้น เธอได้กล่าวประกาศตัวว่านับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ และเธอใคร่จะบรรพชาในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เธอย้อนกลับไปรู้เสียใหม่ว่าเธอได้ว่าอย่างนั้นนะ อย่าให้มันเป็นนกแก้วนกขุนทองว่าไม่รู้อะไรไปเสียทั้งหมด ข้างหลังอีสานเขียวนั่นว่า สัพพัตจัง ยาจามิ เป็นต้น นี่คือว่าเราต้องรู้ว่าเราได้ขอบรรพชา ช่วยทำการบรรพชาให้ด้วยผ้ากาสายะเหล่านี้ด้วยความเมตตากรุณา เธอได้ขอเป็นภาษาบาลีว่าให้ช่วยบรรพชาให้ด้วยความเมตตากรุณา
แต่เมื่อตะกี้ไม่รู้ว่าๆ อะไรเดี๋ยวนี้ต้องรู้ๆ ว่าๆอย่างนั้น แล้วทีนี้เธอก็จะได้รู้ว่าเธอขอ แล้วการขอมันต้องเป็นจริง เราก็รู้คำขอของเธอ ถ้าเธอไม่รับรองในคำขอของเธอ เธอบวชแล้วเธอไม่ตั้งใจจะทำให้ดี ดังนั้นถ้าเธอขอและยืนยันถ้อยคำรับรองถ้อยคำก็หมายความว่ามันเป็นข้อผูกมัดผูกพันในการที่จะทำให้ดี นี่มันจะค่อยๆ เป็นความจริงขึ้นมาทีละขั้นๆ ตามลำดับ ไม่อย่างนั้นก็ทำกันตามภาษานกแก้วนกขุนทองไม่รู้อะไร ฉะนั้นตั้งใจดีนะ ให้กำหนด ฟังให้ดีว่าเราประกาศตัวนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แสดงความประสงค์ใคร่จะบรรพชาในพระธรรมวินัยนี้ เสร็จแล้วได้กล่าวขอบรรพชาโดยตรงชัดเจนโดยตรงว่าขอบรรพชา ขอให้ทำการบรรพชาให้ด้วยผ้ากาสายะเหล่านี้ ด้วยความเมตตากรุณา เธอพูดมากถึงขนาดนั้นนะ ฉะนั้นต้องรักษาคำพูด พอทีนี้เราก็จะต้องพูดเรื่องที่ควรจะสาบานตามสมควรก่อนแต่จะทำการบรรพชา ก็รู้กันแล้วว่าบรรพชานี่เราขอแล้วแต่ไม่รู้ว่าบรรพชาคืออะไรแน่ นั่นก็รู้กันเสียด้วยใจความ บรรพชานี่ระเบียบปฏิบัติไม่ใช่เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เป็นระเบียบปฏิบัติที่ต้องปฏิบัติลงไปตามที่ได้วางไว้ ใจความอันใหญ่ที่สุดก็คือว่า จะเว้นหมดไปหมดจากความเป็นฆราวาส นี่นอกนั้นก็จะเว้นหมดจากสิกขาบทก็ต้องห้ามไม่ให้ให้ทำ นี่เธอก็เป็นความคิดก็ดีก็จะบวชกันในระหว่างปิดภาค ก็จะต้องตั้งใจเว้นจากความเป็นฆราวาส ไม่ให้เป็นเด็ก ให้มันหมด
จึงเตือนว่าอย่าทำแต่ปาก ต้องตั้งใจทำให้จริงๆ อย่าเล่นตลก อย่าเล่นล้อกัน อย่าเล่นตลก จะบวชนี่ขอให้บวชจริงๆ ให้เว้นจากความเป็นฆราวาสนี่ก็เริ่มเห็นกันแล้วว่าเดี๋ยวนี้โกนหัวแล้ว นุ่งผ้าขาวแล้ว ตั้งต้นมาแต่การอย่างนี้ จะเว้นจากจริต กิริยา วาจา และความคิดนึกอย่างฆราวาสให้หมด กิริยาท่าทาง กิน อยู่ นั่ง นอน อะไรก็ตาม จะเป็นกิริยาอาการที่ต้อง เลิกหมดจากความเป็นฆราวาส โลดๆ เต้นๆ ออกลิงออกค่าง ยิ่งต้องเลิกกันหมดระหว่างจะบวชนี่ ทีนี้การพูดจาเล่นหัว เอ๊กอั๊ก โวยวาย อย่างกับว่าไม่มีการสำรวมระวัง สำหรับเด็ก นี้ก็ต้องเลิกหมดนี่กันในระหว่างบวชเณรจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ความคิดความนึกนั้นน่ะอย่าไปคิดไอ้เรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องบวช คิดแต่เรื่องว่าจะบวช เพราะในระหว่างนี้มันยังบวช ถ้าอยากคิดเรื่องอื่นต้องรอให้สึกเสียก่อน ในระหว่างบวชต้องคิดแต่เรื่องบวช นี่เขาเรียกไปหมดหรือเว้นหมดจากความเป็นฆราวาสตามความหมายของคำว่าบวช บวชต้อง ปอ วอ ชอ “ปะ” หมด “วอ ชอ” ว่าเว้น “ปวัชชะ” แปลว่าบวช แปลว่าเว้นหมดจากความเป็นฆราวาส ที่นี้ข้องดเว้นตามสิกขาบทวินัยของภิกษุสามเณร ของสามเณรนั้นก็ต้องเว้นต้องไปศึกษากันเป็นข้อๆ ก็ได้ อย่างน้อยเขาก็รีบบอกให้ก่อน ๑๐ ข้อ ก็เรียกว่าสิกขาบท ๑๐ มันยังมีอีก นี่คำว่าบวชหมายความว่าแบบนี้ ฉะนั้นเราจะต้องรู้สึกว่าเราจะบวช ไม่ใช่มาเล่นละคร ไม่ใช่มาแสดงอาการละเมอ ละเมอเพ้อฝัน ต้องเปลี่ยนความคิดนึก การกระทำ คำพูดให้มันเป็นนักบวชเป็นสามเณรให้จนได้
ถ้าอย่างนั้นป่วยการแล้ว ไม่คุ้มค่าผ้าเหลืองแน่ ไม่คุ้มค่าพ่อแม่ญาติพี่น้องทั้งหลายมาเสียเวลา มานั่งเสียเวลา ทุกคนมันเสียเวลามาลงทุน เธออย่าทำให้เขาผิดหวัง และเธอก็อย่าได้ผิดหวัง ญาติทั้งหลายก็อย่าได้ผิดหวัง อุปัชฌาย์อาจารย์ก็อย่าได้ผิดหวัง ถ้าเธอทำให้ผิดหวังนะมันบาปหนัก ไม่ใช่เล็กน้อยนะการกระทำให้เขาผิดหวังในเรื่องนี้มันบาปหนัก จะมีแต่ขาดทุนไปกว่าเดิมนั้น นี่ว่าเรื่องบวชหรือบรรพชาก็ไปหมดเว้นหมดจากความเป็นฆราวาส อย่าหวังเล่นสนุกสนานอย่างเพศฆราวาส อย่าคิดนึกอย่างฆราวาส อย่าใฝ่ฝันอย่างฆราวาส ไม่หาความสุขอย่างฆราวาส ทีนี้อีกข้อหนึ่งก็อานิสงส์ของการบวช นี่เราก็ไม่รู้เธอหวังอานิสงส์อะไรสักทีตั้งแต่มานี่ หรือแม้แต่พ่อแม่ของเธอก็ยังไม่รู้จะหวังอานิสงส์อะไรกันสักทีก็ได้ ก็เลยถือโอกาสพูดให้ฟังพร้อมกันหมดเฉพาะหน้า ว่าอานิสงส์ของการบวชนะมันเหลือประมาณที่จะกล่าวได้โดยรายละเอียดกล่าวไม่ไหว แต่ว่าโดยหัวข้อสำคัญๆ กล่าวได้อย่างน้อยสัก ๓ ประการ ให้ผู้บวชได้รับประโยชน์ได้รับอานิสงส์อย่างหนึ่ง ให้ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นได้รับอานิสงส์ ให้สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงหรือพระศาสนาด้วยได้รับประโยชน์ได้รับอานิสงส์ ถ้าเธอบวชจริง เรียนจริง ทำจริงๆ ปฏิบัติจริง ก็จะได้ผลจริง ไม่เสียเวลาบวชหนึ่งเดือนสองเดือน แต่ถ้าเธอไม่ทำจริง ไม่บวชจริง ก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน จะกลายเป็นหลอกลวง
ฉะนั้นต้องอธิษฐานกันว่านี่บวชจริง นี่จะเรียนจริงๆ จะปฏิบัติจริงๆ ให้มันได้ผลจริงๆ ไม่ใช่มาคิดเล่นตลก หาความพักผ่อน เล่นหัว เล่นในระหว่างบวช ที่เราเห็นโดยมากน่ะ มันบวชแล้วมันไม่จริง มาเล่นมาหัวเราะๆ แระๆ จนเราเอือมระอา จนบอกเธอและบอกญาติโยมทั้งหลายว่าไม่อยากจะบวช ไม่อยากจะเป็นอุปัชฌาย์บวช เพราะส่วนมากมันเหลวไหลทั้งเพ มันไม่คุ้มค่าเวลา ไม่คุ้มค่าข้าวสุก ไม่คุ้มค้าผ้าเหลืองโดยมาก จึงตัดออกไปๆ ไม่ ไม่ไปบวช เห็นไหมแม้แต่แค่นี้ก็ไม่อยากจะบวชมากขึ้นๆ เพราะบวชแล้วมันไม่ได้อย่างที่ต้องการ มันไม่ได้จะจริง นี่ก็ลองแลกกับเธออีกสัก ๓ คนนะ ว่าเราต้องการให้มันจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เราก็ไม่เสียเวลา เธอก็ไม่เสียเวลา พ่อแม่พี่น้องญาติทั้งหลายก็ไม่เสียเวลา ถ้าชั่วบวชจริงเดือนสองเดือนนี้มันจะแก้นิสัยเลวๆ ของเธอได้ นิสัยเลวๆ สุรุ่ยสุร่าย หยาบคาย สะเพร่า เจ้าชู้ อะไรต่างๆ อบายมุขต่างๆ มันจะแก้ได้ถ้าเธอบวชจริงนะ แค่เราเห็นโดยมากกับเด็กๆ นี่ทำอะไรสะเพร่า ไม่จริงจัง ทำพอแล้วแล้วไป แม้แต่ว่าคำบวชนี่ก็ไม่เรียบร้อย ว่าใจลอย ว่าพอแล้วแล้ว ทำการทำงานในห้องเรียนในโรงเรียนก็ทำสะเพร่า มันจึงไม่ดีมันไม่ก้าวหน้า ไม่อดทน เหมือนจะไปเล่นไปหัวไปนึกแต่เรื่องเหลวไหล ใช้เงินเปลือง เป็นเจ้าชู้แต่เล็ก ผลาญเงินของพ่อแม่ โดยมากมันเป็นเสียอย่างนั้น ถ้าต้องการจะแก้นิสัยอันนี้ก็ในระหว่างบวชขอให้มันจริงมันจะแก้ได้ เดือนหนึ่งสองเดือนสามเดือนยิ่งดี มันจะค่อยๆ แก้นิสัยไม่จริง นิสัยหลอกลวง นิสัยเห็นแต่เล่นแต่หัว นิสัยเจ้าชู้มันจะแก้ได้
ซึ่งในระหว่างบวชเขาเว้นอบายมุข มันอยู่ในตัวแหละพอบวชแล้วมันทำไม่ได้ จะดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานนี่มันทำไม่ได้ พอเป็นฆราวาสทำได้ เด็กบางคนดื้อดึงกับพ่อแม่ด้วยยิ่งทำมากอบายมุข เพื่อให้มันละสิ่งเหล่านี้ไปเสียได้เป็นประโยชน์อานิสงส์แก่เธอ เธอต้องบวชจริง ต้องปฏิบัติจริง ต้องเชื่อฟังกันจริงๆ มันคุ้มค่าแค่ลำบากแหละจะบวชแค่ลงทุนผ้าเหลืองอะไรต่างๆ จะคุ้มค่า นี่ว่าเธอได้อานิสงส์ส่วนตัวผู้บวชคือ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เธอสลัดสิ่งชั่วออกไปหมดให้มันเหลือแต่สิ่งดีๆ มีประโยชน์มีอานิสงส์เหลือหลายแก่ผู้บวชจะได้ ทีนี้อานิสงส์ข้อที่สอง ประเภทที่สองนี่ให้ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นได้ นี่หมายความว่าเราบวชแทนพระคุณของบิดามารดาและผู้มีบุญคุณทั้งหลาย คนเรามันเกิดเองไม่ได้ มันต้องพ่อแม่เกิดให้ชีวิตมา เขาก็ลำบากก็มีบุญคุณ อบรมสั่งสอนเลี้ยงมาก็มีบุญคุณ ให้เล่าให้เรียนมันก็มีบุญคุณ ต้องแทนคุณต้องสนองคุณให้ถูกต้อง การแทนคุณทดแทนคุณสนองคุณอย่างอื่นก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่ ไม่สมกัน คือไม่สูงสุด บวชให้พ่อแม่เพื่อสนองคุณพ่อแม่นี่เป็นการสนองคุณที่สูงสุด แต่ว่ามันจะสำเร็จต่อเมื่อเธอบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงนั่นแหละ ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นการสนองคุณเลย ทำให้พ่อแม่เสียชื่อ พ่อแม่ก็ไม่ได้รับประโยชน์อานิสงส์ เธอบวชนี่พ่อแม่ก็สบายใจ มีปิติปราโมทย์ มีศรัทธาเพิ่มขึ้นในพุทธศาสนา มีความเป็นสัมมาทิฏฐิแน่นแฟ้นขึ้นทุกทีๆ พ่อแม่ได้สิ่งประเสริฐในข้อนี้เท่ากับว่าตอบแทนคุณพ่อแม่ในทางจิตใจที่มันได้ผลคุ้มกัน
ถ้าเธอเป็นลูกที่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ต้องพยายามให้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ให้ได้สนองคุณพ่อแม่จริงๆ นั่นแหละพ่อแม่ได้ ญาติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ได้ คือผู้แทนพ่อแม่ก็ได้ อันนี้อานิสงส์ข้อที่สามคือสัตว์โลกทั้งหลายจะพลอยได้รวมทั้งพระศาสนา ถ้าเธอบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันเป็นการทำให้ศาสนามีอยู่ในโลก ทุกคนก็อยู่ในโลกพลอยได้รับประโยชน์ เราบวชคนเดียวได้รับประโยชน์ทั้งโลก แม้จะโดยอ้อมหรือว่าโดยตรงก็สุดแท้แหละ ก็ขอให้เธอบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง สืบศาสนากันจริงๆ แม้บวช ๓ เดือนนะ มีการปฏิบัติจริงอยู่ในโลก มีธรรมะอยู่ในโลก ทำให้โลกนี้มีธรรมะมันดี ทุกคนก็อยู่ในโลกก็ได้รับความสุขแม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็พลอยได้รับ ถ้าคนในโลกมันไม่อันธพาล ไอ้นกหนูต่างๆ ก็พลอยได้รับความสุข นี่มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าในโลกมีธรรมะนะอย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้สัตว์เดรัจฉานก็ได้รับประโยชน์ ดังนั้นเธอพยายามก็จะคิดให้เห็นว่า การบวชนี้มันมีอานิสงส์ลึกซึ้งเหลือเกิน ฉะนั้นควรจะอดกลั้นอดทนได้ ในเมื่ออะไรมันต้องทนบ้าง มันต้องอดกลั้นอดทนได้เพื่อผลอันใหญ่หลวง นี่บวชแทนคุณพ่อแม่ แล้วก็บวชให้สัตว์ทั้งหลายได้รับประโยชน์ทั่วโลก ให้พระศาสนามีอายุยืนยาวต่อไป เพราะมีคนเรียน คนบวช คนปฏิบัติ ก็เรียกว่าบวชสืบอายุพระศาสนาด้วย อานิสงส์มันพูดกันไม่ไหวมากมายเหลือ จำไว้สัก ๓ ข้อ เธอเองก็ได้อานิสงส์สูงสุด ผู้บวช และญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นก็ได้อานิสงส์สูงสุด นี่เพื่อนมนุษย์สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็พลอยได้รับประโยชน์โดยอ้อม คือทำโลกให้สงบเย็น คนก็อยู่ในโลกมันก็พลอยสงบเย็น
ยังได้สืบอายุพระศาสนาสมตามพระพุทธประสงค์ของพระศาสดาที่ว่า ให้สาวกทั้งหลาย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่ช่วยกันสืบอายุพระศาสานา อย่าให้สาบสูญไปได้ เราจึงตั้งใจให้เธอนี่บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา ตามแก่เธอจะทำได้กี่เดือนก็เท่านั้นนะ ออกไปเป็นฆราวาสมันก็ประพฤติดี มันก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาในอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน นี่อานิสงส์อันเหลือจะกล่าวได้ให้จำไว้ จะได้มีกำลังใจในการประพฤติพรหมจรรย์ อดกลั้น อดทน พูดอีกข้อหนึงเดี๋ยวจะไม่สมบูรณ์ เพราะการบวชนี่มีพระรัตนตรัยเป็นวัตถุที่ตั้งที่อาศัยเพื่อความมั่นคงและเจริญงอกงาม เมื่อตะกี้นี้เธอก็ว่าเอง “เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ” อะไรอย่างนั้น ออกชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าบวชนี่อุทิศต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเธอบวชนี่อุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องเข้าใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราอุทิศนั้นให้ดีๆ โดยหัวใจโดยใจความก็คือคุณธรรม ถ้าทำให้เกิดพระพุทธ ให้เกิดพระธรรม ให้เกิดพระสงฆ์ ขึ้นมา นั่นคือ ความสะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตใจของผู้ปฏิบัติทำให้ปรากฎออกมาได้ ในจิตใจของใครมีความสะอาด สว่าง สงบ ก็คือในจิตใจของคนนั้นมีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ ทำอย่างเดียวเท่ากับได้ทั้ง ๓ อย่าง ใครมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบเท่าไรก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในจิตใจของตัวเท่านั้น นั่นแหละเขาเรียกว่า รากฐานอันแรกก็จะต้องมีจิตใจชนิดนี้ แล้วก็ทำสิ่งอื่นๆ ต่อไปได้โดยสะดวกทุกสิ่งทุกประการ แล้วบรรพชาก็จะเจริญงอกงามอย่างสดชื่นแจ่มใสอย่างเบิกบานอย่างน่าเลื่อมใสทีเดียว
เราปักใจเอาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงนี้ไว้ตลอดเวลาเสมอ คอยระวังจิตให้มันมีความสะอาด สว่าง สงบไว้เสมอ นี่เพื่อให้ปฏิบัติง่าย ไม่ต้องพูดกันหลายคำ พูดอย่างอื่นพูดหลายคำแล้วเธอก็ลืมหมดก็เลือนหมด นี่ก็ยังพูดแต่ว่าให้มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ สุดความสามารถไปเรื่อยไป ก็เท่ากับรักษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ประจำอยู่ในจิตใจอยู่เรื่อยไป ก็เรียกว่าเป็นวัตถุที่ตั้งที่อาศัยแห่งบรรพชา ก็ครบถ้วนกันที ก็ว่าเธอได้ขอบรรพชา แล้วเราก็บอกให้ฟังว่าบรรพชานั้นคืออะไร อานิสงส์ของบรรพชาคืออะไร วัตถุที่ตั้งของบรรพชานั่นนะมันคืออะไร ทบทวนอีกทีบรรพชานี่ต้องเว้นหมดจากความเป็นฆราวาส หรือเว้นสิกขาวินัยที่เขาบัญญัติไว้ให้เว้นทุกประการ อานิสงส์นั้นมีว่าเธอก็ได้ ญาติทั้งหลายบิดามารดาก็ได้ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ และเป็นการสืบอายุพระศาสนาด้วย มันไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วสำหรับมนุษย์เกิดมาชาติหนึ่ง ทีนี้เราก็มีการรบ ระมัดระวังสังวรในการให้จิตใจมันเหมาะสมก็จะเป็นพระเป็นเณรเท่านั้นแหละ จิตใจอยู่ในระดับพื้นฐาน สะอาด สว่าง สงบ เหมาะสมเพื่อความรุ่งเรืองเจริญของบรรพชา นี่พอกันทีสำหรับการพูดให้เข้าใจก่อนบรรพชาให้มีลู่ทางก็จะมองเห็นในการจะส่งจิตใจไปตาม ก็เพื่อมันมีการเปลี่ยนจิตใจให้เหมาะสม ก็จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ
ทีนี้มันก็มีอีกอันก็สำคัญก็คือเปลี่ยนจิตใจจากฆราวาสกันจริงๆ มาเป็นจิตใจแห่งบรรพชิต เขาสอนให้บอก “ตจปัญจกกรรมฐาน” เพื่อประโยชน์อันนี้ “ตจปัญจกกรรมฐาน” คือให้พิจารณาสิ่ง ๕ ประการ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอย่างน้อย ๕ อย่าง เพื่อให้เราได้สำนึกตัวว่าก่อนนี้เรามันเป็นคนโง่เป็นคนหลงในเรื่องสวยเรื่องงาม เป็นคนบ้าในเรื่องสวยเรื่องงาม เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งกามรมณ์ อันนี้มันนุ่งห่มผ้ากาสายะนี้ไม่ได้ เลิกบ้าเลิกหลงในเรื่องสวยเรื่องงามเรื่องกามรมณ์กันเสียที มีทางพิจารณาได้มากมายแต่ว่าเอากันเพียง ๕ อย่างนี่ก็พอ เรียกว่า “ตจปัญจกกรรมฐาน” พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พอพูดถึงเธอจะเข้าใจว่า “ผม”เรียกโดยภาษาบาลีว่า “เกศา” ให้โกนทิ้งไปเสียแล้วนั่นแหละ คืออย่าให้บ้าสวยบ้างามไปเกี่ยวกับผม เมื่อก่อนเรามันบ้าสวยบ้างามเกี่ยวกับผม ตกแต่งผมของเราให้งาม แล้วดูผมของเพศตรงกันข้ามก็เห็นว่ามันงามนี่มันเรื่องโง่ ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย แล้วก็มาบวชเข้าแล้วมันยิ่งทำไม่ได้ ดังนั้นจึงสอนให้พิจารณาความไม่ไม่สวยไม่งามของผม ให้เห็นตามเป็นจริงว่ามันเป็นปฏิกูล ปฏิกูลแปลว่าไม่งามคือน่าเกลียด เส้นผมนี่รูปร่างของมันก็น่าเกลียด สีสันวรรณะของมันก็น่าเกลียด กลิ่นของมันก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกมันก็น่าเกลียด หน้าที่การงานมันก็น่าเกลียด ผมรูปร่างน่าเกลียดไม่ต้องอธิบาย ขยะแขยง ติดลงไปในอาหารสักเส้นหนึ่งก็เขี่ยทิ้งกันไป ไม่ยอมกิน สีดำๆ สีด่างๆ สีเหลือง สีอะไรก็น่าเกลียด กลิ่นของผมตามธรรมชาติก็น่าเกลียด เป็นสิ่งที่น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกบนหนังศรีษะ มีน้ำเหลืองเลี้ยงมีโลหิตเลี้ยงนี่มันก็น่าเกลียด หน้าที่การงานเวลาฝุ่นละอองบนศรีษะมันก็น่าเกลียด
คือพิจารณา ๕ ประการนี้ก็จะพอ ก็ทุกอย่างทั้ง ๕ ประ ใน ๕ แง่ ๕ มุม นี่มันน่าเกลียด เมื่อผมน่าเกลียดอย่างไร “ขน” ก็เรียกด้วยภาษาบาลีว่า “โลมา” มันก็น่าเกลียดอย่างนั้น ขนผิดจากผมเพียงว่าขนมันมีละเอียดกว่าทั่วตัว ผมมีแต่บนศรีษะ มันก็มีความน่าเกลียดเหมือนผม นี้เรื่อง “เล็บ” ภาษาบาลีเรียกว่า “นขา” ก็มีความน่าเกลียดพรรณ์เดียวกันที่ว่าแหละ รูปร่างของเล็บนี้ก็เป็นสิ่งมีรูปร่างน่าเกลียด สีสันวรรณะนี่มันไม่ใช่งาม มันน่าเกลียดจนต้องโกหกหลอกลวงกันย้อมเล็บเป็นบ้าเป็นหลัง นั่นมันเรื่องของคนโง่ ว่าเล็บนี่รูปร่างก็น่าเกลียด สีสันวรรณะก็น่าเกลียด กลิ่นของมันก็น่าเกลียด ฉีกเล็บดมแล้วมันมีกลิ่นก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกของเล็บมันก็น่าเกลียด ในนิ้วมือจนปลายสุดก็มี คือมันต้องออกบนเลือดบนเนื้อ บนของน่าเกลียดทั้งนั้น เล็บมีหน้าที่การงานน่าเกลียด คือสำหรับเกา สำหรับควัก สำหรับจับ ช่วยเป็นไม้เกาหลังแต่ว่ามันก็น่าเกลียด และเราก็ไม่ต้องการให้มากกว่านั้น คือต้องการอย่าให้ไปหลงใหล อย่าไปหลงใหลว่างามนะมันจะโง่ การให้พิจารณาว่าน่าเกลียดมันก็เพื่ออย่าให้หลงใหลให้มันอย่าให้ไปเป็นคนโง่ นี่เปลี่ยนจิตใจให้ตามที่เราพูดตามลำดับๆ จะได้แก้ความโง่ที่แล้วมาแต่หลัง ทีนี้สิ่งที่ ๔ เรียกว่า “ฟัน” หรือเรียกว่า “ทันตา” ในภาษาบาลี รูปร่างของซี่ฟันแต่ละซี่มันน่าเกลียด สีสันวรรณะคล้ายๆ กระดูกของฟันมันก็น่าเกลียด กลิ่นของฟันตามธรรมชาติก็น่าเกลียด ที่เกิดที่งอกของฟันคือเหงือก ที่ฟันเสียบลงไปก็น่าเกลียด หน้าที่การงานของฟันมันก็น่าเกลียดคือเคี้ยว เวลาเคี้ยวอาหารคายออกมาดูมันน่าเกลียด อย่าไปหลงทำฟันให้สวยให้งามให้แววให้เป็นไข่มุกให้หอมอะไรน่ะ นั่นมันคนบ้า
ฉะนั้นอย่าเข้าใจผิด และอย่าไปถูฟันด้วยยาหอม มันจะไม่เป็นพระเป็นเณร ข้อสุดท้ายเรียกว่า “หนัง” ภาษาบาลีเรียกว่า “ตโจ” นี่มีความน่าเกลียดอย่างเดียวกันแหละ สัสัน รูปร่างของผิวหนังนี่ก็น่าเกลียด สีสันวรรณะของผิวหนังก็น่าเกลียด กลิ่นของผิวหนังก็น่าเกลียด ที่เกิดของผิวหนังหุ้มอยู่ทั้งตัว ใต้ๆ ผิวหนังมีเลือดมีน้ำเหลืองเลี้ยงรักษา ก็ว่าที่เกิดของมันก็น่าเกลียด ตัวของมันก็ต้องน่าเกลียด หน้าที่การงานของผิวหนังเป็นที่ถ่ายเข้าถ่ายออกแห่งเหงื่อ แห่งไคล แห่งความร้อน แห่งน้ำ แห่งอะไรต่างๆ มันล้วนแต่น่าเกลียด เป็นที่หมักหมมแห่งขี้ไคล ก็มันน่าเกลียด ยิ่งกว่านั้นผิวหนังนี่เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางกำหนัด ทางกามรมณ์ ทางเพศอย่างใหญ่หลวง ก็ยิ่งเป็นของอันตราย อย่าไปเที่ยวโง่หลงบูชาผิวหนัง ขัดสี ตกแต่ง ปรับปรุง ไม่ไหว เป็นเรื่องคนโง่ มาอยู่ในวัดทำไม่ได้ ถ้าได้จะบวชเป็นพระเป็นเณรยิ่งทำไม่ได้ ขอให้รักษาเพียงมันสะอาดก็พอ ไม่ต้องไปหลงไม่ต้องไปสวยงาม นี่ก็เรียกว่า “ตจปัญจกกรรมฐาน” รู้เรื่องความจริงของสิ่ง ๕ ประการคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เธอพยายามคิดให้เห็นเหมือนกับเราได้บรรยายให้ฟัง แล้วเธอก็จะหายหลงในความสวยความงามไม่มากก็น้อย แล้วความเหมาะสมก็จะนุ่งนุ่งห่มผ้ากาสายะนี้ต่อไป ผ้าเหลืองที่เราจะนุ่งห่มกันต่อไปนี้มันเป็นผ้ากาสา เรียกว่า “ผ้ากาสายะ” ถ้าเรียกว่า “ผ้ากาสายะ” ก็หมายถึง เป็นเครื่องหมายเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า ฉะนั้นเราจะมานุ่งมาห่มเราจะต้องรับผิดชอบคือ ทำตัวให้เหมาะสมกับผ้ากาสายะกันเสียก่อน เมื่อบวชเข้าแล้วก็รักษาความเหมาะสมแก่ผ้ากาสายะนี้ โดยการพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อยู่เป็นประจำ มันก็ได้เท่านั้น เป็นผู้มีความเหมาะสมกับผ้ากาสายะแล้วก็เป็นผู้บรรพชาก็คือพรหมจรรย์แท้จริง การบวชของเธอก็จะได้รับอานิสงส์ ๓ ประการ บิดามารดาก็พลอยได้ ใครก็พลอยได้ ในความประเสริฐ นี่แหละบรรพชามันก็เป็นของประเสริฐขึ้นมาเมื่อผู้บวชมันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง แล้วที่นี้รับ “ตจปัญจกกรรมฐาน” โดยภาษาบาลีตามระเบียบตามประเพณีต่อไป มาคนนี้คุกเข่าเข้ามาใกล้ ตั้งใจรับ “ตจปัญจกกรรมฐาน” โดยภาษาบาลีโดยว่าตามเรา
(นาทีที่ 30:45.4 – 30:56.1) กล่าวตจปัญจกกรรมฐาน
นี่ว่ากันไปตามลำดับ คราวนี้ทวนลำดับ
(นาทีที่ 31:00 – 31:10 ) กล่าวตจปัญจกกรรมฐาน
จำได้ลองว่าเลย (กล่าวตจปัญจกกรรมฐาน) อีกที (กล่าวตจปัญจกกรรมฐาน) เพื่อความแน่นอนว่าอีกที (กล่าวตจปัญจกกรรมฐาน) ดี นี่พอใช้ได้ ที่ว่าว่าได้เรียบร้อยไม่งกๆ เงิ่นๆ มีสติสัมปชัญญะดี
ขอให้พยายามก็จะเข้าใจในการกระทำทุกขั้นทุกตอน ก็มองเห็นว่ามันดีจริง มีประโยชน์จริง ถ้าได้ร่วมมือกันจริงทั้งผู้บวช และทั้งบิดามารดาของผู้บวช ให้มันเป็นบวชจริงแล้วก็บ้านเมืองมันสงบกว่านี้ ศาสนามันเจริญกว่านี้ ความคิดนี้มันถูกแล้วแต่ว่ายังไม่ทำจริง ไม่ดูแลสนับสนุนให้ลูกหลานมันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ไอ้ลูกหลานมันก็เลย ไม่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้ ดังนั้นขอให้ร่วมมืออย่าชักให้ลูกมันอ่อนแอ โลเล จะไปแต่บ้าน เดี๋ยวขอนั่นขอนี่ ซื้อนั่นซื้อนี่ บวชแล้วก็ยังเล่น ยังมีของเล่น มันก็ไม่ได้บวช แล้วบางคนก็ขี้กินเกินไป ขี้กินเกินไป พ่อแม่แหละหามาให้กิน หรือเรียกไปกิน หรือชวนไปกิน มันไม่จริง มันไม่ได้ประโยชน์ ก็จะให้มันบวชเพื่อหัดอดกลั้นอดทน มันก็ไปทำให้อ่อนแอเสีย นั่นต้องให้เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่แหละครึ่งหนึ่งละก็ลูกจะบวชนี่จะดีหรือไม่ดี สักแต่ว่าให้บวชแล้วๆ กัน ได้บุญเต็มที่มันก็ฝันทั้งเพ มันเป็นเรื่องขัดกันนะ ไอ้เรื่องฝันนะบางทีมันก็งมงายไปเลย อาจารย์ก็ได้พูดให้ฟังแล้วว่าถ้าบวชแล้วมันจะได้อานิสงส์อย่างไร ตนก็เอาไปคิดไปนึกแล้วก็ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้มันได้ คอยเตือนให้บ้าง ถึงพ่อแม่เป็นฆราวาสก็เตือนได้ดีนักแหละ บวชระหว่างปิดเทอม ๑ เดือน ๒ เดือน ถ้ามันบวชจริงมันเปลี่ยนได้ ฉันเชื่อมันเปลี่ยนได้ ถ้าเลวๆ มันก็คงดีขึ้นบ้าง ขอให้มันจริง ถ้ามันไม่จริงกันเลยแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะได้มีแต่เสียเปล่า ที่แล้วๆ มามันเห็นว่ามันว่าได้มาร่วมร่วมโมทนาบุญก็ได้บุญทั้งนั้นแหละ กลายเป็นมาเรี่ยไรตังค์เรี่ยไรเงินกันแล้ว สักว่ามาโมทนาบุญมาดูมาเห็นก็ได้บุญแล้ว ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจในเรื่องราว มันก็เลยร่วมมือกันไม่ถูก จะคอยสนับสนุนตักเตือนเณร เตือนอะไรก็ไม่ถูก แล้วก็เสียชื่อกันหมด อุปัจฌาย์อาจารย์ก็เสียชื่อว่าบวชแล้วไม่เห็นได้อะไร วัดวาศาสนาก็พลอยเสียชื่อว่าคนบวชแล้วมันก็ไม่ได้อะไร นั่นแหละคือความล่มจมของส่วนรวม การว่ามันยังไม่ถูกมันบกพร่อง นี่ถ้าเป็นสมัยฉันบวชขาไม่เอาเลยนะนี่ ยกเลิกเลยนะ ต้องไปเริ่มกันใหม่ ไปยกเลิกเลยไม่ต้องบวชเลย เขาว่าแล้วก็ไล่กลับไปเลย ไว้ว่ากันวันหลัง
นี่มันศาสนามันเรียว มันเนื่องมาจากพ่อแม่ทำอะไรไม่จริง ไม่มีแผนการอันแท้จริง มาโหลกลักๆ เอาบวชกันวันนี้ เตรียมมาแต่ว่า เป็นเหตุให้ไอ้ลูกนี้มันเย็นไม่ได้ ว่าไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยฉันบวชเขาไม่เอาหรอกคนนี้ นี่เราจำเป็นจำใจจะต้องเอา เพราะพ่อแม่มันไม่จริง มันไม่มีแผนการ มันไม่มีความคิดนึก มันไม่มีการตระเตรียมทำอะไรให้ลูก มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ลูกมันก็ไม่จริง ระหว่างมาอยู่ที่วัดนี่มันก็ไม่เรียนจริง ไม่สนใจจริง มันแบ่งเวลาไว้โลเลเหลาะแหละแค่ไหน มันไม่จริงเหมือนกัน นี่ผลก็จะได้มันก็ไม่สมบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้องช่วยกันคิดนึกใหม่แก้ไขกันใหม่ให้มันจริงขึ้นอีก นี่เธอก็นั่นนักเรียนมัธยมเธอว่าเท่านี้ก็ไม่ได้ ไม่จริง เพราะฉะนั้นการเรียนของเธอต้องไม่ดี เพราะเธอมันแสดงนิสัยไม่จริง มาแก้ไขกันตอนนี้ตอนแค่บวชแล้วนี่ พยายามเรียนให้จริง ศีลก็ว่าไม่ค่อยถูก ก็รีบเรียนเสียว่าเสียให้ถูก ให้ว่าเสียให้ถูกภายใน ๕ วัน ๗ วัน ว่าศีลให้ถูกภายใน ๕ วัน ๗ วัน แก้นิสัยเป็นคนจริง แล้วถ้าว่าตามทำนอง แล้วถ้าว่าในวัดนี่ฉลาดขึ้นหรือยัง นี่ว่าเหมือนเด็ก เรียน กอ ขอ กอ กา ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง แล้วเขาว่าสอนให้ว่าอย่างนี้เธอก็ไม่เอาใจใส่จะว่าให้เหมือน มันขาดไปเลยประโยชน์นี่ มันเป็นความฉลาดเป็นศิลปะที่จะว่าให้เหมือนกันกับอาจารย์ที่ว่านำ ทำไม่ได้ เธอมันไม่ไม่ชอบนี่ เธอมันไม่ชอบรู้อะไรมากขึ้น หรือให้สามารถมากขึ้น ให้จริงมากขึ้น ถ้าเอาจริงมันก็จะต้อง... เอาละก็บวชกันแล้ว แล้วก็พยายามเรียนแหละ ว่าให้ถูกทุกตัวแล้วจำได้ตลอดชีวิตแหละ ฉันรู้ว่าเธอคงจะดีขึ้นแหละ ถ้าพอมันว่าถูกตลอดทุกตัวนี่ ก็ฉันนี่มันคาราคาซังว่าไม่ถูกอยู่วันนี้ไม่มีโล้มีลังกัน(นาทีที่ 38:45) เอาละนี่การบวชเป็นสามเณรมันก็สำเร็จลงไปแล้วเมื่อเวลา ๒ ทุ่ม ๔๐ ทุกคนจำไว้ตัวเองเป็นเณรเมื่อ ๒ ทุ่ม ๔๐ เพื่อที่จะไปเขียนสุทธิมันก็จะได้เขียนถูก ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้ค่อยเตือนตัวเองไว้เสมอว่าเป็นสามเณรแล้ว จะเหลาะแหละๆ เหมือนตอนเย็นนี่ไม่ได้แล้ว ทีนี้ก็จะให้พรคนบวช ให้พรทายก ทายิกา ตามธรรมเนียม