แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ข้อความต่อไปนี้เป็นนิทานสั้นๆ มากเรื่อง ของพวกนิกายเซนเรียกว่า เซนเนื้อ เซนกระดูก (Zen Flesh and Zen Bones) ข้อนี้หมายความว่ายังไม่ถึงเยื่อกระดูก เพราะว่าเซนชั้นที่เป็นเยื่อกระดูกนั้นจะนำมาพูดเป็นเสียงหรือเขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ เท่าที่เอามาพูดได้มาเขียนได้จึงเป็นเซนแต่ชั้นเนื้อหรือชั้นกระดูก ยังไม่ถึงเยื่อกระดูก ดังท่านจะได้ทราบจากเรื่องสั้นๆ เรื่องแรกทีเดียว
เรื่องนี้มีว่า เมื่อครั้งที่ท่านโพธิธรรม สังฆปริณายกองค์แรกของนิกายเซน ได้นำพุทธศาสนาอย่างธยานะหรือเซนจากอินเดียไปสู่ประเทศจีนในศตวรรษที่ ๖ แห่งคริสต์ศตวรรษนั้น เมื่อท่านได้สอนธรรมะแห่งนิกายเซนอยู่เป็นเวลา ๙ ปี ท่านประสงค์จะกลับไปอินเดีย ก่อนแต่จะกลับ ท่านอยากจะทดลองความรู้ของพวกศิษย์ที่ได้รับคำสอน ท่านจึงให้ประชุมศิษย์ทั้งหมดมาและก็ตั้งปัญหาให้ตอบ โดยใจความว่า สิ่งที่เรียกว่าเซนโดยแท้จริงนั้นคืออะไร
สาวกคนที่ชื่อโดฟูกุ ได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า สิ่งที่อยู่เหนือการยอมรับและการปฏิเสธนั่นแหละคือเซน ข้อนี้หมายความว่า ธรรมะชั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่ยากที่ใครจะยอมรับเห็นด้วย แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธว่าไม่เห็นด้วย ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า เออ,แกได้หนังของฉันไป
ต่อจากนั้น นางชีชื่อโซจิ ได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า ตามความรู้ทั้งหมดของดิฉัน เซนก็คือสิ่งที่เห็นครั้งเดียวก็เป็นเห็นหมดตลอดกาล ข้อนี้หมายความว่า ธรรมะที่เป็นชั้นสูงสุดหรือเป็นเซนที่แท้จริงนั้น จะมาเห็นกันทีละขั้นละตอนไม่ได้ ถ้าเห็นก็ต้องเห็นตลอดทีเดียวหมดและเห็นตลอดกาล ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า เออ,แกได้เนื้อของฉันไป
ครั้นแล้ว สาวกที่ชื่อโดอิกุ ได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า ที่ไม่มีอะไรเลยนั่นแหละคือของจริง ข้อนี้อธิบายว่า ของจริงคือความที่ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า เออ,แกได้กระดูกของฉันไป ในที่สุด สาวกคนที่ชื่อเอก้า ได้ยืนขึ้นโค้งคำนับแล้วหุบปากยืนนิ่งอยู่ เมื่อเป็นดังนี้ ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า เออ,แกได้เยื่อกระดูกของฉันไป นี้หมายความว่า เซนที่แท้จริงหรือธรรมะที่เป็นตัวเซนที่แท้จริงนั้น ไม่อาจจะบรรยายได้ด้วยคำพูด จึงจัดเป็นเซนชั้นเยื่อในกระดูก ส่วนที่พอจะพูดได้อย่างนั้นอย่างนี้นั้น เป็นเซนหนังบ้าง เป็นเซนเนื้อบ้าง เป็นเซนกระดูกบ้าง ยังไม่ถึงเยื่อกระดูกอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราควรจะถือว่า ข้อความต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียง เซนเนื้อ-เซนกระดูก ดังที่กล่าวแล้ว
ต่อไปนี้เป็นนิทานสั้นๆ ประเภทเซนเนื้อ- เซนกระดูกดังที่กล่าวแล้ว
เรื่องที่ ๑ ชื่อเรื่อง ถ้วยชาล้น
ท่านอาจารย์นั่มอิน เป็นอาจารย์มีชื่อเสียงสูงสุดแห่งนิกายเซนตลอดศักราชเมจิ คือระหว่างคริสตศักราช ๑๘๖๘-๑๙๑๒ ท่านอาจารย์ผู้นี้ได้ต้อนรับโปรเฟสเซ่อร์ (Professor) มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผู้ซึ่งได้มาหาและขอศึกษาธรรมะอย่างเซนกับท่าน เมื่อโปรเฟสเซ่อร์ผู้นี้ได้มาหา ท่านอาจารย์นั่มอินได้ต้อนรับด้วยน้ำชา ท่านได้รินน้ำชาลงไปในถ้วยของแขกผู้นี้จนเต็ม แล้วก็ยังรินอยู่เรื่อย รินอยู่เรื่อยจนน้ำชาล้นถ้วยลงนองอยู่ที่พื้น แล้วก็ยังรินอยู่เรื่อย ท่านโปรเฟสเซ่อร์ได้เฝ้าดูอาการอย่างนั้นอยู่จนเหลือที่จะทนไหว ก็พูดขึ้นว่า ดูสิ,มันล้นถ้วยแล้ว ท่านจะใส่มันลงไปอีกได้อย่างไรกัน อาจารย์นั่มอินจึงตอบว่า มันเหมือนกับถ้วยนี้แหละ คือตัวท่านเต็มอัดอยู่ด้วยความคิดเห็นและวิธีคำนึงคำนวณตามแบบของท่านอย่างเต็มปรี่ เช่นนี้แล้วฉันจะใส่ธรรมะอย่างเซนลงไปในท่านได้อย่างไรเล่า เว้นไว้แต่ท่านจะได้ทำถ้วยชาของท่านให้ว่างเสียก่อน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่คนเราจะรับสิ่งใดๆ ที่เป็นของใหม่และลึกซึ้งเข้ามานั้น จะต้องทำใจให้ว่างจากสิ่งที่เคยเต็มอัดหรือยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นเสียก่อน จึงจะสามารถรับอะไรที่ใหม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งสอนให้รู้ว่า ในหมู่พวกนิกายเซนนั้นเขาไม่นิยมพูดอะไรกันตรงๆ แต่นิยมแสดงกิริยาอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้รู้จากใจด้วยใจในทำนองที่เป็นปริศนา หรือให้เกิดความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาได้เองเหมือนอย่างที่อาจารย์นั่มอินได้ทำในที่นี้ และในที่สุดโปรเฟสเซ่อร์ผู้นั้นก็มีความสลดสังเวชตัวเองมากถึงขนาดที่ความรู้เก่าๆ ที่เต็มอัดอยู่นั้นได้หลุดร่วงไป มีจิตใจพร้อมที่จะรับธรรมะที่แท้จริงและสูงสุดได้ด้วยอาการอย่างนี้//
เรื่องที่ ๒ เรื่องหาเพชรในโคลน
อาจารย์กูโด อาจารย์แห่งนิกายเซน ได้เป็นอาจารย์ของพระจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม ท่านชอบท่องเที่ยวไปคนเดียวในฐานะเป็นนักบวชธุดงค์เร่ร่อน ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปถึงตำบลอีโด้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและทางการเมืองของพวกโชกุน ท่านได้เข้าไปที่ตำบลเล็กๆ ชื่อว่าตำบลตาเกนากะ ครั้นเย็นลงฝนได้ตกหนัก ท่านอาจารย์กูโดก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน รองเท้าฟางขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ที่กระท่อมนาแห่งหนึ่งนั้นท่านได้สังเกตเห็นรองเท้าฟางวางอยู่เป็นจำนวนมากในที่วางขาย ก็ได้ตั้งใจว่าจะเข้าไปซื้อรองเท้าที่แห้งๆ สักคู่หนึ่ง หญิงเจ้าของร้านได้ถวายรองเท้าแก่ท่าน และเมื่อเห็นว่าท่านได้เปียกปอนเช่นนั้น ก็ได้เชิญท่านให้พักค้างคืนที่นั่น ท่านอาจารย์กูโดยอมรับคำเชิญและได้ขอบใจหญิงผู้นั้น ท่านได้เข้าไปในกระท่อมและได้สวดสาธยายพระสูตรอยู่ที่หน้าแท่นบูชาประจำบ้าน ต่อมาท่านได้รับการแนะนำให้รู้จักกับมารดาของหญิงเจ้าของบ้าน ตลอดถึงเด็กๆ ลูกๆ ทั้งหมด เมื่อท่านได้สังเกตเห็นว่า ครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นมาก ท่านกูโดจึงได้ถามถึงมูลเหตุ
หญิงเจ้าบ้านได้เล่าแก่ท่านว่า สามีของดิฉันเป็นนักการพนันและนักดื่ม ถ้าเผอิญเขาชนะการพนัน เขาก็ดื่มจนหมด ถ้าเขาเสียการพนัน เขาก็ยืมเงินของคนอื่นเล่นและก่อหนี้สินมากขึ้น บางคราวเมื่อเขากลับมาบ้านเมาเต็มปรี่ บางคราวเมื่อเขาเมาเต็มที่ เขาไม่เคยกลับมาบ้านเลยก็ยังมี เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ดิฉันจะทำอย่างไรดีเล่า
ท่านอาจารย์กูโดได้ตอบว่า ฉันเองแหละจะช่วยเขา นี่เงินมีอยู่ที่นี่บ้าง จงไปจัดซื้อเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ฉันสักถังหนึ่งและอะไรๆ ที่ดีๆ ที่น่ากินมาให้มากพอด้วย แล้วท่านจงไปพักผ่อนเถิด ฉันจะรออยู่ที่นี่ ครั้นถึงเวลาที่ชายเล่นเบี้ยนักดื่มผู้นั้นกลับมาบ้านเวลาเที่ยงคืน เขาเมาจัด เขาร้องตะโกนที่ประตูว่า เมียโว้ย,ฉันมาบ้านแล้ว มีอะไรให้กินบ้างไหม
อาจารย์กูโดได้ตอบว่า ฉันมีอะไรบางอย่างไว้ให้กินเยอะแยะ ฉันเผอิญมาค้างฝนที่นี่ แล้วภรรยาของท่านกรุณาให้ฉันพักอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจึงได้ซื้อเหล้าองุ่นกับปลามาเป็นอันมาก ขอเชิญท่านกินตามสบายเถิด
ชายผู้นั้นมีความยินดีเป็นอันมาก เขาดื่มเหล้าองุ่นทันทีและก็ทอดตัวลงนอนกับพื้น อาจารย์กูโดก็นั่งเข้าสมาธิอยู่ข้างๆ ตัวเขานั่นเอง ครั้นถึงเวลารุ่งเช้า เมื่อชายผู้นั้นตื่นขึ้น เขาได้ลืมไปหมดถึงเรื่องราวต่างๆ เมื่อคืนนี้ เขาได้ถามอาจารย์กูโดว่า ท่านเป็นใครขอรับ ท่านมาจากไหนขอรับ ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์กูโดยังเข้าสมาธิอยู่ ท่านอาจารย์กูโดได้ตอบว่า ฉันคือกูโดแห่งกรุงเกียวโต ฉันกำลังจะไปที่ตำบลอีโด้ ชายคนนั้นได้ฟังดังนั้นก็เกิดความละอายอย่างแรงกล้า ได้กล่าวคำขอโทษอย่างใหญ่หลวงต่อบุคคลผู้เป็นพระอาจารย์แห่งพระจักรพรรดิ
ท่านกูโดได้ยิ้มและพูดว่า สิ่งต่างๆ ในชีวิตนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน และชีวิตนี้ก็เป็นของสั้นเหลือเกิน ถ้าท่านจะมัวเล่นการพนันและดื่มอยู่ร่ำไป ท่านก็จะไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับทำอะไรอื่นให้เสร็จสิ้นไปได้ แล้วท่านก็จะทำให้ครอบครัวของท่านต้องพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย
ทันใดนั้นชายเจ้าบ้านผู้นั้นมีความรู้สึกราวกับว่าตื่นขึ้นมาในความฝัน เขาได้ร้องขึ้นว่า ใต้เท้ากล่าวถูกแล้วขอรับ กระผมจะตอบแทนพระคุณคำแนะนำของใต้เท้าได้อย่างไรหนอ ขอให้กระผมได้ออกไปส่งใต้เท้าตลอดหนทางที่จะเดินไปนั้นสักเล็กน้อยเถิด
กูโดได้ตกลงด้วย แล้วทั้งสองคนก็ได้ออกเดิน เมื่อเดินมาได้ประมาณสักสามไมล์ กูโดก็ได้บอกให้เขากลับ เขากลับข้อร้องว่า ขอต่อไปอีกสักห้าไมล์เถิดขอรับ แล้วเขาก็พากันเดินต่อไป ต่อมากูโดก็ได้พูดขึ้นอีกว่า ท่านควรจะกลับได้แล้ว ชายคนนั้นกลับตอบว่า ขอต่อไปอีกสักสิบไมล์เถิดขอรับ ครั้นเมื่อเดินต่อไปได้สิบไมล์ ท่านอาจารย์กูโดก็เตือนขึ้นอีกว่า กลับเถอะ ชายผู้นั้นก็ได้ร้องขึ้นว่า ผมจะติดตามใต้เท้าไปจนตลอดชีวิตของผมทีเดียว
ท่านทั้งหลายพึงทราบว่าในบรรดาอาจารย์แห่งนิกายเซนทั้งหลายแห่งยุคปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นนั้น ล้วนแต่ได้สืบสายออกมาจากอาจารย์คนสำคัญคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบต่อตรงลงมาจากอาจารย์กูโด ชื่อของอาจารย์ผู้นั้นก็คือมูนัม ซึ่งแปลว่าบุคคลผู้ไม่ยอมกลับอีกเลย ซึ่งได้แก่ชายพ่อบ้านผู้ติดตามอาจารย์กูโดมาดังที่กล่าวแล้วนั่นเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพชรเป็นสิ่งที่อาจจะหาได้จากโคลนเหมือนกับชื่อของนิทานเรื่องนี้ ชายขี้เมาคนนั้นต่อมาได้เป็นอาจารย์สูงสุดของบรรดาอาจารย์แห่งนิกายเซน เขาเป็นคนที่ท่านอาจารย์กูโดได้ไปหาพบมาจากถิ่นที่เปรียบเหมือนกับโคลนหรือที่เรียกกันว่าถิ่นสลัมคือหมู่บ้านของบุคคลผู้ไร้การศึกษาอยู่กันอย่างน่าสมเพชเวทนาด้วยการเล่นการพนันและการดื่ม แต่ถึงอย่างนั้นที่ชนิดนี้ก็ยังเป็นที่เกิดของอาจารย์ เหมือนกับว่าโคลนหรือเลนเป็นที่เกิดแห่งดอกบัวอันสวยงามและมีกลิ่นหอมฉันใดก็ฉันนั้น//
เรื่องที่ ๓ อย่างนั้นหรือ?
อาจารย์แห่งนิกายเซนชื่อเฮ็กกูอิน เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้บรรลุธรรมถึงที่สุด เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนทั่วไปในละแวกนั้น มีหญิงสาวสวยผู้หนึ่งซึ่งบิดามารดาเป็นเจ้าของร้านชำ โดยกะทันหันไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นมาก่อน บิดามารดาก็เกิดพบว่าหญิงสาวผู้นั้นมีครรภ์ ข้อนี้ทำให้บิดามารดามีความโกรธมาก และหญิงสาวผู้นั้นไม่ยอมบอกว่าชายผู้เป็นบิดาของเด็กในครรภ์นั้นคือใคร แต่ครั้นถูกรบเร้าขู่เข็ญบังคับมากขึ้น ในที่สุดก็ได้ระบุชื่อท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน บิดามารดามีความโกรธมาก ได้ไปหาท่านอาจารย์ กล่าวคำหยาบคายต่างๆ นานา ด้วยความเข้าใจผิดตามที่ลูกสาวลวง ท่านอาจารย์ได้กล่าวแต่เพียงว่า ดังนั้นหรือ? ครั้นต่อมาเด็กได้คลอดออกมาจากครรภ์ บิดามารดาจึงนำเด็กไปมอบให้อาจารย์เฮ็กกูอิน ประชดประชันต่างๆนานาและบังคับให้เลี้ยงเด็ก ในตอนนี้ท่านอาจารย์ได้รับการระบือลือชาไปในทางเสียหาย แต่ก็ไม่มีอะไรกระทำให้ท่านกระเทือนใจ ทุกคราวที่มีคนไปด่าว่า ท่านก็มีคำตอบแต่เพียงว่า อย่างนั้นหรือ? ท่านได้เอาใจใส่ในเด็กทารกนั้นมาก แสวงหานมและเครื่องใช้จำเป็นอย่างอื่นจากชาวบ้านข้างเคียงมาเลี้ยงดูเด็กจนเติบโต ในปีต่อมา หญิงผู้เป็นมารดาของเด็กนั้นไม่อาจจะทนความทรมานใจได้อีกต่อไป นับวันแต่จะยิ่งมีความร้อนใจยิ่งขึ้นทุกที เพราะตนเป็นผู้กล่าวคำเท็จและทำความเสียหายให้แก่ผู้อื่น ในที่สุดหญิงผู้เป็นมารดานั้นก็บอกความจริงแก่บิดามารดาของตนว่า บิดาที่แท้จริงของเด็กนั้นคือชายหนุ่มที่ร้านขายปลา
ทางฝ่ายมารดาและบิดาได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความร้อนใจเป็นอันมาก รู้สึกว่าตนได้ทำความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงได้รีบไปหาท่านอาจารย์เฮ็กกูอินทันที และได้กล่าวขอโทษ ขอให้ยกโทษเสียอย่างยืดยาว และขอรับเด็กกลับคืนมา ท่านอาจารย์เฮ็กกูอินไม่มีอะไรที่จะกล่าวแก่บิดามารดานั้น นอกจากคำว่า อย่างนั้นหรือ?
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บุคคลผู้เข้าถึงธรรมะที่แท้จริงนั้น ย่อมไม่มีความหวั่นไหวเดือดร้อนระส่ำระส่ายไปตามสิ่งใดๆ คงเป็นปรกติอยู่ได้ แม้ในกรณีที่คนธรรมดาสามัญไม่อาจจะเป็นปรกติอยู่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจอยู่เหนือความที่จะยึดมั่นหรือรู้สึกในสิ่งธรรมดาสามัญ มีความรู้สึกอยู่แต่ในสิ่งที่เป็นความว่างจากความยึดถือตามที่ชาวโลกยึดถือกันอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีคำพูดที่แสดงการขึ้นลง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหรือเป็นการลง มีความรู้สึกเหมือนกันหมด จึงกล่าวได้แต่ว่า อย่างนั้นหรือ? ดังนี้
เรื่องที่ ๔ ชื่อเรื่อง ผู้เชื่อฟัง
ท่านครูบาเบ็งเกอี มีคำพูดและการสั่งสอนเป็นที่พอใจกันทั่วไปไม่เฉพาะแต่ในวงพวกนักศึกษาแห่งนิกายเซน เพราะว่าแม้แต่บุคคลที่ถือลัทธิอื่นหรือพวกอื่นทุกๆ พวก ทุกๆ นิกาย ก็ชอบมาฟังท่านสอน ท่านอาจารย์ผู้นี้ไม่เคยอ้างพระสูตร สูตรนั้นสูตรนี้มาอ้างคำพูด มารับรองคำพูดของตน แทนที่จะเป็นเช่นนั้นคำพูดของท่านทุกคำออกมาจากใจของท่านไปยังใจของผู้ฟังโดยตรง ผู้ฟังส่วนใหญ่ของท่านกระทำความโกรธเคืองให้แก่ภิกษุนิกายชินเรนรูปหนึ่ง เพราะว่าเขาพากันละทิ้งนิกายนั้นมาฟังคำสอนแห่งนิกายเซนเสียหมด ภิกษุนิกายชินเรนผู้เห็นแก่ตัวองค์หนึ่งได้มาที่วิหารของท่านโดยตั้งใจว่าจะมาโต้วาทะข่มขี่ท่านให้พ่ายแพ้ไปทีเดียว เมื่อภิกษุรูปนั้นมาถึงก็ได้ร้องขึ้นว่า นี่แน่ะ,ท่านอาจารย์เซน หยุดประเดี๋ยว จงฟังก่อน ใครก็ตามนับถือท่าน ก็จะต้องเชื่อฟังสิ่งที่ท่านบอก แต่คนอย่างผมนี้หรือจะนับถือท่าน ท่านช่วยทำให้ผมเชื่อฟังท่านดูซิ
ท่านอาจารย์เบ็งเกอีจึงพูดขึ้นว่า ขึ้นมาบนนี้ มาอยู่ข้างๆ ฉัน แล้วฉันจะทำให้ดู ภิกษุรูปนั้นก็ก้าวขึ้นมา ผ่าฝูงชนผู้ฟังขึ้นมาอย่างองอาจเข้ามาหาท่านเบ็งเกอี ท่านเบ็งเกอีได้ยิ้มแล้วพูดว่า มานี่ๆ มายืนอยู่ข้างซ้ายฉันนี่ ภิกษุรูปนั้นก็ได้ทำดังนั้น ท่านอาจารย์เบ็งเกอีได้กล่าวต่อไปว่า อ้าว,ไม่ใช่ๆ เราอาจจะพูดกันถนัดกว่าถ้าท่านมาอยู่ข้างขวาของฉัน ก้าวมาที่นี่สิ ภิกษุรูปนั้นก็ก้าวไปทางขวาอย่างองอาจผ่าเผยเต็มที่ ท่านเบ็งเกอีจึงกระแนะขึ้นว่า เห็นไหมเล่า,ท่านกำลังเชื่อฟังฉัน และฉันก็คิดว่าท่านเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนเชื่อฟังอย่างยิ่งแล้ว เดี๋ยวนี้นั่งลงเถิด นั่งลงฟังจะดีกว่า
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนหยิ่งยโสนั้นมักจะเผลอลืมตัวบ่อยๆ ในข้อที่ตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ทุกแง่ทุกมุม ก็ยังหลงไปว่ายังเป็นฝ่ายชนะ แพ้ถึงที่สุดแล้วก็ยังหลงไปว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังเป็นคนปากจัดและหยิ่งยโสอยู่ตามเดิม จนกระทั่งแพ้ถึงที่สุดโดยไม่รู้สึกตัว เข้ามุมจนตรอกได้เหมือนกับภิกษุรูปนี้ ซึ่งจะรู้สึกตัวก็ไปอยู่ที่สุดมุมเสียแล้ว เป็นอันว่าคนหยิ่งยโสที่จะไม่ยอมเชื่อฟังใครนั้น ได้เป็นผู้เชื่อฟังอย่างยิ่ง พ่ายแพ้อย่างยิ่ง โดยไม่รู้สึกตัวดังนี้ และสอนให้รู้ว่าบุคคลที่ฉลาดนั้นย่อมทำบุคคลผู้หยิ่งยโสให้พ่ายแพ้แก่ตัวเองที่เรียกว่าเป็นผู้แพ้ภัยของตัวเองได้ด้วยอาการอย่างนี้เสมอไป และเป็นของทำได้ง่ายๆ หรือทำเล่นๆ สำหรับบุคคลผู้มีปัญญาเห็นปานนี้
เรื่องที่ ๕ ชื่อเรื่อง ถ้ารัก ก็จงรักอย่างเปิดเผย
มีภิกษุยี่สิบรูป กับภิกษุณีรูปหนึ่งมีนามว่าอีจุ่น ปฏิบัติภาวนาอยู่ในสำนักอาจารย์แห่งนิกายเซนแห่งหนึ่ง อีจุ่นเป็นผู้มีรูปร่างงดงาม แม้ว่าศีรษะจะถูกโกนเกลี้ยงและนุ่งห่มด้วยเครื่องนุ่งห่มปอนๆ ก็ยังงดงามอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง ภิกษุเป็นอันมากได้ลุ่มหลงในความงามและตกอยู่ในความรัก ภิกษุรูปหนึ่งในจำนวนเหล่านั้นได้เขียนจดหมายถึงหล่อน เป็นจดหมายรักและยืนยันขอการพบเป็นการส่วนตัว อีจุ่นไม่ได้ตอบ ครั้นวันรุ่งขึ้น ท่านอาจารย์แห่งสำนักได้แสดงธรรมแก่มหาชนตามเคย ครั้นจบการแสดงแล้ว อีจุ่นได้ยืนขึ้น เมื่อจะปราศรัยแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของจดหมาย อีจุ่นได้พูดว่า ถ้าท่านรักฉันอย่างมากจริงๆ ก็จงออกมาและกอดฉันที่นี่เดี๋ยวนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บุคคลบางคนย่อมผิดกันกับบุคคลบางคนอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับภิกษุณีชื่ออีจุ่นแห่งสำนักนี้ คนที่ดูแต่รูปร่างข้างนอกคงจะคิดว่า เป็นลูกแกะอ่อนที่จะเป็นเหยื่อของคนอื่นได้ง่ายๆ แต่โดยเนื้อแท้แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ก็จะกลายเป็นนางราชสีห์ผู้ที่สามารถทำให้แกะตัวผู้เช่นนั้นถึงกับผงะหงายหลังไปทีเดียว สมกับที่อุตริเป็นเจ้าชู้ทั้งที่กำลังปฏิบัติเซนอยู่/