แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา (นาทีที่ 0.51-0.59) วุฑฒิ กามานะจาเคนะ สัคคาเมพาติวัตตะนันติ ธัมโม สักกัจจัง โสตัพโพติ
เทศน์ไม่มีใบลาน พูดบ้านเราไม่ค่อยเหนื่อย แรงไม่ค่อยมี พูดบางกอกเหนื่อย ตั้งใจฟังให้ดี สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ให้ได้เรื่องได้ราว
วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีที่ได้มาเห็นการกระทำในสถานที่นี้ในวันนี้ในลักษณะเช่นนี้ รู้สึกยินดีพอใจกันทุกคน ในการที่คิดฉลองในสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นมา หรือว่าปรับปรุงธรรมชาติในสวนโมกข์นี้เสียใหม่ นี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญ มีเรื่องที่จะพูดหลายแง่หลายมุมแต่ว่าเรื่องสำคัญนั้นคือเรื่องที่เราช่วยกันรักษาสถานที่ชนิดนี้ไว้ได้ในลักษณะเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องนี้ก่อน
บ้านเมืองของเราจะมีความเจริญก็เพราะการเสียสละของพวกเราที่ต้องการความเจริญ อย่าไปคิดอย่าไปหวังพึ่งคนอื่น อย่าไปหวังพึ่งผู้อื่น เราจะต้องช่วยตัวเอง ช่วยบ้านช่วยเมืองของเราอย่าไปหวังให้คนอื่นมาช่วย ถ้าเราไม่ต้องการความเจริญ ก็มันไม่มีความเจริญเป็นแน่นอน เพราะฉะนั้นเรานั้นต้องการความเจริญกันเสียก่อน อย่าเห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวนั้นมันไม่เห็นแก่ส่วนรวม ที่บ้านเมืองมันไม่เจริญ คนเห็นแก่ตัว นอนเสีย เพื่อนทำเกือบตายก็ไม่ช่วย แต่เวลาเพื่อนทำเสร็จแล้วตัวเองเอาประโยชน์ได้ประโยชน์ นี่ นี่เกินไปแล้ว คือว่าไม่ ไม่เท่าแต่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว เอาเปรียบเพื่อนด้วย ถ้าขืนอยู่กันแบบนี้ บ้านไหนเมืองไหนก็ไม่เจริญ
ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา ความสามัคคีของผู้ที่ผูกพันกันเป็นหมู่ทุกคน ย่อมยังความเจริญให้เกิดขึ้นได้ ความเจริญสำเร็จด้วยความสามัคคี พระพุทธเจ้าต้องการให้มีความสามัคคี ไม่มีความแตกแยก ไม่ใช่ว่าจะเห็นแต่ประโยชน์ทางบ้านเมืองอย่างเดียว ทางจิตใจก็มี มีความสำคัญ สามัคคีย่อมไม่เห็นแก่ตัว ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นแต่ประโยชน์ของตัว คือไม่เห็นแต่ตัวกู ไม่เห็นแต่ของกู เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมนั้นแหละก็มีความเจริญ บ้านเราจะพูดถึงว่า พุมเรียงก็ดี ไชยาก็ดี สุราษฎร์ก็ดีแล้วแต่จะใช้คำไหน เรียกว่าบ้านเรา ถ้าเราไม่รัก เราไม่ช่วยกันทำ ไม่มีใครมาช่วยทำหรอก แน่นอน ทีนี้เรามันต้องนึกถึงปู่ย่าตายายที่ได้ทำไว้
เมืองไชยานั้นต้องนึกถึงพระธาตุก่อน พระธาตุนั้นมันสำคัญที่สุดของรอบอ่าวบ้านดอนนี่ พระธาตุน่ะพันสองร้อยกว่าปีแล้ว นี่แหละช่วยกันฟังให้ดีๆ ว่าพระธาตุของเมืองไชยานั้นมันตั้งพันสองร้อยกว่าปีแล้ว หมายความว่ามีความเจริญถึงขนาดสูงสุดตั้งพันสองร้อยปีมาแล้ว จนชักจะลืมๆกันเสียแล้ว ลืมๆจนเห็นแก่ตัวแล้ว ถ้าเห็นแก่ตัว สร้างพระธาตุไม่ได้ คุณไปคิดดูเถอะเหมือนกับวัดพระธาตุที่นี้อยู่ในสภาพแบบนี้แหละ ถ้ามีแต่คนเห็นแก่ตัวย่อมสร้างขึ้นไม่ได้ ทีนี้ปักษ์ใต้ยังมีเมืองนครฯ ยังมีพระธาตุนครฯ แล้วพระธาตุอื่นๆเล็กๆน้อยๆมีความเจริญถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นในจิตใจของคนจึงมี เอ่อ, เขาเรียกว่าคุณธรรมสูง เป็นผู้ที่มีประเพณี วัฒนธรรม นี่มันสูง ไปด้วยธรรมะในศาสนา แล้วมันก็เคยเสื่อมเป็นคราวๆ จนบางคราวมันก็เสื่อมไป แล้วบางคราวมันก็กลับมาอีก เวลานี้มันเป็นเวลาที่กลับมาแล้ว เพราะฉะนั้นช่วยกันใหม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความเจริญในทางศาสนาเป็นเบื้องหน้าก่อน แล้วจึงมาถึงเรื่องทางโลกๆ เรื่องทำมาหากิน
พระพุทธรูปองค์นี้ทำจากหินแดงนะ พระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์นี้ข้างในเป็นหินแดง ซึ่งมันทำยากว่าที่จะปั้นกับปูน อาจารย์เล่าว่าเอามาจากควนท่าข้าม พระพุทธรูปองค์นี้เป็นหินแดง ใช้หินแดงควนท่าข้ามมาทำเป็นพระพุทธรูป แล้วใส่แพลอยมา ขึ้นพุมเรียง เอาไว้ที่ประตูค่าย ที่วัดชนะสงคราม แล้วท่านที่วัดนี้เพิ่งเอามาไว้ที่วัดนี้ นี่อาจารย์เล่าให้ฟังแบบนี้ พระพุทธรูปที่สร้างด้วยหินแดงขนาดนี้และใหญ่กว่านี้ในเมืองไชยานี้มีเป็นร้อยๆองค์ นับตั้งแต่วัดพระธาตุมาวัดเวียงมา วัดจำปา วัดจายที่ปากท่อมีมาก แล้วใหญ่แล้วน่าดูมาก วัดจำปาก็น่าดูมาก ขอให้ไปดู แล้วจะเกิดความรู้สึกว่าบรรพบุรุษปู่ย่าตายายน่ะเคยเอาจริง เคยเสียสละอย่างใหญ่หลวง พวกเราสมัยนี้อาจจะเอาแต่เล่นแต่หัวแต่สนุกสนาน ไม่เคยทำชนิดนั้น เพราะฉะนั้นนึกถึงปู่ย่าตายายแล้วก็ช่วยกันตั้งอกตั้งใจเสียใหม่ ช่วยกันบำรุง สิ่งที่ปู่ย่าตายายได้ทำไว้แหละ ให้ดีๆ ให้เจริญต่อไป วัดนี้ในราวรัชกาลที่ ๓ ยังเป็นวัดสำคัญที่เรียกว่า ตระพังจิก เนี่ย เจ้าคณะเมืองอยู่ที่วัดนี้ ตรงหน้าวัดเป็นบ้านของเจ้าเมือง ของปลัดเมือง ของยกบัตร ก็อยู่ตรงนั้นแหละ ตรง ตรงหน้าวัดไปนี้ นั่นมันรุ่นก่อน รุ่นก่อนก็ไปอยู่ที่บ้านดอนยาง ที่ฝ่ายโน้น
ท่านสมภารที่นี้เมื่อหนุ่มๆเขาเรียก สมุห์พิน พอถึงคราวที่เจ้าคณะเมืององค์ก่อนดับลงไป จะตั้งเจ้าคณะเมืององค์ใหม่ก็ได้พิจารณากันแล้วไม่เห็นใครเหมาะสมเท่ากับพระสมุห์พิน แต่ว่าพระสมุห์พินของวัดนี้ยัง ยังหนุ่มเกินไป องค์แก่ๆมีมาก ท่านการาม วัดบ้านทะเล อะไรนี้ก็มีพูดถึงในสารตรา ในตราตั้ง เพราะฉะนั้นในตราตั้ง พระสมุห์พินวัดนี้ ต้องกำชับกำชามาแข็งแรง ตราตั้งที่มาแต่บางกอก ฉันยังเก็บไว้ มีคนเอาไปให้ ว่าแม้ว่าพระสมุห์พินจะยังหนุ่มอยู่ ยังมีสติปัญญาสามารถมาก ขอให้พระเถรานุเถระทั้งหลายยินยอม และเชื่อฟังพระสมุห์พิน ตั้งพระสมุห์พินวัดนี้เป็นเจ้าคณะเมืองทั้งที่มีองค์แก่ๆเฒ่าๆ กาเป็นการาม กาอะไรอยู่แล้วก็ยังมี แต่เขาไม่ตั้ง เขาตั้งพระครู เอ่อ, พระสมุห์พินนี้เป็นพระครูกาแก้วขึ้นมา แล้วเป็นเจ้าคณะเมือง ในตราตั้งนั้นสลักหลังขนาบหน้า ขนาบหลัง ทางฝ่ายบ้านเมืองสารตรา เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี นี้มีเหมือนกัน ให้สั่งทางฝ่ายบ้านเมือง ให้ช่วยกันแจ้งความให้รู้ ถึงทางฝ่ายในพระ ฝ่าย ฝ่ายพระนี้ก็แจ้งให้รู้ว่าเป็นความต้องการของพระพรรณรัตน์ พระเถระผู้สำเร็จการคณะสงฆ์ภาคใต้นี้ นี่เขากลัวว่าพระสงฆ์ทั้งหลายที่เฒ่าๆแก่ๆจะดื้อกระด้างจะไม่ยอมรับพระสมุห์พิน ที่เป็นพระหนุ่มขึ้นมา ตั้งเป็นเจ้าคณะเมืองขึ้นมา นี่เล่าถึงเรื่องความที่มันเคยเจริญ เคยศักดิ์สิทธิ์ เคยเจริญของวัดนี้ เป็นวัดเจ้าคณะเมือง พอเขาสร้างวัดล่างด้วยอำนาจของสมเด็จเจ้าพระยานั้น เขาบังคับ ใช้คำว่าบังคับดีกว่านิมนต์ เพราะเขาว่านิมนต์โดยบังคับให้พระครูสมุห์พินนี้ไปอยู่ที่วัดสร้างใหม่ คือวัดล่างเวลานี้ วัดสมุหนิมิต วัดนี้ก็เลยร้าง เพราะฉะนั้นของที่สวยๆงามๆ เช่น ตู้ลายทอง ที่วัดสมุหนิมิต นี่มันเอาไปจากวัดนี้ วัดนี้เป็นวัดที่เป็นเจ้าคณะเมืองสอนบาลี เรียนบาลี เรียนกันที่วัดนี้ รุ่นก่อนนะ ความรู้การศึกษาอะไรก็อยู่ที่วัดนี้ นี่มันก็เคยเจริญถึงขนาดนี้แล้วมันเสื่อมลงไปตามเหตุการณ์แหละ เพราะเขาย้ายไปนี่ เขาย้ายสมภารไปนี่ ทีนี้มันก็ ร่อยหรอไป ร่อยหรอไป มีคนแก่ๆทันเห็นว่ามีแต่ตาเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งสุดท้ายนี่ เมื่อสักแปดสิบปีมานี้ มันก็ มันร้างมานี่ แล้วมันก็ร้างเงียบหายเมื่อตาเจ้าองค์นั้นตายเสีย เราก็มีสวนโมกข์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลานี้ก็ยังเป็นที่รู้จัก เพราะฉะนั้นขอให้ทุกๆคนมีความพร้อมเพรียงกันรักษาสถานที่นี้ไว้เป็นที่ระลึกของเมืองไชยา ตั้งแต่สมัยท่านกาแก้วพิณนั้น เขาเรียกพระครูกาแก้วพิณ คือพระครูรัตนมุนีศรีสังฆราชาลังกาแก้ว พิณ แล้วไปอยู่ที่วัดสมุหนิมิต นั่นแหละความศักดิ์สิทธิ์มันมีมาแต่ครั้งโน้น ขอให้ช่วยกันสามัคคีรักษาสถานที่นี้ไว้เป็นอนุสรณ์ และขอให้ตั้งใจว่าให้มันเป็นที่สาธารณะประจำเมือง
บ้านเมืองต้องมีสวนสาธารณะที่เย็นอกเย็นใจนี้แหละ ไว้ด้วย มันจะแก้โรคเส้นประสาท มัวแต่ทำการทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างเดียว มันจะเป็นโรคเส้นประสาท แล้วกำลังเป็นกันอยู่หลายคนแล้วไม่ใช่เหรอ ไอ้สถานที่ชนิดนี้มันช่วยได้ คนเข้ามาถึงนี้แล้วก็ลืม ลืม ลืมเรื่องยุ่งๆที่บ้าน มันสบายบอกไม่ถูก ชาวบางกอก ชาวไหนก็ตาม มาที่สวนโมกข์แล้วก็บอกว่าสบายบอกไม่ถูกว่าเหตุไร ด้วยเหตุว่าธรรมชาตินี่มันช่วยให้ลืมไอ้เรื่องยุ่งหัว สบายใจ ถ้าทำไว้บ่อยๆมันเป็นยาป้องกันโรคเส้นประสาท เพราะฉะนั้นปีหนึ่งสี่ห้าหน อุตส่าห์มาทำให้เตียนไว้ แล้วมากินข้าว มาฟังเทศน์นี่ ปีหนึ่งสี่ห้าครั้งแล้วจะป้องกันโรคเส้นประสาทได้มากทีเดียว คือความเย็น ความเงียบ ความสวยงามของธรรมชาตินี้ทำให้เราลืม เรื่องวุ่นวายในจิตใจมันลืมไปหมด มันเหมือนกับล้างเกลี้ยงกันทีหนึ่ง อาบน้ำให้มันสมองให้ล้างจิตล้างใจกันเสียทีหนึ่ง นี่คือความสำคัญของสวนอุทยาน หรือวัดแบบวัดป่า วัดแบบวัดพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย วัดสภาพชนิดนี้ทั้งนั้น กว้างขวางเย็น ร่ม เงียบ นั่นแหละมันทำให้คน มีจิตใจเย็น เงียบสว่าง สบาย
เรื่องนี้ขอยุติว่าให้ทุกคนช่วยกันรักษาสภาพชนิดนี้ไว้ ทำให้เตียนไปถึงริมๆ ทำทางเดินรอบๆอย่าให้รุกเขตเข้ามาได้ แล้วมาช่วยกันดูกันแลปีหนึ่งสี่ห้าครั้ง แล้วต่อไปมันจะติด จนถึงขนาดที่ว่าคนที่ไกลๆก็จะมา ฉันก็ยินดีที่จะมาร่วมทุกทีแหละถ้าว่ามีแบบนี้นะ ช่วยกันรักษาสิ่งที่มันไม่เหมือนใครนี่แหละ แต่นี่ป่ามันจะหมดแล้ว ตามใจแหละ ที่ไชยา ที่พุมเรียงอะไรป่ามันจะหมดแล้ว มันจะเหลือแต่แค่นี้แหละ สักหย่อมหนึ่ง เพราะฉะนั้นขอร้องว่าอย่าตัดต้นไม้เหล่านี้ ต้นพยอม ต้นยาง ต้นอะไรนี้ อย่าตัดมันเสีย แล้วสระเหมือนกันรักษาให้ลึกเอาไว้อย่าไปถมให้มันตื้นเสีย ปู่ย่าตายายจะแช่ง เพราะปู่ย่าตายายต้องการให้มันเป็นสระ ไม่ใช่ต้องการให้มันเป็นดอน ที่เขาเรียก ตระพัง นี่ก็หมายความว่าเป็นที่ขังน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง เพราะฉะนั้นอย่าทำให้น้ำแห้งเสีย พยายามปิดอุดไว้อย่าให้มันแห้งเสีย ให้มันสวยงามให้มีน้ำไว้ ให้วัวควายกินให้อะไรกินก็ยังได้ ให้คนกินก็ยังได้
คำว่าตระพัง น่ะหมายความว่าเขาขุดขึ้นมาเพื่อว่าจะเป็นเครื่องขังน้ำไว้ให้ใช้ได้ตลอดปี เวลานี้เขาต้องสร้างเขื่อนสร้างทำนบสร้างสระสร้างถัง ถังเก็บน้ำหรืออ่างเก็บน้ำนี่ ก็มันลักษณะเดียวกับตระพังนี่ ที่วัดนี้มีดีอยู่สองอย่างคือป่าไม้กับตระพังคือสระนั่นแหละ ทำให้สวยงามไว้เรื่อยๆ พยายามให้น้ำมันมีสะอาดไปเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างถ้าช่วยกันทำได้จะดีมาก คืออย่าเบียดเบียนสัตว์ในวัดนี้ เมื่อคราวที่ฉันอยู่ บางวันมีนกเป็ดน้ำประมาณสามพันตัว สามพันตัวนะฟังให้ดีๆนะ ที่นกเป็ดน้ำมาตกค้างอยู่ในสระจนสว่างแล้วยังไปไม่ทัน ไปดูไม่ จะไม่เห็นหญ้า ประมาณๆแล้วว่าราวสามพันตัว แล้วพอสายสว่างขึ้นมันจึงค่อยหนีไปหนีไปมันกลัว กลางคืนมันมาอยู่กันตั้งสามพันตัว ก็ขอร้องว่าใครอย่ายิงอย่าซัดอย่าขว้าง เวลานี้ถ้าสมมติว่าไม่ซัดไม่ขว้างมันคงกลับมาอีก ถ้าทำให้น้ำมี มันก็กลับมาอีก เพราะแห่งอื่นมันแห้งมันเบียดเบียนมันยิงมันฆ่ามัน แล้วมันจึงมาพึ่งพาอาศัย
นี่มันก็เลยมีดีว่าป่าไม้ดี สระตระพังนี้ดี ยังแถมมีสัตว์ ถ้าอย่ายิงสัตว์นี่ สัตว์จะมี แล้วค่อยๆมีมากขึ้น นั่นแหละปูย่าตายายเขาต้องการว่าให้คนมีใจบุญสุนทาน ทุกหนทุกแห่งเลย นี่ถ้าว่าพูดถึงเมืองไชยาเป็นส่วนรวมแล้วก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะฉะนั้นต้องขอร้องทีว่าอย่าถือพวก ว่าพวกพุมเรียง พวกไชยา พวกบ้านดอน นี่แหละอย่าถือ ถ้าถือแล้วมันก็ผิดหลักพุทธศาสนา ให้รวมเรียกกันว่ารอบๆอ่าวบ้านดอนนี่ ตั้งแต่เมืองกาญจนดิษฐ์เป็นต้นมา แล้วก็สูงขึ้นไปถึงคีรีรัตน์ เพราะบ้านดอนยังอยู่ใต้ทะเล สมัยสร้างพระธาตุบ้านดอนอยู่ใต้ทะเล ทะเลตั้งต้นตั้งแต่กาญจนดิษฐ์ขึ้นไปยังคีรีรัตน์ แล้วก็อ้อมมาทางนี้ ท่าฉางท่าเคย ยังเป็นทะเล แล้วก็อ้อมไปถึงหนองหวาย ท่าชนะนั่นแหละเป็นดอน นี้ก็เรียกว่ารอบอ่าวบ้านดอน อ่าวบ้านดอนลึกเข้าไปกว่านี้ สมัยนั้นมันพันสองร้อยปีมาแล้ว ชาวบางกอกยังไม่รู้จักผุดจักเกิดน่ะ
ไม่ใช่จะพูดดูถูกชาวบางกอก แต่ว่าพูดให้คุณรู้จักเคารพตัวเอง เพราะเมื่อบ้านเรามีพระธาตุไชยานั่นชาวบางกอกยังไม่ได้ผุดได้เกิด บางกอกยังอยู่ใต้น้ำ คิดดู ใครดีกว่าใคร ถ้าถามว่าใครลืมหูลืมตาก่อนมันก็พวกเรานี้แหละ พวกเมืองทำพรื้อ ลืมหูลืมตาก่อน พวกบางกอก มันเรียกพวกบ้านเราว่าพวกเมืองทำพรื้อ แล้วเรียกพวกอีสานว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกพวกภาคเหนือว่าอย่างนั้นอย่างนี้ พวกชาวบางกอกนี่มันโง่มันงมงาย มันเรียกพวกเราว่าพวกเมือง ทำพรื้อ คนบ้า คนบอ คนป่า คนเถื่อน แต่ชาวบางกอกน่ะเพิ่งเกิด ยังไม่รู้จักผุดจักเกิด ในเมื่อเรามีพระธาตุไชยา ชาวบางกอกยังไม่รู้จักผุดจักเกิด ไอ้เมืองทำพรื้อ นี่มันกินเขตตั้งแต่พวกเรานี่แหละลงไป ตั้งแต่ท่าชนะลงไป ถึงปักษ์ใต้ถึงสงขลาโน้นแหละ บ้านเราพุมเรียงพูดว่าทำพรื้อหรือ ไม่ใช่เหรอ เลยบ้านดอนไปนิดเรียกว่าทำผรือ ไปถึงนครฯ ถึงพัทลุง เรียกว่า ทำปรื้อ ทั้งหมดนี้แหละรวมกันเรียกว่า เมืองทำพรื้อ เขาดูถูกว่าเมืองเขรอะ แต่ว่าเมืองเขรอะนี่แหละมีพระธาตุ มีศาสนามีอะไรมาแล้วตั้งแต่พวกบางกอกยังไม่รู้จักผุดจักเกิด เพราะฉะนั้นอย่าไปตามหลังพวกบางกอก ไอ้เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว แต่งหน้า แต่งตา มันจะดูไม่ได้แล้ว มันจะเป็นลิงเป็นค่าง มันจะไม่นุ่งผ้ากันแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปตามหลังพวกบางกอกแหละ ไอ้เรามันก็ดีอยู่เต็มที่แล้ว แล้วจะไปทำให้มันน่าอาย ไอ้ข้อที่เขาเรียกเราว่าเมืองทำพรื้อ ช่างเถอะ แต่ถ้าเรายังดีเหมือนเดิม มันก็ คนเรียกมันเขรอะเองแหละ
ทีนี่ถ้าอุตส่าห์ทำสวนโมกข์ ตระพังจิก นี่ดีๆ ชาวบางกอกมาดูแล้วแหละ รับรองได้ ชาวบางกอกมาดูอยู่บ่อยๆ (นาทีที่ 23.17) ฟังไม่ออก มาดูสวนโมกข์ร้าง มาดูเมืองทำพรื้อนี่แหละ มาดูอยู่บ่อยๆ พวกชาวบางกอกเรียกเราว่าเมืองทำพรื้อ เอาแหละก็ยินดีให้เรียกว่าเมืองทำพรื้อ แล้วคนเมืองทำพรื้อก็อย่าเหลวไหล ช่วยกันรักษาไอ้เหลี่ยม รักษาความดีของปู่ย่าตายายไว้ให้ดีๆ ถ้าจัดสวนโมกข์นี้ให้ดี ชาวบางกอกยังมาดูอีกหลายคน ฝากไว้ด้วย ช่วยรับฟังไว้ด้วย ว่าช่วยกันคนละไม้ละมือ รักษาสถานที่นี้ สนองคุณของปู่ย่าตายาย ที่ได้สร้างได้อะไรไว้มากมาย ตั้งนาน เรียกว่าตั้งพันกว่าปีมาแล้วแหละ เมื่อสร้างพระธาตุน่ะเมืองพุมเรียงต้องมีแน่ เพราะมันดอน มันไม่ใช่เมืองลุ่ม แล้วของโบราณมันก็ยังแพร่หลายมาถึงนี้ ที่พบใต้ดินน่ะ วันก่อน (นาทีที่ 24.25) ฟังไม่ออก ขุดพบที่หน้าวัดนี้แหละเป็นรูปสำริด ถึงสมัยทวาราวดี ผู้ขุดยังเอามาให้ฉัน เอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เวลานี้ การที่ว่ามันมีไอ้พุทธรูปถึงสมัยทวาราวดีนี่ มันก็ พันกว่าปี เพราะฉะนั้นเมืองพุมเรียงนี้เชื่อได้เถอะว่ามันอยู่มาแล้วตั้งพันกว่าปี ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรมากเหมือนที่วัดพระธาตุ มันก็ต้องมีอายุคราวเดียวกันแหละ เพราะฉะนั้นคนมันจึงฉลาด เพราะว่ามันได้รับแสงสว่างมาตั้งพันกว่าปีแล้ว คนมันจึงฉลาด ถ้าไม่แบบนั้นชาวพุมเรียงยังโง่กว่านี้ ต้องโง่กว่านี้แน่ๆไม่มากก็น้อย นี้เป็นคนที่ได้รับแสงสว่างได้รับศาสนามาตั้งพันกว่าปีมาแล้ว
เมืองนครฯนี้ เมืองไชยานี้ เมืองพัทลุง สามแห่งนี้อายุพันกว่าปีมาแล้วทั้งนั้น เมืองสงขลาไม่รับรอง แต่ว่าเมืองสงขลาอาจจะที่อื่นอำเภออื่น ไม่ใช่อำเภอเมืองสงขลาอาจจะเก่าถึงพันกว่าปีเหมือนกัน ตรงไหนคนอยู่มาตั้งพันกว่าปีแล้วตรงนั้นคนฉลาดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนเมืองนครฯน่ะเค็มชาวบางกอกกินไม่ลงแหละ เพราะว่ามันฉลาดมาตั้งพันกว่าปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นช่วยกันเห็นบุญเห็นคุณของปู่ย่าตายาย รักษาเหลี่ยม รักษาความดีนี่แหละให้คงอยู่ต่อไป นี่แหละยุติในข้อนี้ทีหนึ่งก่อนว่าช่วยกันรักษาความดีของบรรพบุรุษไว้อย่าให้ตกต่ำ คราวนี้เรื่องที่สองการที่จะรักษาความดีนั่นคือ อย่าทำความชั่วนะ จำได้ง่ายๆพูดก็ง่ายๆว่า การกระทำความดี รักษาความดี คืออย่าทำความชั่ว ทีนี้ความชั่วนั่นเขาเรียกว่าอบาย
ทีนี้ปากทางของความชั่วเขาเรียกว่าอบายมุข อบายมุข แปลว่า ปากทางแห่งอบาย เราอย่าเปิดปากทางแห่งอบาย แล้วอบายก็ไม่มีแก่เรา เราก็ไม่ต้องตกอบาย นี่กลัวว่าจะไม่เข้าใจคำว่าอบายและอบายมุข นี่ฉันเดาว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งหมดนะ คิดว่าจะตกอบายตอนตายแล้วโน้น ไอ้อบายตอนตายแล้วมันไม่สำคัญ อบายที่จะตกเวลานี้แหละสำคัญและจริง พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ฉันว่า
คือพระพุทธเจ้าตรัส อบายมุขไว้ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร แล้วเกียจคร้านทำการงาน ๖ อย่าง เว้ย เด็กๆช่วยจำไว้ที อบายมุขปากประตูแห่งอบายมีอยู่ ๖ อย่าง ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่ว แล้วขี้เกียจทำการงาน นี่เขาเรียกว่าอบายมุขแปลว่าปากแห่งอบาย ทีนี้อบายน่ะคือแจกเป็น ๔ อย่าง นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ตัวอบายแท้ๆ เขาแจกเป็น ๔ อย่างว่า นรก แล้วเดรัจฉาน แล้วเปรต แล้วอสูรกาย ทีนี้ปากอบาย ปากช่องเข้าไปอบายเขาแจกไว้ ๖ อย่างนี่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่ว เกียจคร้านทำการงาน นี่พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ฉันว่า นี่ฉันเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็เอามาว่าต่อ นี่จะเปรียบเทียบให้เห็นเลยว่ามัน อบายมุขนี้มันทำให้ตกอบายอย่างไร
อบายนั่นเขาไม่ได้หมายถึงว่า เมืองอื่นหรือว่าโลกอื่นที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อบายนั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในใจคน นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในใจคน นรกคือความร้อนใจ เมื่อใดใครใจร้อน วู่ ๆ ๆ เหมือนไฟเข้าไปติดอยู่ในใจ เวลานั้นเขาเรียกว่าตกนรก นี่อบายคือนรก คราวนี้เมื่อใดมันโง่ โง่ไม่น่าเชื่อ มีความโง่มากอยู่ในใจ เมื่อนั้นมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ร่างเป็นคนแต่มัน ใจมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็เรียกว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อใดมันหิวกระหาย ทะเยอทะยาน จนถึงกับว่าจะนอนไม่หลับแบบนี้ เมื่อนั้นมันเป็นเปรต เปรตก็แปลว่าหิว คราวนี้เมื่อใดมันขี้ขลาด ไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นก็เป็นอสูรกาย ความร้อนใจก็ดี ความโง่ก็ดี ความหิวนี่ก็ดี ความขี้ขลาดก็ดี มันมาแต่อบายมุข ไอ้ ๔ อย่างนี้มันเป็นตัวอบาย แล้วมาแต่อบายมุข
ยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งก่อนว่า เล่นการพนันเป็นอบายมุข เล่นไพ่ เล่นโป เล่นการพนันอย่างใดอย่างหนึ่งแหละนั่นน่ะคืออบายมุข พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ฉันว่า เมื่อไปทำอบายมุขเข้ามันตกอบาย คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย นรกแปลว่าร้อนใจ พอไปเล่นการพนันเข้ามันก็ร้อนใจ ร้อนใจเพราะว่าถ้าไปเสียเข้าแล้วร้อนใจเป็นไฟเลย เงินหมดร้อนใจเป็นไฟ หรือว่าเมียไปลักเล่น ผัวว่า ผัวตีเอา มันก็ร้อนใจเป็นไฟเลย หรือว่าผัวมันเล่นเมียมันด่า มันก็ร้อนใจเป็นไฟเลย เมื่อร้อนใจเมื่อไรนรกเมื่อนั้น แล้วอยู่ในใจคนนั่นแหละ ไม่ใช่ตอนตายแล้ว เพราะความร้อนใจหลายๆอย่างเกิดมาจากการเล่นการพนัน นั่นคือนรก แค่เอามาใส่ไว้ในอก สวรรค์ในอกนรกในใจ หมายความแบบนี้ นรกในใจก็เมื่อมันร้อนเพราะทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่นี่เราว่าเล่นไพ่เล่นการพนัน คราวนี้คนที่คิดว่าเล่นการพนันน่ะจะรวยนั่นมันคนโง่ ความโง่นี่คือความเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันคิดว่าเล่นการพนันแล้วจะรวย นี่มันโง่ดักดาน ความโง่นั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาทันทีในเมื่อมัน มันโง่ไปเล่นการพนันอยู่
ที่นี้ไอ้เล่นการพนันนี่มันหิว หิวที่จะชนะ แม้แต่ซื้อลอตเตอรี่นี่ก็หิวที่จะถูก เล่นไพ่ก็หิวที่จะชนะ มันหิวอยู่ตลอดเวลา นี่มันเป็นเปรต ไอ้มือถือไพ่แต่ใจเป็นเปรต มันหิวอยู่ตลอดเวลา เปรตแปลว่าหิวเหลือเกิน ปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา กินไม่ทันกับความหิว นี่แหละความอยาก อยากได้ อยากรวย อยากอะไรมันมากเกิน แล้วถึงมัน ไอ้ได้มันได้ไม่ทัน ข้อนี้เขาเรียกว่าปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา นี่เป็นเปรต เวลาเล่นการพนันมันหิวที่จะชนะ จะได้ เหมือนกับเปรต
ทีนี้เล่นการพนันอยู่มันก็กลัว กลัวหลายอย่าง กลัวตำรวจจับ กลัวจะแพ้ กลัวว่าคนที่บ้านจะมาเห็น มันกลัวอยู่ตลอดเวลา ไอ้กลัวแพ้มันนี่จะมากกว่าอย่างอื่น
ไอ้กลัวนี้เป็นอสูรกาย อสูรกายแปลว่าขี้ขลาด กลัว ไม่ ไม่กล้าปรากฏตัว ซ่อนเร้นเรื่อย เหมือนกับ หนีตำรวจนี่เป็นอสูรกาย เพราะฉะนั้น นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกายอยู่เต็มไปเลยในคนที่ทำอบายมุข เช่นเล่นการพนัน เป็นต้น ยกตัวอย่างเห็นได้ง่ายๆ ดื่มน้ำเมาก็เหมือนกัน มันทำให้ร้อนใจ ทำให้โง่ ทำให้หิว หิวทางความต้องการ ทำให้ขี้ขลาด อย่างใดอย่างหนึ่ง
ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่ว ขี้เกียจทำการงาน ล้วนแต่ทำให้ร้อนใจ เป็นนรก ทำให้หิวกระหายเป็นเปรต และทำให้โง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำให้ขี้ขลาดจนเส้นประสาทเสีย นี่มันเป็นอสูรกาย นี้เขาเรียกว่าอบายแปลว่าความเสื่อม ทีนี้อบายมุขก็คือว่า ๖ ข้อที่ว่ามาแล้ว เพราะฉะนั้นนึกถึงปู่ย่าตายายที่ พันกว่าปีมาแล้วปู่ย่าตายายเคยดิบเคยดี มีธรรมะเป็นสัมมาทิฏฐิมั่นคง ลูกหลานอย่าทำอบายมุข ถ้าไปทำอบายมุข มันเป็นการขบถต่อปู่ย่าตายาย เราหมายถึงปู่ย่าตายายชั้นดีแหละ ชั้นที่สร้างวัดนี้ หรือว่าชั้นที่สร้างวัดพระธาตุนะ มันเป็นปู่ย่าตายายชั้นดี ลูกหลานอย่าขบถต่อปู่ย่าตายายต้องรักษาความดี อย่าไปตามคนสมัยใหม่ ความเจริญสมัยใหม่นั่นแหละที่ทำให้มันเกิดอบายขึ้นมา อย่าสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังเกินขอบขีด แล้วก็ลืมตัว แล้วก็ทำชั่ว ก็เป็นอบายหมด เพราะฉะนั้นจะต้องเว้นอบายโดยเด็ดขาด คืออย่าทำอบายมุข นี่จะเรียกว่าสร้างความเจริญให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนของเราได้ นี่เมื่อเว้นชั่วแบบนี้แล้วต้องทำความดี อีกด้านต้องทำความดี ต้องประพฤติธรรมให้มีธรรมะอยู่แก่เนื้อแก่ตัว
ถ้าฟังไม่ถูกก็พูดว่าให้มันมีความดีความสะอาดความสงบอะไรอยู่แก่เนื้อแก่ตัว นี้เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ให้มีพระอยู่ในตัว อย่าเอาพระไว้ที่วัด ฟังถูกไหม นี่เมื่อทุกคนเอาพระไว้ที่วัดเอาตัวไว้ที่บ้าน นี่มันจะพบกันเหรอ มันต้องเอาพระไว้ที่เนื้อที่ตัวที่หัวใจ อย่าเอาตัวไว้ที่บ้านเอาพระไว้ที่วัด นานๆจะมาวัดสักทีแบบนี้มันไม่ถูก คำว่าพระนี่เขาหมายถึง หัวใจ และประกอบไปด้วย ความสะอาด สว่าง สงบ หัวใจที่ดี ที่สะอาด สว่าง สงบ นั่นแหละพระ ต้องอยู่กับเราเสมอ นี่ถ้าเราเอาพระไว้ที่วัด เอาตัวไว้ที่บ้านแล้วมันก็ไม่ช่วยกันได้ ช่วยก็ไม่ทัน เพราะฉะนั้นพระนี่ต้องเอาไว้ที่ตัว ติดอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย วาจา ใจ ถูกต้อง ความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ นั่นแหละเป็นพระ แล้วพระต้องอยู่กับเราตลอดเวลา
เมื่อทำความดีนะ เมื่อทำการทำงานทำไร่ทำนาทำอะไรก็ตามล่ะ เมื่อไม่ได้ประพฤติผิด ประพฤติชั่ว แล้วก็พระอยู่กับเราเสมอ การประพฤติธรรมน่ะอยู่ที่การทำการงานอย่างถูกต้อง ประกอบอาชีพให้ถูกต้องย่อมเป็นการประพฤติธรรม อยู่ในการทำอาชีพ เพราะฉะนั้นเมื่อค้าขายอยู่ก็ได้ ทำนาอยู่ก็ได้ เมื่ออะไรก็ตามใจที่เป็นการเลี้ยงอาชีพไป ถูกต้องแล้วก็ เรียกว่าเมื่อนั้นประพฤติธรรมทั้งนั้น จะถางหญ้าอยู่ก็ได้ เรียกว่าประพฤติธรรมทั้งนั้น นี่เราจะต้องรู้จักว่าเมื่อทำการงานที่บริสุทธิ์ที่ถูกต้องนั่นแหละคือการประพฤติธรรม ไม่ใช่ว่าต้องมาอยู่วัด หรือว่าจะต้องมาวันพระแปดค่ำจึงมาทีหนึ่ง จึงจะเป็นประพฤติธรรมแบบนี้ไม่ถูก อยู่ที่ไหนตามใจถ้ามีความถูกต้องอยู่ที่กาย วาจา ใจ ก็เรียกว่าประพฤติธรรม เพราะฉะนั้นดำนาอยู่ก็ได้ ค้าขายอยู่ก็ได้ นี่เรียกว่าเราจะต้องสะสางกันเสียใหม่ให้มันมีการประพฤติธรรมตลอดทุกเวลาลมหายใจเข้าออก ให้มันหายใจเป็นธรรม หายใจออกเป็นธรรมหายใจเข้าเป็นธรรม นี่แหละมันตรง มันช่วยกันที่ว่าเว้นความชั่วเสียแล้วก็สร้างความดีขึ้นมา
ความเจริญแผนใหม่นั่นอย่าไปเอาเลย นี่เด็กๆ ทั้งเด็กหญิงเด็กชายนี่ฟังให้ดีๆ ว่าความเจริญแผนใหม่อย่าไปหลงกับมัน คนเขาหน้าด้านกันไม่รู้ว่าจะมีหน้าด้านแบบไหนแล้ว เรื่องประกวดนางงามนี่แหละคือประกวดนางหน้าด้าน อย่าไปสนใจ พวกฝรั่งมันบ้าถึงขนาดที่ว่าถ้าจะแสดงความ เอ่อ, วัฒ วัฒนธรรมที่สูงสุด แล้วไปประกวดนางงามที่ริมหาดแบบนี้ นั่นมันประกวดนางหน้าด้าน ศาสนาฝรั่งก็ห้าม ศาสนา พุทธศาสนาก็ไม่ ไม่เห็นด้วยไม่อนุญาต มันเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลส นี่แหละการที่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวกันจนดูไม่ได้ จนลำบากกันไปหมดนี่ มันเป็นความโง่ เราเรียกว่านางหน้าด้านก็มี เรียกว่านางเบ็ดก็มี มันคอยที่จะตกเบ็ดคนอื่น มันหลอกลวง ฉะนั้นอย่าไปเอาอย่างมันไอ้ความเจริญแผนใหม่แบบนี้ มันจะขบถต่อปู่ย่าตายาย นี่ให้นึกถึงปู่ย่าตายายไว้เสมอ นึกถึงที่ว่าปู่ย่าตายายเคยดีมาแล้วตั้งพันกว่าปี ลูกหลานก็จะต้องดี ถ้าทำผิดไปต้องทำคืนเสียใหม่ให้ถูกให้ต้อง นี่เราพูดกันที่นี้มันสะดวกไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะว่าวัดนี้มันเคยมีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว มีความเสียสละของปู่ย่าตายาย แสดงอยู่ให้ปรากฏ เพราะฉะนั้นขอให้ พอใจ ยินดี ช่วยกันรักษาไว้ให้คงสภาพเช่นนี้ยิ่งๆขึ้นไป อย่าตัดต้นไม้ แล้วอย่าทำสิ่งสกปรก ลามกอนาจาร มันจะเกิดบาปเกิดกรรม แล้วก็จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย เราเอาไว้เป็นที่บริสุทธิ์สะอาด เงียบสงัด พอมาถึงในนี้แล้วมีหัวใจเข้าถึงพระพุทธเจ้า มีจิตใจที่เป็นจิตใจอย่างพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย
ถ้าเด็กคนไหนยังไม่รู้นะ รู้เสียสักทีว่าพระพุทธเจ้านั้นเกิดกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็กลางดิน พระพุทธเจ้าตายก็กลางดิน อย่าไปชอบอยู่ตึกอยู่วิมานเหมือนคนบ้าสมัยนี้ อย่าลืมไอ้กลางดิน พระพุทธเจ้าเกิดกลางดินที่สวนลุมพินี พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดินที่โคนต้นโพธิ์ริมแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธเจ้านิพพานคือตายกลางดินที่ในอุทยานของมัลลกษัตริย์ ลักษณะเดียวกับเหมือนกับสวนโมกข์เวลานี้ เหมือนกับวัดตระพังจิกเวลานี้ ลักษณะแบบนี้เขาเรียกว่าอุทยานสำหรับพวกกษัตริย์เขาสร้างไว้ สำหรับพักผ่อนหย่อนใจในฤดูกาลที่ดอกไม้บาน หรือว่ามีความสวยงามอย่างใดอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าตายนิพพานน่ะกลางดินในอุทยานของพวกมัลลกษัตริย์นี่ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าสำคัญมากที่จะรักษาไอ้สถานที่นี้ไว้ให้เหมือนกับสวนลุมพินีที่พระพุทธเจ้าเกิด และรักษาสถานที่นี้ไว้ให้เหมือนกับอุทยานของมัลลกษัตริย์ที่พระพุทธเจ้าไปนอนปรินิพพาน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน พูดภาษาชาวบ้านที เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน แล้วในที่ที่หลับตาเห็นแล้วเหมือนกับที่เรานั่งกันอยู่เวลานี้ ในป่าไม้แบบนี้ ถ้าเรารักพระพุทธเจ้าเราช่วยมานั่งกลางดินแบบนี้กันบ่อยๆ อย่าคิดจะนั่งบนตึกหรือว่าบนฟูกเบาะเหมาะหมอนอะไรนัก จะลืมพระพุทธเจ้าเสีย แล้วก็จัดไอ้ต้นไม้ป่าไม้ทั้งหลายทั้งหมดนี้ให้มันเหมือนกับอุทยานลุมพินี ให้เหมือนกับอุทยานของสาลวันของมัลลกษัตริย์
มันน่าประหลาดที่ว่าไอ้ต้นสาละนั่นเป็นไม้ที่ดอกสวยนะ เขาเรียกว่าต้นสาละ พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาละ พระพุทธเจ้านิพพานใต้ต้นสาละ แล้วเผอิญที่สุดคือว่าต้นสาละนี่มันคล้ายกับต้นพยอม ต้นพยอมของเราก็มีในวัดเต็มๆแบบนี้ มันคล้ายที่สุดกับต้นสาละแล้วดอกก็เหมือนกัน คือลักษณะมันเหมือนกันเพียงแต่ว่ามันผิดกันนิดหน่อย เพราะมันคนละ เขาเรียกว่าคนละ คนละชนิด มันตระกูลเดียวกัน มันคนละชนิด เวลาถึงฤดูดอกพยอมบานนี้มันบานไปทั้งต้น บางกิ่งลงมาถึงดินนั่น นี่แหละเหมือนกับไม้สาละที่พระพุทธเจ้าประสูติ ใต้โคน และนิพพานใต้โคน ช่วยกันนึกถึงข้อนี้แล้วรักษาต้นพยอมไว้เป็นข้อแรกก่อน ใน ใน ในวัดในสวนนี้แหละ ให้ต้นพยอมมันยั้วเยี้ยมีดอกลงมามีถึงดินน่ะ จะได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระนางมายาไปประสูติที่สวนลุมพินีที่เต็มไปด้วยต้นสาละนั่นเป็นฤดูที่เขามาเล่นดอกสาละกัน วันเดือนที่พระพุทธเจ้าเกิดนั้นดอกสาละบานแล้วประชาชนไปเล่นดอกสาละ พระนางมายาเสด็จแวะเข้าไปในสวนสาละเลยประสูติที่นั่นพอดี นี่แหละเหลือบตาไปรอบๆ แหละ ช่วยกันรักษาให้สะอาดให้สวยงาม โดยเฉพาะต้นพยอมแล้วก็ต้นยางต้นอะไรเรื่อยๆมา ให้มันเย็น ให้มันสงบ ให้มันสะอาดตาสะอาดใจ เป็นอนุสรณ์ถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นเครื่องป้องกันโรคเส้นประสาทสำหรับพวกเราสมัยนี้ ไอ้นี้ขอเป็นพิเศษ สมัยพระพุทธเจ้าคนไม่เป็นโรคเส้นประสาทเหมือนคนสมัยนี้ เพราะไม่มีเรื่องที่บ้ากันมากเหมือนกับคนสมัยนี้ ขนาดต้องมีเครื่องป้องกันโรคเส้นประสาทแหละ แต่ว่าสมัยนี้มันจำเป็น ไอ้โรคเส้นประสาทมันจะดกดื่นขึ้นมา ช่วยรักษาอุทยานชนิดนี้ไว้เป็นยาป้องกันโรคเส้นประสาทด้วย แล้วเป็นที่ระลึกอย่างยิ่งแก่พระพุทธเจ้าด้วย
นี่ขอฝากไว้ทุกๆคน แล้วเมื่อระลึกถึงข้อนี้แล้ว มันก็ระลึกถึงปู่ย่าตายายบรรพบุรุษได้ เขาเคยทำความดีไว้อย่างไรเราจะรักษาความดีนั้นไว้ แล้วข้อนี้สำเร็จด้วยความสามัคคี อย่าถือเขาถือเรา ถือมึงถือกู พวกสูพวกเราแล้วไม่ร่วมมือกันนี้มันผิดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่ามีตัวกู ยกหูชูหางเป็นมึงเป็นกู ถ้าใครมีมึงมีกูหมายความว่ามีกิเลสที่เป็นเหตุให้ยกหูชูหาง ถ้าพูดเดี๋ยวจะโกรธ พูดมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะโกรธ พูดแต่ว่าอย่ามีตัวกูของกูที่ยกหูชูหางแล้วไม่สามัคคีกัน ต้องยอม ต้องอดต้องออม ไอ้สิ่งที่เป็นเหตุให้แตกสามัคคีกัน ต้องโกยโยนเสียให้หมด ลืมเสีย แล้วก็นึกว่าพระพุทธเจ้าต้องการให้สามัคคีให้ช่วยกันรักษาศาสนา ปู่ย่าตายายเขาต้องการให้ลูกหลานสามัคคี อย่าแตกสามัคคี แล้วช่วยกันกู้บ้านกู้เมือง กู้ชาติศาสนา รักษาชาติ ศาสนาให้ยืนยาวต่อไป เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ นี้มันมาจบลงด้วยความสามัคคีของบุคคลที่รักบ้านเกิดเมืองนอน เวลาที่จะเทศน์ได้มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นขอให้พร