แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เราจะได้ปรารภกันถึงพระพุทธจริยาที่เรียกกันว่า “พระเจ้าเปิดโลก” หมายความว่าเป็นการกระทำอันหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่มาเรียกกันในชั้นหลังว่าพระเจ้าเปิดโลก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสด็จไปจำพรรษาในดาวดึงส์ ออกพรรษาแล้วก็เสด็จลงมาสู่มนุษยโลกตรงที่เขาไปต้อนรับนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมในลักษณะที่เป็นการเปิดโลก เราจึงเรียกว่าพระพุทธเจ้าทำการเปิดโลกที่ตรงนั้น ข้อความอย่างนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก และไม่มีแม้ในอรรถกถาของพระไตรปิฎก เช่น อรรถกถาอภิธรรม แต่มามีในอรรถกถาชั้นหลังๆ เช่น อรรถกถาธรรมบท เป็นต้น มีเรื่องเล่าว่าพระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการทรมานเดียรัจถีให้พ่ายแพ้ไปหมดแล้ว เสด็จขึ้นจำพรรษาในเทวโลกแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา มีเทวดาจากเทวโลกในชั้นต่างๆ มาคอยร่วมฟังด้วย ออกพรรษาแล้วเสด็จลงสู่เทวโลกนี้ เสด็จลงจากเทวโลกนั้นมาสู่มนุษยโลกนี้ ตรงที่ที่เขาเรียกกันว่า “นครสังกัส” เรียกเต็มๆว่า “สังกัสสะ” ที่ตำบลนี้ก็ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่เป็นเสาศิลาจารึกของพระเจ้าอโศก มีหินสลักรูปช้างอยู่ที่ปลายเสา เป็นที่ยอมรับกันในหมู่พุทธบริษัท เป็นที่ยอมรับกันมาตั้งแต่ตอนแรกๆก่อนแต่จะเขียนคัมภีร์พุทธประวัติหรือปฐมสมโภช ในหินสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติจะมีสลักเรื่องนี้ เรื่องไปเทวโลกนี้ ตั้งแต่พ.ศ. ๕๐๐ ๖๐๐ ต่อมาหนังสือคัมภีร์เพิ่งเขียนกันเมื่อพ.ศ. ๙๐๐ หรือ ๑๐๐๑ ก็เป็นอันว่าเรื่องพระเจ้าเสด็จขึ้นบนสวรรค์โปรดพุทธมารดานี้ได้ทำให้เป็นความเชื่อที่ยอมรับนับถือกันอย่างมั่นคงมาแล้วตั้งแต่ตอนแรกๆที่หลักฐานปรากฏอยู่ด้วยเรื่องที่สลักไว้ในหินสลัก อย่างน้อยก็ต้อง ๕๐๐ ปีหลังจากพุทธปรินิพพาน
ในเรื่องราวนี้ก็ไม่ได้สำคัญอยู่ที่ตัวเรื่องแต่สำคัญอยู่ที่ความหมาย คือความหมายของการกระทำอย่างนั้น มันหมายความว่าอะไร ถ้าเราถือเอาประโยชน์ได้นั่นแหละจะสำเร็จประโยชน์ สรุปความตามที่พอจะเชื่อถือได้ ก็ประมาณในพรรษาที่ ๓ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองมนุษย์ และพระอรรถกถาจารย์ก็เขียนให้พระองค์เสด็จขึ้นเทวโลกโปรดเทวโลก โปรดเทวดาในเทวโลกแล้วก็ลงกลับมาในเมืองมนุษย์ ที่ตรงบันไดที่ลงมาจากเทวโลกนั้นเป็นที่แสดงธรรมนั้นเรียกว่า “เปิดโลก” เราจะต้องศึกษาเป็นที่เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงประสบความสำเร็จในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นมีลำดับที่น่าสนใจคือ ทรงโปรดสัตว์ชั้นสูงคือชั้นพระราชามหากษัตริย์ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น สำเร็จ และก็ยังโปรดพวกคณาจารย์ทั้งหลายที่เจริญด้วยวิชาความรู้อย่างยิ่งของสมัยนั้น เช่น พวกชฎิลพันรูป เป็นต้น สำเร็จ เมื่อทำได้อย่างนี้ประชาชนชั้นชาวบ้านก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าชั้นพระราชามหากษัตริย์ชั้นครูบาอาจารย์ที่เป็นศาสดาก็ยอมรับ ประชาชนก็ยอมรับเอง ที่ยังเหลืออยู่ก็แต่พวกเทวดา ก็ให้ไปโปรดพวกเทวดาเสียอีกทีหนึ่ง จึงมีการเสด็จดาวดึงส์โปรดเทวดา แล้วก็เสด็จลงมาจากเทวโลกหลังจากวันออกพรรษา ก็คือวันที่เราเรียกกันว่า “วันเทโวโรหณะ” ซึ่งเราจะตักบาตรกันทุกวันเทโวโรหณะ ที่เรียกว่า “ตักบาตรออกพรรษา” และในวันที่ตักบาตรออกพรรษานี้ ควรจะนึกถึงข้อนี้ นึกถึงข้อที่ทรงประสบความสำเร็จในการโปรดคนชั้นสูงสุด สัตว์ชั้นสูงสุดคือเทวดา แล้วก็มาทำการเปิดโลก ที่แสดงธรรมเปิดโลกในครั้งนั้นเนื้อความโดยย่อก็คือว่าทำให้สัตว์โลกทุกชั้นทุกระดับมองเห็นกัน หรือว่าอาจจะทำให้คนในมนุษยโลกนี้มองเห็นสัตว์ทั้งหลายทุกๆระดับ เห็นพรหมโลก เห็นเทวโลก เห็นมนุษยโลก และก็เห็นอบายโลก สัตว์นรก เปรต อสูรกายต่างๆ เห็นถึงกันหมด นี่เรียกว่าเปิดโลก มีข้อความสำคัญอยู่หน่อยหนึ่งว่าเมื่อสัตว์ทั้งหลายได้เห็นกันทุกๆโลกอย่างนี้แล้วก็เข้าใจซึ่งกันและกัน ถึงกับออกปากว่า โอ้, ไม่ใช่มีแต่เรา ยังมีสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น เป็นพรหม เป็นมาร เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรตอสูรกาย อะไรก็ตามใจ ที่สำคัญกว่านั้นก็คงจะมีในความรู้สึกว่า สัตว์ทั้งหลายก็ยังมีปัญหาคือยังมีความทุกข์อยู่ด้วยกัน เพราะว่าถ้าเขาเข้าพระพุทธดำรัสคือพระพุทธวัจนะหรือพระพุทธโอวาทอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายก็ยังมีความทุกข์แม้ว่าจะอยู่ในชั้นพรหมโลก มารโลก เทวโลก มนุษยโลก อบายโลก มันยังไม่พ้นจากความทุกข์ คือยังไม่อยู่เหนือโลก ยังไม่เป็นโลกุตระ มันยังเป็นโลกียะอยู่ มันยังเป็นปุถุชนอยู่ มันจึงยึดถือตัวตน มันก็มีความทุกข์เพราะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น สัตว์ทั้งหลายมีความรู้สึกว่า โอ้, มันมีเพื่อนที่เป็นทุกข์กันตั้งแต่สูงสุดลงมาจนถึงต่ำสุด กิริยาอย่างนี้เรียกว่าเปิดโลก แล้วก็ทรงแสดงธรรมที่เป็นการเปิดโลกนี้ หลังจากการประสบความสำเร็จในการเผยแผ่พระธรรมแล้ว ทุกๆชั้น ทุกๆระดับของสัตว์โลก ซึ่งก็เรียกกันว่าทุกภพหรือทุกภูมิที่เป็นโลกียะ ซึ่งเขานับกันตามแบบฉบับของเขา ในอรรถกถาเหล่านั้นเมื่อมีอยู่ถึง ๓๑ ภพ ๓๑ ภูมิ พวกพรหมชั้นอรูปพรหมก็มี ๔ ที่เป็นรูปพรหมก็มี ๑๖ ก็เป็น ๒๐ แล้ว เทวดาในชั้นกามาวจรมันก็มีอยู่ ๖ ก็เป็น ๒๖ แล้ว มนุษย์นับเป็น ๑ มันก็เป็น ๒๗ แล้วพวกอบายทั้งหลายมีอยู่ ๔ ชั้น รวมกันเข้าด้วยกันก็เป็น ๓๑ ๓๑ ชั้นนี้มันยังมีกิเลสมีความทุกข์เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์เรียกว่า “ปุถุชน” เว้นไว้แต่บางสัตว์ บางคน บางตนเท่านั้นที่จะบรรลุธรรมะเป็นพระอริยเจ้า เช่น พระโสดาบัน เป็นต้น จนถึงพระอรหันต์ ซึ่งเป็นส่วนน้อยที่สุดถ้าจะไปเปรียบกับส่วนที่ไม่เป็น เพราะฉะนั้นเราจึงมองกันในแง่ที่ว่าสัตว์โลกในภพในภูมิเหล่านี้ มันก็เป็นเพื่อนที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ก็ไม่ควรจะเบียดเบียนกัน อิจฉาริษยากัน ถ้าคิดได้อย่างนี้มันก็ดี เมื่อพระเจ้ายังไม่เปิดโลกเนี่ย คนมันยังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ มันก็คิดไปในแง่ต่างๆกันตามที่เขาจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร พวกสัตว์นรกคิดอย่าง พวกมนุษย์ก็คิดอย่าง พวกเทวดาก็คิดอย่าง พวกพรหมก็คิดไปอย่างหนึ่ง ไม่รู้จะเป็นความคิดในลักษณะที่ดูหมิ่นผู้อื่น เราดีกว่าเขา หรือว่าเรามีอะไรมากกว่าเขา ต่อเมื่อพระเจ้าทรงเปิดโลกแล้วจึงจะมองเห็นว่านั้นมันถูกน้อยเกินไปที่เราดีกว่าเขา ที่จริงก็เป็นทุกข์เหมือนๆ กันนั่นแหละ ถ้ายังมีกิเลสแล้วก็จะเป็นทุกข์เหมือนกันทั้งนั้นแหละ มีความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็ยังมีความทุกข์ด้วยเรื่องยึดมั่นถือมั่นด้วยกันทั้งนั้น มันกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ที่ว่าดีมากนั่นกลับกลัวตายมาก คือพวกพรหมที่ว่าเป็นสัตว์สูงสุด ยึดถือตัวตนมากกว่าสัตว์ธรรมดา ก็ยิ่งกลัวตายมาก ถ้าไม่รู้ก็รู้ไว้เสียด้วย สัตว์ชั้นสูงสุดคือชั้นพวกพรหมยิ่งกลัวตายมาก เพราะเขาถือว่าเขามีตัวตนอย่างสูงสุด ตัวตนที่ดีที่สุดที่จะอยู่นิรันดร
เอาล่ะ, เป็นอันว่าวันตักบาตรออกพรรษานั้นคือวันเทโวโรหณะ เสด็จลงมาจากเทวโลกแล้วก็ทรงทำการเปิดโลก ผลของการเปิดโลกก็ทำให้รู้ธรรมะหรือสัจธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นซึ่งสัตว์ทั้งหลายยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะแล้วเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้ถือว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงทำหน้าที่นี้แล้วและทรงเปิดโลกแล้ว แล้วก็ยอมรับข้อนี้ ตักบาตรเทโวกันทุกปี อย่างที่จะตักกันนี้ก็เหมือนกัน ก็เป็นอันว่ายอมรับว่ามีการเปิดโลกให้สัตว์เห็นถึงกันหมด จนกระทั่งว่าจะไม่ต้องดูถูกดูหมิ่นกัน ถ้าถึงธรรมะโดยแท้จริงแล้ว ชนชั้นต่างๆก็เลิกละไปหมด ชนชั้นเช่น วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะเวทย์ วรรณะสูตรอย่างนี้ มันก็เลิกละไปหมด ไม่ว่ากำแพงวรรณะหรือกำแพงชนชั้นนั้นมันพังทลายไปให้สัตว์ได้เข้าถึงความเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกัน คือมีกิเลสแล้วก็เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ ที่นี้เมื่อพระองค์ทรงเปิดโลกถึงขนาดนี้แล้ว เราล่ะเป็นอย่างไร เราจะมัวงมโง่ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดโลกหรืออย่างไร เราเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกแล้วเราเข้าใจถูกต้องตามนั้นหรือเปล่า กลัวว่าจะยังโง่อยู่ อย่างน้อยคนที่ตักบาตรเทโวทุกๆคนนั้นเปิดโง่หายโง่กันซะบ้าง พระพุทธเจ้าท่านทรงเปิดโลกแล้ว แล้วก็ยังปิดโง่เอาไว้ มีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวเรื่องตน เรื่องดีกว่าเลวกว่าเสมอกันอย่างนี้แหละ นี่คือมันยังโง่ มันช่วยกันเปิดโง่ทิ้งไปเสียให้หมด ให้มันหายโง่ ให้สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเปิดโลก เรามาพูดกันเรื่องเปิดโลกนี้ให้ละเอียดสักหน่อย เมื่อมองดูในความหมายที่กว้างคล้ายๆกับว่าพระองค์ทรงเปิดเครื่องปิดกั้น หรือเครื่องบัง หรือว่าคอก หรือว่าเล้าอะไรก็ตาม ทรงเปิดเสียให้สัตว์มันมองเห็นกัน ก็ยังมีอะไรบังอยู่ มันมองไม่เห็นกัน มันไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้มันทะเลาะวิวาทกัน เบียดเบียนกัน อะไรกัน หรือว่ายังเข้าใจผิดอย่างอื่นอีกมาก พระองค์ทรงเปิดเครื่องปิดกั้นคือวิชชาออกไป ให้เห็นจ่อหน้ากันหมด เหลียวไปทางไหนก็เห็นไปหมด เห็นสัตว์โลกทั้งหลายในลักษณะที่ต่างกันทั่วถึงกันเข้าใจกันอย่างนี้ พวกเทวดาพวกพรหมชั้นสูงสุดก็มองเห็นพวกข้างล่างถึงที่สุด พวกสัตว์นรกสัตว์มนุษย์ก็มองเห็นเทวดา พวกพรหมถึงที่สุด หรือว่าใครอยู่ที่ตรงไหนก็ตามเหลียวไปในทิศทางต่างๆแล้วก็เห็นสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏด้วยการมีความเหมือนกันที่ตรงนี้ อย่าอวดดีว่าพวกหนึ่งมันเป็นพรหม พวกหนึ่งเป็นสัตว์นรก แล้วมันจะดีกว่ากันที่ตรงไหน ถ้ามันยังมีกิเลสตัณหามีอุปาทานแล้วมันต้องมีความทุกข์เหมือนกันแหละ สัตว์เดรัจฉานเสียอีก มันจะมีความทุกข์น้อย ดูสิมันนอนหลับสบายกันโดยมาก ไอ้คนนี่มันนอนไม่ค่อยหลับ จำพวกเทวดาก็อย่าสงสัยเลย ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากมันก็นอนไม่ค่อยหลับ เทวดากลัวตายมากกว่ามนุษย์ เพราะเขาหวงสมบัติสวรรค์ของเขา ถ้าเราได้รับผลจากการที่พระองค์ทรงเปิดโลกจริงแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือเห็นอย่างนี้ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มียกเว้น ให้เทวดาชั้นไหนก็ตามหรือว่าสัตว์นรกในชั้นไหนก็ตาม มันมีปัญหาตรงนี้ คือมีกิเลสแล้วก็มีความทุกข์
ที่นี้กลัวว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกแล้ว ไอ้เรามันก็ไม่เปิดโง่ของเรา ไม่เปิดหัวกะโหลกอันโง่ของเรา แสงสว่างของพระพุทธเจ้าส่องไปไม่ถึง ขอให้ช่วยคิดไปในทำนองที่ให้หัวกะโหลกของเรามันเปิดหายโง่เสียบ้างแล้วรับเอาแสงสว่างนั้น รู้เรื่องการเวียนว่ายในวัฏสงสารของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงแล้วมาช่วยกันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มาช่วยกันให้รอดให้หลุดจากความทุกข์นั้นๆ ช่วยกันศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะได้ผลแล้วก็สั่งสอนซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้อยู่ในสภาพที่น่าหวาดเสียวมากที่โลกมันจะวินาศเพราะไม่มีธรรมะข้อนี้ ระดมกำลังกาย ระดมกำลังจิต ระดมกำลังสติปัญญาด้วยกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ทั้งของส่วนตนเองและส่วนบุคคลอื่น ไม่ยกเว้นใคร ขอให้นึกถึงพระพุทธภาษิตตอนที่ตรัสสั้นๆ ว่า ตถาคตหรือธรรมวินัยของตถาคตนี้มีอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดา และมนุษย์ อะไรๆก็ทรงมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและแก่มนุษย์ คนฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจว่าเทวดาและมนุษย์ต่างกันที่ตรงไหน เทวดาอยู่บนสวรรค์ มันมีปัญหาอย่างไร ทำไมจึงต้องรับประโยชน์จากคำสั่งสอนของพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็อย่าเข้าใจให้มันเกินกว่าเหตุ คือเข้าใจเถลไถลไปเกินกว่าเหตุ ให้เข้าใจแต่เพียงว่าเทวดานั้นก็คือพวกที่เสร็จปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว อิ่มแล้ว สบายแล้ว สรวลเสเฮฮาร่าเริงอยู่ นี่มันหมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว นี้คือพวกเทวดา ส่วนพวกที่ยังต้องกินเหงื่อต่างน้ำอยู่นั้น มันก็เป็นพวกมนุษย์ ยังไม่หมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง คนมันก็มี ๒ พวกเท่านี้ จะเป็นเทวดาในพรหมโลกเทวโลก มันก็มีความหมายตรงนี้แหละ มันไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง มันก็บ้าของมันไปตามเรื่องที่จะสนุกสนานหรือว่าหลงใหลอะไร ส่วนมนุษย์นี้มันยังมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง มีมากเกินไปจนไม่รู้ว่าเท่าไหร่พอดี ยิ่งไปหลงในส่วนเฟ้อหรือส่วนเกินให้มันไม่พอเรื่อยๆไป จึงสู้สัตว์เดียรัจฉานก็ไม่ได้ ซึ่งมันมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแต่พอสมควร ไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องมากเหมือนมนุษย์ นี่เอาเป็นว่าเทวดาและมนุษย์ต่างกันเท่านี้เอง พวกหนึ่งหมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ไม่ต้องออกเหงื่อ ไม่มีเหงื่อ จนถึงเขาก็บอก เขาเขียนกันไว้ในพระคัมภีร์ว่าถ้าเทวดาตัวไหนเกิดเหงื่อออกแล้วตายทันทีคือจุติทันที คือมันหมดความเป็นเทวดาเพราะมันมีเหงื่อเกิดขึ้น คือมันเหนื่อยนั่นแหละ ที่นี้มนุษย์นั้นมันมีเหงื่อแล้วมันยังไม่พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนก็กินเหงื่อต่างน้ำ เพราะธรรมะของพระองค์ในลักษณะเดียวกันแท้มีประโยชน์ตั้งแต่เทวดาและมนุษย์ก็เพราะว่ามันมีปัญหาอย่างเดียวกัน เทวดาก็มีปัญหาอย่างเดียวกันกับมนุษย์คือมีกิเลสและมีความทุกข์ แม้ว่าข้ออื่นมันจะต่างกันอย่างไรก็ตามใจเถอะ แต่มันมีเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือว่ามีกิเลสและก็มีความทุกข์ แม้ว่ากิเลสนั้นจะไม่เหมือนกัน ละเอียดหรือหยาบกว่ากันมันก็ยังเป็นกิเลส แล้วมันก็ให้เกิดความทุกข์ที่หยาบหรือละเอียดกว่ากัน คนมั่งมีก็เป็นทุกข์ คนยากจนก็เป็นทุกข์ แม้ว่ามันจะในรูปแบบที่ต่างกัน คนยากจนก็มีหลายชั้น คนมั่งมีก็มีหลายชั้น นั่นจะมีความทุกข์หลายรูปแบบหรือหลายชั้น ก็ต้องอาศัยพระธรรมะ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์รูปเดียวกันคือดับทุกข์ให้ได้ นี่มันเป็นการเปิดโลกชนิดที่ละเอียดประณีตสุขุมมากว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้จะต่างกันอย่างไร แต่ก็ให้ดูเถิดว่ามันเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีกิเลสแล้วก็มีทุกข์ ถ้าดับกิเลสเสียได้ก็จะไม่มีทุกข์ มันเหมือนกันอย่างนี้ เราก็ควรจะเข้าใจข้อนี้ ระมัดระวังอย่าให้การเปิดโลกของพระองค์นั้นเป็นหมันสำหรับเรา มันมีประโยชน์สำหรับคนอื่น มันก็ไม่ช่วยเราได้นี่ มันต้องเป็นประโยชน์กับเราด้วย ต้องไม่เป็นหมันสำหรับเรา คือเราได้รับแสงสว่างในการเปิดโลกพร้อมพระพุทธเจ้าคือแสงแห่งพระธรรม สามารถจะกำจัดความทุกข์ได้จึงจะไม่เสียทีที่ว่าตักบาตรเทโวกันทุกปีๆ ถึงทีออกพรรษาก็ตักบาตรเทโว ออกพรรษาตักบาตรเทโว จะตักให้มันยิ่งโง่หรือจะตักให้มันยิ่งฉลาดก็ไปคิดดูเอาเอง ถ้ามันทำอยู่อย่างซ้ำๆซากๆ ไม่ฉลาดขึ้น มันก็น่าจะโง่อยู่นั่นแหละคือไม่ได้รับแสงสว่างที่พระองค์ทรงเปิดโลก ลองหลับตาดูสักหน่อยเป็นยังไงว่าถ้าแสงสว่างนี้มันถึงทั่วกันไปหมดทุกโลก ทุกชั้น ทุกจักรวาล มองเห็นทั่วถึงกันหมดนี่ มันจะเป็นอย่างไร คงจะเข้าใจอะไรมากทีเดียว และก็ไม่มีอะไรแล้วนอกจากเข้าใจที่ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดังนั้นจะต้องขจัดสิ่งเหล่านี้เสีย ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นหรือพอมันเกิดขึ้นก็ดับมันเสียให้ทันควันทันท่วงที พระองค์ทรงสั่งสอนอย่างนี้ เปิดโลกให้มองเห็นสิ่งนี้ซึ่งประเสริฐที่สุด จึงหวังว่าตักบาตรเทโวปีนี้ก็มีแสงสว่างมากกว่าปีก่อน และปีต่อๆ ไปก็ขอให้มันมีแสงสว่างมากขึ้นๆ ก็จะไม่เสียทีที่มารวมกลุ่มกันตักบาตรเทโว หมายความว่าอย่าให้เป็นการกระทำของคนโง่ที่มาสุมหัวอะไรกันและก็ทำอะไรกันอย่างละเมอเพ้อฝัน ไม่รู้ว่าทำอะไร เหมาๆเอาว่าได้บุญ
เดี๋ยวนี้อาตมากำลังมาบอกว่า ถ้าเป็นเรื่องตักบาตรเทโวแล้วก็ขอให้พิเศษสักหน่อยหรือพิเศษได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่าให้เป็นการตักบาตรตามธรรมดาเลย เพราะมันเป็นการตักบาตรชนิดที่ยอมรับการเปิดโลกของพระองค์ เป็นที่ระลึกแก่พระองค์ เป็นการบูชาแก่พระองค์ในการที่ได้เปิดโลก มันถูกหรือไม่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าถือเอาตามตำนานในวันนั้น พระองค์ทรงเสด็จ พระองค์เสด็จลงมาจากเทวโลก มีคนต้อนรับกันที่ตรงบันไดนั้น ทรงแสดงธรรมเปิดโลกแล้วก็เลี้ยงดูกันเป็นการใหญ่ที่จะเป็นกำเนิดของการตักบาตรเทโว เช้าวันค่ำหนึ่งก็ตักบาตรเทโวกันทั้งนั้นในหมู่พุทธบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ให้ทำในใจสำเร็จประโยชน์เกี่ยวกับพระองค์ทรงเปิดโลกตามอย่างที่กล่าวมาแล้ว ทีนี้ ต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร ก็หัวใจของเราคงจะดีขึ้นสว่างไสวขึ้นเพราะได้เปิดความโง่ออกไปให้แสงสว่างเข้ามา บางคนคงจะนึกและโกรธว่าอาตมานี้พูดคำหยาบ ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำหยาบ ตั้งใจจะเตือนแรงๆเท่านั้นเอง เพราะเห็นว่ามันปักหลัก ลงโรง หรือย่ำเท้าอยู่ที่เดียวเกินไปนัก ช่วยทำให้มันก้าวหน้ากันบ้าง ก้าวหน้าให้ทุกปีๆ ให้แสงสว่างแห่งจิตใจนี้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นทุกปี ยิ่งขึ้นทุกปี ให้สมกับว่ามีการเปิดโลกแล้ว ตั้งแต่พรรษาที่ ๓ ของการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์ เรื่องพรรษาที่ ๓ นี้อย่าเอาแน่นักเลย มันไม่มีในพระไตรปิฎก เขาเขียนไว้ในที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง เอามาผสมผสานกันดูพอจะสันนิษฐานได้ว่าอย่างนั้น แล้วมันไม่ได้สำคัญอยู่ที่ว่าพรรษาที่ ๓ หรือพรรษาที่อะไร มันสำคัญอยู่ที่ว่าพระองค์ได้ทรงเปิดโลกแล้วหลังจากที่ได้ทรมานสัตว์ชั้นสูง ชั้นเจ้านาย ชั้นพระมหากษัตริย์ ชั้นครูบาอาจารย์ ชั้นเทวดา ชั้นอะไรเสร็จหมดแล้ว พอที่จะทำให้สัตว์โลกเข้าใจซึ่งกันและกันได้แล้ว ที่นี้จะพูดอีกแง่หนึ่งคือว่า ทรงทรมานสัตว์ชั้นสูงก่อนแล้วจึงค่อยมาจัดการกับสัตว์ชั้นต่ำ ตาสี ตาสา ชาวไร่ ชาวนา ประชาชนชั้นต่ำ นี่พระองค์ทรงแยกไว้ทีหลัง ทรงพยายามให้ชนะเด็ดขาด ให้ชนะตะลุยไปในสัตว์ชั้นสูงก่อน หรือจะเป็นนโยบายที่ดีของพระศาสดาทั้งหลายที่จะต้องเอาชนะคนสำคัญก่อน เมื่อคนสำคัญยอมรับแล้ว คนธรรมดาสามัญก็ยอมรับไปเอง ที่นี้ก็มาดูพวกเรา มันไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ไอ้เรานี่มันคือคนธรรมดาสามัญ เมื่อคนชั้นสูงสำเร็จประโยชน์ในทางธรรมะแล้ว ก็เหลืออยู่แต่คนชั้นธรรมดาสามัญนี้ อย่าให้มันเป็นหมัน แล้วก็อย่าท้อใจว่าเราเป็นคนธรรมดาสามัญ คนธรรมดาสามัญนี้แหละสามารถที่จะรู้ธรรมะได้ดีกว่าคนชั้นสูง คนชั้นสูงมันก็มัวเมาอยู่แต่เรื่องของกามสุข คนชั้นธรรมดาสามัญนั้นไม่อาจจะมัวเมาอย่างนั้นได้ มันมีความทุกข์บีบคั้นอยู่บ่อยๆแทบตลอดเวลา มันจึงเข้าใจเรื่องความทุกข์ได้ง่ายกว่าพวกเทวดาที่มัวเมาอยู่ในเรื่องของกามสุข เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่ามนุษย์ธรรมดานี้ได้เปรียบ มีหลักฐานพิสูจน์ยืนยันได้ตรงข้อที่ว่าพระพุทธองค์ต้องมาต้องเสด็จมาบังเกิดในมนุษยโลกเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่อาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเทวโลก แม้ว่าเรื่องราวในตำนานอะไรก็ตามเถอะ ก็ได้กล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นเทวโลกเป็นโพธิสัตว์รออยู่จนกว่าจะได้มาบังเกิดในมนุษยโลกเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คนที่เคยฟังเรื่องพระเวสสันดรก็ได้ยินได้ฟังว่าเสร็จจากการเป็นพระเวสสันดรแล้วก็ไปเป็นเทวบุตรอยู่ในชั้นดุสิตรอคอยการเกิดลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้ากันในมนุษยโลก ถ้าเทวดาดีจริงทำไมไม่ให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเทวโลก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องหลงใหลในกามสุขหรืออะไรมากเกินไป จึงต้องมาในมนุษยโลกที่มันมีสุขมีทุกข์ มีอะไรสลับซับซ้อนกันดี เห็นได้ง่าย หรือมันมีความทุกข์ที่เห็นได้ง่าย ในคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้อย่างนั้นว่าท่านต้องลงมาอุบัติบังเกิดในมนุษยโลกเสียก่อน แล้วก็เกิดในตระกูลที่ไม่ใหญ่โตนัก ไม่เล็กนัก ไม่รวยนัก ไม่จนนัก ไม่มีอำนาจวาสนานัก หรือว่าไม่มีปมด้อยนัก มันก็พอดีๆ มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในมนุษยโลกนี้
เราควรจะพอใจในความที่ได้เป็นมนุษย์ และเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็อย่าโง่ไปทำตัวให้เป็นเทวดาเสียอีก มันจะยิ่งถอยห่างไป อย่าไปหวังความเป็นเทวดาเป็นอะไรให้มันมากนัก ได้เป็นมนุษย์นี้มันดีแล้ว มันเหมาะสมที่จะรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ฉะนั้น ขอให้ดูให้ดีในความเป็นมนุษย์ของเรานี้มันประกอบกันอยู่อย่างไร มีสุข มีทุกข์ มีสุข มีทุกข์ สลับกันอยู่ทุกวัน และให้เข้าใจว่าไอ้ความทุกข์นั่นแหละประเสริฐที่สุดเพราะมันสอนให้เรารู้จักดับทุกข์ ถ้าไม่มีความทุกข์มาสอนเราก็ไม่รู้จักดับทุกข์ หรือถ้าไม่มีความทุกข์มันก็หมดปัญหาไปเลย แต่เดี๋ยวนี้มันมีความทุกข์มันช่วยไม่ได้ เกิดมาตามธรรมดาของสัตว์แล้วมันก็มีความทุกข์ แล้วเราก็ไม่ได้ต้อนรับความทุกข์นั้นในลักษณะที่ถูกต้องคือไม่ได้รับเอามาพินิจพิจารณาศึกษาให้เข้าใจ รู้จักแก้ไขต้นเหตุของมันและดับทุกข์ให้ได้ เรามันโง่ ไปมัวกลัวเสีย ไปนั่งร้องไห้เสีย ทุกข์อะไรสักนิดหนึ่งก็เอามาทุกข์ให้มาก มันโง่เสีย มันไม่ได้มาพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร มันเกิดมาจากอะไร จะป้องกันอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร ฉะนั้นขอพูดเสียใหม่ จะบ้าหรือดีก็ไม่รู้ จะพูดว่า ถ้าเมื่อไรมีความทุกข์แล้วก็รีบยึดเอาความทุกข์นั่นแหละเป็นบทเรียนสำหรับศึกษาธรรมะหรือศึกษาพระพุทธศาสนา หรือศึกษาอะไรก็เถอะ ต้องศึกษาที่ความทุกข์ พอมีความทุกข์เราก็ดีใจที่จะรับเอามาศึกษา อย่าไปนั่งร้องไห้อยู่ เอามาพิจารณาให้ดี ข้อความในพระบาลีที่เป็นพระพุทธภาษิตก็มีอยู่อย่างชัดเจนว่า ความทุกข์นี้ทำให้เราศรัทธาในความดับทุกข์ แล้วก็แสวงหาความดับทุกข์ เมื่อมีความทุกข์แล้วคนก็ดิ้นรนที่จะดับทุกข์ มันจึงจะไปศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น ก็จะได้ดับทุกข์ไปตามลำดับ อาตมาเลยสมมุติหรืออุปมาให้ว่าความทุกข์นี้เหมือนกับเพชรพลอยที่อยู่ในหัวคางคก หัวคางคกมันก็น่าเกลียด ตัวคางคกมันก็น่าเกลียด มีลักษณะแห่งความโง่เขลา น่าเกลียด น่าชัง น่าดูหมิ่นดูแคลน แต่ให้ขอให้นึกสักหน่อยว่าในหัวคางคกมันยังมีเพชร เพชรพลอยที่จะมาช่วยให้คนเอาตัวรอดได้ หมายความว่าในความทุกข์นั่นเอง ดูให้ดีๆ จะพบจุดๆหนึ่งซึ่งเป็นแสงสว่างส่องให้เห็นว่าความทุกข์นั่นเป็นอย่างไร ความทุกข์มีเหตุอะไรปรุงแต่งขึ้นมา แล้วถ้าตรงกันข้ามนั้นก็คือทำลายเหตุนั้นเสีย แล้วค่อยๆมองให้เห็นว่าเราจะอยู่กันอย่างไร จะปฏิบัติกันอย่างไรจึงจะไม่เกิดเหตุแห่งความทุกข์ นี่ก็คือเรื่องอริยสัจทั้ง ๔ ประการ เป็นอยู่ให้มีความถูกต้องโดยหลัก ๘ ประการ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ และเหตุแห่งความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ เราก็ไม่มีความทุกข์ หรืออย่างเลวที่สุด มันเกิดน้อยเราก็มีความทุกข์กันน้อย แล้วพออยู่กันไปได้ ค่อยๆแก้ไขกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสิ้นไป เคยอธิบายอย่างนี้ให้เขาฟัง เขาก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ไม่รู้ว่าใครมันโง่กว่าใคร ใครมันเป็นฝ่ายโง่ เราบอกว่าให้ศึกษาความทุกข์จะดีกว่าศึกษาพระไตรปิฎกเสียอีก ศึกษาพระไตรปิฎกนี้ไม่ช่วยให้รู้จักธรรมะเร็วเหมือนกับศึกษาความทุกข์ เอาละ, มันมีความทุกข์ร้องไห้ไปพลางก็เอา แต่อย่าร้องไห้เปล่าๆ ศึกษาความทุกข์นี้ไปด้วยให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างไร แล้วมันมาจากไหน มันมาจากไหน มาจากความโง่ชนิดไหน ความโง่ไปยึดมั่น ไอ้นั่นของกู ไอ้นี่ของกู เงินของกู ทองของกู ลูกของกู เมียของกู ผัวของกู เหมือนกับลิงราหูนั่นแหละ มันก็จะค่อยๆเพาะให้ความทุกข์มันเกิดจากความยึดถือ นี้ก็รู้จักเข็ดหลาบกันเสียบ้าง อย่ายึดถือ หรือยึดถือให้น้อยลงๆ ความทุกข์มันก็น้อยลง ศึกษาธรรมะจากความทุกข์อย่างนี้ดีกว่าศึกษาธรรมะทั้งพระไตรปิฎก ซึ่งสักแต่ว่าอ่านๆๆๆ อ่านเป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็โดยมากก็ไม่ได้อ่านแล้ว เอามาเก็บไว้เป็นตู้ๆอย่างนั้นแหละ มันไม่มีประโยชน์ แล้วก็ไม่ได้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสั่งสอน คือพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงสั่งสอนว่าไปซื้อพระไตรปิฎกมาอ่านๆๆแล้วจะดับทุกข์ได้ หรือจะอาศัยพระไตรปิฎกแล้วดับทุกข์ได้ มันไม่เคยมีสิ่งนี้ในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ท่านสอนให้ดู ใช้คำว่าศึกษาก็ได้ ดูลงไปที่ความทุกข์ ความทุกข์ ความทุกข์ จนเห็นว่ามันเป็นอย่างไร มันจะดูได้ก็ต่อเมื่อมีความทุกข์ ถ้าสบายดีอย่างนี้มันดูไม่เห็น มันดูไม่เห็นเพราะมันไม่มีอะไรให้ดูนี่ จะไปคิดเอามันก็ไม่ใช่ดู ไปคำนวณเอามันก็ไม่ใช่ดู มันเป็นนักคิดนักคำนวณนั้นไม่มีวันจะรู้จักความทุกข์ พอถึงทุกข์ก็จริงมันก็ไม่ดูเสีย มันไปนั่งร้องไห้ หรือเป็นบ้าเป็นหลังฆ่าตัวตายเสีย มันไม่ดู พอไม่มีความทุกข์ อุตสาห์ไปคิด คิดตามที่ได้ยินได้ฟังอย่างนั้นอย่างนี้ คำนวณอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เป็นนักคิด เป็นนักศึกษาจนดูอะไรไม่เป็น เป็นนักคิดนักค้นจนดูอะไรไม่เป็น และธรรมะของพระพุทธองค์นี้ต้องการให้ดู ต้องดูๆๆ ดูความทุกข์ ดูเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีเรื่องคำนวณ คิดค้นอย่างคำนวณนี้เป็นเรื่องคนละเรื่อง อยู่นอกวงของศาสนา เป็นเรื่องที่เขาเรียกกันสมัยนี้ว่าปรัชญาบ้าๆ บอๆนั่นแหละ มีแต่คิดคำนวณไม่รู้จุดจบ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะเรื่องของศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาแล้ว ต้องเป็นการดู ถ้าจะดูมันต้องมีสิ่งให้ดู สิ่งที่จะให้ดูมันต้องเป็นของจริง ไม่ใช่ตั้งสมมติฐานเอาว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็คิดไปแล้วก็เรียกว่าดู อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เป็น ปรัชญา มีความทุกข์แล้วก็ต้องของเราด้วย ของคนอื่นมันดูยาก ดูได้ยากต้องเป็นของเราที่ร้อนอยู่ในหัวใจของเรา เผาอยู่ในหัวใจของเรา แล้วก็ดู อุตสาห์ดูๆ เดี๋ยวก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในความทุกข์ เบื่อหน่ายในเหตุให้เกิดทุกข์ นี่เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ที่จะละกิเลสได้ ถ้าไม่มีจุดตั้งต้นที่ตรงนี้แล้วมันก็ไม่มีการเดินไป ไม่มีเบื้องปลาย ไม่มีผลสำเร็จ ขอให้ยินดีต้อนรับความทุกข์เหมือนกับมันเอาโชคลาภมาให้ นี่บ้าแล้ว บ้าแล้วเห็นไหม แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น พอความทุกข์เกิดขึ้นแล้วดูให้ดี ต้อนรับให้ดี ให้มันสอนให้เราฉลาดขึ้นทุกทีที่มีความทุกข์
อาตมาจะบอกว่าเคยประสบความสำเร็จอย่างนี้มาแล้ว และก็เอารอดตัวมาได้อย่างนี้ แล้วคุณก็คงไม่เชื่อ หาคนเชื่อยาก แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทุกทีที่เป็นทุกข์แล้วก็ฉลาดขึ้นโขทีเดียว ทุกทีที่เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะอาศัยการเปิดโลกของพระองค์นั่นเอง การเปิดโลกของพระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความไม่มีทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความไม่มีทุกข์ ก็จะพูดในรูปแบบไหน ใช้คำพูดอย่างไรนั้นมันก็ไม่แน่หรอก แต่มันแน่ตรงที่ว่าท่านจะชี้ให้เห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมีกิเลสซึ่งเป็นสมบัติของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่มันมีอวิชชา มันจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามใจ ถ้ามันมีอวิชชาแล้วมันก็ต้องมีความทุกข์ อวิชชานั้นเป็นสิ่งที่ปิดบังหรือทำให้โง่ โง่จนไม่รู้จักจะดับทุกข์อย่างไร ดังนั้น การเปิดโลกก็คือการเปิดอวิชชานั่นเอง อวิชชาเป็นเครื่องปิด เป็นเครื่องกั้น เป็นเครื่องหุ้มห่อ นี้เรามันอยู่ในนั้นสบาย เลยไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องปิด เครื่องกั้น เครื่องหุ้มห่อ แล้วก็แต่งงานกับอวิชชาไปเลย อยู่กันให้สบายให้ถึงอกถึงใจ มันก็มีความทุกข์เรื่อยไป นี่ไม่มีการเปิดโลกสำหรับบุคคลนี้ ฉะนั้น ในวันเทโวโรหณะขอให้ช่วยนึกถึงเรื่องนี้กันให้มาก การทำบุญในวันเทโวโรหณะก็จะมีผลเป็นพิเศษยิ่งกว่าวันอื่น คือเป็นการทำบุญทำกุศลในวันที่พระองค์ทรงเปิดโลก เป็นอันว่าการเปิดโลกมันเป็นอย่างนี้ เราได้เอามาปรารภกันแล้วในวันนี้ ซึ่งนับว่าเหมาะสมกับกาลเทศะ อาตมายืนยันว่าได้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำอะไรแล้วก็จะให้มันเหมาะสมกับกาลเทศะเสมอไป เพราะว่ามันมีเรื่องมาก คือมีหลายๆเรื่อง หลายๆรูปแบบ ทั้งกาลเทศะไหนเราจะเอาประโยชน์กันได้ในรูปแบบไหน ก็ทำอย่างนั้น ฉะนั้น จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะรู้จักถือเอาประโยชน์จากการบำเพ็ญกุศลในวันที่สมมติกันว่าเป็นวันที่พระองค์ทรงเปิดโลกให้ได้ ให้มากที่สุดตามที่จะได้ และขอให้มีความก้าวหน้าในลักษณะอย่างนี้เรื่อยๆไป ยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นทุกปี การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ฝนก็กำลังจะมา