แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาคือความเชื่อ วิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนา ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลก กว่าจะยุติลงด้วยเวลา การแสดงพระธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นกัณฑ์พิเศษ ปรารภเหตุต้องการบูชาคุณงามความดีของเปตชน ผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่คุณงามความดีของท่านเหล่านั้น ยังเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ในดวงใจของบรรดาท่านผู้เป็นบุตรหลานทั้งหลายท่านผู้มีคุณธรรมคือความกตัญญูกตเวทีอยู่ในดวงใจ คุณงามความดีของบรรพบุรุษของท่านนั้น ยังเป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในดวงใจของท่าน ท่านทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นผู้เลิศด้วยความกตัญญูกตเวทิตาธรรม อันเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี เป็นเครื่องหมายแห่งบุคคลที่มีความเจริญ อาตมาภาพได้รับมอบหมายจากท่านพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส ให้มาทำหน้าที่พูดธรรมะกับญาติทั้งหลาย ผู้ที่ได้มาร่วมบำเพ็ญการกุศล ต้องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษชน ผู้ที่มีคุณงามความดี ผู้ที่ได้ให้เลือดเนื้อเชื้อไขมาแก่ท่านทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้วางรากฐาน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามนี้สืบต่อมาตามลำดับ ตามลำดับ เป็นความการง่ายและเป็นความสะดวกดาย ในการที่เราเป็นบุตรหลานรุ่นหลัง จะได้ทำตามหรือเจริญรอยตาม คล้ายๆมีทางที่สะดวกสบายอยู่แล้ว เราจะไปจะมาก็สะดวกสบายดี ไม่ต้องไปบุกเบิกกันใหม่ อันขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามที่บรรพบุรุษชนทั้งหลายได้วางรากไว้แล้วแต่ต้นนั้น เป็นความงดงามและเป็นความเจริญ เป็นความเฉลียวฉลาดสามารถ ของบรรดาบรรพบุรุษท่านทั้งหลายเหล่านั้น เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถ มีอิทธิพลมีอำนาจในดวงใจ ครองจิตใจของบรรดาประชาชนในยุคปัจจุบันนี้ได้ว่า พอถึงเดือนสิบแล้ววันแรมหนึ่งค่ำ แล้วก็วันแรมสิบห้าค่ำ เป็นวันรับและวันส่งตายาย ยกเว้นไว้แต่บางกรณีที่อำเภอไชยานี้ มีการรับและส่งตายายไม่พร้อมกัน เลยที่สวนโมกข์ก็มีวันรับตายายในวันเดือนสิบขึ้นแปดค่ำเป็นวันรับ วันส่งตายายก็เดือนสิบ วันแรมแปดค่ำคือในวันนี้ บรรดาท่านผู้มีคุณงามความดีในดวงใจ ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีอยู่ในดวงใจ ได้ระลึกนึกถึงคุณงามความดีของท่านผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว บัดดี้มีสักขีพยานเป็นที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า คืออัฐิธาตุของท่านเหล่านั้น ได้วางอยู่เฉพาะหน้า สำหรับท่านที่ไม่ได้ทำอัฐิมาก็ดี แต่ว่ามีอัฐิส่วนหนึ่งอยู่ในร่างกายของท่านแล้ว เพราะอัฐิหรือกระดูกในร่างกายของเรานี้ เราได้แบ่งมาจากอัฐิธาตุของผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่ ผู้เป็นคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายทั้งหลาย ดังนั้นร่างกายของเราแต่ละคนแต่ละคนนี้ เราจะเรียกว่าเป็นโกศสำหรับเก็บอัฐิธาตุของบรรดาเปตชน หรือของบรรดาบรรพบุรุษชนของเราก็เป็นการถูกต้องอยู่ มิได้เป็นการผิดพลาดแต่อย่างใดเลย เพราะธาตุเหล่านี้ในร่างกายทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เราได้รับส่วนแบ่งมาจากบรรพบุรุษชนเหล่านั้น บัดนี้ท่านได้มาแสดงออกซึ่งคุณธรรม โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต ญาติธรรมนี้นั้นท่านได้แสดงออกให้ปรากฎแล้วว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มีญาติ ท่านทั้งหลายมิได้เป็นผู้ที่โดดเดี่ยว ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มาในตระกูลอันงดงาม แล้วก็เป็นญาติที่ตั้งอยู่ในคุณธรรม เป็นการประกาศเกียรติคุณแห่งญาติของท่านทั้งหลายว่า บรรพบุรุษของเราในอดีตกาลก่อนโน้น ก็เป็นผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสอยู่ในพระรัตนตรัย มีพระพุทธ มีพระธรรมและมีพระสงฆ์อยู่ในดวงใจ วันนี้คณะลูกหลานหรือท่านผู้เจริญด้วยศรัทธา จึงสามารถมาประกาศเกียรติคุณ คุณงามความดีของบรรพบุรุษของท่านได้ ท่านยังสามารถสละเวลาอันเป็นกิจประจำวันในวันก่อนๆโน้น มาเป็นวันพิเศษวันหนึ่งสำหรับให้แก่ตายายของท่าน แสดงว่าตายายของท่านนั้น ก็คงจะมีความศรัทธาที่แจ่มใสและมีศรัทธาที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน จึงสามารถหยุดการหยุดงานในวันพิเศษในวันทำบุญพิเศษเช่นนี้ มาเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เปตชนทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว การกระทำทั้งปวงเพื่อเปตชนที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ท่านได้ทำแล้วอย่างโอฬาร เพราะอาหารหรือสิ่งที่นำมาถวายแก่พระภิกษุสงฆ์องคเจ้านั้น ได้จัดทำอย่างดี การแสวงหามาก็ได้แสวงหาด้วยกายสุจริต ด้วยวจีสุจริต ด้วยมโนสุจริต คือความสะอาดทางกาย ความสะอาดทางวาจาและความสะอาดทางด้านจิตใจด้วย เลยเป็นความสะอาดที่พร้อมทั้งสามทวาร คือทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ เมื่อการแสวงหามานั้นเป็นเรื่องที่ความสะอาดและบริสุทธิ์แล้ว การกระทำของท่านก็เป็นไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ต้องการจะให้เป็นบุญเป็นกุศลแท้ๆ เรียกว่าในขณะที่กำลังทำอยู่นั้น ก็เป็นการกระทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน เลยอนุภาพแห่งบุญกุศลก็ย่อมเพิ่มทวีในดวงใจหาประมาณมิได้ ในขณะที่กำลังนำมาก็ดี ในขณะที่กำลังถวายอยู่ก็ดี และถวายแก่พระภิกษุสงฆ์องคเจ้าเรียบร้อยแล้ว จิตใจดวงนี้ที่อยู่ในดวงใจของท่านนั้นก็ยังมีความบริสุทธิ์สะอาด เรียกว่าก่อนให้ก็ดี กำลังให้อยู่ก็ดี ให้เสร็จแล้วก็ดี จิตใจของท่านก็ยังประณีตละเอียดผุดผ่องบริสุทธิ์อยู่ บารมีแห่งทานนั้นก็ย่อมมีปริมาณอันสูงสุด มีปริมาณมากเป็นพิเศษ ย่อมสำเร็จแก่เปตชนตามฐานะแห่งตนๆ ถ้าหากว่าเปตชนหรือบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว อยู่ในฐานะหรืออยู่ในวิสัยที่จะพึงรับทานนี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล เหมือนดังที่พระคุณเจ้าเวลาจะอนุโมทนาทาน ที่ท่านได้กล่าวว่า ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ เป็นต้น แปลเป็นไทยๆว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น คือหมายความว่า ทานที่ท่านทำบุญอุทิศไปให้นี้ ย่อมสำเร็จแก่เปตชนที่ล่วงลับไปแล้ว และเปตชนเหล่านั้นก็ย่อมอนุโมทนาสาธุการ ต่อทานที่ท่านอุทิศไปให้ ต่อบุญกุศลที่ท่านบำเพ็ญแล้วนี้ เปตชนเหล่านั้นก็ย่อมมีความรื่นเริง บันเทิง มีความสนุกสนาน เหมือนกับเหล่าปลานานาชนิด เวลาที่ห้วงน้ำในมหาสมุทรสาครกำลังเต็มเปี่ยม ปลาเหล่านี้ก็ย่อมออกไปสู่น่านน้ำท้องที่อันกว้างใหญ่ไพศาล จนกระทั่งว่าไปสู่มหาสมุทรนั้นฉันใด ทานของท่านก็ย่อมมีอำนาจและมีอิทธิพลเช่นเดียวกันฉันนั้น ซึ่งเรื่องนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ในสูตรๆหนึ่ง เกี่ยวกับว่าการทำบุญให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ว่าญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเขาได้รับส่วนบุญนี้หรือเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ถ้าหากญาติของท่านอยู่ในฐานะที่จะพึงรับได้ไซร้ ทานส่วนนี้ก็ย่อมสำเร็จแก่เปตชนเหล่านั้น ผู้ที่จะมีสิทธิ์หรือผู้ที่จะได้รับส่วนกุศลก็คือเปรตจำพวกหนึ่ง เขาเรียกว่าเปรตที่อาศัยส่วนบุญส่วนกุศล ที่ญาติที่อยู่ในโลกนี้อุทิศไปให้ ถ้าท่านทำแล้วท่านยังไม่ได้อุทิศ ท่านทำแล้วท่านยังไม่ได้เอ่ยถึง เปตชนหรือญาติของท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล เพราะเรียกว่าเขาเป็นคนไม่คดโกง เป็นคนที่ยังซื่อตรง ถ้าหากว่าญาติยังไม่อุทิศให้ก็ยังไม่ได้รับ ต้องรอให้ท่านทั้งหลายอุทิศให้ด้วยเขาก็จึงจะได้รับ นี่แหละเป็นลักษณะที่เรียกว่า ความบริสุทธิ์หรือความซื่อตรงในการรับทาน เป็นคนไม่คดโกงในทานของผู้อื่น ความจริงบุคคลอื่นก็อุทิศไปให้ญาติแก่เขาเยอะ ญาติทั้งหลายทั้งปวงนี้มากด้วยกัน แต่เปรตเหล่านั้นก็ต้องรอญาติของตนเป็นผู้อุทิศให้โดยตรงอีกทีหนึ่ง นี่แหละในโลกวิสัยของเปรตก็ยังมีอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมะบางประการเหมือนกัน คือไม่คดโกงในทาน แสดงให้เห็นว่า จิตใจของบุคคลในสมัยกาลก่อนโน้น เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ยุติธรรม เป็นผู้ที่มีความซื่อตรง เป็นโชคดีและเป็นกุศล จึงได้ลูกหลานมาเป็นคนที่ตั้งอยู่ในคุณธรรม เป็นคนที่ตั้งอยู่ในความซื่อตรง เป็นคนที่ตั้งอยู่ในความยุติธรรม รักบุญรักการกุศลสืบทอดต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ได้อาศัยคุณธรรมเหล่านี้สืบทอดมาเป็นตามลำดับ ตามลำดับ ความร่มเย็นหรือความสันติสุข ก็พอที่จะช่วยให้จิตใจของเรา เป็นที่อบอุ่นคล้ายๆพอมีที่หลบที่ซ่อน ในเมื่อบางครั้งบางคราวมันมีข่าวมีอันตราย จนกระทั่งว่าโลกนี้กำลังจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว แต่เราก็มีจิตใจที่พอจะหลบที่จะซ่อนอยู่ในส่วนบุญและส่วนกุศลนั้นได้ จิตใจก็เลยได้รับความสงบร่มเย็น นี่แหละเรียกว่าเป็นความเฉลียวฉลาดของญาติของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ได้ช่วยกันประคับประคองรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวกับการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เปตชน มีพวกขนมต่างๆหรือพวกอาหารหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งถ้าทำบุญประเภทอื่นๆแล้วจะไม่มีขนมประเภทเหล่านี้ แต่เฉพาะในงานวันรับหรือในงานวันส่งตายายจะมีขนมเหล่านี้เข้ามา นี่แหละเป็นเอกลักษณ์เป็นความเฉลียวฉลาด เป็นความสามารถ ของผู้วางขนบธรรมเนียมประเพณี คล้ายๆให้มีระเบียบมีวินัยในการประพฤติ ในการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นขอให้เราได้ถือประโยชน์ เอาให้ถูกต้อง และก็รักษาประโยชน์เหล่านี้ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ทางด้านสติปัญญาแก่อนุชนหรือลูกหลานของเราต่อไปในอนาคต ถ้าหากว่าบัดนี้หรือในงานรับและในงานส่งตายายนี้ไม่มีขนมลา ไม่มีขนมพอง แล้วลูกหลานของเราที่มารุ่นหลังเขาจะรู้จักขนมเหล่านี้หรือเปล่า สติปัญญาที่เขาจะพึงได้รับมันก็หมดไป ปัญญาส่วนนี้มันก็หดหายไป ดังนั้นการที่บรรดาคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ยังอุตส่าห์รักษาขนมต่างๆ รูปแบบพิธีการต่างๆ เหล่านี้ไว้ ก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งส่งเสริมให้บุตรธิดาของเราหรือลูกหลานเล็กๆของเรา เขาได้เป็นคนที่มีความรู้ ได้เป็นคนมีความก้าวหน้าทางด้านสติปัญญา ถ้าเขาเพียงอ่านแต่ในประวัติศาสตร์ว่า เวลาทำบุญเดือนสิบ มีพิธีอย่างนั้นๆ ทำขนมอย่างนั้น เขาอ่านจากตัวหนังสือนี่ เขาไม่รู้ซึ้งอย่างแท้จริง เขาขาดสติปัญญาชนิดที่แท้จริง สู้เขามาเห็นกะตาอย่างนี้ไม่ได้ สู้กับเขามาเห็นของจริงๆในขณะนี้ไม่ได้ ดังนั้นการที่ช่วยกันรักษาไว้ ทั้งรูปแบบก็ดี ทั้งสิ่งของที่นำมาถวายแก่พระภิกษุสงฆ์องคเจ้าก็ดี เป็นความเจริญโดยส่วนเดียวหาได้เป็นความคร่ำครึไม่ หาได้เป็นการล้าสมัยแต่อย่างใดไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบของผู้ที่เจริญ เมืองไทยของเราก็ต้องมีรูปแบบของความเป็นไทย เราจึงจะอยู่รอด ถ้าหากเมืองไทยของเราไม่มีแบบแห่งความเป็นไทยแล้ว เราก็จะหมดความเป็นชาติไทย จะหมดที่พึ่ง แล้วเราในที่สุดก็เป็นผู้ที่เรียกว่า เป็นผู้ที่ไร้ที่อยู่เช่นเดียวกัน ไม่มีรูปแบบใดๆเป็นของตน ก็เหมือนกับคนที่เป็นหนี้เขานั่นแหละ คิดดูเถอะว่าคนที่เป็นหนี้เขานั่น จะเป็นคนที่มีอิสระสักขนาดไหน เขาจะมีจิตใจที่มีความสุขมีความเย็นสบายได้หรือเปล่า คนที่เป็นหนี้ก็ย่อมมีความทุกข์มีความเดือดร้อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การกู้หนี้เป็นทุกข์ในโลก ผู้กู้หนี้เขาเป็นความทุกข์ ความทุกข์ที่เป็นหนี้นั่นแหละเป็นความทุกข์ภายนอก เป็นความทุกข์เพราะความผิดพลาดในการใช้จ่าย เป็นคนที่ใช้จ่ายเกินประมาณหรือเกินพอดี เป็นลักษณะของผู้ที่เรียกว่า ไม่รู้จักใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตประจำวัน ถ้าหากรู้จักใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว เราก็จะมีความพอดิบพอดี ไม่ตึงไปฝ่ายหนึ่งและก็ไม่หย่อนไปฝ่ายหนึ่ง ไม่เกินไปฝ่ายหนึ่งแล้วก็มาขาดอีกฝ่ายหนึ่ง จะอยู่ในลักษณะพอดีๆตามกำลังของตน หรือเหมือนคนจะยกข้าวยกของ ถ้ารู้จักประมาณก็จะยกของพอดีกับกำลังของตน ไม่จนกระทั่งว่าเบ่งเอาจนกระทั่งว่าเอวเคล็ดไป เพราะนั่นแหละเป็นการขาดประมาณแล้วล่ะ อาจจะเป็นความโลภน้อยๆอยู่ในดวงใจ ต้องการให้งานนั้นสำเร็จเร็วๆ แต่ลืมประมาณกำลังกายของตน ลืมประมาณวัยของตน ว่าตนมีวัยปูนนี้ อายุปูนนี้ สังขารขนาดนี้ ควรจะทำงานประมาณเท่านี้ นั่นแหละจึงเรียกว่า เลยได้รับโทษได้รับภัยทันตาเห็น เรียกว่าธรรมชาติลงโทษเอาทันที ทีเดียว ในทางพระศาสนานี้ จึงวางหลักมัชฌิมาปฏิปทาไว้ คือ ให้เป็นหลักกลางๆ เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจใครๆก็บ่นถึงว่าเศรษฐกิจมันอย่างนั้นอย่างนี้ มันแรงไป หรือเหตุการณ์ของโลกมันอย่างนี้อย่างนั้น มันไม่เป็นปกติหรือไม่เอื้ออำนวยในการที่จะให้บำเพ็ญการกุศล ถ้าใครคิดเช่นนี้ก็ถูกอยู่ แต่ผู้ที่มีปัญญาเยี่ยงบรรพบุรุษแล้ว ก็คงสามารถวางตัววางตนไว้ถูกต้องตามทำนอง สามารถเดินทางไปตามทางแห่งความเป็นผู้ที่เจริญอยู่ในคุณธรรมได้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกหลานของปู่ย่าตายายในสมัยก่อนโน้น ปู่ย่าตายายในสมัยก่อนได้พูดไว้เป็นคำทั่วๆไปว่า เป็นคำสามัญประจำบ้านว่า มีทางแต่ไม่มีคนเดิน ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลาย ได้พูดไว้ในลักษณะเช่นนั้นว่า มีทางแต่ไม่มีคนเดิน คนรุ่นหลังหรือคนสมัยนี้เขาบอกว่า เออจริง ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ปู่ย่าตายายว่ามีแต่ทางและไม่มีคนเดิน คนมันจะเดินอย่างไร เดี๋ยวนี้มันก็มีรถไฟ มันมีรถยนต์ แล้วก็มีรถจักรยานยนต์ มีรถอื่นๆเยอะ ไม่มีใครเดินกันแล้วล่ะ เขามีรถเขาไปรถด้วยกันทั้งนั้น มีทางจึงไม่มีคนเดิน เพราะเขามองในแง่วัตถุโดยส่วนเดียว ถูกของเขา ถูกในแง่วัตถุนิยม แต่ถ้ามองในแง่ให้ลึก มองลงไปในดวงใจของปู่ย่าตายายแล้วที่ว่า มีทางไม่มีคนเดิน นั้นหมายถึงอย่างไร ปู่ย่าตายายของเราไม่ได้เป็นคนที่จมอยู่ในวัตถุนิยม แต่เวลาเดียวกันมิได้เป็นผู้ที่ละทิ้งวัตถุนิยม แต่เขามีความพอดีทั้งฝ่ายวัตถุแล้วทั้งฝ่ายธรรมะ เขาจึงสามารถรักษาความร่มเย็นมาได้ สามารถเลี้ยงลูกหลานมาได้อย่างสุขสบายดี เขามีทั้งฝ่ายธรรม เขามีทั้งฝ่ายวัตถุ เลยเขาจึงเป็นผู้ที่อยู่สบายๆ เขาเรียกว่าเป็นผู้ที่วางใจไว้อย่างถูกต้อง มีปัญหาใดๆขึ้นมาเขาก็เป็นคนที่ไม่มีความทุกข์ใจใดๆเลย เขาสามารถขจัดปัดเป่าปัญหานั้นออกไปได้จากใจ ผู้เฒ่าผู้แก่หรือคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คงจะมีความหมายที่ลึกลงยิ่งไปกว่าที่ว่า เออถ้ามีรถยนต์แล้วเราไม่ต้องเดินล่ะ เพราะว่าผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมะมาก่อน มีทางไม่มีคนเดิน ทางในที่นี้ก็หมายถึง มรรค หรือ อริยมรรคนั่นเอง อริยมรรคมีองค์แปดซึ่งประกอบด้วยองค์แปดประการนั้น บัดนี้ลองดูเถอะว่ามีชาวโลกให้ความสำคัญกับมรรคมีองค์แปดสักขนาดไหน สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบเป็นเบื้องต้น หรือความเห็นความเข้าใจความเชื่อที่ถูกต้อง ความมุ่งหมายที่ถูกต้องเหล่านี้ ใครให้ความสำคัญสักขนาดไหน เรียกว่าทางหรืออริยมรรคองค์แปดประการนี้ อันเป็นทางชอบเป็นทางสายเดียว เป็นทางเอก ที่จะช่วยให้ชาวโลกทุกยุคทุกสมัย เดินทางออกจากโลกที่กำลังปั่นป่วนอยู่นี้ ไปสู่โลกชนิดที่มีความสงบและร่มเย็น ไปสู่โลกที่มีแต่ความยะเยือกมีแต่ความบริสุทธิ์ มีแต่ความชนิดที่เรียกว่า ไม่มีภัยใดๆไปถึงในโลกนั้นเลย แม้แต่ความเจ็บความตายก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปสู่โลกนั้นได้ เพราะว่าจิตใจดวงใดที่กำลังดำเนินอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปดประการแล้วไซร้ จิตใจดวงนั้นก็จะเป็นจิตใจที่อิสระ จิตใจดวงนั้นก็จะเป็นจิตใจที่สอดคล้องต้องตามธรรมชาติ เป็นจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ เหมือนกับธรรมชาติที่ท่านกำลังได้รับอยู่ในขณะนี้ ปราศจากการย้อมปราศจากการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น จิตใจของบรรดาท่านสาธุชนทั้งหลาย ก็ย่อมมีความสงบสงัดเงียบสงบตามฐานะแห่งตนแห่งตน ซึ่งธรรมชาติเป็นผู้ป้อนให้ ธรรมชาติเป็นผู้หยิบยื่นให้ ท่านไม่ต้องเรียกร้องแต่ใดๆทั้งสิ้น แม้แต่เพียงว่าเรานั่งอยู่เฉยๆเท่านั้น ธรรมชาติก็ให้คุณสมบัติ ธรรมชาติก็ให้ประโยชน์นี้แก่เราเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงใจ อันอริยมรรคมีองค์แปดประการนั้น ก็เป็นธรรมชาติที่เราสามารถเอาจิตเข้าไปสัมผัสได้ สามารถเอาจิตเข้าไปรองรับนั้นได้ เหมือนกับว่าปิ่นโตเป็นที่รองรับกับข้าวและอาหารทั้งหลายทั้งปวง หรือเหมือนตะกร้าหรือเหมือนกระเช้าที่ท่านนำมา วัตถุที่ท่านนำมานั้นเป็นที่รองรับอาหารรองรับผลไม้ทั้งสิ้นใดๆฉันใด อันจิตใจของเรานี้ก็ต้องมีสิ่งรองรับเช่นเดียวกัน ในทางศาสนาก็คือเอาอริยมรรคเข้าไปรองรับไว้ในดวงใจ เหมือนปู่ย่าตายายทั้งหลาย ดั้งนั้นปู่ย่าตายายทั้งหลายเขาก็มอง มองแล้วมองการณ์ไกลแล้วก็บอกไว้ต่อไว้เลยว่าต่อไปข้างหน้า มีทางแล้วจะไม่มีคนเดิน เพราะคนกำลังหลงระเริงไปด้วยความสุขความงดงาม กามคุณสมัยใหม่ ลองดูเถอะว่า ที่เขาบอกกันว่า ฝ่ายที่โฆษณาให้ไปเสียเงินเสียทองนั้นมีจำนวนมาก รอบเช้าก็มี รอบเที่ยงก็มี รอบบ่ายก็มี รอบค่ำก็มี วันหนึ่งตั้งกี่รอบ อุตส่าห์ยังเสียเงินเสียทองอุตส่าห์เข้าไปดู นั่นแหละ โลกเขากำลังเรียกร้อง โลกเขากำลังย้อมจิตใจ ให้คนเขวออกไปสู่ทางที่เรียกว่า สิ้นเปลือง แล้วไปสู่ทางที่จะได้รับความเร่าร้อนในดวงใจ แล้วส่วนทางที่สงบร่มเย็นเป็นทางที่ปู่ย่าตายายเคยเดินมานั้น ในที่สุดก็มีคนเดินน้อยลงๆ แล้วจนกระทั่งในที่สุดก็ปู่ย่าตายายก็ไชโย คือไชโยอย่างไร บอกว่าที่เราพูดไว้นั้น ถูกแล้ว ที่เราพูดไว้นั้นถูกต้องแล้ว มีทางไม่มีคนเดิน นั่นแหละ เป็นคำที่ปู่ย่าตายายเขาว่าไว้ก่อนแล้ว นี่ประเภทที่หนึ่ง แล้วก็มีอีกคำหนึ่งที่ปู่ย่าตายายพูดไว้ว่า มีข้าวแล้วจะไม่มีคนกิน คนยุคใหม่ก็บอกว่าเออจริง จริงเพราะว่าเดียวนี้บางคนก็ริเป็นฝรั่งแล้ว ข้าวเขาไม่กิน เขาบอกว่าไม่ทันต่อเหตุการณ์ เขาก็เลยไปกินขนมปังเสียเลยเขาถือว่าเขาเป็นฝรั่ง เลยเป็นฝรั่งปลอมไปก่อน ทั้งๆที่เกิดในเมืองไทย แล้วก็เชื้อชาติก็คนไทยเลือดไทยแท้ๆ ปู่ย่าตายายก็เป็นไทย แต่เขาอยากจะเป็นฝรั่งเขาก็เลยกินขนมปังเสีย อ่า, ก็ถูก ที่ปู่ย่าตายายบอกว่า มีข้าวแล้วไม่มีคนกิน เพราะเขาไปกินอย่างอื่นแทนเสีย ไปกินกาแฟ ไปกินขนมปัง ไปกินโอวัลติน ไปกินอย่างอื่นแทน นี่เป็นเรื่องส่วนอาหาร แต่ก็ยังไม่ถึงหรือยังไม่เป็นที่จุใจตายายอยู่นั่นแหละ ตายายมิได้พูดอย่างนั้น ตายายมีความมุ่งหมายที่ลึกยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าตายายของเราเป็นบุคคลที่เรียกว่า มีธรรมะอยู่ในดวงใจ มีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัวตลอดเวลา เพราะว่าร่างกายและจิตใจของเราแท้ๆนี้ ก็คือธรรมะอยู่แล้ว แล้วในที่สุดตายายนี่ ใช้ธรรมะโดยธรรมชาติคือร่างกายและจิตใจนี่แหละ ให้เป็นแดนวิเศษ ที่เพิ่มธรรมะที่สูงเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ เพิ่มลงไปในธรรมะเดิมนั่นแหละ ไม่ใช่ไปลงทุนใหม่ คือร่างกายกับจิตใจนี้เป็นทุนธรรมะอยู่แล้ว ทุนมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปยืมทุนมาจากที่ไหนอีก ร่างกายกับจิตใจของเราทุกคนนี่แหละเป็นทุนเดิมแห่งธรรมะอยู่แล้ว เป็นทุนแท้ๆทีเดียว เพียงแต่เรามาเพิ่มกำไรเท่านั้นเอง เพิ่มกำไรกันที่ไหน เพิ่มกำไรด้วยการศึกษาค้นคว้าลงไปเรื่อยๆ ค้นคว้าที่ไหนเล่า ค้นคว้าจากที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานี่เองแหละสัมผัสลงไป คือสัมผัสลงไปในรูปแบบของธรรมะเสีย เสร็จแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกอย่างใหม่ เช่น สมมติว่าถ้าเรารับประทานอาหาร ถ้าเราสัมผัสแบบกินอาหารตามธรรมดาๆ เราก็บอกว่าเออ พอแตะปั๊บ อันนี้อร่อยนะ อันนี้มันเผ็ดไปหน่อย อันนี้มันเค็มไปหน่อย อันนี้มันหวานไปหน่อย อันนี้มันมันไปหน่อย นี่ถ้าแตะแบบนี้เรียกว่าแตะแบบธรรมดาๆ แต่ถ้าแตะเข้าไปอีกแบบหนี่ง พอลิ้นไปสัมผัสอาหาร มีธรรมะอยู่ในดวงใจ พอลิ้นไปสัมผัสไอ้ที่เค็มก็บอก เออ,ไอ้ที่เค็ม ก็แค่ลิ้นนั่นแหละ อ้าว,พอไปแตะที่เปรี้ยว เออ,ไอ้ที่เปรี้ยว มันก็แค่ลิ้นนั่นแหละ พอไปแตะที่มัน เอ้อ,ไอ้ที่มันมันก็แค่ลิ้นนั่นแหละ ในที่สุดมันจบกันที่แค่ลิ้น แล้วเขาก็เลยรับประทานได้อย่างสบาย อิ่มทีเดียวล่ะ ไม่ต้องว่านี่แหม อันนี้อร่อยเอามา มีอีกไหมล่ะ บอกว่าหมดแล้วเสียท่าเลย เลิกแล้วๆ นี่แหละนั่นแหละเป็นทาสเข้าไปทันทีแล้วล่ะ เป็นทาสลิ้นอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ผู้เฒ่าผู้แก่คุณปู่คุณย่าในสมัยก่อนโน้น เขามีความฉลาดเขาอยู่มีอำนาจชนิดที่เด็ดขาด คือเขาสามารถบังคับลิ้นได้ บังคับตาได้ บังคับหูได้ บังคับจมูกได้ บังคับกายได้ บังคับใจได้ ซึ่งยุคปัจจุบันนี้เค้าบอกว่าถ้าบังคับแบบนี้มันไม่เสรีนี่ มันไม่อิสระ มันก็สมน้ำหน้าแล้วแหละที่เงินไม่พอ มันก็สมน้ำหน้าแล้วต้องกู้ชาวต่างประเทศเขามาลงทุน สมัยก่อนโน้นเขาอยู่กันอย่างสบายๆ เพราะเขาสามารถบังคับอายตนะภายใน บังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขาได้ เขาก็เลยอยู่สบาย เขาก็เลยอยู่อย่างอิสระ เขาก็มีความพอดีๆ อยู่ในบ้านของเขา เขาก็มีความพอดีๆ อยู่ในชีวิตของเขา เขาก็เลยมีความสุขเยี่ยงอริยบุคคลในสมัยกาลก่อนโน้น เขาเคยได้รับมาแล้ว หมายความว่า ถ้าเป็นกล้วยก็เป็นกล้วยชนิดที่เรียกว่า หวานอย่างเอร็ดอร่อย หวานชนิดที่เรียกว่าเป็นที่ชื่นใจ ถ้าเป็นผลไม้หรือเป็นส้ม ก็เรียกว่าเป็นส้มชนิดที่หวานที่เขาบอกว่ามันลืมต้นนั่นเอง อย่างกับส้มลางสาดนี่ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายบอกว่า ถ้าเอามาจากต้นใหม่ๆนะ มันยังมีรสเปรี้ยวติดอยู่ที่ลูกของมัน ให้เอาไว้สักคืนสองคืนเสียเถอะ ให้มันลืมต้นเสียก่อน เสร็จแล้วมันจะหวานจริงๆล่ะ เป็นส้มลางสาดแท้ๆ แต่แล้วทำไมมันยังมีความหวานอยู่ในตัวของมันได้ หวานจนกระทั่งว่าไม่มีรสเปรี้ยวเลย ปู่ย่าตายายของเราในสมัยก่อนโน้น ก็เป็นคนหน้าตาอย่างเราๆนี่แหละ แต่ว่าจิตใจนี้ไม่เหมือนอย่างเรา ไม่เหมือนกับคนยุคใหม่บางคนในสมัยนี้ เพราะจิตของเขานี่หวานจริงๆ ทำไมจิตของเขาหวาน ก็เพราะว่าเขาได้โอชะวันวิเศษ อะไรเป็นโอชะเล่า ก็คือเขาบำรุงพระพุทธศาสนา ก็คือธรรมะที่เขาศึกษาอบรมนั่นเอง จิตใจของเขาได้โอชะอย่างใหม่ เลยจิตใจก็เลยหวานจนกระทั่งว่าลืมความเป็นปุถุชน ลืมความเป็นสามัญชน กลายไปเป็นอริยบุคคล คือ บุคคลที่ไม่มีข้าศึก เป็นบุคคลที่ไม่มีความทุกข์อยู่ในบ้าน ของจะสูญจะหายอยู่ในบ้าน เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร หายไปแล้วก็แล้วไป ค่อยหาเอาใหม่เถอะ ใครมากวนเข้าหน่อยก็บอกว่า เออ,มันกรรมของเขาเองแหละ เราอย่าไปตอบมันเลย เราอย่าไปเปื้อนบาปเลย ใครทำก็ได้แก่คนนั้น เพราะฉะนั้นนี่แหละเขาจึงเป็นผู้ที่รู้จักหลบเขาเป็นผู้ที่รู้จักหลีก ลูกหลานสมัยใหม่บางคนไม่ได้ มาใช้ลัทธิตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาว่ามาหนึ่งเราก็ต้องว่าเขาสักสิบ มันจึงจะเก่ง เอ้า,เขามองตาเฉยๆ เรามองเพียงอย่างเดียวไม่พอ มันต้องถลุนตาออกไปด้วย มันจึงจะเก่งกว่า ในที่สุดไม่รู้ใครร้อนใครเย็นกว่ากัน นี่แหละเป็นเรื่องเปรียบเทียบเอาเองเถิด บรรดาท่านผู้ที่ได้มาร่วมบำเพ็ญกุศลอยู่นี้ เรามีธาตุแท้แห่งความเป็นผู้มีธรรมะอยู่ในดวงใจ แต่ที่พูดไปทั้งหมดนี้เพื่อได้สังเกตโลกภายนอกเท่านั้นเอง สำหรับโลกของท่านก็ร่มเย็นอยู่แล้ว แต่เราสังเกตโลกของผู้อื่น เพื่อเราจะได้ทำประโยชน์ต่อเขาด้วย ประโยชน์ส่วนตัวของเรานั้นสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ที่เราศึกษาไปนี้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า จงทำประโยชน์ตนและจงทำประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม ประโยชน์ของเราก็เต็มที่ เวลาเดียวกันก็ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นไปพร้อมๆกันไปด้วยในตัว เพราะว่าเราจะอยู่คนเดียวในโลกนี้ไม่ได้ เหมือนที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกันบำเพ็ญบุญในขณะนี้ ประโยชน์ส่วนตนก็สำเร็จ ปู่ย่าตายายผู้ล่วงลับไปแล้วก็พลอยได้อนุโมนทนาส่วนบุญส่วนกุศล แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นส่วนเหลืออยู่นี้ ก็เหมือนกับว่าน้ำหรือปุ๋ยอันวิเศษ ที่ท่านรดลงไปบนต้นไม้คือประเพณีการทำบุญตายายนี้ ให้ผลิใบใหม่ให้มีดอกให้มีผล ที่คนรุ่นหลังเขาจะได้มาอาศัยร่มเงา เขาจะได้มาดื่มมากินสืบต่อไปในอนาคต เรียกว่าส่วนปัจจุบันของท่านก็กำลังทำเต็มเปี่ยม ส่วนอนาคตสำหรับผู้ที่ติดตามมาต่อไป เขาก็ได้อาศัยคุณงามความดีของท่านทั้งหลายทั้งปวงนี้นี่แหละ ที่ได้มาช่วยกันรดได้มาช่วยกันบำรุง ได้มาช่วยกันรักษา ให้บ้านเมืองของเราวันหน้า ได้มีสิ่งที่ดี ได้มีสิ่งที่ดีงาม ได้มีสิ่งที่มองแล้วเย็นตาเย็นใจ ไม่ต้องมีการโฆษณาใดๆทั้งสิ้น พอถึงเดือนสิบแล้วก็มากันเอง โดยจิตโดยใจเต็มเปี่ยม นี่แหละเรียกว่าอิทธิพลของอำนาจบุญกุศล อิทธิพลของบุญประเพณีที่อยู่ในดวงใจ อำนาจแห่งบุญกุศลที่เปตชน ปู่ย่าตายายได้ทำไว้แล้วแต่กาลก่อน ท่านก็ได้ช่วยกันรักษาช่วยกันประคับประคองมาด้วยดี เป็นการเพิ่มให้กำลังแก่พระศาสนา พระศาสนายังอยู่ตราบใด โลกนี้ก็ยังเป็นที่ร่มเย็น เป็นที่อบอุ่นใจอยู่ตราบนั้น เหมือนกับต้นไม้ทุกต้นในสวนโมกข์ กำลังยืนหยัดอยู่ในขณะนี้ ให้ร่มเงาแก่ท่านอย่างสบายฉันใด อันศาสนาทุกศาสนานั้นเป็นร่มเงาแห่งดวงใจชาวโลกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆทั้งสิ้น ก็เพื่อความร่มเย็นใจของศาสนิกนั้นๆ เพื่อให้จิตใจของศาสนิกนั้นๆ เป็นจิตใจที่มีความอิ่ม มีความเต็ม มีความเบิกบาน แล้วก็มีความหวานอยู่ในดวงใจ นี่แหละเรียกว่าท่านทั้งหลาย ได้บำรุงพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ส่วนวัตถุแล้วทั้งในแง่ส่วนนามธรรม คือส่วนการฟังธรรมะหรือเจริญภาวนา เพราะว่าในสมัยกาลก่อนโน้น เขาไม่รู้หนังสือจริง บางท่านบางคนไม่ได้รู้หนังสือ แต่ในจิตใจของเขานี้แน่เหลือเกิน จิตใจของเขาบริสุทธิ์ จิตใจของเขาเต็มเปี่ยมจริงๆ จิตใจของเขารักเพื่อนมนุษย์ จิตใจของเขาไม่มีความเห็นแก่ตัว เรียกว่ามีหลักอนัตตาอยู่ที่ในใจของเขาตลอดเวลา ธรรมะหรือศาสนาแท้ๆ นั้นเป็นหลักชนิดที่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสฝืนโลก มิได้ตรัสใดๆฝืนความรู้สึกทั้งสิ้น ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างหรือทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตา เรื่องเหล่านี้บางคนก็บอกว่า มันเรื่องยากเหลือเกิน มันฝืนธรรมชาติ เราเห็นมาตั้งแต่ต้นเลย มันเป็นตัวเป็นตนทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นตัวเป็นตน เรามีส้มแป้นมันก็เห็นเป็นลูก แต่ถ้าเราปอกออกไปแล้ว ไอ้ส้มแป้นลูกนั้นข้างในมันประกอบด้วยกลีบต่างๆใช่หรือเปล่า จากกลีบเหล่านั้น เราเอาไอ้เยื่อที่มันหุ้มอยู่ข้างนอกออก เสร็จแล้วมันจะถึงสารข้างใน มันประกอบด้วยสารข้างในอีกตั้งแยะ แล้วมันเป็นตัวเป็นตนเมื่อไรเล่า ไอ้สารเม็ดหนึ่งๆ สารเม็ดน้อยๆ นั่นแหละ เรามาขยี้เถอะ มันเป็นตัวเป็นตนซะเมื่อไร มันเป็นน้ำล้วนๆ อีกนั่นแหละ ไอ้ส้มลางสาด เรามองเห็นเป็นลูกหรือเป็นช่อ เรามันก็บอกว่านี่เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตน มันก็เปล่าอีกนั่นแหละ พอส้มลางสาด เราก็เอาเปลือกออก มันก็เป็นกลีบๆ อยู่ข้างใน มันเป็นชิ้นๆๆ ในที่สุดไอ้ชิ้นเหล่านั้นแหละมันเป็นตัวเป็นตนถาวรเมื่อไรเล่า มันเป็นของเหลวๆ อีกนั่นแหละ มันก็หมดอีกนั่นแหละ แล้วในที่สุดลองคิดดูเถอะว่า อาหารเมื่อก่อนนั้น ข้าวมันมีอยู่หนึ่งหม้อหรือหนึ่งปิ่นโต ถ้ามันเป็นตัวตนถาวรแท้ๆ ไอ้ข้าวในปิ่นโตนั้นมันก็ต้องเป็นข้าวอยู่เต็มปิ่นโตนั้นแหละ ไอ้แต่แล้วในที่สุดเราก็ค่อยช้อนเข้าไป ช้อนเข้าไป แล้วมันหายไปไหน อัตตาของข้าวมันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ มันหายเข้าไปในปากเสียแล้ว ไอ้ตอนเข้าไปอยู่ในปากแล้วมันเป็นเมล็ดอยู่เมื่อไรอีก มันก็เคี้ยวไปเรื่อย เคี้ยวไปเรื่อย นั่นแหละ กำลังเป็นอนัตตาอยู่แล้วแหละ มันเป็นอนัตตาอยู่จริงๆ แล้วถ้าหากว่า มันเป็นข้าวดิบ นั่นแหละมันยังไม่ทิ้งความเป็นอัตตาเดิม ใครๆก็ไม่ชอบถ้าข้าวมันดิบ เพราะมันยังเป็นอัตตาอยู่ ต้องให้ข้าวมันสุกเรียบร้อย ไอ้ชอบข้าวสุกนั่นแหละคือชอบความเป็นอนัตตาแล้วล่ะ มันอยู่ในชีวิตจริงๆ เป็นของที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ของเช่นนี้มันอยู่ที่เราทุกคนนี่เอง อยู่ในร่างกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี่แหละ เราสามารถสัมผัสได้ ศึกษาได้ ปู่ย่าตายายในสมัยก่อนโน้น เขาจับอะไร เขาก็มาแปลธาตเป็นธรรมะเสีย เขาจึงได้ใกล้ชิดกับธรรมะ เขาจึงอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าไม่ฟุ้ง ไม่ต้องมาโต้เถียงกันจนถึงว่า น้ำลายเป็นฟองอะไรใดๆทั้งสิ้น คนนั้นว่าอย่างนี้คนนี้ว่าอย่างโน้น สำนักนั้นว่าอย่างนั้นสำนักนี้ว่าอย่างนี้ ในที่สุดเถียงกันไปเถียงกันมาในที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีธรรมะเลย มีแต่เรื่องของอารมณ์ทั้งสิ้น แต่ในสมัยก่อนโน้น เป็นลักษณะที่เรียกว่า ธรรมะอยู่ในดวงใจ ธรรมะอยู่ในจิตในใจ เขาสัมผัสไปในแง่แห่งธรรมะทั้งหลาย เขาจึงได้รักษาพระศาสนาเรื่อยมาตามลำดับ
วันนี้บุญอันมิใช่น้อย ท่านทั้งหลายก็ได้ทำแล้วอย่างเต็มที่ เป็นบุญทั้งแก่ท่านในขณะนี้ แล้วบุญนี้ท่านก็จะได้อุทิศไปให้แก่เปตชนที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านอยู่ในฐานะเป็นผู้มีพระคุณ ท่านอยู่ในฐานะผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใดๆ ก็ถือว่าเป็นญาติของเรา ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงไม่มีใครในโลกนี้จึงไม่เป็นญาติ ที่สวนโมกข์นี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ จึงถือเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกไม่ว่าจะมาจากออสเตรเลียซึ่งอยู่ทางซีกโลกใต้ ไม่ว่าจะมาจากประเทศแคนาดาซึ่งอยู่ทางซีกโลกเหนือ แต่แล้วในที่สุดพอมาถึงสวนโมกข์นี้ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ท่านก็ให้ความเมตตาเท่าเทียมกัน ดังนั้นภาพในโรงหนังทั้งปวงก็ดี เป็นภาพเพื่อมวลชนทั้งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างกิจการในสวนโมกข์นี้ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ ท่านรับใช้องค์พระตถาคต คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ว่า เราชาวโลกทั้งมวลนี้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น วันนี้เป็นวันแห่งการทำบุญตายาย ตายายที่ล่วงลับไปแล้วก็ยังมีอยู่ ตายายที่ยังมีชิวิตอยู่ในบัดนี้ก็ยังมีอยู่ ที่ล่วงลับไปแล้วเราก็ทำบุญอุทิศไปให้ ที่ยังอยู่เราก็บูชาคุณงามความดีของท่านเสียให้เต็มที่ ก่อนที่ท่านจะจากไป เรารีบเอาบุญเอากุศลเสียจากท่านเถิด ให้ยิ่งไปกว่าที่เราพลอยเอาทรัพย์มรดกที่ท่านให้ เดี๋ยวคุณปู่คุณย่าอายุเก้าสิบร้อยแล้ว ไม่รู้แกมีของดีอะไรไม่รู้แกรักหลานคนไหนมาก คงให้คนนั้นแหละ อย่ามัวคิดอยู่เรื่องเหล่านี้เลย เรารีบคิดเอาบุญเอากุศลจากท่านเสียเถิด แล้วบุญกุศลนั่นแหละจะได้คุ้มครองป้องกันภัยอันวิเศษให้เราเป็นผู้ผ่านพ้นอันตราย ให้เราเป็นผู้ผ่านพ้นความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง อันเป็นภัยใหญ่ของชาวโลก วันนี้ท่านทั้งหลายได้แสดงออกซึ่งญาติธรรม ท่านได้บูชาบุคคลที่ควรบูชาหรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอย่างโอฬาร การบำรุงพระศาสนาท่านได้ทำแล้วอย่างเต็มที่ บุญมิใช่น้อยท่านก็ได้ขนขวายแล้ว ต่อนี้ไปท่านก็จะได้ร่วมกันบำเพ็ญฟังธรรมซึ่งพระคุณเจ้าจะได้สวดมาติกาบังสกุล อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เปตชนต่อไป การแสดงพระธรรมเทศนามาในพุทธภาษิตที่ว่า โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปปะกันติ เห็นว่าพอสมควรแก่กาลเวลา ขอยุติลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้