แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท เพื่อให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งขึ้นในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จนกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
พระธรรมเทศนาในวันนี้เป็นพระธรรมเทศนาที่ได้จัดขึ้นเนื่องในการบำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บุพการีหรือบรรพชน ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่าวันตายาย ก่อนอื่นจะได้แสดงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบถึงประเพณีการบำเพ็ญกุศลเยี่ยงวันนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไรและเราทั้งหลายได้กระทำให้ถูกต้องตามความประสงค์แห่งการบำเพ็ญกุศลเหล่านี้เป็นประการใด เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพระราชานามว่าพิมพิสาร ผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ ทรงมีความดำริ ทรงดำริว่าก็เมื่อพระผู้มีพระภาคพระบรมศาสดาได้บำเพ็ญกุศลครั้งยิ่งใหญ่ คือได้ไปโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์สวรรค์นั้น พระองค์ได้บำเพ็ญมหากุศลอันยิ่งใหญ่และพระองค์เอง พระเจ้าพิมพิสารก็ใคร่จะบำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บุพการีผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคยังเวฬุวันว่า การที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบำเพ็ญกุศลอันยิ่งใหญ่ คือไปโปรดแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนดาวดึงส์สวรรค์นั้น พระองค์มีพุทธประสงค์เป็นประการใด พระเจ้าพิมพิสารพระองค์เองก็ใคร่จะบำเพ็ญกุศลเยี่ยงกับที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญกุศลนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิธพระราชสมภาร ก็ที่พระองค์ได้ทรงทูลถามดังนี้ เราจะตอบว่าเพราะว่าญาติทั้งหลายเหล่านั้นไม่ หรือว่าพรหมบนสวรรค์ ทั้งเทวดาบนสวรรค์ก็ไม่สามารถจะต้านทานบุญกุศลอันบุคคลได้บำเพ็ญแล้วอย่างนี้ การที่บุคคลได้บำเพ็ญกุศลอุทิศเจาะจงบิดามารดาเป็นต้น มหาบพิธ ครั้นในกาลใดเมื่อถึงเดือน ๑๐ แรมค่ำ ๑ จนถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๔ ค่ำ อันว่าญาติทั้งหลายที่ได้ตายไปสู่ปรโลก ล้วนปรารถนาจะพากันมาเห็นบุตรหลานญาติของตนอันอยู่ในเมืองมนุษย์ อนึ่งว่าญาติทั้งหลายที่ตกนรกหมกไหม้ในนรกขุมน้อยขุมใหญ่ที่ได้ไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรฉาน เปรตอสูรกาย หรือว่าที่ไปเกิดดี เกิดเป็นเทวดาในชั้นฉกามาวจรก็ตาม ล้วนได้มาประชุมกันในวันดังกล่าว คือวันเดือน ๑๐ แรมค่ำ ๑ ถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๔ ค่ำ เพื่อที่จะมาทัศนาการคือเห็นหน้าญาติบุตรหลานของตนอันอยู่ในโลกนี้ ครั้นได้ทราบว่าบุตรหลานของตนได้ประกอบบุญกุศลราศีทั้งหลาย มีการถวายข้าวน้ำและได้ถึงซึ่งพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บำเพ็ญศีลเจริญเมตตาภาวนา ประกอบบุญและกุศลแล้ว ก็มีจิตปราโมทย์ยินดีให้อวยพรแก่ลูกหลานทั้งหลาย ขอให้ได้ไปเกิดดีในชั้นฉกามาวจรด้วย แต่ถ้าหากว่าบุตรหลานของตนไม่ได้สร้างกุศล สร้างแต่อกุศล ทานก็ไม่ได้ให้ ศีลก็มิได้รักษา มิได้เจริญเมตตาภาวนา ไม่ได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ไม่ได้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งดังนี้ หรือว่ามีการประหัตประหารสัตว์ทั้งหลายให้ถึงแก่ชีวิต มีการลักชอบข้าวของ ฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้อื่นมิได้กลัวแก่บาปกรรม กระทำมิฉาอาชีพอันอยากมีประการต่าง ๆ กล่าวมุสาวาท เสพสุราเมรัยและเครื่องดองของเมา เป็นต้น พูดโอหังด้วยโวหาร พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดนินทา พูดเพ้อเจ้อ ไม่เกรงต่อบาปกรรมแล้ว ญาติทั้งหลายอันตายไปสู่ปรโลก คือปู่ย่าตายายของเรานั้น ก็จะถึงซึ่งความทุกข์โศกโทรมมนัสเป็นอันยิ่ง กล่าวคำสาปถึงลูกหลานว่า ขอให้ประสบแต่สรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัย ให้มีโรคภัยทั้งหลายมาเบียดอย่าได้ขาด และการกระทำบาปหยาบช้าสามานย์ถึงปานนี้ ตายไปแล้วขอให้เกิดในนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ครั้นกล่าววาจาดังนี้แล้ว ก็กลับไปยังที่อยู่แห่งตน ๆ ดูก่อนมหาบพิธพระราชสมภาร เปรตทั้งหลายที่มาประชุมกันในสัน ในมนุษยโลก ก็เที่ยวแสวงหาญาติมิตรไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออยากจะได้ทอดทัศนาการบุตรหลานแห่งตน ๆ ครั้นพระผู้มีพระภาคได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสว่าบุคคลจะบำเพ็ญบุญกุศลอุทิศแก่บุพการีชน คือบิดา มารดา ปู่ย่าตายาย เป็นต้นนั้น ก็ขอให้มีจิตโสมนัสยินดี กระทำ สักการะบูชาแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถวายจตุปัจจัยแก่พระอริยะสงฆ์ให้มีศีลศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และให้กรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนกุศลไปยังเปรตและญาติผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ก็จะบังเกิดผลมีประโยชน์ ตายแล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นกามาวจร นี้เป็นเรื่องคร่าว ๆ ที่อาตมาได้นำมาให้ท่านทั้งหลาย ซึ่งตามปกติที่วัดนี้ก็มีการเปิดขยายเสียงให้ได้ฟังอยู่ในวันเช่นวันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายฟังไม่เข้าใจก็มีเนื้อความย่อ ๆ ดังที่อาตมาได้กล่าวมาแล้วนี้
ทีนี้เราก็พอจะจับใจความได้ว่าบรรพชนคือ ปู่ย่าตายายทั้งหลายเหล่านั้นก็มิได้ไปไหน ยังเฝ้าดูการกระทำของบุตรหลานอยู่ ถ้าบุตรหลานดี ประกอบกุศลเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนก็จะได้ไปเกิดดี แต่ถ้าหากว่าบุตรหลานประกอบมิจฉาอาชีพ เป็นคนทุจริต ประกอบอกุศล ก็จะแช่งด่าให้ไปเกิดชั่ว ให้มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนดังนี้ ข้อนี้เราพึงจะเห็นต่อไปได้ว่า ถึงแม้ว่าปู่ย่าตายายมิได้สาปแช่งดังนั้น แต่ถ้าเราเป็นคนทำชั่ว ประกอบมิจฉาชีพ ทุจริต ผิดศีล การกระทำของเรานั้นเองก็จะชักจูงเราไปสู่ทุคคติ วินิบาต นรก ตกนรกในปัจจุบันนี้ และตายไปแล้วก็ยังตกนรกอีก เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบาปอกุศลทั้งหลาย ย่อมส่งผลไปสู่นรกทั้งไม่ปัจจุบันและในอนาคต
นี้มาพิจารณาดูต่อไปว่า เราทั้งหลายซึ่งเป็นทั้งลูกหลาน และเป็นทั้งปู่ย่าตายายซึ่งนั่งอยู่ในสถานที่นี้ ได้ประกอบกิจภาระหน้าที่แห่งตน ๆ ให้สมกับที่เป็นลูกหลานและเป็นปู่ป่าตายายหรือไม่อย่างไร อาตมาจะได้รวบรวมเอามากล่าวเฉพาะซึ่งเป็นปัญหาฝ่ายลูกหลานและฝ่ายปู่ย่าตายาย และปรับทุกข์กันในฐานะที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาทั้งฝ่ายลูกหลานและฝ่ายปู่ย่าตายาย ปัญหาฝ่ายลูกหลานที่เป็นอยู่ในสมัยนี้โดยมากและท่านทั้งหลายก็พอจะมองเห็นว่าปัจจุบันภาวะที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าไม่น่าจะไว้ใจ โลกของเรากำลังวุ่นวาย ประสบกับภัยน้อยใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งนี้เพราะเหตุไร ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าบุคคล ๒ ประเภทที่อยู่ในโลกนี้ ทำโลกนี้ให้วุ่นวาย คือบุคคลที่เป็นลูกหลาน กับบุคคลที่เป็นปู่ย่าตายายนั่นเอง ทำโลกนี้ให้เดือดร้อนระส่ำระสาย หาความสุขไม่ได้ เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่ยิ่งขึ้นทุกวัน ๆ
ทีนี้จะได้มาดูฝ่ายลูกหลานก่อนว่าเพราะเหตุไรลูกหลานจึงเป็นคนไม่เป็นที่พอใจของปู่ย่าตายาย ก็เพราะเหตุว่าข้อที่หนึ่ง เด็กหรือลูกหลานเกิดในตระกูลที่พ่อแม่เป็นคนพาล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตัวเองเกิดมาในตระกูลของพ่อแม่ที่เป็นคนพาล เป็นมิจฉาทิฏฐิ โดยสายเลือดเด็กย่อมได้รับจิตอันเป็นอกุศล มีจิตใจคล้อยไปตามบิดามารดา ปู่ย่าตายายที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทางภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ คือพันธุ์ของบิดามารดาถ่ายทอดให้แก่เด็ก เพราะฉะนั้นเด็กก็เป็นเด็กที่ไม่ดีมาตั้งแต่เล็ก เรียกว่ามีเลือดแห่งคนพาลมาตั้งแต่เกิด นี่นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าบิดามารดาเป็นคนพาล ไม่มีศีล ไม่ได้ให้ทาน เป็นคนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นคนลักขโมย ผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มเครื่องดองของเมา หรือว่าเป็นบิดามารดาที่ประกอบอบายมุข มีการดื่มของเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดดูการเล่น คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการงานแล้ว ลูกหลานที่ออกมาเบื้องหน้าก็ย่อมเป็นลูกหลานที่จะทำอบายมุขมาตั้งแต่แรกเกิดก็เป็นได้ นี้เป็นประการที่หนึ่งสำหรับลูกหลานที่เกิดมาในตระกูลที่พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ประการที่สอง ลูกหลานได้เกิดมาแล้ว บิดามารดาปู่ย่าตายายไม่ได้เอาใจใส่สั่งสอนอบรม ข้อนี้อาจจะเป็นเพราะเหตุว่าบิดามารดาไม่มีเวลาจะสั่งสอนอบรมหรือว่าบิดามารดาเป็นคนไม่ฉลาด ไม่รู้จักการสั่งสอนอบรม เพราะฉะนั้นเด็กเมื่อไม่ได้รับการสั่งสอนอบรม ก็ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ย่อมกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปตามสิ่งที่ตัวเห็นว่าถูก ตัวเห็นว่าชอบ เมื่อไม่ได้รับการศึกษาอบรมจากบิดามารดาปู่ย่าตายาย การที่เด็กจะทำผิดเสียโดยมากย่อมมีมากกว่าที่จะทำถูก นี่เป็นประการที่สอง เกิดมาบิดามารดาปู่ย่าตายายไม่ได้เอาใจใส่สั่งสอนอบรม
ประการที่สาม เด็กเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่จะชักจูงไปในทางชั่วเสียเป็นส่วนมาก ต้องไปคบกับเพื่อนฝูงที่เป็นคนชั่ว เรียกว่าคบคนชั่วเป็นมิตร สิ่งแวดล้อมทั้งหลายเหล่านี้ในปัจจุบันล้วนยั่วยุเด็กไปในทางชั่วแทบทั้งสิ้น การประกอบอบายมุขมีอยู่โดยทั่วไปและดาษดื่น การหลงใหลในวัตถุนิยมคือความพออกพอใจ หลงใหลในรูป ในเสียง ในกลิ่นรสสัมผัส นี้มีมากยิ่งขึ้น ครั้นไปถึงโรงเรียนเล่า ก็เต็มไปด้วยเรื่องที่จะให้หันเหออกไปนอกแนวแห่งธรรมะในทางที่ถูกที่ควร ต้องไปติดยาเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ นี่เพราะว่าสังคมสิ่งแวดล้อมทำให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้แหละที่ได้สร้างขึ้นมาในโลก จะประคับประคองให้เด็กเดินไปในทางเป็นอบายมุขไปเสียตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
นี่นับว่าเป็นปัญหาฝ่ายเด็กที่เกิดมาแล้วเป็นลูกหลานที่ไม่น่าดู ไม่สมกับที่บิดามารดาปู่ย่าตายายต้องการ มีอยู่ ๓ ประการเป็นอย่างน้อย คือ หนึ่งเกิดในตระกูลที่พ่อแม่บิดามารดาปู่ย่าตายายเป็นคนพาล สองเกิดมาแล้วบิดามารดาปู่ย่าตายายไม่ได้เอาใจใส่สั่งสอนอบรม สามเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอบายมุขทั้งเพื่อนฝูง ทั้งสิ่งของเครื่องใช้และการเป็นอยู่ รวมแล้วเรียกว่าในสังคมที่จะชักนำเด็กไปสู่ความชั่ว ความเลว ด้วยประการต่าง ๆ ฝ่ายบิดามารดาปู่ย่าตายายบ้างเล่า หนึ่งเกิดลูกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อันนี้ไม่ใช่เป็นคำหยาบ คือว่าเกิดลูกออกมาโดยมิได้ตั้งใจนี้หมายความว่า เมื่อบิดามารดาอยู่ร่วมกันก็มีลูกออกมา ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีลูกสักคนหนึ่งเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่บริบูรณ์ คือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ บิดามารดาไม่สามารถที่จะเป็นคนดีถึงที่สุด ไม่สามารถที่จะเดินทางไปสู่พระนิพพานให้ถึงที่สุดในชีวิตนี้ ก็ขอมีลูกสักคนหนึ่งเพื่อว่าจะได้อบรมสั่งสอนให้ลูกของตนเป็นคนดีไปตั้งแต่เล็ก และให้ลูกคนนี้ได้เดินทางไปพระนิพพานแทนบิดามารดาซึ่งไม่มีความสามารถจะเดินทางต่อไปได้ และมีความตั้งใจดี มีร่างกายจิตใจที่เหมาะสม รู้สึกอยู่ในใจว่าขอมีลูกสักคนหนึ่งให้เดินทางแทนบิดามารดาปู่ย่าตายายของมันต่อไป ความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่ามีลูกหลานด้วยความรับผิดชอบ มีลูกหลานด้วยเจตนาตั้งใจที่จะมีลูกหลาน ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็เรียกว่ามีลูกหลานโดยไม่เจตนา แต่ลูกหลานก็ออกมา เมื่อลูกหลานออกมาโดยไม่เจตนาอย่างนี้ บิดามารดาก็แสดงว่าไม่มีธรรมะเพียงพอที่จะอบรมลูกหลาน ก็เป็นฝ่ายผิดส่วนผิดของฝ่ายบิดามารดาปู่ย่าตายายที่จะก่อให้เกิดปัญหาต่อไป เมื่อลูกหลานเติบโตขึ้นมา ข้อที่สอง ตัวเองบิดามารดาปู่ย่าตายายนั้นขาดคุณธรรม เช่น ขาดความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตัว เป็นต้น เมื่อขาดความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ลูกหลานที่เกิดมาก็เอาเยี่ยงอย่าง เป็นคนไม่รู้บุญคุณของตนต่อไปด้วย เมื่อไม่มีคุณธรรมก็ทำความชั่วให้เด็กเห็น การสอนที่สำคัญที่สุดนั้นคือการทำตัวอย่างให้ดู การพูด การสอนด้วยวิธีพูด ด้วยวิธีอย่างอื่นนั้น ไม่ดีเท่ากับการทำตัวอย่างให้ดู เรื่องนี้จะเล่าเรื่องสั้น ๆ ให้ฟัง อาตมาได้ไปบิณฑบาตที่สายหนึ่ง สายบิณฑบาตสายหนึ่ง มารดาของเด็ก ๓ คนเขาออกมาใส่บาตรแล้วก็บอกว่าไหว้พระเสียสิลูก ไหว้พระเสียสิลูก เด็ก ๓ คนไม่มีใครยกมือไหว้พระเลย วันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว สวัสดีพระเสียสิลูก เด็กไม่ได้สวัสดีเลย พอวันที่สามอาตมาบอกว่าโยมสวัสดีให้เด็กดูก่อนสิ พอแกสวัสดีให้เด็กดู เด็ก ๓ คนลูกหลานของแกสวัสดีพระพร้อมกันทีเดียว นี้ได้ว่าการสอนที่ดีที่สุดนั้นคือการทำตัวอย่างให้ดู นี้เมื่อบิดามารดาปู่ย่าตายายขาดคุณธรรมไม่มีคุณธรรมเพียงพอ ก็ไปทำความชั่ว ทำอบายมุข เด็กที่เกิดมาก็เอาเยี่ยงอย่างและเป็นการเอาเยี่ยงอย่างที่ได้ผลถึงที่สุด คือการทำตัวอย่างให้ดู ท่านทั้งหลายลองดูว่า ไก่ก็ตาม นกก็ตาม มันไม่ได้สอนให้ลูกหลาน ไม่ได้พูดให้ลูกหลานฟัง แต่มันทำตัวอย่างให้ดู ลูกไก่ ลูกนกก็ทำตามแม่ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อบิดามารดาขาดคุณธรรมก็ไม่รู้จะสั่งสอนบุตรหลานตนอย่างไร เด็กที่ออกมาในภายหลังย่อมเป็นสิ่งแน่นอนว่าจะไม่มีตัวอย่างที่ดู ที่ดีให้เด็กดู กระทำความชั่วให้เด็กดูเข้าทำนองที่ว่าขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็นอยู่ตำตา จนกระทั่งเด็กมันถามว่า ลูกหลานมันถามว่า ก็ทุกอย่างผู้ใหญ่เป็นคนทำทั้งนั้น แล้วทำไมจึงมาบอกห้ามไม่ให้เด็กทำตาม เช่นว่า สถานบางอย่างที่ไม่ควรมี เช่นบ่อนชนไก่ สถานบริการที่ผิดศีลธรรม สถานอบายมุข สถานอาบอบนวดเหล่านี้ เด็กมันก็บอกว่า ก็ผู้ใหญ่เป็นคนทำนี่ ก็ผู้ใหญ่มันทำให้เห็นอยู่ตำตาแล้วจะมาห้ามเด็กได้อย่างไร ไอ้เราเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร นี่ก็เพราะว่าผู้ใหญ่ทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กดู รายการบางอย่าง รายการหนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์วิทยุที่ส่งมานั้นล้วนแต่เป็นรายการที่เพ้อเจ้อเหลวไหล ชักจูงไปในเรื่องอบายมุข ทำจิตใจให้ต่ำทราม และเด็กมันก็ฟัง เด็กมันก็บอกว่าแล้วผู้ใหญ่ส่งวิทยุทำไม ส่งโทรทัศน์ทำไมไอ้เราก็ไม่รู้จะตอบลูกหลานว่าอย่างไร มาไปคุยกับนักเรียนที่จังหวัดสุราษฎรธานี เด็กมันถามว่า ไม่ให้ ทำไมไม่บอกว่าการเสพของมึนเมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสูบของมึนเมา เสพของมึนเมาแล้วเป็นโทษผิดศีล ทีพระสูบบุหรี่ทำไมไม่ห้าม อาตมาก็บอกว่าให้ท่านสูบบ้างเถอะ ท่านก็นิดหน่อย ขอกันนิดหน่อยไม่รู้จะตอบเด็กว่าอย่างไร นี่ก็แสดงว่าเราเป็นปู่ย่าตายายหรือเป็นบรรพบุรุษที่ขาดคุณธรรมอยู่มากเหมือนกัน นี้ข้อที่สาม บิดามารดาไม่มีเวลาที่จะมาอบรมสั่งสอน ก็เพราะเหตุว่ามัวไปหาเอาเวลาไปทำเรื่องทำมาหากินเสียเป็นส่วนมาก เมื่อไปใช้ไปในเรื่องทำมาหากินแล้วยังไม่พอ ได้เงินมาแล้วก็ไปใช้ในเรื่องอบายมุข เมื่อไปทำอบายมุขบ้าง สนใจแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องปากเรื่องท้องบ้าง ก็ไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเรื่องการอบรมสั่งสอนลูก นี้มีอยู่โดยทั่ว ๆไป ยิ่งในสมัยนี้เวลาก็หายาก เพราะว่าเวลานั้นเอาไปใช้ในเรื่องทำมาหากิน หรือไม่ก็เอาไปใช้ในเรื่องอบายมุข ท่านทั้งหลายที่เป็นปู่ย่าตายายบิดามารดาก็ลองสังเกตดูว่าเราเอาเวลาไปใช้ในเรื่องนั้นเสียเป็นส่วนมาก จึงไม่มีเวลาที่จะมาอบรมสั่งสอนลูกหลานของเรา และเป็นเรื่องที่เขาอ้างว่าจำเป็น จำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น
ในเรื่องนี้จะกล่าวต่อไปว่าศาสดาบางศาสดานั้นตรัสว่าชีวิตร่างกายนี่ไม่ได้อยู่เพราะอาหารการกินเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ได้เพราะกระทำ นี้เราคิดว่าชีวิตอยู่ได้เพราะอาหารการกินเพียงอย่างเดียวจึงใช้เวลาทั้งหมดในวันหนึ่ง ๆ เพื่อเรื่องกิน เรื่องการกิน การเที่ยวเตร่ หรืออบายมุขเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดว่าจะกินดีอยู่ดี เสียอย่างไรก็ตามถ้าชีวิตขาดธรรมะแล้วย่อมหาความสุขไม่ได้ แต่ปู่ย่าตายายของเราในสมัยก่อนนั้น เป็นคนมักน้อย สันโดษ มีเชี่ยนหมากสักใบเดียว นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ก็ยังมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส แถมยังพูดธรรมะให้ลูกหลานฟังเสียอีก พวกเราสมัยนี้มีข้าวของเต็มบ้านเต็มเรือน อุตสาห์ไปกู้ อุตสาห์ไปยืม ไปซื้อผ่อนเขามา เอาวางไว้เต็มบ้านไว้โชว์กับแขกที่มา แต่แล้วก็ไปแอบร้องไห้อยู่หลังบ้าน นี้เรียกว่าเราใช้เวลาทั้งหมดเป็นไปในเรื่องของวัตถุ คือเรื่องการกิน การอยู่ รวมกันก็เป็น ๓ ข้อเป็นอย่างน้อย จะมีมากกว่านี้อีกแต่อาตมาจะเอามาสัก ๓ ข้อ อันหนึ่งเกิดลูกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เตรียมพร้อม ไม่พร้อมที่จะมีลูก สองตัวเองขาดคุณธรรม เช่น ขาดความกตัญญู หรือขาดคุณธรรมข้ออื่น ๆ ข้อที่สาม บิดามารดาปู่ย่าตายายไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกหลาน ใช้เวลาทั้งหมดไปในเรื่องการทำมาหากินและอบายมุข เขาว่าถ้าหากว่าให้คนเหล่านี้มีเงินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เดือนละ ๓,๐๐๐ บาทแล้ว เราจะพอในการกินอยู่ ชาวบ้านธรรมดาอย่างนี้ให้มีเงินเดือนเดือนละ ๕,๐๐๐ บาทแล้ว การกินใช้สอยก็จะพอ แล้วปัญหามันจะหมดไป มีคนพูดอย่างนี้ แต่เราคิดดูเถิดว่า อย่าว่า ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือนเลย เดือนละหมื่นหนึ่งก็คงจะไม่พอ ถ้าไปเสียค่าอบายมุข ไปเสียค่าเบอร์เลขสามตัวบ้าง ไปเสียค่าไก่บ้าง ปลากัดบ้าง หรือไปเสียค่าอบายมุขอื่น ๆ ดื่มน้ำเมาบ้างเหล่านี้ ไอ้เงินเดือนเดือนละหมื่นหนึ่งก็ไม่พอ เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่า ถ้าหากว่าเราไม่ให้ความสำคัญเรื่องธรรมะแล้ว เงินเดือนสักกี่หมื่นกี่พันก็ไม่พอ แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะ มีสันโดษ พอใจในความเป็นอยู่ มีอาชีพทำนาทำสวนก็มีความสุขได้ นี้คือขาดไม่มีเวลาที่จะมาอบรมลูกหลาน
ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีที่จะช่วยกันแก้ไข ทั้งฝ่ายเด็กและฝ่ายบิดามารดาปู่ย่าตายาย เอาฝ่ายเด็กก่อนจะต้องสอนให้เด็กรู้จักบุญคุณของทุก ๆ สิ่ง ข้อนี้บิดามารดาปู่ย่าตายายจะต้องถือเป็นหน้าที่ในการสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักบุญคุณของทุก ๆ สิ่ง อย่าว่าแต่บุญคุณของบิดามารดาปู่ย่าตายายเลย แม้แต่วัตถุเครื่องใช้ วัวควายไร่นา สิ่งไม่มีชีวิต ก็สอนให้เด็กรู้จักบุญคุณว่าที่เราได้เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะคนอื่นทำให้ ไม่ใช่เราทำเอง อบรมให้รู้จักบุญคุณบิดามารดาปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ พี่ป้าน้าอา แม้ที่สุดแต่รู้จักบุญคุณของวัวควายว่า วัวควายนี้ช่วยเราทำไร่ เราก็มีเงินไปซื้อหาเสื้อผ้า มีเงินไปซื้อของ นี่เพราะว่าวัวควายไร่นานั้นมีประโยชน์ มีบุญคุณแก่เรา สอนให้ลูกหลานรู้จักบุญคุณของเสื้อผ้ากางเกง รองเท้าที่ใช้ใส่ใช้สวมนี้ว่ามีบุญคุณอย่างไร ให้รู้จักบุญคุณของข้าวปลาอาหารว่าถ้าไม่มีข้าว ไม่มีแม่โพสพ ไม่มีข้าวเราก็อยู่ไม่ได้ เด็กจะกินข้าวเข้าไปนี้ ก็ให้รู้จักบุญคุณของข้าวปลาอาหารเสียก่อน อย่าทำเล่น ๆ จะกินก็กิน จะกินทิ้งกินขว้างเรี่ยราดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ที่สุดจะสอนว่าจะกินทิ้งกินขว้างเรี่ยราด แม่โพสพหนีไปเสียแล้ว ข้าวมันจะลีบหมด เขี่ย ๆ มาเท่าไรเป็นข้าวลีบหมด ไม่มีผล เอามาใช้กินไม่ได้ ให้เด็กรู้จักบุญคุณของข้าวปลาอาหาร ให้รู้จักบุญคุณของวัดวาอาราม จะได้ไม่ต้องมาทำลายของในวัด เป็นต้น สรุปแล้วว่าสอนเด็กให้รู้จักบุญคุณของสิ่งทุกสิ่ง ไม่ว่าจะย่างก้าวไปไหนในทุกอิริยาบถล้วนแต่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งอื่นทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่ว่าบอกลูกบอกหลานว่ามานั่งอยู่ที่นี่ ฝึกอาการเรือลำนี้ (นาทีที่ 30:06) ก็คนอื่นเป็นคนทำให้เรานั่ง เราไม่ได้ทำเอ งอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นข้อนี้จะสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยการให้ลูกหลานรู้จักบุญคุณของทุก ๆ สิ่ง จนกระทั่งบุญคุณของศัตรูว่าศัตรูก็มีบุญคุณ ทำไมจึงกล่าวว่าศัตรูมีบุญคุณ ในพระศาสดาในบางศาสนาท่านตรัสว่าให้รักศัตรูของท่าน เพราะเหตุว่าศัตรูของท่านจะไม่ปิดบังความชั่วของท่านเลย ฉะนั้นศัตรูของเรานั้นจะบอกความจริงว่าเราเป็นคนไม่ดีอย่างไรบ้าง มิตรสหายเสียอีกจะพูดกันแต่ในเรื่องดี ๆ พูดชม พูดป้อยอ จนกระทั่งเหลิง แต่ว่าศัตรูของเรานั้นจะบอกว่าความจริงว่าเราบกพร่องตรงไหนบ้าง เราเป็นคนขี้เกียจ เราเป็นคนขี้เหนียว เราเป็นคนตระหนี่ เราเป็นคนเหลวไหลอย่างไรนี่ศัตรูเป็นคนบอก เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าให้รักศัตรู และให้รู้จักบุญคุณของศัตรูว่าศัตรูมีบุญคุณ ถ้าสอนเด็กให้รู้จักบุญคุณของศัตรูบ้างก็จะดีไม่น้อย ทีนี้เราก็ไปสอนเด็กว่าคนคนนั้นเขาไม่ดีแก่แกนะ แล้วแกก็จงไม่ดีตอบ สอนลูกสอนหลานให้มีศัตรู เด็กเล็ก ๆ ยังไม่รู้จักว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรูก็ดีเสมอกันไปหมดไม่ว่าใคร ทีนี้พอโตขึ้นหน่อยพ่อแม่ก็บอกว่าอย่าไปยุ่งกับบ้านนั้นเชียวนะ บ้านนั้นเขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เอาความไม่ดีของบ้านนั้นบ้านนี้มาเล่าให้ลูกหลานฟัง โตขึ้นก็ขีดวงให้กับลูกหลาน ลูกหลานก็มีศัตรูตั้งแต่เล็ก ๆ นี่ก็เพราะว่าบิดามารดานั้นสอนไม่เป็น ไม่ได้สอนให้เห็นว่าคนที่เขาว่า เขาติ เขานินทาเรานั้นเขามีประโยชน์และมีบุญคุณด้วย นี่เรียกว่าสอนให้ลูกหลานได้รู้จักบุญคุณของทุกสิ่ง แม้ที่สุดของศัตรูคู่เวรซึ่งเราก็ต้องแผ่เมตตากรวดน้ำแผ่ส่วนกุศล ที่เขาบอกว่าอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างนี้ แถวทางกรุงเทพฯ เขาพูดกันมาก อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็คือผู้ที่เป็นศัตรูของเรา
เอาข้อที่สองฝ่ายเด็ก ๆ ก็มุ่งมั่นทำหน้าที่ของเด็กให้สมบูรณ์เพื่อความเจริญแก่ตัวเอง ฉะนั้นหน้าที่ของเด็กก็คือทำหน้าที่ของเด็กนั้นให้ถูกต้องให้สมบูรณ์ เช่นว่า เป็นลูก ก็ทำหน้าที่ลูกให้ถูกต้อง เป็นศิษย์ก็ทำหน้าที่ศิษย์ให้ถูกต้อง เป็นนักเรียนนักศึกษาก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง เป็นพลเมืองของประเทศชาติก็ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง เป็นเพื่อนของเพื่อนก็ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง เมื่อเด็กทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องแล้ว ก็จะมีผลว่าจะเป็นเด็กที่ดี มีประโยชน์แก่ประเทศชาติ นี้ก็เป็นฝ่ายเด็กอีกข้อหนึ่งว่าให้ทำหน้าที่ของตัวของตัวให้ถูกต้อง
ข้อที่สามให้เด็กแสวงหาสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็คือให้รู้จักคบเพื่อนที่ดี ให้รู้จักไปเที่ยวในสถานที่ที่ควรไป หรือว่ารู้จักคบหาสมาคมกับสิ่งที่ดีที่มีประโยชน์ คบหาสมาคมกับบัณฑิตหรือผู้รู้ นี้คือให้เด็กได้รู้จักแสวงหาสิ่งที่มีประโยชน์ด้วยการแนะนำของบิดามารดาปู่ย่าตายายด้วยเหมือนกัน และให้เด็กได้ทราบอยู่เสมอว่าเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เดี๋ยวนี้คนของประเทศชาติไม่ค่อยมีคุณภาพก็เพราะว่าเป็นคน เป็นลูก เป็นเด็กหรือเป็นกำลังของประเทศชาติที่ขาดธรรมะอย่างยิ่งข้อหนึ่ง ก็คือหลงใหลในเรื่องกามอารมณ์และติดยาเสพติดมากขึ้น จนกระทั่งว่าในเรือนจำนี่เขาประกาศว่าคดีเกี่ยวกับยาเสพติดนี่มาเป็นอันดับหนึ่งแล้ว เมื่อก่อนคดีลักทรัพย์ คดีฆ่าคนตายนี่เป็นที่หนึ่ง ที่สอง ยาเสพติดนั้นอยู่ในอันดับสี่ อันดับห้า เดี๋ยวนี้โผล่แซงขึ้นมาอันดับหนึ่ง ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่เป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายนี้จะต้องสังเกตลูกหลานของท่านด้วย ว่ามันจะไปติดเสพ ติดเฮโรอีน หรือว่าไปมั่วสุม กับคนชั่วคนพาลอย่างไรต้องเอาใจใส่ในการคอยติดตามดูด้วย เพราะว่าเราให้แกเกิดมาแล้ว อย่างไรเสียเราก็หนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น แต่เด็กเป็นเด็กที่ดีในวันนี้ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าก็จะได้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดีต่อไปอีก ประเทศชาติของเราก็จะมีคนดี นี้คือให้เด็กรู้จักแสวงหาสิ่งแวดล้อมที่ดีให้รู้จักว่าเราเป็นเด็กในวันนี้ ก็จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า นี้ก็เป็นฝ่ายเด็ก
อีกฝ่ายของปู่ย่าตายายบิดามารดา ก็ให้รู้จักรับผิดชอบในการได้เกิดลูกหลานมา ให้ถือว่าเป็นหน้าที่ต้องรับผิดชอบอย่างยิ่ง ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็แสดงว่าเราขาดธรรมะ ข้อที่สำคัญคือธรรมะที่แปลว่าหน้าที่ แต่บิดามารดาไม่ได้อบรมลูกหลานก็เท่ากับไม่ได้เป็นบิดามารดา อันนี้ท่านทั้งหลายลองฟังดูว่าถ้าเป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ไม่ทำลูกหลานให้เป็นคนดีนี้ก็เท่ากับมิได้เป็นมารดา บิดา ปู่ย่าตายาย เพราะว่าลูกหลานที่ดีมันก็จะดีได้เพราะว่ามีบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ดี เมื่อทั้งสองฝ่ายดี ก็เรียกว่ามีบิดาปู่ย่าตายาย ก็มีสถาบันบิดามารดาปู่ย่าตายายอยู่ในโลก ฉะนั้นต้องรู้จักรับผิดชอบว่าเราเกิดมาเป็นบิดามารดาปู่ย่าตายาย
ข้อที่สองตัวเองต้องพยายามทำตัวอย่างให้ดู ทำตัวอย่างให้ลูกหลานดู นี่เป็นเรื่องฝ่ายปู่ย่าตายาย ทำตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานดู เป็นคนอดกลั้นอดทนให้ลูกหลานดู เป็นคนจริงให้ลูกหลานดู เป็นคนไม่พูดเล่นเหลวไหลให้ลูกหลานดู เป็นคนไม่ใจบาปทำร้ายสัตว์ให้ลูกหลานดู เป็นคนไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดในกาม ไม่พูดเท็จ พูดทำหยาบ ไม่ดื่มเครื่องดองของเมาให้ลูกหลานดู ไม่ทำอบายมุขให้ลูกหลานดู แต่ตรงกันข้ามคอยแนะนำตักเตือนว่ากล่าวในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ นี้เรียกว่าทำตัวอย่างให้ลูกหลานดู
ข้อที่สามบิดามารดาปู่ย่าตายายจะต้องรู้สึกสะดุ้งตกใจกลัวว่า เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะเดือดร้อนเพราะเหตุว่าคนหนุ่มกำลังวุ่นวายอยู่ในโลกเวลานี้ ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่าเหตุที่เกิดเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นมา เกิดเดินขบวนอะไรกันบ้าง ทำลายสถานที่ ขว้างระเบิด ก่อวินาศกรรมอย่างนี้ ก็ล้วนแต่เด็กลูกหลานของเราทั้งนั้น ก็ต้องสะดุ้งตกใจกลัวว่าเพราะเราปล่อยปะละเลย เหตุการณ์จึงเป็นอย่างนี้ ให้สะดุ้งตกใจกลัวว่าว่าเรานี่ผิดไปแล้วในการที่ไม่เอาใจใส่อบรมลูกหลานออกมาเป็นเช่นนี้ ตอนแรก ๆ ก็ยังเฉยอยู่ ต่อไป ๆ ก็เห็นดีไปตามลูกหลานด้วย สำคัญที่สุดก็คือ บิดามารดาปู่ย่าตายายเห็นดีไปกับลูกหลานด้วยการรักด้วยการตามใจไปเสียทุกอย่าง ทำชั่วทำผิดไปลักไปขโมยมา ก็ไม่ว่ากล่าวไม่ตักเตือน หรือว่าไปทำผิดไปทำชั่วมาก็ไม่ว่ากล่าวไม่ตักเตือน นึกว่าเป็นของดี เห็นดีเห็นงามไปด้วย ปล่อยปะละเลยมาจนเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ก็ให้สะดุ้งตกใจกลัว และรีบถือว่าจะต้องทำหน้าที่นี้โดยเร็ว เพื่อความเป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ดีต่อไป
นี้ก็เป็นวิธีแก้ย่อ ๆ บางคนอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ก็ขอให้ไปคิดดู ว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ก็หวังอย่างนี้แหละ หวังว่าลูกหลาน หรือว่าคนที่โตเป็นปู่ย่าตายายซึ่งเป็นลูกหลานของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอีกทีหนึ่งก็จะได้เป็นคนที่ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในธรรม ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แล้วเหตุการณ์ทั้งหลายก็จะปกติทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะฉะนั้นวันตายายปีหนึ่งวันนี้เป็นวันส่งตายายวันสุดท้ายแล้ว ก็มาปรึกษากันว่าฝ่ายที่เป็นลูกหลานจะต้องทำอย่างไร ฝ่ายที่เป็นปู่ย่าตายายเล่าจะต้องทำอย่างไร เพราะว่าท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ คนที่มีอายุพอสมควรแล้วก็เป็นทั้งลูกหลานและเป็นทั้งปู่ย่าตายายบิดามารดาพร้อมกันไปในตัว ก็มาปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไร
อาตมาจะได้สรุปให้ฟังอีกสักทีหนึ่งว่า ปัญหาของฝ่ายลูกหลานนั้น หนึ่งเกิดในตระกูลที่พ่อแม่เป็นคนพาล เป็นมิจฉาทิฏฐิ สองพ่อแม่ไม่ได้เอาใจใส่สั่งสอนอบรม สามมีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีแล้วก็ชักจูงจิตใจไปตามสิ่งแวดล้อม นี้เป็นปัญหาฝ่ายลูกหลาน นี้ปัญหาของฝ่ายบิดามารดาคือ หนึ่งออกลูกหลานมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่พร้อมที่จะมีลูกหลาน สองตัวเองขาดคุณธรรม เช่น ขาดความกตัญญูและทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กดู และไม่รู้ว่าจะสั่งสอนอบรมลูกหลานอย่างไร และข้อที่สามไม่มีเวลา คือไปสนใจเรื่องอื่น เรื่องทำมาหากิน เรื่องอบายมุขเสีย นี้ก็มาถึงวิธีแก้ว่า หนึ่งเด็ก ๆ ต้องรู้จักบุญคุณของทุก ๆ สิ่ง สองต้องมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์เพื่อความเจริญของตัวเองและประเทศชาติและความเจริญของโลกในที่สุด และด้วยการแสวงหาสิ่งแวดล้อมที่ดี และเด็กต้องมีอุดมคติว่าเราจะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และจะเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ของเราทั้งหลาย วิธีแก้ฝ่ายบิดามารดาก็ให้รู้จักรับผิดชอบว่าตัวเองต้องหนีภาระหน้าที่รับผิดชอบในความเป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายไปไม่พ้น สองตัวเองต้องทำตัวอย่างที่ดีให้เด็กดู และข้อที่สามให้สะดุ้งตกใจกลัวว่าโลกกำลังจะฉิบหายวุ่นวายเพราะความที่เราปล่อยปะละเลย แม้เราจะยอมให้มันมากไปกว่าอีกนี้ไม่ได้แล้ว ก็รีบ ๆดึงกลับมาเสีย อย่ามัวโทษคนโน้นโทษคนนี้ โทษรัฐบาล โทษครูบาอาจารย์อยู่ ที่จริงที่ออกมาจากสังคมส่วนเล็ก คือครอบครัวนั่นแหละ เรามาพร้อมกันที่นี่ในวันนี้ก็มาปรึกษาตกลงกันว่าจะหยุดความวินาศหรือความวุ่นวายในโลกนี้ได้อย่างไร ด้วยการกระทำเป็นสังเขปดังที่อาตมาได้กล่าวมาพอเป็นตัวอย่างนี้
ฉะนั้นในวันนี้ซึ่งเรียกวันส่งตายายนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการกระทำให้ถูกใจตายาย แล้วตายายก็จะให้พรให้อยู่เย็นเป็นสุข ที่จริงถ้าเราทำดี มีธรรมะแล้ว ถึงไม่ให้ปู่ย่าตายายให้พร มันก็เป็นพรอยู่ในตัวของมันนั่นเอง เพราะคำว่าพรก็แปลว่าประเสริฐ คำว่าพรหรือคำว่าพระนี้แปลว่าประเสริฐ ถ้าใครทำดี มันก็ดีที่คนนั้นไม่ต้องรอให้คนอื่นให้พร ถ้าทำชั่ว มันก็ชั่วที่คนนั้น ไม่ต้องรอให้คนอื่นให้พร นี้ที่พระให้พรเหล่านี้เป็นต้นพระก็อนุโมทนาว่าทำดีแล้วแม้ที่สุดแก่การมาทำบุญในวันนี้ พระก็ให้พร คือเห็นว่าเป็นการควรแก่การอนุโมทนาแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่จะมาปรึกษากันในวันส่งตายาย และขอให้ไปทดสอบดูว่าตายายพอใจมากน้อยอย่างไรในการกระทำของลูกหลานและปู่ย่าตายายของเราในวันนี้ ว่าปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วนั้นจะพอใจหรือไม่อย่างไร แต่ถ้าใครยังจะต้องไปส่งตายายที่วัดอื่นอีก ก็ขอให้ทำให้ดียิ่งขึ้นว่าใน ๗ วันนี้ตายายจะพอใจยิ่งขึ้น ด้วยการทำหน้าที่ของตน ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็จะเป็นลูกหลานที่ดีของตายายมีความสุข มีความเจริญ ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์เพราะพระพุทธศาสนา พระธรรมเทศนาที่ได้รับประทานวิสัชนามาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาจึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้