แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ ติธัมโม สักกัจจัง โสตัพโพติ
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการบำเพ็ญทักษิณานุปทานกิจ อุทิศแด่บูรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นประเพณีประจำปีของพุทธบริษัท จะทำกันสืบมา การกระทำชนิดนี้ เป็นการกระทำที่ดีที่มีประโยชน์ ถูกต้องตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะมองกันในแง่ธรรมดาสามัญของคนทั่วไป หรือว่าจะมองกันในแง่ของพระศาสนาก็ตาม ย่อมเป็นความถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น แม้ว่าจะมองกันในแง่ของบุคคลผู้มีเหตุผล อย่างนักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ถ้าเขาไม่โง่เกินไปแล้วก็จะมองเห็นว่า นี้ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ข้อนี้หมายความว่า มนุษย์เราจะเป็นอยู่ก็ต้องมีจิตใจ สิ่งที่เรียกว่าจิตใจเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมนุษย์เรา ถ้าจิตใจมันดี สิ่งต่าง ๆ ก็เป็นไปดี ถ้าสิ่งจิตมันไม่ดี สิ่งต่าง ๆ ก็เป็นไปไม่ดี
การบำเพ็ญบุญเช่นที่กระทำกันในวันนี้ ความมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็ต้องการให้มีจิตใจดี คือเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีนั่นเอง แต่ที่นี้มามองกันแต่ด้านนอกหรือข้างนอก คือ การกระทำตามประเพณีมองดูคล้าย ๆ กับว่าเป็นความงมงาย คือเป็นการกระทำที่งมงาย อย่างในวันนี้เป็นการทำบุญให้บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วที่เรียกว่า ตายาย ถ้ามองเพียงเท่านี้ก็ยังไม่กระไรนัก แต่ถ้าจะมองไปในแง่ที่ขยายความออกไปตามประเพณี ก็ยังมีต่อไปว่า วันนี้เป็นวันที่ตายายมา ลูกหลานมาต้อนรับมาแสดงตัวที่นี่ให้ตายายเห็นว่า ลูกหลานยังเป็นคนดี เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ จะให้ตายายให้พรมีความสุขมีความเจริญต่อไป นี้มันก็ลึกเกินไปที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ว่า มันมีความหมายอย่างไร เพราะว่ามันเป็นเรื่องของศีลธรรมและศาสนา เรื่องของศีลธรรมและศาสนานั้นมีความมุ่งหมายที่จะให้เป็นอุบาย ที่ให้คนประกอบความดี มันจะเป็นอุบายอย่างไรก็ตามใจ ถ้ามันเป็นเครื่องช่วยให้คนทำความดีแล้ว ก็เรียกว่าใช้ได้
ดังนั้นการที่จะพูดว่า วันนี้เป็นวันที่ตายายมาเยี่ยมลูกหลาน ลูกหลานต้องมาประชุมกันพร้อมหน้าบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อบูชาคุณของตายาย อย่างนี้มันก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร เพราะว่าเป็นอุบายหรือเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทำความดี ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนโดยทั่วไปนั้น ต้องยอมรับสารภาพกันเสียทีเถิดว่า เป็นคนโง่ อย่าได้ละอายเลยที่ใครจะหาว่าเราโง่ แม้เราก็จะต้องพูดว่า คนโดยทั่วไปหรือส่วนมากนั้น ยังโง่อยู่ เพราะฉะนั้นแหละ จะต้องมีอุบายหรือการกระทำอันใดอันหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องบีบบังคับให้คนเราทำความดี พอสมกันกับความโง่ ถ้ามันยังมีความโง่มาก อุบายนั้นก็ต้องดำเนินออกไปมาก ในทางที่จะเห็นว่า เป็นที่เข้าใจไม่ได้สำหรับคนที่มีปัญญา แต่ที่จริงคนมีปัญญายิ่งจะเข้าใจได้ ว่านี้มันเป็นเพียงอุบาย
ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมีความพอใจในการที่จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันนี้เอาไว้ เพื่อตัวเองก็ตาม เพื่อลูกหลานที่จะมาในอนาคตก็ตาม เพราะว่าประเพณีนี้มันเป็นเครื่องย้อมจิตใจให้คนยังมีความกตัญญูกตเวทีอยู่ อุบายอย่างใดที่จะทำให้มีจิตใจดีก็พึงกระทำเถิด แต่อย่ากระทำอย่างงมงายมากเกินไป แม้ว่าเอากระดูกตายายมาบังสุกุลนี้ มันก็เป็นอุบายซึ่งทำให้ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ นึกถึงปู่ย่าตายายด้วยความกตัญญูกตเวที แต่การที่จะเชื่อไปตามตัวหนังสือหรือคำพูดไปทุกคำพูดนั้น มันค่อนข้างจะงมงาย แต่ถ้าหากตั้งใจทำด้วยความรู้สึกที่เป็นกตัญญูกตเวทีแล้ว แม้งมงายมันก็ยังมีประโยชน์ งมงายในทางที่จะปฏิบัติศีลธรรมให้เคร่งครัดนี้ ยังดีกว่าคนฉลาดที่จะทะลุศีลธรรมออกไปเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลส
ลองคิดดูเถิดจะเห็นว่าคนที่ตกอำนาจ ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสในสมัยนี้ซึ่งมีเต็มไปหมดนั้นก็คือ คือคนทะลุขอบเขตของศีลธรรม เห็นว่าเรื่องของศีลธรรมตามวัดตามวานี้ เป็นเรื่องของคนโง่ ตัวเองเป็นคนฉลาดแล้วก็ทำอะไรตามใจตัวตามเหตุผลของตัว จึงได้ทำอย่างนั้นแล้วบ้านเมืองมันก็ยุ่งยากลำบาก เดือดร้อนกันไปทั้งโลกก็เพราะคนจำพวกพวกนี้เอง คือคนที่ทะลุขอบเขตของศีลธรรมที่ดี ไม่อยู่ในขนบธรรมประเพณีที่ดี มีจิตใจเป็นอิสระเพราะว่าเป็นคนบ้าเป็นคนหลงเป็นคนมัวเมาในเสรีภาพ เขาไม่รู้ว่า เสรีภาพนั้นเป็นเสรีภาพของกิเลส ไม่ใช่เสรีภาพของมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีต้องยอมเสียเสรีภาพ เพื่อจะอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม จะยอมให้ศีลธรรมบีบบังคับเราเพื่อปฏิบัติตามศีลธรรม เรายอมเสียเสรีภาพ อย่างนี้แหละ เป็นมนุษย์ที่ดี และมีหนทางที่จะอยู่กันเป็นผาสุก ถ้าต่างคนต่างมีเสรีภาพตามอำนาจของกิเลสแล้ว ก็ย่อมจะมีแต่เบียดเบียนกัน เพราะว่าใคร ๆ ก็โลภเป็นโกรธเป็นด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อมีเสรีภาพในการที่จะทำอะไรตามใจของกิเลสแล้ว ก็จะมีแต่ความโลภความโกรธความหลงเต็มไปหมด จึงเบียดเบียนตนเองเบียดเบียนผู้อื่น นี่แหละผลที่จะได้สำหรับคนที่มีเสรีภาพตามทำนองของกิเลสชนิดนี้ แล้วคนเดี๋ยวนี้ส่วนมากก็เป็นอย่างนี้ จึงได้ว่า จึงได้กล่าวว่าคนส่วนมากก็ยังโง่ แม้ว่าจะอ้างตัวเป็นผู้มีการเจริญ ความเจริญก้าวหน้าด้วยการศึกษาเล่าเรียน การทำสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ มันก็ยังโง่ในส่วนนี้ คือยังโง่ในส่วนที่จะทำตนให้มีความผาสุก
การประดิษฐ์อะไรขึ้นมาได้อย่างแปลก ๆ นี้ ก็ยังไม่ทำให้มนุษย์มีความสุข พูดกันตรง ๆ ว่าอย่างสมัยนี้ ทำระเบิดปรมาณูได้ ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์มีความสุข ทำจรวดออกไปนอกโลกได้ ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์มีความสุข ไปเหยียบพระจันทร์อวดคนเล่นโก้ ๆ ได้ มันก็ยังไม่ทำให้มนุษย์มีความสุข หรือว่าจะจนปัญญาอยู่เพียง อยู่เพียงเท่านี้ในเวลานี้ แม้ต่อไปจะทำได้มากไปกว่านี้ก็ยังไม่ได้ทำให้มนุษย์มีความสุข แล้วจะเรียกว่าคนมีปัญญาหรือคนโง่ ลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้าว่าสามารถทำให้ทุกคนมีความเป็นอยู่อย่างผาสุกได้ นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ทำบ้านทำเรือนไม่ต้องทำประตูไม่ต้องทำรั้ว อย่างนี้จะเรียกว่าคนฉลาดหรือคนโง่ ลองคิดดูอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า ความดีหรือผลของความดี มันอยู่ที่ความสุขจริง มีความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องมีความหวาดกลัวไม่ต้องมีความเดือดร้อน อยู่กันเป็นผาสุกเหมือนปู่ย่าตายายในยุคโบราณนั่นแหละ จะเป็นความดีกว่าหรือฉลาดกว่า เพราะอย่างไร อย่างไร ก็ยังมีความสุข ไม่มีความร้อนอกร้อนใจเหมือนนรกเผาอยู่ข้างใน เหมือนคนสมัยนี้
เพราะฉะนั้นขอให้เราทุกคนระลึกนึกถึงปู่ย่าตายายกันให้มากเป็นพิเศษในข้อนี้เถิด ว่าปู่ย่าตายายเป็นผู้มั่นคงในพระศาสนา เป็นผู้ประกอบไปด้วยธรรมะ เห็นแก่ธรรมะยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ ซึ่งเห็นแต่ปากแต่ท้อง แต่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มันต่างกันอยู่อย่างนี้เสมอไป ยิ่งเดินไปไกลเท่าไรในทางนี้แล้ว มันก็ยิ่งทำโลกนี้ให้เป็นเมืองนรกมากขึ้นเท่านั้น และถ้าย้อนกลับไปมีธรรมะกันให้จริง ๆ เหมือนสมัยปู่ย่าตายายแล้ว ก็จะเป็นโลกที่มีความสงบเย็นมากขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นเรามานึกถึงตายายกันในข้อนี้ ในวันนี้ สำหรับการทำบุญให้ตายาย ไม่เพียงแต่เอากระดูกมาบังสุกุล ไม่เพียงแต่เอาอาหารมาเลี้ยงพระ นั่นมันเป็นเรื่องข้างนอกเป็นการกระทำทางกาย
ทีนี้สำหรับทางใจนั้น จะต้องระลึกนึกถึงให้มากเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าจะกตัญญูเฉย ๆ กตัญญูนั้นต้องทำอะไรลงไปด้วย จึงจะเป็นกตเวที เรากตัญญูต่อปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว ก็ต้องทำอะไรลงไปสักอย่างหนึ่ง อาตมาเห็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ กระทำให้ตรงตามที่ปู่ย่าตายายต้องการนั่นเอง แล้วในที่สุดปู่ย่าตายายก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ลูกหลานประพฤติธรรม จงจำไว้เพียงคำเดียวว่า ปู่ย่าตายายไม่ต้องการอะไร นอกจากต้องการให้ลูกหลานประพฤติธรรม ความดี ความงาม ความสุจริต ความจริง ความถูกต้อง เพื่อให้ทั้งหมดเหล่านี้เขาเรียกว่า ธรรม ต้องการให้ลูกหลานประพฤติธรรมเท่านั้นเอง ตายายไม่ได้เอาเปรียบเรา ไม่ต้องการจะรีด รีดไถอะไรจากเรา แต่กลับต้องการแต่เพียงว่า ขอให้ลูกหลานประพฤติธรรม เพราะว่าตายายเป็นคนรักเรา เมตตาเราโดยแท้จริง ส่วนลูกหลานนั่นแหละระวังให้ดี อย่าได้เข้าใจผิดในข้อนี้ แล้วก็รีบทำให้ตรงตามความประสงค์ของตายาย ว่าขอให้ลูกหลานอยู่กันด้วยความเจริญ ๆ เป็นสุข ๆ เถิด ทีนี้จะมีความสุขมีความเจริญได้อย่างไร มันก็ต้องประพฤติให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะนอนภาวนาเอาว่า ให้มีความสุขความเจริญ แล้วมันจะเจริญได้ มันต้องกระทำต่อไปถึงใน ในสิ่งที่ควรกระทำ คือความประพฤติให้ถูกต้องนั่นเอง
ทีนี้ก็มาถึงพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่อาจจะนำมาวิสัชนาและช่วยได้ในเรื่องนี้ คือการทำให้ดีให้มีความสุขมีความเจริญ ดังหัวข้อพระพุทธภาษิตที่ยกขึ้นไว้ข้างต้นว่า
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
อัตตาหิ อัตตโน คะติ ตนแลเป็นคติของตน
เพียงสองประโยคเท่านี้ก็พอ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน ตนนั่นแหละเป็นคติอุทาหรณ์ของตน ตนเป็นที่พึ่งของตน หมายความว่าจะต้องกระทำตน ให้เป็นที่พึ่งของตน แล้วคนอื่นจะมาช่วยเป็นที่พึ่งนั้น ยังไม่มีหวัง ที่ว่าตนนั่นแหละ เป็นคติของตน ก็หมายความว่า อย่าไปเชื่องมงายไปตามคนอื่นเลย จงเอาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วแก่ตน ปรากฏมาแล้วแก่ตนนั่นแหละ เป็นคติเป็นอุทาหรณ์ว่ามันเป็นอย่างไร เขาพูดอย่างไรก็พูดไป เราก็ฟังไว้แต่ถ้าจะเชื่อจริง ๆ นั้น มันต้องประจักษ์แก่ใจของตนเสียก่อน ตนเคยประสบมาแล้ว มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลงมาแล้ว ก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า มันเป็นไฟ และเมื่อรู้ได้อย่างนี้ ก็เรียกว่า นี่แหละตนเป็นคติของตน มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับตน แล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องเรื่อยไป นี้เรียกว่า ตนเป็นคติของตน ขอให้ทุกคนมีตนเป็นคติของตน แล้วตนก็จะสามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้โดยแน่นอน
ทีนี้ก็จะได้พิจารณากันต่อไปถึงข้อที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งของตนก่อน ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่ทั่ว ๆ ไปว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง นับถือพระธรรมเป็นที่พึ่ง นับถือพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ร้องตะโกนโหวก ๆ อยู่เมื่อตะกี้นี้เอง ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เป็นต้น มันก็มีความหมายไปในทำนองที่ว่า พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ แต่แล้วพระพุทธเจ้ากลับตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน นี่มันขัดกันหรือว่ามันจะเข้ากันได้อย่างไร ทีหนึ่งพูดว่า พึ่งพระพุทธเจ้า ทีหนึ่งพูดว่า พึ่งตนเองอย่างนี้มันขัดกันหรือว่ามันเข้ากันได้อย่างไร แม้ว่าเรื่องนี้จะได้เคยพูดกันมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่ายังมีอีกมากคน ที่ยังไม่เข้าใจ จึงต้องพูดกันใหม่เรื่อย ๆ ไปกว่าจะเข้าใจ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งของตนนั้นถูกต้องเสมอ ไม่มีทางที่จะผิดได้ แต่ที่เราจะพึ่งพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งของเราก็เป็นของถูกต้องเหมือนกัน แล้วมันก็ผิดไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ยังเป็นคนโง่ เพราะว่าคิดอะไรก็คิดไปอย่างงมงาย พูดอะไรก็พูดไปอย่างงมงาย ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนั้น ที่ว่าเราพึ่งพระพุทธเจ้านั้น เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ ถ้าเราว่าเอาแต่ปาก ก็ไม่เป็นที่พึ่งอะไรได้ เราต้องปฏิบัติลงไปจริง ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอน จึงจะเกิดที่พึ่งขึ้นมาได้
ที่นี้จะกล่าวอีกทางหนึ่ง คือจะแสดงให้เห็นว่า ที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนั้น ก็หมายความว่า ต้องทำตนให้เป็นพระพุทธเจ้า จึงจะเป็นที่พึ่งแก่ตน ทำตนให้เป็นพระพุทธเจ้า หมายความว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติ แล้วต้องมีคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ในตน จนกระทั่งจิตใจของตน เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้า นี่แหละเรียกว่า ทำให้มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในตน หรือว่าทำตนให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ตนที่เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาชนิดนี้แหละ จะเป็นที่พึ่งแก่ตนโดยไม่ต้องสงสัยเลย เราสามารถทำตนให้เป็นพระพุทธเจ้า ก็หมายความว่า เราต้องปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้า คือการละโลภะ โทสะ โมหะ หรือกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ให้มีจิตใจสะอาด มีจิตใจสว่าง มีจิตใจสงบเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้า เมื่อเราทำอย่างนั้น ตนก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็กลายเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ ตนก็มีที่พึ่งแก่ตนได้ด้วยเหตุนี้
ทีนี้ลองพิจารณาดูว่า เรากำลังทำอยู่อย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าเรากำลังเป็นคนโกหกตลบแตลง ปากว่านับถือพระพุทธเจ้า แต่จิตใจนั้นไม่รู้ไม่ชี้ ไปนับถือประโยชน์ไปนับถือเงิน ไปนับถือความสนุกสนานเอร็ดอร่อย ความสำมะเลเทเมาต่าง ๆ นานา บางคนจะบูชาขวดเหล้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียด้วยซ้ำไป ชวนไปกินเหล้ากับชวนไปหาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็จะเลือกเอาข้างฝ่ายไปกินเหล้า อย่างนี้จะเรียกว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง หรือว่าเป็นที่เคารพนับถือได้อย่างไรกัน นั่นแหละคือข้อที่นับถือพระพุทธเจ้าแต่ปาก ส่วนจิตใจไม่ได้นับถือจริง ๆ มันเห็นได้ทันทีอยู่แล้วว่า เรายังไม่จริง เพราะฉะนั้นก็แก้ไขให้มันจริง ให้นับถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ ถึงขนาดที่ว่าทำจิตใจของเรา ให้เหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าเท่าที่เราจะทำได้ เรารู้ว่าจิตใจของพระพุทธเจ้าคือความสะอาด คือความสว่าง คือความสงบ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ไม่ทำให้เกิดความสะอาด สว่าง สงบแล้วก็อย่าไปทำมันเข้า จงพยายามทำแต่สิ่งที่ทำให้จิตใจสะอาด สว่าง สงบ ถ้าเราทำได้เท่าไร เราก็มีพระพุทธเจ้าในจิตใจของเราเท่านั้น ถ้าเราทำให้ได้มาก ก็มีพระพุทธเจ้ามาก พอที่จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้จริง ขอให้ทุกคนสนใจ ในการที่จะทำจิตใจของตนให้มีความสะอาด สว่าง สงบเถิด พระพุทธเจ้าก็จะมีขึ้นในตน แล้วเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ด้วยเหตุนี้
เราไม่ต้องลำเอียง เราคำนึงคำนวณเอาก็ได้ โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปู่ย่าตายายของเรานั้น มีจิตใจเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าจิตใจของลูกหลานสมัยนี้ เพราะว่าปู่ย่าตายายสมัยโน้นไม่ต้องการอะไรมาก ไม่ต้องการสนุกสนานสรวลเสเฮฮา สำมะเลเทเมาเหมือนความเจริญสมัยนี้ จึงมีโอกาสที่จะทำจิตใจให้สะอาด สว่าง สงบได้มากกว่า จึงกล่าวได้ว่าอยู่กันเป็นผาสุก เพราะว่าปู่ย่าตายายเหล่านั้น มีจิตใจน้อมเอียงไปเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้า มากกว่าจิตใจของลูกหลานสมัยนี้ พูดตรง ๆ ก็คือว่า ปู่ย่าตายายของเรารู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนได้ ยิ่งกว่าลูกหลานสมัยนี้ เพราะว่าปู่ย่าตายายเหล่านั้น นับถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ ปากว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ก็ไม่ว่าแต่ปาก จิตใจนั้นก็อุทิศให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งหมดทั้งสิ้น คือยินดีที่จะปฏิบัติตามพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่เห็นแก่ความสนุกสนานอะไร ตั้งอกตั้งใจแต่ที่จะปฏิบัติตามคำพระเจ้าเสมอไปดังนี้ มันก็เลยกลายเป็นการทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนอยู่ตลอดเวลา โดยรู้สึกตัวบ้างโดยไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่แล้วตนก็มีที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน
นี่แหละคือข้อที่ว่า การทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนนั้น ไม่ขัดกันกับการที่บุคคลใดจะพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ เพราะว่าการพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์นั้น ต้องปฏิบัติตามพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็มีจิตใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ พระธรรมก็มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ พระสงฆ์ก็มีจิตใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ แล้วเราก็เป็นผู้มีจิตใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ มันก็เลยเหมือนกัน คือมีตนเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในตัวเองแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เป็นที่พึ่งแก่ตนด้วยเหตุนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือคนพึ่งตนนั่นแหละ
การที่ตนจะไม่ประพฤติปฏิบัติอะไร แล้วจะให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยนั้นเป็นไปไม่ได้ คนทั้งโลกเขาก็เชื่อกันว่า เราต้องช่วยตัวเอง พระเจ้าจึงจะช่วยเรา ถ้าเราไม่รู้จักช่วยตัวเองแล้ว พระเจ้าที่ไหนจะมาช่วยเรา แถมจะเกลียดน้ำหน้าเอาด้วยซ้ำไป จะสาปจะแช่งเอาด้วยซ้ำไป ฉะนั้นส่วนใหญ่ส่วนสำคัญมันจึงมีอยู่ที่ว่า ตนจะต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน ตนอย่าทำลายตนเสียเลย ถ้าทำผิดแล้ว ตนนั่นแหละจะเป็นยักษ์เป็นมารให้แก่ตน จะเบียดเบียนย่ำยีตนให้มีความทุกข์ เดือดร้อนเสื่อมเสียไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าทำถูกต้องแล้ว ตนนั่นแหละจะกลายเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา เป็นที่พึ่งให้แก่ตนได้ดังนี้
เมื่อเป็นดังนี้ เราก็ย่อมเห็นได้ว่า ตนนั้นยังเป็นของกลาง กลางอยู่ เราจะทำตนให้เป็นยักษ์เป็นมารก็ได้ เราจะทำตนให้เป็นพระเป็นพระเจ้าก็ได้ แล้วแต่เราจะเลือกเอาอย่างไหน ถ้าเราจะสมัครใจทำตนให้เป็นยักษ์เป็นมารเป็นศัตรูเป็นไพรีแก่ตน ก็ได้เหมือนกัน ลองประพฤติไปในทางบาปในทางอกุศลให้มาก ๆ เข้า ไม่เท่าไรตนก็จะเป็นยักษ์เป็นมารแก่ตน เป็นศัตรูเป็นไพรีแก่ตน ทรมานตนจับตนใส่นรกหมกไหม้ในปัจจุบันทันตาเห็นนี้เอง
แต่ทว่าตน กระทำตนของตนให้เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไป มันก็มีสวรรค์อันแสนจะเป็นสุขที่นี่เอง ไม่มีความทุกข์กับใครเลย นี่แหละคือข้อที่ว่า แล้วแต่ตนจะสร้างตนให้เป็นชนิดไหนขึ้นมา จะสร้างตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนก็ได้ จะสร้างตนให้เป็นศัตรูแก่ตนก็ได้ ระวังให้ดี ๆ อย่าเผลออย่าประมาทกระทำไปอย่างสะเพร่า ๆ ว่ากูอยากจะทำอะไรแล้วกูก็ทำอย่างนั้น แล้วมันก็ถูกหมด ขืนถืออย่างนี้ไม่เท่าไร ตนนั้นแหละจะเป็นยักษ์เป็นมารให้แก่ตน จะทรมานตน จะทำตนให้ลำบาก เพราะว่าตนไม่มีปัญญาพิจารณา มองดูอะไรให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงเสียเลย เพราะเหตุฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสต่อไปว่า อัตตาหิ อัตตโน คะติ ตนนั่นแลเป็นคติของตน หมายความว่าเคยทำผิดทำบาปทำชั่วอย่างไรมาแล้วแต่หนหลัง จงเอามาพิจารณาดูให้เป็นสติสั่งสอนตน ให้เป็นอุทาหรณ์ที่แสดงอยู่เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน อยู่ในใจของตนว่า มันเป็นอย่างไร เมื่อเอาตนมาเป็นคติของตนอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ แล้ว ไม่เท่าไรก็จะละเสียได้ถึงความประมาท จะเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วจะมีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น
ในการที่จะประพฤติปฏิบัติอะไร ๆ ให้ถูกต้องเสมอไปทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เท่าไรก็จะเป็นผู้ที่มีที่พึ่งของตนโดยแน่นอน ข้อนี้มันสำคัญอยู่ที่ว่า จะต้องมีความอดทนกันบ้าง จะทำอะไรให้ได้ผลทันใจในพริบตาเดียวนั้นมันไม่ได้ มันจะต้องอดทนใน ในระยะที่ยาวพอสมควร บุญหรือความดี หรือพระธรรมจึงจะให้ผล ที่แท้นั้นมันก็ให้ผลทันที แต่ว่ายังไม่มองเห็นเป็นเงินเป็นทอง เป็นชิ้นเป็นอันอะไรขึ้นมา เราจะต้องรอไปก่อน จนกว่าจะมีความดีนั้นมากพอแสดงออกมาให้เห็นได้โดยง่าย เพราะว่าโดยที่แท้แล้ว ทำดีมันก็ดีเดี๋ยวนั้น ที่นั่น ทำชั่วมันก็ชั่วแล้วเดี๋ยวนั้น ที่นั่น แต่ว่าเราจะต้องรู้ว่า กว่าที่มันจะให้ผลเป็นรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ตามที่เราต้องการนั้น มันต้องรอเวลากันบ้าง
คิดดูเถอะว่า การที่เราจะทำความชั่วอะไรลงไปนั้น มันก็ต้องกินเวลานาน มันจึงจะมีความชั่วร้ายเกิดขึ้น แต่พอมาทำความดี ปุบปับเดี๋ยวเดียวจะเอาให้ดีอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันก็ต้องกินเวลายาวนานเท่ากันอีก มันจึงจะดีได้ จึงหวังว่าเราทั้งหลายทุกคน จะต้องมีความอดกลั้นอดทนมั่นคงอยู่ในความดีให้ยาวให้นาน จนกว่าจะให้ผลได้ตามที่ต้องการนั่นเอง จึงจะเป็นผู้ได้ชื่อว่า มีตนเป็นคติของตน พูดอีกทีหนึ่งก็ว่า มีตนเป็นอาจารย์ของตน ข้อนี้บางคนก็ยังจะไม่เข้าใจอีกตามเคย เขาเรียกคนนั้นคนนี้ว่าอาจารย์ ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ แต่พระพุทธเจ้ากลับสอนว่า จงมีตนเป็นคติของตน คือ มีตนเป็นอาจารย์ของตน ตนเคยทำผิด มันก็เป็นอาจารย์ให้รู้ว่า อะไรผิด ตนเคยทำถูก มันก็เป็นอาจารย์ ให้รู้ว่าทำอย่างไรถูก ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาจนกว่าจะตาย นี้ก็มีความรู้อะไรมาก ความรู้นี่แหละเป็นอาจารย์ รู้อยู่ด้วยจิตใจ รู้ รู้อยู่แก่ใจของตนเอง มันก็เป็นอาจารย์อยู่ในตัวเอง มีตัวเองเป็นอาจารย์อย่างนี้ แน่นอนที่สุดกว่าที่จะมีคนอื่นเป็นอาจารย์ เราจะมีพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ หรือมีครูบาอาจารย์เป็นอาจารย์ นั้นก็ส่วนหนึ่งต่างหาก เป็นเพียงการเริ่มต้น เป็นการเริ่มมีอาจารย์ที่จะแนะแนวในเบื้องต้น แต่แล้วก็ไปเป็นอาจารย์ตัวเองได้ ด้วยการทำอะไรลงไป มีผลขึ้นมาอย่างไรก็รู้ดี ทำอะไรลงไปอีก มีผลขึ้นมาอย่างไรก็รู้ดี อาจารย์อย่างนี้ไม่ต้องพูดกันด้วยปาก มันสอนกันด้วยใจ ด้วยจิตด้วยใจล้วน ๆ มันจึงรู้ดีกว่าอาจารย์ที่พูด หรือที่สอนกันด้วยปาก นี่แหละคือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ถ้าทุกคนมีตนเป็นที่พึ่งแก่ตน มี มีตนเป็นคติแก่ตนดังนี้แล้ว ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป ไม่ต้องมีใครที่จะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรอีกต่อไปเลย
จึงหวังว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกหลานของตายาย เมื่อมีความประสงค์จะเป็นอยู่ด้วยความผาสุกสงบแล้ว จงประพฤติปฏิบัติให้เหมือนที่ปู่ย่าตายาย เคยประพฤติปฏิบัติมาแล้วเถิด คือการที่มีตนเป็นที่พึ่งแก่ตน การที่มีตนเป็นคติเป็นอุทาหรณ์แก่ตน เวลามันก็ยังมีอยู่พอที่จะทำให้ถูกต้องได้ สมมติว่า เราคนหนึ่งเกิดมา มีอายุจะอยู่ไปได้สัก ๘๐ ปี แต่ทำผิดทำพลาดไปบ้างก็อย่าให้มันเกินครึ่งอายุ คือ ๔๐ ปี จะสำมะเลเทเมาอะไรลงไปบ้าง สัก ๔๐ ปีมันก็มากเกินไปแล้ว เหลืออีก ๔๐ ปีข้างหลังนี้ จงกระทำมันให้ถูกต้อง โดยการที่มีตนเป็นคติของตน แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำที่พึ่งให้ตน แก่ตน ด้วยตนต่อไปเถิด มันยังทันแก่เวลาถมไป เพราะมันยังเหลืออยู่อีกตั้ง ๔๐ ปี ชีวิตนี้มันเป็นครูบาอาจารย์ได้อย่างนี้ อย่าได้ละเลยเสียเลย ทีนี้ถ้าเป็นคนที่มีบุญมาก ก็ไม่ต้องผิดตั้ง ๔๐ ปีแล้วจึงมาถูกในระยะหลัง อาจจะผิดไปเพียง ๙ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปีเป็นอย่างมาก ก็ยังมีเหลืออยู่อีกตั้งหลายสิบปีที่จะเป็นผู้ประพฤติความดีและมีความสุข
นี่แหละ ถ้าว่าเราที่เป็น ท่านตายายในปัจจุบัน จะสอนลูกหลานของเรา ที่จะเกิดมาในอนาคตนั้น ให้มีความรู้สึกอย่างนี้เสียได้ ก็จะเป็นการดีที่สุด จะเป็นการช่วยกันสร้างโลกนี้ให้ดี ให้งาม ให้น่าอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเราจะหลับตาตายไปเสียก่อน คนที่อยู่ข้างหลัง จะต้องมีความสุขเป็นแน่นอน จะได้เป็นการกระทำที่ถูกต้องทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราประพฤติอย่างนี้มันดีที่ว่า สนองคุณตายายที่ตายไปแล้ว แล้วก็รักษาคุ้มครองลูกหลานที่จะมาข้างหน้าให้ปลอดภัยด้วย มันได้บุญทั้งข้างหน้าและข้างหลัง อย่างนี้แล้ว จะเอาอย่างไรกันอีกเล่า มันเป็นผลดี เป็นที่สมตามที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา
ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้คิดในข้อนี้ให้มากว่า เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ปู่ย่าตายายของเราก็เป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา เราก็เกิดมาจากเลือดจากเนื้อของปู่ย่าตายาย ที่เป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา แล้วเราก็ได้รับการสมมติว่าเราก็เป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา เราจะทำอย่างไร จึงจะสมกันกับคำว่าเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เราจงได้ทำอย่างนั้นเถิด
ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะพูดว่า จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด จงเป็นผู้ละเสียซึ่งความผิดพลาดทั้งหลาย แล้วก็ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน ทำตนให้เป็นครูบาอาจารย์ของตน เป็นคติแก่ตน สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปดีโดยแน่นอน พิจารณาดูให้ดีแล้ว ก็พอจะเห็นได้ว่า บัดนี้มันก็พร้อมเพรียงดีแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์ดีแล้ว ความผิดพลาดก็เคยทำแล้ว รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเพิ่มมันเข้าอีก มันก็มากพอแล้วที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ว่าความผิดความพลาดนั้นเป็นอย่างไร แล้วความถูกความต้องมันก็รู้อยู่แล้วว่าคืออย่างไร ก็รีบตั้งอกตั้งใจทำแต่ความถูกต้องให้มันมากขึ้นไป ไม่ต้องรอนานสักเท่าไร ก็จะ ก็จะมีความสุขในทางกระทำ เป็นความสุขในทางจิตใจ ตามธรรมตามวินัยของพระศาสดา ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ได้ด้วยเหตุนั้น แล้วก็มีความปีติปราโมทย์อิ่มอกอิ่มใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ว่ามีความดีพอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ พอยกมือไหว้ตัวเองได้เท่านั้น มันจะสบายใจที่สุด จะมีความสุขที่สุด ไม่เชื่อก็ไปลองดู
ขอให้ไปทำอะไร พอให้มีความอิ่มอกอิ่มใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้เท่านั้น ก็จะมีความสุขที่สุดไม่เชื่อก็ขอให้ไปลองดู จงพยายามให้สุดความสามารถของตน ให้ทำอะไรชนิดที่พอจะยกมือไหว้ตัวเองได้เท่านั้น ก็จะมีความสุขที่สุดมีความพอใจที่สุด นี่แหละเป็นความสมบูรณ์อย่างยิ่งแล้วที่จะเป็นลูกหลานที่ดีของปู่ย่าตายาย แล้วก็จะทำตน เป็นปู่ย่าตายายที่ดีของลูกหลานที่จะมีมาให้อนาคต ถ้าทุกคนทำกันอย่างนี้ เป็นช่วงๆๆๆ ไป ทุก ๆ ช่วงอายุคนแล้ว โลกนี้ก็จะเป็นโลกของพระศรีอารย์โดยไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครเบียดเบียนใคร ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่คนรู้พระธรรมประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ไม่กลัวความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะว่ามีจิตใจอยู่สูงเหนือการบีบคั้นของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือการบรรลุธรรมที่เป็นมรรคผลในพระพุทธศาสนา พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายได้ เพราะมีจิตใจดำรงไว้อย่างถูกต้อง และสูงประเสริฐถึงขนาดนั้น
หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้มีความเข้าอกเข้าใจในข้อนี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกปี แล้วบำเพ็ญบุญสนองคุณตายายด้วย บำเพ็ญบุญเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเองด้วย บำเพ็ญบุญเพื่อเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานที่จะมาในอนาคตกาลได้ด้วย เพื่อสมกับที่การเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาโดยไม่ต้องสงสัยเลย ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
(นาทีที่ 38.20-38.28) ไม่ได้ถอดความญาติโยมสาธุ
ว่านึกดูให้ดี สวดมนต์นะ ฉันจะให้คาถาแปลก ๆ เอ้ย, ไม่ใช่แปลก คาถานี้ก็มีอยู่ในพระบาลีนั่นแหละ แต่ว่าเราไม่เอามาพบกัน
บาลีตอนหนึ่งว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา แล้วก็ล้อว่า
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
พุทโธ เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
สังโฆ เม สรณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัจเชนะ
โหตุ เม ชะยะมังคะลัง
นี่คาถาดี จำได้หรือ มันจำได้อยู่แล้ว
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ตนแลเป็นคติของตน
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของตนได้
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า มันหลอกกันไม่ใช่หรือ ๆ ทีแรกว่า ที่พึ่งอื่นไม่ เออ, ตนเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครจะเป็นที่พึ่งของตนได้ แล้วขึ้นว่า
พุทโธ เม สรณัง วะรัง
พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา
คาถานี้ดีเอาไปสวดเสียนะ ขึ้น
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
พุทโธ เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
สังโฆ เม สรณัง วะรัง
นี่เถียงแหละ เถียงพระพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไอ้โน้นว่า พึ่งตนแหละ คนอื่นจะเป็นที่พึ่งให้ตนได้หรือ ไอ้นี้เถียงแหละ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งประเสริฐของเรา พระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ที่พึ่งอื่นไม่มี นี่ถ้าไม่เข้าใจแล้วตายเลย เวียนหัว หรือว่าไม่เช่นนั้นก็ปล่อย ๆ ไปตามเรื่อง ไม่ต้องรู้ไม่ต้องชี้ ไม่ต้องเข้าใจอะไร นี่บอกให้เอาไปท่องเสีย คาถานี้ดี ท่องจนเข้าใจนั่นแหละ ท่องไปเรื่อย ท่องกี่ปี กี่ปี จนเข้าใจ ที่ว่า มันไม่ได้ มันไม่ได้ขัดขืนกันเลย
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา โกหินาโถ ปโรสิยา
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ใคร ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ นี่ก็พระพุทธเจ้าว่า ที่นี้เราแหละ เราว่า นี่เราว่าเถียงพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง
พุทโธ เม สรณัง วะรัง
ที่พึ่งอื่นไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา เราเถียงพระพุทธเจ้า สนุกไม่สนุกล่ะพระพุทธเจ้าว่า ถึงเราเถียงว่านี่ สนุกไม่สนุก พระพุทธเจ้าว่า (นาทีที่ 42.05) ฟังไม่ออก พระพุทธเจ้าว่า
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
ทีนี้เราไม่เอา เรา
พุทโธ เม สรณัง อัญญัง
ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง เราเถียงนี่ เราเถียงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ใครเล่าเป็นที่พึ่งของ เออ, ใคร ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแก่ใครได้
ที่นี้เราเถียง นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง เถียงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่านะนี่
อัตตาหิ ว่า 2 ทีอยู่
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ นี้ทีหนึ่ง
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
นี่อีกที พระพุทธเจ้าว่า 2 ทีอยู่ ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ตนเป็นคติแก่ตน ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้
ที่นี่เราเถียง เถียง นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง นี่เราว่าเองนะ นี่ดื้อ คน คนหัวดื้อ เถียงพระพุทธเจ้า ถ้ามัวหัวดื้ออยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะไปถึงไหน
ฉันว่าคาถาดีเว้ย ใคร ใครท่องกันนะ นิดเดียวนี่ อันหนึ่งจำได้อยู่แล้วนี่ ที่แปลมันก็ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา นี่พระพุทธเจ้าว่า
ทีนี้เราว่า นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง สังโฆ เม สรณัง วะรัง แล้วเติมเสริมท้ายว่า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเม ชะยะมังคะลัง เลย
เราพูดจริง เราพูดจริงกันนี่ เราพูดจริงแหละ เราไม่พึ่งใคร พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
เพราะเหตุฉะนั้น ก็ให้เรามีชะยะมังคะลัง คาถา นี่คาถาดีเอาไปท่องกันนะ
หือ, เออ, ทีแรกขึ้นว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
ขึ้นใหม่แล้วว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ แล้วแหละ แล้วก็ โกหินาโถ ปโรสิยา ตอนนี้ที่ว่า ใคร คนอื่นใครเล่าที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตน
นั่นพระพุทธเจ้าว่า ตอนหนึ่ง ตอนนี้พระพุทธเจ้าว่า ทีนี้พอถึงตอนเราว่า นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง เลย
เป็นยังไง ฝั่งนี้เข้าใจ ฟังถูกหรือ คนที่นั่งข้างหลัง เรามันหัวดื้อ เถียงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้ตนพึ่งตน เรา นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง เถียง
แต่ถ้าว่าเราไปเข้า ไปคิดจนเข้าใจเหมือนกับฉันว่า หาเถียงกันไม่ ๆ ถ้าเอาตามตัวหนังสือ เถียงกันตาย ถ้าเอาตามตัวหนังสือ มันเถียงกันอยู่นั้น แต่ถ้าใจความ ความหมายที่ถูกต้อง ก็ไม่เถียงกัน
แล้วทีนี้เราจะพอใจพระพุทธเจ้ามากขึ้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ผูกมัด ไม่ได้มัดมือชก หรือว่า ผูก ผูกขาดอะไร เอาเถอะ บางทีพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถึงตถาคตไม่เกิดขึ้นในโลก สัตว์ก็รู้ธรรมะได้ นี่พระพุทธเจ้าเป็นใจนักเลง เปิดนี่แบบนี้ เราตถาคตพูดก็อย่าเชื่อ ไปคิดดูให้เชื่อตัวเอง
ไอ้เรื่องที่พึ่งนี่แหละ มันลำบาก เพราะว่าทีแรกมันสอนกันมาอย่างหนึ่ง แล้วพอมาข้างปลาย ๆ มันไปอีกอย่างหนึ่ง ทีแรกมันพึ่งพ่อพึ่งแม่พึ่งเจ้าพึ่งนาย พึ่งผีพึ่งเทวดาพึ่งอะไรเรื่อยมา แล้วมาพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ แล้วบทจบของมัน พึ่งตัวเอง นี่มันฟังไม่ถูก
ชาวบ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี สุนทรภู่ ของกลอนสุนทรภู่
ชาวบ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี พึ่งหัวปลวก พึ่งต้นเคียน
ชาวบ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี นั่งไหว้หัวปลวก นั่งไหว้ต้นเคียนอยู่นะ
โน่น ๆ อยู่หัวมุม มันโผล่มา มันล้นราง มันมีรางรอด แต่ลงให้ลงตามท่อ ท่อเล็ก ลงไม่ทัน ล้นราง หรือว่ารางมันจะเกิด (นาทีที่ 49.32-49.37) ฟังไม่ออก น้ำมันมาก หลังคาใหญ่ ท่อเท่านี้ไม่ทันแน่ ต้องทำท่อตรงกลางอีกสักท่อสองท่อ ลงทัน
ที่ว่า นัตถิเม สรณัง อัญญัง พึ่ง พุทธัง สรณัง อย่างนี้นะ บางคนว่า เขาล้อกัน สะตัง สรณัง คัจฉามิ สะตัง สรณัง คัจฉามิ พึ่งอะไรคุณว่า สะตัง สรณัง คัจฉามิ พึ่งอะไร หา,
สะตัง สรณัง คัจฉามิ สตางค์พระ นั่งนับอยู่ไม่ใช่หรือ หือ,
สะตัง สรณัง คัจฉามิ
พระให้ศีลว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แล้วคนนั้นมันได้ยินว่า สะตัง สรณัง คัจฉามิ มันว่า สะตัง สรณัง คัจฉามิ ที่ว่า ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ก็ได้ยินไปว่า สะตัง สรณัง คัจฉามิ ทุกทีเลย ก็เลยถือลัทธิ สะตัง สรณัง คัจฉามิ เหมือนกับยมบาลหูหนวก ฆ่าควายก็ว่าทำสังคายนา ฆ่าควาย ได้ยินว่าทำสังคายนา
โน่นดูซิ ตายายแขวนอยู่ตรงโน้น พวงใหญ่ เงยขึ้นดูบ้าง ไม่เคยเห็นอะไร นั่นน่ะ ตายายแขวนอยู่นั่น ดูสิ ตายายลูกหลานอะไร แขวนไว้พร้อมเลย
เด็กมันคึกนักมันเอา มันทำหลุดเอาไปเสียชิ้นสองชิ้นแล้ว นั่นน่ะ มันดึง มันเล่น แล้วหลุด หายไปชิ้นสองชิ้นแล้ว เลยต้องเอาแขวนสูงไว้ ขืนแขวนไว้ที่เดิม ตกหมด เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ หายไปชิ้นสองชิ้นแล้ว
จะไปแล้วเหรอ เอ้า, สวัสดี สวัสดีทุกคน
เอ้า, ไหว้สิ สวัสดีค่ะ ว่าสิ สวัสดีครับ
(นาทีที่ 52.55) ฟังไม่ออก จำได้แล้วหรือ เอ้า, ไปท่องไปเสีย คาถานี้ดี คาถาแก้หัวดื้อ ท่องให้ทุกวันเลย
อัตตาหิ อัตต โนนาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโ นนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง สังโฆ เม สรณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเม ชะยะมังคะลัง เอาเท่านี้
เท่านี้จำไม่ได้ ไม่ไหวสองสามคำ แล้วได้ยินได้ฟังอยู่ก่อนแล้ว ร้องเป็นเพลงเลย ร้องเป็นเพลงตีป๊อก ๆ เลย
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปะโรสิยา
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ธัมโม เม สรณัง วะรัง
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง สังโฆ เม สรณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเม ชะยะมังคะลัง
มันจะเกิดอายขึ้นมาเอง จะละอายขึ้นมาเอง
เราไม่ค่อยสนใจนี่ ไอ้ที่ว่า จำดีจำเก่ง ต้องสนใจอยู่เรื่อย มันชอบมันสนใจอยู่เรื่อย มันจำเก่งแหละ ถ้าสนใจน้อย แล้วนาน ๆที มันจะจำทันหรือ จำไม่ได้ พอจำได้มาก มันจะดี แล้วมันช่วยกันเอง มันช่วยพยุงกันเอง พอของอะไรใหม่เข้ามา จำได้ทันที เพราะมันคล้ายของเก่า จำได้อยู่แล้ว ถ้าเราจำอะไรได้มาก ๆ สะดวกแบบนี้ พอของอะไรเข้ามาใหม่ จำทันทีเลย เพราะมันคล้ายกับของเก่าอยู่ อยู่มากแล้ว มันมีตัวเปรียบ มีเครื่องเปรียบ จำได้ง่ายทันที
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนนะคำนี้ ฉันไปค้น ค้นดู ไม่เห็นมี
นัตถิ เม สรณัง อัญญัง นี่เราว่า ฝ่าย ๆ ๆ เราว่านี่ สองทีเท่านั้น ซ้ำสองที
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อัตตาหิ อัตตโน คะติ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา
เรามันชอบอย่างนี้ เราไม่ชอบเหมือนพระพุทธเจ้าว่า เราชอบอย่างนี้
เราว่าทุกวันแหละ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ตติยัมปิ
ถูกแล้วแหละ ที่พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ นั้นต้องทำเหมือนกับว่า ให้ตัวเองนั่นแหละเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกทีหนึ่ง ตัวเองก็เป็นที่พึ่งแก่ตนได้ เท่านี้ มีเท่านี้
ความสะอาด สว่าง สงบ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อใดมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เมื่อมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ
ถ้าใครเขาถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ไหนโว้ย ว่าอยู่ที่จิตใจที่สะอาด สว่าง สงบโว้ย เรามีหรือไม่มี เรามีโว้ย
ถ้าฝรั่งถาม สมมติว่าฝรั่งถาม ก็ตอบนี่ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ที่หัวใจที่สะอาด สว่าง สงบ จะว่าอะไร ดูซิ มันจะไล่เรียงว่า อยู่ที่นี่ ที่โน้น ที่นั่น มันจะต้อนให้จนนะ เราไม่จน ว่าอยู่ที่จิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ พระเจ้าก็อยู่ที่นั่นแหละ อยู่แห่งเดียวกันแหละ พระเจ้าของลื้อ กับพระพุทธเจ้าของอั๊ว อยู่แห่งเดียวกันแหละ
ถึงพวกเราถามกันเอง มันก็ต้องรู้จริง ตอบถูกจริง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ว่าอยู่อินเดีย บ้าเหรอ พระพุทธเจ้าอยู่อินเดีย พระพุทธเจ้าว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา มันต้องไปอินเดีย มันก็บ้าพอได้เหมือนกันแหละ แต่ว่าต้องไปอินเดีย หายบ้าเลยไปถึงไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี มันอยู่ที่จิตใจ
รู้จักแต่พระพุทธเจ้า อยู่ที่อินเดีย ไหว้แต่ที่นั่น เราว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทั่วไป วันพระ ๘ ค่ำ อย่ารีบกลับบ้านกันนักแหละ นั่งพูดโกหกตอแหลกันให้มาก ๆ ดีไม่ดี
ว่า อย่ารีบกลับไปบ้านกันเร็วนัก นั่งพูดโกหกตอแหลที่นี้ ให้นานสักนิด ไม่ใช่ คนอยู่ที่บ้านโน้น ไปนั่งพูดโกหกตอแหลกันที่ไหน ไม่เห็นมาบ้านไหนค่ำแล้ว คนที่อยู่บ้าน เอ้า, มานั่งโกหกตอแหลอยู่ที่วัดนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้
คนที่อยู่ที่บ้านโมโหแล้ว ไม่กลับบ้าน มานั่งพูดโกหกตอแหลอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บ่นอย่างนี้แหละ นั่นน่ะคุณก็แก่รักษาแล้ว ไม่เท่าไรก็จะปิดฉากแล้ว จะเป็นห่วงอะไรอีก เวลาไปพูดที่บ้านนะ ไม่ใช่เรื่องโกหกตอแหล พูดที่วัด ที่โรงธรรม ที่ในโบสถ์นี่โกหกตอแหลทั้งนั้น
ว่าอย่างนั้น ไปเล่นไพ่ ไปอะไร ไม่โกหกตอแหล เรื่องจริงทั้งนั้น ไปกินเหล้า ไปกินน้ำหวาน ไปนั่งซุ่มกันเป็นวง ๆ ก็เรื่องจริงทั้งนั้น มันชอบนี่ เอ้า, ถ้ามันชอบก็ว่าจริงแหละ เรื่องอะไรที่มันชอบ ก็ว่าจริงทั้งนั้น
เพราะมันชอบ ถูกอกถูกใจ จริง ๆ ๆ ดี ๆ ๆ เพราะมันชอบนี่ ถ้าไม่ชอบแล้ว บ่นพิรี้พิไร
ปู่ย่าตายายสมัยโน้นอยู่นาน ๆ นะ วันพระ ๘ ค่ำอยู่ที่วัดนาน ๆ นะ ที่นั่งพูดโกหกตอแหล นั่งพูดคุยกัน ไม่กลับบ้านเร็ว หา, ดูซิ มันอย่างนี้แหละ จะได้มีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นเรื่อยเพราะนั่งดูพระมาลัยกันบ้าง เพราะนั่งดูพระธรรมกันบ้าง นั่งคุยพูดกัน ๆ ตอนเย็นถึงจะกลับบ้าน บางทีนอนวัดเลย วันพระ วัน ๘ ค่ำ
มีสมุดภาพปริศนาธรรม พบใหม่อีกชุดหนึ่ง ดี นั่นก็ปู่ย่าตายายทำเหมือนกัน ไม่ใช่ปราบมาร ฆ่ามาร ต้องเอาเขากระต่ายมาทำคันศร เอาหนวดเต่ามาทำสายศร เอานอกบมาทำลูกศร ที่ยิงมา โกหกตอแหลทั้งนั้น ใช่ไหม ไม่ใช่ ถามตาจร ว่าพูดโกหกตอแหลทั้งนั้น ใช่ไหม หา, ให้เอาเขากระต่ายมาทำคันศร ไปหามาที หาเขากระต่ายมาทำคันศรที แล้วหนวดเต่ามาทำสายศร แล้วนอกอมาทำลูกศร ชุดหนึ่ง จะไม่ว่า โกหกตอแหล อย่างไร
พูดที่ว่าเรื่องโกหกตอแหลทั้งนั้น เคยได้ยินหรือโยม เรื่องนี้เคยได้ยินหรือ หา, นั่นแหละ ปู่ย่าตายาย ทำไว้แล้วพูดกันแพร่หลาย อยู่ในสมุดข่อย ไม่เคยเห็น เก็บไว้พิพิธภัณฑ์มี ถ่ายรูปมาทำเป็นสไลด์ฉาย อยู่กลางคืนสิ ฉายดูก็ได้ กลางวันฉายไม่ได้
พระพุทธดาบสอยู่ในถ้ำทอง เลี้ยงคนไว้ ๖ คน ไม่มีตาก็เห็นได้ ไม่มีจมูก ก็รู้จักกลิ่น ไม่มีหูก็ได้ยิน มีกระต่ายอยู่ตัวหนึ่ง มีเขา แล้วก็ชุบเป็นคันศรให้ผู้มีบุญไปปราบมาร ชุบผู้มีบุญก็มาจากโครงกระดูก แล้วคันศรนี่ ให้เอาไปให้พระดาบส ชื่อ ธรรมดาบส พระธรรมดาบสมีลูกศิษย์ ๕คน มีเต่าอยู่ที่ในสระ ข้างกุฏินั่นน่ะ เขาเอาหนวดเต่าไปชุบสายศรให้พระกุมาร ได้คันศรได้สายศรแล้ว เอาไปอีกทีไปหาพระสังฆดาบส ให้ถอดนอกบมาชุบเป็นลูกศรให้ แล้วได้ครบชุด คันศร สายศร ลูกศร แล้วสอนให้ไปยิงแก้วนพสูรย์ ที่ยอดปราสาทของเมืองยักษ์ ยิงจากข้างหน้าให้ถูกข้างหลัง ยิงจากข้างหลังให้ถูกข้างหน้า ทำเป็นหรือ หา, มันโกหกตอแหลทั้งนั้น เรื่องโกหกตอแหลทั้งนั้น ยิงจากข้างหน้าให้ถูกข้างหลัง ยิงจากข้างหลังให้ถูกข้างหน้า ยิงจากข้างซ้ายให้ถูกข้างขวา ไม่ถูกหรอก เรื่องโกหกตอแหลทั้งนั้น ถ้าได้แก้ว ยิง ยิงถูกแก้ว ๙ ดวง ประตูเมืองยักษ์เปิดเอง เปิดเองทันที ยักษ์รู้ว่า ผู้มีบุญมาแล้ว หนีหมดเลย จึงเข้าไปครองเมือง อภิเษกเป็นพระยาจักรที่จะตามฆ่ายักษ์ให้หมด ฆ่ามารให้หมดเลย นี่เรื่องโกหกตอแหล ว่าอย่างนี้ นั่นนะคิดดู
ลูกหลานพูดแต่เรื่องจริง ตายายพูดแต่เรื่องโกหกตอแหล แล้วไม่รู้ใครดีกว่าใคร เขาพูดให้จริง จนจริงที่สุด คนโบราณเห็นว่าเป็นเรื่องโกหกตอแหล พูดนั่นน่ะจริงที่สุดเลย ถูกแล้วจริงที่สุดเลย คุณไม่เข้าใจ ฉันรู้ ให้เอาเรื่องพระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนัตตา สุญญตา สูญ สูญญตา อนัตตานั่นน่ะคือ เขากระต่าย หนวดเต่า เขากบแหละ ให้เอาพระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นมาทำคันศร มาทำสายศร มาทำลูกศร อนัตตาว่าไม่มีตัวตน เขากระต่าย หนวดเต่า นอกบ นั่นคือ อนัตตา ไม่มีตัวตน ต้องเอาอนัตตามา จึงจะคมแหลมพอที่จะฆ่ายักษ์ เขาพูดมันเป็นปริศนา มันถูกมันจริงมันลึกเกิน จนลูกหลานฟังไม่ถูก ไปเที่ยวหาเขากระต่าย หาหนวดเต่ากันจริง มันบ้าเลย
เขาให้เอาอนัตตา อนัตตาไม่ใช่ตน ไม่มีตน นั่นแหละ เอามาทำคันศร สายศร ลูกศร แล้วก็มันฆ่าอวิชชาแหละ จริงไม่จริง หา, เอาอนัตตามามันก็ฆ่าอวิชชา ฆ่ามาร ฆ่าอวิชชา เขาพูดจริง พูดจริงที่สุด เราฟังแล้ว โกหกตอแหลหมด ฟังไม่ถูกนี่ หนวดเต่า อนัตตา นอกบก็อนัตตา เขากระต่ายก็อนัตตา หนวดเต่าเขากระต่ายพูดบอก ปู่ย่าตายายพูดมาก หนวดเต่าเขากระต่าย
อ้าว, มันไม่สนใจกันนี่ มันไม่สนใจกันนี่ คุณคิดดูสิ ไม่เอามาสนใจกัน ที่ไม่ ที่ไม่ ไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยเห็นไม่ค่อยพบ ฉันชอบของที่แปลก ๆ ของที่ไม่แปลกไม่ชอบ แล้วไปเที่ยวคว้าเที่ยวค้นเที่ยวรั้งมันจะได้แปลก ๆ แล้วมา มาตีความแล้วว่าอะไรกันนี่ หมายความอะไรกันนี่ ที่พูดไว้อย่างนี้ หมายความว่าอะไร โอ้, เพราะเหตุใด ปู่ย่าตายายฉลาดกว่าเรามาก
ไม่มีโรงเรียนนักธรรมไม่มีโรงเรียนบาลีอะไร ทำไมฉลาดจัง ปู่ย่าตายาย ไม่ฉลาดจะผูกเรื่องนี้ได้หรือ จะผูกปริศนาธรรมอย่างนี้ได้หรือ นั้นน่ะ มันไม่สนใจนี่ มันไม่สนใจนี่ ไม่ใช่ ไม่เอามาพูดกันนี่ แก่อะไร ไม่เอามาพูดกันเสียเลยนี่
แล้วพระยา พระยาบรมจักร อุปภิเษก เขาต้องกินไข่เหี้ย กินไข่ลิ้น กินไข่ตะกวดนี่ สามไข่ แล้วจะมีฤทธิ์มีเดชมีอะไร เต็มขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่มีลูกศรนี้แล้วนะ มีลูกศร สายศร คันศรชนิดนี้แล้ว ยังจะกินไข่เหี้ยไข่ตะกวดไข่ลิ้น สามนี่เข้าไปถึงจะมีฤทธิ์แรงมากแล้วก็ไปยิงศร พญามารตายหมด
อะไร ไข่เหี้ยไข่ลิ้นไข่ตะกวดนี่ อะไรคืออะไร มันก็ต้องเรื่องบารมี เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา บารมีที่ว่านี่ เหี้ยก็ไม่เคยไข่ ตะกวดก็ไม่เคยไข่ ลิ้นก็ไม่เคยไข่ เพิ่งไข่นี่แหละ เพิ่งไข่คราวนี้ คราวที่ผู้มีบุญมาเกิด ไม่มีกินกันนะ ไม่พูดถึงไข่เป็ดไข่ไก่เลย ไข่เหี้ยไข่ตะกวดไข่ลิ้น
ถ้าสนใจจะดูกันนะ คืนนี้อยู่หัวค่ำกันได้ จะฉายให้ดูก็ได้ คืนนี้ก็ทำพร้อมจะฉายได้ คำบรรยายบันทึกเสียงแล้ว เป็นนิทานยืดยาวแหละ ฉันก็นับว่าค้นพระไตรปิฎกมาก อรรถกถาบ้าง ฎีกาบ้าง แต่ แต่เห็นว่า โอ้, บางอย่างนี่ ปู่ย่าตายายเอามาจากไหนพูด ไม่มีในพระไตรปิฎก แล้วพูดได้ขันมาก แล้วพูดได้ลึกซึ้งมาก
สัตว์ ๘ ตัว ให้นก ๘ ตัวติดอยู่ในใยแมงมุม คุณว่าอะไร หา, อุปมานี้ ก็ไม่เคยพบในพระไตรปิฎก นก ๘ ตัวติดอยู่ในใยแมงมุม มันคร่าวๆ ก็ต้องเดาถูกล่ะว่ามันติดอยู่ในกองทุกข์ในกิเลส แต่ว่า ๘ ตัว บางทีก็ไม่ ไม่รู้แล้วล่ะ เพราะไม่ ไม่แตกฉานในเรื่อง หือ, ไม่ ไม่แตกฉานในเรื่องไอ้ การศึกษา นก ๘ นกติดใยแมงมุม แล้วก็เป็นเหยื่อแมงมุม คือสัตว์ทั้งปวง สัตว์ทั้งปวง
ไม่ยกเว้นสัตว์ไหนหมด ที่ ๘ นกเขานับว่า อบาย พวกอบายสี่ นรก เดรัจฉาน เปรตอสุรกาย นี่มันสี่ สี่พวก ถึงนับมนุษย์อีกหนึ่งพวกเป็นห้า สวรรค์มีสามพวก สวรรค์กามาวจร มีเทวดาสนุกกันนัก เรื่องผัวเรื่องเมียนั่นน่ะ พวกหนึ่งเรื่องเทวดา รูปพรหมพวกหนึ่ง แล้วเทวดาอรูปพรหมอีกพวก สวรรค์มีสามพวก มนุษย์หนึ่งพวก อบายสี่พวก รวมเป็นแปดพวก ก็ยังแปดนก แปด แปดภพ พวกติดอยู่ในอวิชชา ให้เป็นพรหมสูงสุดก็ยังติดอยู่ในอวิชชา ต้องออกไปเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี กว่ามันจะหลุดจากใยแมงมุม เก่งไม่เก่ง หา, ปู่ย่าตายาย เก่งไม่เก่ง
นก ๘ ตัวติดใยแมงมุม โกหกตอแหลทั้งนั้น มันเป็นนกแปดตัวติดใยแมงมุมได้เหรอ นี่ก็มานั่งโกหกตอแหลอยู่ทั้งวัน ๆ วันพระแปดค่ำไม่ได้กลับบ้าน แต่รู้เรื่องนี้
ทำอะไรเหมือนปู่ย่าตายายเถอะ ฉันบูชานับถือ เดี๋ยวคุณรำคาญเอานะ ฉันจะว่าแต่ปู่ย่าตายาย ไม่เกี่ยวกับลูกหลานเลย รำคาญ
ก็เขาไม่คิดเรื่องอื่น ทำมาหากิน ทำไร่ทำนาพอได้กิน แล้วเวลาเหลือเท่าไร มาพูดเรื่องนี้ทั้งนั้น ทำใจยามไหน มีเวลาว่าง มาวัดมาพูดกันแต่เรื่องแบบนี้ ไม่เท่าไรมันก็เก่ง
นักปราชญ์มีสองอย่าง นักปราชญ์ลงนรก หาความทุกข์ เหมือนพวกฝรั่ง นักปราชญ์ลงนรก ไอ้นักปราชญ์ขึ้นจากทุกข์ ดับทุกข์ เหมือน เหมือนปู่ย่าตายาย เป็นนักปราชญ์ที่จะขึ้นจากกองทุกข์ นักปราชญ์ฝรั่งฉลาด ที่จมลงไปในกองทุกข์ ให้มันลึกลงไปอีก ลึกลงไปอีก ๆ จนแก้ไม่ถูก ไม่รู้ทำอะไรกัน ฝรั่ง มีแต่ยุ่ง ๆ ทั้งนั้น ยุ่งมากเข้า มากเข้า ๆ ไม่มีสร่าง นี่นักปราชญ์ฉลาดในกองทุกข์
ไอ้ความฉลาดแบบเฉโก แบบเฉโก ฉลาดทำให้ยุ่ง ฉลาดที่จะเอาเปรียบเขา ฉลาดที่จะมัวเมาในกามคุณนั่น เขาเรียกฉลาดเฉโก ถ้ามีปัญญาจริง ฉลาดจริง ฉลาดในทางที่จะดับกิเลส อันปู่ย่าตายายเขาไม่กลัวตายนี่ มันไม่กลัวตายหมดปัญหา มันรู้จักทำจิตใจ ไม่กลัวตายหมดปัญหา นี่มันกลัวตาย มันกลัวตายมากเกินไป คิดโน่นคิดนี้กลัวตาย จนถึงกับว่าป้องกันล่วงหน้า แล้วไปฆ่าเพื่อนไว้ล่วงหน้าโน่นอย่าให้มาฆ่าเรา เราจะตาย ไปฆ่าเพื่อนไว้ล่วงหน้า แล้วมันก็ไม่ยุ่งหรือ มันไม่ยุ่งจะทนไหวเหรอ มันกลัวตายมาก ถึงกับฆ่าเพื่อนไว้ล่วงหน้า
นี่เรื่องที่มันสร้างขึ้นมา นี่มันยุ่งทั้งนั้น สร้างเรือบิน สร้างรถไฟ สร้างรถยนต์ขึ้นมา นี่มันเรื่องยุ่งทั้งนั้น มันเพิ่มให้ยุ่งมากขึ้น ที่ไม่จำเป็น มันว่าจำเป็นทั้งนั้น ไอ้ที่ไม่จำเป็น ว่าจำเป็นทั้งนั้น ก็อย่าไปไปตามเมืองนอก มันทำเรือบินมาทำไม ก็เราไม่ไป มีธุระอะไร มันบ้า คนมันไป มันไปหาเรื่อง ให้เรื่องมันมาก ให้มันยุ่ง ไปดวงจันทร์ ก็มันเรื่องบ้ามากเข้าไปอีก มันไม่จำเป็นจะต้องไป มันยุ่งตายโหงเลย ดี ๆ สำหรับยุ่ง ปู่ย่าตายายนอนหลับสนิท พวกฝรั่งเป็นโรคเส้นประสาททั้งนั้น ทุกคนเลย
ความเจริญบางอย่าง เหมือนจับปูใส่กระด้ง ดู ๆ เหมือนจับปูใส่กระด้ง มันไปทำให้คนเปลี่ยนแปลงแบบนี้ มันเกิดโรคแบบโน้นขึ้นมา โรคที่ไม่เคยเกิดในโลก เกิดขึ้นมา พวกอุตริเปลี่ยนแปลงการเป็นอยู่ของมนุษย์ สร้างยานี้ขึ้นมาได้ แก้โรคนี้ได้ โรคอื่นมันเป็นปฏิกริยา เกิดขึ้นมาแทนทันทีอีก ไม่สิ้นสุด นี่ทำให้ยุ่งไม่สิ้นสุด
เอ้า, พอดีพอร้าย ตายก็ตาย อยู่ก็อยู่ดีกว่า แล้วมันนอนหลับสนิท ฉันนี่คิดว่า พอแล้วนี่ ตายพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ได้ เย็นใจ ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ได้พูดหลอกคุณ พอแล้วนี่ พอใจเต็มใจตาย พรุ่งนี้ก็ได้มะรืนนี้ก็ได้ ไม่มีปัญหาเลย เรื่องเจ็บเรื่องไข้เรื่องตาย ตาจรยังไม่อยากตาย ฉันรู้ ยัง ยังเอาอีก ยังเป็นห่วง ยังเป็นห่วงอะไรอยู่ ไม่อยากตายก็มีปัญหาแหละ มีปัญหาเรื่อยไป ทรมานใจเรื่อยไป ถ้าเรา เรานึกว่าตายแล้ว สบายเลย นึกว่าตายแล้ว เสร็จแล้ว สบาย
นี่ไม่ได้ นั่นน่ะมัน มันมอง แก่ตัวเกินไป นี่เหมือนกับตายแล้ว ยังกินข้าวได้ ฉันนะไม่ดีกว่าคุณเหรอ อ้าว, ตายแล้วกินข้าวได้ ทำอะไรก็ได้ ทำอะไรใครก็ได้
ตายมาแล้วตั้งแต่แรกเกิด ทำอะไรได้ เดินได้ ทำประโยชน์ได้ เทศน์ก็ได้ ตายแล้ว นั่นมันอีกอย่างหนึ่ง นั่นแหละ เหตุใดปู่ย่าตายายจึงไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวไข้ไม่กลัวอหิวาต์ไม่กลัวอะไร เป็นก็เป็น ตายก็ตายนี่ ก็มันถึงกรรม เขาเรียกว่ามันถึงกรรม ต้องกลัวอะไร ตายก็ตาย ตายกันหมดทั้งโลกแล้ว ถึงกรรม
รีบ ๆ ศึกษาในข้อนี้เสียก่อน ศึกษาอย่าให้หัวใจเป็นทุกข์เสียก่อนเถอะ แล้วค่อยไปนึกถึงคนอื่น นี่มันไปนึกชนิดที่ประโยชน์อะไรก็ไม่รู้ กว้างเกินไป จะเที่ยวทำคนทั้งโลกให้รู้หนังสือยิ่งยุ่งตาย บ้ากันใหญ่ คุณคิดดู รู้หนังสือไม่กี่คน นี่ยังยุ่งพอสมควร ถ้ารู้หนังสือทุกคน มันยุ่งกว่านี้ ความคิดที่มันทะเยอทะยานมีมากกว่านี้
เมื่อไม่รู้หนังสือ ยุคโน้นสบายกว่านี้มาก นอนหลับกว่านี้ แต่เขารู้ธรรมะ นั่นมันยิ่งกว่ารู้หนังสือ ยิ่งกว่าหนังสือคือ ธรรมะ รู้ธรรมะ ไอ้หนังสือนี่มันไม่รู้จริง แต่มันรู้ธรรมะ มันยิ่งกว่ารู้หนังสือ สมัยนี้มันยิ่งรู้หนังสือ มันยิ่งมืดในทางธรรมะ ยิ่งโลภโมโทสันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งอะไรแรงขึ้น เพราะรู้หนังสือแหละ (นาทีที่ 1.20.25) ฟังไม่ออก เห็นแก่ตัวทั้งนั้น นอนไม่หลับ คนสมัยนี้รู้หนังสือนอนไม่หลับ สมัยโน้นไม่รู้หนังสือนอนหลับ
ถึงเรารู้หนังสือ ก็รู้แบบ อย่าให้มันนอนไม่หลับ เรื่องเล็กน้อยรู้หนังสือ ที่จริงฉันก็พูดกำกวมไป สมัยก่อนเขารู้หนังสือกันแหละ แต่ว่าเขาไม่ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือ เขาจำกับปากกับใจ
มาจากไหนกัน มาจากสุราษฏร์หรือ
มาขายของอะไร อ๋อ, นี่ทั้งหมดนี้เหรอ มาขายแฟ้บ โฆษณา ไปทุกบ้าน ๆ ที่นี่ใครจะซื้อบ้างล่ะ
น่าไปเที่ยวให้ทั่ววัด มาแล้วก็ไปเที่ยวให้ทั่ววัด
ไม่ต้องเกรงใจ ไปเที่ยว ใครอยู่นี่ พาไปในตึก คุณโกวิทหรือว่าศักดิ์ พาไปในตึก เดี๋ยวจะไม่มีใครแล้ว ไปซิ ให้พระพาไป เดี๋ยวเขาปิดประตู ต้องไปเปิดประตูให้ มาขายแฟ๊บ ต้องมาเป็นฝูงเทียว ขายด้วยกัน ไหนลองเล่าซิ ไปทุกบ้าน ๆ เลยหรือ
ของบริษัท ที่นี่ขายได้เท่าไร ไชยานี่ขายได้เท่าไร มาโฆษณา ที่จริงใช้กันอยู่แล้ว แฟ้บ ที่นี่ก็มี ใช้มาหลายปีแล้วนะ
มาโฆษณาซ้ำ ให้แพร่หลายให้มั่นคง
เอาหนังมาฉายด้วยหรือ
มาจากไหน จากบ้านดอน มาได้ ถึงฤดูแล้ง เดินเท้าเปล่า มารถไฟหรือ ไปรถไฟ
ทำพิธีใหญ่เหมือนกัน ขายแฟ้บ ไปซิ จะปิดแล้ว
ตาจรรู้จักไหม แฟ้บ หา, ไม่ต้องรู้จัก คุณ คุณไม่ต้องรู้จัก ขายแฟ้บ อะไร ขายผง ผงซักผ้า ขายผงซักผ้า
นี่เมื่อก่อนมันมีที่ไหน ไอ้เรื่อง ๆ เรื่องซักผ้าใหญ่โต ไม่มี เดี๋ยวนี้มีเรื่องซักผ้าอย่างเดียว ใหญ่โต ไม่มีผ้าที่ต้องซักนี่ ปู่ย่าตายายไม่มีผ้าที่ต้องซัก ผ้าห่มก็ไม่มี เสื้อก็ไม่มี นั่นสิ มีผ้าผืนหนึ่งนุ่งแหละ มันไม่ต้องซัก พระเจ้าแผ่นดินยังไม่ใส่เสื้อ สมัยก่อนนะ พระเจ้าแผ่นดินแกนั่งพุงพลุ้ย ไม่ได้ใส่เสื้อไม่ได้ห่มผ้า ทำไมจะต้องซัก เขาขายกันหลาย ๆ เจ้า ต้องแข่งกัน ก็เลยต้อง ต้องมา มาทำให้ชนะเพื่อน มีแฟ้บ มีบรีส มีอะไรก็ไม่รู้หลายอย่าง
ฉันก็เคยใช้เหมือนกัน ที่จริงไม่ต้องใช้ก็ได้ เมื่อก่อนใช้ซักผ้าซักอะไรกันบ่อย ก็ถือเป็นของจำเป็น ไม่มีสบู่ซักผ้านี่จะตาย
เอาเถอะมีเท่านั้นนะ จะไปก็ไปนะ คาถาดีอย่าลืม อันหนึ่งว่า พึ่งตัวเอง ไอ้เราพึ่งคนอื่น พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เอ้า, ไปแล้วนะ เอ้า, ตามสะดวก ไม่เป็นไร จำได้เท่านี้ ก็พอกินคุ้มแล้ว
เดิน โชคดี ไปตรงนั่นก็มีรถผ่านไป