แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะสมควรแก่เวลา ธรรมเทศนาในวันนี้อาศัยพระพุทธภาษิตว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตะโร เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลเป็นทักษิณานุประทานกิจ อุทิศแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว กล่าวคือ บิดามารดาของบิดามารดาของบิดามารดา เป็นลำดับ ลำดับไป กล่าวคือ บรรพบุรุษทั้งหลาย เรียกกันสั้นๆว่า ทำบุญตายาย
ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่แล้ว ในวันเช่นวันนี้ ทุกคนควรจะนึกถึงบรรพบุรุษ เพราะว่าเป็นวันของบรรพบุรุษ ในสมัยนี้ เราจะเห็นได้ว่าทั่วทั้งโลกนี้ เขามีวันสำคัญซึ่งกำหนดไว้ วันหนึ่งๆสำหรับบุคคลคนหนึ่ง หรือเหตุการณ์อันหนึ่ง เรียกว่าวันนั่น วันนี่ทั่วกันไปหมดทั้งโลกทุกชาติทุกภาษา แต่ว่าวันบำเพ็ญบุญเพื่อตายายหรือวันตายายของพุทธบริษัทนี้ มีมาแล้วเป็นตั้งพันกว่าปีเป็นแน่นอน คือมีวันตายายหรือวันบรรพบุรุษนี้ ที่พุทธบริษัทได้กระทำสืบๆกันมาตามแบบของพุทธบริษัท โดยเฉพาะในถิ่นนี้ ก็ต้องกล่าวได้ว่าตั้งพันกว่าปี
การบำเพ็ญกุศลเพื่อบรรพบุรุษนี้เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดทางวัฒนธรรมแก่ประเทศทั้งหลายแถบนี้เป็นส่วนมาก รวมทั้งประเทศไทย พุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน และก็ได้รับมาจากประเทศอินเดีย นอกจากนั้น ยังมีวัฒนธรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คือการบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้นเช่นนี้ นี้เป็นสิ่งที่ทำมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมทั่วไปของชนชาติอินเดีย ท่านพุทธบริษัทได้รับวัฒนธรรมนี้ก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะต้องกระทำ และปรับปรุงการกระทำนั้นให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของพุทธบริษัท เพราะว่าการบำเพ็ญบุญเพื่อบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นก็มี เป็นคำสั่งสอนอยู่ในพุทธศาสนา เช่น เรื่องความกตัญญูกตเวที เป็นต้น ให้บุคคลผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นอนุชนรุ่นหลังนี้ กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ระลึกบ้าง เป็นเครื่องตอบแทนคุณบ้าง แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่าเป็น วัฒนธรรมก็ได้ จะเรียกว่าเป็นจริยธรรมก็ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นศาสนาส่วนหนึ่งก็ได้ พุทธบริษัทจึงกระทำเช่นนี้สืบๆกันมา
ประเทศถิ่นนี้ได้รับพุทธศาสนามาไม่น้อยกว่าพันปี หรือจะได้รับวัฒนธรรมอินเดียก่อนพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป เพราะว่าชาวอินเดียได้มาเกี่ยวข้องกับดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล หรือก่อนพุทธกาลก็เป็นได้ ถ้าว่าชาวอินเดียได้มาเกี่ยวข้องกับถิ่นฐานนี้ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ก็แปลว่าถิ่นฐานนี้ได้มีวัฒนธรรมนี้มาแล้วตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว ถ้าหากว่าชาวอินเดียได้มาเกี่ยวข้องกับดินแดนส่วนนี้ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล มันก็ยิ่งไกลออกไปเป็นสองพันสามพันปี แต่เป็นที่แน่นอนกระจ่างชัดโดยวัตถุหลักฐานต่างๆว่าอย่างน้อยก็พันสองร้อยปีมาแล้ว ที่ดินแดนแถบนี้ได้รับวัฒนธรรมอินเดียรวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย ดังนั้นเราจึงเชื่อกันได้ว่าการบำเพ็ญบุญกุศลในลักษณะเช่นนี้นี้เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้มาตั้งพันสองร้อยกว่าปีแล้วเป็นแน่นอน ขอให้นึกดูเถิดว่าสิ่งซึ่งได้กระทำกันมาตั้งพันกว่าปีนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อย จะต้องนึกดูให้ดีว่ามีความสำคัญอย่างไร เดี๋ยวนี้อย่างน้อยที่สุด ที่ต้องนึกถึงว่าสิ่งใดที่บรรพบุรุษเคยกระทำมา สิ่งนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ควรจะต้องรักษาเอาไว้เสียแล้ว เพราะจึงภาคภูมิใจที่ว่าเราทั้งหลายไม่ใช่เป็นคนล้าหลังในทางวัฒนธรรม เป็นคนที่ได้ก้าวหน้า คือ ได้รับวัฒนธรรมมาแต่เก่าแก่โบราณกาล แล้วก็รักษากันมาได้สืบกระทั่งบัดนี้
ทีนี้ก็จะมาพบปัญหาเข้ากับปัญหาหนึ่ง คือ ปัญหาที่ว่ากระทำกันสืบๆมาอย่างที่มีความงมงายหรือหาไม่นั่นเอง ถ้าได้กระทำกันมาอย่างที่ไม่มีเหตุผล หรือว่าทำอย่างกับหลับตาทำ ง่ายๆหวัดๆพอแล้ว แล้วไปอย่างนี้ก็ต้องเรียกว่า งมงาย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้วย่อมเห็นได้ว่ามีการกระทำอย่างงมงายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะว่าทำพอให้แล้วๆไปนั่นเอง เพื่อที่จะแก้ไขข้อนี้เราควรจะมีความรู้กันให้ถูกต้องว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอะไร ทำไมจึงต้องทำท่านทั้งหลายอาจจะคิดดูได้ตามลำพังตน ตามความรู้สึกสามัญสำนึกของคนทุกคนว่าทำบุญตายายนี้ก็คือ บำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ตายาย ทำไมจึงต้องทำ เพราะว่าตายายเป็นผู้มีบุญคุณแก่เรา ให้กำเนิดเรามาเป็นชั้นๆ เป็นลำดับ เป็นลำดับมา
ทำไมเราจึงต้องทำบุญกุศลให้แก่ผู้มีบุญคุณ ข้อนี้ก็เพราะว่าการรู้บุญคุญของบุคคลผู้มีบุญคุณนั้น เป็นลักษณะของมนุษย์ที่มีความเจริญแล้ว มีความก้าวหน้าแล้ว พ้นจากความเป็นป่าเถื่อนแล้ว ถ้าเราดูที่สัตว์ทั่วๆไป คือ สัตว์เดรัจฉาน ย่อมหาไม่พบว่าการสำนึกในบุญคุณ และกระทำตอบแทนบุญคุณนั้นโดยจำเพาะเจาะจงลงไป มีอยู่แต่ในหมู่มนุษย์เท่านั้น แต่ถึงในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์บางคนก็ยังคล้ายสัตว์เดรัจฉาน ยังไม่รู้บุญคุณของผู้ที่มีบุญคุณ ยังประพฤติตนเป็นคนเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็มี คนอย่างนี้ยังไม่ถึงความเป็นมนุษย์ คือ จิตใจยังต่ำมาก ถ้าจิตใจสูงก็จะต้องรู้บุญคุณของผู้มีพระคุณ รู้หน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำแก่บุคคลผู้มีบุญคุณ
เดี๋ยวนี้เรามาปรารภกันถึงบิดามารดาปู่ย่าตายาย คือ บิดามารดาของบิดามารดา ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป เรียกว่า บิดามารดาของบิดามารดายิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ตามลำดับ เรามีความรู้สึกอย่างไรกันในเรื่องนี้ ที่ว่ามีบุญคุณนั้นก็ทราบแล้ว แต่ว่ามีบุญคุณนั้นเป็นอย่างไร หรือเท่าไร ก็ควรจะรู้ให้ชัด หรือรู้ให้ละเอียดลงไป นี่แหละขอให้ทุกคนนึกถึงพุทธภาษิตที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตะโร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตร การที่ถือว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตรนี้ อาจจะถือกันมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาลคือก่อนพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็ยอมรับข้อนี้ ยอมตรัสอย่างเดียวกัน คำสอนชนิดนี้มีอยู่มากมายหลายข้อด้วยกัน ผู้มีมาแล้วแต่ก่อนพุทธกาลแต่พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองในข้อนั้น พระองค์จึงตรัสอย่างเดียวกัน หรือว่าพระอาจารย์ในชั้นหลังได้ผนวกสิ่งเหล่านี้เข้าไว้ในฐานะเป็นหลักพระพุทธศาสนาก็มี ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่าคำว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตะโร นี้ เป็นหลักสำคัญของพุทธบริษัทที่จะต้องถือไว้ในฐานะเป็นพุทธบริษัทก็ดี หรือฐานะเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ผู้เจริญแล้วก็ดี ย่อมเป็นการสมควรด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้ลองพิจารณาดูกันให้ดีต่อไปว่า ทำไมจึงได้มีคำกล่าวลงไปว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร บิดามารดาเป็นพระพรหม และเป็นพระพรหมของบุตร คนที่ได้รับการศึกษามาบ้างก็พอจะมองเห็นได้เลาๆแล้วว่า มีความหมายอย่างไรกัน สิ่งแรกหรือข้อแรกหรือว่าโดยทั่วๆไปในหมู่คนที่มีความรู้เรื่องพระพรหม ได้ยินได้ฟังเรื่องพระพรหมก็จะนึกขึ้นมาทันทีว่า พระพรหมนี้เป็นผู้สร้างโลก หรือสร้างสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงขึ้นมา ที่ว่าบิดามารดาเป็นพรหม หรือเป็นพระพรหมของบุตรนี้ มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าบิดามารดาเป็นผู้สร้างบุตรขึ้นมา คำว่าบิดามารดาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบิดามารดาชั้นนี้ แต่หมายถึงบิดามารดาทุกชั้น เพราะฉะนั้นจึงหมายถึงบิดามารดาแรก คู่แรกที่สุดก็ได้ ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา อย่างนี้ก็ยังใช้ได้มีความคิดเห็นอย่างนี้ก็ยังใช้ได้ เพราะอาจจะพูดได้สั้นๆว่า บุตรทั้งหลายนี้เกิดมาจากบิดามารดา ถือว่าบิดามารดาเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ชีวิต เป็นผู้ให้กำเนิดนี้เป็นเงื่อนต้นที่สุด หรือจะกล่าวว่า ใครเป็นผู้ให้กำเนิด ผู้นั้นก็ต้องเป็นบิดามารดา และใครเป็นผู้ให้กำเนิด คนนั้นก็เป็นพรหมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นบิดามารดากับคำว่า พรหม จึงเป็นคำเดียวกันโดยความหมาย คือ เป็นผู้สร้างสรรค์สัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
เมื่อเป็นดังนี้ ทุกคนลองคิดดูเถิดว่า บิดามารดานั้นตั้งอยู่ในฐานะเช่นไร มากหรือน้อยเพียงไร สูงหรือต่ำอย่างไร ให้พิจารณาดูให้ดี ให้เห็นได้ว่าบิดามารดานี้เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งหลาย ของบรรดาสรรพสัตว์ แล้วเราจะนึกไปในทำนองไหนกันเล่า ถ้าไม่นึกไปทำนองที่ว่าบิดามารดานี้เป็นบุคคลสูงสุด มีคำกล่าวอย่างอื่นอีกมากมาย เช่นว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดาเป็นอาหุเนยยบุคคลของบุตร นี้ก็คล้ายกัน รองลำดับกันลงมา เป็นอาหุเนยยบุคคลนั้น หมายความว่า เป็นบุคคลสูงสุดของบุตรนั่นเอง
คำว่า พรหม ก็หมายถึง บุคคลสูงสุดอยู่แล้วในฐานะเป็นผู้สร้าง อาหุเนยยะนั้นก็เป็นบุคคลสูงสุด ในฐานะที่ต้องเอาใจใส่ ต้องเคารพ ต้องบูชา หมายความว่า เราจะต้องมีความรู้สึกที่เป็นการเคารพบูชาแก่บิดามารดา จะมองไปในทางไหนก็ล้วนแต่ส่อให้เห็นเป็นอย่างเดียวกันไปหมดว่า
บิดามารดาเป็นบุคคลสูงสุดโดยประการทั้งปวงไม่ว่าจะมองกันในแง่ไหน นับตั้งแต่จะมองกันในแง่แรกที่สุดว่า เป็นผู้สร้างชีวิต เป็นผู้ให้ชีวิตมาแล้วก็เลี้ยงดูมา แล้วก็มีความหมายของความเป็นพรหมนั้นตลอดมา คือ ความเมตตากรุณาซึ่งเป็นลักษณะของพรหมด้วยเหมือนกัน คำว่าพรหมนั้นนอกจากจะเป็นผู้สร้างแล้วยังเป็นผู้เต็มไปด้วยเมตตากรุณา หรือความเมตตากรุณานั่นแหละเป็นเหตุให้สร้างขึ้นมา ถ้าไม่มีเมตตากรุณาก็ไม่สร้างขึ้นมา ฉะนั้นความเมตตากรุณา กับการสร้างก็เป็นอย่างเดียวกัน ผู้ที่เป็นพรหมมีความเมตตากรุณาจึงได้สร้างสัตว์ทั้งหลายขึ้นมาดังนี้
ทีนี้สำหรับความเมตตากรุณานั้น ถ้าเป็นอย่างพรหมก็ต้องเป็นอย่างที่เรียกว่า เมตตากรุณาที่บริสุทธิ์ คือ เมตตากรุณาจริงๆ เหมือนเมตตากรุณาของบิดามารดานั่นเอง ไม่ได้รับจ้างเมตตากรุณา หรือไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องแสดงความเมตตากรุณา แต่ว่าเป็นความรู้สึกอันแท้จริงในจิตในใจของบิดามารดา ในฐานะเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่งทีเดียว คือเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองในจิตคู่กันมากับจิตของสัตว์ที่มีชีวิต และมีการสืบพันธุ์เป็นลูกเป็นหลาน ความเมตตากรุณานี้เป็นความเมตตากรุณาที่สูงสุด ไม่มีเมตตากรุณาอื่นยิ่งไปกว่าแล้ว
ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูให้ดีในข้อนี้ ก็จะมองเห็นความสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้คนไม่มองกันในข้อนี้ คนโตๆอายุมากแล้วก็ไม่มองในข้อนี้ เด็กๆก็พลอยไม่มองในข้อนี้ไปด้วย เด็กๆ จึงไม่มีความรู้สึกเคารพบิดามารดา ไม่เห็นบุญคุณของบิดามารดายิ่งขึ้นทุกที ปัญหายุ่งยากลำบากต่างๆมันก็เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรามากขึ้นทุกที ประเพณีที่จะอบรมลูกหลานให้มีความกตัญญูกตเวทีนี้นับว่าห่างเหินออกไปทุกที
คงจะจำได้ดีด้วยกันทุกคนว่าแต่ก่อนๆในสมัยก่อนๆในสมัยโบราณ หรือเมื่อเราคนโตๆยังเล็กๆกันอยู่นั้น บิดามารดาก็อบรมเรื่องความกตัญญูกตเวทีกันมากกว่าเดี๋ยวนี้ จ้ำจี้จำไชให้เด็กๆมีธรรมะเช่น ความกตัญญูกตเวที เป็นต้นมากกว่าเดี๋ยวนี้ เพราะว่าสมัยนั้นยังเป็นสมัยเหตุที่เคารพนับถือธรรมเนียม ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณกาลมากยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ พูดกันให้ง่ายๆ ก็พูดว่าสอนให้เคารพนับถือคนเฒ่าคนแก่กันมากกว่าสมัยนี้ สมัยนี้ไม่ได้สอนให้เคารพคนเฒ่าคนแก่หรือบิดามารดามากเหมือนสมัยก่อน มองดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า แม้คนแก่ๆเดี๋ยวนี้ก็ไปหลงใหลในเรื่องโลกๆ เสียมากเหมือนกัน เลยไม่ค่อยมีจิตใจไม่ค่อยมีเวลาที่จะสอนเด็กๆในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี แม้แต่ให้เคารพนับถือคนเฒ่าคนแก่ หรือให้รู้บุญคุณของบิดามารดานี้ก็ไม่ค่อยจะได้สอน เรียกว่า บิดามารดา ครูบาอาจารย์ สมัยนี้ไปหลงใหลในอะไรกันเสียมาก จนไม่ได้สอนเด็กให้มีความกตัญญูกตเวที เป็นต้น มากเหมือนสมัยก่อน
ดูให้ดีหรือพูดกันง่ายๆก็ดูเหมือนกับว่าบิดามารดาเองก็ไปมัวงกเงิน ไปหาเงิน ไปหลงใหลในเงิน อย่างหลับหูหลับตาไม่มีเวลาสั่งเสียด้วยเหมือนกัน จึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาสอนลูกสอนหลานในเรื่องความกตัญญูกตเวที เป็นต้น เด็กๆของเราจึงไม่ค่อยเคารพคนเฒ่าคนแก่ เราไม่ค่อยเคารพบิดามารดานั่นเอง ไม่ค่อยเคารพครูบาอาจารย์ด้วย มันก็ค่อยเป็นไปทีละนิด ทีละนิด แต่ทีละนิดนี้ไม่เท่าไรมันก็กลายเป็นมาก ในระยะช่วงเวลาไม่กี่สิบปีมันก็กลายเป็นมากจนเห็นเด็กๆนี้ทะลึ่ง ไม่สุภาพ ไม่อ่อนโยนต่อคนเฒ่าคนแก่เหมือนสมัยโบราณ มันก็สมกันพอดีที่คนเฒ่าคนแก่สมัยนี้ก็ไม่มีอะไรเหมือนคนเฒ่าคนแก่สมัยโบราณอยู่มาก รวมความแล้วก็ว่าหันไปหาลัทธิที่เป็นวัตถุนิยม คือ เอาได้ในทางวัตถุ เอาเงิน เอาทอง เอาข้าว เอาของ อย่างนี้กันเสียมากกว่า
เมื่อคนโตๆผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างนี้แล้ว เด็กๆก็ยิ่งเป็นอย่างนั้นมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกสนใจในทางธรรม ความประพฤติในทางธรรม หรือแม้แต่ในทางวัฒนธรรมก็ยิ่งเสื่อมทรามลงไป ในที่สุดก็กลายเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำทรามลงไป ในที่สุดอีกก็คือ การโกลาหลวุ่นวาย การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การไม่รู้จักบุญคุณของกันและกัน การทำร้ายบิดามารดาของตัวเองในที่สุดดังนี้ นี่แหละคือ โทษของการที่ไม่รักษาวัฒนธรรมที่ดีในการเทิดทูนบิดามารดาซึ่งตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นพรหมของบุตร คนแต่ก่อนได้ทำไว้ดีแล้ว คนสมัยนี้มาละเลย ค่อยๆละเลย ทำการละเลยเรื่อยๆไป จนความเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณีนี้สูญหายไป หรือเกือบจะสูญหายไป หรือมีอยู่ก็เท่าที่มันจำเป็น ไม่ได้มีอยู่โดยนิสัย จิตใจแท้ๆเหมือนแต่กาลก่อนเลย
สำหรับเรื่องความกตัญญูกตเวทีนี้ ได้เคยกล่าวแล้วอย่างมากมายในการแสดงธรรมคราวอื่นที่แล้วๆมาว่า ความกตัญญูกตเวทีนี้เป็นสิ่งสำคัญในโลกนี้ ถึงกับจะช่วยโลกนี้ให้รอดได้ทีเดียว หมายความว่าถ้าทุกคนในโลกเพียงแต่มีความกตัญญูกตเวทีเท่านั้น โลกนี้ก็จะรอดได้จากความทุกข์ทั้งปวง ไปอยู่เย็นเป็นสุขได้ ไม่ต้องพูดถึงธรรมะข้ออื่นๆก็ได้ เอาเพียงธรรมะข้อเดียวว่ามีความกตัญญูกตเวทีต่อกันและกันให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน ให้ตรงไปตรงมา
คนทุกคนที่อยู่ในโลกร่วมโลกกันนี้ มีความผูกพันกันแล้วย่อมมีบุญคุณแก่กันและกันทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงบิดามารดา ทีนี้ถ้าไม่รู้จักคุณของบิดามารดาแล้ว จะมารู้จักคุณของเพื่อนบ้านนั้นยากนักยากหนา ไม่รู้จักคุณของบิดามารดาซึ่งเป็นพระพรหมที่แท้จริงแล้ว จะมารู้จักบุญคุณของวัวของควายอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ นี่แหละคนขี้เมาจึงฆ่าวัวฆ่าควายแกงกินกันสนุกสนานเบิกบานใจไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็เบียดเบียนกัน ถึงขนาดที่จะเบียดเบียนบิดามารดาของตนอย่างที่ไม่น่าจะเป็นได้
ตอนนี้จะต้องพูดให้เข้าใจสักหน่อยว่า คนที่จะชกต่อยบิดามารดา หรือทำร้ายบิดามารดาถึงแก่ชีวิตนั้น เขาเรียกว่าเบียดเบียนบิดามารดาเหมือนกัน แต่ว่าการเบียดเบียนบิดามารดานั้น ยังมีอะไรที่แปลกไปจากนั้น ที่ร้ายกาจไปกว่านั้น กล่าวคือการทำให้บิดามารดามีความร้อนใจ ท่านทั้งหลายทุกคนลองคิดดูเถิดว่า ถ้าเด็กคนไหนไม่เคารพบิดามารดา ไม่เชื่อฟังบิดามารดาแล้ว เด็กคนนั้นจะทำให้บิดามารดาร้อนใจเป็นไฟเผาเหมือนตกนรกทั้งเป็น เหมือนมีนรกสุมอยู่ในอกตลอดเวลา นั่นแหละ คือ การเบียดเบียนบิดามารดาที่แท้จริง ที่เขาเรียกว่า แทนที่จะยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรก ก็กลับจับบิดามารดาใส่ลงไปในนรก คือทำให้บิดามารดาร้อนใจไม่มีที่สิ้นสุดนับตั้งแต่เกิดมา ทำความยากลำบากให้เกิดขึ้น ในการเลี้ยงดู ในการให้การศึกษาเล่าเรียน ในที่สุด สำเร็จการศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ยังเบียดเบียนบิดามารดา ไม่ได้มีการทำอะไรที่ให้บิดามารดาเย็นอกเย็นใจเหมือนกับอาบน้ำ รดน้ำเสียเลย อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นบุตรที่เกิดมาเบียดเบียนบิดามารดา หรือล้างผลาญบิดามารดา เพราะว่าไม่มีการอบรมที่ดี ไม่มีการทำให้รู้สึกความกตัญญูกตเวทีว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตรนั่นเอง
ดังนั้นจึงหวังว่าทุกๆคนจะศึกษาให้เข้าใจในข้อนี้ว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตรอย่างไรกันเสียก่อน แล้วจงรีบสั่งสอนเด็กเล็กๆให้รู้จักความจริงข้อนี้เถิด สิ่งที่ร้ายกาจเลวทรามอยู่นี้จะกลายเป็นสิ่งที่ค่อยๆดีขึ้นมาก็ได้ แต่ว่าข้อสำคัญที่สุดนั้นก็คือ บุตรที่โตๆ บุตรที่โตๆ แล้วมีศรีษะหงอกแล้วนี้แหละ จะต้องเป็นบุตรที่ดีเสียก่อน บุตรที่โตแล้ว อายุมากอย่างนี้แล้วนี่แหละ จะต้องเป็นบุตรที่ดีต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วนู้นกันเสียก่อน แล้วจึงจะมีบุตรหลานที่ดีต่อไปข้างหน้าได้ คือว่าบุตรที่อายุมากนี้เป็นบุตรที่ดีต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วกันเสียก่อน แล้วบุตรเล็กๆข้างหน้าก็จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้กันได้สืบไป ถ้าบุตรเดี๋ยวนี้ที่ตัวโตแล้วนี้ไม่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าบุตรต่อไปข้างหน้าจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันเป็นเหมือนกับการชดเชย ชดใช้กัน ไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าบิดามารดาไม่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นบุตรที่ดีของปู่ตาย่ายายแล้ว ลูกหลานข้างหน้าก็จะไม่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาในปัจจุบันเป็นแน่นอน เราต้องตั้งต้นกันด้วยการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน ให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดี กระจ่างชัดอยู่แก่เด็กเล็กๆ อย่าได้เลี้ยงกันมาในลักษณะที่เรียกว่า ให้มันเติบโตเร็ว ให้มันสวย ให้มันงาม ให้มันได้ดิบได้ดี ได้รวยกันใหญ่ หรืออะไรทำนองนั้นเลย เพราะว่าถ้าสอนกันแต่เพียงเท่านั้นไม่เท่าไรมันก็จะแว้งกัดเอา มันจะเป็นบุตรที่เลว แล้วมันก็จะแว้งกัดเอากับบิดามารดาในลักษณะเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น จะต้องน้ำตานองอยู่ตลอดเวลา เพราะการแว้งกัดของบุตรที่ไม่ได้รับการอบรมที่ดีว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตรนั่นเอง มันไปมัวแต่สิ่งหรูหรา ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งต้องมาเบียดเบียนบิดามารดาโดยตรงหรือโดยอ้อม มาเบียดเบียนบิดามารดาโดยตรงนั้นเห็นอยู่ทั่วไป เบียดเบียนบิดามารดาโดยอ้อม ก็เช่นว่า ถ้ามันไปถูกติดคุกติดตารางเข้าที่ไหน บิดามารดาก็นิ่งอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งตามไปช่วยมันอยู่ดี นี้เรียกว่ามันก็เบียดเบียนบิดามารดาโดยอ้อม โทษที่ไม่อบรมลูกหลานให้ดีจึงมีมากมายเช่นนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย แล้วในที่สุด ตัวอย่างที่ดีก็ขาดสูญไป คนต่อๆไปข้างหน้าก็จะคิดแต่เพียงว่า บิดามารดาอาศัยความสนุกส่วนตัวแล้วทำให้เราเกิดมา เราก็ย่อมหาความสนุกส่วนตัวอย่างนั้นต่อไปอีก ไม่มีใครเป็นผู้มีบุญคุณแก่ใคร นี้แหละคืออาการที่สัตว์เดรัจฉานได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า ไม่มีใครเป็นบุญคุณแก่ใคร ไม่มีผู้ใดเป็นพรหมของบุตรเลย
วันนี้เป็นวันบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อบรรพบุรุษคือ บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว หวังว่าทุกคนจะได้พิจารณาดูให้ดีว่า ทำไมคนที่ล่วงลับไปแล้วจึงได้ตั้งประเพณีอันนี้ขึ้น หรือว่าคนเหล่านั้นโง่ หรือว่าคนเหล่านั้นขี้ขลาด หรือว่าคนเหล่านั้นเห็นแก่จะกิน จึงได้ตั้งประเพณีเหล่านี้ขึ้นมา ถ้าพิจารณาดูให้ดี ก็ควรจะมองเห็นไปในทำนองที่ว่าบรรพบุรุษเหล่านั้นมีความฉลาด และไม่ได้เห็นแก่ตัว จึงได้คิดตั้งประเพณีที่จะชักจูงหรือว่าย้อมใจเด็กๆ ให้มีความกตัญญูกตเวที โดยตัวเองเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีให้เห็นกันเสียก่อน ให้เป็นตัวอย่างที่ดีกันเสียก่อน แล้วเด็กๆ ก็จะมีนิสัยเป็นผู้กตัญญูกตเวทีอย่างแน่นแฟ้นมั่นคงขึ้นมาเอง ดังนี้แหละ
เพราะเหตุดังนี้แหละ จึงได้พยายามที่จะให้เกิดประเพณีอันนี้ขึ้น แล้วก็ให้กระทำกันจริงๆให้มีความรู้สึกที่กว้างขวาง คือ มีความเมตตากรุณาไม่เลือกหน้า ถ้าเราบำเพ็ญกุศลในวันตายายเช่นนี้กันให้ถูกต้องตามวิธีแต่โบราณกาลมาแล้ว จะเป็นการเผื่อแผ่ที่กว้างขวาง ไม่เพียงแต่มนุษย์ แต่จะกว้างขวางไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย เพราะว่าในตัวขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นวางไว้ในลักษณะที่กว้างขวางให้พลอยได้รับประโยชน์ได้รับความสุขกันทั่วหน้าทีเดียว อย่างในวันนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่น สุนัข และแมว เป็นต้น ก็ยังได้รับประโยชน์ในเรื่องอาหารการกินที่ทุกคนบำเพ็ญบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ปู่ย่าตายาย คือว่าเห็นแก่ปู่ย่าตายายแล้วบำเพ็ญกุศลเป็นการใหญ่ จนกระทั่งว่าเหลือเฟือไปถึงสุนัขและแมว เป็นต้น มันก็เรียกว่าเป็นการเผื่อแผ่ที่กว้างขวาง ที่หาประมาณไม่ได้ ชักจูงจิตใจของคนทุกคนให้มีความเมตตาอารี และให้มีความรู้สึกในข้อที่ว่า ทุกคนควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ควรจะมีความรู้สึกว่าทุกคนมีบุญคุณแก่กันไม่ว่าสัตว์ หรือคนล้วนแต่มีบุญคุณแก่กัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนั้นก็คือ บิดามารดาที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นพรหมของบุตร ยิ่งพิจารณาไปเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความดี หรือความสำคัญที่เราจะต้องมีประเพณีเช่นนี้ไว้ และรักษาไว้ให้ดี และให้เป็นไปอย่างมีเหตุผลแจ่มแจ้ง ประจักษ์ชัดเจน อย่ากระทำไปด้วยความงมงายเลย
ลองคิดดูถึงประเพณีนี้โดยเฉพาะอีกสักครั้งหนึ่งเถิดว่า ที่นอกประตูวัดก็ยังมีของวางไว้ให้พวกกระจอกงอกง่อยที่เข้าวัดไม่ได้ ที่ในวัดก็ยังมีสิ่งที่วางไว้สำหรับเปรต แล้วก็ยังมีครบบริบูรณ์สำหรับจะบำเพ็ญบุญแก่ภิกษุสงฆ์ และแก่คนทั่วไปไม่เลือกหน้า ที่มีมากจนเหลือเฟือนั่นแหละ มันก็แผ่ไปถึงสัตว์เดรัจฉาน เช่น สุนัข และแมว เป็นว่าไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องเลยในการที่จะเผื่อแผ่
เดี๋ยวนี้เรามีใจแคบ แคบกันมากเข้า มากเข้า จนเบียดเบียนกัน นี้ไม่ต้องอธิบายทุกคนเข้าใจดีว่าเดี๋ยวนี้คนใจแคบ เห็นแก่ตัวมากขึ้น และเบียดเบียนกันมากขึ้น นี่แหละคือโทษของการที่ละเลยขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีของปู่ย่าตายาย ไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะวางกระทงกระจอกงอกง่อยที่นอกวัด ไม่เห็นมีเลย นี่ลองคิดดูว่าเพราะเหตุไร เพราะว่าลืมไป ลืมไปเพราะเหตุไร เพราะเห็นแก่ตัว บางคนก็คงจะขี้เหนียวมากๆ ถึงกับว่าจะวางกระทงชนิดนั้นไว้ครบถ้วนตามขนบธรรมเนียมประเพณี บางคนก็ขี้เกียจไม่อยากจะทำ บางคนก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรพ้นสมัยแล้ว นี้ก็ล้วนแต่เป็นคนโง่ ที่คิดว่าพ้นสมัยแล้วนี้แหละคือคนโง่ ไม่รู้ว่านี่เขาทำไว้เป็นบทเรียนสำหรับฝึกคนให้เผื่อแผ่แก่บุคคลผู้อื่นโดยไม่จำกัด จะเห็นตัวหรือไม่เห็นตัว จะมีจริงหรือไม่มีจริงนั้น ไม่เป็นปัญหาสำคัญ ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่าถ้าเราประพฤติกระทำสิ่งนี้ลงไปแล้วใจของเราจะกว้าง ใจของเราจะเป็นบุญเป็นกุศล เอาหละ ถ้าว่าไม่มีใครที่จะกินอาหารในกระทงเหล่านั้น สุนัขและแมว เป็นต้นนั่นแหละมันจะกิน หมู หมา กา ไก่ ที่ไหนมันก็ล้วนแต่ต้องการอาหาร มันก็เป็นการให้ทานโดยทั่วถึงอีกนั่นเอง เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมีมากเข้า มากเข้า ริดรอนมากเข้า มันก็ทำไม่ได้ และไม่มีแก่ใจที่จะทำ ถ้าลองไปเปรียบเทียบดูกับการบำเพ็ญบุญต่างๆในสมัยโบราณนั้น จะเห็นได้ว่าปู่ย่าตายายของเรากระทำไปด้วยจิตใจที่กว้างขวางยิ่งกว่าลูกหลานสมัยนี้ ที่ทำไปด้วยจิตใจที่แคบๆ ทำไปอย่างเสียไม่ได้ ริดรอนลงไปทุกที ไม่มีอะไรที่เป็นการขยายให้มีน้ำใจกว้างเหมือนกับที่แล้วๆมาเลย
นี้เราพูดกันถึงต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ หรือมีความสุข อันเป็นต้นเหตุอันสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ หรือมีความสุข หมายความว่าเราใจแคบเข้าเท่าไร เห็นแก่ตัวมากเข้าเท่าไร เราก็ต้องมีความทุกข์เท่านั้น ถ้าเราใจกว้าง เห็นแก่ผู้อื่นมากเข้าเท่าไรเราก็จะมีความสุขสบายอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่านั้น เดี๋ยวนี้เราไปละเลยขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี ที่ทำให้ใจกว้างนั้นเสียหมด เพราะความมีใจแคบ เพราะความตระหนี่ เพราะความขี้เหนียว เพราะความขี้เกียจ เพราะความเข้าใจผิดในที่สุด ควรจะเลือกล้างความขี้เกียจ ขี้เหนียว เข้าใจผิดนี้เสียให้หมด มองดูไปในแง่ที่ว่าสิ่งใดมันทำให้ใจของเรากว้างขวาง ทำให้ใจของเราเย็น หรือว่าอย่างน้อยที่สุด เพื่อจะรักษาประเพณีที่ดีของบรรพบุรุษเอาไว้ก็ควรจะกระทำ อย่างนี้ไม่เรียกว่างมงาย เพราะอย่างน้อยมันก็มีเหตุผลอยู่ในข้อที่ว่า เป็นการกระทำให้จิตใจของเรากว้างขวาง ให้จิตใจมากไปด้วยความเมตตากรุณา ให้คิดเผื่อแผ่อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ให้เทิดทูนบรรพบุรุษเหมือนกับพระพรหม ดังบทว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตรดังนี้ ส่วนที่เราจะกระทำ ทำได้ดีหรือได้มากน้อยเพียงไรนั้น มันขึ้นอยู่กับความความเข้าใจในข้อนี้ ถ้าเรามองเห็นความเป็นพรหมของบิดามารดามากเท่าไร เราก็จะทำได้อย่างดีและกว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น
จึงขอให้ทุกคนจงไปคิดดูในเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษเถิด ว่าบิดามารดาตั้งอยู่ในฐานะเป็นพรหม หรือว่าเป็นอาหุเนยยบุคคลของบุตรจริงหรือไม่ หรือมากน้อยเพียงไร ให้ยิ่งๆขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเช่นวันนี้ อย่าได้คิดกันถึงเรื่องอื่นเลย จงคิดกัน พิจารณากัน ปรึกษาหารือกันแต่ในข้อที่ว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตรอย่างไร เป็นอาหุเนยยบุคคลของบุตรอย่างไร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตรนั้น คือในฐานะเป็นผู้สร้าง ในฐานะเป็นผู้มีความเมตตากรุณา ถ้าเป็นอาหุเนยยบุคคลนั้นเป็นบุคคลสูงสุดที่บุตรจะต้องบูชา เพราะคำๆ นี้ใช้เป็นชื่อของพระอรหันต์ก็ได้ อาหุเนยยบุคคลนั้น ได้แก่ พระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นอาหุเนยยบุคคลแก่คนทั่วไป
ถ้าพูดโดยสำนวนนี้ก็ต้องพูดว่า บิดามารดานั้นเป็นพระอรหันต์สำหรับลูกๆ เป็นพระอรหันต์สำหรับบุตร บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร บุตรก็ต้องมีความเคารพนับถือบิดามารดาเท่ากับเคารพพระอรหันต์ แต่ว่าสิ่งนี้จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น มันอยู่ที่ความเข้าใจกันหรือไม่นั่นเอง ถ้ามีความเข้าใจกันได้แล้ว บิดามารดาก็จะวางตัวไว้ในลักษณะที่ดี น่าเคารพบูชาเหมือนพระอรหันต์
แม้ว่าจะไม่เคารพบูชาในฐานะอย่างอื่น ก็ยังจะเคารพบูชาในฐานะที่มีความรักบิดามารดา มีความนับถือบิดามารดาว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมาให้ชีวิตมา เพราะเป็นผู้มีความเมตตากรุณารักใคร่เรา ไม่มีใครอื่นยิ่งไปกว่าแล้ว ถ้ามีความรู้สึกต่อบิดามารดามากเท่านี้แล้ว ก็จะมีความเคารพบิดามารดามากเท่ากับการเคารพพระอรหันต์ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่บิดามารดาจะเป็นพระอรหันต์ของบุตรได้นั้นไม่เป็นของยากเลย จะเป็นของง่ายที่สุดสำหรับบุตรที่มีความรักบิดามารดาอย่างแท้จริง เพราะเห็นว่าเป็นผู้สร้างเรามา เป็นผู้เมตตากรุณาแก่เราอย่างที่ไม่มีใครจะเปรียบเทียบได้ ทุกสิ่งสำเร็จมาจากบิดามารดา นับตั้งแต่ชีวิต ความเจริญงอกงาม การศึกษา หรืออะไรๆก็อาศัยบิดามารดาเป็นไปทั้งนั้น แล้วเมื่อดูโดยน้ำใจแล้วไม่มีใครจะหวังดีต่อเรามากเท่าบิดามารดา เมื่อความเคารพนับถือเป็นไปถึงที่สุดอย่างนี้ก็มีน้ำหนักมากเท่ากับที่คนทั่วไปเขาเคารพในพระอรหันต์ ดังนั้น บิดามารดาจึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นอรหันต์ของบุตร
ขอให้ศึกษาเข้าใจในข้อนี้กันให้ยิ่งๆขึ้นไป แล้วบิดามารดาก็จะไม่ประมาท จะมีความไม่ประมาท จะมีความมัธยัสถ์ จะมีการดำรงตัวที่ดี เป็นที่เคารพนับถือของบิดามารดา และบุตรนั้นก็จะมีความเคารพนับถือในบิดามารดาโดยแท้จริง ครอบครัวนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุด บ้านเมืองใดมีแต่ครอบครัวชนิดนี้แล้ว บ้านเมืองนั้นก็เป็นบ้านเมืองที่มีความสุขที่สุด ปัญหาต่างๆก็หมดไป นี่แหละจงพิจารณาดูให้ดี ก็แม้แต่เพียงกตัญญูกตเวทีข้อเดียวเท่านั้นก็ทำให้มนุษย์นี้รอดตัวได้ ไม่มีความทุกข์เลย
วันนี้เป็นวันที่จะศึกษากันถึงความกตัญญูกตเวทีดังที่กล่าวมาแล้ว และได้กล่าวมาหลายครั้งหลายหนแล้ว เมื่อวันเช่นวันนี้เป็นวันที่จะศึกษาความกตัญญูกตเวที จะประพฤติความกตัญญูกตเวที จะทดสอบความกตัญญูกตเวที ว่ามีมากมีน้อยอย่างไร ยังขาดอยู่อย่างไร จะต้องทำให้มากขึ้นไปอย่างไร ทำให้เป็นไปถึงที่สุดจริงๆ และทุกอย่างนี้ต้องทำด้วยจิตใจเป็นส่วนสำคัญ ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ดีว่า ทุกอย่างนี้ต้องทำด้วยจิตใจเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำภายนอกโดยร่างกายนั้นยังไม่สำคัญเท่า เช่นว่า จะหาบคอนอาหารข้าวปลานานาชนิดมา นี้ก็ยังไม่สำคัญเท่า แม้ว่าจะเอากระดูกมาบังสุกุลนี้ก็ยังไม่สำคัญเท่า ความสำคัญที่สุดนั้นมันอยู่ที่ในหัวใจ ในหัวใจเป็นอย่างไรนั้นมีความสำคัญ ถ้าในหัวใจมีความรู้สึกถูกต้องในเรื่องความเป็นบิดามารดา ในความเป็นบุตร หรือในความมีแห่งบุญคุณแก่กันและกันแล้ว ความรู้สึกในใจนั่นแหละเป็นการกระทำที่ใหญ่หลวง เป็นการกระทำที่ถูกต้องยิ่งไปกว่าสิ่งของ แต่ว่าสิ่งของนั้นก็ต้องทำ เพราะว่ามันทำไปตามอำนาจของจิตใจ ถ้าจิตใจมีความรู้สึกแล้ว มันก็ต้องไปหาสิ่งของมาเอง หรือกระทำพิธีต่างๆในทางวัตถุเอง แต่ถ้าบุคคลไม่มีความเข้าใจแล้ว ไม่มีความเข้าใจในจิตในใจแล้ว การกระทำในทางภายนอกนั้นมันก็งมงายไร้เหตุผล แม้จะเอากระดูกมาบังสุกุลมันก็ยังงมงายไร้เหตุผล เพราะไม่รู้ว่าทำไปทำไม แม้แต่เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระให้เหลือเฟือมันก็ยังงมงายไร้เหตุผล เพราะไม่รู้ว่าทำไปทำไม นอกจากว่าเขาทำกันเราก็ทำตามๆกันไปเท่านั้นเอง
นี่แหละคือข้อที่ต้องฟังเทศน์กันบ่อยๆ หรือพูดกันบ่อยๆ หรือปรึกษาหารือกันบ่อยๆว่าทำไปทำไม ให้มีความรู้ความเข้าใจกันจริงๆว่าทำไปทำไม อย่างน้อยที่สุด ก็ให้รู้ว่าทำเพื่อจะซักซ้อมความกตัญญูกตเวที อบรมตนเองให้มีความกตัญญูกตเวที และเป็นวันที่จะสนองคุณของบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะว่าบิดามารดาของเราตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระพรหมของเรา เป็นพระอรหันต์ของเราโดยแท้จริง ดังนั้น เราจึงต้องทำ เราทนอยู่ไม่ได้ เราจึงต้องมาและต้องทำ ประกอบพิธีกรรมต่างๆให้ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์เหมือนที่เราจะต้องทำให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของเรา ที่จะกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ให้ครบถ้วน แก่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วในวันเช่นวันนี้ ซึ่งปีหนึ่งก็จะมีเพียงวันเดียว หนเดียว เป็นส่วนสำคัญ เป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษ เป็นวันที่จะให้ลูกหลานนี้อาบรดไปด้วยธรรมะที่มีความสำคัญที่สุดคือ ความกตัญญูกตเวที
วันนี้ไม่ต้องพูดถึงอะไรก็ได้ พูดถึงความกตัญญูกตเวทีอย่างเดียวก็ได้ และสิ่งนี้มีอิ่มเอิบอยู่ในใจจริงๆเถิด มันก็พอแล้ว ไม่มีความงมงายแต่ประการใด จะทำอะไรต่อไปก็ทำได้ไม่มีความงมงายเหลืออยู่ มีแต่สติปัญญาของพุทธบริษัทที่ทำไปแล้วเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่น ตนเองก็มีความสุขสงบ ผู้อื่นทั้งโลกก็พลอยมีความสุขสงบ เพราะคนมีความกตัญญูกตเวที ตั้งอยู่ในธรรม นี้สิ่งที่ประพฤติประจักษ์อยู่อย่างถูกต้องและงดงามและน่าเลื่อมใส นับตั้งแต่การเคารพคนเฒ่าคนแก่ทั่วๆไป กระทั่งเคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ และทำทุกๆอย่างตามความรู้สึกอันนั้น จนสิ่งที่กระทำนั้นแผ่กว้างออกไปเป็นประโยชน์ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ทั้งแต่สัตว์มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน สมตามที่มนุษย์เรามีความมุ่งหมายจะก้าวหน้าจะวิวัฒนาการให้สูงขึ้นไปตามลำดับให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ด้วยกันทุกๆคน
นี่แหละ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนให้ทุกคนมองให้เห็นว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตร บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ยิ่งๆขึ้นไป และจะกระทำให้ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป ด้วยจิตด้วยใจด้วยสติปัญญาด้วยความไม่ประมาทจงทุกๆคนเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้.