แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธ ความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุพิธีลอยกระทง ซึ่งเป็นพิธีประจำปีของพุทธบริษัท ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบอยู่แล้ว ธรรมเทศนาจึงเนื่องด้วยพิธีลอยกระทง เพื่อส่งเสริมศรัทธา สติปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในชั้นแรกที่สุดก็อยากจะให้ทำความเข้าใจซ้ำๆเกี่ยวกับคำว่า พิธี สิ่งที่เรียกว่าพิธีนั้นก็มีความหมายจำกัด ว่าเป็นวิธีที่จะทำอะไรให้สำเร็จประโยชน์ตามความต้องการ อย่าเอาไปปนกับคำอีกคำหนึ่งว่า พิธีรีตอง นั่นหมายความเตลิดเปิดเปิงไปทางไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าหยุดอยู่เพียงคำว่าพิธี ก็มองเห็นประโยชน์อยู่อย่างชัดเจน เพราะคำว่าพิธีนี้ก็มาจากคำว่า วิธี จะเป็นวิธีก็คือวิธีปฏิบัติ ถ้าเป็นวิธีจริงมันก็ปฏิบัติสำเร็จประโยชน์ เราจึงรักษาวิธี หรือพิธีต่างๆไว้ ถ้าอยากจะให้มันต่างกันสักหน่อยก็พออจะมองเห็นว่า ที่เรียกว่าวิธีนั้นเป็นการกระทำ ที่เจาะจง ที่รัดกุม หรือโดยเฉพาะ ตรงตามธรรมสัจจะของเรื่องนั้นๆโดยเฉพาะ แล้วก็สำเร็จประโยชน์ในการกระทำในคราวนั้นด้วยวิธีอย่างนั้น อันนี้ก็จะเรียกว่าวิธี และสิ่งที่เรียกว่าวิธีนี้แหละ ถ้าทำซ้ำๆซากๆ หรืออาจจะทำซ้ำๆซากๆได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ก็ทำจนเคยชิน ก็สำเร็จประโยชน์ได้เหมือนกัน เราก็เลยเรียกเสียใหม่ว่า พิธี ในภาษาไทยที่จริงก็เป็นคำๆเดียวกันกับ วิธิ หรือ วิธี ในภาษาบาลีนั้นเอง เอาเป็นว่าวิธีนี้เป็นการกระทำเฉพาะเรื่อง ส่วนพิธีนั้นเป็นการกระทำที่ทำจนตายตัว เป็นรูปแบบสำเร็จ
งานพิธีลอยกระทงนี้เราก็ทำตามรูปแบบนี้ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่ามันเป็นวิธีที่เค้าวางไว้ดีแล้ว ก็ทำได้อย่างซ้ำๆโดยไม่ต้องคิดไ ม่ต้องนึก มันจึงแปลกกันอยู่ที่ตรงนี้เอง ถ้าวิธีมันก็ต้องเฉพาะเรื่อง ต้องนึก ต้องระมัดระวังให้ถูกต้อง ตามเรื่องของมันจริงๆ เดี๋ยวนี้เราพูดว่า พิธีลอยกระทง แล้วก็จะต้องทำให้สำเร็จประโยชน์ตามความหมายของคำว่า พิธีลอยกระทง และเดี๋ยวนี้ก็จะพูดในรูปของพิธี ไม่ใช่วิธี
ขอให้ท่านนึกอย่างกว้างๆทั่วไปก่อนว่าเรามีพิธีลอยกระทง กระทำกันมาแต่โบราณกาล แม้จะหายไปบางยุค บางสมัย ก็กลับมาอีก กระทำอย่างเดิม พยายามที่จะรักษาไว้ในรูปแบบเดิม จนเป็นของรู้จักกันทั่วไป จนเป็นที่ยึดถือเหมือนกับว่าเป็นสถาบันในทางการกระทำอย่างหนึ่ง ประจำชนชาติไทยมาจนบัดนี้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แน่นอน แม้ว่าบางคนจะไม่มองเห็น มันก็ต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ฉะนั้นก็จะพูดกันถึงเรื่องนี้บ้าง ว่าจะมีประโยชน์อะไร
พิธีลอยกระทงนี่ก็นิยมกระทำกันในเดือน ๑๒ กลางเดือน ซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์เต็มดวงเดือน ๑๒ นี่ เป็นเวลาที่พิเศษอยู่บ้างบางอย่าง ในพระบาลี โดยเฉพาะในพระไตรปิฎก เขาบอกวันนี้เป็นวันที่มีความหมาย ที่ทำให้เกิดพระสูตรที่สำคัญบางสูตรขึ้นในพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้สันนิษฐานก็จะสันนิษฐานว่า เดือน ๑๒ กลางเดือนนั้นเป็นเวลาที่พระจันทร์สวยที่สุด สว่างไสวที่สุด ดินฟ้าอากาศดีที่สุด เป็นที่เบิกบานแห่งดอกโกมุท คือพวกบัวสายทั้งหลาย ในพระบาลีเขากล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคนมีจิตใจเบิกบานเพราะธรรมชาติช่วยแวดล้อมอย่างนี้ ก็มีอารมณ์เหมาะอย่างนี้ ก็ช่วยให้เกิดความคิดนึกลึกซึ้งได้โดยง่าย ฟังธรรมะลึกๆได้โดยง่าย พระพุทธองค์ได้ตรัสคำสั่งสอนที่เรียกว่าพระสูตรสำคัญบางสูตรในโอกาสเช่นนั้น พูดสั้นๆก็ว่าคืนนี้มันเป็นคืนที่สบายใจดี โปร่งปลอด ปลอดโปร่งดี จิตใจมันก็มีสมรรถภาพในการที่จะฟัง จะคิด จะนึก นี่ก็ควรจะเอามาเป็นเครื่องระลึกว่า เป็นเวลาที่สำคัญกว่าธรรมดา ให้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอันนี้ ให้ได้มากที่สุด การที่เราจะทำพิธีลอยกระทงในเวลาเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ได้รับประโยชน์กันแน่นอน ควรจะยึดถือเป็นพิธีประจำปีได้ นี่พูดถึงเวลา
ทีนี้ก็จะมาพูดถึงวิธีกระทำต่อไป เมื่อพูดว่าลอยกระทง ก็ขอให้เข้าใจว่ามันก็เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้ง ซับซ้อนกันอยู่หลายระดับ จะเอาเป็นว่าสัก ๒ ระดับ คือในความหมายในทางภาษาคนธรรมดา หรือภาษาธรรมของผู้รู้ธรรม ถ้าเราลองพูดถึงในภาษาคนตามธรรมดา ก็ถือเอาตามไอ้การกระทำตามธรรมดาที่เห็นๆอยู่ด้วยลูกตา ว่าเอากระทง ดอกไม้ ธูป เทียนสวยงามลอยลงไปในแม่น้ำ หรือในน้ำ นี่ก็เรียกว่าลอยกระทง นี่เรียกว่าภาษาคน และเป็นเรื่องภายนอก นอกจิตใจ
นี่ถ้าว่าเป็นการพูดในทางภาษาธรรม ไอ้ลอยกระทงนี่มันจะต้องลอยอะไรบางอย่างแล้ว ไม่ได้หมายถึงกระทงดอกไม้ ธูป เทียน เพราะคำว่ากระทงๆนี่มันมีความหมายเพียงว่าเป็นภาชนะอันหนึ่ง สำหรับจะใส่อะไรลงไปในนั้น แล้วก็เอาไปลอย มันอาจจะใส่อุจจาระก็ได้ ใส่กระทงแล้วก็ลอยไป นี่ความหมายของคำว่า กระทงๆ นี่มันยังเป็นกลางๆอยู่ เดี๋ยวนี้เราจะใช้ความหมายในทางภาษาธรรมว่าจะต้องลอยอะไรในทางจิตใจ อะไรที่จะลอยในทางจิตใจ โดยส่วนใหญ่ก็ต้องหมายถึงกิเลส ลอยกิเลสออกไปเสียจากจิตใจ ลอยไปๆให้ใจมันหมดกิเลส ให้หมดความเคยชินที่จะเกิดกิเลส นี่ก็จะเรียกว่าลอยกระทงในภาษาธรรม เป็นเรื่องภายใน
สรุปว่าถ้าเป็นเรื่องภายนอกก็ลอยวัตถุ สิ่งของภายนอกลงไปในน้ำ ในคลอง ถ้าเป็นเรื่องภายในก็ลอยโดยจิตใจ ลอยกิเลสออกไปเสียจากจิตใจ อย่างนี้มันก็เรียกว่าต่างกันมากแล้ว นี่ใครจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่จะชอบ แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของบุคคลนั้นๆ บางคนไม่อาจจะลอยกระทงในทางภายใน ทางจิตใจได้ด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่างลูกเด็กๆเขาไม่เข้าใจข้อนี้ แต่ที่จริงมันก็ต้องมีการลอยในภายในอยู่บ้าง เพราะว่าเมื่อเขาเอากระทงสวยๆลอยลงไปในสระ ในแม่น้ำ ลำคลองอะไรอย่างนี้ ก็ลอยไอ้ความรู้สึกบางอย่างทางจิตใจออกไป เช่นความทุกข์ ความหม่นหมอง ความรำคาญอะไร เขาก็ลอยไปได้เหมือนกัน แต่ว่าทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ทำไปโดยอัตโนมัติอย่างนี้เราไม่นับ จึงจัดว่าเป็นการลอยในภาษาคน แต่พอสังเกตดูอีกทีมันก็ยังเป็นการดี เพราะทำให้จิตใจเยือกเย็นสงบสุข สงบความเร้าร้อนอะไรได้ มันก็เป็นความสุข
ทีนี้ก็จะพูดให้ละเอียดลงไปถึงข้อที่ว่าลอยกระทงในทางภายนอก ในทางวัตถุนั้น มันก็ยังประโยชน์บางอย่าง ซึ่งจะต้องคิดต้องนึกให้กว้าง หรือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะนึกได้ ลอยกระทงทางภายนอก ทางวัตถุนี่แหละ มันจะช่วยลอยอะไรบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องถึงภายใน เช่นว่าลอยไอ้ความโง่เง่าที่แม้แต่ๆจะทำกระทงมันก็ทำไม่เป็น มันไม่มีศิลปะ ไม่มีความรู้ จะทำกระทงสวยๆมันก็ทำไม่เป็นมาแต่ก่อน แต่พอเกิดพิธีลอยกระทงขึ้นมันก็เกิดการบังคับให้ทำ ไม่เท่าไรมันก็ทำเป็น ไอ้ความโง่เรื่องทำกระทงไม่เป็นมันก็หายไป นี่เราควรจะเรียกว่าได้ลอยไอความโง่อย่างโลกๆในบางอย่างบางประการออกไปแล้ว ฉะนั้นพิธีลอยกระทงอย่างน้อยมันก็ช่วยให้ได้ประโยชน์ในทางภายนอก ในทางวัตถุอย่างนี้ด้วย แล้วก็เนื่องไปถึงภายในทีหลังเองได้ ประโยชน์ที่จะได้ก็คือว่ามันเกิดเป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณีอะไรขึ้นมาที่จะกล่อมเกลาจิตใจของประชาชน หรือของสังคมในบ้านนี้ เมืองนี้ ให้มันดีขึ้น เมื่อเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ มันก็ทำให้คนทั้งประเทศมีจิตใจดีขึ้น เพราะความรักสวย รักงามในการลอยกระทงทำให้จิตใจผ่องใสแม้แต่ชั่วขณะ และจะป้องกันจิตทรามได้บ้างไม่มากก็น้อย นี่เราจะถือว่าเป็นประโยชน์เนื่องมาจากพิธีลอยกระทงในทางภายนอก
ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องภายใน คือจิตใจ ว่าจะต้องลอยอะไรออกไป ก็ได้พูดมาแล้วโดยย่อว่าเป็นเรื่องของการลอยกิเลส ลอยความเคยชินของกิเลสให้หมดไปจากจิตใจ เราต้องรู้ถึงข้อที่ว่า กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ จะทำอย่างไรมันจะค่อยๆละลายไป หรือเบาบางลง ก็ต้องมีวิธีกระทำตามแบบ แห่งหลักธรรมนั้นๆ แต่ถ้าพูดอย่างอุปมา อย่างภาษาวัตถุก็ว่าเอาใส่กระทงแล้วก็ลอยไป คือเรามีวิธีที่จะรู้จักกิเลส จับตัวกิเลส ประมวลกิเลส มารวมๆกันก็ได้ รู้จักกำพืดของกิเลส ว่ากิเลสเกิดขึ้นอย่างไร แล้วหาวิธีอย่าให้มันเกิดขึ้นมา หรือถ้ามันเกิดขึ้นมาก็พร้อมที่จะสลัด สละออกไปได้ในเวลาอันสั้นที่สุด
กิเลสจะเกิดขึ้นอย่างไร และจะหมักหมมเพิ่มพูนขึ้นมาได้อย่างไร นี่ได้พูดกันมามากมาย หลายครั้งหลายหนแล้ว เข้าใจว่าคงจะยังจำกันได้ไม่มากก็น้อย แต่สังเกตุดูรู้สึกว่าบางคนจะยังไม่เคยฟังก็มี จึงอยากจะพูดเรื่องนี้สักหน่อย ว่าคนเรานี้มันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจึงเป็นคนอยู่ได้ ลองไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่เป็นอะไรได้ แล้วโลกนี้มันก็จะไม่มีเอาด้วย เพราะเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่จะไปรู้จักมัน หรือสัมผัสมัน รู้เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก่อนว่า มันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ในทุกๆคน และตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันมีคู่ของมัน คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพผะ ธรรมารมณ์ เรารู้ เราเห็นรูปด้วยตา เราได้ยินเสียงด้วยหู เราได้กลิ่นด้วยจมูก เรารู้รสด้วยลิ้น เราสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวหนัง แล้วเราก็รู้อารมณ์หรือความรู้สึกในใจได้ด้วยจิตใจนั่นเอง
ทีนี้แต่ละวันๆมันป้องกันไม่ได้ที่จะไม่ให้ตาเห็น รูหูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรู้รสเป็นต้น อย่างนี้มันป้องกันไม่ได้ มันก็ต้องมีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจอยู่ ทีนี้เมื่อสัมผัสแล้วก็เกิดความรู้สึกเนื่องมาจากสัมผัสนั้นที่เรียกว่าเวทนา เช่นว่าสัมผัสด้วยตา รูปสวยก็ชอบใจ รูปไม่สวยก็ไม่ชอบใจ มันก็เกิดความรู้สึกชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง จนเคยชิน ชอบใจก็รัก ไม่ชอบใจก็ไม่รัก นี่ไอ้ความรักนี่ คิดดูเถิดว่ามันจะให้มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก มันก็มีความยึดถีอไปแบบหนึ่ง ตามแบบของไอ้สิ่งที่เรารัก ทีนี้ถ้ามันรู้สึกไม่รัก มันก็เกิดเป็นความรู้สึกแบบหนึ่งตามแบบที่เราไม่รัก ไปรักเข้ามันก็ร้อนแบบหนึ่ง ไปไม่รักเข้ามันก็ร้อนอีกแบบหนึ่ง อย่างนี้ก็เรียกว่ากิเลส เป็นของร้อน เข้าใจว่าคงจะฟังออก และรู้จักกันดีว่าเรามีความร้อน ร้อนอกร้อนใจ ร้อนอะไรก็ตาม เพราะความยินดีก็มี เพราะความยินร้ายก็มี ยินดีเป็นเหตุให้เกิดความรัก ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็หวงแหน หวั่นวิตกกังวลไปต่างๆนาๆ ถ้าอย่ามีอย่างนี้เราก็สบายดี พอมีอย่างนี้เราก็หาความสบายไม่ได้ แม้จากสิ่งที่เรารัก ฉะนั้นต้องมีวิธีที่จะลอยออกไปเสีย สลัดออกไปเสีย คือมีสติปัญญา มีธรรมะในพระพุทธศาสนา เหมือนกับว่าจะใส่กระทงลอยออกไปเสีย
เรื่องที่ไม่รักก็เหมือนกัน มันก็ทรมาณใจตามรูปแบบของเรื่องที่เราไม่รัก ฉะนั้นเราลอยความรู้สึกเช่นนี้ออกไปเสีย ด้วยวิธีที่ท่านได้สอนไว้ เป็นข้อธรรมะสำหรับกำจัดไอ้ความรู้สึกยินร้าย หรือไม่ชอบใจนี้เสียได้อย่างไร เราก็มีวิธี หรือข้อธรรมะสำหรับปฏิบัติ เหมือนกับว่าเป็นกระทง แล้วก็ลอยกิเลส เป็นความรัก หรือความไม่รัก ซึ่งล้วนแต่เป็นความโง่เขลานี้ออกไปเสียเรื่อยๆ นี่ก็จะชี้ให้เห็นว่าความรัก หรือความไม่รัก มันเกิดขึ้นเพราะการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอยู่โดยไม่รู้สึกตัว คือมันเป็นคนโง่ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา และความรัก หรือความไม่รักนั้นมันก็ทรมาณใจ อย่างนี้เค้าเรียกว่ากิเลส ครั้งหนึ่งๆ ครั้งหนึ่งๆ
ทีนี้เมื่อกิเลสเกิดทำนองนี้หลายครั้งหลายหนเข้า มันก็เกิดการสะสมเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น มันก็มีผลเกิดขึ้นมาว่าไอ้ความรู้สึกที่จะรักนี่ก็ง่ายเหลือเกิน เร็วเหลือเกิน ไอ้ความรู้สึกที่จะไม่รักนี่ก็ง่ายเหลือเกิน เร็วเหลือเกิน เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าตั้งแต่เราเกิดมาเป็นทารกนู่น มันรู้จักรัก รู้จักไม่รัก รู้สึกเกลียดนี่ ซ้ำๆซากๆมาจนเป็นความเคยชิน จนบัดนี้มันจึงไวต่อความรัก หรือความไม่รัก หรือความยินดี หรือความยินร้าย แล้วมันก็ยึดมั่นถือมั่นในความยินดียินร้ายมาจนชิน ฉะนั้นจึงเกิดได้เร็ว ได้ไวเหมือนสายฟ้าแลบ หรือจะยิ่งกว่าสายฟ้าแลบด้วยซ้ำไป ก็เกิดความยาก ความลำบาก ในการที่จะควบคุมมัน ถ้าความเคยชินอันนี้มากขึ้นเท่าไหร่ หนาขึ้นเท่าไหร่ มันยิ่งแรง และยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็พอที่จะทำให้คนนั้นตกนรกทั้งเป็น จะมีความทุกข์อยู่เรื่อยไป ของรักมาก็ตกนรก ของไม่รักมาก็ตกนรก เดี๋ยวก็ทางตา เดี๋ยวก็ทางหู เดื๋ยวก็ทางจมูก เดี๋ยวก็ทางลิ้น เดี๋ยวก็ทางกาย เดี๋ยวก็ทางใจ ถ้าเราเอาไอ้อาการอย่างนี้ออกไปเสียได้ หรือสลัดความเคยชินที่จะเกิดกิเลสอย่างนี้ออกไปเสียได้ ก็สบาย กิเลสมันก็เกิดได้ยาก มันมีน้อยมันก็ไม่ไหลออกมาได้ง่ายๆ ถ้ามันมีมาก เต็มปรี่ อัดอยู่ มันก็ไหลออกมาได้ง่าย
เรายังมีคำ ๓ คำที่ควรจะจำกันไว้ว่า กิเลสคำหนึ่ง อนุสัยคำหนึ่ง อาสวะคำหนึ่ง เมื่อเราสัมผัสอารมณ์ และโง่เขลาไปมันก็เกิดกิเลส มันก็เกิดรัก เกิดไม่รักอย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่ากิเลส เมื่อทำบ่อยๆเข้ามันก็เคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น ความเคยชินนี้เราเรียกว่าอนุสัย ทีนี้เมื่อเก็บไว้มาก มีอนุสัยมากๆมันก็มีความกดดันที่จะไหลออกมา พร้อมจะไหลออกมายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน อาการที่พร้อมที่จะไหลออกมานี่เราเรียกว่าอาสวะ เป็นของสกปรกที่ไหลออกมา นี่อาสวะนี้ยังมีอยู่ตราบใด มันก็มีกิเลสไหลออกมา เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ถ้าสิ้นอาสวะ มันก็ไม่มีอะไรไหลออกมาเป็นกิเลส สำหรับจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
นี่อาสวะจะไม่มีสำหรับไหลออกมา มันก็ต้องไม่มีอนุสัย เป็นการสะสมหมักหมมแห่งกิเลสที่เป็นความเคยชิน นี่การสะสมหมักหมมกิเลสนี่มันจะไม่มีก็ต่อเมื่อไม่เกิดกิเลส การที่ระวังรักษาอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นมา นั่นแหละจะเป็นทางให้ไม่มีอนุสัย คือการสะสมกิเลส ถ้าเราไม่สร้างมันขึ้นมา มันก็ไม่มีการสะสม เหมือนกับเราไม่หาเงินแม้สักสตางค์หนึ่ง มันก็ไม่มีเงินสะสมเป็นบาท เป็นร้อย เป็นพัน มันก็ไม่มี ถ้ามันสะสมเป็นทีละสตางค์ๆ ไม่เท่าไหร่มันก็เป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนได้ แต่ในเรื่องของกิเลสมันเป็นเรื่องที่ให้ทุกข์ ให้เกิดความทุกข์ ฉะนั้นเราไม่สะสมดีกว่า จึงต้องระวังให้มีสติ เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เป็นต้น ระวังให้ดี อย่าให้เกิดกิเลส
ถ้าเกิดกิเลสขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็สมมุติว่าเหมือนกับสะสมไว้ ๑ สตางค์ และไม่เท่าไหร่มันก็จะมี ๒สตางค์ ๓สตางค์ จนมีเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านได้ ถ้ามันเกิดการสะสมแล้วก็เรียกว่าเป็นอนุสัยแล้ว ถ้าสะสมมากเข้า ไอ้ความกดดันมันจะดันออกมาในทวาร ทางกาย ทางวาจา ทางจิต นี่มันก็มากขึ้น ก็มีกิเลสออกมาทางกาย ทางวาจา ทางจิต เราก็จะมีความทุกข์เพราะเหตุนั้น กาย วาจา จิตเป็นไปในทางทุจริต ประกอบกรรมที่เป็นบาป เป็นอกุศล มันก็เลยมีความทุกข์
ทีนี้เราจะลอยกิเลสกันอย่างไร เราจะลอยอนุสัยกันอย่างไร เราจะลอยอาสวะกันอย่างไรก็ลองคิดดู ถ้าระวังอย่าให้เกิดกิเลสได้ มันก็เป็นการลอยกิเลส และมันเป็นการลอยอาสวะด้วย คืออาสวะจะน้อย จะเบาบางไป ทีนี้เมื่ออาสวะน้อยเบาบางไปอาจจะเป็นการลอยอนุสัยด้วย ถ้าลอยกิเลสเสียได้ก็เป็นการลอยอนุสัยด้วย คืออนุสัยมันจะไม่สะสมขึ้น เมื่อลอยอนุสัยเสียได้ ไม่มีอะไรสะสมไว้ อาสวะมันก็ถูกลอยด้วย มันไม่มีอะไรจะมาดันออก จะเปรียบอีกสักอย่างว่าน้ำ เป็นหยดๆๆๆนี่ แต่ละหยดมันก็ไม่ค่อยมีความหมายอะไร แต่ถ้าลองหยดลงไปในปี๊ป หรือในโอ่งก็ตาม หยดลงไปหลายๆหยดมันก็มากขึ้นจนเต็มน้ำ จนเต็มปี๊ป หรือเต็มโอ่ง สมมุติว่าทีแรกไม่มีน้ำ ก็หยดลงไป ๒-๓ หยด มันก็ยังไม่มีการสะสมมากนัก พอหยดลงไปตั้งหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นหยด ขึ้นมาครึ่งปี๊ปอย่างนี้ มันก็มีมากแล้วในปี๊ปนั้น และไอ้ความกดดันที่จะ มันจะดันออกมาจากปี๊ปนั้นมันก็มากขึ้น พอน้ำเต็มปี๊ปมันก็ดันออกมารูรั่วได้มาก ได้ง่ายขึ้น ในโอ่งก็เหมือนกัน ถ้าโอ่งมันใหญ่กว่าปี๊ป มันก็เต็มโอ่ง ไอ้ความดันที่จะออกมาทางรูรั่วของโอ่งมันก็แรง นี่ขอให้รู้จักเปรียบเทียบอย่างนี้
ดูอาการที่เรามีกิเลส ถ้าสะสมเข้าไว้ในสันดานเป็นอนุสัย เมื่ออนุสัยมากเข้า มันก็มีความดันที่จะออกมา ก็มีอาสวะที่จะดันออกมา จะไหลออกมาเป็นตัวกิเลส ปรากฎแก่ทวาร คือกาย วาจา ใจ จนเป็นความทุกข์ มันมีความจริงอยู่อย่างนี้ ถ้าเราลอยกิเลสก็เท่ากับลอยอนุสัย ก็เท่ากับลอยอาสวะด้วย ฉะนั้นจงพยายามที่จะลอยกระทงในภายอันลึกซึ้ง ในความหมายของภาษาธรรม
เอาละจะเอามารวมกันเอา มาผนวกกัน เหมือนอย่างว่ามาลอยกระทงดอกไม้นี้ ถ้าผู้มีปัญญามันก็จะสามารถทำให้มีการลอยกิเลสได้ด้วย อาตมามีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่อยากจะให้ทุกคนจดจำไว้ตลอดเวลา ว่าคนมีปัญญานั้นมันกวาดลานวัดทีหนึ่ง มันก็เท่ากับกวาดจิตใจทีหนึ่ง ถ้ามันมีปัญญา มันกวาดลานวัด กวาดบ้าน กวาดอะไรก็ตาม แกรกหนึ่ง ทีหนึ่ง มันจะกวาดจิตใจของมันด้วยทีหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาๆอย่างนี้ก็ยิ่งเห็นได้ง่าย คือไม่เห็นแก่ตัว การที่เราทำงาน เช่นกวาดวัดทีหนึ่งนี่ก็ทำลายความเห็นแก่ตัวทีหนึ่ง กวาดมากทีเข้าก็ทำลายความเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรืออาจจะหมดก็ได้ ขอให้ถือหลักอย่างนี้
ถ้าเราทำอะไรทีหนึ่งให้สำเร็จผลลึกเข้าไปถึงภายใน เช่นกวาดวัดก็อย่าให้มันเกลี้ยงแต่ลานวัด ให้มันเกลี้ยงเข้าไปถึงจิตใจของผู้กวาดด้วย ฉะนั้นเมื่อเราไปลอยกระทงในสระ ในแม่น้ำลำคลอง ในทะเลอะไรก็ตาม อย่าให้มันเป็นแต่เพียงลอยกระทงทางวัตถุอย่างนั้น ขอให้มันเกิดการลอยกระทงในภายในขึ้นมาด้วย ข้อนี้จะทำอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับพิธี หรือวิธีอีกนั่นเอง
นับตั้งแต่ว่า นับตั้งต้นมาตั้งแต่ว่ารู้จักทำกระทงให้สวย มันก็ลอยความโง่ที่ทำกระทงไม่เป็นไปเสียได้ หรือว่าลอยความโง่ที่ทำกระทงไม่เป็นออกไปเสียได้ชั้นหนึ่งก่อน แล้วก็ลอยไอ้ความโง่ที่ทำกระทงให้สวยไม่ได้ไปอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นอันว่าลอยความโง่ออกไปได้ด้วยการเตรียมกระทงให้สวยเป็นต้น นี่พูดสำหรับผู้ที่ไม่ๆทำให้ดีกว่านี้ได้ หรือไม่อาจจะทำอย่างอื่นให้แปลกไปจากนี้ได้ เราก็เอาอย่างนี้กันก่อน เพราะว่าปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้จิตใจยังอ่อนแอ ยังต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมจากภายนอกเข้ามา มันก็จึงจัดให้ทำเดือน ๑๒ เดือนไหนสบายอารมณ์ดี อากาศดี แล้วก็ทำของสวยๆ เช่นกระทงสวยๆ เต็มไปด้วยดอกไม้ ธูป เทียนสวยๆนี่ก็ลอยไป มันก็เนื่องเข้าไปถึงจิตใจ เพราะมันจับตาแล้วมันก็จับใจ แล้วเราก็ได้ๆลอยความขุ่นหมองแห่งจิตใจไปเสียสักชั้นหนึ่งก่อน ทีนี้ถ้าว่าไปทำพิธีบูชา แล้วแต่ว่าจะบูชากันชนิดไหน บางคนก็บูชาไปทำนองว่าไปบูชาพระพุทธเจ้า หรือบางทีก็บูชาพระจุฬามณี หรือบางทีก็บูชาพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงเหยียบประทานไว้ในที่ต่างๆ หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าบูชาพระคงคานั่นเอง มันเป็นหลายระดับ หลายชั้นกันอยู่อย่างนี้ มันก็แล้วแต่ว่าคนนั้นเขาจะชอบบูชาในระดับไหนตามความเชื่อของเขา
แต่ในชั้นแรกนี้ก็อยากจะพูดว่าบูชาพระคงคานั้นเอง ถ้าคนนั้นมันมีสติปัญญา มันก็รู้ว่าพระคงคานี้จำเป็น ลองไม่มีน้ำในโลกมันอยู่กันไม่ได้ มันตายหมด มันตายหมดในไม่กี่วัน ไอ้น้ำนี้มีบุญคุณ คือทำให้คนไม่ตาย ให้สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย ให้โลกนี้อยู่ได้เพราะมันมีน้ำ ต้นไม้อยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานอยู่ได้ คนอยู่ได้ อะไรอยู่ได้ เพราะมันมีน้ำ จึงถือว่าน้ำนี้มีบุญคุณ เราจะบูชาคุณของมัน แม้ว่ามันจะไม่มีความรู้สึกคิดนึกอะไรได้ เราสิเป็นคนกตัญญู แล้วมันก็จะได้ประโยชน์แก่เราเอง แต่เดี๋ยวนี้เราก็จะไม่พูดนะว่าแม่พระคงคามิได้มีอยู่ แม่พระคงคามิได้มีความรู้สึกอะไร เราจะไม่พูด ไปจำไว้ด้วยว่าอตามาก็ไม่ยืนยันในข้อนี้ว่าอย่างนั้น ที่จะเชื่อว่ามันมีชิวิตจิตใจก็ได้ มันรู้สึกก็ได้ หรือมันไม่มีก็ได้ แล้วแต่ข้อเท็จจริงเถอะ แต่ที่มันแน่นอนก็คือว่าเราเป็นคนกตัญญู แล้วเราก็ลอยนิสัยสันดานที่อกตัญญูออกไปเสียได้ คนเลวเท่านั้นมันมีอกตัญญู ถ้าลอยความรู้สึกอกตัญญูไปเสียได้ คนนั้นมันก็ดีขึ้น ก็ได้รับประโยชน์ นี่จะไปลอยกระทงด้วยความกตัญญูต่อแม่พระคงคา มันก็ต้องลอยนิสัยอกตัญญูของคนนั้นได้ แม้จะเป็นลูกเด็กๆก็ควรจะทำให้ดี อย่างน้อยที่สุดก็ให้เป็นโอกาสที่จะลอยกิเลสประเภทอกตัญญูนี้ออกไปเสียให้ได้ด้วยการลอยกระทง
ส่วนที่จะไปบูชารอยพระพุทธบาท หรือว่าพระเถระอุปคุตใต้สะดือทะเล หรืออะไรต่างๆ แล้วแต่เค้าจะพูดนั้นมันก็ยังไกลออกไป ทำได้ก็ดี ก็เพิ่มมากขึ้น แต่ที่ใกล้ๆที่สุดที่ว่าน้ำมีคุณ มีประโยชน์นี่ มันจะต้องนึกถึงก่อน แล้วก็จะช่วยกันรักษาไว้ อย่าให้น้ำมันแห้งไปเสีย เดี๋ยวนี้เกิดทำลายที่เกิดแห่งน้ำ ทำลายป่าเสีย น้ำก็แห้ง แห้งลงไปจนไม่มีจะทำนากินนี่ มันโง่หรือฉลาดลองคิดดู เขาก็สอนไว้ดีแล้วให้รู้จักบุญคุณของน้ำ ของทุกอย่างที่มันมีอยู่ในโลก สมมุติให้เป็นเทวดา มันจะได้ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
น้ำนี้ก็มีเทวดาชื่อพระคงคา ลมก็ชื่อพระพาย แผ่นดินก็ชื่อพระธรณี ไปรู้เองเถอะ มันมีชื่อทั้งนั้น ในลักษณะที่เหมือนกับเทวดา คนนี้โง่ หรือไม่โง่ ที่ไปคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเทวดา อาตมาเชื่อว่าไม่โง่ คนที่ไม่คิดว่ามันเป็นเทวดานั่นมันคือคนโง่ เพราะมันไม่รู้จักเปรียบเทียบ มันไม่รู้จักเปรียบเทียบว่าคุณของสิ่งเหล่านี้มันมหาศาล มันควรจะให้ค่าของมันว่าเหมือนกับเป็นพระเทวดา เป็นพระคงคา เป็นพระธรณีอะไรก็ตาม เพราะคุณค่าของมันมหาศาล กำหนดค่าเหมือนกับเป็นพระ หรือเป็นเทวดา เป็นสิ่งสูงสุด แล้วก็จะไม่ประมาท แล้วก็จะทำให้มันสมกัน แล้วผลนั้นมันก็มาอยู่ที่คนนั้นเอง มาอยู่ในโลกนี้เอง เราจัดการกับสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง ดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรในโลกนี้มันถูกต้อง แล้วมนุษย์ก็จะมีแต่ความผาสุก ที่เขาจัดให้เป็นเทวดา เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งๆๆๆ บูชาให้กันให้ถูกต้อง
คำว่าบูชานี้คือ จัดกระทำให้มันถูกต้อง อย่างน้อยก็รู้สึกบุญคุณของสิ่งเหล่านี้ก่อนแล้วแสดงอาการบูชาออกมา ทั้งการที่จะไหว้เทวดา หรือไหว้ดิน ไหว้น้ำ ไหว้ไฟ ไหว้ลมอะไรให้มันถูกต้อง นี่มันก็มีประโยชน์ เขาทำวิธีไว้ให้ดีแล้ว ตายตัว ก็เรียกว่าเป็นพิธีที่เราจะต้องทำเราทำก็ได้รับประโยชน์แก่ทุกคนในโลก นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่ามันเป็นอย่างนี้ ควรจะทำ หรือไม่ควรจะทำ
ถ้าควรทำ มองเห็นประโยชน์ควรทำก็ช่วยกันทำ มันจะมีประโยชน์จริงๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีประโยชน์แก่ลูกเด็กๆ ลูกเล็กๆที่เขายังไม่เคยรู้อะไร เขาจะได้รู้ แล้วก็จะได้ฝังเข้าไปในนิสัยของเค้าให้มากๆๆ ให้ทุกคนช่วยจำไว้ด้วยว่า ถ้าเราได้ฝังนิสัยอะไรที่เป็นของดีๆเข้าไปในนิสัยของลูกเด็กๆ มาตั้งแต่เล็กๆแล้ว เขาจะปลอดภัย เขาจะมั่นคงอยู่ในวิถีทางที่มันถูกต้อง เขาก็จะเกลียดบาป เขาก็จะรักบุญ เขาก็เป็นคนดีไปได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกเด็กๆนี่เขารู้จักทำพิธีอย่างนี้ หรือหลายๆอย่างที่ได้วางไว้ดีแล้ว ว่าปีหนึ่งเราจะต้องทำอะไรบ้าง พิธีปีใหม่ก็ดี พิธี พิธีมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสฬหบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา ล้วนแต่มีพิธี
จนวันนี้มันก็มีพิธี คือจะลอยกระทง ก็แล้วแต่ว่าจะกระทำได้อย่างไร เพียงไหน จะลอยภายนอก หรือจะลอยภายใน หรือให้มันเนื่องกันไปหมด เมื่อทำถูกต้องแล้วมนุษย์นี้จะประสบความสุขสวัสดี มีๆลาภ มีลาภทั้งทางวัตถุ ทั้งทางจิตใจ คือเป็นมนุษย์ที่มีบุญ ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสงบสุข เพราะเขาได้กระทำทุกอย่างไว้ดี เดี๋ยวนี้ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษทั้งหลายที่ได้ตายไปแล้ว พวกนั้นนะเขาก็ได้ทำแบบฉบับไว้ดี เป็นพิธีที่ดี เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี ที่ให้ลูกหลานจะได้ประพฤติ กระทำโดยง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องคิดนึก เพราะลูกหลานที่โง่เขลามันมีมากเหลือเกิน มันคิดไม่ได้ มันคิดไม่เป็น นี่เขาทำพิธีสำเร็จรูปไว้ให้ ก็ขอให้ทำตามวิธีนั้น อย่างน้อยที่สุดมันก็จะได้ประโยชน์ตามแบบของพิธีนั้นๆ รักษาสังคมของมนุษย์นี้ ของประชาชนนี้ไว้ได้ในทางที่ปลอดภัย คือว่าเขาเกลียดบาป เขารักบุญ เขากลัวบาป แล้วเขาก็ชอบบุญ นี้มันจะอยู่กันไปได้ จนกว่าเขาจะสูงขึ้นไป ถึงขนาดที่เรียกว่าเหนือบุญ เหนือบาป นี่ก็ไว้ที่หลัง ในชั้นนี้เอาแต่ลอยบาปกันเสียก่อน เหลือไว้แต่บุญ แล้วเมื่อใดมันขึ้นไปถึงขนาดที่ไม่อยากจะถูกปรุงแต่งแม้แต่บุญ เราก็ค่อยลอยบุญอีกทีหนึ่ง คิดถึงความว่าง หรือพระนิพพาน
ทีนี้ในการลอยกระทงวันนี้ ใครเพียงลอยบาปได้ก็ดีแล้ว แต่ถ้าใครจะลอยบุญอันสวยงามนั้นไปก็ได้ ก็ดียิ่งไปกว่านั้น ก็คือจะหมดเรื่องที่จะต้องลอย ไม่มีอะไรที่จะต้องลอย มันก็ว่างไปจากปัญหา มันก็ว่างไปจากความทุกข์ แต่ทีนี้ถ้าจะทำให้มันนอกรีตนอกรอยของพิธีออกไป เช่นลอยกระทงนี้ก็ไปรำวงกันบ้าง กินเหล้ากันบ้าง ตีรันฟันแทง ชกต่อยกันบ้าง นี่บาปมันก็ไม่ลอย แล้วบุญมันก็ยังไม่ต้องพูดถึง เพราะบาปมันก็ไม่ลอยแล้ว บาปมันก็มากขึ้น มันก็ไม่เป็นการลอยกระทง แม้ในความหมายไหนหมด มันเป็นการเพิ่มบาป ไว้ไปคิดกันดู
เอาละเป็นอัน เป็นอันว่าวันนี้เราลอยกระทงในทางวัตถุ ก็ลอยลงไปในสระ ในคลอง ในแม่น้ำแล้ว ในทางจิตใจเราก็ยังจะต้องลอยต่อไปให้มากเป็นพิเศษ ในวันนี้ ตลอดวัน ตลอดคืน กลับไปนี้ยังไม่นอน ก็ไปศึกษาอะไร คิดนึกให้มันถูกต้อง มันก็จะเป็นการลอยเรื่อยๆไป ลอยความโง่ อวิชชาซึ่งเป็นแม่บทของกิเลสทั้งหลายเสียก่อน แล้วไอ้ลูกกิเลสทั้งกลายที่จะออกมาเป็นราคะ โทสะโมหะ นี่มันก็ลอย มันควรจะลอยได้มากกว่าปีกลาย ไอ้ความโลภหรือความกำหนัดที่มันมีมากเมื่อปีกลายนั้น ปีนี้ก็ลอยเสียให้มันน้อย ไอ้ความโทสะ ความโกรธ ความพยาบาท ความพลุนพลันอะไรที่ปีกลายมันมากอยู่ ปีนี้ก็ลอยเสียให้มันน้อย ไอ้โมหะ ความมัวเมา งมงาย ปีกลายมันมีมาก ปีนี้ก็ลอยเสียให้มันน้อย พูดกันง่ายๆ ก็คืออย่างนี้ ฉะนั้นก็ยังจะต้องลอยต่อไปไม่สิ้นสุด จนกว่ามันจะหมดของที่ต้องลอย
แล้วทำไมเราพูดกันถึงวันนี้วันเดียว เพราะวันนี้มันเป็นวันที่เราจะคิดบัญชีว่าเราจะลอยได้มากกว่าปีกลาย มารู้กันในวันนี้ว่าจะลอยได้มากกว่าปีกลาย แล้วจะถือเหมือนอย่างว่าวันนี้มันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ของเดือน ๑๒ ก็เป็นโอกาสที่จะลอยเป็นพิเศษ ปีละครั้งๆ ลอยมากเป็นพิเศษ อย่างนี้ก็ได้ ถ้าอย่างนี้แล้วก็ขอให้คิดกันให้มากในวันนี้ คืนนี้ คิดกันให้มากๆ ถึงความชั่ว ถึงกิเลส ถึงอะไรที่มันมีอยู่ ที่มันควรจะลอย ราคะก็ดี โลภะก็ดี โทสะก็ดี โกธะก็ดี พยาบาทก็ดี โมหะก็ดี มานะก็ดี ทิฐิก็ดี อะไรที่มันล้วนแต่เลวทราม แล้วก็มาคิดกันเสียให้มากเป็นพิเศษในวันเพ็ญเดือน ๑๒ คือวันนี้
เรื่องกิเลสนี้เคยบอกมาแล้วว่ามันไม่ยากนะ มันเหมือนกับผี พอรู้จักมันก็จะหนีไปเอง หรือมันเหมือนกับพญามาร พอรู้จักว่ามาร มันก็จะหนีไปเอง ผี หรือมาร หรือไอ้อะไรทำนองนี้ มันๆแก้ได้โดยวิธีเพียงว่ารู้จักมันเท่านั้นแหละ พอรู้จักมันหายทันที พอเรารู้ว่าเราโง่ ไอ้ความโง่มันก็หายทันที พอเรารู้สึกตัวว่าเราโลภ เราละอาย มันก็หายทันที พอเรารู้สึกว่าเราโมโห เราละอาย เราก็หยุดโมโหทันที นี่วิธีมันก็มีอยู่ ว่าให้รู้จักๆ ให้รู้จักสิ่งนั้น พอรู้จักแล้วมันก็จะละลายทันที จะหายไปทันที ผีก็ดี มารก็ดี ในเรื่องราวต่างๆนี่มันเป็นอย่างนั้น
มารเขาก็จะพูดว่า อ้าว,พระสมณะโคดมรู้จักเราเสียแล้ว แล้วมารก็หายวับไปเลย คนเราก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักไอ้สิ่งเหล่านี้ มันก็จะละลายหายไป วันนี้เป็นลอยกระทงก็เอามาคิดให้ดีเป็นพิเศษ เรื่องอะไรที่มันเป็นผีก็ดี เป็นมารก็ดี เอามามองดูให้รู้จักตัว ให้มันหายไปในวันนี้ ตามสัดส่วนที่ควรจะทำได้ ก็จะเป็นอันว่าเป็นการลอยกระทงเพิ่มขึ้นทุกปีๆๆ ฉะนั้นอาสวะก็จะน้อยลง เพราะอนุสัยมันน้อยลง เพราะกิเลสมันน้อยลง หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ถือเอาประโยชน์ของการลอยการะทงในวันนี้ให้ได้ ตามความมุ่งหมายอันตื้น หรือลึกก็แล้วแต่เราจะทำได้ จะให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ เราจะถือว่านี่เป็นวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านจง ท่านได้ทรงตรัสสอนไว้ว่าจงบรรเทา จงละ จงทำลาย จงเว้นขาด แล้วแต่เราจะใช้คำไหน ในเรื่องของอะไร แต่รวมความแล้วมันเป็นเรื่องการละแล้วกัน ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นี่ เราก็จะต้องละตัณหา ต้องฆ่าตัณหา ต้องกำจัดตัณหา ต้องอะไรก็ตาม ทำไปในลักษณะที่ตัณหามันไม่เกิด หรือว่าไอ้ความเคยชินที่จะเกิดตัณหานั้นมันหมดไป หรือว่าอาสวะที่จะให้ตัณหาไหลออกมานั้นมันก็มิได้มีแล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติ โดยหลักแห่งอริยสัจทั้ง ๔ ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์
เป็นอันว่าเราจะสรุปไอ้เรื่องของการลอยกระทงเข้ามาในพระพุทธศาสนาได้ในลักษณะอย่างนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัททุกคนจะรู้จักดำเนินตนให้สำเร็จประโยชน์อย่างที่ว่ามา แล้วเป็นผู้เจริญงอกงามตามทางของพระพุทธศาสนา ด้วยการได้ยิน ได้ฟัง การวิสัชนาที่เป็นเครื่องประดับสติปัญญายิ่งๆ ขึ้นไปจงทุกคนเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้