แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชณาธรรมาเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพุทธศาสนาของสมเด็จของพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะสมควรแก่เวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้นอกจากจะเป็นธรรมเทศนาในวันธรรมสวนะ ตามปกติแล้วยังเป็นธรรมเทศนาพิเศษ ระลึกเหตุดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่ดีว่า เป็นวันบำเพ็ญกุศลเนื่องด้วย (1.27) เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งนิยมกระทำกันอยู่ในถิ่นนี้ โดยเฉพาะวันนี้เรามักจะเรียกกันว่าเป็นวันส่งตายาย ท่านทั้งหลายควรจะระลึกนึกให้ได้ว่า บรรพบุรุษของเราได้จัดวางระเบียบประเพณีอันนี้ไว้เป็นวันรับตายายและวันส่งตายาย บางแห่งก็มีเป็นสามวัน คือวันรับตายาย วันเลี้ยงดูตายาย และวันส่งตายาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ สำหรับคนทั่วไปนับตั้งแต่เด็กๆ เป็นต้นขึ้นมา ให้เข้าใจได้ว่าเราระลึกนึกถึง บรรพบุรุษปู่ยาตายายที่ตายไปแล้ว เชิญมาต้อน รับ เลี้ยงดู อยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้ว ก็ส่งกลับไปตามสมควรแก่อัธยาศัย ความมุ่งหมายทั้งหมดนั้น อยู่ตรงที่ให้เราประพฤติปฏิบัติให้ถูกแก่กาลเทศะในเมื่อจะสมมติว่า มีตายายมาเช่นนั้นจริงๆ เราจะจัดจะทำกันอย่างไร ควรจะทำให้ถูกวิธี คือมีประโยชน์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ สมกับที่เป็นพุทธบริษัท การบำเพ็ญบุญเนื่องในโอกาสเช่นนี้ ก็เป็นการบำเพ็ญทาน เช่นเดียวกับ เกิดมีการเป็นการตาย ทั้งหลาย บำเพ็ญ (3.22) อุทิศแก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วนั้น แต่การจะทำกุศลเพื่ออุทิศส่วนบุญแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น เราเรียกว่า ธรรม นิยมทำในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นการเพิ่มกำลังให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้สืบอายุพระศาสนานั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงมีการให้ทานเป็นไปในหมู่พระภิกษุสงฆ์ โดยวิธีต่างๆ กัน โดยประโยชน์อันนั้น จะไม่ถูกทำลายให้เสียไป คือว่า อย่างน้อยที่สุดก็ได้เป็นกำลังแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้สืบอายุพระศาสนา เป็นตามความประสงค์นั่นทุกประการ โดยที่อุทิศส่วนกุศลหรือว่าจะทำเพื่อเป็นที่ระลึกก็ตาม แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมุ่งหมายที่จะให้ปลูกฝังคุณธรรมที่เรียกว่า ความกตัญญูกตเวที อันเป็นเครื่องหมายของคนดี ให้หนักแน่นมั่นคงลงเป็นนิสัย แก่บุคคลทั่วไป นับตั้งแต่ เด็กๆ ขึ้นมา (4.46) ชักจูงลูกหลานให้มาบำเพ็ญกุศลในวันนี้โดยทั่วกันทุกถ้วนหน้า ควรจะระลึกนึกถึงความมุ่งหมายข้อนี้ไว้ให้แจ่มชัดอยู่เสมอ และพยายามกระทำให้เป็นไปตามความมุ่งหมายนั้นยิ่งขึ้นทุกๆ ปีเป็นลำดับไป ไม่เท่าไหร่ หมู่คณะของพุทธบริษัท นับตั้งแต่เด็กๆ ลงมา ขึ้นไปทีเดียว ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนเป็นไปในทำนองคลองธรรมได้โดยง่าย เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่ตนเองและผู้อื่นในการที่จะอยู่กันเป็นผาสุข สมตามความมุ่งหมายของการเป็นมนุษย์ (5.41) ของพุทธศาสนาทุกประการ
ในโอกาสที่เป็นวันส่งตายายนี้ เรามีธรรมเทศนากันเป็นปกติ ซึ่งในวันนี้ก็จะให้มีอย่างเดียวกัน เราจะถือเอาฤกษ์ในแห่งวันส่งตายายนี้ ว่าเราจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตายายในการที่จะส่งกลับไป นึกดูแล้วไม่เห็นมีอะไรดีไปกว่าที่จะมีของฝากในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์แก่ตายายเหล่านั้น และก็ไม่มีอะไรจะดีหรือจะสูงไปกว่าข้อความซึ่งเป็นธรรมะในพระพุทธศาสนา การจะให้วัตถุสิ่งของมีอาหาร เครื่องนุ่งห่มเป็นต้นนั้น ก็นับว่าเป็นสิ่งที่กระทำมุ่งหมายกระทำและกระทำกันอยู่แล้ว โดยปริยายต่างๆ กันตามที่อยากจะทำ และการจะทำนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นประโยชน์แก่ตายายอย่างยิ่ง สมกับที่เราจะตอบแทนคุณผู้มีบุญคุณเหล่านั้น ในบรรดาการให้ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การให้ความรู้ในทางธรรมนั้น เป็นการชนะการให้ทั้งปวง คือเลิศกว่าการให้ทั้งปวง เมื่อเรานึกถึงข้อนี้แล้ว ก็ควรจะช่วยกันให้ทานธรรม ให้เป็นไปในหมู่บุคคล ที่สมมติเรียกกันว่าตายาย ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น มีมากมายนักและลึกซึ้งหรือมีนัยยะอันวิจิตรต่างๆ กัน เมื่อเรามาคำนึงดูถึงข้อดีว่า หมู่ชนที่เรียกกันว่าตายายนั้นเป็นคนแก่เฒ่า เป็นคนงกๆ เงิ่นๆ มีความจำฟั่นเฟือน และส่วนมากก็ไม่รู้หนังสือ และจะทำอย่างไรดี ในการที่จะให้ได้รับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปให้สมควรกัน เพราะฉะนั้น จำเป็นจะต้องมีการคัดเลือกเอามากล่าว เอามาบรรยาย ให้เหมาะสมกับที่คนแก่งกๆ เงิ่นๆ ไม่รู้หนังสือ จะพาเอาไปได้ การที่จะคัดเลือกข้อธรรมมะมากล่าวนั้น บรรยายอยู่ตรงที่ให้มีความหมายอันถูกต้องและให้อยู่ในคำพูดธรรมดาสามัญ ที่เพียงแต่พูดให้ฟังก็อาจจะเข้าใจได้ หรือจำได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย ลองคิดดูเถิดว่า เราจะพูดกันว่าอย่างไรดี ที่จะเป็นถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจได้ทันที หรือเรียกว่า ปฏิบัติได้ทันทีด้วยซ้ำไป เพราะว่าธรรมะนี้เป็นของแปลก ทำความเข้าใจนั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมะ ทำความเข้าใจได้เรียกว่าปฏิบัติธรรมะสำเร็จ เพราะว่าธรรมะในขั้นนี้ หมายถึงกระทำทางใจเป็นส่วนใหญ่ และไม่ได้หมายถึงการประพฤติปฏิบัติ ในขั้นต้นๆ ที่เป็นทานเป็นศีล หรือแม้แต่ที่เป็นสมาธิมันก็มากเกินไปสำหรับบุคคลประเภทตายาย มันก็จะเหลือแต่ธรรมะประเภทเป็นปัญญา คือว่ารู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่รวมเรียกว่าสังขาร ทั้งหลายนั่นแหละ ในบรรดาความรู้ที่เป็นความรู้เท่าทันสังขารทั้งหลาย และประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ได้นั้น พิจารณาดูแล้วไม่เห็นว่ามีอะไรจะดีไปกว่าถ้อยคำสั้นๆ คือคำว่า ดับไม่เหลือ ซึ่งเป็นคำแปลของคำว่า นิพพาน คำว่านิพพาน แปลว่า ดับไม่เหลือ นิพ แปลว่าไม่เหลือ พานแปลว่าไป ไปไม่เหลือก็คือดับไม่เหลือ ไม่มีอะไรปรากฏอยู่ แต่เนื่องจากคำนี้เป็นคำเข้าใจยาก พูดมากไปตามตัวหนังสือก็ชวนให้ฟั่นเฝือมากขึ้นไปอีก จึงขอให้เหลือใจความแต่เพียงสั้นๆ ว่า เราจะพูดเรื่องนิพพานในฐานะเป็นความดับไม่เหลือ ก็แล้วกัน
ความดับไม่เหลือในที่นี้หมายถึงความไม่เหลือของอะไรเล่า หมายถึงความดับไม่เหลือของความทุกข์ทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวงนั้น อยู่ที่ไหนเล่า ความทุกข์ทั้งปวงนั้นอยู่ที่ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู ที่ใดมีความรู้สึกคิดนึกในทำนองการยืดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูแล้ว ที่นั่นเป็นต้องมีความทุกข์โดยแน่นอน สมตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า (11.23) เบญจขันธ์ ที่ประกอบอยู่ในอุปาทานทั้ง 5 นั่นแหละเป็นตัวทุกข์ ข้อนี้หมายความว่าสิ่งที่ถูกยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูนั่นเอง เรียกว่าเบญจขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน เบญจขันธ์นั้น แปลว่าส่วน ๕ ส่วนเป็นชื่อของสิ่งทั้ง หลายทั้งปวงในโลก ส่วนใดที่เป็นรูปธรรมก็เรียกว่ารูปขันธ์ ส่วนใดที่เรียกว่าจิตเรียกว่าเวทนา สังขาร วิญญาณ รวมความแล้วก็คือ สิ่งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม คือเป็นวัตถุธาตุ กับเป็นวิญญาณธาตุ นั่นเอง หรือเรียกสั้นๆ กว่านั้นก็คือกายกับใจ กายกับใจ สองอย่างนี้ ขยายออกเป็นห้า เรียกว่า เบญจขันธ์ คือว่า รูปขันธ์นั้นเป็นกาย เวทนาสังขารวิญญาณนั้นเป็นใจ หรือว่าใจนั่นแหละอาจจะขยายออกเป็นได้ เวทนา สังขาร วิญญาณ แต่ถ้ามัวพูดอยู่อย่างนี้ ตายายก็ฟั่นเฝือจำอะไรไม่ได้ แม้แต่สักคำเดียว จึงควรจะถือเอาแต่เพียงใจความสั้นๆ ว่า ทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือทั้งวัตถุธาตุและวิญญาณธาตุ ทั้งหมดทุกอย่างทุกประการนั้น ไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเราเป็นของเรา คือไม่ยึดถือสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวกูและของกูนั่นเอง เราต้องสังเกตตรงความรู้สึกที่ว่า ต้องมีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว มันต้องยึดถือเอาอะไรเข้าอย่างหนึ่งแล้ว จะยึดถืออะไรก็ตามใจล้วนแต่เป็นทุกข์นั้น เพราะฉะนั้น ระวังอย่าให้ยึดถือก็แล้วกันมันง่ายดี ถือว่าเมื่อเกิดยึดถือเป็นตัวกูของกูขึ้นมาแล้วต้องดูว่า มันยึดถือที่อะไร ดังนี้จะได้คิดนึกต่อไปเป็นข้อที่ว่า สิ่งที่ยึดถือนั้นเป็นสิ่งที่ยึดถือไม่ได้ แต่มีการยึดถือก็เป็นแต่การกระทำที่จิตใจที่โง่ที่หลงเท่านั้นเอง อยู่เฉยๆ ไม่ไปยุ่งไม่ไปเหนื่อย ไม่ไปยากลำบาก เสียยังจะดีกว่า ดูว่ามีสติปัญญาตามปกติธรรมดา ทำอะไรก็ทำไป ทำได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องยึดถือว่าเป็นตัวกูของกู ถ้าตัวกูของกูไม่เกิดดังนี้ก็เรียกว่า ตัวกูของกูนั่นแหละมันยังดับอยู่ ไม่เกิดขึ้นมา ถ้าเมื่อสามารถทำให้ดับเด็ดขาด ไม่มีเหลือ เกิดได้ต่อไปแล้ว นั่นแหละเรียกว่าดับไม่เหลือ แต่นั่นแหละ นิพพาน การดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือ ของกิเลสที่เป็นตัวกูของกู และเมื่อกิเลสดับแล้ว ความทุกข์ก็ดับไปโดยไม่เหลือด้วย เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือทุกข์เกิดมาแต่กิเลสดังนี้ และเพราะฉะนั้น กิเลสดับไปความทุกข์ก็ดับไป หรือถ้าว่าความทุกข์ดับไป ก็ต้องหมายความว่ากิเลสได้ดับไป หรือถ้าจะกล่าวอย่างที่กล่าวเป็นตัวกูของกูก็เหมือนกัน ถ้าตัวกูของกูดับอยู่หรือดับไปแล้ว ความทุกข์ก็ดับไป การระวังไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกูขึ้นมานั่นแหละเป็นวิธีปฏิบัติเพียงข้อเดียวสั้นๆ ลัดๆ ที่เหมาะกับคนแก่งกๆ เงิ่นๆ ที่ไม่รู้หนังสือ และไม่ต้องคำนึงถึงพระไตรปิฎกมีเท่าไร อรหันต์มีอย่างไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอย่างไร เบญจขันธ์มีอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตามีอย่างไร เหล่านี้ไม่ต้องคำนึงถึงก็ได้ เก็บไปไว้เสียที่ไหนก็ได้ คือไม่ต้องเอามาใส่ใจ ใส่ใจแต่ว่าจะระวังไม่ให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นมาก็แล้วกัน พอความรู้สึกว่าตัวกูของกูไม่เกิดเท่านั้น ในขณะนั้นย่อมถือได้ว่ามีอะไรทั้งหมดคือมีพระธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นในพระไตรปิฎกอยู่ในบุคคลนั้น และมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริงอยู่ในบุคคลนั้น เป็นผู้ที่รู้อะไรทุกอย่างทุกประการซึ่งรวมอยู่ในคำๆ เดียวว่าความไม่ทุกข์ เพราะว่าความรู้ทุกอย่างนั้น ต้องสรุปรวม อยู่ที่ความไม่ทุกข์ทั้งนั้น ว่าโดยที่แท้แล้วแม้ความรู้ทางโลกที่ต่ำที่สุดก็มุ่งหมายที่จะไม่ทุกข์เหมือน กัน เป็นความไม่ทุกข์อย่างโลกๆ อย่างต่ำๆ ส่วนความรู้ในทางธรรมนั้น ก็ยิ่งมุ่งหมายที่จะไม่ให้ทุกข์ ไม่ทุกข์โดยเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวงทีเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า ความไม่ทุกข์นั่นแหละเป็นที่รวมหมดของความรู้ทั้งหลาย ถ้าเมื่อใดมีความไม่ทุกข์แล้ว เมื่อนั้นก็เรียกว่ามีความรู้ และเป็นความรู้ที่แท้จริงไม่ใช่ความรู้ชนิดที่รู้ท่วมหัวและยังเอาตัวไม่รอด ยังมีความทุกข์อยู่นั่นเอง คนทุกวันนี้มีความรู้มากยิ่งกว่าท่วมหัว จริงยิ่งเอาตัวไม่รอด ตามส่วนมากขึ้นไปอีก คือมันยุ่งมากเกินไปจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี มีอะไรมายั่ว มาล้อ มาดึง มาจูง จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ทางกายก็ถูกดึง ทางหูก็ถูกดึง ทางจมูกก็ถูกดึง ทางลิ้นก็ถูกดึง ทางกายก็ถูกดึง ทางใจก็ถูกดึง ถูกดึง ทั้งหกทาง คือทางอายตนะ ที่เรียกว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ความข้อนี้ท่านเปรียบอุปมาไว้เหมือนกับว่าบุรุษจับเอาสัตว์ต่างๆ กัน เช่น งู เช่นจระเข้ เช่นลิง เช่นนก เช่นเหี้ยเป็นต้น มาผูกเชือกกันแล้วผูกเป็นปมเดียวกัน สัตว์ต่างๆ เหล่านั้น ก็จะดึงไปวิสัยของตน จระเข้ก็จะดึงลงน้ำ เหี้ยก็จะดึงเข้าโพรง นกก็จะดึงขึ้นบนอากาศ ลิงก็จะดึงขึ้นไปบนต้นไม้ สุนัขจิ้งจอกก็จะดึงไปในป่าช้าซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน มันจึงเป็นการชักเย่อที่ไม่รู้ว่าจะไปกันทางไหนดี เต็มไปด้วยความลำบาก ตรากตรำอย่างยิ่ง คนเรานี้ก็มีลักษณะคล้ายๆ กันนั้น ตาก็ดึงไป หูก็ดึงไป จมูกก็ดึงไป ลิ้นก็ดึงไป กายก็ดึงไป แม้แต่ใจเองก็ดึงไป ตามวิสัยของตนของตน จิตใจของคนเราจึงเหมือนกับถูกดึงไปทางนั้นที ไปทางนี้ที จึงยากที่จะตั้งตัวได้ ยากที่จะเอาแน่เอานอนลงไปได้ว่าจะเอายังไงกันแน่ เพราะดูมันจะชอบไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละอย่างๆ ก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นจึงมีการขวนขวายมากที่จะเรียนให้รู้ และเอาความรู้นั้นมาเสาะแสวงหาเหยื่อ ให้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ของตน อย่างที่ไม่มีที่จะสิ้นสุดเช่นเดียวกัน อาการที่เรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มันจึงเกิดขึ้นมาเพราะว่ามันมีแต่ความทุกข์มากขึ้น ทั้งๆ ที่ความรู้มันมากขึ้น เพราะว่าความรู้เหล่านั้น มันไม่กำจัดความทุกข์เลย แต่มันกลับส่งเสริมหรืออำนวยให้เกิดความทุกข์ได้มากขึ้น คือรู้จักอยาก รู้จักยึดมั่นถือมั่นที่แปลกๆ ออก ไปนั่นเอง จงได้ดูตัวกูของกูของคนสมัยนี้กันเถิด ว่ามันเป็นตัวกูที่หรูหรารุงรัง มากไปกว่าตัวกูของกูของปู่ย่าตายายแต่เก่าก่อนนั้นสักเท่าไหร่ คนในสมัยโน้น จึงมีแต่เพียงข้าวกิน มีผ้านุ่งก็พอใจแล้วนั้น มันไม่มีตัวกูที่หรูหรารุงรัง มากเหมือนคนสมัยนี้เลย เพราะฉะนั้น นี่เรื่องจริงนี่มาก ตายายจึงสามารถเอาตัวรอดได้ ในการที่จะทำการดับตัวกูของกูได้โดยไม่ยาก พิจารณาดูในข้อที่ว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู เพราะว่าถ้าไปยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกูเข้าที่ตรงไหนแล้วที่จะไม่เป็นทุกข์นั้นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งที่ควรจะยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าไปยึดมั่นถือมั่นเข้าที่สิ่งใดก็จะเป็นความทุกข์ที่สิ่งนั้นทั้งนั้น จึงไม่ควรจะไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ถ้าทำใจกันได้อย่างนี้แล้ว มันก็ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น พอไม่เกิดยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละเรียกว่า ไม่มีตัวกูของกูเกิดขึ้นมา เป็นความดับสนิทอยู่เสมอ เป็นผู้ที่มีความสุขได้โดยไม่ต้องมีความรู้อะไรมากมาย ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติอะไรมากมาย มีแต่ข้าวกิน ผ้านุ่ง ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค พอสมควรแก่อัตภาพก็พอแล้ว และก็ไม่ต้องมีความรู้อะไรมากไปกว่าประโยคสั้นๆว่า ไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะได้กล่าวมาแล้วว่า พระไตรปิฎกทั้งหมดทั้งสิ้นหรือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่นั่น อยู่ตรงขณะที่จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร โดยประการทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะให้จิตใจหยุดไปยึดมั่นถือมั่นหรือเป็นนั่นเป็นนี่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น เอานั่นเอานี่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั้น มีทางเดียวที่จะทำได้โดยการพิจารณาอยู่เสมอว่า ไปเอาอะไรเข้าที่ไหน ไปเป็นอะไรเข้าที่ไหนด้วยความยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะเป็นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง
ที่เราเอา เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นความยึดมั่นถือมั่น เราไม่ฉลาดเหมือนพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าทำกิริยาเหมือน กับว่าเอา เหมือนกับว่าเป็นอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้ทำเพราะความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่เป็นทุกข์ ที่แท้ท่านก็มีอะไร หรือกินอะไร หรือใช้อะไร หรือดำรงภาวะเช่นไร เหมือนกับเราเช่นกัน ท่านเอา ท่านเป็นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาด้วยความยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้เป็นนั่นเป็นนี่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ส่วนพวกเรานั้น จะเอาอะไรสักนิดหนึ่งก็เอาด้วยความยึดมั่นถือมั่น จะเป็นอะไรสักนิดหนึ่งก็เป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นจึงเป็นทุกข์ นี่แหละคือว่าแตกต่างอย่างสำคัญที่แท้จริง ที่เป็นความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาสามัญคือพวกเรากับ พระอริยเจ้า จับใจความได้สั้นๆ ว่า เอาเป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นปุถุชน การเอาการเป็นด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นพระอริยเจ้าซึ่งมีค่าเท่ากับไม่เอาไม่เป็น การเอาการเป็นด้วยความไม่นั้นจะมีทรัพย์สมบัติไว้ เอาเงินเอาทองไว้ แสวงหาอะไรมาไว้ที่เรียกว่าเอา ถ้าเอาความยึดมั่นถือมั่นนั้นด้วยความเป็นของๆ กู มีตัวกูที่เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้แล้วมันก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเอาเป็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ โดยกิริยาอาการแต่จิตใจหาได้ยึดมั่นถือมั่นไว้ อย่างนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าก็มีทรัพย์สมบัติตามที่ควรจะมี ถ้าเป็นพระโสดาบันที่เป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ แล้วก็มีบ้านมีเรือนมีบุตรภรรยาสามีเหมือนเราท่านทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่ามีสิ่งนั้นไว้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้นด้วยความที่ยึดมั่นถือมั่นน้อยกว่าเราไม่มากเท่าเรา จึงมีความทุกข์น้อยกว่าเรา เพราะว่าเป็นผู้ลืมหูลืมตามองเห็นชัดอยู่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ถ้าเผลอไปยึดมั่นถือมั่นบ้างก็นึกได้เร็วกว่าเรา แม้จะมีความยึดมั่นถือมั่นบ้างก็ยังน้อยกว่าเราด้วยอาการที่เบาบาง จึงจัดไว้เป็นพระอริยเจ้า คืออยู่ในพวกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยแน่นอน ในกาลข้างหน้า ส่วนปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั้งหลายทั้งนั้นยึดมั่นถือมั่นอย่างเต็มที่จึงได้เรียกว่าเป็นคนที่มีไฝฝ้าในดวงตาหนา มีธุลีในดวงตาหนา สมกับคำที่เรียกว่าปุถุชนคือคนหนา มีอวิชชาความโง่เขลาปิดบังจิตใจหนา จึงได้ยึดมั่นถือมั่นเต็มที่ มีการเอาการเป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างเต็มที่ จึงได้เป็นทุกข์เต็มที่ หรือว่ามีอะไรไว้มันก็มาอยู่เหนือจิตเหนือใจ มันไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มีสวนก็มาอยู่บนจิตใจ มีนาก็มาอยู่บนจิตใจ มีทรัพย์สมบัติอย่างอื่นก็มาอยู่บนจิตใจ มีลูกมีหลานก็มาอยู่บนจิตใจ ไม่ว่ามีอะไรก็มาอยู่บนจิตใจ เพราะฉะนั้นมันจึงหนักคือเป็นทุกข์ เหมือนกับแบกภาระหนัก ยึดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เกิดความเป็นของตนจากที่เรียกว่า ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเว้ย ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ขันธ์ ๕ นั่นแหละที่เคยเป็นของหนักเว้ยนั่นแหละ มันก็หาเป็นของหนักไม่ มันเป็นของที่ไม่มีน้ำหนักไปเพราะไม่ได้ยึดถือไว้ เหมือนกับเมื่อเราไม่ได้หิ้ว ไม่ได้หาม ไม่ได้แบก ไม่ได้ทูนอะไรไว้มันก็ไม่หนัก พอไม่หิ้วก็ไม่หนักมือ ไม่ทูนมันก็ไม่หนักหัว ไม่แบกก็ไม่หนักบ่า มันจึงเหมือนกับไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้าเกิดยึดถือเหมือนกับแบกกับหามกับทูนแล้วมันก็หนัก ลองคิดดูเถิดว่า จะเอากันอย่างไรดี มีเงินมีทองมีเรือกสวนไร่นา จะเอามาทูนไว้บนหัว อย่างนี้มันจะดีมั้ย หรือว่าวางไว้เฉยๆ ให้มันไปตามเรื่องตามราวจะดีมั้ย จะเอาไร่เอานามาทูนไว้บนหัวนั้น ก็คือความยึดมั่นถือมั่น เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวกูเป็นของกู จะกระวนกระวายอยู่เสมอ นอนก็ไม่หลับสนิท มีแต่ความคิดวุ่นเป็นนิจที่ กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางวันทำงานเป็นไฟเลยทีเดียว แต่กลางคืนก็หาได้หลับไม่ นอนอัดควัน คือนอนคิดนอนนึกวิตกกังวลระส่ำระสายกระสับกระส่าย นอนไม่หลับสนิทจนเคยชินเป็นนิสัย นี่แหละคืออาการที่เรียกว่ามีความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติ ในสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนก็ได้เป็นผู้ที่ตกนรกทั้งเป็น สมน้ำหน้าของมันแล้ว
ทีนี้ถ้าจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า หรือประพฤติปฏิบัติอย่างพระสาวกอริยะสาวกของพระพุทธเจ้านั้น ต้องหัดกันเสียใหม่ คือหัดในการที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร มี(28.56)ไว้ใต้ฝ่าเท้า นี่พูดเพื่อให้จำง่าย สวนมีไว้โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้มาอยู่บนศีรษะเรา แต่มีอาการเหมือนกับอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา คืออยู่ไปตามเรื่องตามราวของมัน เรามีสติปัญญาควบคุมมัน ไม่ต้องไปเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร การที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำให้มันหายไปไหนเสีย ถ้าสติปัญญายังจะต้องการใช้มันอย่างไรก็ทำไปได้ จะต้องการเก็บงำมันไว้อย่างไรก็เก็บงำมันได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องกระสับกระส่ายในทางจิตใจ ซึ่งเป็นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่าเป็นเคล็ดหรือเป็นความลับ หรือว่าเป็นศิลปะ หรือว่าเป็นอะไรแล้วแต่จะเรียก ที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่มนุษย์เราจะไม่ต้องเป็นทุกข์ เหมือนกับที่เป็นทุกข์กันอยู่ตามธรรมดาสามัญ ถ้าเรารู้จักความลับอันนี้ เราก็จะรู้จักอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มีอะไรก็ไม่ต้องทำให้เป็นทุกข์ เพราะว่าเป็นทุกข์นั้นมันเป็นทุกข์เปล่าๆ เป็นทุกข์ไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่าจะเป็นทุกข์จนนอนไม่หลับ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร และก็ไม่มีประโยชน์อะไรในการที่จะรักษาทรัพย์สมบัติเหล่านั้น หรือไม่มีประโยชน์อะไรแก่ลูกแก่หลานแก่เหลนที่เราเป็นห่วงจนนอนไม่หลับนั้น นอนหลับดีกว่า เพราะจะได้มีร่างกายจิตใจผ่องใสแช่มชื่นและสติปัญญาก็จะได้สมบูรณ์ จะได้มีมากพอที่จะคิดจะนึกจะตัดสินใจจะทำอะไรโดยไม่ต้องผิดพลาด แก่ลูกหลานทรัพย์สมบัติเป็นต้นนั่นเอง นี้เรียกว่า เอา หรือมี เหมือนกับว่าไม่เอา หรือไม่มี เหมือนกับที่พระอริยเจ้าท่านเป็นๆ กันอยู่ คือมีอะไรหรือเอาอะไรโดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น และมีค่าเท่ากับไม่ได้เอาไม่ได้เป็นและไม่ได้มี จึงไม่มีความทุกข์ ถ้าเกี่ยวกับความเป็นนั้น มันก็เป็นความยึดถืออย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นยึดถือว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เกี่ยวกับตัวกู ยึดถือว่าเราเป็นบิดามารดาจะต้องมีความทุกข์เกี่ยวกับบุตรตามหน้าที่ของบิดามารดา หรือยึดมั่นว่าเราเป็นเจ้าเป็นนายเค้าเราก็ต้องมีความรู้สึกวิตกกังวลที่ทำหน้าที่เป็นนายเค้า หรือว่าจะยึดถือว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นสามีเป็นภรรยา การนี้ก็ล้วนแต่นำให้เกิดความรู้สึกคิดนึกต่างๆ ที่เป็นไปในทางตัณหาอุปาทาน หรือว่าแปลเป็นความทุกข์ทั้งนั้น หรือล้วนเป็นความรู้สึกว่าเราเป็นคนมั่งมี หรือเป็นคนยากจน อย่างนี้ก็ยังทำให้จิตใจกระสับกระส่ายไปตามอาการของคนที่รู้สึกว่า ตัวกูมั่งมีหรือตัวกูยากจน เมื่อเราถูกด่าหรือเราด่าเขา ตัวกูของเราก็มีอาการเป็นผู้ด่าเขา เป็นผู้ถูกเขาด่าซึ่งล้วนแต่ไม่สงบทั้งนั้น เป็นไปด้วยความเร่าร้อนกระวนกระวายระส่ำระสายทั้งนั้น เมื่อรู้สึกว่าถูกเขาทำ เราเป็นผู้แพ้ เขาเป็นผู้ชนะเราก็มีความทุกข์อย่างผู้แพ้ ถ้าเราเป็นผู้ชนะ เราก็มีความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ตามวิสัยของผู้ชนะ เป็นความวิตกกังวล ว่าจะกลับแพ้ดังนี้เป็นต้น รู้อยู่ดีว่าผู้ชนะนี้จะต้องถูกจองเวร เพราะฉะนั้นการที่รู้สึกว่าเราเป็นอะไรนั้น ล้วนแต่เป็นทุกข์นั้น ไม่นึกถึงซะเลยจะดีกว่า แต่ให้มีสติปัญญารู้ว่า ในกรณีนี้เราจะต้องจัดการอย่างไร ในกรณีที่เราเป็นคนยากจนก็ดี เป็นผู้ถูกเค้าด่าก็ดี เป็นผู้แพ้ก็ดี เราไม่ต้องมีความสำนึกว่า ตัวกูถูกทำอย่างนั้นแล้วก็เสียอกเสียใจ หรือหลงระเริง แต่จะมีเพียงความรู้สึกที่เป็นสติปัญญาว่า เมื่อมันเกิดขึ้นเช่นนี้ เราควรจะจัดจะทำอย่างไรก็พอแล้ว แล้วก็จัดก็ทำไปตามที่สติปัญญานั้นมีอยู่ ด้วยจิตใจที่สงบ ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ ที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ถ้าจิตหวั่นไหวต่ออารมณ์ที่เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันคงมืดไปหมด ไม่มีสติปัญญาอะไรที่ไหนที่จะมาช่วย ให้เกิดความสว่างไสวแจ่มแจ้งและมั่นคงได้ มันจึงทำผิดพูดผิดต่อไป หรือคิดผิดต่อไป เรื่องก็เป็นไปในทางที่จะเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้นเอง ความทุกข์ลุกลามมากขึ้นเท่านั้นเอง นี่แหละที่เรียกว่าความไม่ดับ และมันยังก่อเกิดมากขึ้น เป็นไฟกองใหญ่ทีเดียว ไม่ใช่เป็นไฟที่ดับลงไปแต่เป็นไฟที่กลับลุกมากขึ้น มากขึ้นเท่าที่อายุมากขึ้นทีเดียว จึงกลายเป็นผู้ที่เสียหาย เสียหายอย่างที่เมื่อประหลาดตัว กลัวสูญเสียสิ่งที่ควรจะได้ คือความสงบเย็น ที่มนุษย์ควรจะได้นั้น หมดสิ้น และก็เป็นความเสียหายที่ไม่มีอะไรก็เป็นความเสียหายมากไปกว่าสิ่งนี้แล้ว แต่คนทั้งหลายก็ไม่กลัว เสียเงินกับสตางค์หนึ่งก็ยังกลัว มากกว่าที่จะสูญเสียความสงบของมนุษย์ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี้เป็นความเข้าใจผิดกันที่นี้ และเดี๋ยวนี้เอง เป็นการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กันที่นี้และเดี๋ยวนี้เอง มันจึงได้มีอาการแห่งความทนทุกข์ทรมาน เหมือนกับรับเอากงจักรมาใส่ไว้ที่ศีรษะให้มันพัดศีรษะอยู่ตลอดเวลาไม่มีสร่าง แล้วก็หลงทำผิดว่า การถูกทำอย่างนั้นกลับเป็นความดีเห็นเลือดที่ไหลแดงฉานนั้นเป็นความสนุกสนาน เป็นความเอร็ดอร่อยไปด้วยความเข้าใจผิด เพราะว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมาจากความโง่ความหลงหรืออวิชชาอุปปาทานนี้ มันไม่แสดงความเจ็บปวดเหมือนกับกงจักรเหล็กมาฟันที่หัว แค่มองเป็นกงจักรในทางจิตทางใจ มันฟาดฟันภายใน ทางจิตทางใจคนจึงไม่เข้าใจและรู้จักมันไม่ได้
(36.41) การทำอย่างนั้นเลยให้มีความรู้สึกกงจักรพัดอยู่ที่ไหน มีเลือดแดงฉานอยู่ทีไหน เป็นความเจ็บปวดอย่างไร ก็ล้วนแต่ไม่รู้ทั้งสิ้น มีแต่ความหัวเราะร้องไห้อย่างโง่ๆ เขลาๆ สลับกันไปตลอดวัน ตลอดคืน มีการพูดพร่ำไปตามความไม่รู้พูดพร่ำไปตามความยึดถือในตัวกูในของกู อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอไป นั่นแหละคืออาการที่เรียกว่าเหมือนกับกงจักรพัดศีรษะ เลือดสาดอยู่แดงฉานไปหมด การเป็นอยู่อย่างโง่เขลาตลอดวันตลอดคืนนั่นแหละคืออาการของการที่กงจักรพัด ให้เลือดแดงฉานอยู่ตลอดเวลา แต่ใครรู้จักบ้างใครรู้สึกบ้าง ให้มันรู้จักสงบปากสงบคำหยุดพูดกันเสียบ้าง หยุดอวดหยุดอวดดิบอวดดี พูดนั่นพูดนี่ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ได้ทั้งวันทั้งคืนบ้าง ส่งเสียงหนวกหูคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เป็นเสียงที่ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเป็นเสียงของความโง่ความหลง ที่พูดไปตามความยึดถือว่าตัวกูว่าของกูเท่านั้นเอง นี่แหละเป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นประจำธรรมดาสามัญทั่วไปหมด ไม่มีทางที่จะยังไม่เห็นทางที่จะรื้อฟื้นแก้ไข ให้สูญสิ้นไปได้อย่างไร เป็นที่น่าสมเพชเวทนาแก่ตายายยิ่งนัก เพราะว่าตายายที่ไม่ค่อยจะรู้หนังสือมักจะมีอาการอย่างนี้เสียโดยมาก และไม่ต้องกลัวดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าจะรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือนั้นไปเป็นประมาณ ขอแค่ให้มารู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน มารู้เรื่องที่ว่าอย่าไปยึดถืออะไร โดยความเป็นตัวกูของกูนี่แหละ ให้มีจิต ใจว่างจากตัวกูของกูแล้วก็แล้วกัน เพราะว่าจิตใจว่างจากตัวกูของกูนั้นย่อมฉลาดอยู่ในตัวมันเอง เพราะว่ามันเป็นความสงบอยู่ในตัวมันเองก่อน เมื่อมีความสงบแล้ว มันยิ่งมีความรู้ที่ถูกต้อง จะจำอยู่ที่นั้น จะไม่พูดอะไร จะไม่ทำอะไรชนิดที่จะให้เป็นความทุกข์ได้เลย มันรู้จักอยู่นิ่งๆ เหมือนก้อนหินที่มันรู้จักอยู่นิ่งๆ ไม่กระวนกระวายไม่ระส่ำระสาย จะเรียกว่ามันมีความฉลาดเต็มที่แล้วที่ไม่ทำความยุ่งยากระส่ำระสายเกิดขึ้น จิตใจที่สงบ จึงมีค่ามีความรู้เท่ากับอะไรทั้งหมด ก็สามารถทำให้เกิดความสงบเย็นได้ ไม่มีความทุกข์ความร้อน เป็นยอดของความรู้ทั้งหลายทั้งปวง นี่แหละเรียกว่าเมื่อจิตสงบแล้ว ความรู้ย่อมมีอยู่โดยสมบูรณ์ เมื่อจิตว่างจากตัวกูของกูแล้ว สติปัญญาย่อมตั้งมั่น ย่อมคงอยู่ประจำจิตใจเป็นที่พึ่งได้ คือไม่มีทางที่จะให้ไปทำอะไรผิด และไม่ทำอะไรด้วยกิเลส (40.12) ทำไปด้วยจิตที่สงบ ทำไปด้วยจิตที่เป็นปกติ จะเรียกว่า สติปัญญาอย่างยิ่งอยู่แล้ว จึงไม่มีความทุกข์เลย คอยสังเกตความข้อนี้ให้มากๆ ด้วยกันทุกคน เพราะว่าจะเป็นผู้หยุดจะได้พึ่งอาการที่น่าทุเรศเวทนาเป็นอาการของสาธุชนในนรกอันเป็นโดยไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว เราไม่มีนรกอะไรที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านรกอย่างนี้ เพราะว่านรก ที่ตกแล้วถูกปล้น ถูกฆ่า ถูกแกงนั้น ยังไม่ตกแน่ เพราะ ว่าเรายังไม่ทำความชั่ว ความบาปหยาบช้าอะไร แต่ว่านรกที่ทำบาปหยาบช้าอะไร แต่เก่งในการยึดมั่นถือมั่นตัวกูนั้นมองไม่เห็น จะตกอยู่แล้วตั้งแต่เกิดมาและกำลังตกอยู่ทุกวันๆ ทีเดียว เป็นนรกที่น่ากลัวกว่านรกที่เขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์ ถูกเผาถูกแทงถูกตบถูกตีถูกทึ้งอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มันเป็นไปแต่ในทางร่างกายเท่านั้น แต่มันตายเสีย มันก็หมดเรื่องกันไป ถ้ายังเป็นอยู่มันก็ถูกทรมานทางกาย มันสลบไป หลับไป มันก็ไม่รู้สึกได้ แต่ว่านรกในทางจิตทางใจนี้ มันทำให้หลับไม่ลง สลบก็ไม่ลง อะไรๆ ก็ไม่ลง ล้วนแต่ทรมานทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นอยู่ด้วยความทนทุกข์ทรมานทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ควรจะรู้จักทำตนให้พ้นนรกชนิดนี้อีกทีนึง แต่เป็นสิ่งที่อาจจะทำได้โดยอาศัยสติปัญญาที่จะเกิดขึ้นมาจากการไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูของกูตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนนั่นเอง และในครั้งพุทธกาล คนแก่ไม่รู้หนังสือได้ยินได้ฟังอะไรเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เรื่องนั้นเรื่องนี่เลย แต่ก็ได้ฟังเรื่องให้ถอนเสียเรื่องความยึดมั่นว่าตัวกูของกู มองเห็นจริงใจตรงที่นั่งนั้นเอง กลายเป็นพระอรหันต์ไป โดยไม่ต้องกรวดร้องท่องบ่นอะไร โดยไม่ต้องจดจำอะไรให้เหนื่อยยากลำบากให้เวียนหัว แต่กลับเป็นผู้รู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างได้อะไรหมดทุกสิ่งทุกอย่าง คือได้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบถ้วน หรือว่าได้ความรู้ในพระไตรปิฎกตั้งแต่ ๘๔,๐๐๐ ธรรม ขันธ์ครบถ้วนไปอยู่ในบุคคลนั้น เพราะการดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง เป็นผู้ได้หมดทั้งที่ไม่รู้หนังสือ ทั้งที่เป็นคนแก่อายุมากแล้ว จำอะไรไม่ได้ท่องอะไรไม่ได้ จึงถือว่านี้เป็นสิ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับที่จะเป็นของขวัญฝากไว้แก่ตายายที่ไม่รู้หนังสือ แก่อายุงกๆ เงิ่นๆ แล้วก็ยังพอจะฟังได้ว่า ดับไม่เหลือนี้ ช่างประเสริฐจริง มีลมหายใจอยู่ก็น้อมไปเพื่อแต่จะดับ ไม่เหลือแห่งตัวกูของกูนี้อย่างเดียว คอยถึงวาระสุดท้ายร่างกายนี้จะแตกดับไป จะต้องละจากโลกนี้ไป จะต้องทิ้งลูกทิ้งหลานไป ก็สมัครใจที่จะดับไม่เหลือ ตัดใจแน่วแน่ ในความดับไม่เหลือ ให้จิตดับไปพร้อมกับร่างกายด้วยสติปัญญาอย่างยิ่งว่า การดับไม่เหลือเป็นสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง เราสมัครใจที่จะดับไม่เหลือโดยประการทั้งปวง ปล่อยให้กายและใจดับไปด้วยความปลงตกแน่นอน เฉียบขาดลงไปอย่างนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อมไปสู่ความดับไม่เหลือหรือพระนิพพานได้โดยง่ายดายดังนี้ ตายายจึงควรจะเตรียมไว้แต่เพียงสองอย่างว่า มีลมหายใจอยู่ ก็ระวังให้ดับไม่เหลือไม่มีตัวกูของกูเกิดขึ้น และมุ่งหมายว่าดับไม่เหลือเด็ดขาดของตัวกูของกูนี้แหละ คือสิ่งที่ประเสริฐสุดนี้อยู่เป็นประจำทุกลมหายใจเข้าออก จนถึงวาระสุดท้ายที่จะต้องแตกดับ แตกตายทลายขันธ์ ก็ลงไปอย่างเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่งว่าสมัครดับไม่เหลือ มีชีวิตอยู่หายใจอยู่ก็ต้องความดับไม่เหลือ พอชีวิตจะแตกดับลงไปจริงๆ ก็เดินลงไปสู่ความดับไม่เหลือจริงๆ เรื่องมันก็สั้น เพียงแค่นี้เอง ไม่ต้องมีการเรียนมากท่องมากจำมากหรือปฏิบัติมาก ปฏิบัติแต่เพียงมองเห็นความไม่มีทุกข์เลย ในความดับไม่เหลือแห่งตัวกูและของกู คอยจ้องอยู่แต่อย่างนั้น ถ้าจะทำอะไรไปก็ทำด้วยสติปัญญาที่เกิดมาจากความดับไม่เหลือแห่งตัวกูของกู จนถึงวาระสุดท้าย ก็จะกลายเป็นบุคคลที่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มาพบกับพุทธศาสนาเลย ทุกคนควรจะถือว่าของขวัญอันนี้เป็นของฝากตายาย ถ้าตัวเองแก่ชราเป็นตายายเสียเองก็จงถือเอาของขวัญอันนี้ แต่ถ้ายังหนุ่มแน่นอยู่จะเป็นตายายในโอกาสอันหน้า ก็เตรียมตัวที่จะรับเอาของขวัญอันนี้ไป สำหรับใช้อยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะเป็นตายาย เป็นอันว่าให้มีอะไรที่ไหนไม่มีบุคคลใดที่ไหนที่จะไม่ต้องอาศัยการดับไม่เหลือ แม้แต่ยังเด็กๆ อยู่ไม่รู้ความเข้าใจในเรื่องความดับไม่เหลือก็ยังจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพื่อจะไม่ต้องหัวเราะร้องไห้สลับกันไปเหมือน กับคนทั้งหลาย แต่มีสติปัญญาที่จะทำอะไรจะพูดอะไรจะคิดอะไร หรือจะเล่าเรียนศึกษาอะไรก็ตาม ในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์เลย ในลักษณะที่ไม่มีการระส่ำระสายวุ่นวายชนิดที่ความรู้ท่วมหัวแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอด แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงก็กลายเป็นคนเจ้าทุกข์มากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะการทำผิดคิดผิด เพราะการตั้งใจผิดก็ดำเนินไปผิด เพราะความไม่รู้เท่าถึงการณ์ในเรื่องของการดับไม่เหลือ (46.58) แม้เด็กบางคนก็ยังเป็นพระอรหันต์ได้ ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์และแม้จะไม่มีมากนักแต่ก็เชื่อกันว่าเด็กบางคนก็อาจจะรู้เรื่องความดับไม่เหลือหรือเข้าใจความดับไม่เหลือได้ ถ้าเด็กจะกลายเป็นได้อย่างนั้นก็นับว่าดีกว่าตายาย คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับตั้งแต่ยังเด็กทีเดียว ควรจะแนะนำให้สนใจกันบ้างให้โอกาสที่จะได้ฟังได้คิดได้นึกได้รู้สึกในเรื่องการดำรงจิตไว้ไม่ให้เป็นทาสแห่งตัณหา ให้เป็นภัยแก่ตัวด้วยการรู้จักทำไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเข้าด้วยกิเลสความโง่ความหลง และให้มีสติปัญญาควบคุมตนเองได้และควบคุมสิ่งทั้งหลายนอกนั้นได้ แม้สิ่งทั้งหลายที่เกิดเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ทำความทุกข์ให้แก่ตนได้ ให้ชี้ทางไปเลย เพราะว่าเป็นการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่คนหนุ่มคนสาว คนกลางคน และคนแก่คนเฒ่าคนชรา สมกับที่เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท คือเป็นบริษัทของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ตามนัยยะที่กล่าวไว้ว่า (48.28) พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมรุ่งเรืองอยู่ได้ด้วยปัญญาดังนี้ ไม่ได้รุ่งเรืองอยู่ด้วยสิ่งอื่นเลย แต่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญาที่ทำลายได้ซึ่งกิเลสตัณหาอันเป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู โดยนัยยะที่วิปัสสนามาก็พอสมควรแก่เวลา เอวัง (48.57) ด้วยประการฉะนี้