แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเนื่องในวันสงกรานต์ ดังที่ท่านทั้งหลายก็พอจะทราบได้กันอยู่เป็นอย่างดีแล้วทุกท่าน ธรรมเทศนาจึงเนื่องด้วยคำว่า "สงกรานต์" เป็นส่วนใหญ่ คำว่าสงกรานต์ คำนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่าก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้
โดยเฉพาะคำว่าสงกรานต์แปลว่าการก้าวหน้า เราก็จะต้องรู้เรื่องการก้าวหน้าของเวลาเป็นส่วนสำคัญ จึงจะเรียกได้ว่ารู้เรื่องสงกรานต์ คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆมันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้
ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา
ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน
สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา การที่เวลากินคนนั้นไม่เป็นของสนุกเลย หมายความว่ามีความทุกข์ร้อนนานาประการเกี่ยวกับการที่เวลามันล่วงไปๆ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากก็ร้อนใจอยู่ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือยังทำอะไรไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ยังหิวยังกระหายอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่าคนลำบากเดือดร้อนเพราะถูกเวลากิน เพราะว่าเขาไม่เป็นผู้รู้ธรรม ไม่รู้จักปล่อยวางสิ่งทั้งปวง อย่าให้มารบกวนจิตใจ ถ้าเราพิจารณาดูอีกทางหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมะนั้นย่อมเดินถอยหลัง เพราะถูกเวลากิน ไม่มีการก้าวหน้า คนโง่ คนพาล คนเขลาชนิดนี้ย่อมไม่มีสงกรานต์กับใครเลย เพราะว่าเขาไม่ก้าวหน้า แต่กลับถอยหลังไปเสียอีก ถ้าบุคคลผู้ใดรู้ธรรม บุคคลนั้นก้าวหน้าเรื่อยไป บุคคลนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้า
แต่ถ้าพูดว่าสงกรานต์ สงกรานต์แล้วก็เป็นกันทุกคน พูดเป็นกันทุกคน ถ้ายิ่งเล่นสงกรานต์ เช่น สาดน้ำ เป็นต้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเป็นกันทุกคน แต่คิดๆดูเถิดว่า มันเป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด การเล่นสงกรานต์เพียงเท่านั้นมันจะเป็นสงกรานต์ คือเป็นความก้าวหน้าไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่มัวแต่เหลวไหลอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีการก้าวหน้า ถ้าเป็นสงกรานต์จริงๆ มันต้องเป็นการก้าวหน้า คือมีจิตใจที่ก้าวหน้า เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงพูดว่า คนที่ไม่รู้ธรรมะย่อมถอยหลัง ไม่มีการก้าวหน้า ไม่มีสงกรานต์ คนที่มีความรู้ธรรมะเท่านั้น ที่มีการก้าวไปข้างหน้าและมีสงกรานต์ คนมีธรรมะนั้นไม่ถูกเวลากิน แต่เป็นผู้กินเวลา คนไม่มีธรรมะนั้นถูกเวลากิน เรื่องของ เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอยู่ตรงที่ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ถ้าก้าวหน้าก็มีสงกรานต์ ถ้าไม่ก้าวหน้าก็ไม่มีสงกรานต์ แม้จะโห่ร้อง ตะโกนก้องกันอย่างไร จะทำพิธีรีตองกันอย่างไร มันก็ไม่มีสงกรานต์ที่ถูกต้องไปไม่ได้ ถ้าจะเรียกว่าเล่นสงกรานต์ ก็เป็นการเล่นของคนโง่ที่ไม่รู้จักว่าสงกรานต์คืออะไรอยู่นั่นเอง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระพุทธภาษิตนี้ก็เนื่องด้วยสงกรานต์ คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นคนทั้งหลายจงรีบถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ไม่ประมาทก็คือจัดทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ให้เป็นไปในทางก้าวหน้า ให้ก้าวไปๆเสียจากความทุกข์ ให้ออกไปจากความทุกข์ให้ได้ นั้นก็เป็นความก้าวหน้า นี้ถ้าเราจะเรียกกันว่า สงกรานต์คือความก้าวล่วงไปปีหนึ่งนั้น มันก้าวล่วงไปอย่างไร ถ้าถือเอาตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันก็ต้องก้าวล่วงไปด้วยความดับทุกข์ คือดับทุกข์ได้มากขึ้น เวลาล่วงไปปีหนึ่งๆ ก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น ใกล้ความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ยิ่งขึ้นไปทุกที เดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นอย่างไรก็ขอให้พิจารณาดูตัวเอง สอบสวนตัวเองดูให้ดีด้วยกันจงทุกคนเถิด
ถ้าจะให้มีการก้าวหน้าไปตามทางธรรม ก็จะต้องพิจารณาธรรม จะต้องรู้จักธรรม รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรม แล้วก็รู้ได้ว่าตนเองกำลังมีธรรมหรือไม่มี กำลังเจริญไปในทางธรรมหรือไม่มี ทีนี้จะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด ก็ยังคงใช้เวลานั่นเองเป็นเครื่องวัด ถ้าเราก้าวหน้า เวลาก็แพ้ ถ้าเราไม่ก้าวหน้า เวลาก็ชนะ สำหรับบุคคลทั่วๆไปในประเทศไทยเรา ซึ่งถือวัฒนธรรมอินเดียมาแต่โบราณกาลนั้น ก็น่าจะได้ใช้หลัก ๔ ประการของชาวอินเดียมาเป็นเครื่องวัดดูบ้างก็ได้ หลัก ๔ ประการนี้มีอยู่ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายแบ่งเป็น ๔ ตอน
ตอนที่ ๑ เรียกว่า พรหมจารี คือ เป็นเด็กขึ้นมาจนถึงเป็นหนุ่มเป็นสาว
ตอนที่ ๒ เรียกว่า คฤหัสถ์ คือ เป็นผู้ครองเรือน เป็นภรรยาสามี เป็นบิดามารดา ประกอบการงานเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ ทีนี้ก็มาถึง
ตอนที่ ๓ เรียกว่า วนปรัสถ์ คือ ผู้หลีกออกหาความสงบ รู้สึกว่าพอกันทีกับเรื่องธุระการงาน ก็หลีกออกหาความสงบอยู่ ทีนี้มาถึง
ตอนที่ ๔ เรียกว่า สันยาสี คือ ทำตนให้เป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่น อย่างน้อยก็เป็นที่ปรึกษาหารือของลูกของหลาน ของชาวบ้าน ของเพื่อนบ้านทั่วๆไป ในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหนทางผิดทางถูก อย่างนี้เป็นต้น
ท่านทั้งหลายทุกคน จงพิจารณาดูให้ดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าคนที่เกิดมานี่มีสักกี่คนที่ได้ก้าวหน้าไปจนครบทั้ง ๔ ตอนเช่นนี้ ตอนที่ ๑ เป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว เรียกว่าพรหมจารีนี้ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า เด็กบางคนไม่มีความก้าวหน้า แม้ในวัยในตอนของพรหมจารี คือเป็นผู้เหลวไหล เรียน ศึกษาเล่าเรียนก็ไม่สำเร็จ ไม่เคร่งครัด มัธยัสถ์หรือสำรวมในระเบียบวินัยของบุคคลผู้เป็นพรหมจารี กลายเป็นคนเหลวแหลกไปตั้งแต่เล็กๆเด็กๆอย่างนี้ เรียกว่าแม้แต่ตอนที่ ๑ หรือวัยพรหมจารีก็ยังไม่ก้าวหน้า เพราะไปทำผิดกันเสีย ทำไขว้กันเสีย เช่น เด็กๆก็ไปสาระวนแต่เรื่องกามารมณ์ เรื่องเพศ ก็เลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพรหมจารีให้ถูกต้อง กล่าวคือ การศึกษาเล่าเรียนอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติในระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด
ทีนี้พอมาถึงตอนที่ ๒ ที่เรียกว่าเป็นคฤหัสถ์ ก็เหลวไหลอีก เพราะว่ามันเหลวไหลไปเสียแล้วตั้งแต่ มาเสียแล้วตั้งแต่ตอนต้น คือตอนพรหมจารี มันก็เป็นคฤหัสถ์ที่ครองเรือนที่ดีไม่ได้ เป็นสามีภรรยาที่ดีไม่ได้ เป็นบิดามารดาที่ดีไม่ได้ มันก็ไม่ก้าวหน้า แล้วยิ่งกว่านั้น มันก็ยังยิ่งเป็นคนโง่ คนหลง คนเขลามากขึ้นทุกที ไม่รู้จักเรื่องของความสงบ จึงไม่มีตอนที่ ๓ คือไม่มีตอนวนปรัสถ์ที่ออกหาความสงบ แล้วมันก็ไม่มีตอนที่ ๔ คือการที่จะทำตนให้เป็นแสงสว่างแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่าเกิดมาทั้งทีเสียชาติเกิด เป็นพรหมจารีที่ดีก็ไม่ได้ เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก็ไม่ได้ ส่วนเป็นวนปรัสถ์หรือสันยาสีนั้นไม่ต้องพูดถึง คนเหล่านี้ก็มีอยู่โดยมาก เห็นๆกันอยู่ทั่วๆไปคือคนเหลวไหล
นี้ถ้าว่าเป็นคนดีมีธรรมะชนิดที่จะกินเวลาได้จริงๆแล้ว จะต้องเป็นคนกระทำถูกต้องมาครบทั้ง ๔ ตอน คือตอนที่ ๑ เมื่อเป็นพรหมจารีก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่มีการทะลุอำนาจแก่กิเลส เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องผ่านไปด้วยดีในวัยพรหมจารี นี้เรียกว่าความก้าวหน้าอย่างยิ่งของบุคคลนั้น
พอมาถึงตอนที่ ๒ เป็นคฤหัสถ์ที่ดี คือเป็นสามีภรรยาที่ดีที่น่าเสื่อมใส เป็นบิดามารดาที่ดี อย่างที่เรียกว่าน่าเสื่อมใส ในเวลาอันไม่นาน ก็ถือเอาประโยชน์จากความเป็นคฤหัสถ์นั้นได้สำเร็จ คือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีมิตรสหายบริวารพอตัว นี้เรียกว่า ชัยชนะของคฤหัสถ์ มีอยู่อย่างนี้และเพียงเท่านี้ คือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีมิตรสหายที่ดีงามแวดล้อมพอตัว ไม่ต้องมีอะไรมากไปกว่านี้ก็ถึงความเต็มเปี่ยมของความเป็นคนได้ในวัยคฤหัสถ์ หรือตอนที่ ๒
เมื่อวัยคฤหัสถ์เป็นไปด้วยความก้าวหน้าเต็มที่อย่างนี้แล้ว ก็เป็นการง่าย ไม่ยากเลยที่จะมาสู่วัยที่ ๓ คือวนปรัสถ์ แปลว่าหลีกออกหาความสงบ ตามตัวหนังสือแปลว่าอยู่ป่า แต่ตามความหมายแปลว่า หลีกออกหาความสงบ จะหลีกออกไปอยู่ตามกอกล้วยกอไผ่ ริมบ้านริมเขตบ้านก็ได้ หรือแม้แต่จะมีห้องพิเศษส่วนตัวพักอยู่ด้วยความสงบสงัดตลอดเวลา ไม่วุ่นวายด้วยผู้อื่นก็ยังได้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องออกไปอยู่ตามป่าตามเขาไปเสียทั้งหมด คนผู้เบื่อต่อกิจการงานของฆราวาสแล้ว หลีกออกไปหามุมสงบมุมใดมุมหนึ่งที่ตรงไหนก็ได้ เรียกว่าวนปรัสถ์ ทั้งนี้ก็เพื่อผลคือ จะได้พิจารณาสิ่งต่างๆหรือชีวิตในหนหลังอย่างถูกต้อง แล้วมีจิตหยุดด้วยความเพียงพอ ด้วยความรู้จักอิ่มจักพอในเรื่องของโลกๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ที่พูดเป็นสำนวนโวหารเขาพูดว่า ไอ้เรื่องโลกนี้พอกันที ต้องการจะแสวงหาประโยชน์อย่างโลกอื่นหรือเหนือโลก จึงไม่สนใจเรื่องเงินเรื่องของ เรื่องเกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนาอะไรต่อไป เป็นผู้หยุดตัวเองในเรื่องนั้น มุ่งหน้าหาแต่โลกแห่งความสงบ อย่างนี้ไม่กี่ปีก็เป็นผู้พบความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่สูงขึ้นไปกว่าเรื่องเงินๆทองๆ นี้เป็นวนปรัสถ์ วัยที่ ๓ ก็เป็นความก้าวหน้าด้วยเหมือนกัน
ทีนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะมีอายุตั้ง ๘๐ ปี ๙๐ ปีแล้วก็ตาม ก็ทำตนให้เป็นแสงสว่างแก่ลูกหลาน เป็นที่พึ่งทางจิตทางวิญญาณแก่เพื่อนมนุษย์รอบด้าน ใครมีปัญหาอย่างไรก็สามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เป็นแสงสว่างของคนทุกคนดังนี้ เรียกว่าเป็นความก้าวหน้าในอันดับสุดท้าย
ท่านผู้ใดมีความก้าวหน้าได้อย่างนี้ ก็เรียกว่าได้ก้าวไปถึงความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นคน ถ้าไม่ก้าวหน้าไปได้ในลักษณะอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นคนกลวง เป็นคนที่กลวงเป็นโพรง ไม่มีความเต็มแห่งความเป็นคน ก็คือไม่มีความก้าวหน้า
ทีนี้เราก็มานึกกันดูถึงความก้าวหน้าที่เรียกว่า สงกรานต์ ล่วงไปปีหนึ่งๆๆ มันก้าวหน้าอย่างไรหรือไม่ ผู้ใดอยู่ในวัยพรหมจารี คือคนโสด ก็ต้องดูให้ดีว่าทุกปีมันก้าวหน้าไปถูกต้องในการศึกษาเล่าเรียน การประพฤติปฏิบัติในระเบียบ ศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด เราเป็นผู้มีการปฏิบัติที่ก้าวหน้าในเรื่องนี้ ชมเชยตัวเองได้ในเรื่องนี้ นี่แหละจึงจะมีสงกรานต์แต่ละปีๆ เป็นสงกรานต์ที่แท้จริงของพุทธบริษัท ทีนี้ถ้าว่าตั้งอยู่ในวัยที่ ๒ ในตอนที่ ๒ คือเป็นคฤหัสถ์ ก็ต้องดูให้ดีว่า แต่ละปีๆมันก้าวหน้ามาในลักษณะของความเป็นสามีภรรยา บิดามารดาที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ทุกปีๆๆเป็นที่น่าพอใจ น่าเลื่อมใสแก่ตัวเอง มีความเคารพตัวเอง นับถือตัวเองได้มากขึ้นทุกปีๆ นี้แหละเรียกว่าก้าวหน้า หรือเป็นสงกรานต์ ทีนี้ถ้าว่าเป็นเรื่องหลีกออกอยู่ป่า ข้อนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะว่าถ้าเจริญก้าวหน้ามาถึงขนาดที่หลีกออกหาความสงบได้ดังนี้แล้ว มันเป็นความก้าวหน้าทางจิตทางวิญญาณอยู่ตลอดเวลา มันจึงเป็นสงกรานต์ เป็นความก้าวหน้าอยู่ในตัวตลอด ทุกๆเวลา ทุกๆวัน ทุกๆนาทีเสียด้วยซ้ำไป ไม่ต้องพูดเป็นปีๆ ถ้าว่าเป็นคนก้าวไปถึงตอนที่ ๔ คือสันยาสี ทำตนเป็นแสงสว่างแล้ว ก็จะยิ่งเป็นไปได้ง่ายในการที่จะก้าวหน้าเพราะว่ามันก้าวไปจนถึงที่สุด หรือจวนจะถึงที่สุดอยู่แล้ว ให้ทุกคนมีสงกรานต์กันอย่างนี้เถิด ก็จะเป็นสงกรานต์ที่แท้จริงของพุทธบริษัท
ถ้าจะพิจารณากันดูอีกแบบหนึ่งตามหลักธรรมในพุทธศาสนานี้ ยังมีการแบ่งความก้าวหน้าของชีวิตนี้ไว้เป็นอีก ไว้เป็นอีกรูปหนึ่ง มีอยู่ ๔ ตอนด้วยเหมือนกัน
ตอนแรกเรียกว่า กามาวจรภูมิ คือชั้นที่มีจิตใจพอใจในกาม
ชั้นที่ ๒ เรียกว่า รูปาวจรภูมิ ชั้นที่พอใจในรูป
ชั้นที่ ๓ เรียกว่า อรูปาวจรภูมิ ชั้นที่พอใจในสิ่งที่ไม่มีรูป และ
ชั้นที่ ๔ เรียกว่า โลกุตตรภูมิ คือพอใจในสิ่งที่สูงสุด เหนือโลก เหนือภูมิทั้ง ๓ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
อธิบายโดยสังเขปว่า คนทั่วไป สัตว์ทั้งหลายตามปกติธรรมดานั้นเป็นพวกกามาวจรภูมิ คือพอใจในความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางอายตนะ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จิตใจยังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็เรียกว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ แม้เด็กเล็กๆก็ชอบกินชอบเล่นเป็นสรณะยิ่งกว่าสิ่งอื่น ไม่มีสิ่งอื่นดีกว่า นี้ก็เพราะว่าจิตใจยังอยู่ในกามาวจรภูมิ แม้จะเป็นคนหนุ่มคนสาวก็ยังบูชาสิ่งที่เรียกว่า กามคุณ นั้นยิ่งกว่าสิ่งใด นี้ก็เรียกว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ ถึงแม้จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้ว ถ้ายังพอใจในเรื่องรูป รส กลิ่น เสียงอยู่ ก็ยังเรียกว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ แม้จะเป็นคนแก่หัวหงอกแล้ว ถ้ายังพอใจในรูป เสียง กลิ่น รสอยู่ ก็ยังเรียกว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ
ถ้าเมื่อใดมีความเข้าใจในเรื่องโลกียารมณ์ หรือกามารมณ์ หรือกามคุณเหล่านั้นอย่างถูกต้อง รู้สึกเห็นเป็นของธรรมดา หรือรู้สึกเป็นของน่าขยะแขยง ต้องการจะทำให้สูง ให้ดี ให้สะอาดยิ่งขึ้นไป จึงได้เปลี่ยนไปสู่สิ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับกามคุณ อย่างนั้นก็มี หรือว่าสังขารร่างกายนี้มันไม่อำนวยแก่กามคุณอีกต่อไปแล้ว ก็เป็นไปในเรื่องที่สูงไปกว่ากามคุณก็มี อย่างนี้เขาเรียกอันดับที่ถึงทีแรกว่า รูปาวจรภูมิ ที่เป็นชั้นต่ำๆที่สุด เช่นคนเมื่อเบื่อทางกามารมณ์แล้ว ก็ไปหาความสุขจากสิ่งซึ่งมิใช่กามารมณ์ เป็นวัตถุสิ่งของที่มีความงาม มีความแปลก มีความประหลาด เช่น ต้นไม้สวยๆงามๆ ของสวยๆงามๆ เลี้ยงสัตว์สวยๆงามๆ เป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจไป อย่างนี้ก็ยังสงเคราะห์เข้าได้ในพวกรูปาวจรภูม แต่ที่ดีที่จริงนั้น ก็หมายถึงรู้จักแสวงหาความสงบใจจากสิ่งที่มีรูปร่าง คือการเจริญกรรมฐานโดยใช้สิ่งที่มีรูปร่างเป็นอารมณ์ ได้รับความสงบใจจากการเจริญกรรมฐานที่มีรูปร่าง ชนิดที่มีวัตถุ ที่มีรูปร่างเป็นอารมณ์นั้น พอใจอยู่แล้วก็เรียกว่ามีจิตใจสูงอยู่ในขั้นรูปาวจรภูมิ เป็นอันดับที่ ๒
ทีนี้อันดับที่ ๓ เรียกว่า อรูปาวจรภูมิ พอใจในสิ่งที่ไม่มีรูป ตัวอย่างที่ต่ำๆ เช่น บุคคลพอใจในเรื่องบุญเรื่องกุศล พอใจในเรื่องเกียรติยศ ความงามความดีที่ไม่ใช่เป็นวัตถุธรรม ไม่ใช่มีรูปมีร่าง พอใจหลงใหลอยู่ในสิ่งนี้ซึ่งไม่มีรูปร่าง ก็เรียกว่า อรูปาวจรภูมิ ได้เหมือนกัน แต่ความมุ่งหมายที่แท้จริงนั้น หมายถึงการแสวงหาความสุขจากการเจริญภาวนาทางจิตใจในสิ่งที่ไม่มีรูป เอาสิ่งที่ไม่มีรูปมาเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ก็ย่อมได้ความสงบสุขซึ่งละเอียดสุขุมยิ่งไปกว่าชนิดที่มีรูป เพราะฉะนั้นจึงจัดไว้พวกหนึ่ง ว่าสูงขึ้นไปกว่าพวกที่ ๒
ทีนี้ถ้าว่ายังมีทางจะก้าวหน้าสูงต่อไปอีกแล้ว ก็ไม่มีทางไหนเลยนอกจากทางโลกุตตรภูมิ คืออยู่เหนือโลก เหนือทุกสิ่งเสียทีเดียว ไม่ต้องการความปรุงแต่งแม้แต่ที่เป็นความสุขจากกามคุณ ความสุขจากรู รูปกรรมฐาน ความสุขจากอรูปกรรมฐาน เป็นต้น เพราะรู้สึกว่าความสุขเหล่านั้นแม้จะประณีต จะละเอียดสุขุมเพียงไร ก็ยังเป็นสักแต่ว่าเวทนา ขึ้นชื่อว่าเวทนาแล้วย่อมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และเป็นมายา คือหลอกลวง จึงไม่ต้องการความสุขชนิดที่เป็นเวทนา ต้องการจะมีจิตใจอยู่เหนือเวทนา ไม่ให้เวทนาปรุงแต่งจิตใจได้อีกต่อไป การที่มีจิตใจอยู่ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า โลกุตตรภูมิ ผู้บรรลุโลกุตตรภูมิ เรียกกันว่าพระอริยเจ้า มีอันดับตั้งแต่ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์เป็นที่สุด ล้วนแต่ตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิ
ทั้ง ๔ ภูมินี้สรุปสั้นๆได้ง่ายๆก็คือว่า พวกที่ ๑ พอใจในกาม พวกผู้ พวกที่ ๒ พอใจในรูปที่บริสุทธิ์ พวกที่ ๓ พอใจในอรูปที่บริสุทธิ์ พวกที่ ๔ อยู่เหนือความพอใจโดยประการทั้งปวง เราลองคิดดูเถิดว่า เราแต่ละคนๆนี้อยู่ในภูมิไหน หรือว่าส่วนมากอยู่ในภูมิไหน ก็จะเห็นได้ว่าส่วนมาก เวลาส่วนมากมัวแต่พอใจในเรื่องกามคุณ เวลาที่จะพอใจในเรื่องรูปบริสุทธิ์ อรูปบริสุทธิ์นั้นหายากเต็มที เวลาที่จะอยู่เหนือความพอใจนั้นดูจะหาไม่ได้ เว้นไว้แต่เวลานอนหลับ นอนหลับนั้นมันเป็นเอง เพราะฉะนั้นจะถือว่าเป็นความสามารถของบุคคลนั้นก็ไม่ได้ นี้เรียกว่าไม่มีโอกาสที่จะอยู่ในโลกุตตรภูมิ จนถึงกับกล่าวได้อย่างเต็มปาก คงมีอยู่แต่เพียงกล่าวได้ว่า หลงใหลอยู่ในกามาวจรภูมิ มีรูปาวจรภูมิเล็กๆน้อยๆเข้ามาแทรกแซง ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จนถึงกับจะกล่าวได้ เว้นไว้แต่ว่าคนบางคนอายุมากแล้ว จะเป็นไปในทางกามารมณ์ไม่ไหวแล้ว ก็ไปพักผ่อนอยู่ด้วยรูปบริสุทธิ์หรืออรูปบริสุทธิ์ตามประสาคนแก่ๆ อย่างนี้ ก็ยังนับว่ายังดีกว่าที่จะไม่รู้จักเบื่อรู้จักอิ่มกันเสียเลย
คนที่ยังประสงค์กามคุณอยู่จนกระทั่งเป็นคนแก่ชราเข้าโลงไปแล้วก็ยังมี อย่างนี้เรียกว่าตายไปในกามาวจรภูมิโดยแท้ ไม่มีความก้าวหน้า คนชนิดนี้สงกรานต์จะล่วงไปกี่ปีๆก็ไม่เป็นสงกรานต์ คือไม่เป็นการก้าวหน้าแต่ประการใด แล้วก็ลองไปเปรียบ ไปคำนวณดูตัวเองด้วยกันทุกคนเถิดว่า จิตใจมีความก้าวหน้าไปตามภูมิ ตามชั้นเหล่านี้หรือหาไม่ ถ้าไม่มีการก้าวหน้าแม้ในภูมิเดียวนั้น ก็เรียกว่าไม่มีสงกรานต์ด้วยเหมือนกัน
วันนี้อุตส่าห์มากันทั้งที เพื่อทำบุญในวันสงกรานต์ ถ้าทำตามประเพณีอย่างหลับหูหลับตา มันก็ไม่มีความก้าวหน้า แต่ถ้าหากว่ามีความรู้สึกอย่างแท้จริง จนเป็นผู้ไม่ประมาทตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความเศร้าสลดใจในความผิดพลาดที่แล้วมาแต่หนหลัง แล้วก็มีความตั้งใจที่จะทำเสียใหม่ให้ถูกต้องต่อไปข้างหน้า คิดบัญชีกันดูปีหนึ่งหนหนึ่ง ปีหนึ่งหนหนึ่งในระยะนี้ซึ่งเรียกว่าวันสงกรานต์ ก็จะเป็นการดี คือจะเป็นสงกรานต์จริงๆ การที่จะไปเล่นสาดน้ำกัน เอาวัวเอาควายมาชนกัน มาเล่นการพนันกัน อย่างนี้เป็นต้นนั้น มันเป็นสงกรานต์ของคนโง่ อย่างดีที่สุดก็จะเป็นสงกรานต์ของเด็กอมมือหรือเด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้อะไร มากไปกว่าที่จะหวังว่า เมื่อไรจะสงกรานต์ เมื่อนั้นจะได้ดูควายชนกัน วัวชนกัน ดูการเล่นสาดน้ำกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่สงกรานต์ของเด็กอมมือ และเราก็คง คงจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นสงกรานต์มันควรจะเลื่อนไปๆๆตามลำดับ จนมาเป็นสงกรานต์ที่น่าดู เป็นสงกรานต์ของพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา ทั้งหมดตามที่กล่าวมานี้คือความก้าวหน้าที่เป็นสงกรานต์อันแท้จริงของแต่ละคนๆในโลกนี้ เกี่ยวกับความก้าวหน้า
ทีนี้เราจะมาดูกันให้กว้างออกไป ให้เป็นเรื่องของคนทั้งโลก ว่าโลกนี้ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า โลกนี้มีสงกรานต์หรือไม่มีสงกรานต์ ถ้าพิจารณาดูให้ละเอียด ก็จะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าดูอย่างโง่ๆเขลาๆไม่พิจารณา ก็จะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าดูอย่างหยาบๆ อย่างเขลาๆ ตามๆ กันไปก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ก้าวหน้า คือมีความเจริญเกิดขึ้นมาอย่างนั้นอย่างนี้ เขาทำอะไรได้แปลกๆใหม่ๆ จนกระทั่งว่าจะไปเอาโลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร โลกไหนก็ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าความก้าวหน้า นั้นมันก็เป็นความก้าวหน้า แต่เป็นความก้าวหน้าในทางวัตถุ ไม่ใช่ทางจิตใจ จิตใจก็ยังมัวเมาลุ่มหลงในกามารมณ์ ในกามคุณมากไปกว่าเก่าเสียอีก การที่จะไปคิดเอาอะไรมากๆ มีอะไรมากๆ หาอะไรแปลกๆออกไปนั้น ก็เพื่อได้ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นต้นนั่นเอง นี่ถ้าดูให้ดี ก็จะเห็นว่าโลกนี้กำลังถอยหลัง ไม่ใช่ก้าวหน้า โลกนี้กำลังถอยหลัง คือมันจะมีความทุกข์มากขึ้น โลกนี้มันถอยหลังไปหาความทุกข์ที่มากที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่คนในโลกนี้พูดว่าก้าวหน้า หมายความว่า ยิ่งเจริญตามประสาชาวโลกชนิดนี้มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น มันถอยหลังอยู่ตรงที่มีความทุกข์มากขึ้นนั่นเอง มันเหมือนกับการถอยหลังไปหา ถอยหลังไปลงเหวลงบ่อ กระทั่งเชือดคอตัวเองในที่สุด
ความก้าวหน้าอย่างสมัยใหม่ที่เขาเรียกกันว่าความก้าวหน้านี่แหละ จะนำโลกนี้ไปสู่ความยุ่งยาก สับสน ซับซ้อน ลึกลับยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งเจริญหรูหราทางวัตถุมากเข้าเท่าไร ก็ยิ่งมีความยุ่งยากลำบากซับซ้อน คับแคบในทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อดูด้วยสายตาของพุทธบริษัทแล้ว โลกนี้มันกำลังถอยหลัง ไม่ใช่กำลังก้าวไปข้างหน้าเหมือนสายตาของคนโง่คนเขลาที่เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว โลกนี้มีความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหูมากขึ้นจริง มากมายเหลือที่จะกล่าวได้จริง แต่ทางจิตใจนั้นมันถอยหลัง มันเลวลง คนจนเกือบจะไม่มีศีลธรรมอยู่แล้ว พุทธบริษัทจะเรียกโลกชนิดนี้ว่า โลกที่ก้าวหน้าหรือโลกที่ถอยหลัง ก็จงพิจารณาดูด้วยตนเองเถิด อาตมารู้สึกว่า อย่างนี้ต้องเรียกว่ามันเป็นการถอยหลัง มันเป็นการก้าวหน้าแต่ทางวัตถุแล้วมันถอยหลังทางวิญญาณ มันล่มจมในทางวิญญาณหรือทางจิตใจ มันก้าวหน้าแต่ทางร่างกาย มันถอยหลังในทางจิตใจ รวมกันแล้วจะเรียกว่าอะไรดี มันก็ต้องเรียกว่า ความถอยหลังสำหรับผู้มีปัญญา เรียกว่า ความก้าวหน้าสำหรับคนโง่
โลกนี้กำลังก้าวหน้าสำหรับคนโง่ แต่กำลังถอยหลังสำหรับคนมีปัญญา เพราะว่าไม่มีความก้าวหน้าในทางจิตใจ เพราะว่าถูกวัตถุท่วมทับ ถูกวัตถุบีบคั้น ถูกความสุขทางเนื้อหนังครอบงำย่ำยี ทำให้จิตใจไม่มีความเจริญงอกงาม ไม่มีความก้าวหน้าทางวิญญาณ มีแต่ความก้าวหน้าทางวัตถุ มันก็เป็นการถอยหลังทางวิญญาณ ถ้าเมื่อใดทำให้มีความก้าวหน้าทางวิญญาณได้ คือมีจิตใจสูงประกอบไปด้วยธรรมะจริงๆแล้ว เมื่อนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นความก้าวหน้าทั้ง ๒ อย่าง คือความก้าวหน้าทั้งทางจิตใจ ทางวิญญาณ และทางวัตถุ
มีคนเข้าใจผิดว่า พุทธบริษัทมีความก้าวหน้าทางจิตใจ แต่ไม่มีความก้าวหน้าทางวัตถุ นี้มันเป็นการพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันเป็นคนเมาวัตถุพูด เป็นคำพูดของคนที่มัวเมาในวัตถุ มันก็หาว่าตามหลักของพุทธบริษัทนั้นจะก้าวหน้าแต่ทางจิตใจ ไม่มีการก้าวหน้าทางวัตถุ สำหรับความก้าวหน้าทางวัตถุของพุทธบริษัทนั้น เขาไม่ได้ตะกละตะกลาม ไม่ละโมบโลภลาภ เหมือนคนทาง ที่ก้าวหน้าทางวัตถุเขามุ่งหมายกัน เพราะเขาถือว่าวัตถุนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับให้ชีวิตตั้งอยู่ได้ เพื่อมีความก้าวหน้าทางจิตใจต่อไป วัตถุที่มุ่งหมายนั้นคือความสูงของจิตใจ เมื่อได้ความสูงของจิตใจแล้ว ก็เรียกว่าได้ทั้งหมด เรื่องทางวัตถุนั้นเป็นเรื่องอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆสำหรับร่างกายเป็นอยู่พอสะดวกสบาย สำหรับมีจิตใจที่มีสมรรถภาพ เมื่อจิตใจมีสมรรถภาพ ทำหน้าที่ของจิตใจได้ดี ได้รับผลทางจิตใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องสิ้นสุดกัน จะไปมัวยุ่งยากลำบากด้วยเรื่องวัตถุให้มากมายทำไมกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของคนโง่ ลำบากโดยไม่จำเป็น เพิ่มความลำบากให้มากขึ้นโดยไม่จำเป็น แล้วก็ไม่มีอะไรดีที่ตรงไหน นอกจากความมัวเมา เมื่อไม่ต้องการความมัวเมา ก็ต้องการความสงบสุขที่ถูกต้องแท้จริง ไม่จำเป็นจะต้องมีวัตถุมากมาย
นี่แหละถ้าว่าคนนิยมความก้าวหน้าในทางจิตใจแล้ว โลกนี้ก็จะมีอะไรๆให้อย่างเหลือเฟือ แต่ถ้าว่าคนไปนิยมความก้าวหน้าทางวัตถุแล้ว โลกนี้ก็ไม่มีอะไรให้ที่เพียงพอ จะต้องหวั่นวิตกกังวลว่าอะไรๆก็จะต้องขาดแคลน และกำลังขาดแคลนลงอยู่เสมอไป เพราะเอาไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายในทางบำรุงบำเรอเกินกว่าที่จำเป็น ไม่ได้ใช้ไปอย่างที่จำเป็น
ไปพิจารณาดูเองเถิดว่า ในการเป็นอยู่ในบ้าน ในเรือน ในรถ ในเรือ ในอะไรก็ตามนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเสียแทบทั้งนั้น ยิ่งสมัยนี้แล้วเป็นเรื่องเล่นหัวไปมากกว่า การใช้จ่ายในบ้านเรือนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นมากมายที่สุด แต่ว่าเมื่อไปถือกันเสียว่าเป็นมาตรฐานของการอยู่ดีกินดีอย่างนั้นอย่างนี้เสียแล้ว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ในที่สุดผลมันก็คือ ไม่พอๆๆ อยู่ร่ำไปนั่นเอง นั่นแหละคือผลของความก้าวหน้าในทางวัตถุ หรือว่าจิตใจที่มัวเมาหลงใหลในการก้าวหน้าทางวัตถุ
เดี๋ยวนี้ทางวัตถุก้าวหน้า ใครๆก็มองเห็น เราก้าวหน้าอย่างแรง ก้าวหน้าอย่างเร็ว เหมือนกับว่าวิ่ง ไม่ใช่เดิน ความเจริญของโลกสมัยนี้เจริญอย่างที่เรียกว่าวิ่ง แต่แล้วมันก็วิ่งอย่างหัวหกก้นขวิด วิ่งอย่างหกคะเมน วิ่งลงเหว วิ่งชนต้นไม้ตาย นี่ขอให้ดูการวิ่งของความเจริญของมนุษย์ในสมัยนี้ ในที่สุดมันก็วิ่งไปชนกองเงินกองทองของมันเองนั่นแหละตาย มันเป็นผู้ที่มีความลำบากยุ่งยากจนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะสิ่งเหล่านั้น นี่คือการวิ่งของผู้ที่มีความก้าวหน้าอย่างวัตถุหรืออย่างโลก เรายอมให้พูดได้ว่าโลกก้าวหน้าอย่างวิ่ง แต่แล้วมันก็วิ่งอย่างหัวหกก้นขวิด วิ่งอย่างหกคะเมน วิ่งลงเหว วิ่งชนต้นไม้ตาย วิ่งชนเสาไฟฟ้าตาย วิ่งชนกองเงินกองทองที่มันสะสมไว้เองตาย นี้จะเรียกว่าสงกรานต์ได้หรือไม่ ถ้าจะเรียกว่าสงกรานต์การก้าวหน้า มันก็ต้องเรียกว่าสงกรานต์ของคนบ้า ไม่ใช่สงกรานต์ของคนดี
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจผิดในเรื่องการทำความสงบสุข เข้าใจความความสุขผิดอย่างตรงกันข้าม เขาต้องการความสุขที่ร้อน ไม่ต้องการความสุขที่เย็น เพราะว่าความสุขที่ร้อนนั้นเอร็ดอร่อย ยั่วยวนกว่าความสุขที่เย็น ความสุขที่เย็นนี้เข้าใจยาก ชิมได้ยาก พอใจได้ยาก เพราะมันเย็น
ความสุขร้อนนั้นมันเป็นสิ่งที่ยั่วยวนไปทุกสิ่งทุกอย่าง ความสุขร้อนคือเรื่องทางวัตถุ หรือเรื่องทางโลกๆ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไปเกี่ยวข้องเข้าก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี พอเรียกกันว่าเป็นความสุข แต่มันเป็นสุกร้อน สุกที่สะกดด้วยตัว ก. สุกร้อน มันเผาให้ร้อนและมันเผาให้สุก คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเลยกลายเป็นคนสุก คือถูกเผาให้สุก ส่วนความสุขเย็นเป็นความสุขทางจิตใจ หรือทางนามธรรมนั้น ไม่ร้อน ไม่เผา ใครมีอย่างถูกต้องแล้วก็เย็น
ความสุขมีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือสุกร้อนที่เผาคนให้สุก และสุขเย็นที่ทำคนให้เย็น ถ้าใครเกิดไปเข้าใจผิดในระหว่างความสุข ๒ อย่างนี้แล้ว คนนั้นแหละจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด จะมีการกระทำชนิดที่เชือดคอตัวเอง หรือว่าขุดหลุมฝังตัวเอง หรืออะไรทำนองนั้น แม้จะเป็นการทำอย่างเร็วๆ ทำอย่างวิ่ง ก็วิ่งไปหาความตาย ลองพิจารณาดูถึงการที่คนเราในโลกนี้เวลานี้เป็นโรคเส้นประสาทกันมาก เป็นโรคจิตกันมาก ฆ่าตัวตายกันมาก ซึ่งตามสถิติว่านาทีละ ๑,๐๐๐ คน ในโลกนี้คนฆ่าตัวตายในเวลานี้นี่มันเป็นเพราะเหตุอะไร ก็เพราะว่าไม่มีความก้าวหน้าทางจิตใจ ไม่มีสงกรานต์ทางจิตใจ มีแต่การถอยหลังเข้าคลองอย่างที่เรียกว่าวิ่งด้วยเหมือนกัน วิ่งอย่างถอยหลัง แล้วก็ถอยหลังเข้าไปหาความตกจมในทางวิญญาณ การตกเหวในทางวิญญาณคือความผิดพลาดและทนทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พิจารณาดูกันง่ายๆว่า ทุกวันนี้ก็มีความเข้าใจผิดกันอยู่ในระหว่างเรื่อง ๒ เรื่อง คือ เรื่องกินดีอยู่ดี กับ เรื่องกินอยู่พอดี พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องกินอยู่พอดี กำชับให้ทุกคนกินอยู่พอดี แต่คนสมัยนี้ต้องการกินดีอยู่ดี เพราะว่ากินดีอยู่ดีนี้มันได้เปรียบ มันกำกวม มันจะกินดีอยู่ดีสักเท่าไรก็ได้ ขยายออกไปให้มากมายสักเท่าไรก็ได้ ยังเรียกว่ากินดีอยู่ดีอยู่นั่นเอง ขยายออกไปจนเหนือวิสัย เหนือความสามารถ เหนืออะไรของตัว มันก็ยังเรียกได้ว่าถูกต้องอยู่นั่นเอง คือเพื่อจะกินดีอยู่ดี
ฉะนั้นคนจนๆ จึงทะเยอทะยานที่จะทำอะไรอย่างคนมั่งมี คนมีรายได้น้อยก็จะทำอย่างคนมีรายได้มาก สิ่งที่เรียกว่าคอรัปชั่นจึงเกิดขึ้นทั่วไปในที่ทุกหัวระแหง ในวงราชการก็ดี ในวงชาวบ้านก็ดี ที่ไหนก็ดีล้วนแต่มีคอรัปชั่น คือวิธีขโมยเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนอย่างเลือดเย็น อย่างซึ่งหน้า สิ่งเหล่านี้เต็มไปหมด ก็เพราะว่าแต่ละคนๆต้องการอยู่ดีกินดีที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีความหมายอันจำกัด พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนอย่างนี้ ท่านสอนว่า มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง กินอยู่พอดี คำว่าพอดีนี้ คือเท่าที่มันจะเป็นอยู่ได้ สำหรับร่างกายนี้จะตั้งอยู่ได้ เป็นของรองรับจิตใจให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไป กินอยู่อย่างนักบวชในพระพุทธศาสนา อย่างที่นี่ ที่นี่เรียกว่ากินข้าวจานแมว ก็เรียกว่าเป็นการกินอยู่ที่พอดีอย่างยิ่ง เพราะพอดีสำหรับการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ อย่างสะดวกสบาย อย่างที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสของวัตถุ จึงมีสงกรานต์คือความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ ถึงแม้คนจะอยู่ที่บ้านที่เรือน ถ้าจะถือหลักกินอยู่แต่พอดีแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แล้วก็จะเป็นการก้าวหน้าอย่างยิ่งด้วยในทางจิตใจ ถึงวันสงกรานต์ก็เป็นสงกรานต์จริง คือปีนี้มันดีกว่าปีที่แล้วมา และปีหน้ามันก็จะต้องดีกว่าปีนี้อีกโดยไม่ต้องสงสัย
นี่แหละขอให้ทุกคนพยายามทำความเข้าใจ ว่าคำ ๒ คำนี้ มันไม่เหมือนกัน "อยู่ดีกินดี" กับ "กินอยู่พอดี" นี้ไม่เหมือนกัน หันหลังให้กันแล้วเดินกันไปคนละทิศคนละทาง อันหนึ่งมีความเพียงพอ มีจุดจบ มีที่หยุดสงบ อันหนึ่งไม่มี มันแยกกันเดินไปคนละทิศคนละทางอย่างนี้ โลกสมัยนี้กำลังเป็นอย่างนี้ จึงเรียกว่าโลกสมัยนี้กำลังถอยหลังเข้าคลอง แล้วการถอยหลังนั้น ถอยอย่างเร็วขนาดวิ่ง แล้วมันก็เป็นการวิ่งไปชนต้นไม้ตาย ตกเหวตาย ชนเงินชนทอง ชนวัตถุสิ่งของที่รวบรวมหามาไว้ได้นั่นแหละตาย ไม่ต้องชนอื่นในที่สุด
ทีนี้พิจารณาดูกันต่อไปว่า จะต้องทำอย่างไร ถ้าจะให้โลกสมัยนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้าที่ถูกต้องทางจิตใจแล้ว โลกสมัยนี้ต้องหมุนกลับ ฟังดูให้ดีๆว่ามันว่าอย่างไร มันหมายความว่าอย่างไร ว่าถ้าโลกสมัยนี้ต้องการความก้าวหน้าแล้วต้องหมุนกลับ เพราะว่ามันหมุนไปในๆทางผิด หมุนไปหาความล่มจม ดังนั้นมันจึงต้องหมุนกลับ มันจึงจะเป็นความก้าวหน้ามาในทางที่ถูกต้อง โลกสมัยนี้เป็นโลกของวัตถุนิยม พูดเพียงเท่านี้ท่านทั้งหลายก็เข้าใจได้ ว่าทุกคนบูชาวัตถุเป็นพระเจ้า บูชาเนื้อหนังเป็นพระเจ้า พอใจในความสุขทางอายตนะยิ่งกว่าใดๆหมด นับถือความสุขทางวัตถุทางเนื้อหนังนี้ ยิ่งกว่านับถือพระพุทธเจ้า พูดอย่างนี้ไม่เกินความจริงสำหรับคนส่วนมากที่เห็นแก่เงินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เห็นแก่เนื้อหนังยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เห็นแก่อะไรๆยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า นี้เรียกว่าวัตถุนิยมได้ครอบงำหนัก และเป็นอย่างนี้กันทั้งโลก
ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีโชคดีที่สุดก็ได้ คือเป็นโรคชนิดนี้น้อยกว่าประเทศบางประเทศซึ่งเป็นมาก แต่ถ้าเมื่อรวมกันทั้งโลกแล้วก็พอจะเรียกได้ว่า โลกนี้เป็นโลกวัตถุนิยม หมุนไปแต่ในทางวัตถุ ความเจริญทางเนื้อทางหนังทางวัตถุ ถ้าต้องการความปลอดภัยจะต้องหมุนกลับ เหมือนกับว่ามันวิ่งไปใกล้ปากเหว หรือมันถอยหลังไปใกล้ปากเหวแล้วมันต้องเปลี่ยนทิศทาง ถ้าวิ่งไปใกล้ปากเหวมันก็ต้องถอยหลังกลับ หมายความว่า จะต้องชะงักแล้วก็ถอยหลังกลับไปสู่ความก้าวหน้าทางจิตใจ คือถอยหลังกลับจากวัตถุนิยม ไปสู่ธรรมนิยมหรือมโนนิยม แล้วแต่จะเรียก แล้วจะต้องเลื่อนชั้นไปตามทางของมโนนิยม ตามลำดับๆ ดังเช่นที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นในเรื่องชีวิตมี ๔ ตอน จะต้องทำความก้าวหน้าไปทุกๆตอน จากพรหมจารีเป็นคฤหัสถ์ที่ดี จากคฤหัสถ์ที่ดีเป็นวนปรัสถ์ที่ดี จาก วนปรัสถ์ที่ดีเป็นสันยาสีที่ดี อย่างนี้เป็นต้น นี้เรียกว่าหมุนกลับให้ถูกทาง แล้วก็จะหมดปัญหาได้เหมือนกัน จะหาความพอใจได้ตามลำพังของจิตที่ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ จิตที่ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุย่อมหาความสงบสุขความพอใจได้ในตัวมันเอง นี่แหละมันเป็นความก้าวหน้าที่ถูกต้อง ที่ควรจะเรียกว่า สงกรานต์คือความก้าวหน้า
ในวันนี้เป็นระยะสงกรานต์ เราพิจารณาเรื่องความก้าวหน้ากันให้มากถึงขนาดนี้เถิด จะเป็นการได้ที่ดีสำหรับวันคืน ๒-๓ วันนี้ เอาแล้วทีนี้เราลองนึกดูตามภาพหรือเรื่องของสงกรานต์ตามที่ชาวบ้านเขาถือๆกันอยู่ เข้าใจกันอยู่ ว่าวันสงกรานต์นั้นเป็นวันที่เขา เป็นวันที่เทวดาเขาแห่ขบวนกัน มีนางสงกรานต์ชื่อนั้นชื่อนี้อยู่ท่ามกลางขบวนแห่ไปรอบโลก แต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในภาพเขียนเรื่องขบวนแห่สงกรานต์นั้น คือเศียรของท้าวมหาพรหม ใส่พานชูแห่มาในขบวนด้วย ส่วนนี้แหละเป็นส่วนที่น่าสนใจว่า ทำไมจะต้องเอาเศียรท้าวมหาพรหม ๔ หน้าใส่พานมาแห่ไปด้วย เรื่องราวจะมีเป็นอย่างอื่นก็ตามใจ แต่สำหรับพุทธบริษัทแล้วอยากจะให้ถือว่า เอาเศียรมหาพรหม ๔ หน้าออกมาแห่นั้น มันเป็นการโฆษณาพรหมวิหาร โฆษณาพรหมวิหาร คือ โฆษณาเรื่องเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ๔ อย่างนี้แต่ละอย่างๆ เป็นพรหมวิหาร เอามาใส่ถาด ใส่พานแห่ไปทั่วๆโลก สะดุดตาสะดุดใจคนผู้ที่ได้เห็น ให้ได้นึกถึงพรหมวิหาร ว่าสัตว์โลกทั้งหลายท่านจงอยู่กันด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเถิด อย่างนี้จะเป็นการดี
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานี้ ก็หมายถึงความรักสากล คือรักกันทั้งโลก อย่างกับเป็นคนคนเดียว อย่ามีเขามีเรา ให้ถือว่าโลกทั้งโลกเป็นคนคนเดียว ไม่มีมึงไม่มีกู ไม่มีเขาไม่มีเรา ตัวเราลืมเสีย ตัวเขาก็ลืมเสีย ถือว่าเป็นคนคนเดียวกันทั้งโลก อย่างนี้แหละเรียกว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นธรรมะที่ทำลายความเห็นแก่ตน ทำลายความเห็นแก่ตัวได้จริง ถ้าเอามาโฆษณาแห่กันบ่อยๆ ก็จะเป็นการดี ให้คนระลึกนึกได้ แต่แล้วคนที่ได้พบได้เห็นก็ควรจะระลึกนึกให้ได้ว่า เราทุกคนในโลกนี้ควรจะอยู่กันอย่างมีเมตตากรุณา ถ้าขบวนแห่นางสงกรานต์จะมีก็มันก็ดีอยู่ที่ตรงนี้เอง ไม่มีดีที่ตรงไหน
การที่บุคคลเราจะมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งอันเป็นปัญหาหรือเป็นปริศนาได้นี้ มันต้องอาศัยความคิดความนึก อย่าได้ทำอะไรเพ้อๆไป อย่างละเมอๆ สักว่าทำตามๆกันไป นั่นแหละไม่เท่าไร มันจะกลายเป็นเดินผิดทาง มันจะวิ่งไปสู่ความล่มจมด้วยความเจริญทางวัตถุที่แสนจะยั่วยวน เมื่อความเจริญทางวัตถุครอบงำแล้ว คนเราก็เหมือนกับคนบ้า คนบ้านั้นถึงจะวิ่งสักเท่าไร มันก็ไม่ถูกทิศถูกทาง มันก็วิ่งชนต้นไม้ตายเป็นต้นดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนดี จึงจะวิ่งได้ถูกทาง มีธรรมะอยู่ในใจอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และมีความรู้ที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าความรู้ใดๆ ก็คือความรู้ที่ว่าเกิดมาทำไม
เดี๋ยวนี้คนทุกคนมีความรู้ข้อนี้หรือไม่ พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่แต่ละคนนี้มีความรู้เรื่องนี้หรือไม่ มีความรู้ในเรื่องนี้หมายความว่ารู้อย่างถูกต้อง รู้อย่างสำเร็จประโยชน์ รู้อย่างที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ และรู้อย่างชนิดที่ว่าสงกรานต์มันเป็นสงกรานต์ เป็นสงกรานต์คือก้าวหน้าไปได้จริงๆ
รู้ว่าเกิดมาทำไมนี้สำคัญมาก เพราะว่าถ้ารู้แล้วจะได้ทำให้ถูกต้อง
เด็กๆ เล็กๆ ก็คิดว่าเกิดมาเพื่อกินเพื่อเล่น นั้นมันก็ถูกอย่างเด็กๆ แต่คนโตๆไม่คิดอย่างนั้น คนหนุ่มคนสาวคิดว่าเพื่อความสนุกสนานทางอายตนะ มันก็ถูกอย่างคนหนุ่มคนสาว แต่ไม่ใช่ถูกของมนุษย์ทั้งหมด คนงกเงินก็ว่าเกิดมาหาเงิน มันก็ถูกของคนงกเงิน แต่มันไม่ถูกของคนที่ไม่งกเงิน คนที่เมาอำนาจวาสนาก็ว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนา นั้นมันก็ถูกของเขา แต่มันไม่ถูกของเรา ไอ้ความถูกที่จะเป็นความถูกต้องได้ทั้งหมดทุกๆ คนนั้นมันจะต้องมีอยู่อีกอย่างหนึ่ง
เกิดมาทำไม? มันก็เกิดมาเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วอะไรเล่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เห็นจะไม่มีอะไรไปกว่าความสงบสุขที่แท้จริง หรือความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ หรือมีความรักอย่างสากล คือรักคนทุกคนเป็นคนคนเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นต้น เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มันไม่มีความทุกข์เลย มีแต่ความสงบสุข
เดี๋ยวนี้คนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม จึงทำอะไรผิดๆเปะๆปะๆไป มันจึงเหมือนกับขุดหลุมฝังตัวเองเชือดคอตัวเอง แล้วมันก็เสื่อมลงทรามลง เรียกในที่นี้ว่า ถูกความทุกข์เคี้ยวกิน ความทุกข์นานาชนิดจะเคี้ยวกินบุคคลนั้น ความชั่ว ความเศร้าหมองจะครอบงำบุคคลนั้นจนไม่มีอะไรที่น่าพอใจ น่านับถือ น่าเลื่อมใส จนกระทั่งว่า อยู่ในสภาพที่แม้แต่สุนัขก็ไม่ยอมกิน
ไปดูรูปภาพที่เขียนไว้ในตึกหลังนี้เอาเองก็แล้วกัน ว่ามีภาพเป็นเรื่องนิทานธรรมะอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าคนนี้มีอะไรดีๆๆมากจนสุนัขไม่ยอมกิน นี่ก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เพื่ออะไร จึงทำอะไรไปตามอวิชชา ตามความโง่ความหลงนั้น จึงมีอะไรๆดีจนถึงกับสุนัขไม่ยอมกิน พูดเพียงเท่านี้มันก็มาก มากพอแล้วที่จะให้เกิดความไม่ประมาทตามที่พระพุทธเจ้าท่านขอร้อง ท่านกำชับ ท่านแนะนำ หรือท่านวิงวอนไว้ในฐานะเป็นพินัยกรรมคำสุดท้ายเมื่อท่านจะดับจิตปรินิพพาน
เราพุทธบริษัททั้งหลายจงรีบทำความเข้าใจในเรื่องความไม่ประมาท โดยรู้ว่าเราจะต้องรีบทำอะไร แล้วก็จะไปที่ไหนในที่สุด พระพุทธเจ้าต้องการให้เราทุกคนไปสู่จุดหมายปลายทาง คือความดับทุกข์ได้จริง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ถ้าพูดอย่างคนที่มีพระเจ้า เขาก็ว่าเกิดมานี้เพื่อจะได้ปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติถูกต้องแล้วไปอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ก็มี ส่วนพวกเราชาวพุทธนี้ ว่าจะไปสู่พระนิพพานที่เป็นบรมธรรม คือบรรลุภาวะที่สูงสุด ไม่มีภาวะใดยิ่งไปกว่า เป็นความดับเย็นแห่งความทุกข์ทั้งปวง
หมายความว่าเกิดมานี้เป็นการเดินทาง แล้วก็เดินไปๆๆ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางคือนิพพาน เราจะต้องเกิดอีกกี่ชาติ กี่สิบชาติ กี่ร้อยชาติ กี่พันชาติ ก็ขอให้มันเป็นการเดินก้าวไปข้างหน้าๆๆ เรื่อยไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง อย่ามัวมามัวเมาในอาหารของวัตถุนิยม เหมือนสุนัข สุกรที่ตะกละในอาหาร แล้วก็หยุดกินอยู่ที่นั่น ไม่เดินทางไม่ก้าวหน้าอีกต่อไป เป็นการตายแล้วตายอีกอยู่ที่นั่น ไม่มีการเดินทาง เพราะไปมัวเมาในอาหาร คือวัตถุนิยมที่มนุษย์พร้อมใจกันผลิตขึ้นมาให้มาก เพื่อมอมตัวเองให้ลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหานานาประการ หาความสุขมิได้เลย นี้ไม่ใช่สงกรานต์ นี้ไม่ใช่ความก้าวหน้า
วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องสงกรานต์ คือเรื่องความก้าวหน้า เรื่องจิตใจที่จะต้องเจริญยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ สมกับคำว่าสงกรานต์โดยแท้จริง ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี และถือเอาประโยชน์ให้ได้โดยสมควรแก่สติปัญญาของตนๆเทอญ ก็จะเป็นผู้สนองพระพุทธโอวาทในข้อที่ว่า
อามันตะยามิโว ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เราเตือนเธอ
ขะยะวะยะธัมมา สังขารา สังขารมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.