แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้จะได้วิสัชนาข้อความเกี่ยวกับคำว่ามารดาบิดา ปู่ย่าตายาย เป็นต้น เป็นพิเศษ จะเรียกว่าธรรมเทศนาก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าปรึกษาหารือกันก็ไม่เชิง แล้วแต่ใครจะถือเอาประโยชน์ได้อย่างไรก็ย่อมจะเป็นอย่างนั้น อาตมาเห็นว่ามีอยู่แต่บุคคลที่สนใจที่จะฟังจริงๆ จึงคิดว่าควรจะพูดเรื่องที่ควรจะพูดกันจริงๆด้วยเหมือนกัน ในชั้นแรกที่สุดอยากจะบอกให้ทราบว่าไม่ว่าเรื่องอะไร จะศึกษาเรื่องอะไร จะปฏิบัติเรื่องอะไรมันมีอยู่เป็น ๒ ชนิดหรือเป็น ๒ ชั้นคือชั้นนอกเป็นเรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องทางร่างกาย มันพูดกันได้โดยภาษาคน ที่เป็นชั้นในเป็นเรื่องจิตใจ เป็นเรื่องวิญญาณ มันพูดกันได้โดยภาษาธรรม หลักเกณฑ์อันนี้อยากจะขอให้เป็นที่สนใจ เข้าใจกันอย่างดีด้วยกันทุกคน ว่าทุกเรื่องแหละถ้ามีสติปัญญาเพียงพอแล้วจะมองเห็นใน ๒ ฝ่ายเสมอ คือฝ่ายภาษา ฝ่ายที่พูดด้วยภาษาคนกับฝ่ายที่พูดด้วยภาษาธรรม อย่างหนึ่งเป็นไปในทางวัตถุ อย่างหนึ่งเป็นไปในทางจิตใจ เช่นคำว่าพ่อแม่ ถ้าเป็นภาษาวัตถุภาษาร่างกายก็คือผู้ที่ทำให้เกิดมา หรือเกิดมาทางเนื้อทางหนังอย่างที่เกิดตามธรรมดากันทั่วๆไปนั่นเอง นี่เรียกว่าพูดโดยภาษาคน มุ่งไปยังเนื้อหนังหรือวัตถุ นี่ถ้าว่าเป็นเรื่องภาษาธรรม คำว่าพ่อแม่ บิดามารดานี้มันหมายถึงสิ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิด หรือการเกิดชนิดที่เป็นนามธรรม ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่ที่เป็นคนๆ แต่หมายถึงธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนชนิดที่มองเห็นหรือจับต้องได้ อย่างนี้มันก็เตลิดไปถึงเหตุให้เกิดให้กระทำทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว เช่นฝ่ายดีก็ธรรมะฝ่ายดี เหตุฝ่ายดีให้เกิดความดี ธรรมะฝ่ายชั่วให้เกิดสิ่งชั่วอย่างนี้เป็นต้น เราดูให้ดีว่าคำว่าพ่อแม่นั้นมันก็มีได้ทั้งฝ่ายวัตถุร่างกายและทั้งฝ่ายจิตใจ ทางฝ่ายวัตถุร่างกายก็รู้กันอยู่แล้วอย่างที่พูดมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่าพ่อแม่ของเราที่รู้กันอยู่ว่าใครเป็นลูก ใครเป็นพ่อ เป็นหลานใคร แต่ถ้าฝ่ายนามธรรมฝ่ายจิตใจเราจะระบุไปยังสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่นให้พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ให้พระธรรมเป็นแม่ ให้พระสงฆ์เป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกัน ลองเปรียบเทียบดูสิว่ามันต่างกันอย่างไร ทีนี้มันยังมีแตกแยกลึกไปกว่านั้นอีกก็ได้ คือว่าเราพูดกันในโลกไหน ตัวโลกดีหรือโลกชั่ว พูดในโลกของมารหรือพูดในโลกของมนุษย์ ถ้าพูดในโลกของมารมันก็มีพ่อแม่ไปอีกแบบหนึ่งคือมีอวิชชาเป็นพ่อมีตัณหาเป็นแม่ คือมีกิเลสทั้งนั้นเป็นพ่อแม่ ถ้าเราจะพูดกันในโลกของมาร ถ้าพูดในโลกของพระมันก็ต้องมีวิชชาหรือมีสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกิเลสตัณหา เรียกพิลึกกึกกือในพระบาลีว่า อตัมมยตา เข้าใจว่ายังไม่เคยได้ยิน อตัมมยตา อตัมมยตา ท่านทั้งหลายคงไม่เคยได้ยิน ได้ยิน ได้ยินบ้างก็ไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อนก็ได้ สิ่งที่มันไม่เกี่ยวกับกิเลสตัณหาที่กิเลสตัณหาทำให้เกิดขึ้นมาไม่ได้ ตามตัวหนังสือก็แปลว่ามันไม่สำเร็จมาแต่สิ่งนั้นคือสิ่งที่ทำให้เกิดอยู่โดยทั่วๆไปนี่ เอาละ เอาแต่ใจความก็มีว่าถ้าพูดกันในโลกของมารก็มีอวิชชา ตัณหาเป็นพ่อแม่ ถ้าพูดกันในทางโลกของธรรม โลกของมนุษย์ก็ต้องมีวิชชา สภาพที่ไม่มีกิเลสตัณหาเป็นพ่อแม่ หน้าที่มันก็เกิดขึ้นมาอย่างตรงกันข้าม เป็นถึงกับว่าพ่อแม่ฝ่ายชนิดหนึ่งต้องฆ่าเสีย พ่อแม่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องรู้บุญคุณแล้วก็ต้องทะนุถนอมต้องตอบแทน อย่างที่เราทำบุญตายายวันนี้หมายถึงฝ่ายที่เป็นวัตถุร่างกาย ฝ่ายบุคคลโดยภาษาคน ทีนี้คนบางคนก็จะงงว่าพ่อแม่ชนิดไหนที่ต้องฆ่าเสีย คือพ่อแม่ในฝ่ายที่มิใช่ธรรมะเป็นฝ่ายอธรรม เป็นฝ่ายที่จะเป็นไปในวัฏฏะหรือกองทุกข์ คำชนิดนี้คำเหล่านี้มีอยู่ในพระบาลีทั้งนั้นแหละ และพระพุทธเจ้าก็ได้เคยตรัสด้วยคำชนิดนี้ในกรณีต่างๆกันว่าให้ฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียแล้วเป็นคนอกตัญญู อย่างนี้ก็เคยตรัส คงจะฟังไม่เข้าใจใช่ไหม พ่อแม่ชนิดที่ต้องฆ่าเสียแล้วจะเป็นคนอกตัญญูนั้นก็หมายถึงอวิชชา ตัณหานั้นเอง เราก็ต้องฆ่ามันเสีย อย่าให้คลอดอะไรอีกต่อไป นี่เรียกว่าไม่ต้องนับถือชนิดที่จะต้องทะนุถนอม กตัญญูกตเวที บำรุงบำเรอ แต่คำพูดในภาษาบาลีนั้นน่ะมีความหมายยักย้ายได้ แล้วแต่ว่าจะมองกันอย่างไร คำว่าอกตัญญูกลายเป็นของดีไปเสียก็มีใครเคยได้ยินบ้างว่าอกตัญญู อกตัญญูเป็นของดี เราได้ยินแต่ว่าอกตัญญูนั้นน่ะเป็นคนชั่ว ไม่รู้บุญคุณคน เนรคุณคน นั่นภาษาชาวบ้าน ภาษาคนเรียกว่าอกตัญญู ถ้าเป็นภาษาธรรมะชั้นลึก อกตัญญูแปลว่าผู้รู้ซึ่งพระนิพพานอันปัจจัยอะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ นั่นกลายเป็นอย่างนั้นไป อกตัญญูกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย มันก็เข้าเรื่องกันว่าถ้าอวิชชา ตัณหาซึ่งเป็นพ่อแม่เสียแล้วมันก็กลายเป็นผู้ที่รู้สิ่งซึ่งปัจจัยอะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ก็คือพระนิพพาน ผู้ที่บรรลุถึงนิพพาน รู้พระนิพพานปรากฏอยู่แก่ใจนี่กลายเป็นผู้ได้นามใหม่ว่าอกตัญญู คือผู้รู้สิ่งซึ่งปัจจัยอะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ นี่เรื่องมันมากกอย่างนี้เห็นไหม จะพูดให้ยุ่งก็ได้ พูดให้ยุ่งจนจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกก็ได้ แต่ที่จริงมันก็ไม่ควรจะยุ่ง โดยแบ่งแยกกันเสียให้เด็ดขาดลงไปว่าเราพูดกันโดยภาษาคนหรือพูดกันโดยภาษาธรรม ถ้าพูดโดยภาษาคน พ่อแม่นี่ก็เป็นคนๆ ถ้าพูดโดยภาษาธรรม ไอ้พ่อแม่ก็กลายเป็นธรรม กลายเป็นธรรมะไปไม่ใช่คน ถ้าพูดโดยภาษาคนก็ต้องทะนุถนอมบิดามารดาผู้เกิดเรามา แต่พูดภาษาธรรมที่ลึกก็ต้องฆ่าบิดามารดาเสียอย่าได้ปรุงแต่ง อย่าให้ได้เกิดมา อย่าให้เราต้องเกิดมา เพราะเราไม่ต้องการจะเกิด เลยต้องฆ่าผู้ที่ทำให้เกิด แล้วคำว่าอกตัญญูก็เป็นคำที่มีความหมาย ๒ ทางอยู่อย่างนี้ ไม่รู้คุณที่ภาษาโลก ภาษาโลก อกตัญญูแปลว่าไม่รู้บุญคุณของใคร แต่ภาษาธรรมะ อกตัญญูแปลว่ารู้พระนิพพานซึ่งอะไรๆปรุงแต่งไม่ได้
อาตมาเห็นว่าเราศึกษา ศึกษาธรรมะกันมานานแล้ว หลายปีเต็มทีแล้ว มันมากนานแล้ว มากแล้วนานแล้วก็ควรจะรู้อะไรให้กว้างขวางออกไป ให้มันสมควรกัน เพราะฉะนั้นจึงนำมาพูดทั้งเรื่องภาษาคน และเรื่องภาษาธรรม ทั้งในระดับตื้นๆและในระดับลึกๆ เดี๋ยวนี้เราทำบุญตายาย อุทิศส่วนกุศลแก่บิดามารดา ปู่ย่าตายายคือบิดามารดาของบิดามารดาของบิดามารดาชนิดที่เป็นบุคคลนะ จึงมีความกตัญญูรู้คุณแล้วก็มาประกอบการกุศลอุทิศแก่บุคคลเหล่านั้น นี่มันก็เป็นศีลธรรมระบบใหญ่ระบบหนึ่งเป็นพื้นฐานทั่วไปว่าให้คนเรามีความเข้าใจถูกต้องต่อบิดามารดา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเรามาแล้วก็ได้เกิดเรามาแล้ว แล้วก็ได้อบรมสั่งสอนเราจนกระทั่งเป็นเนื้อเป็นตัว นี่เขามองกันในแง่นี้ ถ้าเราไม่มีบิดามารดาเราก็ไม่ได้เกิดมา และถ้าบิดามารดาไม่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเราก็ไม่ได้รอดชีวิตมาและไม่รู้จักอะไรเลย จะไม่รู้จักอะไรเลย เดี๋ยวนี้ท่านเลี้ยงมาก็รอดชีวิตอยู่ได้ ท่านอบรมสั่งสอนเราก็รอดชีวิตอยู่ได้ และรู้อะไรโดยรู้อะไรตามสมควร จึงมองบิดามารดาในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดมาบ้าง ในฐานะเป็นพระพรหมของบุตรคือสร้างบุตรขึ้นมาทั้งโดยร่างกายและโดยจิตใจบ้าง เป็นอาจารย์คนแรกและก็เป็นอาจารย์กันจนตลอดชีวิตบ้าง แล้วก็เป็น อาหุไนยบุคคล เป็นผู้ให้เกิดบุญ เช่นพระอรหันต์ให้เกิดบุญแก่บุคคลทั่วไปดังนี้บ้าง นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก จะต้องเข้าใจกันอย่างแตกฉานสำหรับตัวเองประพฤติให้ถูกต้องเพียงพอ แล้วก็ยังจะต้องให้ลูกเด็กๆของเรานั้นรู้เรื่องนี้ ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องและเพียงพออย่างเดียวกัน ข้อที่ว่าบิดามารดาเป็นพรหม ในความหมายนี้คือผู้สร้างอย่างพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกนี้ก็มี แล้วพระพรหมเป็นผู้ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ ก็มี ควรจะเข้าใจแล้วปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมายเหล่านี้ จะต้องเคารพบิดามารดานั่นแหละว่าเป็นพระพรหม ไอ้พระพรหมที่อยู่บนฟ้าบนที่ไหนก็ไม่รู้ นั้นมันยังไม่แน่ เป็นแต่ แต่เพียงเขาว่า แต่ถ้าพระพรหมคือบิดามารดานี้มันแน่ แล้วเรา ก็ได้คลอดเรามาจริงๆ และได้สร้างเราขึ้นมาจริงๆโดยอัตภาพร่างกายนี้ เราจะต้องเห็นว่าถ้าไม่สร้างขึ้นมาเราก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะทำอะไรให้เป็นที่ขัดอกขัดใจแก่บิดามารดาผู้มีบุญคุณถึงขนาดนี้ นี่ก็เรียกว่าพระพรหมที่ดีกว่า ที่จริงกว่า ที่มองเห็นได้ชัดกว่า หรือว่าเป็น สันทิฎฐิโก กว่า ทีนี้บางคนก็ยังมีอธิบายไปอีกทางหนึ่งว่าพระพรหมนั้นคือผู้ที่มีพรหมวิหาร ถูกแล้วใครๆก็พูดได้โดยไม่กลัวผิด พูดตามตัวหนังสือว่าพระพรหมคือผู้ที่มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารก็คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องมีครบทั้ง ๔ นี้จึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีพรหมวิหารคือเป็นพระพรหมของบุตร ก็อยากจะให้รู้กันไว้ทุกคนแหละว่าจะต้องมีพรหมวิหารครบต่อบุตร แล้วบุตรก็จะต้องรู้พรหมวิหารของบิดามารดาอย่างครบถ้วน ข้อนี้ก็ได้ศึกษากันมามากแล้ว แต่รู้สึกว่ายังมีอยู่บางอย่างที่เห็นว่ามันไม่ตรง ควรจะเข้าใจกันเสียใหม่คือข้อที่ว่าอุเบกขานี่ อาตมาก็เคยได้ยินได้รับคำสั่งสอนตอนแรกๆ และก็ได้สอนเหมือนๆกันไปว่าเมตตาคือรัก ใคร่ กรุณาคือสงสาร ช่วย แล้วก็มุทิตาคือพลอยยินดีด้วยเมื่อได้ เมื่อมันได้มีความสุข ส่วนอุเบกขานั้นให้วางเฉยเมื่อเห็นว่าช่วยไม่ได้ นี่ช่วยจำกันไว้ดีๆว่าอุเบกขาที่แปลว่าวางเฉยเพราะช่วยไม่ได้นั้นแหละช่วยจำกันไว้ดีๆมันอาจจะผิดก็ได้ เพราะว่าตามบาลีไม่ได้มีอย่างนั้นหรอก คำว่าอุเบกขาแปลว่าเข้าไปเพ่งรออยู่จนกว่าเมื่อไรจะช่วยได้ อย่าแปลอุเบกขาว่าเห็นว่ามันช่วยไม่ได้แล้วก็เฉยเสีย อย่างนี้จะไม่เป็นอุเบกขานะ จะไม่ครบนะ เมื่อเห็นว่าเดี๋ยวนี้ยังช่วยไม่ได้ก็คอยจ้องดูอยู่ เพ่งดูอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไรมันจะช่วยได้ แล้วก็จะช่วยทันที นี้จะเป็นอุเบกขาที่ถูกต้อง อย่าเป็นอุเบกขาวางเฉย ยอมแพ้ ดังนั้นผู้ที่จะเป็นบิดามารดามีพรหมวิหารทั้ง ๔ อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นพระพรหมของลูก ทีนี้ก็ให้ดูว่าเป็นอาจารย์คนแรกของลูก เป็นครู บุพจริยา เป็นอาจารย์คนแรกของลูก ไม่ใช่สอนหนังสือในที่นี้หมายถึงสอนในสิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้ มีอะไรกี่อย่างๆที่มนุษย์จะต้องรู้นะบิดามารดาเขาสอนให้เป็นคนแรก ก็ดูเอาเองก็แล้วกันเพราะว่ามันเคยเห็นกันมาแล้วทั้งนั้น พอเด็กเกิดมาแล้ว คลอดมาแล้ว โตขึ้นทุกวันๆบิดามารดาเขาสอนอะไรให้ มันสอนทุกอย่างทุกประการแหละที่จะให้ปลอดภัย ในข้อแรกก็ปลอดภัยและต้องไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำหรือมันจะเสียหาย แม้ที่สุดแต่มันน่าละอาย ถ้าไม่สอนไม่ควบคุมไอ้เด็กๆมันก็คงจะกินอุจจาระของมันเข้าไปอีกก็ได้เพราะมันไม่รู้นะ บิดามารดาก็เลยสอนให้ ให้รู้จักว่าอะไรสะอาดอะไรสกปรก นี่เรียกว่าเป็นครูคนแรกกันถึงขนาดนี้ สอนทีแรกก็น่าจะเป็นเรื่องสอนให้กินนม ให้กินอาหาร ให้ทำทุกอย่างที่มันจะต้องมี ที่มันไม่สามารถจะทำเองได้โดยสมบูรณ์ก็ต้องสอน แล้วก็สอนชนิดที่ไม่รู้สึกตัว ไม่ต้องรู้สึกตัวเลยก็มีมาก และมี มีมากด้วยและสำคัญที่สุดด้วย เพราะว่าไอ้การสอนที่ไม่ต้องรู้สึกตัวนั้นน่ะมันมีค่าอย่างไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน แล้วสอนก็สอนโดยไม่รู้สึกตัว ได้รับประโยชน์ก็ได้รับประโยชน์โดยไม่รู้สึกตัว นี่ก็คือนิสัยหรืออุปนิสัยต่างๆที่แม่จะถ่ายให้ลูก ถ้าแม่เขามีมรรยาทอย่างไร ลูกก็จะมีมรรยาทอย่างนั้น เด็กทารกจะเลียนแบบมารดาหรือบิดาก็ตามทุกอย่างทุกประการ ถ้าพ่อแม่พูดดังขี้โมโห ไอ้ลูกมันก็พูดดังขี้โมโห ถ้าพ่อแม่ทำอะไรหยาบๆ ลูกมันก็ทำอะไรหยาบๆ พ่อแม่มันสุรุ่ยสุร่ายไม่ประหยัดไม่มัธยัสถ์ ลูกมันก็มีนิสัยสุรุ่ยสุร่ายไม่มัธยัสถ์ บิดามารดาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้เห็นอยู่ ไอ้ลูกมันก็มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามโดยไม่ต้องพูดกันกี่คำ ถ้าว่าพ่อแม่ขี้ตืดขี้ตัง ไม่รู้บุญคุณคน ขี้เหนียว อกตัญญู ไอ้ลูกก็เป็นอย่างนั้นแหละ นี่ถ้าว่าพ่อแม่ไม่เคารพพ่อแม่ของตนเองคือชั้น ชั้นตา ปู่ตาย่ายายของ ของเด็กนี่ไอ้เด็กมันก็จะไม่เคารพพ่อแม่ของตน จึงมีคำกล่าวว่าถ้าตนไม่เคารพพ่อแม่ของตนน่ะ ถ้าพ่อแม่มันไม่เคารพพ่อแม่ของตนน่ะไอ้ลูกเด็กๆก็จะไม่เคารพพ่อแม่ และก็จะไม่กตัญญู ถ้าจะให้ลูกเล็กๆกตัญญูต่อตนเองแล้วตนเองจะต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ชั้นบนน่ะให้มาก นี่มัน มันเห็นได้ง่ายๆนี่เพราะมันเป็นการถ่ายนิสัยนี่ ถ้าพ่อแม่เขาเอาอกเอาใจบิดามารดา ยอมกระทำทุกอย่างทุกประการ ยอมทำด้วยความยากลำบาก ลูกมันก็เห็นอยู่ มันก็คงจะนึกว่าทำทำไม ทำทำไม เดี๋ยวก็มานึกออกว่าเพราะว่าเป็นบิดามารดา จะล้างอุจจาระปัสสาวะหรือจะชำระสิ่งสกปรกสะอาดต่างๆอะไรก็ทำได้ ถ้าพ่อแม่ทำต่อพ่อแม่ของตนได้ ไอ้ลูกเล็กๆมันก็จะทำต่อพ่อแม่ในชั้นของตนนี้ได้เหมือนกัน ดังนั้นคำพูดที่เขาพูดว่าการกตัญญูต่อบิดามารดาของตนนั้นจะทำให้ลูกชั้นล่างนี่กตัญญูต่อตนเป็นแน่นอน เกิดเป็นหลักคล้ายๆกับหลักบัญญัติทางศีลธรรมขึ้นมาอย่างนี้ ทั้งหมดนี้อาตมาเรียกว่าเป็นการอบรมสั่งสอนโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ใช่สอนอย่างที่ว่าสอนในโรงเรียน แต่มันเป็นการสอนโดยถ่ายนิสัย ถ่ายอุปนิสัย ถ่ายมรรยาท ถ่ายอะไรต่างๆให้แก่ลูกนั้นโดยไม่รู้สึกตัว พ่อแม่ทำไปเท่าไรลูกมันก็เอาอย่างตามธรรมชาติตามสัญชาติของทารกที่มันจะต้องรับเอาไปเป็นตัวอย่าง พ่อแม่ต้องเป็นครูที่ดีอยู่ทุกๆกระเบียดนิ้ว ใช้คำธรรมดาสามัญ แล้วลูกมันก็จะค่อยๆดีตามไปทุกกระเบียดนิ้ว ฉะนั้นบิดามารดาจึงต้องอดกลั้นอดทนมาก ต้องระมัดระวังมาก ต้องบังคับตัวเองมาก อย่าทำอะไรให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ให้ลูกเล็กๆให้ลูกทารกมันเห็น แล้วมันจะเอาอย่างในทางที่ผิด ผู้ที่จะสอนเขาอบรมเขาน่ะต้องอดทนมาก ต้องอดกลั้นมาก ต้องบังคับตัวเองมาก เดี๋ยวนี้บิดามารดาบางคนไม่ค่อยจะบังคับตัวเอง พูดหยาบบ้าง แสดงอาการโกรธฉุนเฉียวเป็นปกติอยู่บ้าง เดี๋ยวก็ทา เอ็ดตะโรทารุณโหดร้ายขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล โดยไม่มีความหมาย ตีลูกตีหลานโดยมุทะลุดุดัน เด็กมันก็รับเอาไปเป็นตัวอย่างเป็นนิสัยที่จะพูดจาหยาบคาย ว่าร้ายด่าทอ มุทะลุดุดัน ถ้าใครเห็นว่าจริงตามนี้ก็ขอให้ยอมรับเถอะว่าพ่อแม่นั่นแหละเป็นผู้ทำให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนมาทำให้เป็น พ่อแม่เผลอไปหรือไม่มีเจตนา ก็ได้ทำไปแล้ว แล้วมันก็ถ่ายทอดลงไปนิ ในนิสัยของลูกเด็กๆลูกทารกทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น นี่เขาจึงเรียกว่าดูที่พ่อแม่ก็รู้จักลูก ดูที่ลูกก็รู้จักพ่อแม่ เพราะว่ามันถ่ายทอดกันมาอย่างนี้ ถ้าว่ามันมีอะไรที่บกพร่องผิดพลาดขึ้นในฝ่ายลูก เขาก็โทษพ่อแม่ได้ทันทีว่าบกพร่องในการที่จะอบรมลูก การสืบทอดมาโดยสายโลหิตจึงมีปัญหาขึ้นมาว่าใครจะต้องรับผิดชอบ โดยส่วนใหญ่แล้วบิดามารดาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไอ้ลูกเด็กๆนั้นมันมีหน้า หน้าที่เรียนอย่าง ทำตามอย่างหรือเอาอย่างแม้โดยไม่รู้สึกตัว นี่ถ้าบิดามารดาทำตัวอย่างอย่างไรลูกมันก็เอาอย่างนั้น ไอ้ลูกเล็กๆนี่จะต้องได้รับ จะต้องรับผิดชอบต่อเมื่อมันโตขึ้น มันไปโตขึ้น มีลูกมีหลาน แล้วมันก็ต้องรับผิดชอบอย่างเดียวต่อๆกันไปอีก นี่มนุษย์มีการสืบ การถ่ายทอดสิ่งดีสิ่งร้าย สิ่งถูกสิ่งผิด สิ่งสมควรสิ่งไม่ควรอยู่ในลักษณะอย่างนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นธรรมชาติในอย่าง ใน ในส่วนนี้ก็ได้ และเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยไม่รู้สึกตัว แล้วจะไม่รับผิดชอบ มันควรจะต้องรับผิดชอบเอาว่าถ้าว่าลูกหลานมันเป็นอย่างไรในทางที่ไม่ถูกไม่ควรบิดามารดาจะต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นจึงมีการระมัดระวังเป็นการล่วงหน้าเสียดีกว่า อย่าให้เกิดความเสียหายขึ้นมาเลย นี่บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรกของลูก
ทีนี้ที่ว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูกนั่นก็มีความหมายมากเหมือนกัน แต่คำว่าพระอรหันต์ในที่นี้เขาไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระอรหันต์ที่หมดกิเลสเหมือนหลักธรรมะที่ว่าพระอรหันต์หมดกิเลส บิดามารดาเป็นพระอรหันต์คือเป็นผู้ที่ทำให้บุตรได้บุญเหมือนกับทำบุญแก่พระอรหันต์ คำพูดคำนั้นเรียกว่า อาหุไนยบุคคล แต่คำว่า อาหุไนยบุคคล มันเป็นคำแทนชื่อพระอรหันต์ได้ คือว่าทำให้ผู้ที่บำเพ็ญกุศลได้รับบุญกุศลสูงสุดก็เรียกว่า อาหุไนยบุคคล ด้วยกันทั้งนั้น บิดามารดาเป็น อาหุไนยบุคคล ทำนองเดียวหรือเท่ากันกับพระอรหันต์ เป็น อาหุไนยบุคคล แก่สัตว์โลกทั้งปวง ข้อนี้ต้องการให้บุตรธิดาน่ะสนใจในบิดามารดาในฐานะเป็นผู้ที่ตนจะต้องประพฤติกระทำต่ออย่างที่ว่าบุคคลทั่วไปเขากระทำแก่พระอรหันต์ นับตั้งแต่ว่ามีความเคารพนับถือ เอาใจใส่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อให้ได้รับความสะดวกสบายเหมือนกับบำรุงพระอรหันต์อย่างนั้น แล้วลูกก็จะได้บุญในทำนองเดียวกัน พวกจีนคงจะรู้เรื่องนี้อย่างเดียวกันกับที่เรารู้หรือกำลังพูด เพราะมันมีนิทานของพวกจีนเล่าเรื่องพระอรหันต์ ซึ่งควรจะฟังไว้จะมีประโยชน์นะ จะว่ามีประโยชน์ คือว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คนรุ่นหนุ่มคนหนึ่งเขาได้เรียนได้ฟังเรื่องพระอรหันต์ว่าเป็นผู้วิเศษประเสริฐที่สุดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาก็รู้อย่างงูๆปลาๆอย่างนั้นแหละ เขาก็เลยตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไปหาพระอรหันต์ให้พบให้จนได้ ทีนี้ว่ามันมีแม่อยู่คนหนึ่งซึ่งแก่แล้ว แม่ก็ไม่อยากให้ไป ไอ้ลูกมันจะไปให้ได้จะไปหาพระอรหันต์ มันก็ฝืนใจแม่ไปเที่ยวหาพระอรหันต์ ไปตามที่ต่างๆที่เชื่อว่าจะมีบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ ทีนี้ก็ไปพบบุคคลคนหนึ่งเข้า ซึ่งจะเป็นพระอรหันต์จริงๆก็ได้ แต่บุคคลนั้นกลับบอกว่าอ้าว, บ้าแล้วกลับไปบ้าน พระอรหันต์อยู่ที่บ้าน มาหาอะไรที่นี่ล่ะ พระอรหันต์นั้นอยู่ที่บ้านนะ แกจะมาหาพระอรหันต์อะไรที่นี่ ทีนี้คนหนุ่มคนนั้นเขาก็เลยถามเสียเลยว่าจะรู้จักพระอรหันต์ได้อย่างไรล่ะว่าอยู่ที่บ้าน อาจารย์คนนั้นก็บอกเอ้า, ไปที่บ้านสิ ไอ้คนที่มันใส่เสื้อกลับ ใส่รองเท้ากลับข้าง สวมเสื้อกลับข้างเอานอก เอาในเป็นนอกคนนั้นแหละเป็นพระอรหันต์ ว่าอย่างนี้ ชายหนุ่มคนนั้นมันก็ไม่อยากแหละที่จริงแต่มันก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนแล้ว มันก็เลยทำตามแล้วกลับไปบ้าน แล้วไปถึงมันเป็นเวลาดึกแล้ว เพราะว่าแม่ก็ปิดประตูนอนแล้ว ลูกมันก็ร้องเรียกแม่ให้เปิดประตู แม่ก็ด้วยความดีใจที่ได้ยินเสียงลูก ลูกที่หายไป ที่ไม่อยากให้จากไปน่ะมันกลับมาแล้ว มันก็ดีใจที่สุดมันก็รีบมาเปิดประตู พอเปิดประตูออกมาก็เห็นว่าแม่นั้นน่ะใส่เสื้อกลับข้างเอาข้างในเป็นข้างนอก แล้วรองเท้าก็ใส่กลับข้างกันอยู่ นี่เพราะว่าแม่มันดีใจ แม่มันดีใจเหลือประมาณ มันรักลูกเหลือประมาณไม่อยากให้ลูกจากไป ความที่ลูกกลับมานี้มันมีความหมายมาก มีความรัก มีความยินดีปรีดา ลุกลี้ลุกลนจนไม่รู้ว่าจะใส่ สวมเสื้ออย่างไรอย่างถูกต้อง มันก็สวมเสื้อกลับข้างแม้แต่สวมรองเท้ามันก็สวมรองเท้ากลับข้าง ลูกก็นึกได้ทันทีว่า นึกได้ทันทีว่าทำไมแม่ถึงสวมเสื้อกลับข้างสวมรองเท้ากลับข้าง เพราะว่าหัวใจของแม่เป็นอย่างไร เขาก็เลยรู้ว่าหัวใจของแม่เป็นอย่างไร คือความที่รักลูกนั้นไม่มีอะไรเท่า ความยินดีที่ลูกกลับมานี้ไม่มีอะไรเท่า เราไม่อาจจะหาใครที่ไหนที่จะให้รักเราเหมือนกับแม่ของเรา เขาก็เลยหยุด หยุดเที่ยวหาพระอรหันต์ มันเข้าใจว่าแม่นั่นแหละเป็นพระอรหันต์ในความหมายในทางจิตใจ นี่พวกจีนเขาก็คงรู้เรื่องเกี่ยวกับพระอรหันต์ดังนั้นเขาจึงมีนิทานเล่ากันไว้อย่างนี้ นี่เราควรจะมองดูให้มองเห็นความหมายอันลึกอย่างนี้ว่าไม่มีใครจะรักเราเท่าแม่ ไม่มีใครจะหวังดีต่อเราเท่าแม่ ไม่มีใครจะดีใจในการที่มีเราขึ้นมาในโลกนี่ไม่มีใครดีใจเท่าแม่ เท่าพ่อเท่าแม่ จึงมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงแล้วก็มีพ่อมีแม่เป็นพระอรหันต์ นี่เมื่อกล่าวตามขนบธรรมเนียมประเพณี สมมติบัญญัติในทางศีลธรรม พ่อแม่ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรามา แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อเราอย่างนี้ เป็นเรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องทางภายนอก เป็นเรื่องทางร่างกาย ทีนี้ก็จะดูทางจิตใจต่อไปว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นพ่อ พระธรรมจะเป็นแม่ พระสงฆ์จะเป็นพี่หรือเพื่อนได้อย่างไร ธรรมะหรือพระธรรมนั้นเป็นอำนาจธรรมชาติที่จะทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นมาตามสมควรแก่เหตุและปัจจัย ธรรมะในที่นี้หมายถึงกฎของอิทัปปัจจยตาที่มีอำนาจให้เกิดสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาไม่หยุดไม่หย่อน พระพุทธเจ้ารู้จักใช้กฎอิทัปปัจจยตาแก่บุคคลแต่ละคนละคน ทำให้บุคคลนั้นเปลี่ยนเหมือนกับเกิดใหม่ เช่นบรรลุธรรมะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ได้เกิดเอง แต่เกิดโดยอำนาจของธรรมะคือกฎของอิทัปปัจจยตาในฐานะเป็นเหตุให้มันมีความสำเร็จในการเกิด แล้วเรียกพระพุทธเจ้าว่าเหมือนกับพ่อ เรียกพระธรรมว่าเหมือนกับแม่ แล้วเรียกพระสงฆ์ที่มีการเกิดแล้ว เกิดแล้วนั่นแหละเหมือนกับพี่ที่เกิดก่อนหรือว่าจะเป็นเพื่อนที่เกิดมาด้วยกันก็ได้ อย่างนี้เรียกว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นเพื่อน คิดดูเถอะมันอีกความหมายหนึ่ง มันก็มีความหมายที่ลึกไปกว่า ถ้าเราทำได้จริงเราก็มีพ่อแม่และเพื่อนที่ดีกว่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่เป็นการเกิดทางร่างกาย เรามีพ่อแม่ทางจิตใจทางวิญญาณก็เกิดเรามาดีกว่าที่จะเกิดตามธรรมดาทางร่างกายทางเนื้อทางหนัง ขอให้ทุกคนรู้จักเลื่อนชั้นการเกิดของตนๆให้สูงยิ่งๆขึ้นไป จากมีมนุษย์ธรรมดาเป็นบิดามารดาในทางร่างกาย แล้วก็ให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นบิดามารดาในทางจิตใจ มีการเกิดใหม่ เกิดใหม่เกิดยิ่งๆขึ้นไป ทุกคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงเรียกว่าการเกิด เกิดเป็นบรรพชิตเป็นนักบวชขึ้นมานี่ก็เกิด เกิดเป็นพระโสดาบันนี่ก็เกิด แล้วต่อมาเกิดเป็นพระสกิทาคามีมันก็เกิด ต่อมาเป็นอนาคามีมันก็เกิด ต่อมาเป็นอรหันต์มันก็เกิดน่ะมีการเกิดเป็นพระอรหันต์ นี่เรียกว่าเป็นการเกิดในทางจิตในทางวิญญาณ เป็นการเกิดสูงสุดที่จะหยุดเกิดไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไปเมื่อเป็นพระอรหันต์ ใครเคยนึกบ้างว่ามันต้องมีการเกิดอย่างนี้อยู่โดยธรรมชาติ มันต้องมีการเกิดอย่างนี้โดยธรรมชาติ แต่แล้วมันก็ไม่ได้เกิด ก็อย่าไปโทษใครเลยเมื่อตัวเองมันไม่รู้ หรือมันไม่มีโอกาสไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้รู้ที่จะทำให้เกิดมันก็ไม่ได้เกิด เดี๋ยวนี้เอามาพูดกันเสียบ้างก็เพื่อจะให้รู้ แล้วจะเป็นโอกาสที่จะทำให้ได้เกิด ให้เราได้มีไอ้การเกิดจากบิดามารดาที่สูงยิ่งๆขึ้นไป นี้เรียกว่าบิดามารดาในทางภาษาธรรม
ทีนี้ก็พูดกันให้หมดเรื่องว่าในทางภาษาธรรม ภาษาจิต ภาษาวิญญาณนั้นน่ะมีได้เป็น ๒ ฝ่ายคือฝ่ายผิดเป็นอวิชชาเป็นมิจฉาทิฐิมันก็เกิดได้ จิตของมนุษย์นี้ ที่สร้างมานี้เป็นกลางๆ จะเดินไปทางฝ่ายสัมมาทิฐิมันก็ได้ จะเดินไปทางฝ่ายมิจฉาทิฐิก็ได้ ถ้ามันจะเดินหรือมันมีเหตุปัจจัยทำให้เดินไปทางฝ่ายมิจฉาทิฐิแล้วมันก็มีอวิชชาแหละเป็นพ่อ มีตัณหาแหละเป็นแม่ มีอวิชชาทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปาทานว่าตัวตน ว่าตัวกูว่าของกู นี่มันเกิดสำหรับจะเป็นทุกข์ มันเกิดอวิชชา เกิดตัณหา เกิดอุปาทานแล้วก็เป็นทุกข์ เป็นผู้ทำกรรมชั่วสำหรับจะเป็นทุกข์ ล้วนแต่จะเป็นไปในทางฝ่ายทุกข์ บิดามารดาอย่างนี้มีคำตรัสไว้ว่าให้ฆ่าเสีย แล้วก็รู้พระนิพพานที่ปัจจัยอะไรทำไม่ได้คือทำให้การ ให้มีการเกิดอีกไม่ได้ จะต้องตัดใจฆ่าตัวกูของกูซึ่งเป็นที่รักอย่างยิ่งของกู ตามธรรมดามันไม่มีอะไรจะเป็นที่รักที่ยึดถือมากไปกว่าตัวตนของตนที่มันเกิดมาจากอวิชชา มันไม่รู้ว่าที่แท้มันไม่ใช่ตัวตน มันมาหลงยึดถือว่าเป็นตัวตนด้วยความโง่ที่ทำให้ยึดถือมากมันก็รักมาก มันก็เห็นแก่ตัวมาก ดูเอาเถิดแล้วจะเห็นได้ว่าคนนี่มันเห็นแก่ตนมันรักตนมาก มันเห็นแก่ของตนมาก แล้วก็สำหรับจะเกิดความทุกข์ นี่มันเกิดสำหรับจะเป็นทุกข์ มันเกิดทุกขั้นตอนน่ะสำหรับจะเป็นทุกข์ เกิดอวิชชาก็เพื่อตัณหา เกิดตัณหาก็เพื่ออุปาทาน เกิดอุปาทานก็เพื่อตัวกูของกูสำหรับจะเป็นทุกข์ เอาอะไรๆทั้งหมดที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาเป็นของกูหมด ความเกิดแก่เจ็บตายที่เป็นของธรรมชาติมันก็ไปกวาดเอามาเป็นของกู เป็นความเกิดของกู ความแก่ของกู ความเจ็บของกู ความตายของกูจนไม่รู้ว่าจะเป็นทุกข์กันอย่างไรแหละ นี่ต้องมองให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญคือเรื่องที่เรากำลังมีปัญหากันอยู่ ถ้าเรายังเป็นลูกของอวิชชาของตัณหาแล้วเราจะต้องเป็นทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ ไม่มีใครช่วยได้หรอกเพราะเรายังมีตัวกูมีของกู มีตัวตนมีของตน รักใคร่ทะนุถนอมอย่างยิ่งแล้วเราจะต้องเป็นทุกข์ ทุกวันนี่ ทุกวันทุกหนทุกแห่งนี่เรามีความทุกข์อยู่ด้วยอำนาจความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนว่าเป็นของตนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ ยึดถือร่างกายว่าเป็นตัวตน ยึดถือจิตใจว่าเป็นตัวตน ยึดถืออะไรๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันว่าเป็นของตนแล้วเราก็ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีความทุกข์อันไหนที่มิได้มีมูลมาจากไอ้ความยึดถือว่าตัวตนนั่น นี่ไปดูเอาเอง ต่างคนต่างมีความทุกข์นานาแบบนานาชนิด นานาขนาดนานาลักษณะด้วยกันทั้งนั้น แล้วไปดูเถอะไม่ว่าชนิดไหน ถ้ามันมีความทุกข์เกิดขึ้นในใจแล้วดูให้ดีจะพบว่ามันมีความยึดถือว่าตัวตนอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดความโลภก็ดี เกิดความโกรธก็ดี เกิดความหลงก็ดี แล้วร้อนอยู่ในใจนั้นน่ะมันต้องมีไอ้ความหมายแห่งตัวตนหรือของตนอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ ยึดถือสิ่งใดก็ต้องเกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้น ยึดถือในเงินทองก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเงินทอง ยึดถือในทรัพย์สมบัติ วัวควายไร่นาก็ต้องเกิดความทุกข์เพราะยึดถือวัวควายไร่นา ยึดถือในเกียรติยศชื่อเสียงก็ต้องเกิดความทุกข์มาจากความยึดถือในเกียรติยศชื่อเสียง ไม่ต้องยึดถือก็ไม่ ก็ไม่เป็นทุกข์ แล้วเราทำได้โดยไม่ต้องยึดถือ นี่คนเขาไม่ค่อยเข้าใจเขาก็พูดกันว่าถ้าไม่ยึดถือแล้วจะทำอะไรได้หรือมันไม่อยากจะทำอะไร นั้นคนที่มันยึดถือพูด มันรู้จักแต่ยึดถือ มันโง่ข้างเดียวคือโง่แต่จะยึดถือ มันก็พูดว่าถ้าไม่ยึดถือแล้วอะไรจะมาเป็นเหตุให้เราทำการทำงาน ผู้ที่รู้เขาก็บอกว่าสติปัญญาที่มันตรงกันข้ามกับความยึดถือนั่นมันมีอยู่เป็นเหตุให้ทำสิ่งที่ควรทำทุกสิ่งทุกอย่าง คนมีกิเลสก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกิเลส คนที่ไม่มีกิเลสก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสติปัญญาหรือว่าด้วยจิตที่มีความรู้ถึงที่สุดเพราะว่าหมดจากกิเลสแล้ว จะเรียกว่า อตัมมยตา อีกทีหนึ่งก็ได้แต่ไม่ค่อยอยากจะพูดเพราะเป็นคำที่ยังจะต้องอธิบายกันอีกนาน จิตที่มันอยู่เหนือเหตุเหนือปัจจัย เหนืออำนาจการปรุงแต่งของสิ่งใดๆนี่มันมีปัญญามันมีความรู้ ทำให้ทำอะไรได้มาก ทำอะไรได้ดีกว่าคนปุถุชนเสียอีก คือพระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีกิเลส ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน แต่แล้วท่านก็ทำงานไม่หยุด ทำงานที่ควรจะทำน่ะคือช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงให้พ้นจากกองทุกข์ งานของท่านก็คือช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ ท่านไม่ยึดถืออะไรไม่ยึดถือโลกนี้ว่าของตน ไม่ยึดถือประชาชนว่าของตน ไม่ยึดถือชีวิตว่าของตน ไม่ยึดถืออะไรว่าของตน แต่แล้วมีอำนาจอะไรที่ทำให้ท่านเดินไปๆไม่หยุดไม่หย่อน เที่ยวสั่งสอนประชาชน นั่นแหละคืออำนาจของความที่จิตมันพ้นจากกิเลส พ้นจากอำนาจของกิเลส เพราะว่าท่านทำไปด้วยอำนาจของความไม่มีกิเลส แล้วเมื่อปุถุชนทั้งหลายทำไปตามอำนาจของกิเลส ทำนาทำไร่ ค้าขายไอ้ทำอะไรก็ตามก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส อย่างนี้ไม่เป็นพุทธบริษัทนะจะบอกให้ ถ้าทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลสนั้นยังไม่ใช่พุทธบริษัทนะ จะทำนาก็ได้ ทำสวนก็ได้ ค้าขายอะไรก็ได้แต่ขออย่าทำไปตามอำนาจกิเลสเต็มเลย ทำไปด้วยอำนาจของสติปัญญา รู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำแล้วก็ทำ นั่นแหละทำไปด้วยอำนาจของสติปัญญา เราเจริญสติปัญญาเพิ่มเติม สติปัญญามากขึ้นตลอดเวลาแล้วก็ทำอะไรไปด้วยอำนาจของสติปัญญานั้นๆก็ทำได้ดีกว่า ทำได้ถูกต้อง ที่สำคัญก็คือว่ามันไม่เป็นทุกข์เลย สมมติว่าจะทำนา เอ้า, ถ้าทำด้วยความโง่ด้วยความโลภว่าเป็นต้นมันก็เหนื่อยแหละ มันก็รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกว่าโชคร้ายเกิดมายากจนข้นแค้น แต่แล้วคนหนึ่งทำนาเหมือนกันแต่ว่ามันเช่นนั้นเอง มันเป็นเรื่องของเช่นนั้นเองที่เราจะต้องทำนาตามธรรมชาติเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก็เอ้า, มันก็เช่นนั้นเอง ความเหนื่อยมันก็หายไปทันทีแหละ ถ้าเห็นว่าไอ้ความเหนื่อยนั้นมันเช่นนั้นเอง เหนื่อยก็หยุดเสียสิ หายเหนื่อยก็ทำอีกสิ เดี๋ยวนี้เขามาคิดว่าพอเหนื่อยเข้าเขาก็โกรธแค้นโชคชะตาว่าเกิดมายากจนโชคชะตาไม่ดี อะไรๆก็โทษผีโทษสางโทษเทวดาว่าไม่ช่วยไม่อะไรไปต่างๆนานาเป็นทุกข์ไปหมด ก็ต้องได้เป็นทุกข์แหละเพราะว่ามันทำด้วยกิเลส ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ อย่าทำอย่างนั้นสิ มีความรู้ถูกต้องว่าอะไรเป็นอย่างไร มีความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง กี่อย่างๆอย่างไร เห็นเป็นของธรรมดาอย่างนี้แล้วมันก็ไม่ต้องโกรธใคร ไม่ต้องรักใครด้วยไม่ต้องโกรธใครด้วย ไม่ต้องเกลียดอะไรไม่ต้องรักอะไร ก็ทำไปได้ เหนื่อยก็นอนหายเหนื่อยก็ทำ ไม่ต้องโกรธไม่ต้องกระฟัดกระเฟียดให้มันเหนื่อยเพิ่มขึ้นมาอีก
นี่เราเดินตามรอยของพระอริยเจ้าเดินตามรอยของพระอรหันต์ จะต้องทำกันอย่างนี้จึงจะเป็นพุทธบริษัท ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็เป็นมาร มารบริษัท เป็นบริษัทของมาร ถ้าทำอย่างนี้เป็นบริษัทของพระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่น ๓ คำนี้ช่วยกันนึกไว้เสมอและเข้าใจให้ถูกต้องเต็มที่ว่า พุทธะ พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำไมแปลได้หลายคำนักเล่า มันเป็นอย่างนั้นเองแหละคำบาลีมันเป็นอย่างนั้นเอง ไอ้ศัพท์ว่า พุทธะ นี่มันแปลว่าตื่นนอนก็ได้ แปลว่ารู้อะไรที่ควรรู้ก็ได้ แปลว่าเบิกบานสดชื่นแจ่มใสก็ได้ แล้วที่แท้มันก็เป็นเรื่องเดียวกัน ถ้าเรารู้ รู้สิ่งที่ควรรู้ มีสติปัญญารู้ แล้วเราก็เหมือนกับคนตื่นจากหลับแหละไม่ได้หลับหรอก มันก็อยู่ด้วยความรู้มันก็เบิกบานแหละ เพราะมันอยู่ มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้นี่มันก็เบิกบาน มันก็สดชื่น มันก็แจ่มใส ฉะนั้นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นน่ะเป็นคนๆเดียวกันได้คือมีความหมายอันเดียวกันได้ จะต้องมีชีวิตอยู่ชนิดที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะจึงจะเป็นพุทธบริษัท ถ้าอยู่มีชีวิตที่งัวเงีย ซบเซา ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกระทั่งไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไมด้วยซ้ำไปแล้วมันจะเบิกบานอย่างไรได้มันไม่มีความเบิกบาน ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ใช่พุทธบริษัท มันจะเสียหายมากนะ ถ้าไม่เป็นพุทธบริษัทมันจะเสียหายมาก ให้ทุกคนระมัดระวังให้ดี รักษาความรู้ ความตื่น ความเบิกบานเอาไว้ให้ดีๆให้ยังคงมีอยู่ตลอดเวลาแล้วและก็จะได้อยู่กันผาสุกไม่ต้องมีความทุกข์ใดๆ ดูเถิดไอ้ความทุกข์ทุกชนิดแหละมันเกิดมาจากความที่ไม่เป็นผู้รู้ ไม่เป็นผู้ตื่น ไม่เป็นผู้เบิกบานนั่นเอง ประกาศตัวว่าเป็นพุทธบริษัทกันให้ก้องไปหมด แต่มันก็ไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน แล้วก็จะไปโทษใคร มันก็โทษไอ้ความที่มันเป็นกันแต่ปาก มันพูดกันแต่ปาก มันไม่ได้ทำให้เป็นจริงๆอย่างนั้น จิตใจมันไม่ได้เป็นจริงอย่างนั้น นี่ก็จะต้องนึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นเพื่อนเป็นพี่ก็ต้องเป็นกันให้จริงๆ มันเลื่อนชั้นขึ้นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ทีนี้เราจะมีปู่ย่าตายายกันที่ไหนล่ะเอ้า, ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนๆโน้นแหละเป็นปู่ย่าตายาย มีพระพุทธเจ้าก่อนๆโน้นน่ะเป็นปู่ย่าตายาย มีพระธรรมที่เป็นอนันตกาลไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงนั่นแหละเป็นบรรพบุรุษ เป็นแม่ เป็นฝ่ายแม่ที่ให้คลอดออกมา คลอดออกมา คลอดออกมา นี่เรียกว่ามีบิดามารดาชนิดที่เป็นภาษาธรรม มีแล้วมันก็จะจบเรื่อง มีแล้วก็จะไม่ต้องมีอะไรอีกมันจะจบเรื่อง นี่ขอให้สนใจให้ดีๆว่ามีบิดามารดาอย่างภาษาธรรม ภาษาวัตถุ ภาษาร่างกาย ทำดีที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดแล้วหรือทำดีที่สุดอยู่ก็ได้ แล้วก็เลยไปถึงมีพระ พระ มี มีบิดามารดาในภาษาธรรม มีธรรมะนั่นแหละเป็นบิดามารดา ที่จริงพระพุทธเจ้าตัวแท้ก็หมายถึงธรรมะ ข้อนี้ก็พูดกันจน จนเอือมแล้ว แล้วว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมะนั่นแหละเป็นตัวตถาคต ทีนี้พระสงฆ์ก็เหมือนกันแหละถ้าไม่มีธรรมะก็ไม่มีพระสงฆ์หรอก ความเป็นพระสงฆ์มันอยู่ที่ธรรมะที่มีอยู่ในตัวพระสงฆ์นะ ดังนั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็มีธรรมะเสมอกันแหละ ธรรมะที่ดับทุกข์ได้นั่นแหละมีในพระพุทธ มีในพระธรรม มีในพระสงฆ์แล้วมันดับทุกข์ได้ เรามีธรรมะชนิดนี้เป็นผู้ให้กำเนิดได้แล้วเพราะว่าเราขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้ว เพราะเราไม่ได้อยู่ในขั้นที่ว่าไม่รู้อะไรเลย เป็นปุถุชนชั้นอนุบาลไม่รู้อะไรเลย เป็นมนุษย์ที่เรียนมาศึกษามาปฏิบัติมาสังเกตมา ชีวิตสอนให้รู้สิ่งต่างๆมากขึ้นก็รู้ว่ามันจะไปกันทางไหนจึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ นี่ที่มันเปลี่ยนอย่างนี้เปลี่ยนมาตามลำดับทุกตอนนี่มันก็มาจากอำนาจของพระธรรมโดยผ่านทางพระพุทธเจ้าบ้าง โดยผ่านทางพระสงฆ์บ้าง เรามีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนต้นกำเนิด เรามีพระสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนรับ รับมรดกตกทอดกันมา ก็พระธรรมนั่นแหละไม่มีอะไรอื่น พระธรรมนั่นเป็นเหตุให้เกิดใหม่ เกิดใหม่เกิดโดยพระธรรม ไม่ใช่เนื้อหนังร่างกาย นั้นมันเสร็จกันไปแล้ว เกิดใหม่อย่างมีเนื้อหนังร่างกายอยู่ที่นี่แล้วเดี๋ยวนี้จิตใจยังจะต้องเกิดต่อไป จิตใจยังจะต้องเกิดโดยพระธรรมโดยธรรมะให้สูงยิ่งๆขึ้นไป นี่เรื่องมันจะจบ ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าไม่ต้องเกิดแล้วก็ยังไม่จบ แต่นี้เกิดดีขึ้นๆ ดีขึ้นๆ ดีขึ้นจนถึงขั้นสุดท้ายเห็นว่าโอ้, มันไม่ต้องเกิด มันไม่มี ไม่มีเรื่องที่จะต้องเกิดคือไม่มีตัวตน เลิกเกิดเลิก เปลี่ยนแปลงกันเสียทีเพราะว่ามันไม่มีตัวตน มันไม่มีอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะเอามาเป็นตัวตนของตนได้นี่มันก็หยุดเกิด มันหยุดเกิด จิตใจชนิดนี้มันหยุดเกิด เป็นจิตใจหลุดพ้นที่เรียกกันว่าผู้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ พูดอย่างนี้คล้ายๆกับว่าจะเอาเปรียบ โดยให้ถือว่าเรามีบิดามารดาที่เป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระสงฆ์ที่จะต้องถึงที่สุดแห่งการเกิดกันให้ได้ทั้งนั้น ทำไมเอามาพูดในวันนี้ซึ่งเป็นวันทำบุญตายาย ก็เพราะอยากจะให้รู้ว่าตายายของเราเคยได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ ตายายของเราเคยได้รับประโยชน์จากธรรมะ กลัวลูกหลานจะไม่ได้รับคือว่าจะเลวกว่าปู่ย่าตายายว่าอย่างนั้น ปู่ย่าตายายของเรารู้ธรรมะขนาดที่จะดับทุกข์ได้ อย่างๆ อย่างว่าจะขออ้างหลักฐานเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์เป็นต้น นี่แสดงว่าปู่ย่าตายายเขาร้องเพลงนี้เพราะเขารู้ว่านิพพานนั้นเป็นอย่างไร หรือต้นมะม่วงหิมพานต์อยู่กลางทะเลหลวง พ้นสัตว์ทั้งปวงที่จะไปเจาะไปกัดนั่นก็หมายถึงนิพพาน แล้วก็ว่าต้นส้มซ่ามีลูกดกร่า ไม่มีอะไรเจาะไม่มีอะไรกิน แล้วมันคลุมหัวคนทั้งเมืองอยู่ ทั้งที่คนทั้งเมืองมันโง่ ต้นส้มซ่าลูกดกคลุมหัวมันอยู่ มันก็ไม่รู้จัก มันมองไม่เห็นเพราะมันโง่ นี่ดูๆ ดูความรู้ของปู่ย่าตายาย มีบทกล่อมลูกให้นอนเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ก็ดี เรื่องต้นส้มซ่าก็ดี เรื่องต้นมะม่วงหิมพานต์ก็ดี เขารู้สิ่งที่ไม่มีความทุกข์เลยกันทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นเราจะต้องเอามาพูดกันในวันที่ว่าเป็นวันที่ระลึกแก่ปู่ย่าตายาย แล้วเราจะได้ระลึกว่าปู่ย่ายายายของเราเคยรู้อย่างนี้ เคยขึ้นมาถึงขั้นนี้ ท่านเคยขั้น ขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ นี่ขอให้ลูกหลานน่ะรักษาเกียรติยศของตนไว้ให้ได้อย่าให้เสียทีที่เป็นลูกหลานของตายาย ในเมื่อตายายมันรู้ถึงขนาดนั้น ลูกหลานมันก็ต้องรู้ถึงขนาดนั้นด้วย ควรจะรู้ถึงขนาดนั้นด้วย จึงจะไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานของตายาย
นี่วันนี้เราก็พูดกันมากหน่อยถึงเรื่องบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ว่าลูกหลานเหลนจะมีมาในอนาคตนั้นน่ะมันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างไร ถ้าบิดามารดา ปู่ย่าตายายเป็น พุทธะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานที่ถูกต้องแล้วไม่ต้องสงสัย ลูกหลานก็จะถ่ายทอดไอ้ความเป็น พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้โดยง่าย ไม่เสียที นี่วันนี้ควรจะพูดกันถึงเรื่องนี้ สรุปแล้วก็คือความรับผิดชอบในการที่จะเป็นบิดามารดา หรือจะมีบิดามารดาเราควรจะมีบิดามารดาชนิดไหนนี่ดีที่สุด แล้วเราก็จะเป็นบิดามารดาแก่ลูกหลานของเราต่อไปชนิดไหนจึงจะเป็นมารดาที่ดีที่สุด ในการที่เราจะมีบิดามารดาก็ดี ในการที่เราจะเป็นบิดามารดาแก่ลูกหลานก็ดีเราต้องรู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด นี่คือเรื่องที่เอามาปรารภ แต่บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระพูดเพ้อๆอะไรก็ได้ เห็นลุกไปแล้วหลายคนทีเดียว เพราะมันฟังไม่ถูกมันลุกไปแล้วหลายคน นี่ที่ทนฟังอยู่ได้นี่ก็ไม่รู้ว่าจะฟังออกหรือไม่ออก ฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละ เรามีบิดามารดาทั้งฝ่ายร่างกาย มีบิดามารดาทั้งฝ่ายจิตใจ เราต้องมีให้ได้และเมื่อถึงคราวที่เราจะต้องเป็นเราก็จะต้องเป็นให้ได้ แล้วทุกคนทั้งบิดามารดาและลูกหลานก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา การบรรยายในโอกาสนี้ก็สมควรแก่เวลา หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้เป็นบิดามารดาที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วๆมา เลื่อนชั้นหรือขึ้นศักราชใหม่ของความเป็นบิดามารดาให้สูงขึ้นไปด้วยกันทุกๆคน คือเลื่อนชั้นในความเป็นพุทธบริษัทของตน มันก็เท่ากับเลื่อนชั้นความเป็นบิดามารดาให้แก่ลูกหลานโดยไม่ต้องสงสัย ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้