แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ และวิริยะความเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปในทางของพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เนื่องด้วยการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การประกอบกุศลใดๆที่จะมีผลครบถ้วนสมบูรณ์นั้น จะต้องกระทำด้วยความรู้ ความเข้าใจอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ในสิ่งที่ตนกระทำ เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็ควรจะได้วิสัชนากันถึงเรื่องอันเนื่องกับการบูชาประทีปมาลา เนื่องในวันเพ็ญเดือนกัตติกมาสนี้กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ท่านทั้งหลายก็ได้ยิน ได้ฟังกันอยู่แล้วว่าการบูชานี้เรียกว่า ลอยกระทง และการลอยนั้นก็ลอยลงไปในแม่น้ำบ้าง ทะเลบ้าง หรือในที่ๆจะหาได้ตามสะดวกบ้าง แต่ความหมายก็ยังคงเป็นอย่างเดียวกัน คือลอยลงไปในน้ำ ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายของทะเล ทีนี้สิ่งที่ควรจะทราบกันต่อไปก็คือว่า มีความหมายอย่างไร ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นพุทธบริษัทควรจะมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง แจ่มแจ้ง สมควรแก่ความเป็นพุทธบริษัทของตนๆ แต่เนื่องจากความหมายของการบำเพ็ญกุศลในวันนี้นั้นอาจจะมองกันได้หลายอย่าง หลายประการ หรือหลายแง่หลายมุม ดังนั้นเราควรจะมองกันให้ทุกแง่ ทุกมุม เพื่อว่าใครชอบใจในส่วนไหน ก็จะได้ตั้งใจกระทำในส่วนนั้น หรือบางคนอาจจะมีความตั้งใจกระทำเป็นลำดับไปให้ครบ ครบถ้วนทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้ก็ยังจะทำได้ จึงควรจะตั้งใจฟังให้ดี เพราะเราจะถือเอาซึ่งประโยชน์จากการกระทำในวันนี้ได้สักกี่อย่าง กี่ทาง
ในชั้นแรกที่สุดก็จะพูดกันถึงคำว่า พิธีลอยกระทง สังเกตุดูให้ดีก็จะพบคำว่า พิธี อยู่ในคำ ในๆๆๆชื่อที่เรียกการกระทำอันนี้ว่า พิธีลอยกระทง คิดดูต่อไปว่าพุทธศาสนานี้มีพิธีด้วยหรืออย่างไร ถ้าว่าตามตรง หรือว่าตามที่เป็นอยู่จริง พุทธศาสนานั้นไม่ใช่พิธี ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่มีพิธี ไม่มีการกระทำพิธี สิ่งที่เรียกว่าพิธีไม่อยู่ในตัวของพุทธศาสนาเลย ถ้าเราจะสำรวจดูในพระบาลี เว้นพวกปาฐกถาทั้งหลายเสีย เอากันแต่พระบาลีที่เรียกกันว่าพระไตรปิฏก จะไม่พบเรื่องราวใดๆที่แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ประกอบพิธีอะไรเหมือนที่เราทำกันอยู่ในทุกวันนี้ หมายความว่าท่านไม่ได้ทำพิธี เพราะว่าพุทธศาสนาไม่ใช่พิธี พูดให้ชัดลงไปอีกชั้นหนึ่งก็คือว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ดับทุกข์นั้นไม่เป็นพิธี ไม่ใช่พิธี ไม่มีพิธีอยู่ในการดับทุกข์ ทีนี้ทำไมมันจึงเกิดพิธีขึ้นมา เช่นพิธีรับศีลอย่างเมื่อสักครู่นี้เป็นต้น ก็ต้องถือว่าเป็นพิธี ซึ่งในพุทธกาลไม่มี นี่ก็จะเห็นได้ว่าพิธีต่างๆนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นมาในระยะหลัง ในตอนหลัง สิ่งที่เรียกว่าพิธีก็เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องให้ชักจูงคนให้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา เพราะว่าในสมัยต่อมานี้คนไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ด้วยสติปัญญา หรือว่าไม่สามารถจะทำให้พร้อมเพรียงกันโดยไม่ยกเว้นผู้ใด คือทั้งคนโง่ และคนฉลาด เมื่อต้องการจะทำให้พร้อมเพรียงกันหมด มันก็ต้องจัดสิ่งซึ่งว่าคนไม่มีปัญญา หรือยังไม่มีปัญญา จะร่วมกระทำด้วยได้ ดั้งนั้นแหละจึงได้เกิดการกระทำพิธีอย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมา มากมายหลายอย่างในหมู่พวกพุทธบริษัท
เมื่อดูไปอีกทีหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าพิธีนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร โดยสรุปแล้วก็เป็นประโยชน์เพื่อจะชักจูงคนให้เข้ามาสู่พระศาสนา มาสู่วัดวาอาราม หรือประพฤติ กระทำกิจกรรมต่างๆในเบื้องต้น เพื่อนำไปสู่การดับทุกข์ในที่สุด นี่ขอให้แยกกันดูให้ดีในชั้นหนึ่งก่อนว่า ตัวพุทธศาสนาแท้ๆไม่มีพิธี ไม่ใช่พิธี พระพุทธเจ้าไม่เคยประกอบพิธี ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ศาสนายังอยู่ ต้องการจะให้แพร่หลาย กว้างขวาง ให้มั่นคงเป็นต้น จึงได้จัดพิธีต่างๆขึ้นตามสมควรแก่เหตุผล หรือความคิดเห็นของบุคคลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบนั้นๆ เมื่อเวลาล่วงมา ๒,๐๐๐ กว่าปี พิธีมันก็มีขึ้นมามากมาย มันเลยเถิดไปกว่านั้นอีกก็กลายเป็นรีตอง ที่เรียกกันว่าพิธีรีตอง ถ้ามันถึงขั้นรีตองแล้วมันก็จะต้องงมงายมากไปสักหน่อย ในขั้นพิธีนี้ก็เป็นเพียงกุศโลบายที่จะชักจูงคนเข้ามา คือชักจูงผู้ที่ไม่ค่อยมีสติปัญญาเข้ามาสู่พระศาสนานี้ ถ้าเป็นเพียงพิธีก็ยังใช้ได้ มีประโยชน์อยู่ แต่ถ้าเป็นรีตองแล้วก็เลยเถิดไป ไปเข้าใจเอาเองว่าไอ้รีตองนั้นมีอะไรบ้าง
เดี๋ยวนี้เราจะพูดกันแต่เพียงเรื่องของพิธี เพราะเดี๋ยวนี้เราก็จะประกอบพิธีลอยกระทง ประโยชน์ของพิธีก็คือจะชักจูงคนเข้ามาใกล้ชิดวัดวาอาราม หรือมาสนใจในพระพุทธศาสนานั่นเอง ที่เป็นส่วนทั่วไปก็เป็นเรื่องของบ้านเมือง เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน เขาจะจัดอย่างนั้น อย่างนี้ ให้คนอยู่ในความสงบสุข เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองจะได้ผลดี พิธีลองกระทงนี้เท่าที่ยอมรับกันว่าได้เกิดขึ้นมาในสมัยสุโขทัย คือสมัยที่คนไทยเรามีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี ประมาณก็สัก ๑,๘๐๐ กว่าปีมาแล้ว เพราะผู้หญิงที่ฉลาดสามารถเป็นหนึ่งในพระเจ้าแผ่นดินนั้น ก็คิดจัดพิธีลอยกระทงนี้ขึ้น ก็ยังมีกล่าวไว้ว่าให้จัดให้มีพิธีทุกๆเดือน ครบทั้ง ๑๒ เดือน เดือนนั้นทำอย่างนั้น เดือนนี้ทำอย่างนี้ เช่นเดือน ๑๒ นี้ก็มีพิธีลอยกระทง เป็นการกระทำที่ใหญ่หลวง ทำพร้อมกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง และต่อมาก็มีผู้ทำสืบๆกันมา เว้นไปบ้าง ก็กลับมาบ้าง ก็กลับมาอีกจนกระทั่งวันนี้ก็เป็นที่นิยมกันอยู่
ถ้าจะดูประโยชน์ของพิธีลอยกระทงก็นับว่ามีอยู่หลายแง่ หลายมุม เช่นอย่างน้อยก็ทำให้คนฉลาดในทางศิลปะ ในงานฝีมือ ที่จะจัดดอกไม้ ธูปเทียน หรือตัวกระทงนั่นแหละ ให้มันสวยงามวิจิตร เป็นสติปัญญาที่มีประโยชน์ คือทำให้คนมันฉลาด ให้รู้จักสวย รู้จักงาม ในแง่ของศิลปะก็ได้ ในแง่ของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีอะไรก็ได้ ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่ในส่วนนี้ แม้จะไม่คิดกันถึงบุญ ถึงกุศลโดยตรง นี่ก็เป็นบุญกุศลโดยอ้อม คือทำให้คนฉลาดในฝีมือ ทำให้สมัครสมาน สามัคคี กลมเกลียวกัน หรือว่าเป็นเครื่องพักผ่อนหย่อนใจ ให้คนที่มันเหน็ดเหนื่อยมาตั้งเดือนนั้นได้หยุดพักเสียบ้าง ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้มีความหมายอยู่มาก
ถ้ากล่าวตามพระคัมภีร์เดิมโบราณก็มีเขียนไว้ชัดว่าเดือน ๑๒ เพ็ญเดือน ๑๒ เป็นเดือนซึ่งเป็นที่บานแห่งดอกโกมุท คือดอกบัวสายทั้งหลายบานถึงที่สุดในเดือน ๑๒ และเป็นเดือนที่พระจันทร์วันเพ็ญจะสวยที่สุดกว่าเดือนทั้งปวง เค้าก็เลือกเดือนสิบสอง วันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท คือบัวสายทั้งหลายนานาชนิดในท้องทุ่งเบิกบานถึงที่สุด กลางแสงเดือนที่งดงามที่สุด ก็ทำให้อารมณ์ดี เป็นการพักผ่อนหย่อนใจไปในทางบุญ ทางกุศล ก็เป็นพิธีที่มีประโยชน์ แต่คนชั้นหลังมันโง่ มันเลวลงมาเอง ใช้เป็นโอกาสสำหรับกินเหล้า เมายา สำหรับเกี้ยวพาราสี อะไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องบาป เรื่องอกุศลไป มันก็ช่วยไม่ได้สำหรับคนที่มันเลวลง แต่ถ้าคนที่มันยังดีอยู่ มันก็ถือโอกาสนี้เป็นโอกาสที่หาความสงบ ระงับ พักผ่อนทางจิตใจ ประกอบด้วยด้วยพีธีลอยกระทงดังที่กล่าวมาแล้ว
ในกรุงสุโขทัยนั้น คนจะลอยลงไปในกระพังใหญ่ๆทั้งหลาย ก็ไม่ปรากฎว่ามีแม่น้ำที่จะสะดวกในการลอย แต่ถ้ากระพัง หรือสระที่ใหญ่ๆขนาดทะเลสาบนี้ก็มีอยู่ทั่วไป ก็มีบัวอยู่ทั่วไป ฉะนั้นคงจะสวยงามมาก แม้เดี๋ยวนี้ไปดูที่เมืองร้างนั้นก็ยังเห็นได้ว่าจะเป็นอย่างนั้นได้จริง ขอให้เราทำจิตใจชนิดที่ว่ามันจะเยือกเย็นแจ่มใส เหมือนกับนั่งอยู่ในกลางแสงจันทร์ในวันเพ็ญ เป็นที่บานแห่งดอกโกมุทนั้น เดี๋ยวนี้เราก็ทำดอกบัวจำลอง เพื่อเราลอยลงไปในน้ำนั้นมันก็พอจะได้ผลบ้างอย่างเดียวกัน นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าพิธีลอยกระทงได้เกิดขึ้นมาอย่างไร โดยความมุ่งหมายอย่างไร จะมีประโยชน์อย่างไร ก็ลองคิดดูเองเถิด
ทีนี้มีเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่บางอย่าง ว่าลอยกระทงนี้มันจะมีความหมายอย่างไรกันแน่ ในชั้นแรกนั้นอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อจะบูชาสิ่งที่สูงสุด แต่มันก็อธิบายกันต่างๆกันตามหมู่คณะนั้นๆ ถ้าคนบางพวกเขาก็พูดว่าลอยกระทงไปบูชาพระอุปคุต พระอรหันต์ที่ว่าอยู่ที่สะดือของทะเล ต้องลอยไปในทะเล เพื่อไปบูชาพระอรหันต์องค์นั้นเป็นพิเศษ อย่างนี้ก็มีพูดเหมือนกัน ดูว่าจะมีเค้าเงื่อนมาจากประเทศพม่า ทีนี้พวกหนึ่งก็ว่าเราจะลอยไปบูชาพระธาตุ เอ้ย,รอยพระบาทในที่ต่างๆ ๕ แห่ง ตามที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์นั้น ที่หาดทรายเมืองนั้น ที่ริมตลิ่งเมืองนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เนื่องด้วยน้ำ ด้วยทะเลด้วยกันทั้งนั้น ตามที่พระพุทธองค์ได้ประทานเหยียบรอยพระบาทไว้ นี่ก็พวกหนึ่ง นี่บางพวกก็จะคิดเหมาๆเอาว่าเราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งหมด ทั้งสิ้นก็แล้วกัน จะได้ผลมากออกไป หรือสูงยิ่งขึ้นไป ใครจะชอบอย่างไหนก็คิดเอาเองก็ได้ ตามความชอบใจของตน หรือจะมุ่งหมายให้หมดทุกอย่างทุกทางก็ได้ก็ไม่มีใครจะตำหนิติเตียนอะไร
แต่เดี๋ยวนี้ก็อยากจะขอร้องให้คิดดูให้ดี ว่าเราควรจะคิดอย่างไรดีในการลอยกระทง ถ้าคิดว่าบูชาพระรัตนตรัย ก็กินความหมายหมด ไม่ยกเว้นอะไร จะเป็นพระอุปคุต หรือว่ารอยพระบาท หรืออะไรก็ตาม มันรวมอยู่ในคำว่าพระรัตนตรัยโดยหมดสิ้น นี้จะบูชากันอย่างไร บูชาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะต้องทำในใจให้แจ่มแจ้งในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคุณโดยบทว่า อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ เป็นต้น พระคุณของพระธรรมโดยบทว่า สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม เป็นต้น พระคุณของพระสงฆ์ว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เป็นต้น เมื่อมีจิตใจรู้สึกในพระคุณทั้ง ๓ พระองค์นี้อยู่แล้ว ทำการบูชาลงไปก็เหมือนกับบูชาคุณแห่งพระรัตนตรัย แต่เป็นการบูชาในโอกาสพิเศษ จึงต้องลอยลงไปในน้ำ ก็หมายความว่าให้มันครบถ้วนทุกอย่าง ทุกประการ ตามที่จะนึกได้ หรือตามที่จะให้เกิดความรู้สึกที่แแปลก แปลกออกไปแก่จิตใจของบุคคลผู้กระทำ อย่างพุทธบริษัทจะกระทำในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นการบูชาพระคุณของพระรัตนตรัย เป็นโอกาสพิเศษ ถือเอาความหมายของเดือน ๑๒ ที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งจะต้องมีความหมายว่ามีความเย็น หรือทำให้เกิดความสะอาดเป็นต้น ตามคุณสมบัติของสิ่งที่เรียกว่าน้ำนั้นเอง
ทีนี้อยากจะให้คิดกันต่อไปอีกว่า เราจะเอาความหมายชัดเจนให้ยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับคำว่าลอยกระทง กระทำในเดือน ๑๒ ที่ฝนตกน้ำนอง ซ่านกระเซ็นเย็นเยือกไปหมดทั้งแผ่นดิน นี่จะมีความหมายว่าอย่างไรดี ความหมายที่สำคัญ ที่อยู่ลึกอยู่อีกความหมายหนึ่งก็คือการลอยเสียซึ่งบาป ยืมเอาคำของพวกอื่น หรือของศาสนาอื่นมา เรียกว่าลอยบาป ความหมายนี้พิเศษอยู่ ต้องคิดดูให้ดี ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจจะงมงายไปเสียก็ได้ ที่เราจะเห็นได้ชัดๆก็เช่นว่า พอถึงเดือนฤดู ฤดูเดือน ๑๒ น้ำนองเต็มทั่วไปหมด มันก็เหมือนกับล้างแผ่นดินให้สะอาดไปเสียสักคราวหนึ่ง ให้สิ่งสกปรกทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล มหาสมุทร ให้เป็นหน้าที่ของมหาสมุทรที่จะกำจัดใอ้สิ่งสกปรกเศร้าหมองเหล่านี้ให้สูญหายไป นี่ก็เป็นความหมายที่น่าคิด น่านึก และลึกซึ้งอยู่มาก ว่าน้ำเดือน ๑๒ นี้จะชะล้างสิ่งสกปรกบนแผ่นดินลงไปหมดสิ้น ให้ลงไปสู่ทะเล เราถือเอาความหมายนี้มากระทำแก่จิตใจของเรา ว่าจะลอยสิ่งเศร้าหมองในจิตใจลงไปเสียในน้ำ ออกไปสู่ทะเล ให้มันมีความสะอาดมากขึ้นๆอย่างนี้ก็ได้
สรุปใจความสำคัญได้ก็ตรงที่ว่า ลอยกิเลส หรือลอยบาปออกไป ตามวิธีของพวกพุทธบริษัทที่ไม่มีความงมงายเจืออยู่แต่ประการใด จึงเป็นว่าอย่างน้อยวันนี้ก็ตั้งอกตั้งใจที่จะลอยกิเลสตามวิธีของตนๆ จะรักษาศีลก็ได้ จะทำสมาธิก็ได้ เจริญวิปัสสนาก็ได้ ล้วนแต่เป็นการลอยกิเลสออกไปจากจิตใจของตนด้วยกันทั้งนั้น ขอให้พยายามตั้งใจกระทำให้ดี ให้สุดความสามารของตน ถ้าลูกเด็กๆเขาทำไม่เป็น จะต้องลอยกระทงลงไปในน้ำ มันก็เป็นเรื่องของลูกเด็กๆ ได้รับประโยชน์ไปทางมีจิตใจเป็นบุญ เป็นกุศล มันก็เป็นเรื่องลอยกิเลสด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเวลานั้นเด็กๆเขาก็มีจิตใจเป็นกุศล สะอาดขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย ก็เป็นอาการลอยกิเลสอยู่ในตัว แต่ว่าคนโตๆแล้วควรจะทำให้ได้มากไปกว่านั้น รู้จักคิดนึก พิจารณา ให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาดขึ้นมาในจิตใจมากไปกว่านั้น
ทีนี้ก็จะมาถึงปัญหาว่าลอยกระทงสวยงามประกอบไปด้วยธูป เทียน ดอกไม้ลงไปในน้ำอย่างนี้ จะเรียกว่าลอยกิเลสได้อย่างไร ก็ไปคิดเอาเองก็แล้วกันว่าสิ่งนั้นมันสวยงาม มันก็จะกำจัดไอ้สิ่งที่ไม่สวยงามได้ กิเลสมันไม่สวยงามก็ถูกกำจัดด้วยสิ่งที่สวยงาม ก็เป็นอันว่ามันหมดไปในความหมายอันหนึ่งโดยปริยายใดปริยายหนึ่ง ลอยกระทงก็เป็นเรื่องลอยกิเลสได้เหมือนกัน หรือถ้าไม่กลัวคนจะโกรธก็จะพูดได้ไปทางหนึ่งว่า ไอ้เรื่องสวยๆงามๆนี่แหละมันเรื่องกิเลส นั้นเลิกบ้า เลิกหลงในเรื่องสวย เรื่องงามกันเสียที อย่างนี้ก็จะเป็นการลอยกิเลสอย่างยึ่ง ถ้าทำไม่ได้ก็ถือความหมายอื่นต่อไปก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้าทำได้มันก็ควรจะทำ คือลอยมันพ้นไปเสียทั้งสิ่งที่ไม่งาม และทั้งสิ่งที่งาม งามก็ไม่เอา ไม่งามก็ไม่เอา มันเหลือแต่สิ่งที่ว่างอยู่เหนือการปรุงแต่ง ไม่บัญญัติว่าสวย ว่างามอย่างนี้มันก็เป็นการดี ไอ้ของไม่งามก็ลอยแล้ว ไอ้ของงามก็ลอยเสียในวันนี้ ก็เลยหมดไปเสียทั้งที่ไม่งาม และทั้งที่งาม ใครทำในใจได้อย่างนี้ก็คงจะมีประโยชน์ มีอานิสงมากในการบูชา และลอยกระทง
ทั้งหมดตามที่กล่าวมานี้จึงจะถือได้ว่าเป็นการกล่าวกันแล้วในทุกแง่ ทุกมุม ตั้งแต่ต่ำที่สุดถึงสูงที่สุด หรือตั้งแต่หยาบๆ ง่ายๆที่สุด ไปถึงไอ้ที่มันลึกซึ้ง ละเอียด สุขุมที่สุด ก็จงเลือกเอาว่าเราจะทำได้อย่างไร
ลอยบาป หรือลอยกิเลสนี่เป็นสิ่งที่ทำได้ และควรทำในที่ทุกหนทุกแห่ง แม้ไม่เอากระทงมาลอยมันก็ยังทำได้ แต่ถ้าเอากระทงมาลอยด้วยมันก็คงจะแน่นแฟ้นมากขึ้น หรือว่ามันยังเป็นประโยชน์แก่ลูกเด็กๆ หรือคนอื่นทั่วๆไปที่เขาไม่อาจจะทำได้อย่างลึกซื้งด้วยจิตใจโดยส่วนเดียว ดังนั้นจึงเป็นอันว่าถึงอย่างไรมันก็ไม่เสียหาย ไม่เสียหลายอะไรในการที่จะประกอบพิธีเช่นนี้
ทบทวนอีกครั้งหนึ่งก็ว่าให้ลูกเด็กๆเขารู้จักสวย รู้จักงาม รู้จักจัด รู้จักทำในทางศิลปะ ในทางฝีมือ แก้ความโง่ในส่วนนั้นเสียทีหนึ่งก่อน นั่นก็เป็นการลอยความโง่ที่ไม่รู้จักสวย ไม่รู้จักงาม ทำอะไรก็ไม่เป็น มือแข็งกระด้างเหมือนทำด้วยไม้ สิ่งที่โง่เขลาอย่างนี้ก็ลอยไปเสียทีหนึ่งก่อน มาทำความสวยงามด้วยธูป ด้วยเทียน ด้วยดอกไม้ ด้วยกระทง หรืออะไรก็สุดแท้ เลื่อนขึ้นมาชั้นหนึ่ง เขาก็รู้จักประกอบพิธีนี้ในโอกาสที่มีความงาม มีพระจันทร์วันเพ็ญในเดือน ๑๒ เป็นที่บานแห่งดอกโกมุททั้งหลาย นี่เขาก็รู้จักทำจิตใจให้ประกอบไปด้วยความเยือกเย็น นับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน หากแต่ว่ามันเป็นศิลปะในทางจิตใจ รู้จักทำอย่างเฉลี่ยวฉลาดในทางจิต ทางใจ มันจึงมีความเยือกเย็น สบายอกสบายใจมากเป็นพิเศษ
ทีนี้มันก็มาถึงประโยชน์ของพิธี คือเป็นพิธีที่จะชักจูงคนให้มาวัด ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระธรรม เกี่ยวข้องกับพระศาสนาได้มากขึ้น พูดกันตรงๆก็ว่าถ้าไม่มีพิธีที่สนุกสนาน สวยงามอย่างนี้ คนก็ไม่มาลอยกระทงตามวัด หรือตามที่ต่างๆมากเหมือนอย่างที่มีของสวยงาม หรือมีพิธีที่จัดขึ้นอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นการที่ให้มีพิธีนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังก็มีประโยชน์แก่คนพวกนี้ คือให้คนมีจิตใจยึดมั่นอยู่ในทางของความสะอาด สว่าง สงบ ตามหลักของพระพุทธศาสนา เป็นพุทธบริษัทที่ดี หรือเป็นพลเมืองที่ดี ปกครองกันง่าย อยู่เย็นเป็นสุขกันได้อย่างนี้ เป็นต้น
นี่เป็นประโยชน์ของพิธีที่เรียกว่าขนบธรรมเนียมประเพณี หรือจะเรียกว่าวัฒนธรรม หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ ยังมีอีกหลายชื่อ แต่เรียกสั้นๆคำเดียวก็ว่า พิธี เรามีพิธีที่ฉลาดที่ทำคนให้ได้รับประโยชน์ อยู่เย็นเป็นสุข นี่กล่าวโดยทั่วไป หรือโดยพื้นฐาน จะกล่าวโดยเฉพาะเจาะจงก็พุทธบริษัทเรานั้นระลึกนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเป็นสรณะ ที่พึ่ง ไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่า เกินที่เขาจะพูดว่า จะบูชาพระอุปคุต หรือว่าจะบูชารอยพระบาททั้ง ๕ นั้นก็ตามใจ มันก็ได้ตามความพอใจตามความเชื่อ ถ้าเชื่อแล้วก็พอใจ ถ้าพอใจแล้วก็สบาย ก็ใช้ได้ทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่ามันก็มารวมอยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครั้นมารวมอยู่ที่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว มันก็ไปรวมอยู่ที่การละกิเลส เพราะเรื่องของพระพุทธก็ละกิเลส เรื่องของพระธรรมก็ละกิเลส เรื่องของพระสงฆ์ก็ละกิเลส ฉะนั้นลอยกระทงให้มันมีความหมายไปในทางที่จะลอยกิเลส หรือละกิเลส มันก็เข้าถึงหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขอให้กำหนดจิตใจอย่างนี้ โดยเฉพาะในวันนี้ จะได้เรียกว่ามีการลอยกระทงที่เป็นบุญ คือลอยกระทงอย่างโง่ๆก็ลอย ลอยกระทงอย่างไม่สู้จะโง่ก็ลอย อย่างที่ฉลาดมากสักหน่อยก็ลอย หรืออย่างที่ฉลาดที่สุดก็ลอย แล้วแต่ใครจะทำได้อย่างไร แม้จะกระทำไปอย่างงมงายมันก็ยังได้บุญ ได้กุศลอย่างงมงาย ไม่เสียหายอะไร ทำไปด้วยความเชื่อ ประพฤติมันก็ได้บุญ ได้กุศลไปตามแบบของศรัทธา หรือความเชื่อประพฤติ ถ้าทำไปตามแบบของปัญญามันจะได้บุญ ได้กุศลไปตามแบบของปัญญา เรียกว่าไม่มีทางเสียหาย ไม่มีทางร้อนใจไม่มีทางจะต้องไปตกนรกเพราะการกระทำอย่างนี้ เขาจึงได้รักษากันมาเป็นประเพณีสืบต่อมาจนบัดนี้ ตามที่ปรากฏอยู่อย่างน้อยก็พัน อย่างน้อยก็ ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ แต่ที่มันแน่นอนนั้นก็คือ ๑,๘๐๐ ปี
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน ระลึกนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากเป็นพิเศษในวันนี้ เพราะว่าจะมีจิตใจเยือกเย็น สว่างไสว มีความสุขตามความหมายแห่งวันเพ็ญเดือน ๑๒ มีพระจันทร์อันสวยงามยิ่งกว่าเดือนไหน มีการบานแห่งดอกบัวที่สวยงามกว่าเดือนไหน และก็ทำในใจให้มันมีความหมายอย่างนั้น หรือทำใจของเราให้มันงดงามเหมือนดอกบัวที่สวยสล่างไปทั้งท้องทุ่ง ให้สว่างไสวเหมือนพระจันทร์ ให้เยือกเย็นเหมือนแสงแห่งพระจันทร์ด้วยกันทุกคนในวันนี้ นี่จะเป็นการลอยกระทงที่สมบูรณ์ ถ้าจะชวนกันไปกินเหล้าเมายา ไปสรวลเสเฮฮา ไปเกี้ยวพาราสี ไปตามแบบของคนพาลนั้นก็ไม่มีทางที่จะได้รับอานิสงส์อันนี้แต่ประการใด แต่มันเป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครห้ามใครไม่ได้ ฉะนั้นก็ทำไปตามความต้องการของตน แต่เมื่อเราจะรักษาความเป็นพุทธบริษัทไว้ ก็อย่าทำอย่างนั้น คือจะต้องทำให้ถูกต้อง ตามแบบของพุทธบริษัท ผู้ถือเอาความสะอาด ความสว่าง และความสงบเป็นจุดมุ่งหมายนั่นเอง
หวังว่าท่านทั้งหลายจะสามารถทำใจของตนให้ตั้งอยู่อย่างถูกต้อง หรือให้เดินไปอย่างถูกทาง เพิ่มมากขึ้นทุกที ทุกเดือน ทุกปี นี้เรียกว่าเป็นผู้เจริญงอกงามในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา สมตามที่เราปฏิญาณตนเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญาด้วยประการฉะนี้ สำหรับการกล่าวคำบูชานั้น ก็มีธรรมเนียมประเพณีหลายๆอย่าง ต่างๆกัน แล้วแต่ว่าจะบูชามุ่งหมายอะไร เราจะทำให้รวมกันมันมากอย่างต่างๆกันนักก็ไม่ได้ จะบูชาพระอุปคุตคนหนึ่ง จะบูชาพระบาทคนหนึ่ง จะบูชาพระรัตนตรัยคนหนึ่ง นี้มันก็สับสนอลม่านกันไปหมด จึงขอสรุปว่าบูชาพระรัตนตรัยก็แล้วกัน อันมีความหมายเนื่องไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในตัวเอง หรือว่าจะสรุปพระรัตนตรัยให้เหลือเพียงสิ่งเดียวก็เป็นเรื่องของความดับทุกข์ คือพระนิพพาน บูชาคุณของพระนิพพานก็ยังได้ แต่ไม่มีใครเคยกล่าวคำอย่างนั้น นั้นจึงหยุดอยู่แค่กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยว่า อิมินา ปะทีเปนะ พุทธัง ปูเชมะ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปนี้ อิมินา ปะทีเปนะ ธัมมัง ปูเชมะ ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม ด้วยประทีปนี้ อิมินา ปะที ปนะ สังฆัง ปูเชมะ ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์ด้วยประทีปนี้
ประทีปในที่นี้ก็หมายถึงกระทงที่ประกอบอยู่ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ดังนั้นก็เป็นอันว่าตรงตามความมุ่งหมายที่เราจะกระทำ สำหรับทุกคนจะเข้าใจได้ง่าย แม้กระทั่งลูกเด็กๆทั้งหลายก็จะว่าเป็น สำหรับคนแก่ คนผู้คงแก่เรียน ศึกษามานาน ปฏิบัติมานาน ในจิตใจจะนึกเลยไปถึงพระนิพพานก็ยังได้ บูชาคุณของพระนิพพานด้วยดวงประทีปนี้ แต่ถ้าว่าออกมาดังๆจะถูกหัวเราะเยาะก็ได้ แต่คนถูกหัวเราะเยาะนี่ไม่ควรจะเก้อ คนหัวเราะนั่นแหละเป็นคนที่ควรจะเก้อ ฉะนั้นถ้าใครจะบูชาคุณของพระนิพพานก็อย่าไปหัวเราะเยาะเขาเลย จะว่า อิมินา ปะทีเปนะ นิพพานัง ปูเชมะ ข้าพเจ้าขอบูชาคุณของพระนิพพานด้วยดวงประทีปนี้ ก็ได้ อย่างนี้มันมีความหมายกว่า คือว่าเป็นการลอยบาป ลอยกิเลสจนหมดสิ้น จึงจะเป็นนิพพาน นิพพานคือความปราศจากกิเลส จงบูชาคุณของพระนิพพานด้วยประทีปนี้ มันก็ยิ่งดี หรือดีถึงที่สุด แต่ต้องเก็บไว้เงียบๆในใจ อย่าว่าออกมาให้คนเค้าคิดนึกไปต่างๆนาๆ มันจะไม่มีความสงบก็ได้
แต่ถ้าเผอิญมันเกิดเป็นคนฉลาดกันขึ้นมาทุกคน จะร้องบูชามาอย่างนี้ก็ได้ ไม่มีใครเห็นเป็นของขบขัน หรือแปลกประหลาดอะไร ก็คิดดูเอาเถิดว่าเราจะบูชาคุณของอะไรจึงจะเป็นการบูชาสูงสุดในวันเพ็ญวันนี้ พวกหนึ่งพวกบูชาคุณของสุรายาเมา ของความสนุกสนาน เรื่องระหว่างเพศต่างๆ เขาก็บูชากันไป คนหนึ่งจะบูชาพระรัตนตรัยก็บูชาได้ ด้วยพิธีที่เรียกว่าการลอยกระทง
ตามที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว หรือเป็นการเพียงพอแล้วที่จะตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้มีความเหมาะสมในการที่จะประกอบพิธีลอยกระทง หรือการบูชาด้วยประทีปมาลาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ตามขนปธรรมเนียมประเพณีที่มีมา จะได้สำเร็จประโยชน์สมตามความปรารถนาแก่กันและกันด้วยทุกคน มีความงอกงามก้าวหน้าในทางของพระศาสนานั้นอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้