แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายว่าได้ยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ กาลเหตุลอยประทีปดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่กันอย่างดีแล้ว หากแต่ว่าเราจะต้องรู้ความหมายของการกระทำที่กระทำนี้ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป จนสำเร็จประโยชน์ โดยสมควรแก่คติวิสัยของตนของตนจงด้วยกันทุกคน การลอยประทีปนี้เป็นประเพณีประจำปีของพุทธบริษัทชาวไทยมาแต่โบราณกาลจนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว ทีนี้ก็จะต้องพิจารณาดูว่าสิ่งที่เรียกว่าประเพณีนี้จะมีประโยชน์อย่างไร ความหมายของการลอยประทีปนี้มีอยู่หลายอย่างหลายประการด้วยกัน คนพวกหนึ่ง หรือในถิ่นแห่งหนึ่งก็มีความหมายเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยจะตรงกัน แต่ก็ตรงกันในข้อที่ว่าทำเป็นประเพณี ดังนั้น เราจะได้พิจาณาดูกันถึงคำว่าประเพณีนี้ก่อน
คำว่าประเพณีนี้ บางคนก็ไม่เข้าใจ เห็นไปเสียว่าเป็นสิ่งที่เป็นสักว่าเป็นประเพณีแล้วก็ไม่ทำก็มี คนพวกนี้เป็นคนอวดดี เป็นคนที่รู้อะไรครึ่งๆ กลางๆ แต่ทีนี้ก็มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งยึดมั่นถือมั่นในเรื่องประเพณี นี้ก็เป็นคนที่หลับหูหลับตา เรียกว่าเป็นคนที่มีศรัทธาชนิดที่งมงายไปก็ได้ ดังนั้น ท่านทั้งหลายจะต้องทำในใจให้ดี เพื่อจะเข้าใจความหมายของคำว่าประเพณีนี้กันให้ถูกต้องเสียก่อน จงอย่าลืมว่า เราไม่ใช่ว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกปีๆ ไปก็หาไม่ แต่ว่าเมื่อใดกระทำแล้ว เมื่อนั้นจะต้องรู้ความหมายของการกระทำ แต่ถ้ากระทำได้เป็นประเพณี ทุกเดือน ทุกปี ตามแต่จะมีประเพณีอย่างไร ก็นับว่าเป็นการดีอยู่นั่นเอง คือถ้าไม่ดีแก่ตัวเอง ก็เป็นการดีแก่ผู้อื่น ทั้งนี้เพราะเหตุว่า คนเราในโลกนี้มีอยู่หลายชั้นหลายระดับ เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาก็มี เป็นคนมีสติปัญญาครึ่งๆ กลางๆ ก็มี เป็นคนมีสติปัญญาอย่างพอเอาตัวรอดได้ก็มี เป็นคนมีสติปัญญาสามารถในการที่จะประพฤติประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ลุล่วงไปด้วยดีก็มี มันต่างกันมากถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาแท้จริงจึงมองเห็นประโยชน์ที่จะพึงเกิดแก่บุคคลผู้ไม่มีปัญญา จึงได้จัดแจงปรับปรุงกระทำสิ่งต่างๆ ขึ้นไว้ในรูปที่เป็นประเพณี ที่ให้ผู้ที่ไม่มีปัญญา หรือผู้ที่มีปัญญานั้นถือเอาประโยชน์จากการกระทำอันนั้นให้ได้ ซึ่งเป็นการดีกว่าไม่ทำเสียเลยเป็นไหนๆ จึงมีการกระทำสืบๆ กันมาจนกลายเป็นประเพณีที่แน่นแฟ้นหรือที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนทุกคน คนที่มีปัญญาน้อยก็ถือเอาด้วยความเชื่อ มีความเชื่อแล้วก็ประพฤติความดีความงาม คนที่มีปัญญามากก็ถือเอาความหมายของคำว่าประเพณีนั้นได้ลึกซึ้งลงไปจนถึงเนื้อใน ส่วนตัวประเพณีเองนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในลักษณะที่เป็นเหมือนเปลือกนอก เป็นเหมือนภาชนะ หรือ เป็นเหมือนตู้เหล็กประกันภัย ท่านทั้งหลายจะต้องดูให้ดีๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าเปลือก หรือภาชนะเช่นถ้วยชามเป็นต้น หรือว่าตู้ใส่ของอย่างนี้ มันก็ล้วนแต่อยู่ในลักษณะเป็นเปลือกด้วยกัน แต่ว่ามันมีความสำคัญมากเท่ากับเนื้อใน เพราะว่าถ้าไม่มีเปลือกนอกแล้ว เนื้อในมันเกิดขึ้นไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่ไม่ได้ คนที่ฉลาดย่อมอาจจะเห็นได้ง่ายๆ จากการที่ว่า ต้นผลไม้เมื่อมันจะออกลูกนั้น มันออกลูกเป็นเปลือกมาก่อน เนื้อในยังไม่มี แล้วมันค่อยๆ มีเนื้อในขึ้นมาในภายหลัง นี้เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้าไม่มีเปลือกแล้วเนื้อในก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ได้ เจริญงอกงามขึ้นไม่ได้ ธรรมชาติจึงสร้างเปลือกขึ้นมาก่อน ให้เปลือกเจริญก่อนแล้วเป็นที่รองรับเนื้อในได้แล้ว เนื้อในจึงจะมี แต่ถ้าว่าเราจะเอาผลไม้นี้มาบริโภค ก็ต้องเอามาทั้งเปลือก ถ้าเอามาแต่เนื้อในมันก็ไม่น่าดู ไม่ชวนรับประทาน หรืออาจจะถึงกับเสียหายไร้ประโยชน์ไปก็ได้ เราจึงต้องเก็บผลไม้ไว้ทั้งเปลือกเพื่อเป็นเครื่องป้องกันเนื้อใน เพื่อจะเป็นเครื่องป้องกันความสกปรก หรืออะไรต่างๆ อีกมาก เปลือกจึงมีความจำเป็นเท่ากับเนื้อใน ในลักษณะที่ว่าถ้าไม่มีเปลือกแล้ว เนื้อในก็มีไม่ได้ ถ้ามีแต่เปลือกไม่มีเนื้อในก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น จึงแบ่งกันคนละครึ่งในการที่จะมีความสำคัญ นั่นแหละจงพิจารณาดูให้ดีเถิดว่า ประเพณีนี้เป็นของดีอย่างนี้ เป็นเหมือนเปลือกที่รักษาเนื้อใน แต่ประเพณีนี้จะต้องจำกัดไว้ในลักษณะที่ถูกต้อง อย่าให้กลายเป็นพิธีรีตองไม่รู้ความหมาย งมงายเกินไป ประเพณีที่ถูกต้องนั้น บัณฑิตแต่กาลก่อนได้วางไว้ดีแล้ว ได้จัดได้ทำไว้ดีแล้ว คนข้างหลังก็มีหน้าที่รักษาต่อไปเท่านั้น มันจึงเหมือนกับมีเปลือกไว้สำหรับรักษาเนื้อใน แม้กระทำนี้ก็จะต้องมีเปลือกสำหรับรักษากระทำ คือ ประเพณีนี้นี่เอง
นี้เราจะมองดูภาชนะกันบ้าง ภาชนะเช่น ถ้วยชาม เป็นต้นนี้มันก็จำเป็น ถ้าไม่มีภาชนะแล้ว จะเอาอะไรหุงข้าวกิน หุงข้าวแล้วก็ไม่มีอะไรจะใส่ มันก็ต้องทิ้งเรี่ยราดไป ถ้าเอาใบตองมาใส่ ใบตองก็กลายเป็นภาชนะ ถ้าเอามาใส่มือกินเฉยๆ มือนี้ก็กลายเป็นภาชนะ นั่นแหละ ดูให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ภาชนะกันเสียบ้าง ถ้าไม่มีภาชนะเป็นเครื่องรองรับแล้ว เนื้อในก็มีไม่ได้ ประเพณีนั่นเองเป็นเหมือนกับภาชนะที่จะรองรับสิ่งต่างๆ ที่เป็นเนื้อใน เราจึงควรสนใจสิ่งที่เรียกว่าประเพณีนี้กันให้ถูกต้องและเหมาะสม
ทีนี้ถ้าเราจะดูกันไปถึงตู้ใส่ของ จนกระทั่งถึงตู้เหล็ก ตู้นิรภัย เป็นต้น นี้ก็มีความจำเป็น เมื่อมีของมีค่า แก้วแหวนเพชรพลอยเงินทองอะไรต่างๆ แล้ว ก็ต้องมีเครื่องคุ้มครองรักษา เราจึงมีตู้ กระทั่งตู้เหล็ก ตู้นิรภัย ซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแรงเพื่อจะรักษาของมีค่าเหล่านั้น สิ่งที่เรียกว่า ตู้ ก็มีความจำเป็นเท่ากับสิ่งที่เป็นของที่อยู่ข้างใน เราจะเห็นต่อไปว่าสิ่งที่เรียกว่าประเพณีนั้น ก็มีลักษณะเหมือนกับตู้เหล็กที่จะรักษาของมีค่าอย่างสูงสุดไว้ ให้ปลอดภัยได้โดยแน่นอน สิ่งที่มีค่าสูงสุดของพุทธบริษัท เห็นจะไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า พระธรรม หรือ พระศาสนา พระธรรม หรือพระศาสนาเป็นเนื้อใน แล้วก็มีประเพณีต่างๆ ตามที่มีอยู่นี้เป็นเหมือนกับตู้เหล็กที่จะรักษาไว้ให้ยืดยาวต่อไป ให้ปลอดภัยอันตราย ตัวอย่างในสามความหมาย คือ เปลือกนอกก็ดี ภาชนะก็ดี ตู้นิรภัยก็ดี ย่อมแสดงให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ประเพณี ได้ด้วยกันทั้งนั้น
บัดนี้ เวลานี้ เราก็ทำตามประเพณี คือ ประเพณีลอยประทีป ถ้าเรากระทำถูกต้องตามความมุ่งหมายแล้ว ก็จะเป็นเหมือนกับมีเปลือก หรือมีภาชนะ หรือมีตู้นิรภัยที่ดี ที่จะรักษาไว้ซึ่งสิ่งที่มีค่าตามที่เราต้องการ ทีนี้ จะได้พิจารณาดูกันต่อไปถึงประเพณีลอยประทีปนี้ว่ามีความหมายอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้นึกถึงคำที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า คนเรานี้มีจิตใจ หรือสติปัญญาสูงต่ำกว่ากันมาก ดังนั้น ประเพณีจึงต้องมีให้เลือกครบทุกอย่าง และประเพณีอย่างหนึ่งๆ นั้น ก็มีความหมายสูงต่ำกว่ากัน หรือถึงกับแตกต่างกัน ทีนี้จะได้พิจารณาดูว่าประเพณีลอยประทีปนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ข้อแรก ก็จะต้องนึกถึงประเพณีที่เชื่อกันมาว่า ลอยประทีปนี้ไปเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ชายหาดแม่น้ำนัมมทา เราได้ยินได้ฟังกันมาแล้วแต่ก่อนว่า รอยพระบาทนั้นมีอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง อย่างน้อยก็ ๕ แห่งด้วยกัน และมีที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทานี้เป็นที่ปรากฏมีชื่อเสียง ดังในแห่คำบูชาถวายประทีปนี้ก็ได้ออกชื่อรอยพระบาทที่แม่น้ำนัมมทา สถานที่ต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้นั้นอยู่ในประเทศอินเดีย หรือเกี่ยวกับประเทศอินเดียทั้งนั้นรวมทั้งประเทศลังกา แม่น้ำนัมมทานี้ไปอยู่ในอินเดียภาคใต้ ใต้สุดประเทศอินเดียลงไปจึงเป็นเกาะลังกา ประเพณีลอยประทีปนี้เข้าใจว่าเกิดขึ้นในประเทศลังกา จึงมีความมุ่งหมายที่ลอยประทีปนั้นไปยังแม่น้ำนัมมทาบนฝั่งของประเทศอินเดีย เรารับเอาวัฒนธรรมอันนี้มาจากชาวอินเดียภาคใต้ หรือจากประเทศลังกา จึงได้กล่าวคำบูชาประทีปกันในลักษณะอย่างนี้ สำหรับประเทศไทยนั้น ถ้าเราจะลอยดวงประทีปให้ตรงไปยังแม่น้ำนัมมทาแล้ว ก็จะต้องไปลอยกันที่ตะกั่วป่า หรือ ภูเก็ต หรือสตูล หรือตรัง ให้ประทีปนี้ลอยข้ามมหาสมุทรอินเดีย ไปยังปลายแหลมประเทศอินเดียภาคใต้ที่มีแม่น้ำนัมมทา จึงจะสำเร็จประโยชน์ตามความต้องการนั้นได้ นี่เราจะต้องพิจารณาดูให้ดีว่าประเพณีเป็นอยู่อย่างนี้แล้วเราจะตั้งจิตตั้งใจอย่างไร เราก็ถือเสียว่าการตั้งใจลอยประทีปไปบูชารอยพระบาทที่แม่น้ำนัมมทานั้น มันเป็นประเพณีที่คนพวกหนึ่งเขาตั้งไว้แล้วเรารับเอามา แล้วก็มีความหมายของเราอย่างอื่นได้ต่อไปตามที่เราต้องการ ซึ่งจะได้พิจาณากันทีหลัง นี่พวกที่หนึ่งถือกันอย่างนี้
ทีนี้มีพวกที่ ๒ ถือว่า ประทีปที่เราลอยนี้ เขาให้ลอยไปในทะเลไปจนถึงจุดที่เรียกว่าสะดือของทะเล เป็นที่อยู่แห่งพระมหาเถระชื่อ อุปคุต และให้ประทีปนี้จงบูชาเถระ พระมหาเถระนั้น ผู้มีความสำคัญในลักษณะเหมือนกับพระเจ้าที่จะอยู่เฝ้าคุ้มครองโลกนี้ การนับถือหรือบูชาพระอุปคุตนี้มีอย่างแน่นแฟ้นที่ประเทศพม่า เคยได้ไปเห็นมาด้วยตนเอง พินิจพิจารณาดูว่านี่จะเป็นอย่างไรกัน พิจารณาแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำขึ้นเปรียบเทียบ หรือท้าทาย หรือล้อเลียน ความคิดที่เขาว่า ที่เขาเชื่อในฝ่ายอื่นว่า ที่สะดือทะเลนั้นมีพระนารายณ์เป็นเจ้า บรรทมอยู่ สำหรับรอเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลกเพื่อจะมาช่วยโลก พวกที่นับถือพระนารายณ์ หรือฝ่ายฮินดูเขาก็บูชาพระนารายณ์ ถ่ายทอดกันมาในวัฒนธรรมไทย ก็เชื่อตามๆ กันไปในหมู่คนที่ถือศาสนาพราหมณ์ ทั้งฝ่ายศาสนาพุทธคงจะคิดว่าเราไม่ควรจะเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะมีสะดือทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าอะไรสักองค์หนึ่ง ความเชื่อเรื่องนี้จึงได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ใครจะลอยกระทงนี้ให้ออกทะเลไปเพื่อไปบูชาพระอุปคุตที่สะดือทะเลก็ทำได้ตามความเชื่อของเขา ในเมื่อเขามีความเชื่ออย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น ว่าการกระทำอย่างนั้นจะเป็นสวัสดีมงคล เป็นความผาสุกแก่เขา นี้ก็เป็นทัศนะหนึ่งซึ่งเป็นประเพณีของการลอยประทีป
ทีนี้ก็มีทัศนะที่ ๓ คนบางพวกพูดกันอยู่เหมือนกันว่า ขอให้ดวงประทีปนี้ไปบูชาพระจุฬามณีที่อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่ จุฬา คือ จุกขมวดผมของพระพุทธเจ้าที่ทรงตัดเมื่อวันออกผนวช แล้วเทวดาเชิญไปรักษาไว้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คนพวกนี้เขาต้องการให้ประทีปเหล่านี้ไปบูชาพระจุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ฟังดูแล้วมันออกจะแปลกที่ว่าลอยลงไปในน้ำหรือว่าลงไปในทะเลนี้ จะไปบูชาพระจุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้อย่างไรกัน แต่เราก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเยาะ เพราะเขาต้องการอย่างนั้น เขาก็ควรจะทำได้ นี่แหละจึงจะเรียกว่าเป็นผู้เคารพความคิด ความนึก ความรู้สึกของบุคคลอื่นหรือว่าความต้องการของบุคคลอื่น ที่เอามากล่าวนี้ก็เพียงแต่เพื่อจะให้รู้กันว่า มีคนบางพวกเขาถือประเพณีนี้กันอย่างนี้ก็ยังมี
ทีนี้ก็มีพวกที่ ๔ ถือว่า ดวงประทีปนี้จะบูชาพระศรีอารย์ คือพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พวกนี้มีความรู้ว่า เราจะต้องเอาใจใส่ในพระศรีอาริย์ หรือพระศรีอริยเมตไตรยที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งจะทำโลกนี้ให้มีความผาสุข อย่างที่เหลือที่จะพรรณาได้ เช่น คนต้องการอะไรก็ได้ไปตามความต้องการทุกอย่าง อย่างนี้เป็นต้น เขาอยากจะได้เกิดในศาสนาพระศรีอาริย์ จึงได้ตั้งอธิษฐานบูชากันเสียแต่เดี๋ยวนี้ นี้ก็เป็นความคิดของคนพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นประเพณีด้วยเหมือนกัน ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องลอยประสมโรงตามธรรมเนียมมากกว่า เพราะว่าคนที่มีศรัทธาในพระศรีอารย์นั้น จะทำอะไรสักนิดหนึ่ง จะบูชาอะไรสักนิดหนึ่ง ก็จะอธิษฐานว่าให้เกิดในพระศาสนาของพระศรีอาริย์ทั้งนั้น ดูจะเบื่อศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นี้เสียเต็มที แต่เราก็เคารพความต้องการของเขา อย่าไปดูถูกดูหมิ่นหรือไปล้อเลียนเขา เพราะเขาต้องการอย่างนั้น ความต้องการของเขาก็จะชักจูงเขาให้กระทำแต่ความดีความงามหรือบุญกุศล เป็นประโยชน์แก่เขาได้โดยแน่นอนเหมือนกัน ทีนี้ก็ยังมีพวกที่ ๕ ที่ ๖ ต่อไปอีก แล้วแต่ว่าเขาจะมุ่งหมายอย่างไร พวกหนึ่งถือว่าเราทุกคนจะต้องรู้คุณของแม่คงคา มีความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคนดีต่อแม่พระคงคา และเราก็จะต้องประกอบพิธีเพื่อแสดงความรู้คุณของแม่คงคา และขออภัยโทษต่อแม่คงคาด้วย คนเหล่านี้มีศรัทธาละเอียดอ่อน มีอุทุปสันนา อย่างยิ่งยวด จึงรู้บุญคุณของแม่คงคา คือ น้ำ ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์ ถ้าปราศจากน้ำเสียแล้ว มนุษย์ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เลย แล้วมนุษย์นี้ยังเลวมาก ถึงกับปล่อยของสกปรกลงไปในแม่คงคา ดังนั้น เราจะต้องทำการขออภัยแทนมนุษย์อันธพาลเหล่านั้น ว่าขอแม่คงคาอย่าได้ถือสาแก่มนุษย์ผู้ได้ประมาทล่วงเกินแต่ประการใดเลย ทำพิธีเพื่อรู้คุณ และขออภัยต่อแม่คงคาจึงได้มาลอยประทีปอย่างที่กระทำอยู่นี้ ลอยประทีปลงไปเพื่อแสดงความรู้คุณ และขออภัยเพื่อความสุขสวัสดีต่อไป หรือพวกหนึ่งจะถือเอาความหมายแต่เพียงว่า เราให้เกียรติให้เครดิตแก่แม่คงคา ทำการบูชาในลักษณะที่เป็นเครื่องหมายแห่งการให้เกียรติ เราจึงมาลอยประทีปกันอย่างนี้ บูชาแม่คงคาผู้มีบุญคุณ ให้เกียรติยศอย่างสูงแก่สิ่งนี้ สิ่งๆ นี้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งแก่มนุษย์เรา อย่างนี้ก็ยังมี
ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังความหมายตามประเพณีที่มีอยู่ต่างๆ อย่างนี้แล้ว จะถือเอาความหมายอย่างไหนก็ได้ตามพอใจ ไม่มีใครว่าอะไร เพราะว่าถ้าถือเอาความหมายใดๆ แล้ว จงประพฤติความดีความงามตามความมุ่งหมายที่กล่าวไว้นั้น แม้จะฝึกแต่การที่จะเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อสิ่งที่เรียกว่าน้ำ รู้บุญคุณของสิ่งที่เรียกว่า น้ำ และให้เกียรติแก่สิ่งที่เรียกว่า น้ำ เรามาทำพิธีเป็นที่ระลึกแก่สิ่งที่เรียกว่า น้ำ เช่นวันนี้ ก็นับว่าเป็นเครื่องย้อมจิตใจให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นอกตัญญูเหมือนที่เป็นอยู่มากๆ เป็นทำน้ำให้เป็นสกปรกไป จนยากที่จะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า น้ำนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ ก็สมน้ำหน้าของมันที่เป็นคนอกตัญญู ถ้าหากว่าคนเหล่านั้นมาทำพิธีอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แล้ว คงจะมีความกตัญญูต่อสิ่งที่เรียกว่า แม่คงคา ช่วยกันรักษาให้สะอาด ให้สำเร็จประโยชน์ในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีบุญคุณอย่างสูงสุดก็ได้ นี่แหละท่านทั้งหลาย จงได้พิจารณากันดูให้ดีให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าประเพณีนี้มันมีประโยชน์อย่างไร มันจะเป็นเหมือนเปลือก เป็นเหมือนภาชนะ หรือจะเป็นเหมือนตู้นิรภัยที่จะรักษาไว้สิ่งที่ดีที่งามที่ประเสริฐได้อย่างไร แล้วถือเอาให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้นเถิด นี้เรียกว่าเรามองดูกันในขั้นที่เป็นประเพณี เป็นประโยชน์อย่างยิ่งตามที่ประเพณีจะมีประโยชน์อย่างไร คือ เป็นเปลือก เป็นภาชนะ และเป็นตู้นิรภัย ดังที่กล่าวแล้ว นี้ต้องเรียกว่าถือเอาประโยชน์ของประเพณี
ทีนี้จะดูกันต่อไปในแง่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือในแง่ของศิลปะ เพราะจะถือเอาประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่า ศิลปะได้ก็ด้วยการกระทำอย่างนี้ ศิลปะนั้นมีมากมายหลายสิบหลายร้อยหลายพันอย่าง การตกแต่งประทีปให้สวยงามแล้วลอยลงไปในแม่น้ำนี้ก็เรียกว่า ศิลปะ สิ่งที่เรียกว่าศิลปะจำเป็นอย่างไร ควรจะได้พิจารณาดูกันบ้าง ศิลปะนั้นเป็นเครื่องแสดงความก้าวหน้าของมนุษย์ที่มีสติปัญญา ความมุ่งหมายของศิลปะก็คือ ได้เกิดความรัก ความพอใจในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความผาสุกสงบเย็น ความหมายของศิลปะแต่เดิมนั้น ต้องการให้ใจหยุดจากความร้อน หรือให้สะอาดจากความสกปรก และให้เยือกเย็นเป็นสุข ความหมายของคำว่า ศิลปะมันมีอยู่อย่างนี้มาแต่ทีแรก คนเขาจึงต้องการสิ่งที่เรียกว่า ศิลปะ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนฉลาด ตรงที่ว่าจะต้องประดิดประดอยด้วยสติปัญญา เมื่อคนมีสติปัญญาแล้วก็สามารถจะทำประโยชน์ต่างๆ นานา ได้ทุกชนิด ศิลปะจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ประเพณีลอยประทีปนี้ มันเป็นการส่งเสริมศิลปะ ถ้าทำกันจริงๆ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ศิลปะนั้นก็จะบริสุทธิ์และก้าวหน้า ทำให้คนมีสติปัญญาตามความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่า ศิลปะนั้น ทีนี้มีสิ่งที่จะต้องพิจารณาดูให้ดีต่อไปอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เรียกว่า ศิลปะนั้นมันอาศัยอำนาจของอะไรจึงก้าวหน้า หรือมีอยู่ได้ ที่เรามองเห็นกันอยู่ชัดๆ แล้วเห็นได้ชัดทีเดียวว่าศิลปะนี้ก้าวหน้าและมีอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาที่เกี่ยวกับศาสนา มีพยานหลักฐานปรากฏอยู่ทั่วไปในโลก ว่าศิลปะวัตถุที่สูงสุด หรือเกือบที่สุด ดีที่สุด คือทำยากที่สุดนั้น แต่เนื่องด้วยศาสนาทั้งนั้น คือศาสนาเป็นเครื่องดึงใจ จรรโลงใจให้คนเสียสละเรี่ยวแรง หรือทรัพย์สมบัติ หรือเสียสละอะไรก็ตาม เพื่อจะสร้างศิลปะอันนี้ขึ้นมา ศิลปะใหญ่ๆ ในโลกไม่ว่าของชาติใด ประเทศใด ศาสนาไหน อาจได้แรงศรัทธาที่เนื่องด้วยศาสนาทั้งนั้น ก็พอจะพูดได้ พอที่จะกล่าวได้ หรือมองเห็นได้ว่าศิลปะนั้นก้าวหน้า และมีอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ดังนี้เราก็ส่งเสริมศิลปะให้เด็กๆ ฉลาด แม้เด็กนักเรียนก็ยังกระทำกระทงประทีปนี้เพื่อประกวดกัน หรือว่าเพื่อเอาคะแนนในชั้นเรียน ก็เพื่อส่งเสริมประโยชน์อันจะเกิดขึ้นจากศิลปะ ดังนั้น จึงไม่ควรจะทำกันอย่างขี้เกียจ หรือพอเป็นพิธี ควรจะทำกระทงประทีปนี้ให้มันมีศิลปะ เหมือนกับการฝึกหัดจิตใจนี้ให้มีความเฉลียวฉลาดไปบ้าง ให้รู้จักนิยมในความงามอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวกับกิเลสบ้าง อันนั้นแหละจะเป็นเครื่องประทังอำนาจของกิเลสไว้ได้ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าศิลปะนั้นเป็นเครื่องมือ คนก็จะดีกว่าสัตว์เดรัจฉานได้ด้วยเหตุนี้ เดี๋ยวนี้ประเพณีลอยกระทงก็เป็นการส่งเสริมศิลปะอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้
ที่จะดูต่อไปถึงประโยชน์อย่างอื่น ประโยชน์ในฐานะที่เป็นวัฒนธรรม หรือเป็นอารยธรรม อย่างนี้ก็พอจะมองเห็นได้ ตัวมนุษย์ในโลกนี้ต่างมองดูซึ่งกันและกัน ว่าใครจะก้าวหน้า หรือใครจะล้าหลัง ใครจะมีใจสูง ใครจะมีใจต่ำ เป็นต้น อย่างไรนั้นก็ดูที่วัฒนธรรม หรืออารยธรรมที่เขาประพฤติกันอยู่ ก็ในหมู่ชาวไทยเรานี้ มีวัฒนธรรมอารยธรรมอะไรอยู่หลายอย่าง ที่พอจะทำให้ชนชาติอื่น ภาษาอื่นไม่ดูถูก แต่แล้วเราก็มักจะโง่กันเสียเอง ไม่รู้จักของดี ของประเสริฐของตน ไปตามก้นพวกที่โง่กว่าตน ไปเทิดทูนคนเหล่านั้นจนตนกลายเป็นคนโง่หรือคนเลวไปเสียกระนี้ ขอให้ศึกษาดูวัฒนธรรม อารยธรรมของชนชาติไทยดูให้ดีเถิด จะมีเครื่องหมายหรือลักษณะที่แสดงถึงความสูงแห่งจิตใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว แม้ประเพณีลอยประทีปนี้ มองดูกันในแง่ของวัฒนธรรมก็ได้ คือว่าคนเรารู้จักคิด รู้จักนึกสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่จะผูกพันจิตใจให้ติดอยู่ในความดี สิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรม อารยธรรมนี้ มีความหมายเป็นเครื่องทำให้เกิดความเจริญในทางจิตใจมากกว่าในทางวัตถุ แต่คนก็ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องทางจิตใจ แม้แต่ลอยกระทงอย่างนี้ก็มักจะดูกันแต่ในแง่ของวัตถุว่าสวยงามอย่างไร แต่ในความหมายทางจิตใจนั้นยังโง่ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษากันต่อไป
อยากจะขอสรุปใจความว่า สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม อารยธรรมนี้ จะต้องมีความมุ่งหมาย หรือคุณสมบัติ เป็นการกระตุ้น เป็นการกระเซ้า เป็นการกระชับจิตใจของประชาชนให้ติดแน่นอยู่ในธรรม คนอื่นอาจจะเห็นเป็นอย่างอื่น เราก็มีทางที่จะเห็นตามความรู้สึกคิดนึกอย่างของเรา อารยธรรมวัฒนธรรมนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติคือ กระตุ้นจิตใจของประชาชนให้ติดแน่นอยู่ในธรรม ถ้าจะมีคุณสมบัติคือ กระเซ้า รบเร้า อยู่เสมอไป ให้คนมีจิตใจติดแน่นอยู่ในธรรม หรือจะมีกำลังกระชับจิตใจของคนเราให้มีความติดแน่นอยู่ในธรรม คือประกอบอยู่ด้วยธรรมเสมอไป ความหมายของคำว่ากระตุ้นนั้นก็เป็นระยะแรก กระเซ้าก็คือ คอยรบเร้าอยู่เสมอ กระชับนั้นก็คือ ทำให้แน่นแฟ้นทีเดียว อารยธรรม หรือวัฒนธรรมที่ไม่กระตุ้น กระเซ้า หรือกระชับประชาชนให้มีจิตติดแน่นอยู่ในธรรมนั้น ไม่ควรจะเรียกว่า วัฒนธรรมหรือว่าอารยธรรม มันเป็นเรื่องอย่างอื่นไปเสียก็ได้ คือเป็นเรื่องความโง่ ความหลงใหลในเรื่องวัตถุ เรื่องเนื้อหนัง มีความเจริญแต่ในทางวัตถุซึ่งส่งเสริมอำนาจของกิเลสแล้ว จะมาเรียกว่าอารยธรรมหรือวัฒนธรรมอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่น่าสงสาร คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา มีวัฒนธรรมอารยธรรมตามแบบของชาวพุทธอย่างไร ก็ควรจะได้รู้จักกันไว้ เพื่อจะได้ไม่ไปหลงตามก้นชนชาติอื่นที่มีวัฒนธรรมอารยธรรมอย่างเนื้อหนัง การลอยประทีปนี้ ถ้าคนรู้ความหมายอย่างในทางจิตฝ่ายวิญญาณแล้ว ก็มีเรื่องที่จะต้องพูดกันมากด้วยเหมือนกัน ซึ่งควรจะได้พิจารณากันต่อไป ในที่นี้ ต้องการแต่จะให้ยอมรับ หรือเข้าใจกันเสียทีหนึ่งว่า มันเป็นวัฒนธรรมอารยธรรมอย่างหนึ่งของชนชาติไทยด้วยเหมือนกัน
ทีนี้ก็จะมองในประการสุดท้ายว่า นี่มันเป็นเรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจ ที่เรามาลอยประทีปนี้ แม้ที่สุดจะตีราคาให้มันเพียงเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ มันก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี เพราะว่าจิตใจที่ไม่รู้จักพักผ่อนนั้นไม่เท่าไรมันจะต้องเป็นบ้า ทีนี้ถ้าหากว่าเป็นการพักผ่อนในทางธรรม ในทางวิญญาณด้วยแล้ว มันก็ยิ่งประเสริฐที่สุด มีการพักผ่อนหย่อนใจด้วยการลอยประทีปนี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องทางวิญญาณ แต่ถ้าไม่มีปัญญาจะเข้าใจความหมายในฝ่ายวิญญาณ ก็เอาแต่การพักผ่อนหย่อนใจอย่างฝ่ายร่างกาย นี้ก็ยังมีวามหมายมีประโยชน์อยู่นั่นเอง เพราะว่ามาลอยประทีปกันเช่นนี้ ก็ทำให้เกิดจิตที่ว่างตามธรรมชาติ คือไม่ขุ่นมัวอยู่ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้เหมือนกัน ก็ได้เห็นสิ่งสวยงาม เจริญตา เจริญใจอย่างนี้ จิตนี้ก็ว่างไปจากกิเลสได้พักหนึ่ง นี้ก็เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ถึงแม้แต่เด็กๆ ก็ทำเป็น เราจะเห็นเด็กๆ ก็พอใจที่จะลอยกระทง จนเกิดความรู้สึกเป็นสุขสนุกสนาน นี่แหละ คือ ประโยชน์หรืออานิสงค์ของการลอยประทีป ที่ว่าเราจะแสวงหาเอาได้อย่างไร แต่ว่าตามที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นประโยชน์ในขั้นต่ำๆ เป็นประโยชนในภาษาคนธรรมดาพูด หรือคนธรรมดาจะมองเห็น จึงเรียกว่าเป็นประโยชน์ในทางสากล คือมีประโยชน์ในฐานะที่เป็นประเพณีที่จะต้องรักษาเอาไว้ มีประโยชน์ในฐานะที่เป็นศิลปะที่จะต้องรักษาเอาไว้ มีประโยชน์ในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมอารยธรรมที่จะต้องรักษาเอาไว้ หรือว่ามีประโยชน์ในทางที่จะให้เกิดความพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งจะต้องรักษาเอาไว้อย่างนี้ เป็นประโยชน์ในขั้นธรรมดาภาษาคนพูดนี้ก็เสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว ทีนี้จะได้ดูกันในภาษาธรรม ภาษาที่มีความหมายลึก เป็นภาษาของพระอริยเจ้าที่ท่านจะพูด หรือที่ท่านจะแนะให้พิจารณากัน ข้อนี้มีความหมายสำคัญตรงที่ว่ามันจะช่วยกันป้องกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีนั้น ให้ยังคงมีความดี ความงาม ความถูกต้อง อยู่ร่ำไป ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็จะมีสิ่งชั่วร้ายแทรกแซงเข้ามา ซึ่งเราเรียกกันว่า เนื้องอกของพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูให้ดี ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ หรือการบำเพ็ญบุญกุศลในทางพุทธศาสนานั้น มีเนื้องอกหรือเนื้อร้ายแทรกแซงเข้ามาพลอยประสมโรง เพราะว่าในโอกาสเช่นนี้ มันเป็นโอกาสที่จะพลอยประสมรอยประสมโรงของปุถุชนคนที่หนาไปด้วยกิเลส ในวันนี้ซึ่งเป็นวันลอยประทีปนี้ ในที่บางแห่งจัดงานสำมะเรเทเมา กินเหล้าเมายา ส่งเสริมกิเลสกันอยู่ก็ยังมีแม้ในกรุงเทพมหานครนั้น หรือว่าที่อื่นๆ ก็ยังมี ที่ถือโอกาสเช่นวันนี้ไปกินเหล้าเมายาไปสรวลเสเฮฮาไปเกี้ยวพาราสี หรือจะสำมะเรเทเมาอย่างอื่น จะกินอาหารจะกินสุรา หรือจะเล่นหัวหรือจะลักลอบล่วงเกินผู้อื่นก็กระทำกันในวันเช่นวันนี้ เพราะมีคนมาหนาแน่น อย่างนี้ก็มี มีเนื้อร้ายหรือเนื้องอกของพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแทรกแซงอย่างนี้ ก็เพราะไม่รักษาไว้ซึ่งความมุ่งหมายถูกต้องของประเพณีนั่นเองและเพราะว่าเขาไม่รู้จักความมุ่งหมายในทางที่ลึกไปกว่าความมุ่งหมายทางวัตถุ ทางร่างกาย หรือทางเนื้อหนัง ดังนั้นจึงขอชักชวนท่านทั้งหลายให้พิจารณาดูให้ดีเป็นพิเศษว่าความมุ่งหมายของประเพณีลอยประทีปนี้ ว่าถ้าจะดูกันในฝ่ายด้านจิต ด้านวิญญาณในทางภาษาธรรมแล้วจะมีอยู่อย่างไรบ้าง ที่แท้มันก็มีอยู่มากมายหลายอย่างหลายประการเหลือที่จะนำมาวิสัชนาให้ครบถ้วนได้ จะยกตัวอย่างมาพอเป็นเครื่องสังเกตุเห็น
ข้อที่ ๑ ในการลอยประทีปนี้ เราผู้เป็นพุทธบริษัทก็จะต้องถือว่าเป็นการบูชาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวิธีการอย่างหนึ่งหรือในความหมายอย่างหนึ่ง ซึ่งแปลกๆ กันออกไป เราจะบูชาโดยวิธีการอย่างอื่นอย่างใดก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามาบูชาด้วยการลอยประทีปลงไปในน้ำในวันเช่นวันนี้ ที่เรากำลังกระทำกันอยู่นี้ โดยถือว่านี้เป็นการบูชาพระรัตนตรัย ในรูปร่างอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากการบูชาที่มีรูปร่างอย่างอื่นอีกมากมาย เราจึงกล่าวคำบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจึงสวดอิติปิโส สวากขาโต สุปะฏิปันโน เป็นต้น เพื่อให้มีความระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในการที่จะลอยประทีปนี้ ให้เป็นการบูชา ให้เจริญทางตา เมื่อมีดวงประทีปลอยอยู่ในน้ำ มีความสวยงามอย่างไร มีความหมายสูงสุดอย่างไร เราจะใช้สมุทรนั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัยนี้ก็อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องทางนามธรรม คือเอาความหมายหรือเอาความสวยงามในทางฝ่ายนามธรรมนั้นมาเป็นเครื่องบูชาคุณของสิ่งที่ยังคงอยู่ โดยนามธรรม โดยพระคุณที่เป็นนามธรรม เพราะว่าพระองค์จริงของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์นั้น เป็นนามธรรม มิได้อยู่ที่ตัวบุคคลหรือวัตถุ ดวงประทีปของเรานี้ เราถือเอานามธรรม ก็คือ สิ่งที่สวยงาม สิ่งที่มีความสว่างไสว สิ่งที่มีค่า มีประโยชน์สูงสุด เอานามธรรมเหล่านี้บูชาคุณของพระรัตนตรัย ก็กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่สูงไปกว่าที่คนธรรมดาเขาจะพึงกระทำกัน เพราะสักว่าเป็นประเพณี เราไม่ทำแต่สักว่าเป็นประเพณี แต่จะกระทำด้วยความรู้สึก จะด้วยสติปัญญา ด้วยญาณทัศนะ ด้วยความรู้แจ้งแทงตลอดอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่กำลังกระทำนั้น นี้ก็อย่างหนึ่ง ว่าเราจะลอยประทีปนี้เพื่อบูชาคุณของพระรัตนตรัย
นี้อย่างที่ ๒ จะเป็นความหมายที่จูงใจให้ระลึกถึงการแจกหรือเผยแพร่แสงแห่งพระธรรม ท่านทั้งหลายได้ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระธรรม ว่าเป็นเครื่องค้ำจุนโลก คุ้มครองโลก รักษาโลก รักษาโลกนี้ให้อยู่กันผาสุก ให้ปลอดจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง แสงแห่งพระธรรมส่องไปที่ไหนที่นั้นก็ปลอดภัย เราควรจะสนใจในการจะเผยแผ่แสงแห่งพระธรรมให้ครอบงำไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ทีนี้เราประกอบพิธีภายนอกคือ ลอยดวงประทีปให้เผยแพร่ไปในน้ำไปในทะเล ในมหาสมุทร หรือในอะไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความรู้สึกสำนึกว่าขอให้แสงแห่งพระธรรมนี้จงแพร่หลายไปทั่วโลกเถิด ให้แสงแห่งพระธรรมนี้ส่องสว่างแก่สัตว์โลกทั้งหลาย และให้สัตว์ทั้งหลายเดินไปถูกทางแห่งพระธรรม มีอริยมรรค มีองค์แปด เป็นต้น จะเป็นสิ่งสวยงามที่สุด จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด นำความสุขสวัสดีให้แก่โลกทั้งสิ้นได้ จะเป็นการกระตุ้นเตือนใจ หรือย้อมจิตใจของเราให้เป็นผู้ที่เห็นแก่ผู้อื่นในการที่จะเผยแพร่แสงแห่งพระธรรม อย่างที่เราพูดกันอย่างเสมอๆ ว่า เมื่อประโยชน์แห่งตนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว ก็จงบำเพ็ญตนเป็นคนแจกของ ส่องตะเกียง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเถิด ภาพที่เราได้เห็นในวันนี้ คือ ดวงประทีปที่ลอยเกลื่อนไปในน้ำนี้ ขอให้เป็นภาพที่กระตุ้นเตือนใจให้ทุกคน อุทิศตน เสียสละ เพื่อเผยแพร่แสงแห่งพระธรรม เป็นการแจกแสงประทีปให้ส่องสว่างทั่วไปในสากลจักรวาลเถิด ให้ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันเป็นดวงประทีปของโลกนี้ตลอดกาลนิรันดร นี้ก็เป็นความหมายอันหนึ่งที่จะมองดูได้ในภาษาธรรม
สำหรับเรื่องที่ ๓ นั้น เราก็มีทางที่จะพูดได้ว่า เรามาลอยดวงประทีปลงไปในน้ำนี้ ขอให้มีความหมายเป็นการลอยกิเลสเถิด หมายถึงกิเลสตามธรรมดาสามัญที่มักจะมีอยู่ประจำตัวด้วยกันทุกคนนั้น ความโง่ ความขี้เหนียว ความจองหองพองขน ความเป็นคนเจ้าเล่ห์ มารยา แสนงอน ความลุ่มหลงในอบายมุข หรือความลุ่มหลงในเหยื่อของกิเลสทางเนื้อทางหนัง เหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นกิเลสตามธรรมดาสามัญที่มีกันอยู่ทุกคนเป็นประจำ วันนี้เราเอามาลอยเสียในน้ำเถิด แล้วให้แสงประทีปนั่นแหละเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลสให้เหือดแห้งไป เพราะขึ้นชื่อว่าไฟแล้วก็ยังทำหน้าที่เผาผลาญ ธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมะ เรียกว่าการบำเพ็ญตบะ คือสร้างความร้อนขึ้นมาเพื่อเผาผลาญกิเลส นี้ก็เป็นหลักทั่วไปในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากที่เราจะถือเอาแสงไฟนี้ว่าเป็นนิมิตรแห่งความเผาผลาญ แล้วก็เผาผลาญกิเลสของเราที่รู้จักอยู่แก่ใจนั้นให้เบาบางไป ให้เบาบางไปตามลำดับ ตามลำดับ แม้ในวันนี้เราก็ตั้งใจจะกระทำอย่างนั้นในรูปของการลอยมันออกไปเสีย ใครมีความโง่กี่มากน้อยก็เอามาปล่อยเสียที่นี่ ใครมีอย่างกิเลสอื่นใดมากน้อยเท่าไร ก็จงเอามาปล่อยไว้เสียที่นี่ เพื่อให้ตนมีความสะอาด สว่าง สงบดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม อย่างนี้ก็ยังได้ การไปลอยประทีปนี้เป็นการลอยกิเลส โดยให้ประทีปนั้นเผากิเลสให้เหือดแห้งไป หรือให้เบาบางไป นี้ก็เป็นความหมายที่สูงขึ้นไป
ทีนี้ความหมายที่ ๔ นั้น อยากจะพูดว่า มาลอยตัวกู ของกูกันเสียเถิด สิ่งที่เรียกว่า ตัวกู ของกูนั้น หมายถึง ต้นตอของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีความเห็นแก่ตัวแล้ว ก็มีกิเลสอย่างอื่นได้มากมาย โลภก็เพราะเห็นแก่ตัว โกรธก็เพราะเห็นแก่ตัว หลงก็เพราะเห็นแก่ตัว กิเลสชนิดไหนก็สรุปอยู่ได้ที่ความเห็นแก่ตัว เห็นว่าตัวกู เห็นว่าของกู นี่คือความเห็นแก่ตัว เป็นความมืดจนไม่มีอะไรจะเปรียบ เป็นความไม่รู้ เป็นอวิชชาอย่างยิ่ง เรามานึกเป็นแสงสว่างซึ่งเป็นของตรงกันข้าม ที่จะเป็นเครื่องกำจัดความมืด หรือกำจัดอวิชชาแล้ว ก็จะเกิดกำลังใจ เกิดความรู้ และเกิดการกระทำในการที่จะกำจัดเสียซึ่งความมืดนั้น เราลอยประทีปที่มีแสงสว่างนี้ก็หมายความว่าจะให้แสงสว่างนี้กำจัดเสียซึ่งความมืด ความมืดอะไรไม่มืดเท่ากับ โมหะ หรืออวิชชา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ ปรุงแต่งเป็นความคิดขึ้นมาว่าตัวกูว่าของกูดังนี้ ขอให้แสงสว่างอันนี้ ที่เรากระทำให้ปรากฏแก่สายตานี้ จงมีความหมายเป็นแสงสว่างที่จะกำจัดความมืดในทางจิตทางวิญญาณของทุกๆ คนเถิด ก็จะเป็นการลอยประทีปที่มีความหมายสูงสุด ตามวิธีการของพุทธบริษัทเป็นแน่นอน
บัดนี้ก็มีความหมายที่อยากจะแนะให้สนใจกันเป็นข้อสุดท้าย อันดับที่ ๕ ก็ว่า เดี๋ยวนี้เรามาลอยข้ามทะเลขี้ผึ้งไปยังต้นมะพร้าวนาฬิเกร์กันเถิด บางคนจะยังไม่รู้ว่า สระนาฬิเกร์นี้มีความหมายอย่างไร มีความมุ่งหมายที่จะรักษาคุณค่าของบทกล่อมลูกที่ว่า “มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดี่ยวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย” อย่างนี้ก็มี “ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย” อย่างนี้ก็มี ซึ่งมันเป็นการแสดงความหมายของ พระนิพพานโดยตรง แล้วก็แสดงความประเสริฐสูงสุดของบรรพบุรุษของเรา คือ ปู่ ย่า ตายายแต่หนหลัง ได้เอาเรื่องของพระนิพพานมาประพันธ์เป็นบทกล่อมลูกกล่อมน้องให้นอนอย่างนี้ ก็แสดงว่าเป็นผู้ที่มีศิลปะสูง มีวัฒนธรรมสูง มีจิตใจสูง มีคุณธรรมสูง อะไรๆ ก็ล้วนแต่สูง เราพวกลูกหลานจะกลายเป็นคนตกต่ำไปนั้นเป็นสิ่งที่น่าเวทนา เราควรจะช่วยกันรักษาสัญลักษณ์อันนี้ไว้ จึงได้ช่วยกันสร้างสระนาฬิเกร์นี้ขึ้น ตามความหมายอันนั้น น้ำนี้เป็นเหมือนทะเลขี้ผึ้ง คือ วัฏฏะสงสาร เปรียบเหมือนกับขี้ผึ้ง ถ้าร้อนก็เป็นของเหลว ถ้าเย็นก็เป็นของแข็ง กลับไปกลับมาเป็นบุญเป็นบาป เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นดีเป็นชั่ว อะไรๆ กันอยู่ที่ตรงนี้ อย่างซ้ำๆ ซากๆ อย่างน่าเบื่อน่าระอา ถ้าอย่างไรเราจึงข้ามขึ้นไปให้พ้นดีพ้นชั่ว พ้นสุขพ้นทุกข์ พ้นบุญพ้นบาป อยู่เหนือกรรมโดยประการทั้งปวงกันเถิด นั้นคือความหมายของมะพร้าวนาฬิเกร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระนิพพาน เราจึงลอยข้ามทะเลขี้ผึ้งไปให้ถึงต้นมะพร้าวนาฬิเกร์กล่าวคือ พระนิพพานนั้นกันให้ได้
บัดนี้ สิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในที่เฉพาะหน้าของเรา มองเห็นชัดอยู่อย่างนี้แล้ว จงถือเอาความหมายอันประเสริฐนี้ให้ได้กันทุกๆ คนเถิด ว่าที่เรามาลอยประทีปในที่นี้ เราจะต้องการให้จิตวิญญาณนี้ลอยข้ามทะเลขี้ผึ้งไปสู่มะพร้าวนาฬิเกร์ คือ พระนิพพานได้ และเป็นความต้องการของเราเพียงอย่างเดียว เป็นความต้องการสูงสุดแต่เพียงอย่างเดียวของเรา ไม่มีความต้องการอย่างอื่นใดยิ่งไปกว่านี้ การมาลอยประทีปที่นี่ก็ควรจะมีความมุ่งหมายในทางธรรม ในภาษาธรรม ทางจิต ทางวิญญาณให้สูงสุดกันอยู่อย่างนี้ ว่าจะลอยวัฏฏะสงสาร จะลอยไปในวัฏฏะสงสารนี้ ไม่ต้องการให้มันจมอยู่ที่นี่ แต่จะลอยไปให้ถึงเกาะที่เพิ่งกล่าวคือ พระนิพพานนั้น รวมความว่า ในการที่มาลอยประทีปที่นี่ในวันนี้นั้น กระทำไปด้วยความรู้สึกคิดนึกคิดสว่างไสว ในทางสติปัญญา ทั้งอย่างโลกและอย่างธรรม ทั้งอย่างคดีโลกทั้งอย่างคดีธรรม ทั้งในภาษาคนและทั้งในภาษาธรรม ในภาษาโลกคดีโลกภาษาคนก็คือว่า เราจะรักษาประเพณีอันนี้ไว้ จะรักษาศิลปะอันนี้ไว้ จะรักษาวัฒนธรรม อารยธรรมอันนี้ไว้ แม้ที่สุดจะเพียงเพื่อเป็นประโยชน์แก่การพักผ่อนหย่อนใจก็ยังจะต้องรักษาไว้ เพื่อเป็นเครื่องประคับประคองจิตใจให้หมุนไปแต่ในทางที่ดีที่งาม และเมื่อกล่าวตามภาษาธรรม หรือคดีธรรมแล้ว เรากำลังบูชาพระรัตนตรัยด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดออกไป เรากระทำการลอยประทีปเพื่อให้เกิดความรู้สึกในการที่จะแจกแสงสว่างแห่งดวงประทีป หรือแสงแห่งพระธรรม หรือยิ่งไปกว่านั้นก็จะลอยประทีปเพื่อเผากิเลส คือลอยกิเลส ลอยความโง่ของเราให้ออกไปจากเรา กระทั่งเป็นการลอยตัวกู ของกูให้สูญสิ้นไป กระทั่งเป็นการลอยข้ามทะเลขี้ผึ้งไปสู่มะพร้าวนาฬิเกร์ได้ด้วยประการฉะนี้
หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะได้พิจารณาดูกันเป็นอย่างดี มีความรู้ ความเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว รักษาไว้ กระทำกันไว้ เพื่อให้เกิดความเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและแก่ผู้อื่นตลอดกาลนาน สมความมุ่งหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง จงมีด้วยประการฉะนี้