แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นั่นก็เป็นเหยื่อ กลับเป็นเหยื่อที่ละเอียดที่เห็นยาก แต่ถ้ายังชอบอยู่ก็ได้ ไม่มีใครว่า มันมีสิทธิที่จะชอบ แต่เดี๋ยวนี้บอกว่า มันยังหลอกลวง ชนิดที่ตรงกันข้ามคือชนิดที่ไม่หลอกลวง คือไม่มีเหยื่อ ไม่เป็นเหยื่อ ไม่อยู่ในลักษณะเหยื่อ ไอ้เหยื่อนี่ก็หมายความว่า มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในเหยื่อ เช่นเบ็ด เป็นต้น ซ่อนอยู่ในเหยื่อ ปลาก็กินเหยื่อแต่มันติดเบ็ด ถ้าเราไปกินเหยื่อ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมย์ มันก็ติดเบ็ด ด้วยอำนาจของอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นในภพนั้น ในภพนี้ กามาวจรภพ รูปาวจรภพ เรียกกันไปนี่ มันเป็นเหยื่ออันละเอียดอันหนึ่ง ละเอียดยิ่งขึ้นไปจนมองไม่เห็นว่าเป็นเหยื่อ ลองเหลียวไปดูความสุขที่ไม่มีเหยื่อดูกันเสียบ้าง สำหรับพวกที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมที่ว่า ๗๐ หยุด ๗๐ หยุด คือหยุดกินเหยื่อกันเสียที เห็นมาสนใจไอ้ที่เรื่องที่ไม่มีเหยื่อกันเสียบ้าง เหลืออีก ๓๐ ปี กว่าจะตายนี่คงพอทัน ในข้อนี้พูดว่า สิ่งที่ควรปรารถนานี่คือ นิรามิสสุข
ข้อที่ ๘ สิ่งหมดทุกข์นั้น คือความดับ สิ่งหมดทุกข์คือความดับ พูดอย่างพาโล คือกำปั้นทุบดินก็ดับทุกข์ อย่างนี้ก็เรียกว่า พูดอย่างเอาเปรียบ เราจะไม่พูดอย่างนั้น สิ่งหมดทุกข์คือความดับนั้น มันต้องดูกันว่า ดับอะไรบ้าง นับตั้งแต่ว่าต้องดับไอ้ความเกิดแห่งตัวกู ของกู ไอ้ทุกข์มันก็คือความเกิดแห่งตัวกู ของกู แต่เราไปเรียกมันว่า ทุกข์ เป็นความทุกข์ ถ้ามีการเกิดก็ต้องมีความทุกข์ เขามีหลักไว้ตายตัวว่า ถ้ามีเกิด แล้วมีดับ และไม่มีอะไรนอกจากทุกข์ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรที่เกิดที่ดับ นั้นถ้ามีเกิดนั้นก็คือทุกข์ งั้นก็ทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ดับได้ งั้นก็ควรจะดับทุกข์นั่นเอง เรียกว่าดับเกิด ดับสิ่งที่มีการเกิดเสีย ก็คือดับทุกข์ ทีนี้ถ้าจะให้มันใกล้ชิดกว่านั้นก็คือการดับกิเลสเสีย มันเกิดกิเลสแล้วมันก็เกิดทุกข์ ถ้าอยากจะพูดให้มันตรงจุดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือว่า ดับตัวกูเสีย ความรู้สึกที่ว่ามีตัวกู มีของกูนั่นแหละให้ดับเสีย แล้วไม่มีทางที่จะเกิดทุกข์ เพราะความทุกข์ทั้งหลายมันต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ตัวกู และของกูนั่นแหละเป็นที่เกาะ ที่ยึด ถ้าไม่เกิดความรู้สึกประเภทตัวกู ของกูแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะขยายออกไปเป็นโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็เกิดทุกข์ นั่นจึงเรียกว่า สิ่งหมดทุกข์มันก็คือ ความดับ ดับเกิดเสีย ดับกิเลสเสีย ดับตัวกูเสีย แล้วแต่เราจะชอบใช้คำไหน แต่อยากลืมว่าหลักมันมีอยู่ให้ตายตัวว่า ถ้ามีเกิดแล้วต้องเป็นทุกข์ เพราะว่านอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด ข้อนี้หมายความว่า ถ้ามันเกิดแล้วมันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วมันก็ดับ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปในลักษณะที่น่าเกลียดน่าชัง นั่นก็เรียกว่า ทุกข์ ดับทุกข์ ก็จะให้มันมีเกิด แล้วยังหมุนไปในดับ เกิดดับ เกิดดับ ให้มันหยุดจริง ให้มันดับจริง ชนิดที่ไม่มีเกิดอีก ความดับในภาษาบาลีนั้นหมายถึง ดับทุกข์ ดับกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือดับความว่ายเวียนของกิเลส กรรมวิบาก กิเลสกรรมวิบาก ซึ่งเป็นตัวความทุกข์ สิ่งหมดทุกข์นั้น คือความดับ พูดไว้อย่างกว้างที่สุด พูดว่าความดับคำเดียวแต่มีความหมายกว้างที่สุด ให้ไปคิด ไปแยก ไปดู สังเกตดูเอาเอง ถ้าโผล่ขึ้นมาแล้วเป็นต้องทุกข์ ถ้าดับลงไปก็คือไม่ปรากฎว่ามีทุกข์ พูดอย่างภาษาธรรมดา เพราะเกิดมานี่ยังต้อง แก่ เจ็บ ตาย การเกิดมันเป็นเหตุให้มีแก่ เจ็บ ตาย ถ้าเกิดเรื่องมันก็หมายถึงเกิดทุกข์ เกิดอะไรก็ตามแหละ ล้วนแต่เป็นปัญหายุ่งยากทั้งนั้น ให้ดับสิ่งดีกว่า แต่ไม่ใช่ว่าดับชนิดตายหน้าเอาเข้าโรงไปโดยไม่มีความหมาย ไม่มีค่าอะไร ดับคือดับตัวกูที่เกิดอยู่ในใจ แล้วทั้งโลกมันก็จะดับหมด ถ้าฟังถูกก็จะรู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์ ถ้าฟังไม่ถูกก็จะรู้สึกว่าบ้าๆ บอๆ อะไรก็ไม่รู้ ที่ว่าดับตัวกูเสียอย่างเดียว แล้วทั้งโลกมันก็จะดับหมด คือเย็นไปหมด ไม่ดับมันก็ร้อน ถ้าดับมันก็เย็น เรียกว่าสิ่งหมดทุกข์คือความดับ
ข้อสุดท้าย ข้อที่ ๙ ว่าสิ่งลึกลับนั้นคือตัวอวิชชา ให้ลองคิดดูทีว่า ไอ้สิ่งที่มันลึกลับที่สุดนั้นมันคืออะไร บางคนจะคิดไปถึงในเหว ในภูเขา ในที่มืด ในนรก ในอะไรก็สุดแท้ก็คิดได้ แต่เดี๋ยวนี้ ยืนยันว่า ไอ้สิ่งที่ลึกลับที่สุด คืออวิชชาที่มีอยู่ในจิตใจของคน ใครมีอวิชชา ในนั้น ตัวอวิชชาคือสิ่งที่ลึกลับที่สุด ลึกลับจนถึงว่าเจ้าตัวก็ไม่รู้จัก มองไม่เห็นว่านี่เป็นอวิชชา มันมีอวิชชารุนแรงถึงขนาดเป็นตัวกู ของกู ยกหูชูหาง ดิ้นเร่าๆ อยู่ ด่าคนนั้นที คนนี้อย่างนั้นอยู่ มันก็ยังไม่รู้ว่าอันนี้เป็นอวิชชา แล้วทำไมจะไม่เรียกอวิชชาว่า เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุด จนคนที่มีอยู่อย่างมากมายนั้นก็มิได้รู้ว่าเรามีอยู่ นี่พูดในภาษาธรรมะว่าอย่างนี้ ถ้าพูดในภาษาธรรมดา ชาวบ้าน ภาษาโลกๆ ภาษาคนไม่รู้พูด ไอ้สิ่งลึกลับมันก็กลายเป็นนั่นกลายเป็นนี่แล้วแต่เขาจะคิด หรือว่าความโง่ของเขาจะระบุไปยังสิ่งใดว่าเป็นสิ่งลึกลับที่สุด ว่าจะหลงว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุด แล้วมันก็น่าหัว คือมันไม่ได้เป็นสิ่งลึกลับอะไร หรือว่าสิ่งลึกลับที่สุดสำหรับคนนี้คือสิ่งที่โง่ๆ ง่ายๆ สำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้เป็นอย่างนั้น ในทางวัตถุนี่ ไอ้สิ่งลึกลับมันก็จะค่อยๆ หมดไป เพราะเขาจะค้นพบที่นั่นที่นี่ อย่างนั้นอย่างนี่ อย่างไปโลกพระจันทร์ได้ ในโลกพระจันทร์ก็ไม่มีความลับสำหรับมนุษย์อีกต่อไป อย่างนี้มันก็ค่อยๆ หมดไป แล้วเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ลึกลับจริงนั่นเอง เพราะสิ่งที่ลึกลับจริงมันอยู่ที่นี่ ในหัวใจของคุณ คืออวิชชา มาเมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วมาก็ไม่บอกว่าเป็นอวิชชา เป็นของมืด เป็นของที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรังเกียจ ยินดีต้อนรับเสียอีก เพราะว่ามันสบายดี สนุกดี การให้อวิชชาเข้ามาแสดงบทบาทเป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันสนุกดี มันสบายดี เดี๋ยวนี้มันก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหลักในทางพระธรรม หรือพระศาสนาจึงว่า สัตว์โลกทั้งหลายกำลังถูกหุ้มห่ออยู่ด้วยอวิชชา ถูกคลุม ถูกหุ้มอยู่ด้วยอวิชชา ไม่รู้แสงสว่าง ไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้หรือควรจะทำ อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เขาพูดไว้ในชั้นลึก อวิชชาทำให้เกิดกิเลสตัญหา ก็เกิดทุกข์ แล้วจะผ่านมาทางกิเลสชื่ออื่น ชื่ออะไรก็ตามที่มันรองๆ ลำดับกันมา อวิชชาให้เกิดตัณหา ให้เกิดอุปาทาน ให้เกิดภพ ให้เกิดชาติ ให้เกิดทุกข์ ถ้าเรารู้เสียแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่รู้ก็จะเห็นเป็นตัวเรา ก็ยินดีในเวทนา แล้วเกิดตัณหา คือความอยากด้วยอำนาจของอวิชชา เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวอยากนั้นด้วยอำนาจของอวิชชา ก็ได้แบกของหนักเพราะอุปาทาน จึงต้องทนทุกข์เพราะการแบกของหนัก แล้วตัวอวิชชาอยู่ที่ไหน อยู่ในใจของคนๆ นั้น กลับเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดสำหรับทุกคน รวมทั้งคนนั้นด้วย นี่เรื่องเหล่านี้ ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกว่ามันออกจะลึก หรือว่าฟังยาก เข้าใจยากก็ขอให้เชื่อเถอะว่า เรื่องเหล่านี้ที่กำลังพูดอยู่นี่ เป็นเรื่องเด็กอมมือของปู่ย่าตายาย ขออภัยใช้คำหยาบๆ ว่าเป็นเรื่องขี้ฝุ่นของคนชั้นปู่ย่าตายายสมัยโน้น ซึ่งเอาเรื่องของพระนิพพานมาเป็นเรื่องของบทกล่อมลูกได้ แล้วธรรมที่เราพูดกันนี้ ไม่ลึกซึ้งอะไร มันเป็นเรื่องขี้ผงขี้ฝุ่นสำหรับปู่ย่าตายายสมัยโน้น จะว่าให้ฟังอีกที คอยฟังดูให้ดีว่า เรื่องขี้ฝุ่นขี้ผงของปู่ยาตายายสมัยโน้นจะเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งควรหลีกคือความชั่ว สิ่งควรกลัวคือความผิดพลาด สิ่งอุบาทว์คือความขัดแย้ง สิ่งร้ายแรงคือความเมา สิ่งเบาคือความปล่อยวาง สิ่งสว่างคือดวงปัญญา สิ่งควรปรารถนาคือนิรามิสสุข สิ่งหมดทุกข์คือความดับ สิ่งลึกลับคืออวิชชา เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องขี้ผงของปู่ย่าตายายสมัยโน้น และเป็นเรื่องที่ลูกหลานต่อไปนี้ไม่รู้ว่า มันจะว่าอะไร หรืออย่างไรกันแน่ ฉะนั้นของให้ถือว่านี่คือของฝากจากตายายครั้งกระโน้นผ่านมาทางอาตมาเอามาฝากท่านทั้งหลายในวันนี้ ของฝากของปู่ย่าตายาย ของฝากวันตายายจากปู่ย่าตายายในปี ๒๕๑๘ เรื่องที่เราจะพูดกันในวันนี้ มีอย่างนี้ เป็นที่ระลึกแก่ตายายด้วย เป็นการแสดงธรรมตามที่แสดงเป็นประจำในวันเสาร์ และเป็นความหมายของการทำให้เย็น ให้หยุด ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า จำพรรษา จำพรรษาคือว่า มีความเย็น เหมือนกับว่าน้ำฝนในฤดูฝน จะเย็นได้ก็เพราะรู้จักธรรม ข้อปฎิบัติอย่างที่ว่ามานี้ อย่างที่ว่ามาทั้ง ๙ ประการนี้
ในที่สุดนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายเอาไปในฐานะเป็นของฝากจากปู่ย่าตายาย ถ้าใช้อะไรไม่ได้ ก็เอาผ้าขี้ริ้วห่อใส่ไว้ในหีบไปพลางๆ ก่อน ถ้าสามารถจะมาใช้เป็นประโยชน์ได้ อยู่ที่เนื้อที่ตัวเป็นประจำวันละก็จะเป็นการดี ไม่เสียทีที่ว่าเกิดมาเป็นลูกหลานของตายาย ผู้รู้ธรรมะถึงกับเอาเรื่องพระนิพพานมาทำเป็นบทกล่อมลูกได้
การบรรยายในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา และเรี่ยวแรงอาตมา จึงขอยุติเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ให้คุณพระคุณเจ้าทั้งหลายท่านได้สวดสาธยายบทพระธรรม อันเป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจในการประพฤติปฎิบัติตามพระพุทธศาสนานั้นสืบต่อไป