แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรม ศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการณ์บำเพ็ญกุศลแก่บูรพเปตชนผู้ล่วงลับไป ดังที่ ท่านทั้งหลายจะทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในวาระอันเป็นอภิลักษณ์ขิตสมัยเช่นนี้ ธรรมเทศนาอนุวัฒน์แก่ เหตุการณ์อันนั้น เพื่อมีความเข้าใจในสิ่งอันนั้นยิ่งๆขึ้นไปทุกที เพื่อว่าจะได้บำเพ็ญ กุศลกรรมวิธีมีประการต่างๆ ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น การแสดงธรรมเทศนานิยมกันมาว่าเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จะต้องกระทำในโอกาสเช่นนี้ ท่านทั้งหลายและ ก็มีความประสงค์ที่จะฟังรวมกันเข้าแล้วก็เป็นการสำเร็จประโยชน์อย่างหนึ่งของพุทธบริษัทเรามีอานิสงส์ ให้มีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งนั้นๆ ยิ่งขึ้นไป และมีการอุทิศส่วนกุศลที่เกิดขึ้น แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นพิเศษ การกระทำ ใดๆในวันนี้ล้วนแต่มุ่งหมายอุทิศกุศลแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น เหตุผลที่จะต้องทำอย่างนี้ก็มีอยู่มากมาย โดย ส่วนใหญ่ก็มุ่งหมายเพื่อจะรักษาไว้ซึ่งกุศลธรรมประจำจิต คือกตัญญู กตเวทิตา
ประโยชน์ของความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนี้มีมากมายจนไม่อาจจะนำมากล่าวในวันเดียวได้ เพราะว่ามันก็ จะย่อๆ เกินไปจนไม่ได้กระแสความ ดังนั้นในวันนี้ก็จะกล่าวโดยนัยยะอันหนึ่งตามพระบาลีที่ได้ยกกันไว้ข้างต้น ว่า โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร ผู้ใดเป็นผู้มีปัญญามีความกตัญญูกตเวที กลฺยาณมิตฺโต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ เป็นกัลยาณมิตรต่อ เพื่อนอย่างมั่นคง ทุกฺขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ ย่อมกระทำกิจช่วยเหลือบุคคลผู้มีความทุกข์โดยเคารพ ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺติ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลเช่นนี้ว่าเป็นสัตบุรุษ สรุปแต่ใจความก็ได้ว่า คนกตัญญูกตเวที ย่อมทำ อะไรได้หลายอย่างและในที่สุดก็เป็นสัตบุรุษ ความหมายของคำว่าสัตบุรุษนี้ คือเป็นผู้ มีความสงบ หรือทำความสงบ ส่วนตัวก็มีความสงบ ผู้อื่นก็พลอยได้รับความสงบ บ้านเมืองหรือโลกนี้ก็พลอยได้รับ ความสงบจากสัตบุรุษ แต่โดยส่วนใหญ่ท่านหมายถึงความสงบระงับในส่วนจิตใจของตน ในบางทีก็หมายถึงพระอรหันต์ โดยเฉพาะอย่างนี้ ก็มี เพราะว่าพระอรหันต์นั้นเป็นผู้มีความสงบอย่างสูงสุด เราจะพิจารณาดูกันในข้อที่ว่า คนกตัญญูกตเวทีนี้จะก้าวไป สู่ความเป็นสัตบุรุษได้อย่างไรกัน ตามพระบาลีนี้ก็บอกชัดอยู่แล้ว ๓ ประการคือเป็นผู้มีปัญญา ผู้เป็นกัลยาณมิตร แก่คนทั้งหลาย เป็นผู้กระทำกิจของบุคคลผู้มีความทุกข์ กระทำการช่วยเหลือบุคคลผู้ถึงซึ่งความทุกข์ ทำไมจึงต้อง พูดว่าคนกตัญญูกตเวทีจึงจะเป็นกัลยาณมิตรที่มั่นคง เพราะนี้จะไม่ต้องอธิบายอะไรนักก็ได้ เพราะว่าพอจะ มองเห็นกันได้แล้วทุกคน คนที่จะเป็นกัลยาณมิตรแก่ใครอย่างแน่นแฟ้นนั้น อาศัยความกตัญญู กตเวทีเป็นสื่อและเป็น เครื่องผูกพันไม่ว่าจะมองกันในฝ่ายไหน ก็ล้วนแต่มีความรู้หรือยอมรับรู้ซึ่งบุญคุณที่มีต่อกันและกันถึงได้ทั้งนั้น อย่างว่าพ่อแม่กับลูกหลานมีความกตัญญูกตเวทีของลูกหลานก็เป็นเครื่องผูกพันความเป็นกัลยาณมิตร คนแก่ๆย่อม รักลูกหลานที่กตัญญูและถือเอาเป็นกัลยาณมิตร ลูกหลานก็ถือเอาคนแก่ๆที่เป็นที่ตั้งแห่งความกตัญญู ว่าเป็น กัลยาณมิตร มีความเป็นมิตรอย่างมั่นคง นี่ก็อาศัยความกตัญญูกตเวที แม้ทั้งที่มีมาแล้วและจะมีต่อ ไปข้างหน้าซึ่งพอจะมองเห็นได้อยู่ อย่างน้อยที่สุดบิดามารดาก็คิดว่าบุตรนี้อันเราเลี้ยงแล้วเขาจะเลี้ยงตอบ สรุปความ ว่าถ้ามีความรู้สึกกตัญญูกตเวทีต่อกันและกันในแง่ใดแง่หนึ่ง ความเป็นมิตรนั้นจะมั่นคง แม้ที่สุดจะเป็น เพื่อนบ้านกัน ถ้าระลึกถึงความที่มีบุญคุณต่อกันอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้วความเป็นมิตรนั้นจะมั่นคง คนที่คิดได้อย่างนี้ก็เรียกว่า เป็นนักปราชญ์ ไม่ใช่นักปราชญ์ที่จะรู้อะไรมากเหมือนอย่างที่เขานิยมกันสมัยนี้ แต่เป็นนักปราชญ์ชนิดที่มี ปัญญาที่จะแก้ปัญหาทั้งส่วนตนและส่วนสังคมได้ ไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่งก็ได้ก็ยังเป็นนักปราชญ์ในความ หมายนี้ได้ ไม่ต้องมีปริญญามีเกียรติยศมีอะไรที่เป็นที่รับรู้ กันในสังคมนั้นๆ เลยก็ยังได้ ก็จะเป็นนักปราชญ์ที่มีประ โยชน์เสียอีก เพราะว่าเขารู้วิธีที่จะอยู่กันผาสุกได้อย่างไร จะคำนวณอีกสักหน่อยก็ว่า ในสมัย ในยุคหรือในถิ่นที่บุคคล ไม่รู้หนังสือ ไม่เรียนอะไรกันมากๆ เหมือนอย่างเวลานี้ เขาก็อยู่กันอย่างมีความผาสุกได้ ดีกว่าสมัยนี้อย่างมากมาย ไปเสียอีก นี่เพราะว่าเขามีความรู้ชนิดที่ควรจะรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ทำความสงบกันได้จริงๆ เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าคำว่าเป็น นักปราชญ์หรือเป็นผู้รู้ หรือเป็นบัณฑิตในทางพุทธศาสนานั้น หมายถึงรู้การ อ่ารู้ในการทำความสงบ ทำความสุข ให้แก่ตนและผู้อื่น ไม่ต้องรู้วิชาศิลปศาสตร์อะไรมากมาย รู้แต่ธรรมสำหรับทำความสงบนี้ก็พอ ถึงบ้านนี้ เมืองนี้สมัยนี้ก็เถิด ถ้าคนมีความรู้เรื่องบุญเรื่องบาปกันอย่างถูกต้องแล้ว บ้านเมืองก็จะสงบ เป็นสุข เยือกเย็นกว่าเดี๋ยวนี้ ซึ่งมีความรู้ปริญญายาวเป็นหางกันมากๆ ขึ้นทุกที มัวแต่เอาหางพันกันไปพันมาจนไม่ได้ทำอะไร มันก็เลยไม่มี ความสงบสุขได้ แต่เขาเรียกก็มีความรู้เป็นมหาบัณฑิตเป็นบรมบัณฑิตเป็นอะไรกันไป แต่ไม่ทำให้บ้านเมือง ให้สงบสุขได้ แม้ตัวเองก็เร่าร้อนอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสและตัณหา เรายังถือว่าเราไม่มีบัณฑิต เราไม่มีนักปราชญ์ ไม่มีฮีโร่ อย่างที่เรียกในพระบาลีนี้ เพราะว่าเขาไม่กตัญญู เพราะเขาไม่เป็นกัลยาณมิตรกับใครโดยแท้จริง เพราะว่า เขาไม่ช่วยเหลือการงานของบุคคลผู้มีความทุกข์ แม้ปากเขาจะพูดว่ารับใช้คนที่มีทุกข์แต่เขาไม่ได้ทำ ถ้าทำก็ทำเพื่อ ประโยชน์ของตนก่อน เราควรจะระลึกนึกถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ากันให้มากขึ้น ครั้นระลึกแล้ว ก็ให้ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปกว่าก่อน ดังที่กำลังกล่าวอยู่นี้ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่าเราจะระลึกกันอย่างไรจึงจะ มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป และขอให้ยอมรับคำว่าสัตบุรุษตลอดกาล
คำว่าสัตบุรุษในสมัยโบราณมีความหมายมาก แม้ในบ้านเราเมืองเราเมื่อประมาณสัก ๒๐๐ปี หรือ ๑๐๐ปีมานี้ คำว่าสัตบุรุษมีความหมายเป็นที่เคารพนับถือ กระทั่งบูชาของคนทั่วไป แม้จะเรียกเพื้ยนไปตามสำเนียงบ้านนี้เมืองนี้ว่า สัพบุรุษ สัพรุษ ไปเสียก็มี นั้นไม่เป็นไรจะเรียกเพี้ยนไปอย่างนั้นบ้าง ถ้าความหมายมันยังมีอยู่ ก็ยังเป็นที่ เคารพนับถือบูชาอยู่ เดี๋ยวนี้คำว่าสัตบุรุษกลายเป็นคำสำหรับล้อเลียน ไม่มีใครต้องการที่จะเป็น ถ้าใครเป็นก็มี คนล้อเลียนและเอาไว้เป็นคำสำหรับล้อเลียน โดยเฉพาะล้อเลียนคนที่ไม่อยากจะทำความชั่ว จะเป็นเด็กก็ดีผู้ใหญ่ก็ดี ถ้าเขาไม่อยากจะทำความชั่ว ก็มีคนล้อเลียนว่าเขาเป็นสัตบุรุษ ก็ทำให้คนท้อถอยในการที่จะเป็นสัตบุรุษ จนกระทั่งเห็นเป็นคำที่ไม่ดี เป็นคำครึๆคระๆ ก็สังเกตดูเอาก็แล้วกันว่าในหมู่ลูกหลานในยุคปัจจุบันของพวกเราเองนี้ ถ้าเอ่ยคำว่าสัตบุรุษกับเขา เขาจะรู้สึกอย่างไร เขาสั่นหัวเขาไม่อยากจะเป็น เพราะเขายังอยากบูชาเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติเรื่องอะไรไป ตามประสาของเขา ความหมายของคำว่าสัตบุรุษนี้มันหยุดนิ่งเกินไป มันสงบมากเกินไป มันไม่สนุกสนานสรวลเสเฮฮาอะไรก็เลยไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบ คำที่มีความหมายสำคัญอย่างนี้ ไม่เท่าไรก็เลยพาล ไม่ชอบความดีหรือความถูกต้อง หรือความบริสุทธิ์ ความประเสริฐไปด้วยเป็นธรรมดา มันลากกันไปอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เขาก็ต้องการกันแต่เงินบูชาเงิน ถือศาสนาเงิน เพราะว่าเงินนั้นสามารถจะอำนวยให้ซื้อสิ่งต่างๆตามที่เขาต้องการ บูชาเงินถือศาสนาเงินนั้นไม่เข้ากันได้ ของความเป็นสัตบุรุษที่บูชาพระธรรม บูชาความจริง ความถูกต้อง ดังนั้นจึงขอ ร้องว่าท่านทั้งหลาย จงนึกถึงคำนี้ไว้อยู่ตลอดไป ไม่เห็นเป็นคำที่น่าละอายหรือว่าพ้นสมัยหรือไม่มีประโยชน์อย่างนี้เป็นต้น ช่วยบอกลูกหลานว่าสัตบุรุษหรือสัพบุรุษนี้ เขาแปลว่าคนดี คนมีความสงบ คนไม่เป็นอันตรายแก่บุคคลใด เป็นคนที่ไว้ใจได้ เป็นคนที่จะเป็นเพื่อน หรือเป็นกัลยาณมิตรโดยแท้จริง และเป็นคนที่จะ และเป็นคนพร้อม ที่จะช่วยเมื่อใครมีความทุกข์ แล้วทำไมเราจะต้องเกลียดสัตบุรุษกันเล่า
ถ้าจะหาคำอื่นมาแทนให้มันทันสมัย มันก็เป็นเรื่องของคนบ้า ที่คิดว่าถ้าเรามีคำสมัยใหม่ใช้แล้ว มันก็จะ แก้ปัญหาได้ หรือว่าสิ่งต่าง ๆ มันก็จะดีไปเอง ข้อนี้ขอให้มองให้เห็นว่า ถ้ามันไม่มีความรู้คือรู้ผิดแล้ว มันก็ทำผิดทำชั่ว จะใช้คำว่าอะไรๆ มันก็ยังผิดยังชั่วอยู่นั่นแหละ เมื่อเขาได้ถือกันมาเป็นหลักอย่างมั่นคงในจิตใจตลอดเวลานานมา แล้วดังนี้ ก็รับเอาไอ้คำนี้ไว้ไปตามเดิมดีกว่า อย่าไปเปลี่ยนมันเลย จงพยายามทำตนเป็นสัตบุรุษ พยายามอบรม ลูกหลานให้เป็นสัตบุรุษแม้แต่เด็กๆก็เป็นได้ ถ้าเขาประกอบไปในทางที่เป็นที่ตั้งของความสงบ ถ้าไม่อยากเรียก เป็นบาลีว่าสัตบุรุษก็เรียกโดยภาษาไทยว่าเป็นคนดี หรือเป็นคนสงบ นี่ก็พอแล้ว อย่าไปเปลี่ยนมันเลย ขอให้นึกถึงคำ ที่เราเรียก ถึงคำที่เราใช้กันมานมนามแล้ว เช่นคำว่าพ่อ ว่าแม่อย่างนี้ เราจะไปเปลี่ยนมันทำไม เว้นไว้แต่ เราจะเป็นมัจฉาทิฐิ กลายเป็นคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ เดี๋ยวนี้ก็เกิดมีขึ้นแล้ว คือเป็นคนที่ไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ หมายความว่าเขาเป็นมิจฉาทิฐิมาก จนถึงกลับไม่รู้จักความหมายคุณค่า ของบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ คนเหล่านี้หรือคนชนิดนี้ ในบาลีเรียกว่า เป็นคนที่ถือว่าบิดาไม่มี มารดาไม่มี ก็พลอยไม่มีเตลิดเปิดเปิงไปหมด นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี คนประพฤติดีไม่มี ก็คือครูบาอาจารย์ไม่มี หมายความว่าไม่มีความหมายที่เขาจะต้อง เคารพนับถือหรือบูชาในลักษณะนั้นๆ คนชนิดนี้เรียกว่าเป็นคนไม่มีพ่อ เป็นคนไม่มีแม่ หรือเขาไม่เขาไม่รับ นับถือความหมายและคุณค่าของคำว่าพ่อว่าแม่ คนชนิดนี้เท่านั้นแหละที่เขาจะเลิกคำว่าพ่อ คำว่าแม่เสีย และเขาจะไป เรียกพ่อแม่ว่าอะไรก็ตามใจเขา มันแล้วแต่มิจฉาทิฐิของเขาจะพาเขาไป แต่ส่วนเรานี้เห็นว่าเลิกไม่ได้ ฉะนั้น คำว่าพ่อคำว่าแม่นี้ไม่ต้องเปลี่ยนดอก ไม่มีการเปลี่ยนตลอดไปยังมีคำว่าพ่อยังมีคำว่าแม่ในความ หมายที่เคยมีมา อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น และไม่ต้องเลิกคำว่าพ่อ ไม่ต้องเลิกคำว่าแม่ ถ้าเราจะยิ่งรู้จักความหมาย ของคำว่า พ่อคำว่าแม่นี้ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก ตอนนี้ต้องขอร้องชักชวนตักเตือนท่านทั้งหลายว่าจงช่วยกันทำให้ลูกหลานรู้จัก ความหมายของคำว่าพ่อคำว่าแม่ให้ยิ่งขึ้น ให้มันทันสมัยคือมันทันสมัยที่มันบ้ายิ่งขึ้นทุกที โลกนี้บ้าคลั่งกันมาก ยิ่งขึ้นทุกทีแล้วมันเป็นสมัยบ้าหลัง ฉะนั้นต้องสั่งสอนเด็กๆของเราให้รู้ธรรมะ หรือของคำว่าพ่อแม่เป็นต้น ให้ทันสมัย ให้เข้ากับสมัย ให้เทียมกับสมัยที่มนุษย์มันเป็นบ้ามากยิ่งขึ้นทุกที ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนปล่อยไปตามขนบ ธรรมเนียมประเพณีก็ยังพอสู้ได้ เพราะว่าเขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทั่วๆไป ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพ นับถือ บิดามารดาครูบาอาจารย์ เห็นตัวอย่างตำตาอยู่ก็ทำตามๆกันไปได้ พอมาถึงสมัยนี้มันมีอันอื่นเข้ามาแทนที่จะทำให้ คนไม่รู้จักความหมายของคำว่าพ่อแม่ ไม่เคารพนับถือพ่อแม่ เราจึงต้องเร่งมือกันหน่อย อบรมลูกหลาน สั่งสอนลูกหลานให้รู้จักความหมายของพ่อแม่ ให้ทันกับสมัยที่โลกนี้มันเป็นบ้าหลังยิ่งขึ้นทุกที ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่เท่าไรพ่อแม่ก็จะหมดไปจริงๆ คือไม่มีใครนับถือพ่อแม่ และพ่อแม่ก็หมดไปจริงๆ เขาไปนับถือ อะไรกันก็ลองคาดคะเนดู อย่างเราใช้คำว่า ไปนับถือความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางกิเลส ก็หมายความว่าเขาไปบูชากิเลิสเป็นพ่อเป็นแม่ จะเรียกว่าพ่อแม่มันก็ไม่ได้ มันก็ยังคงเรียกว่ากิเลสอยู่นั่นเอง แต่โดย เนื้อแท้นั้นเขาเอากิเลสเป็นพ่อแม่ เกิดมาจากกิเลสเรียกว่ามีกิเลสเป็นพ่อแม่ และก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส คือทำไปตามอำนาจ ทำตามตัวอย่างของพ่อแม่ นี่คือกิเลส คนสมัยนี้มีสิ่งที่ยั่วให้บูชากิเลสเหลือประมาณ เหลือที่จะ
ทนได้ เราจึงเห็นเด็กๆ ของเราไปบูชากิเลสมากขึ้นๆ และก็นับถือพ่อแม่น้อยลงๆ
ถ้าเทียบกันกับสมัยที่แล้วๆ มาแล้วก็ว่าน่าใจหาย ซึ่งเมื่อสมัยโน้นที่อยู่กับพ่อแม่ บูชาพ่อแม่เคารพพ่อแม่ นับถือพ่อแม่ เดี๋ยวนี้เขาบูชากิเลสของเขาเอง บางทีก็เหยียดพ่อแม่เป็นคนโง่ก็มี จับพ่อแม่เป็นคนใช้ รับใช้ก็มี ถึงเรียกว่ามันหมดความหมายของคำว่าพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น นี่ถ้าพ่อแม่สูญหายไปจากโลก ตายายก็สูญหายไปจากโลก และเราจะทำบุญให้ตายายที่ไหนกัน จะทำบุญให้ตายายอย่างไรกัน ถ้าพ่อแม่มันตายไปหมดแล้ว ตายายมันตายไป
จากโลกแล้วไม่มีความหมายอะไรเหลืออยู่เลย แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีธรรมะถึงขนาดนั้นแล้วก็ไม่มีอะไร
นอกจากว่าจะลุกเป็นไฟ อย่างที่เรียกกันว่ามิคสัญญี ไม่มีความเคารพนับถืออะไร เป็นอะไร เห็นแต่ประโยชน์ตน
แล้วก็ฆ่าฟันกัน เหมือนฆ่าปลาฆ่าเนื้ออย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์นั้น อย่างนี้เรายังไม่ต้องการถึงอย่างนั้น เราก็ไม่ ต้องการจริงๆด้วย เรายังคงหวังที่จะมีความสงบสุข มีสัตบุรุษอยู่ในโลกนี้ เราก็ต้องสนใจว่าสัตบุรุษจะเกิดขึ้นอย่างไร ผู้ที่เป็นบิดามารดาจะแสดงตัวอย่างของความเป็นสัตบุรุษให้ลูกหลานเห็นอย่างไร ลูกหลานจะได้ทำตามกันต่อๆไป จะได้รักษาความเป็นเช่นนั้นไว้ ให้โลกนี้มันยังมีสัตบุรุษ
ทีนี้ก็จะวกมาพูดถึงความเป็นสัตบุรุษกันได้อย่างไรให้ละเอียดละออพอเป็นที่เข้าใจกันอย่างเพียงพอ ก็ขอย้ำใน พระพุทธภาษิตนี้อีกว่า เป็นคนกตัญญูกตเวทีที่ฉลาด ที่จริงคนกตัญญูกตเวทีก็มีความฉลาดอยู่แล้วในตัว ถ้าเป็น คนฉลาดจริง มันก็ต้องเป็นคนกตัญญูกตเวทีเป็นแน่นอน ถ้าฉลาดจนถึงกับไม่รู้เรื่องกตัญญูกตเวที ก็เป็นความฉลาด ของคนพาลของคนโง่หรือฉลาดไปในทางที่จะทำลาย ถ้าฉลาดในทางธรรมก็ต้องรู้เรื่องของธรรม ถ้าคนมีปัญญาจริง ก็ต้องรู้จริงเหมือนกันว่าความกตัญญูกตเวทีนี้ดี มองเห็นอยู่ว่าดีอย่างไรโดยไม่ต้องเชื่อตามคนอื่น รู้เพียงเท่านี้ ก็เรียกว่าเป็นบัณฑิตหรือเป็นนักปราชญ์ที่ปลอดภัยแล้ว พอมีความแน่ใจว่าเราจะต้องเป็นคนกตัญญูกตเวทีนั้นก็มี การกระทำแสดงออกมาตามความรู้สึกนั้นๆ ไปเกี่ยวข้องกับผู้ใดก็เกิดความเป็นมิตรกันขึ้นระหว่างกันและกันกับ บุคคลผู้นั้น ทั้งยังมีคำว่า............(นาทีที่30.06)......คือมีความเป็นมิตรที่เหนียวแน่น ที่แท้จริงแน่นแฟ้น ท่านทั้งหลาย ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่า ความเป็นมิตรนั้นเป็นของหลอกๆก็มี ตบตาก็มี หลอกหลวงก็มี รู้สึกเขาเรียกว่ามิตรปลอม มิตรเทียม เพราะเหตุที่มันเป็นมิตรปลอมหรือมิตรเทียม มันจึงแน่นแฟ้นไปไม่ได้ มันมั่นคงไปไม่ได้ เพราะมันเป็น มิตรเทียมมิตรปลอม ถ้าเป็นมิตรแท้มิตรดีมิตรจริง มันก็ยิ่งแน่นแฟ้น ยิ่งขึ้นไปในตัวมันเอง เพราะมันช่วยกันจริง และมีความหวังดีต่อกันและกันเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับเรียกว่ากัลยาณมิตร คือมิตรที่ดี มิตรที่งดงาม ถ้าเป็นมิตรกันแล้ว มันก็พูดได้เหมือนกันว่ามันมีความกตัญญูกตเวทีปนอยู่ในนั้นมาด้วยเสร็จ หรือถ้าว่ามันกตัญญูกตเวทีแล้ว มันก็มี ความมิตร ความเป็นมิตรที่ดีปนอยู่ในนั้น แล้วมาด้วยแล้วเสร็จด้วยเหมือนกัน พูดเท่านี้ก็พอจะ เข้าใจกันได้แล้วกระมังว่าพอเรารู้บุญคุณกันตอบสนองกัน มันก็เกิดความเป็นมิตรขึ้น หรือเมื่อทำหน้าที่ของมิตรอยู่ มันก็มีความหมาย แห่งกตัญญูกตเวทีอยู่รวมอยู่ด้วย การเป็นมิตรกันแน่นแฟ้น เพราะมีความกตัญญูกตเวทีนั้นเป็นรากฐาน ขอให้ทุกคนมีความเป็นมิตรชนิดนี้เถิด ก็จะเป็นความเป็นคนมีกัลยาณมิตรที่จะช่วยตัวเราได้จริง ช่วยโลกได้ด้วย
ที่เรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธในพระธรรมในพระสงฆ์ นี่ก็ดูเถอะว่ามันเป็นอย่างไร มันมีความเป็นมิตรรวมอยู่ในศรัทธา อย่างว่าเรามีความเคารพนับถือในพระศาสดา มั่นคงเพราะว่าได้รับประโยชน์ อานิสงส์ที่พระพุทธองค์ทรงอำนวยให้ ให้ความรู้หรือแสงสว่างที่จะดับทุกข์ได้ เกิดเป็นความผูกพัน ในฐานะเป็นผู้มี
พระคุณอันสูงสุดและก็มีผู้รับรู้ รับสนองในพระคุณนั้น ก็เลยมีความเป็นมิตรอย่างแน่นแฟ้นกับผู้นั้น พูดอย่างนี้ฟังแล้ว
มันออกจะแปลกหูที่จะพูดว่า พุทธบริษัทเป็นกัลยาณมิตรของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรของพุทธบริษัท แต่ทุกคนอย่าแปลกหูเลย นั่นแหละเป็ฯความจริง และขอให้เป็นความจริงอย่างนั้นยิ่งขึ้นทุกที ว่าพระพุทธองค์เป็น กัลยาณมิตรของเรา เราเป็นกัลยาณมิตรของพระองค์ ไม่ใช่ว่าจะยกตัว หรือโอ้อวดลืมตัว แต่เนื่องจากคำว่า กัลยาณมิตรมันมีความหมายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ ที่เรียกว่าเป็นผู้กระทำกิจของบุคคล ที่มีความทุกข์โดยเคารพ นั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ในบาลีนี้ก็มีว่าอย่างนั้น ว่าเป็นผู้กระทำซึ่งกระทำกิจของบุคคล ที่มีความทุกข์อย่างเคารพ คือไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างเคารพ การกระทำอย่างนี้ไม่มีใครยิ่งไปกว่า พระพุทธเจ้า แต่คนมองไม่เห็น เพราะว่าเขาคิดเตลิดเปิดเปิงไป เป็นคนประมาทมีความคิดหยาบคาย มีความคิด โลดโผนไม่มองเห็นแม้ข้อนี้ คือข้อที่ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำกิจ ที่ควรกระทำแก่บุคคลที่มีความทุกข์ เป็นอย่างยิ่ง สัตว์โลกทั้งหลายมีความทุกข์ พระองค์ทรงทำกิจที่เป็นประโยชน์แก่ผู้มีความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ก็เลย เรียกว่ากัลยาณมิตรอย่างยิ่ง แน่นแฟ้นอย่างยิ่ง แล้วทางฝ่ายพุทธบริษัทฯล่ะจะไปไหนเสีย เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ มองเห็นอยู่อย่างนี้ มันก็รู้สึกเป็นมิตรกัลยาณมิตรขึ้นมาเอง แต่บางทีเราก็ไม่กล้าพูดคล้ายๆกับว่ายกตนเทียม พระพุทธเจ้า ความจริงมันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ความจริงมันก็มีอยู่ว่ามีความรู้สึกว่าเป็นมิตรจริงๆ และเราก็ไม่ได้ยกตน อะไร จะยกไปทำไมมันป่วยการ รู้สึกให้มันถูกต้องและมันมีประโยชน์และมันจริงด้วยก็พอแล้ว เรากตัญญูต่อ พระพุทธองค์เท่าไร เราจะรู้สึกเป็นกัลยาณมิตรต่อพระองค์เท่านั้นด้วยเหมือนกัน พอเรามองเห็นอยู่ว่า มีพระคุณแก่เรา จนกระทั่งวันนี้ เราจะถือว่าพระองค์ปรินิพพานไปแล้วตั้ง ๒๐๐๐ กว่าปี แต่การกระทำของพระองค์ก็ยังช่วยเรา อยู่จนกระทั่งวันนี้ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นยอดของสัตบุรุษเป็นจอมโจกของสัตบุรุษ ซึ่งคำว่าสัตบุรุษนี้ก็เคยใช้ เป็นคำเรียกพระอรหันต์ ท่านก็เป็นจอมพระอรหันต์ เมื่อคำสัตบุรุษนี้ลดความหมายลงมาถึงคนที่มีความสงบทั่วๆไป แม้จะมาไม่ถึงพระอรหันต์ก็ไม่กระทบกระทั่งต่อคำนี้เลย เพราะความหมายมันยังไม่เปลี่ยน ความหมายมันยัง หมายถึงความสงบเป็นความสุข เป็นความดีอยู่นั่นเอง
นี่วันนี้ทำบุญตายาย ขอให้มองดูให้เห็นความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวอยู่ในพระบาลีนี้ให้ครบถ้วนด้วย ตายาย เป็นอะไรแก่เรา เราเป็นอะไรแก่ตายาย ใครกตัญญูกติเวทีต่อใคร ให้รู้ว่าใครช่วยทำกิจของบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก
อย่างไร ใครฉลาดมากหรือว่าใครฉลาดน้อยอย่างไร ถ้าท่านคิดดูก็คงจะมองเห็น กลัวแต่ว่าท่านเป็นคนขี้เกียจคิดไม่ชอบคิด ไม่อยากคิด ไม่อยากพิจารณา ถ้าอย่างนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ก็เพราะ การไม่อยากสังเกตไม่อยากพินิจพิจารณานี่เองที่ทำให้ไม่ก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้าในทางกระทำ คือไม่ก้าวหน้าในทางฉลาดที่จะดับทุกข์ได้ รวมทั้ง ไม่ก้าวหน้าในทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นความกตัญญูก็ไม่ก้าวหน้า ความเป็นกัลยาณมิตรก็ไม่ก้าวหน้า การช่วยเหลือผู้อื่น ก็ไม่ก้าวหน้า อะไรๆมันก็ล้วนแต่ไม่ก้าวหน้า ก็น่าเสียดายน่าเสียใจน่าสงสารถึงกับน่าสลดสังเวช ถ้าอย่างนั้นขอให้ช่วยกันขจัดปัดเป่าความรู้สึกที่ไม่เป็นประโยชน์นั้นออกไปเสีย และให้ถือเอาส่วนที่จะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น แล้วต้องกตัญญูกตเวทีต่อตายาย นี่พูดกันมาหลายปีแล้วไม่ต้องพูดอีกก็ได้ ถึงแม้แต่ตายายกตัญญูกตเวทีต่อเรา ถ้าเราได้ทำอะไร ที่เป็นที่ชอบใจตายาย ตายายก็ได้สนองความดีตอบ ทั้งตายายที่ตายไปแล้วและทั้งตายายที่ยังอยู่ มองดูก็เห็นได้ง่ายๆ เราลองทำอะไรให้ตายายเป็นที่ถูกใจท่านก็สนอง ความยินดีตอบ ความรักใคร่ ความเอ็นดู ความเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ ลูกหลานเสียอีกที่มักจะบิดพลิ้ว เมื่อจะต้องสนองตอบ พ่อแม่ไม่ค่อยจะบิดพลิ้ว เพราะว่ารักลูกจริงๆและก็เกิดก่อน และก็โตแล้ว ลูกๆนี้มันยังเด็กเกินไปบางทีก็เป็นพาลด้วย นั้นจึงมักจะไม่สนองตอบ ความดีหรือความรักของพ่อแม่ พ่อแม่ควรจะได้รับความสนองตอบมากกว่านั้น ก็ได้รับน้อยไป หรือไม่ได้รับเสียเลย หรือได้รับความร้อนอกร้อนใจแทนก็มี นี่บิดามารดาคนไหน กำลังได้รับความร้อนอกร้อนใจเพราะลูกหลานของตน ก็จงไปพิจารณาดูข้อนี้ให้ดีเถิด มันมีอยู่จริงๆ พ่อแม่บางคนถึงกับว่า เรียกว่าตัดหางกันเลย ตัดหางปล่อยวัดกันไปเลย ไม่ถือว่ามันเป็นลูกเป็นหลานอะไรของกูอีกต่อไปอย่างนี้มันก็ยังมีนะ แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ควรจะมี มันไม่ควรจะมี ในหมู่พุทธบริษัท เราควรจะป้องกันได้ เราควรจะแก้ไขได้ให้มีแต่ลูกหลานที่ดี ให้มีแต่ตายายที่ดีคือมีกตัญญู กตเวทีต่อกันหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน พ่อแม่เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด ถ้ามองในแง่ของความ เป็นมิตร ไม่มีใครรักลูกหลานเท่าพ่อแม่ ไม่มีใครเสียสละให้ลูกหลานเท่ากับพ่อแม่ นั้นพ่อแม่เป็นกัลยาณมิตร อย่างสูงสุด เหลืออยู่แต่ว่าลูกหลานมันจะเป็นกัลยาณมิตรกับพ่อแม่ อย่างเท่าเทียมกันหรือหาไม่ เท่านั้นเอง
ที่นี้ถ้าสมมุติว่าลูกหลานมันไม่เป็นคนกตัญญูกตเวที หรือเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อพ่อแม่ นี่มันเป็นเพราะเหตุ
อะไร นี้มันก็จะต้องปรับพ่อแม่เป็นข้อแรก หรือเป็นคนแรกว่าไม่ได้เอาใจใส่อบรมลูกหลานให้ถูกต้อง เพราะไม่มีเวลา จะอบรมก็ไม่มี ไม่มีโอกาสจะอบรมก็มี ไม่มีความรู้หรือสติปัญญาจะอบรมก็มี แต่มันไม่ควรจะเป็นมากถึงอย่างนั้น ส่วนใหญ่มันมักจะอยู่ที่ว่าไม่เอาใจใส่เสียมากกว่า เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ อาตมาได้สังเกตเห็นด้วยตนเอง อยู่ตลอดเวลาว่ามีพ่อแม่ หลายพ่อแม่ทีเดียวที่เห็นว่าการอบรมลูกหลานนี้ไม่สำคัญ ปล่อยให้มันเป็นไปของมันเอง ตัวเองไปทำกิจการอย่างอื่นที่ถือว่าเป็นประโยชน์ และไม่ถือว่าการอบรมลูกหลานนี้สำคัญ แต่ก็มีที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือพ่อแม่ไปทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสียอีกด้วย ทั้งที่บอกว่าไม่มีจะเอาใจใส่กับลูกหลาน ตัวเองก็ไปทำสิ่งที่ ไม่เป็นประโยชน์อีกด้วย จะไปเล่นไพ่ก็ได้ จะไปทำอบายมุขอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็ได้ อย่างนี้ไม่น่าจะมี แต่มันก็มี ยิ่งได้เห็นลูกหลานของพ่อแม่ชนิดนี้เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ สรุปความก็คือพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดเรื่องพ่อแม่ก็ไม่รู้เรื่อง พูดเรื่องลูกหลานก็ไม่รู้เรื่อง พูดเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ก็ไม่รู้เรื่อง มันรู้แต่เรื่องอายตนะ สุขสนุกสนานทางเนื้อหนังอะไรของมันเอง มันก็เป็นผู้ที่ล้างพลาญพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา ก็จะพูดทำไมกันในเรื่อง กัลยาณมิตรหรือว่ากตัญญูกตเวทีต่อกันและกัน ไม่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามที่ควรจะช่วยเหลือ มันน่าเศร้าสักเท่าไร เพราะว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือลูก ลูกก็ไม่ได้ช่วยเหลือพ่อแม่ในทางที่ถูกที่ควร
วันนี้ทำบุญตายายเสร็จแล้ว ก็มีโอกาสจะพูดจากันบ้าง มีโอกาสดีถึงที่ถึงขนาดที่จะพูดกันได้เต็มที่ อาตมา ก็ถือโอกาสพูดอย่างนี้ และพูดอย่างตรงๆ จริงๆ หวังประโยชน์ที่เป็นธรรมะ เป็นเบื้องหน้า นั้นจึงไม่กลัว ใครโกรธ พูดด้วยความหวังดีแล้ว ไม่ต้องกลัวใครโกรธ ที่จริงก็ไม่ควรจะให้ใครโกรธแต่ถ้าใครจะโกรธก็โกรธไปไม่กลัว เพราะว่าพูดด้วยความหวังดี ก็พูดจริงๆ ก็พูดตรงๆ ทุกทีก็พูดอย่างนี้คือพูดจริงๆ พูดตรงๆ เมื่อลูกหลานสมัยนี้ มันเต็มทีกว่าลูกหลานสมัยก่อน นั้นตายายสมัยนี้มันก็พลอยเต็มทีเสียด้วยเหมือนกัน ต่อไปข้างหน้ามันก็จะมี แต่ตายายที่เต็มทีคือลูกหลานที่เต็มที มันโตมาเป็นตายายพอตายายดีๆ ตายไปหมดแล้ว มันก็เหลือแต่ลูกหลานที่ไม่ดี ที่มาเป็นตายายที่เต็มที และมนุษย์นี้จะอยู่กันอย่างไร ใครจะเป็นห่วง หรือใครจะไม่เป็นห่วงก็ได้ แต่เรื่องจริง มันเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไอ้บาปหรือกรรมมันก็จะตกอยู่แก่คนเบื้องหลัง ที่นี้คนที่ใจจืดมันก็จะพูดว่า ไม่รู้ไม่ชี้กูตายไปแล้วก็แล้วกัน ข้างหลังมึงจะอยู่อย่างไรก็ตามใจ ถ้าพูดอย่างนี้มันก็ไม่ต้องพูดกันก็ได้ แต่อย่าลืมว่า ถืออย่างนั้น ถ้าพูดอย่างนั้นไม่ใช่สัตบุรุษในพระพุทธศาสนาเลย ถ้าเป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนาก็ต้องเผื่อข้างหน้า ด้วย เพราะว่าอยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ เราเคารพต่อพระสงฆ์ที่ว่าจะให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในอนาคต เราก็ต้องทำ เราก็ต้องนึก และมันก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากไป เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าทำให้มันถูกวิธีเท่านั้นแหละ มันจะเป็นประโยชน์รอบด้าน ถ้าทำผิดวิธีแล้วไม่มีทางที่จะเกิด ประโยชน์อะไร ทำผิดวิธี เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นเรื่องบ้าไปหมด ถ้าทำถูกวิธีเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ก็กลายเป็นเรื่องดีไปหมด มันอยู่ที่ว่าทำให้มันถูกวิธีมันก็จะเอาตัวรอดได้ อย่างว่าเราจะทำบุญตายายให้ถูกวิธี แล้วมันจะมีอานิสงส์รอบด้านนั้นเป็นอย่างไร ทำบุญตายายถูกวิธี เกิดนิสัยกตัญญูกตเวทีขึ้นในจิตใจของทุกฝ่าย นี้พูดซ้ำๆซากๆ กลัวท่าน ทั้งหลายจะรำคาญ แต่ว่านั่นแหละมันเป็นประโยชน์สูงสุดหรือเป็นจุดที่มุ่งหมาย ของการทำบุญตายาย
ที่นี้ที่พูดว่ามีอานิสงส์รอบด้านนั้นหมายความว่าไม่ได้มีอานิสงส์แต่เพียงเท่านั้น มันมีอานิสงส์ที่ทำให้คนอื่น ที่ไม่ใช่ตายาย ไม่ใช่ลูกหลานนั้นก็พลอยได้รับประโยชน์ เพราะว่าการทำบุญตายายนี้ทำอย่างไร ก็มานั่งให้ทาน มานั่งรับศีลมานั่งฟังเทศน์ เมื่อพูดถึงการให้ทาน ถ้าให้ทานอย่างถูกต้อง ก็เป็นการเพิ่มกำลังให้แก่ภิกษุผู้สืบอายุ พระพุทธศาสนา นี่การให้ทานที่บริสุทธิ์เขามุ่งหมายอย่างนี้ ไม่ได้เอาสวรรค์วิมานอะไรที่ไหนก็ได้ เอาแต่ว่า การให้ทานนี้ให้มันเป็นการเพิ่มกำลังให้แก่ผู้ที่จะสืบอายุพระศาสนา เมื่อเขาสืบอายุพระศาสนาไว้แล้ว ประโยชน์ได้แก่ ทุกคนในโลกนี้เพราะว่าศาสนามันเป็นประโยชน์แก่โลก แก่คนทั้งโลกช่วยกันสืบไว้ เราทำบุญตายายด้วยการเพิ่มกำลัง ให้แก่ผู้สืบอายุพระศาสนา นั้นแม้จะไม่นึกถึงตายาย ไม่ได้พูดถึงประโยชน์ที่เกี่ยวกับตายาย มันก็ยังมีประโยชน์ อย่างอื่นเกิดขึ้นอยู่ในตัวมันเองอย่างมากมายมหาศาลกว้างขวางทีเดียว ให้ตัวผู้ทำนั้นเองก็ได้บรรเทากิเลส อย่างน้อย ก็กิเลสอตัญญูบรรเทาไปหรือกิเลสที่ตระหนี่ขี้เหนียวก็บรรเทาไป ประโยชน์ที่ไม่เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแต่แก่ตัวก็บรรเทาไป หรือกิเลสคือความโง่เขลามองอะไรไม่ค่อยจะเห็น ก็บรรเทาไปจนมองอะไรเห็นว่าอะไรควรจะทำอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น นี่ขอให้พิจารณาดูว่าทำบุญตายายชื่อมันว่าทำบุญตายายๆนี้ แต่แล้วไปได้ แก่อะไรก็ไม่รู้ทั่วไปหมด ทั้งโลก ทุกฝ่ายหรือหลายฝ่ายหลายระดับหลายแขนงก็ควรจะพอใจ เพราะลูกหลานกตัญญูกตเวทีต่อตายายจริง วันนี้ก็รับศีลสมาทานศีลเคร่งครัดก็กลายเป็นคนเป็นศีลเพิ่มนิสัยจะมีศีลให้เคร่งครัดยิ่งขึ้นไป เขาก็จะเป็นคนมีศีลและ ศีลก็จะคุ้มครองเขาตลอดชีวิต พิจารณาดูเถอะว่าทำบุญตายายนี้มันได้อะไร หลังจากทานหลังจากศีลก็มีฟังเทศน์ ถ้าฟังเทศน์ชนิดที่บูชาตายายกันแท้จริง ก็ฟังจริงก็ฟังรู้เรื่อง และก็มีสติปัญญาสว่างไสวยิ่งขึ้นมา พ้นจากความเป็นคน พาลคนเขลาไปได้ นี่มันก็เหมือนกับเกิดใหม่ ขอให้ฟังให้ออกว่าการละจากความโง่ความเขลามาเป็นคนมี สติปัญญานั้น มันเหมือนกับเกิดใหม่ มันเกิดใหม่ที่แท้จริง เราควรจะสนใจในการที่จะเกิดใหม่ชนิดนี้นั้น ขอให้ ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีในการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า โดยใครก็ตาม เมื่อเขาเอามาแสดงแล้วก็ให้ตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้รู้เรื่อง คำว่ารู้เรื่องนี้ก็สามารถเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ นี่เรียกว่า รู้เรื่อง แม้ว่าตั้งใจฟังเทศน์ เพื่อตายายให้ดีๆ ได้บุญเท่าไร อุทิศให้ตายาย ส่วนได้ความฉลาดเท่าไรเราก็เอาไว้ เราก็เป็นคนฉลาดมากขึ้น ทุกทีเพราะฟังเทศน์ ให้ตายาย นั้นเรื่องทานก็ดี เรื่องศีลก็ดี เรื่องภาวนาอบรมสติปัญญา เช่นการฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นต้นนี้ก็ดี ทำบุญให้ตายายก็จริง แต่คนทำยังคงได้เต็มที่ ตายายก็ได้ ลูกหลานก็ได้ ทุกคนในโลกพลอยได้ พระศาสนาก็ พลอยมีอายุยืนยาว ก็เลยได้หมดเรียกว่าได้หมดได้ทุกฝ่าย ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่านักปราชญ์อย่างไร กันเล่ามันก็ต้องเรียกว่านักปราชญ์อยู่ดี แม้จะไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่ง จะไปเป็นใครก็ตาม ผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตามแม้ไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่ง แต่ก็สามารถทำอย่างนี้ นี่คือคนฉลาด ที่เป็นนักปราชญ์ ถือเอาไว้ซึ่งประโยชน์ทุกฝ่าย
ที่พูดนี้ไม่ใช่แกล้งกระทบกระทั่งใครแต่พูดความจริง และมุ่งหมายที่จะให้คนที่ไม่รู้หนังสือนั่นแหละ รู้อะไรเสียบ้าง โดยไม่ต้องรู้หนังสือ คือรู้ว่าเราไม่ต้องรู้หนังสือเราก็ยังทำประโยชน์สูงสุด เป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่มันรู้อะไรเล่า ที่มันทำให้เป็นอย่างนั้นได้ มันรู้ยิ่งกว่าหนังสือคือมันรู้อะไรเป็นอะไรคือมันรู้ธรรมะ คนสมัย ๓๐๐-๔๐๐ปีมานี้ ก็ไม่รู้หนังสือแต่เขาก็รู้ธรรมะเรียนจากรูปภาพ เรียนจากคำบอกเล่าบ้าง สังเกตเอาเองบ้าง เขาก็รู้ธรรมะ โดยที่ไม่ต้องรู้หนังสือ คนสมัยนี้มันเอาเวลา เอาสติปัญญาไปบ้าหนังสือกันเสียหมดเลยมันไม่รู้ธรรมะ จริงไม่จริง ไปคิดดู ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งชาวบ้าน อุบาสก อุบาสิกา เอาเวลา เอาสติปัญญาไปบ้าหนังสือกันเสียหมดเลย ไม่รู้ธรรมะ สู้คนที่ไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่งก็ไม่ได้ ในสมัยโน้นเขารู้ธรรมะ สมัยพระพุทธเจ้าเขายิ่งไม่สนใจหนังสือ เขาไม่เรียน หนังสือ ไม่ใช้หนังสือแต่ก็เป็นพระอรหันต์ได้ เดี๋ยวนี้หนังสือมันเฟ้อ เฟ้อในที่นี้ก็คือพาคนไปลงนรกพาคนไป ลงอบายมุข ไปเป็นทาสของความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง หนังสือมันเฟ้ออย่างนี้ ลูกหลานตายาย ก็ลำบากหน่อยมันต่อสู้ยาก มันสู้ไม่ค่อยไหว มันพ่ายแพ้แก่สิ่งยั่วยวนเหล่านั้น เอาละไม่ต้องไปปรับ ปรับใคร หรือปรับอะไรในเรื่องนั้นมาพูดถึงตัวเราดีกว่าว่าเราควรจะทำอย่างไร เดี๋ยวนี้มีตายายเป็นส่วนมากที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่พอจะ พูดกันรู้เรื่อง ก็เลยพูดในลักษณะที่เป็นตายาย มาช่วยกันระมัดระวังให้ดี ๆ อบรมลูกหลานให้ดี ให้มันทันสมัย ที่มันบ้ายิ่งขึ้นทุกที โลกนี้มันเป็นบ้ายิ่งขึ้นทุกที นั้นอย่าปล่อยปละละเลยนัก อุตส่าห์เอาใจใส่กับเด็ก ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ให้มาก พ่อนั้นขยันทำงานสักหน่อยเพื่อให้แม่เขาไม่ต้องไปทำงาน จะได้อบรมลูกหลานให้มันเป็นผู้เป็นคน ถ้ามันไปทำงานกันเสียทั้งพ่อทั้งแม่ ทิ้งลูกหลานให้มันโตของมันเองแล้วก็มีหวังที่ว่ามันจะไม่เป็นผู้เป็นคน ถึงมันจะ รู้หนังสือมันก็จะไม่เป็นผู้เป็นคน คือมันไม่มีนิสัยที่ดี ไม่มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยธรรมะ เดี๋ยวนี้เขานิยมให้ แม่ไปทำงานนอกบ้านเเหมือนพ่อ เราก็อย่าไปบ้าตามเขาเลย พวกนั้นมันบ้าไปพักเดียวมันก็หกล้มล่ะ ที่จะให้พ่อแม่ ให้แม่ไปทำงานอย่างพ่อ ให้แม่ทำงานอย่างแม่อยู่ที่บ้านให้มันเรียบร้อยไปอบรมลูกหลานให้ดีนั่นแหละถูกต้อง นี่จึง ขอร้องว่าให้พ่อทนเหน็ดหน่อยสักหน่อย ทำงานให้มากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวอย่าให้แม่ต้องไปทำงาน ให้แม่ได้ ทำหน้าที่แม่ดูแลลูกหลานอยู่อย่างใกล้ชิดในสายตาตลอดเวลา แล้วก็จะคุ้มครองมันได้ พูดอย่างนี้ก็เก่าโบราณเต็มที ถอยหลังเข้าคลองหลายพันปี ใครจะว่าก็ว่าไป เราเห็นว่าคนว่านั้นมันโง่เอง แล้วยังว่าอย่างนี้แหละ เป็นธรรมเนียม เก่าแก่แต่โบรมโบราณที่วางไว้ดีแล้วถูกแล้ว พ่อก็จงเป็นพ่อแม่ก็จงเป็นแม่ และลูกก็จะเป็นลูกที่ดี เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่า ใครเป็นพ่อ ไม่รู้ใครเป็นแม่ไปเป็นกระเทยกันเสียหมด ไอ้ลูกมันก็เป็นลิงทะโมน จะไปโทษใครไปโทษ พระเจ้าที่ไหน ทำบุญตายายต้องพูดกันอย่างนี้ ต้องปรึกษากันอย่างนี้ ว่าทำอย่างไรจึงจะเกิดความปลอดภัยขึ้นทั้งแก่ตายาย และแก่ลูกหลาน เพราะว่าถ้าลูกหลานไม่ดี ตายายมันก็ร้อนเป็นไฟ และอีกทีหนึ่งไอ้คนแก่ ๆ มันก็เป็นลูกหลานอยู่ด้วย เป็นลูกหลานของคนที่ตายไปแล้วโน่น ยังจะต้องทำให้ถูกต้องต่อคนที่ล่วงลับไปแล้วโน่นด้วย เพื่อเป็นอย่างเป็น ตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานที่จะตามมาในชั้นหลัง เมื่อทำไปอย่างนี้ก็เรียกว่าปลอดภัย สรุปรวมลงได้ในคำว่า ทุกคนเป็นคนกตัญญูกตเวทีมีปัญญา เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันและกันอย่างยิ่ง และชิงกันกระทำกิจที่เป็นการช่วยเหลือ คนตกทุกข์ได้ยาก มีลักษณะอาการสมเป็นสัตบุรุษแท้ สมตามพระบาลีที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นหัวข้อข้างต้นนั้นว่า โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธี กลฺยาณมิตฺโต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ ทุกฺขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺติ ผู้ใดเป็นผู้ฉลาดมีความเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นกัลยาณมิตรอย่างแน่นแฟ้น กระทำกิจของผู้ตกทุกข์ บัณฑิต ทั้งหลายเรียกคน ๆ นั้นว่าเป็นสัตบุรุษดังนี้ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้